หัวข้อ: โรคถุงลมโป่งพอง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เริ่มหัวข้อโดย: watamon ที่ พฤษภาคม 09, 2018, 05:56:03 pm (https://www.img.in.th/images/ae31d190a1457540fabef6e40c992e80.jpg)
โรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema) โรคถุงลมโป่งพอง [/color]เป็นยังไง โรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema) เป็นโรคที่อยู่ในกรุ๊ปของโรคปอดอุดกันเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease: COPD) ซึ่งโรคปอดอุดกันเรื้อรัง จะประกอบไปด้วยโรคหลอดลมอักเสบรวมทั้งถุงลมโป่งพอง โดยธรรมดาแล้วจะเจอลักษณะของ 2 โรคนี้ด้วยกัน แต่ถ้าหากตรวจเจอว่าปอดมีพยาธิสภาพของถุงลมที่โป่งพองออกเป็นจุดเด่น ก็จะเรียกว่า “โรคถุงลมโป่งพอง” ซึ่งก็คือ สภาวะพิการอย่างถาวรของถุงลมในปอด ซึ่งมีเหตุมาจากผนังถุงลมเสียความยืดหยุ่นและเปราะง่าย ทำให้ถุงลมสูญเสียหน้าที่สำหรับเพื่อการเปลี่ยนอากาศ และผนังของถุงลมที่เปราะยังมีการแตกทะลุ ทำให้มีถุงลมขนาดเล็กๆหลายๆอันรวมตัวเป็นถุงลมที่โป่งพองรวมทั้งทุพพลภาพ ส่งผลให้จำนวนพื้นผิวของถุงลมที่ยังปฏิบัติภารกิจได้ทั้งหมดทั้งปวงลดน้อยลงกว่าธรรมดา รวมทั้งมีอากาศด้านในปอดมากยิ่งกว่าปกติได้ผลให้ออกสิเจนก็เลยไปสู่กระแสเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้ลดลง คนไข้จึงมีอาการหายใจตื้นและก็กำเนิดอาการหอบง่ายตามมา โรคนี้ชอบเจอในคนแก่ (ช่วงอายุ 45-65 ปี) เจอในเพศชายได้มากกว่าเพศหญิง แล้วก็มักพบร่วมกับโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังรวมทั้งแยกออกจากกันยาก คนไข้โดยมากจะมีประวัติการสูบยาสูบจัด มานานเป็น 10-20 ปีขึ้นไป หรือไม่ก็มีประวัติอยู่การได้รับมลภาวะทางอากาศในปริมาณมากและก็ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆๆไม่ว่าจะเป็นอากาศเสีย ฝุ่นละออง ควัน หรือมีอาชีพดำเนินงานในโรงงานหรือเหมืองที่หายใจเอาสารระคายเข้าไปเป็นประจำ โรคถุงลมโป่งพอง เป็นโรคที่พบได้มากและก็เป็นต้นเหตุลำดับหนึ่งของการเสียชีวิตในประชาชนทั่วทั้งโลก โดยในประเทศอเมริกาพบเป็นลำดับที่ 4 ของต้นสายปลายเหตุการตายของมวลชน ถ้าหากนับเฉพาะโรคถุงลมโป่งพอง อัตราการเจอโรคเป็น18 คน ในประชากร 1,000 คน ส่วนสถานการณ์ตอนนี้ของถุงลมโป่งพองในประเทศไทย มีลัษณะทิศทางสูงมากขึ้นตามลำดับเช่นเดียวกันกับทั่วทั้งโลก แล้วก็เป็นหนึ่งในสิบ สิ่งที่ทำให้เกิดการเสียชีวิต ของพลเมืองไทย ก็เลยนับเป็นโรคที่เป็นปัญหาทางสาธารณสุขของเมืองไทยอีกโรคหนึ่ง สาเหตุของโรคถุงลมโป่งพอง ปัจจัยสำคัญที่นำมาซึ่งถุงลมโป่งพอง เป็นการสูบบุหรี่ แต่ว่าจากการศึกษาเล่าเรียนพบว่าผู้ที่สูบบุหรี่มีโอกาสเป็นถุงลมโป่งพองมากยิ่งกว่าผู้ที่ไม่ได้ดูดบุหรี่มากถึง 6 เท่า ซึ่งผู้ที่เป็นโรคนี้ มักมีประวัติดูดบุหรี่จัด (มากยิ่งกว่าวันละ 20 มวน) นาน 10-20 ปีขึ้นไป พิษในบุหรี่จะเบาๆทำลายเยื่อบุหลอดลมและก็ ถุงลมในปอด ทีละน้อยๆ ใช้เวลานานนับสิบๆปี จนถึงท้ายที่สุดถุงลมปอดพิการ เป็นสูญเสียหน้าที่สำหรับเพื่อการแลกเปลี่ยนอากาศ (นำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นอากาศเสียออกจากร่างกาย แล้วก็นำออกซิเจนซึ่งเป็นอากาศดีเข้าสู่ร่างกาย โดยผ่านทางระบบฟุตบาทหายใจ) กำเนิดอาการหอบอิดโรยง่าย รวมทั้งเกิดโรคติดเชื้อของปอดซ้ำซาก เว้นเสียแต่ยาสูบซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของโรคนี้แล้ว ผู้เจ็บป่วยส่วนน้อยยังอาจเป็นเพราะมูลเหตุอื่น ยกตัวอย่างเช่น มลภาวะในอากาศ การหายใจเอามลภาวะในอากาศ อาทิเช่น ควันจากการเผาไหม้ที่เกิดจากเชื้อเพลิง ไอเสียรถยนต์ จะเพิ่มความเสี่ยงให้กำเนิดถุงลมโป่งพอง เพราะว่าพบว่าประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ๆจะมีอัตราการป่วยเป็นโรคปอดอุดกันเรื้อรังซึ่งรวมทั้งโรคถุงลมโป่งพองได้มากกว่าประชาชนที่อาศัยอยู่ในต่างจังหวัด มลภาวะทางอากาศจึงน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องไม่มากมายก็น้อย ควันพิษหรือสารเคมีจากโรงงาน ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นหรือควันพิษที่มีส่วนประกอบของสารเคมีหรือฝุ่นจากไม้ ฝ้าย หรือวิธีการทำบ่อแร่ ถ้าหายใจเข้าไปในจำนวนที่มากแล้วก็เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ก็มีโอกาสในการเสี่ยงที่ก่อให้เกิดถุงลมโป่งพองได้มากขึ้น ซึ่งจะเพิ่มช่องทางมากขึ้นไปอีกถ้าหากเป็นผู้ที่สูบบุหรี่ ภาวการณ์พร่องสารต้านทริปสิน (α1-antitrypsin) ซึ่งเป็นเอนไซม์คุ้มครองป้องกันการถูกทำลายของเนื้อเยื่อเกี่ยวเนื่องจากสารต่างๆก็เลยช่วยปกป้องไม่ให้ถุงลมปอดถูกสารพิษ ภาวการณ์นี้จัดเป็นโรคทางพันธุกรรมซึ่งสามารถถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ ซึ่งโรคทางพันธุกรรมประเภทนี้ส่วนมากจะพบในคนเชื้อชาติผิวขาว มักเกิดอาการในกลุ่มผู้เจ็บป่วยที่แก่ต่ำลงมากยิ่งกว่า 40-50 ปี แล้วก็ผู้ป่วยมักจะไม่สูบบุหรี่ แต่ ภาวการณ์นี้ก็เจอเกิดได้น้อยมากคือประมาณ 3% ของโรคปอดเรื้อรังทั้งผอง อาการโรคถุงลมโป่งพอง ระยะเริ่มต้นจะมีลักษณะของหลอดลมอักเสบเรื้อรัง กล่าวอีกนัยหนึ่งจะมีอาการไอมีเสลดเรื้อรังเป็นนานนับเดือนนานแรมปี คนป่วยมักจะไอหรือขากเสลดในคอหลังจากตื่นนอนช่วงเช้าเสมอๆ กระทั่งนึกว่าเป็นเรื่องปกติและไม่ได้ตั้งใจดูแล ถัดมาจะเริ่มไอถี่ขึ้นทั้งวัน แล้วก็มีเสมหะเยอะมาก ในช่วงแรกเสมหะมีสีขาว ต่อมาบางครั้งอาจจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือเขียว เป็นไข้ หรือหอบเหนื่อยเป็นบางครั้งบางคราวจากโรคติดเชื้อสอดแทรก เว้นเสียแต่อาการไอเรื้อรังดังที่กล่าวผ่านมาแล้วแล้ว คนป่วยจะมีลักษณะอาการอ่อนเพลียง่ายเวลาออกแรงมาก อาการหอบอ่อนล้าจะค่อยๆเป็นมากขึ้น แม้แต่เวลาเดินตามปกติ เวลากล่าวหรือทำกิจกรรมเล็กๆน้อยๆในชีวิตประจำวันก็จะรู้สึกอิดโรยง่าย แม้คนป่วยยังสูบบุหรี่ถัดไป สุดท้ายอาการจะรุนแรง กระทั่งแม้แต่อยู่เฉยๆก็รู้สึกหอบเหนื่อย ทั้งนี้เนื่องจากว่าถุงลมปอดทุพพลภาพอย่างรุนแรง ไม่สามารถที่จะปฏิบัติภารกิจแลกเปลี่ยนอากาศ นำออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายให้กำเนิดพลังงาน ผู้เจ็บป่วยมักมีลักษณะอาการกำเริบเสิบสานหนักเป็นครั้งคราว เหตุเพราะมีการติดโรค (หลอดลมอักเสบ ปอด) เข้าแทรก ทำให้มีไข้ ไอมีเสมหะเหลืองหรือเขียว หายใจหอบ หายใจมีเสียงดังวี้ดๆตัวเขียว กระทั่งต้องเข้ารักษาตัวในโรงหมอ เมื่อเป็นถึงขั้นระยะรุนแรง ผู้ป่วยมักมีลักษณะอาการเบื่อข้าว น้ำหนักลด รูปร่างผอมบาง มีลักษณะหอบเมื่อยล้า อยู่ตลอดเวลา มีลักษณะปวดร้าวทรมาณแสนสาหัสและก็บางทีอาจเสียชีวิตได้จากโรคแทรกซ้อน ยิ่งไปกว่านั้น ในบางรายบางทีอาจพบว่ามีริมฝีปากหรือเล็บเป็นสีคล้ำออกม่วงเทาหรือฟ้าเข้มเหตุเพราะขาดออกสิเจน หรือแม้มีอาการหายใจตื้นเป็นระยะเวลานานหลายเดือนแล้วก็มีลักษณะที่ห่วยแตกลงอีกด้วย สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคถุงลมโป่งพอง สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง แบ่งออกเป็น 2 กรุ๊ปเป็น
กรรมวิธีรักษาโรคถุงลมโป่งพอง การวินิจฉัยโรคถุงลมโป่งพอง แพทย์จะอาศัยองค์ประกอบหลายชนิด เช่น ประวัติความเป็นมาสัมผัสสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงดังที่กล่าวมาแล้ว ร่วมกับ อาการ ผลการตรวจร่างกาย ภาพรังสีหน้าอก แล้วก็ยืนยันการวิเคราะห์ด้วย spirometry ดังอาการดังกล่าวต่อไปนี้ อาการ จำนวนมากผู้เจ็บป่วยที่มาพบหมอจะมีลักษณะอาการเมื่อพยาธิสภาพแผ่ขยายไปๆมาๆกแล้ว อาการที่ตรวจพบ ได้แก่ หอบ อ่อนล้าซึ่งจะเป็นมากขึ้นเรื่อยไอเรื้อรังหรือมีเสมหะโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาเช้า อาการอื่นที่พบได้เป็นแน่น หน้าอก หรือหายใจมีเสียงหวีด การตรวจทางรังสีวิทยา ภาพรังสีหน้าอกมีความไวน้อยสำหรับในการวินิจฉัยโรคถุงลมโป่งพอง แต่มี ความสำคัญสำหรับเพื่อการแยกโรคอื่น ในคนไข้ emphysema อาจพบลักษณะ hyperinflationหมายถึงกะบังลมแบน ราบรวมทั้งหัวใจมีขนาดเล็กมีอากาศในปอดมากกว่าปกติ ในคนไข้ที่มี corpulmonale จะพบว่าหัวใจห้องขวา แล้วก็ pulmonary trunk มี ขนาดโตขึ้น แล้วก็ peripheral vascular marking ต่ำลง การตรวจสมรรถภาพปอด Spirometry มีความจำเป็นสำหรับในการวินิจฉัยโรคนี้มาก รวมทั้งสามารถจัดระดับความรุนแรงของโรคได้ด้วย โดยการตรวจ spirometry นี้จะต้องตรวจเมื่อคนเจ็บมีอาการคงเดิม (stable) และไม่มีลักษณะกำเริบเสิบสานของโรคอย่างต่ำ 1 เดือน การตรวจนี้สามารถวินิจฉัยโรคได้ตั้งแต่ระยะที่ผู้ป่วยยังไม่มีอาการ โดยหมอจะให้คนป่วยหายใจเข้าให้สุดกำลัง แล้วเป่าลมหายใจออกอย่างเร็วผ่านเครื่องสไปโรมิเตอร์ (Spirometry) แล้ววัดมองค่า FEV1 (Forced expiratory volume in 1 second) ซึ่งหมายถึง ความจุอากาศที่หายใจออกใน 1 วินาที และก็ค่า FVC (Forced vital capacity) ซึ่งหมายถึง ขนาดอากาศที่หายใจออกทั้งหมดจนสุดอย่างเต็ม 1 ครั้ง จะเจอรูปแบบของ airflow limitation โดยค่า FEV1 / FVC ข้างหลังให้ยาขยายหลอดลมน้อยกว่าร้อยละ 70 รวมทั้งแบ่งความรุนแรงเป็น 4 ระดับ โดยใช้ค่า FEV1 หลังให้ยาขยายหลอดลม (https://www.img.in.th/images/e711eea7d3de61c4a94cb6d3ac3d2b70.gif) การตรวจด้วยเครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว (Pulse oximetry) เป็นการตรวจเพื่อวัดความอิ่มตัวของออกสิเจนในเลือด ซึ่งในคนไข้โรคถุงลมโป่งพองมักจะมีออกซิเจนในเลือดต่ำเป็นวัดค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดได้น้อยกว่าธรรมดา เพราะร่างกายไม่ได้รับออกสิเจนอย่างพอเพียง (โดยค่าธรรมดาจะอยู่ที่ 96-99% หากต่ำกว่านี้คนเจ็บจะรู้สึกอ่อนล้าอย่างมากขึ้นเรื่อยๆ) การตรวจค้นระดับสารทริปซินในเลือด ถ้าหากคนไข้ที่เป็นโรคถุงลมโป่งพองแก่น้อยกว่า 40-50 ปี ต้นเหตุอาจมาจากภาวะพร่องสารต่อต้านทริปสินซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมได้ ผู้ป่วยก็เลยจำเป็นต้องตรวจหาจำนวน α1-antitrypsin ในเลือด การดูแลรักษา เพื่อทรงสภาพร่างกายปัจจุบันให้เยี่ยมที่สุด และก็เพื่อ ลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มี หลัก 4 ประการเป็น การหลบหลีกปัจจัยเสี่ยง การดูแลรักษา stable COPD การคาดการณ์และติดตามโรค การรักษาภาวะกําเริบกะทันหันของโรค (acute exacerbation)
การให้ข้อมูลที่เหมาะสมเกี่ยวกับโรค แล้วก็แผนการรักษาแก่คนเจ็บรวมทั้งเครือญาติ จะช่วยทำให้การดูแลและรักษามีคุณภาพ คนไข้มีความชำนาญสำหรับเพื่อการศึกษาการใช้ชีวิตกับโรคนี้ แล้วก็สามารถคิดแผนชีวิตในเรื่องที่โรคดำเนินไปสู่ระยะในที่สุด (end of life plan) การดูแลรักษาด้วยยา การใช้ยามีเป้าหมายเพื่อทุเลาอาการ ลดการกำเริบ และเพิ่มคุณภาพชีวิต เดี๋ยวนี้ยังไม่มียาชนิดใดที่มีหลักฐานแน่ชัดว่าสามารถลดอัตราการตาย และก็ชะลออัตราการต่ำลงของสมรรถนะปอดได้ ซึ่งการดูแลรักษาดัวยยา จะประกอบด้วยยาต่างๆได้แก่ ยาขยายหลอดลม ยากลุ่มนี้ทำให้อาการและก็สมรรถภาพลักษณะการทำงานของผู้ป่วยดีขึ้น ลดความถี่และความรุนแรงของการกำเริบ เริ่มคุณภาพชีวิตทำให้สถานะสุขภาพโดยรวมของคนป่วยดียิ่งขึ้น แม้ว่าคนไข้บางรายอาจจะมีการตอบสนองต่อยาขยายหลอดลมตามเกณฑ์การตรวจ spirometry ก็ตาม ยาขยายหลอดลมที่ใช้ แบ่งได้ 3 กลุ่ม คือ β2-agonist, anticholinergic แĈะ xanthine derivative การจัดการขยายหลอดลม ชี้แนะให้ใช้แนวทางสูดพ่น (metered-dose หรือ dry-powder inhaler) เป็นขั้นตอนแรกเนื่องด้วยมีประสิทธิภาพสูงและผลกระทบน้อย ICS แม้ว่าการให้ยา ICS อย่างต่อเนื่องจะไม่สามารถที่จะชะลอการลดน้อยลงของค่า FEV แม้กระนั้นสามารถทำให้สถานะสุขภาพดีขึ้น และก็ลดการกำเริบของโรคในคนไข้กรุ๊ปที่มีลักษณะอาการร้ายแรงและที่มีลักษณะอาการกำเริบเสิบสานบ่อยมาก ยาผสม ICS และ LABA ประเภทสูด มีหลักฐานว่ายาผสมกลุ่มนี้มีคุณภาพเหนือกว่ายา LABA หรือยา ICS จำพวกสูดเดี่ยวๆโดยเฉพาะในผู้ป่วยขั้นรุนแรงและก็มีอาการกำเริบเป็นประจำแต่ว่าก็ยังมีความโน้มเอียงที่จะเกิดปอดอักเสบสูงมากขึ้นเช่นกัน Xanthine derivatives มีประโยชน์แต่ว่าเป็นผลข้างเคียงได้ง่าย จำเป็นต้องพิจารณาเลือกยาขยายหลอดลมกรุ๊ปอื่นก่อน ดังนี้ สมรรถนะของยากลุ่มนี้ได้จากการเรียนรู้ยาประเภทที่เป็น sustained-release เพียงแค่นั้น การรักษาอื่นๆวัคซีน แนะนำให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ปีละ 1 ครั้ง ระยะเวลาที่สมควรคือ มี.ค. – ม.ย. แต่ว่าอาจให้ได้ตลอดทั้งปี การฟื้นฟูสมรรถภาพปอด (pulmonary rehabilitation) มีเป้าหมายเพื่อลดอาการโรค เพิ่มคุณภาพชีวิต และเพิ่มความรู้ความเข้าใจสำหรับเพื่อการทำงานกิจวัตร ซึ่งการฟื้นฟูสมรรถภาพปอดนี้ จะต้องครอบคลุมทุกปัญหาที่เกี่ยวโยงด้วย ดังเช่นว่า ภาวะของกล้ามเนื้อ สภาพอารมณ์และก็จิตใจ ภาวการณ์โภชนาการฯลฯ ให้การบำบัดด้วยออกซิเจนระยะยาว การรักษาโรคการผ่าตัด แล้วก็/หรือ หัตถการพิเศษ ผู้เจ็บป่วยที่ได้รับการดูแลรักษาด้วยยา และก็การฟื้นฟูสมรรถภาพปอดอย่างเต็มที่แล้ว ยังควบคุมอาการมิได้ ควรจะส่งต่ออายุรเวชผู้ที่มีความเชี่ยวชาญโรคระบบการหายใจ เพื่อประเมินการดูแลรักษาโดยการผ่าตัด เช่น Bullectomy การผ่าตัดเพื่อลดปริมาตรปอด (lung volume reduction surgery) การใส่อุปกรณ์ในหลอดลม (endobronchial valve) การผ่าตัดเปลี่ยนปอด การคาดการณ์และก็ติดตามโรค สำหรับการวัดผลการดูแลรักษาควรมีการประมาณทั้ง อาการผู้เจ็บป่วย (subjective) แล้วก็ผลของการตรวจ (objective) อาจประเมินทุก 1-3 เดือนตามสมควร ดังนี้ขึ้นอยู่กับระดับความร้ายแรงของโรครวมทั้งปัจจัยทางเศรษฐสังคม ครั้งใดก็ตามเจอหมอ ควรจะติดตามอาการ อาการหอบ บริหารร่างกาย ความถี่ของกการกำเริบของโรค อาการแสดงของการหายใจไม่สะดวก แล้วก็การคาดคะเนวิธีการใช้ยาสูด ทุก 1 ปี ควรวัด spirometry ในผู้ป่วยที่มีอาการเมื่อยล้าคุกคามกิจวัตรประจำวันประจําวัน ควรจะวัด BODE Index, 6 minute walk distance, ระดับ oxygen saturation หรือ arterial blood gases การดูแลและรักษาภาวะกำเริบทันควันของโรค (acute exacerbation) การกำเริบกะทันหันของโรค หมายถึง สภาวะที่มีลักษณะอ่อนแรงมากขึ้นกว่าเดิมในช่วงเวลาอันสั้น (เป็นวันถึงอาทิตย์) แล้วก็/หรือ มีจำนวนเสมหะเพิ่มขึ้น หรือมีเสลดเปลี่ยนสี (purulent sputum) โดยจะต้องแยกจากโรคหรือภาวการณ์อื่นๆอาทิเช่น หัวใจล้มเหลว pulmonary embolism, pneumonia, pneumothorax การติดต่อของโรคถุงลมโป่งพอง โรคถุงลมโป่งพองเกิดจาก เยื่อบุหลอดลมและถุงลมในปอดถูกทำลายขึ้นรถพิษต่างๆอย่างเช่น สารพิษในควันของบุหรี่ , มลพิษที่เกิดจากอาการรวมทั้งสารเคมี ที่เราดมกลิ่นเข้าไป เป็นระยะเวลาที่ยาวนานแล้วก็ในปริมาณที่มาก ซึ่งโรคถุงลมโป่งพองขาดการติดต่อ จากคนสู่คน หรือ จากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด แม้กระนั้นบางทีอาจเจอได้ว่ามีต้นเหตุที่เกิดจากพันธุกรรม (สภาวะขาดตกบกพร่องสารต้านทริปซีน (a1-antitrypsin)) แม้กระนั้นเจอได้น้อยมาก ราว 3% ของโรคปอดเรื้อรังทั้งสิ้น การกระทำตนเมื่อป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพอง
Tags
|