หัวข้อ: โรคกระดูกพรุน มีวิธีรักษาอย่างไรเเละมีสรรพคุณ-ประโยชน์อะไรบ้าง เริ่มหัวข้อโดย: nitigorn20 ที่ พฤษภาคม 09, 2018, 08:07:15 am (https://www.picz.in.th/images/2018/04/28/YCf0dl.jpg)
โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) โรคกระดูกรุน เป็นอย่างไร โรคกระดูกพรุนโดยธรรมดา คือภาวะที่ปริมาณธาตุ (ที่สำคัญเป็นแคลเซียม) ในกระดูกน้อยลง ร่วมกับความเสื่อมของเยื่อที่ประกอบเป็นโครงสร้างภายในกระดูก ทำให้เนื้อหรือมวลกระดูกลดความหนาแน่น ก็เลยเปราะบางแตกหักง่าย บริเวณที่เจอการหักของกระดูกได้บ่อย ดังเช่นว่า ข้อมือ บั้นท้าย และก็สันหลัง ส่วนความหมายของภาวการณ์กระดูกพรุนหรือโรคกระดูกพรุน หมายถึง สภาวะที่ความหนาแน่นของมวลกระดูก (bone mineral density : BMD) น้อยลงซึ่งส่งผลให้กระดูกเปราะบาง และมีการเสี่ยงที่จะกำเนิดกระดูกหักได้ง่าย โดยใช้ความหนาแน่นของมวลกระดูก เป็นมาตรฐานสำหรับในการวินิจฉัยภาวะกระดูกพรุนที่องค์การอนามัยโลกได้ประกาศใช้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1994 โดยเปรียบเทียบเทียงค่า BMD ของคนเจ็บกับของวัยหนุ่มวัยสาวที่มีสุขภาพแข็งแรงโดยใช้ค่า T-score เป็นมาตรฐาน ผู้ที่มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation : SD) ต่ำลงมากยิ่งกว่า -2.5 วินิจฉัยว่ามีสภาวะกระดูกพรุน ขณะที่ค่า -1.0 ถึง -2.5 จัดว่ามีสภาวะกระดูกบาง (osteopenia) และก็ ค่ามากกว่า -1.0 ถือว่ากระดูกธรรมดา โรคกระดูกพรุนเป็นโรคเรื้อรังที่พบได้บ่อยในคนสูงอายุ โดยยิ่งไปกว่านั้นในหญิงวัยหมดประจำเดือน (มักไม่ค่อยพบในเด็กแล้วก็คนหนุ่มสาว ยกเว้นในกรณีที่มีสภาวะสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง) โดยหญิงได้โอกาสกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนมากถึงปริมาณร้อยละ 30-40 ในขณะที่ผู้ชายมีโอกาสจำนวนร้อยละ 13 โดย หญิงช่วงอายุ 10 ปีแรกข้างหลังหมดรอบเดือน กระดูกจะบางลงเร็วมาก ชี้แจงได้ว่ามีเหตุที่เกิดจากการที่ขาดฮอร์โมนผู้หญิงที่มีชื่อว่าเอสโตรเจน นอกจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนแล้ว ยังเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากความเสื่อมตามวัยซึ่งพบได้ทั้งยังในผู้ชายแล้วก็สตรี แล้วก็เป็นโรคที่คนโดยมากมักมองข้ามเนื่องด้วยจะไม่แสดงอาการตราบจนกระทั่งจะเกิดภาวะเข้าแทรก(การหักของกระดูกต่างๆตัวอย่างเช่น กระดูกข้อมือ กระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง) ทำให้คนจำนวนมากมิได้รับการตรวจหรือรักษา อย่างทันการจนถึงเป็นเหตุให้เกิดการหักของกระดูกตามอวัยวะต่างๆดังที่กล่าวมา (โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดูกสะโพก) จากการคาดโดยประมาณขององค์การอนามัยโลก คาดว่าใน ค.ศ.2050 จะมีคนเจ็บเหตุเพราะกระดูกสะโพกหักสูงถึง 6.25 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการกล่าวในปี คริสต์ศักราช 1990 ที่มีปริมาณคนไข้เพียงแค่ 1.33 ล้านคน ด้วยเหตุว่าภาวะกระดูกพรุนมีความเกี่ยวเนื่องกับกระดูกสันหลังสถิติดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นจึงสะท้อนถึงปริมาณคนที่มีสภาวะกระดูกพรุนที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงศตวรรษที่ 21 โดยยิ่งไปกว่านั้นประเทศในกลุ่มทวีปเอเชียซึ่งพบว่าในจำนวนสามัญชน กระดูกบั้นท้ายหักทั่วโลกในปี คริสต์ศักราช1990 ร้อยละ 30 เป็นชาวเอเชียแล้วก็ในปี 2050 คาดว่าชาวเอเชียจะประชากรผู้ป่วยกระดูกสะโพกหักถึงร้อยละ 50 ของมวลชนโลกทั้งหมดทั้งปวง สำหรับประเทศไทย (ข้อมูลเมื่อปี 2555) ยังไม่มีการศึกษาถึงสถิติโรคกระดูกพรุนเป็นรายปี แม้กระนั้นจากสถิติจำนวนราษฎรคนแก่ของประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็เลยทำให้ความชุกของโรคกระดูกพรุนมากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไปจะพบโรคกระดูกพรุนได้มากกว่า 50% โดยเจอสภาวะกระดูกพรุนบริเวณสันหลังส่วนเอว 15.7-24.7% บริเวณกระดูกบั้นท้าย 9.5-19.3% อุบัติการณ์ของกระดูกสะโพกหักในหญิงวัยหมดประจำเดือนที่แก่ตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปได้จำนวน 289 ครั้งต่อพลเมือง 1 แสนรายต่อปี สิ่งที่ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน เหตุเพราะกระดูกมี โปรตีน คอลลาเจน รวมทั้งแคลเซียม โดยมีแคลเซียมฟอสเฟตเป็นตัวทำให้กระดูกแข็งแรง ทนต่อแรงดึงรั้ง กระดูกมีการสร้างรวมทั้งย่อยสลายอยู่ตลอดระยะเวลา กล่าวคือ เวลาที่มีการสร้างกระดูกใหม่โดยใช้แคลเซียมจากของกินที่รับประทานเข้าไป ก็มีการสลายแคลเซียมในเนื้อกระดูกเก่าออกมาในเลือดรวมทั้งถูกขับออกมาทางเยี่ยวและก็อุจจาระ ปกติในเด็กจะมีการสร้างกระดูกมากยิ่งกว่าการสลาย ทำให้กระดูกมีการเจริญเติบโต มวลกระดูกจะค่อยๆมากขึ้นจนถึงมีความหนาแน่นสูงสุด เมื่ออายุโดยประมาณ ๓๐-๓๕ ปี จากนั้นจะเริ่มมีการสลายกระดูกมากกว่าการสร้าง ทำให้กระดูกเบาๆบางตัวลงตามอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในผู้หญิงตอนหลังวัยหมดประจำเดือน ซึ่งมีการน้อยลงของฮอร์โมนเอสโทรเจนอย่างเร็ว ฮอร์โมนชนิดนี้ช่วยการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายแล้วก็ชะลอการสลายของแคลเซียมในเนื้อกระดูก เมื่อพร่องฮอร์โมนชนิดนี้ก็จะทำให้กระดูกบางตัวลงอย่างรวดเร็ว จนถึงเกิดภาวะกระดูกพรุน ส่วนกลไกการเกิดกระดูกพรุนที่แน่นอนยังไม่เคยทราบ แต่ว่าในเบื้องต้นพบว่ามีต้นเหตุมาจากการเสียสมดุลระหว่างเซลล์สร้างกระดูก (Osteoblast) รวมทั้งเซลล์ดูดซับทำลายกระดูก (Osteoclast) ซึ่งการมีกระดูกที่แข็งแรงควรมีสมดุลระหว่างเซลล์ทั้งสองประเภทนี้เสมอ ซึ่งการเสียสมดุลเกิดได้จากหลายสาเหตุคือ
ลักษณะโรคกระดูกพรุน ส่วนมากมักจะไม่มีอาการแสดง จนกระทั่งกำเนิดเปลี่ยนไปจากปกติของส่วนประกอบกระดูก ดังเช่น ปวดข้อมือ สะโพก หรือข้างหลัง (เพราะกระดูกข้อมือ บั้นท้าย หรือสันหลังแตกหัก) ความสูงลดลงจากเดิม (เนื่องด้วยการหักแล้วก็ยุบของกระดูกสันหลัง ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เป็นต้น) ถ้าหากเป็นโรคกระดูกพรุนจำพวกทุติยภูมิก็อาจมีอาการแสดงของโรคที่เป็นต้นเหตุ อีกทั้งคนที่เป็นโรคกระดูกพรุนจะเสี่ยงต่อการหักของกระดูกซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่มักพบชองภาวการณ์กระดูกพรุนโดยเฉพาะกระดูกบั้นท้าย กระดูกสันหลัง แล้วก็กระดูกข้อมือ ซึ่งทำให้เกิดผลเสียต่อการ สูญเสียทั้งเศรษฐกิจของประเทศชาติและก็คุณภาพชีวิตของคนป่วย แล้วก็โดยส่วนใหญ่จะมีสาเหตุจากอุบัติเหตุที่ไม่ร้ายแรงหรือมีแรงชนต่ำ ดังเช่น กระดูกหักจากการเปลี่ยนท่ายืนหรือนั่ง, กระดูกหักขณะก้มถือของหรือยกของหนัก, ซี่โครงหักเพียงแต่ไอหรือจาม, กระดูกข้อมือหักจากการใช้มือจนกระทั่งตัวเอาไว้จากการลื่นหรือหกล้ม, กระดูกสะโพกหักจากตูดกระแทกกับพื้น เป็นต้น แนวทางการรักษาของโรคกระดูกพรุน เนื่องด้วยภาวการณ์กระดูกพรุนส่วนใหญ่ไม่ปรากฏอาการแสดงที่แตกต่างจากปกติตราบจนกระทั่งจะเกิดการหักของกระดูก รวมทั้งมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆดังเช่น อาการปวดเกิดขึ้น การตรวจและก็วินิจฉัยการสูญเสียมวลกระดูกให้ได้ก่อนที่จะเกิดการหักของกระดูกจึงเป็นประเด็นสำคัญ โดยแพทย์จะวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน จากประวัติอาการ ประวัติความเป็นมาป่วยต่างๆเรื่องราวออกกำ ลังกาย อายุ การตรวจร่างกาย และจะทำวิเคราะห์ด้วยการเอกซเรย์กระดูก ตรวจความหนาแน่นของกระดูก (bone mineral density) แล้วนำค่าที่ได้ไปเปรียบเทียบกับค่าธรรมดาในเพศรวมทั้งอายุตอนเดียวกัน ถ้าหากกระดูกมีค่ามวลกระดูกน้อยกว่า 1.00 gm/cm2 จะมีโอกาสกระดูกหักได้ง่าย ซึ่งการแบ่งกระดูกตามค่ามวลกระดูกจะแบ่งออกเป็น 4 ชนิด ดังต่อไปนี้
การตรวจด้วย dual-energy x-ray absorptiometry (DEXA) ได้รับการยินยอมรับว่าเป็นกรรมวิธีตรวจที่เป็นมาตรฐาน (gold standard) มีความถูกต้องแน่ใจแม่นยำที่สุดสำหรับการวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกแม้ว่าจะสูญเสียมวลกระดูกไปเพียงแค่จำนวนร้อยละ 1 ก็ตาม แนวทางการรักษาโรคกระดูกพรุนเป็น เพิ่มการทำงานของเซลล์สร้างกระดูกแล้วก็หยุดหรือลดการทำงานของเซลล์ทำลายกระดูก โดยแพทย์จะมีแนวทางการดูแลและรักษาคนที่มีภาวการณ์กระดุพรุน ดังต่อไปนี้
ผู้เจ็บป่วยจะต้องใช้ยาเสมอๆ หมอจะนัดมาตรวจเป็นระยะ อาจต้องทำการตรวจกรองโรคมะเร็งเต้านมและก็ปากมดลูก (สำหรับคนที่รับประทานเอสโทรเจน) ปีละ ๑ ครั้ง ตรวจความหนาแน่นของกระดูกทุก ๒-๓ ปี เอกซเรย์ในรายที่สงสัยมีกระดูกหัก ฯลฯ ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น กระดูกหัก ก็ให้การรักษา อย่างเช่น การเข้าเฝือก การผ่าตัด วิธีการทำกายภาพบำบัด ฯลฯ ในรายที่มีโรคหรือภาวการณ์ที่เป็นสาเหตุของโรคกระดูกพรุนชนิดทุติยภูมิ ก็ให้การรักษาไปพร้อมๆกัน ปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่นำไปสู่โรคกระดูกพรุนนั้น สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงอยู่ 2 ประเภทเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงได้ แล้วก็ สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ (ตารางที่ 1) คนที่มีสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงหลายต้นสายปลายเหตุก็จะได้โอกาสสูงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุน และก็จะมีโอกาสสูงที่จะเกิดกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน (https://www.picz.in.th/images/2018/04/28/YCfNbV.jpg) ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดภาวะกระดูกพรุน ต้นเหตุที่ปรับแก้ไม่ได้ เหตุที่ปรับปรุงได้
การติดต่อของโรคกระดูกพรุน โรคกระดูกพรุนเป็นโรคที่ร่างกายมีภาวการณ์ที่ความหนาแน่นของมวลกระดูกลดต่ำยิ่งกว่าค่ามาตรฐาน ซึ่งมีต้นเหตุที่เกิดจากกลไกการสลายตัวของเซลล์สร้างกระดูก ทำให้ความสมดุลของเซลล์สร้างกระดูกและเซลล์ดูดซึมทำลายกระดูกสูญเสียไป ซึ่งมีมากมายหลายสาเหตุ แต่ว่าโรคกระดูกพรุนนี้ไม่ใช่โรคติดต่อเพราะไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนอะไร การกระทำตนเมื่อป่วยด้วยโรคกระดูกพรุน
อายุจำนวนแคลเซียมที่อยาก (mg/day) แรกเกิด – 6 เดือน 6 เดือน – 1 ปี 1 ปี – 5 ปี 6 ปี – 10 ปี 11 ปี – 24 ปี เพศชาย 25 ปี – 65 ปี มากกว่า 65 ปี เพศหญิง 25 ปี – 50 ปี มากยิ่งกว่า 50 ปี (หลังวัยหมดประจำเดือน) อายุ 400 600 800 800-1200 1200-1500 1000 1500 1000 จำนวนแคลเซียมที่อยาก (mg/day) -ได้รับการดูแลรักษาด้วย estrogen - มิได้รับการดูแลและรักษาด้วย estrogen แก่กว่า 65 ปี ระหว่ามีครรภ์ หรือให้นมลูก 1000 1500 1500 1200-1500 โดยของกินที่มีแคลเซียมสูง อาทิเช่น นม เนยแข็ง ปลาที่กินได้กระดูก (อาทิเช่น ปลาไส้ตัน) กุ้งแห้ง เต้าหู้แข็ง ถั่วแดง ผักสีเขียวเข้ม (เป็นต้นว่า คะน้า ใบชะพู) งาดำคั่ว แนวทางปฏิบัติ สำหรับเด็กและวัยรุ่นควรจะดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว ผู้ใหญ่รวมทั้งผู้สูงอายุดื่มนมวันละ 1-2 แก้วเสมอๆ จะก่อให้ได้รับแคลเซียมร้อยละ 50 ของจำนวนที่ต้องการ ส่วนแคลเซียมที่ยังขาดให้รับประทานจากอาหารแหล่งอื่นๆประกอบ คนแก่บางคนที่มีข้อกำหนดสำหรับในการดื่มนม (ยกตัวอย่างเช่น มีภาวการณ์ไขมันในเลือดสูง อ้วน เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด) ให้เลือกรับประทานเนยแข็ง นมเปรี้ยว นมพร่องมันเนย แทน หรือบริโภคของกินที่มีแคลเซียมสูงในแต่ละมื้อให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เพชรสังฆาต ชื่อวิทยาศาสตร์ Cissus guadrangu laris L. สกุล Vitaceae "เพชรสังฆาต" เป็นสมุนไพรที่ใช้บำรุงกระดูกมาตั้งแต่อดีตกาล ในพระคัมภีร์สรรพลักษณะ พูดถึงสรรพคุณของ "เพชรสังฆาต" ไว้ว่า "เพชรสังฆาต แก้จุกเสียด แก้บิด แก้ปวดในข้อในกระดูก ถูกใจแก้ลมทั้งสิ้นแล" ในตำราเรียนหมอแผนโบราณทั่วๆไป สาขาเภสัชกรรม ของกองประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า "เพชรสังฆาต" มีคุณประโยชน์ แก้กระดูกแตก หัก ซ้น ขับลมในลำไส้ แก้ริดสีดวงทวารหนัก ส่วนหมอพื้นบ้านนั้นใช้เถาตำละเอียดเป็นยาพอกบริเวณกระดูกหักช่วยลดอาการบวม อักเสบได้ เดี๋ยวนี้ได้มีงานศึกษาวิจัยพบว่า "เพชรสังฆาต" มีวิตามินซีสูงมากซึ่งรับรองคุณประโยชน์รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน อุดมด้วยแคโรทีนซึ่งเป็นสารเริ่มของวิตามินเอ มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่สำคัญมีองค์ประกอบของแคลเซียมสูงมากมาย แล้วก็สารอนาโบลิก สเตียรอยด์ (Anabolic Steroids) มีฤทธิ์เร่งปฏิกิริยาการสมานกระดูกที่แตกหักโดยกระตุ้นการสร้างเซลล์ออสเตโอบลาสต์ (Osteoblast) ซึ่งทำหน้าที่สร้างกระดูกรวมทั้งยังช่วยทำให้มีการสร้างสารไม่วโคโพลีแซกติดอยู่ไรด์ (Mucopolysaccharides) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในกระบวนการสมานกระดูก นอกเหนือจากนั้นสารคอลลาเจน (Collagen) ในเพชรสังฆาตยังเป็นสารอินทรีย์โปรตีนที่มาจับกุมตัวกับผลึกแคลเซียมฟอสเฟตกระทั่งกลายเป็นกระดูกแข็งซึ่งสามารถรับน้ำหนักและมีความยืดหยุ่นในตัวเอง ผลการตรวจสอบและลองใช้เถาเพชรสังฆาตในสตรีวัยทองซึ่งเป็นกรุ๊ปเสี่ยงที่จะเกิดภาวะกระดูกพรุน พบว่าช่วยเพิ่มมวลกระดูกแล้วก็รักษากระดูกแตก กระดูกหักได้ ฝอยทองคำ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cuscuta chinensis Lam. ตระกูล Convlvulaceae ในประเทศจีนรวมทั้งบางประเทศในแถบทวีปเอเชีย ได้มีการใช้เมล็ดฝอยทองในการรักษาโรคกระดูกพรุน จากการวิเคราะห์ทางเคมีพบว่า สารประกอบที่แยกได้จากสารสกัดเอทานอลเป็นสารในกลุ่ม astragalin, flavonoids, quercetin, hyperoside isorhamnetin และ kaempferol เมื่อเอามาทดสอบฤทธิ์พบว่าสาร kaempferol แล้วก็ hyperoside สามารถเพิ่มฤทธิ์ของ alkaline phosphatase (ALP) ในเซลล์ osteoblast-like UMR-106 โดยที่ ALP เป็นตัวระบุสำหรับในการเพิ่มการผลิตเซลล์กระดูกของเซลล์ขึ้นต้น รวมทั้งสาร astragalin ยังกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ UMR-106 ด้วย ส่วนสารอื่นๆไม่พบว่ามีฤทธิ์ดังที่กล่าวถึงมาแล้ว นอกจากนี้ยังพบว่าสารที่แยกได้มีฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจน โดยสาร quercetin, kaempferol และ isorhamnetin ออกฤทธิ์กระตุ้น ERβ (estrogen receptor agonist) แต่เมื่อเปรียบกันในแง่ของการกระตุ้น ER จะมีเพียงแค่สาร quercetin และก็ kaempferol ที่ออกฤทธิ์แรงสำหรับเพื่อการยั้งตัวรับ estrogen ชนิด ERα/β โดยที่กลไกดังที่กล่าวถึงมาแล้วคาดว่าจะเทียบเคียงกับยา raloxifene ที่ออกฤทธิ์กระตุ้น ER ที่บริเวณกระดูก ไขมัน หัวใจรวมทั้งเส้นเลือด แต่ว่าออกฤทธิ์ยับยั้ง ER ที่บริเวณเต้านมแล้วก็มดลูก นอกจากนั้นสาร quercetin รวมทั้ง kaempferol ยังกระตุ้นการแสดงออกของ ERα/β-mediated AP-1 reporter (activator protein) ซึ่งเป็นโปรตีนที่เกี่ยวเนื่องกับการสร้างกระดูก เหมือนกับยา raloxifene จากการทดลองทั้งปวงทำให้สรุปได้ว่าเม็ดฝอยทองคำมีคุณภาพในการรักษาโรคกระดูกพรุน และสารสำคัญที่มีฤทธิ์สำหรับในการสร้างเซลล์กระดูกคือ kaempferol รวมทั้ง hyperoside เอกสารอ้างอิง
|