หัวข้อ: สมุนไพรพิมเสน มีวิธีรักษาโรคพร้อมทั้งสรรพคุณ-ประโยชน์ดีๆ เริ่มหัวข้อโดย: teareborn ที่ พฤษภาคม 12, 2018, 10:00:35 am (https://www.img.in.th/images/fed6af07ef7d9cbe2f2714de3702e2e7.jpg)
พิมเสน (Bomed Camphor) พิมเสนเป็นยังไง พิมเสนมีชื่อเรียกหลายชื่อ ดังเช่นว่า ภิมเสน ภีมเสน พิมเสนเกล็ด พิมเสนตรังกานู ประพรมแสน มีชื่อสามัญว่า “Borneo Camphor” แขกอินเดียในบอมเบย์เรียก “Bhimseni” หรือ “Boras” แขกฮินดูเรียก “Bhimsaini-kapur” หรือ “Barus kapur” โดยธรรมดาพิมเสนแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ พิมเสนที่ได้จากธรรมชาติหรือพิมเสนแท้ ชื่อสามัญ Borneol camphorและก็พิมเสนสังเคราะห์ หรือพิมเสนเทียม ชื่อสามัญ Borneolum Syntheticum (Borneol) ซึ่งพิมเสนจะมีลักษณะเป็นเกล็ดเล็กๆแบนๆมีสีขาวขุ่นหรือออกแดงอ่อนๆ(แม้เป็นพิมเสนบริสุทธิ์จะเป็นผลึกรูปแผ่นทรงหกเหลี่ยม) มีเนื้อแน่นกว่าการบูร ระเหิดได้ช้ากว่าการบูร ติดไฟให้แสงสว่างจ้าและมีควันมากมาย ไม่มีเถ้า ละลายได้ยากในน้ำ ละลายได้ดีในตัวทำละลายประเภทขั้วต่ำ พิมเสนมีกลิ่นหอมเย็น ฉุน รสหอม เย็นปากเย็นคอ ยุคเก่าคนไทยนิยมใช้ใส่ไว้ด้านในหมากพลูเคี้ยว สูตรทางเคมีและสูตรโครงสร้าง พิมเสนแท้ (Borneo Camphor) เป็นสารประกอบอินทรีย์จำพวกไบไซคิก และเป็นสารกรุ๊ปเทอร์พีน มีสูตรเคมีเป็น C10H18O มีชื่อทางเคมีว่า(+)-borneol หรือ endo-2-camphanol หรือ endo-2-hydroxycamphane มีลักษณะเป็นเกล็ดสีขาว 6 เหลี่ยม มีกลิ่นหอมฉุนเหมือนการบูร ติดไฟให้แสงจ้าและมีควันมาก ไม่มีเถ้า มีมวลโมเลกุล 154.25 gmd -1 และมีความถ่วงจำเพาะเท่ากับ 1.011 มีจุดหลอมละลาย 208 องศาเซลเซียส เกือบจะไม่ละลายน้ำ ละลายได้ในตัวทำละลายจำพวกขั้วต่ำ เช่น น้ำมันปิโตรเลียมอีเธอ(1:6) ในเบนซีน (1:5) ที่มา : Wikiperdia(http://www.disthai.com/images/editor/Untitled-5.jpg) มูลเหตุ พิมเสนธรรมชาติ หรือ พิมเสนแท้ คือ พิมเสนที่ได้มาจากการระเหิด (ผู้กระทำลั่นของเนื้อไม้โดยธรรมชาติ) ของยางจากต้นไม้จำพวก (เข้าใจว่าตัวต้นไม้ที่ให้พิมเสนนี้ไม่ได้ถูกข้อกำหนดชื่อไทยไว้ ซึ่งในแบบเรียนยาแผนโบราณโดยมากก็จะพูดถึงแต่สิ่งที่สกัดได้จากเจ้าพืชต้นใหญ่นี้ว่า พิมเสน เนื่องจากแม้เรียกว่าต้นพิมเสนบางทีอาจเกิดความสับสน เนื่องจากต้นพิมเสน นั้นยังหมายความว่าพืชอีกจำพวก เป็นไม้เนื้ออ่อน มีชื่อวิทยาศาสตร์ Pogostemon cablin (Blanco) Benth. เชื้อสาย Labiatae ซึ่งเจ้าต้นนี้ สกัดได้น้ำมันหอมระเหย ที่ฝรั่งเรียกว่า Patchouli) ซึ่งมีชื่อด้านวิทยาศาสตร์ว่า Dryobalanops aromatica Gaertn. จัดอยู่ในตระกูลยางที่นา (DIPTEROCARPACEAE) (ภาษาจีนกลางเรียกว่า “หลงเหน่าเซียงสู้”) ซึ่งพบได้มากในเมืองจังหวัดตรังกานู ประเทศมาเลเซีย ซึ่งพืชประเภทนี้(Dryobalanops aromatic Gaertn.) มีชื่อเรียกหลายชื่อ อาทิเช่น Borneo Camphor Tree, Pokok Kapur Barus (มลายู), Pokok Kapurum (อินโดนีเซีย-เกะสุมาตรา), Mahoborn Teak(อินโดนีเซีย-บอร์เนียว) เป็นไม้ขนาดใหญ่ บางทีอาจสูงได้ถึง 70 เมตร มีพูพอนใหญ่มาก วัดรอบๆลำต้นได้ 2-10 เมตร เปลาตรง เรือนยอดเป็นรูปฉัตร มีกิ่งก้านสาขาใหญ่ ปลายกิ่งตก ยอดทรงแหลม ใบเป็นใบลำพัง ใบที่อยู่ตอนบนของต้นเรียงสลับกัน ส่วนใบที่อยู่ตอนล่างของต้นออกตรงกันข้าม รูปไข่ เบาๆเรียวแหลมสู่ปลายใบ ขนาดกว้าง 2.5-5 เซนติเมตร ยาว 7.5-17.8 ซม. ขอบใบเรียบ ผิวใบเรียบ ก้านใบสั้น ใบอ่อนสีแดงและแขวน ดอกเป็นดอกช่อ ออกที่ปลายกิ่งหรือที่ซอกใบ ดอกย่อยมีขนาดเล็ก มีกลิ่นหอมหวน กลีบชั้นนอกมี 5 กลีบ ขนาดเท่าๆกัน แข็ง กลีบชั้นในห่อตามยาว เกสรตัวผู้มีเป็นจำนวนมาก ก้านเกสรติดกันเป็น 2 แถว รวมกันเป็นหลอดยาวกว่าเกสรตัวเมีย เกสรตัวเมียมีรังไข่อยู่เหนือกลีบดอกไม้ มี 3 ห้อง ผลเป็นผลแห้ง ไม่แตก กลีบนอกจะแผ่ขยายออกเป็นปีก มี 1 เมล็ด พิมเสนสังเคราะห์ หรือ พิมเสนเทียมเป็นพิมเสนที่ได้จากสารสกัดจากต้นการบูร (ชื่อวิทยาศาสตร์ Cinnamomum camphora (L.) Presl. จัดอยู่ในจัดอยู่ในสกุลอบเชย (LAURACEAE), และก็ต้นหนาด (หนาดหลวง หนาดใหญ่ หรือพิมเสนหนาด ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Blumea balsamifera (L.) DC. จัดอยู่ในวงศ์ทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE) โดยผ่านวิธีทางเคมีวิทยา ซึ่งพิมเสนที่ได้จากการกลั่นพืชประเภทนี้ จีน(แต้จิ๋ว) เรียก “ไหง่เผี่ยง” จึงเรียกกันว่า “Ngai Camphor” หรือ “Blumea Camphor” นิยมใช้กันมากมายในเกาะไหหลำ คุณประโยชน์/คุณประโยชน์ ถึงพิมเสนจะสกัดได้มาจากต้นไม้แต่ว่า ตามตำรายาแผนโบราณ จัดพิมเสน เป็นชนิดธาตุวัตถุ ไม่ใข่พืชวัตถุ แพทย์แผนโบราณใช้พิมเสนเป็นยาขับเหงื่อ ขับเสลด กระตุ้นการหายใจ กระตุ้นสมองบำรุงหัวใจ ใช้เป็นยาระงับความกระวนกระวายใจ ทำให้ง่วงซึมแก้เคล็ดปวดเมื่อยคลายเส้นการอบสมุนไพรมีพิมเสนเป็นส่วนประกอบในตัวยา พิมเสนซึ่งระเหิดเมื่อถูกความร้อน มีกลิ่นหอม ใช้แต่งกลิ่น บำรุงหัวใจ แก้โรคผิวหนัง ผสมในลูกประคบ เพื่อช่วยแต่งกลิ่น มีฤทธิ์แก้พุพอง แก้หวัดยิ่งไปกว่านี้ยังผสมอยู่ในยาหม่อง น้ำอบไทย ในแบบเรียนพระยาพระนารายณ์: กำหนด “ตำรับยาทรงนัตถุ์” เข้าเครื่องยา 17 สิ่ง ใช้จำนวนเท่าๆกัน และ พิมเสนด้วย ผสมกัน บดเป็นผงละเอียด ใช้นัตถุ์แก้ลมทั้งหลาย ตลอดจนโรคที่เกิดในหัว ตา รวมทั้งจมูก อีกขนานหนึ่งเข้าเครื่องยา 15 สิ่ง แล้วก็พิมเสนด้วย บดเป็นผุยผงละเอียด ห่อผ้าบาง ทำเป็นยาดม แก้ปวดหัว เวียนหัว แก้สลบ แก้ริดสีดวงจมูก คอ และตา นอกเหนือจากนั้นพิมเสนยังคงใช้เป็นส่วนประกอบใน “ตำรับยาสีผึ้งบี้พระเส้น” ใช้ถูนวดเส้นที่แข็งให้หย่อนได้ และก็ในตำรับ “ขี้ผึ้งขาวแก้พิษแสบร้อนให้เย็น” การศึกษาทางเภสัชวิทยา หากแม้คนประเทศไทยพวกเราจะรู้จักพิมเสนกันมานาน แม้กระนั้นข้อมูลเกี่ยวกับพิมเสนกลับไม่มีให้ค้นคว้ามากนัก เพราะว่าต้นไม้ที่ให้พิมเสนนี้ เป็นพืชที่มีเฉพาะถิ่นที่ขึ้นอยู่เฉพาะในเขตป่าของ เกาะเกะสุมาตรา บอร์เนียว แล้วก็แหลมมลายู ก็เลยทำให้การศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยในต้นไม้ชนิดนี้เป็นไปแบบแคบๆไม่กว้างใหญ่แต่ก็ยังมีตัวอปิ้งข้อมูลทางเภสัชวิทยาของพิมเสนบางฉบับที่มีการเผยแพร่กัน ตัวอย่างเช่น
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา เช่นเดียวกับการศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยาพิมเสนกับการศึกษาทางพิษวิทยานี้ก็การศึกษาต่ำกันอย่างมากมาย ซึ่งบางทีก็อาจจะเนื่องจากการที่ต้นไม้ที่ให้พิมเสนนี้เป็นต้นไม้เฉพาะถิ่น แม้กระนั้นก็มีการระบุความจำกัดสำหรับในการใช้พิมเสนไว้ว่า แม้สูดดมติดต่อกันเป็นเวลานานอาจเป็นอันตรายได้ เนื่องจากว่าสารนี้ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองบริเวณฟุตบาทหายใจ นอกนั้นสารนี้ยังมีฤทธิ์กระตุ้นรวมทั้งสงบระบบประสาทศูนย์กลาง ซึ่งรวมไปถึงการใช้กำเนิดขนาดด้วย ขนาด/ปริมาณที่ควรที่จะใช้ ในตำราเรียนยาไทยเจาะจงไว้ว่า วิธีการใช้พิมเสนสำหรับกิน ให้ใช้ครั้งละ 0.15-0.3 กรัมนำมาบดเป็นผุยผงกับแบบเรียนยาอื่น หรือใช้ทำเป็นยาเม็ด และไม่ควรปรุงยาด้วยแนวทางต้ม ถ้าใช้ข้างนอกให้นำมาบดเป็นผุยผงใช้โรยแผลตามที่ต้องการ ส่วนขนาด/ปริมาณของพิมเสนที่กระทรวงสาธารณสุขของไทยอนุญาตให้ใช้เป็นองค์ประกอบกับตัวยาอื่นๆนั้น ทางกระทรวงสาธารณสุขจะกำหนดให้ใช้เป็นตำรับๆไป (https://www.img.in.th/images/d8f7c37c23e20f8b0bf81d8b0f9b060b.jpg) ข้อเสนอแนะ/ข้อควรระวัง
อนึ่งในขณะนี้พิมเสนแท้แทบจะไม่มีแล้ว เพราะเหตุว่าราคาแพงแพง โดยมากจึงใช้พิมเสนสังเคราะห์ ซึ่งได้มาจากปฏิกิริยารีดักชันของการบูร (dl-camphor) ได้เป็น (dl-borneol) ก็คือ พิมเสนเกล็ดขาวๆที่มองเห็นกันโดยทั่วไป จึงเรียก พิมเสนเทียมนี้ ว่า "พิมเสนเกล็ด" Borneolum Syntheticum (Borneol) ซึ่งพิมเสนสังเคราะห์ (หรือพิมเสนเทียม)นี้มักจะมีรสเผ็ดกัดลิ้น ถ้าหากเป็นของจากธรรมชาติจะไม่กัดลิ้นแต่ว่าจะก่อให้เย็นปากเย็นคอ ควรต้องต้องระวังสำหรับในการใช้พิมเสนสังเคราะห์นี้ด้วย เอกสารอ้างอิง
|