(https://www.img.in.th/images/adb990580c59cf833eed16163f780fc6.jpg)โรคอีสุกอีใส (Chickenpox , Varicella)โรคอีสุกอีใส คืออะไร อีสุกอีใส (Chickenpox/Varicella) เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังที่ทำให้ร่างกายเกิดผื่นคัน มีตุ่มนูนขนาดเล็ก หรือตุ่มน้ำใสๆทั่วร่างกาย สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย และยังแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว เป็นโรคติดต่อที่มักพบในเด็ก โดยธรรมดาจะพบอัตราการป่วยได้สูงสุดในกลุ่มวัย 5-9 ปีรองลงมาเป็น 0-4 ปี, 10-14 ปี, 15-24 ปี รวมทั้ง 25-34 ปี ตามลำดับ ส่วนในอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไปอาจพบได้บ้าง
มีรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่าในปี พ.ศ. 2552 มีคนเจ็บเป็นโรคอีสุกอีใสปริมาณ 89,246 รายทั่วราชอาณาจักรและเสียชีวิต 4 ราย รวมทั้งในรอบ 5 ปีที่ผ่านมามีรายงานคนเสียชีวิตปีละ 1-3 ราย เมื่อพินิจพิเคราะห์ตามกลุ่มวัยพบว่ากลุ่มอายุ 5-9 ปี มีอัตราเจ็บป่วยสูงสุดพอๆกับ 578.95 ต่อประชากร 100,000 คน รองลงมาเป็นกลุ่มอายุต่ำยิ่งกว่า 5 ปี, 10-14 ปีแล้วก็กลุ่มอายุมากยิ่งกว่า 15 ปี โดยมีอัตราป่วยไข้เท่ากับ 487.13, 338.45 แล้วก็ 58.81 เป็นลำดับจากข้อมูล 10 ปีย้อนหลังพบว่าปริมาณคนเจ็บโรคอีสุกอีใสมีลัษณะทิศทางสูงมากขึ้น และก็ในปี พุทธศักราช 2557-2559 มีอัตราการป่วย 129.57 ต่อแสนมวลชน 79.82 ต่อแสนประชาชน และก็ 66.57 ต่อแสนพลเมือง เป็นลำดับ
ที่มาของโรคอีสุกอีใส มีเหตุมาจากเชื้ออีสุกอีใส ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า ไวรัสวาริเซลลา (varicella virus) (VZV) หรือ human herpes virus type 3 เป็นเชื้อตัวเดียวกับที่กระตุ้นให้เกิดงูสวัด ที่แพร่ไปได้ง่ายผ่านทางการสัมผัสกับแผลของคนป่วยที่เป็นโรคโดยตรง หรือทางน้ำลาย ไอ จาม หรือการหายใจเอาเชื้อที่ปะปนในอากาศเข้าไป โดยเชื้อนี้จะมีผลให้เกิดโรคอีสุกอีใสในผู้ที่เพิ่งจะติดโรคเป็นครั้งแรกรวมทั้งโรคนี้เมื่อเป็นแล้ว มักมีภูมิคุ้มกันทั้งชีวิต และก็คนเจ็บส่วนมากจะไม่เป็นซ้ำอีก แต่ว่าเชื้ออาจซ่อนตัวอยู่ในปมประสาท และมีโอกาสเป็นงูสวัดได้ในวันหลัง
อาการของ
โรคอีสุกอีใส เด็กจะเป็นไข้ต่ำๆหมดแรงและเบื่ออาหารน้อย ในผู้ใหญ่มักมีไข้สูง และปวดเมื่อยเรียกตัวคล้ายไข้หวัดใหญ่นำมาก่อน คนเจ็บจะมีผื่นขึ้น ซึ่งจะขึ้นพร้อมๆกันกับวันที่เริ่มมีไข้ หรือ ๑ คราวหลังจากจับไข้ เริ่มต้นจะขึ้นเป็นผื่นแดงราบก่อน ต่อมาจะแปลงเป็นตุ่มนูน มีน้ำใสๆอยู่ภายใน แล้วก็มีลักษณะอาการคัน ถัดมาจะแปลงเป็นหนอง จากนั้น ๒-๔ วัน ก็จะตกสะเก็ด ผื่นและตุ่มจะขึ้นตามไรผมก่อน แล้วลุกลามไปตามหน้า ลำตัว รวมทั้งแผ่นหลัง จะทยอยขึ้นสุดกำลัง ภายใน ๔ วัน บางรายมีตุ่มขึ้นในช่องปาก ทำให้ปากเปื่อยยุ่ย ลิ้นเปื่อย เจ็บคอ บางรายบางทีอาจไม่มีไข้ มีเพียงแค่ผื่นและก็ตุ่มขึ้น ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเริมได้ ด้วยเหตุว่าผื่นตุ่มของโรคนี้จะค่อยๆออกครั้งละระลอก (ชุด) ขึ้นไม่พร้อมกันทั่วร่างกาย ดังนั้นจะพบว่าบางที่ขึ้นเป็นผื่นแดงราบ บางที่เป็นตุ่มใส บางที่เป็นตุ่มกลัดหนอง และก็บางที่เริ่มตกสะเก็ด ด้วยลักษณะนี้ ประชาชนจึงเรียกว่า อีสุกอีใส (มีทั้งตุ่มสุกตุ่มใส) แต่ว่าคนเจ็บบางรายบางทีอาจเป็นเวลานานกว่านั้นเป็น 2-3 อาทิตย์ โดยไม่เป็นแผลเป็น (นอกเหนือจากการที่จะมีการติดเชื้อโรคแบคทีเรียแทรกซ้อน กระทั่งเปลี่ยนเป็นตุ่มหนองและก็เปลี่ยนเป็นแผล)
เพราะว่าโรคอีสุกอีใสยังอาจจะก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้อีกตัวอย่างเช่น การติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง หรือติดโรคแบคทีเรียในกระแสโลหิต ปอดอักเสบ แล้วก็ภาวะแทรกซ้อนทางสมอง
คนเจ็บที่มีความเสี่ยงที่จะมีลักษณะรุนแรง ตัวอย่างเช่น หญิงตั้งท้อง ทารกแรกเกิด ผู้มีภูมิต้านทานต่ำ ดังเช่นว่า คนไข้เอดส์ คนเจ็บโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ผู้ป่วยเปลี่ยนถ่ายไขกระดูก ผู้ปลูกถ่ายอวัยวะ และผู้รับประทานยากด ภูมิคุ้มกันต่างๆ
หญิงมีครรภ์ที่เป็นโรคนี้ในช่วง 20 อาทิตย์แรกของการตั้งครรภ์บางทีอาจท่าให้เด็กในครรภ์พิการแต่ กำเนิดได้แต่เจอไม่บ่อย(น้อยกว่าปริมาณร้อยละ 2) ถ้าหากเป็นตอนๆที่ครรภ์คุณแม่อาจมีอาการรุนแรง และก็มีภาวะแทรกซ้อน ดังเช่นว่า ปอดอักเสบ ร่วมด้วย รวมทั้งหากมารดาเป็นโรคในช่วงใกล้คลอด (5 วันก่อนคลอดจนกระทั่ง 2 วันหลังคลอด) ทารกแรกเกิดบางทีอาจรับเชื้ออีสุกอีใสและก็มีอาการร้ายแรงถึงกับตายได้
เมื่อคนไข้หายจากโรคอีสุกอีใสแล้ว เชื้อไวรัสจะไปซ่อนอยู่ที่ปมประสาท และท่าให้กำเนิดโรค งูสวัดได้เมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายน้อยลง
กรรมวิธีรักษาโรคอีสุกอีใส หมอจะวินิจฉัยโรคอีสุกอีใสจากการดูลักษณะของผื่น ตุ่มน้ำ หรือตุ่มพองบนผิวหนังเป็นหลัก ร่วมกับการตรวจร่างกายทั่วไปแล้วก็อาการที่เกิดสังกัดผู้ป่วย เป็นต้นว่า เป็นไข้ขึ้น ไม่อยากอาหาร ปวดหัว แม้กระนั้นในบางครั้งที่บอกมิได้ชัดแจ้งว่าเป็นโรคอีสุกอีใสหรือเปล่ารวมถึงในคนไข้ที่เกิดผลกระทบแทรกซ้อน หรือในกรณีจำเป็นจำต้องวินิจฉัยให้กระจ่าง หมอจะทำทดสอบน้ำเหลืองเพื่อหาระดับสารภูมิคุ้มกันต่อไวรัสอีสุกอีใส หรือตรวจหาเชื้อจากตุ่มน้ำ เนื่องด้วยโรคอีสุกอีใส เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสการดูแลและรักษาก็เลยเป็นการรักษาแบบเกื้อหนุนตามอาการ
ซึ่งโรคนี้สามารถหายเองได้การรักษาด้วยการใช้ยาต้านทานเชื้อไวรัสอาจท่าให้ระยะการเป็นโรคสั้นลง ถ้าคนป่วยได้รับ ภายใน 1 วันข้างหลังผื่นขึ้น คนป่วยไม่จ่าเป็นจำเป็นต้องได้รับยาต้านไวรัสทุกราย หมอจะพิจารณาให้ในรายที่มีการเสี่ยง จะเกิดภาวะแทรกรุนแรงเพียงแค่นั้น ตัวอย่างเช่น
- ถ้าเกิดพบว่าตุ่มมีการติดโรคแบคทีเรียเข้าแทรก (เปลี่ยนเป็นตุ่มหนอง ฝี แผลพุพอง) หมอจะให้ยาปฏิชีวนะเสริมเติม หากเป็นเพียงไม่กี่จุดก็อาจให้ชนิดทา แต่ว่าหากเป็นมากก็จะให้จำพวกกิน
- ถ้าหากมีลักษณะอาการเข้าแทรกร้ายแรง ซึ่งพบได้น้อยมาก ดังเช่นว่า ปอดอักเสบ (ไข้สูง หอบ) สมองอักเสบ (ไข้สูง ปวดศีรษะมาก คลื่นไส้มาก ซึม ชัก ไม่ค่อยรู้ตัว) ตับอักเสบ (ดีซ่าน) หรือมีสภาวะเลือดออกง่ายก็จะรับตัวไว้รักษาในโรงหมอ
- ในรายที่มีภาวการณ์ภูมิต้านทานผิดพลาด (ยกตัวอย่างเช่น เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคภูมิคุมกันบกพร่อง รับประทานยาสตีรอยด์อยู่นานๆฯลฯ) หรือเด็กอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปที่มีโรคผื่นแพ้ประจำ โรคปอดเรื้อรัง สูดพ่นยาสตีรอยด์ (สำหรับคนที่เป็นโรคหืด) หรือรับประทานยาแอสไพรินอยู่ นอกเหนือจากให้การรักษาตามอาการแล้ว แพทย์บางทีอาจให้ยาต้านไวรัส ที่มีชื่อว่า อะไซโคลเวียร์ (acyclovir) เพื่อทำลายเชื้ออีสุกอีใส คุ้มครองไม่ให้โรคแผ่ขยายร้ายแรง รวมทั้งช่วยให้โรคหายเร็วขึ้น ควรจะให้ยานี้รักษาด้านใน 24 ชั่วโมง ข้างหลังแสดงอาการจะได้ประสิทธิภาพที่ดีกว่าให้ช่วงหลังๆของโรค
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะนำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส เนื่องจากโรคอีสุกอีใสเป็นโรคที่มีการติดต่อจากเชื้อไวรัสโดยการสัมผัสตุ่มหรือแผลของคนป่วย รวมถึงติดต่อผ่านทางสารคัดเลือกหลั่งของผู้ป่วย การสัมผัสหรือการหายใจเอาเชื้อโรคเข้าไป ด้วยเหตุดังกล่าวปัจจัยเสี่ยงที่จะนำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส คือ การคลุกคลีกับผู้เจ็บป่วย การสัมผัสคนป่วยหรือสิ่งของเครื่องใช้ของผู้ป่วยโดยมิได้มีการปกป้องตนเองที่ดี รวมถึงการไม่ได้รับวัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคอีสุกอีใสกระทั่งครบ ก็เป็นอีกต้นสายปลายเหตุหนึ่งที่มีการเสี่ยงที่จะก่อกำเนิด
โรคอีสุกอีใสได้เช่นเดียวกัน
การติดต่อของโรคอีสุกอีใส โรคอีสุกอีใสเป็นโรคติดต่อได้อย่างรวดเร็วมาก โรคอีสุกอีใสมีระยะฟักตัวราวๆ 10 - 21 วัน และก็คนเจ็บจะเริ่มกระจายเชื้อได้ในตอนโดยประมาณ 5 วันก่อนขึ้นผื่น ไปจนถึงเมื่อตุ่มน้ำแห้งแตกเป็นสะเก็ดหมดแล้ว ฉะนั้นระยะกระจายเชื้อในโรคอีสุกอีใสก็เลยนานได้ถึง 7 - 10 วันหรือนานกว่านี้ในคนแก่ ก็เลยเป็นต้นเหตุให้เป็นโรคติดต่อที่ระบาดได้อย่างเร็ว
ซึ่งเชื้อไวรัสชนิดนี้จะมีอยู่ในตุ่มน้ำของคนที่เป็นอีสุกอีใส ในน้ำลายและก็เสมหะของคนที่เป็นอีสุกอีใสสำหรับในการติดต่อสามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสถูกตุ่มน้ำโดยตรง หรือสัมผัสถูกเครื่องใช้ เป็นต้นว่า ถ้วยน้ำ ผ้า เช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าที่มีไว้สำหรับห่ม ที่พักผ่อน ที่เลอะ ถูกตุ่มน้ำของผู้ที่เป็นอีสุกอีใส หรือสูดหายใจเอาละอองของตุ่มน้ำ หรือฝอยละอองจากทางเท้าหายใจของคนป่วยเข้าไป
โดยเหตุนั้นอีสุกอีใสจึงเป็นโรคที่ระบาดแพร่ไปได้ง่าย โดยเฉพาะในสถานศึกษา สถานที่รับเลี้ยงเด็ก หรือตามชุมชนที่อยู่อาศัยทั่วๆไป สามารถเจอได้ตลอดทั้งปี แต่จะมีอุบัติการณ์เกิดสูงสุดในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน
(https://www.img.in.th/images/3624142aac06e37767cbd6809c86f9bb.jpg)การกระทำตนเมื่อป่วยเป็นโรคอีสุกอีใส- ถ้าเป็นไข้สูง ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเป็นประจำกินน้ำมากๆห้ามอาบน้ำเย็น นอนพักให้มากๆและก็ให้ยาพาราเซตามอลทุเลาไข้ ไม่ควรให้ยาแอสไพรินลดไข้ เพราะว่ายานี้ อาจจะเป็นผลให้เสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคเรย์ซินโดรม (Reye's syndrome) ซึ่งจะมีภาวการณ์สมองอักเสบร่วมกับตับอักเสบ จัดว่าเป็นโรคอันตรายร้ายแรงชนิดหนึ่ง
- ถ้าหากมีลักษณะอาการคัน ให้ทาด้วยยาแก้ผดผื่นคัน (คาลาไมน์โลชั่น) ถ้าหากคันมากมายให้รับประทานยาแก้แพ้ คลอร์เฟนิรามีนทุเลา ผู้เจ็บป่วยควรจะตัดเล็บให้สั้น รวมทั้งพยายามอย่าแกะหรือเกาตุ่มคัน อาจทำให้มีการติดเชื้อกลายเป็นตุ่มหนองแล้วก็เป็นแผลเป็นได้
- ถ้าเกิดปากยุ่ย ลิ้นยุ่ย ให้ใช้น้ำเกลือกลั้ว มานะกินอาหารที่เป็นของเหลวหรือเป็นน้ำแทนอาหารแข็ง
- สำหรับของกิน ไม่มีของแสลงต่อโรคนี้ ให้ทานอาหารได้ตามเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบำรุงด้วยของกินพวกโปรตีน (ดังเช่นว่า เนื้อ นม ไข่ ถั่วต่างๆ) ให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างเสริมภูมิต้านทานของร่างกาย
- ควรหยุดเรียน หรือหยุดงาน พักผ่อนอยู่บ้าน เพื่อคุ้มครองป้องกันไม่ให้กระจายเชื้อให้คนอื่นๆ ระยะแพร่ระบาดติดต่อให้คนอื่นๆ คือ ตั้งแต่ระยะ 24 ชั่วโมง ก่อนมีตุ่มขึ้นกระทั่ง 6 วัน หลังตุ่มขึ้น
- ควรจะเฝ้าดูอาการเปลี่ยนต่างๆโดยทั่วไปอาการ จะค่อยดีขึ้นกว่าเดิมได้เองภายใน 1-3 สัปดาห์ แม้กระนั้นถ้าพบว่ามีลักษณะหายใจหอบ ซึม ชัก เดินเซ ตากระตุๆก โรคดีซ่าน (ตาเหลือง) มีเลือดออก ปวดหัวมากมาย คลื่นไส้มาก เจ็บหน้าอก หรือตุ่มแปลงเป็นหนอง ฝี หรือพุพอง ควรจะไปพบ แพทย์โดยเร็ว
- ผู้เจ็บป่วยควรพักผ่อนและก็กินน้ำมากๆขั้นต่ำวันละ 8 แก้ว
- คนป่วยควรแยกตัวออกไปอยู่ต่างหากกระทั่งพ้นระยะติดต่อ และแยกข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวต่างๆตัวอย่างเช่น เสื้อผ้า ถ้วยน้ำ ช้อน จาน จานชาม ฯลฯ เพื่อหลบหลีกการแพร่ขยายของเชื้อโรค
- สำหรับยาเขียวที่ทำมาจากสมุนไพร (อาทิเช่น ยาเขียวหอม ที่บรรจุอยู่ในบัญชียาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ พ.ศ.๒๕๕๖) ไม่ถือเป็นสิ่งที่ไม่อนุญาตหรือก่อให้เกิดผลกระทบต่อการดูแลรักษาโรคนี้ ผู้ป่วยสามารถใช้ร่วมกับการดูแลและรักษาปกติได้ แถมยาเขียวยังช่วยทำให้กินน้ำได้มากขึ้นอีกด้วย
- รักษาสุขอนามัยเบื้องต้น (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อสุขภาพดีรวมทั้งช่วยลดช่องทางในการเป็นผลข้างเคียงแทรกซ้อนจากการตำหนิดเชื้อโรค
การคุ้มครองตัวเองจากโรคอีสุกอีใส- ด้วยเหตุว่าโรคเปล่งปลั่งสามารถแพร่กระจายได้ง่ายโดยทางการหายใจ จำเป็นจะต้องแยกผู้ป่วยออกมาจากเด็กเล็ก หญิงมีท้อง แล้วก็คนที่ไม่เคยติดเชื้อโรคมาก่อน
- ควรให้ผู้เจ็บป่วยหยุดเรียนหรือหยุดงาน พักผ่อนอยู่บ้านเพื่อป้องกันมิให้กระจายเชื้อให้ผู้อื่น
- ไม่สัมผัสหรือใกล้ชิดกับคนเจ็บโรคอีสุกอีใส ถ้าเกิดจำต้องมีการปกป้องตนเองอย่างดี อย่างเช่น สวมถุงมือ ใส่หน้ากากอนามัยและก็ควรรีบล้างมือหลังจากสัมผัสกับผู้ป่วย เป็นต้น
- เดี๋ยวนี้มีวัคซีนฉีดปกป้องโรคอีสุกอีใส ซึ่งราคาค่อนข้างแพง (ราวเข็มละ 800-1200 บาท) ควรจะฉีดในเด็กอายุ 12-18 เดือน ฉีดเพียงแค่ 1 เข็ม จะคุ้มครองปกป้องโรคได้ตลอดไป ถ้าฉีดตอนโต ถ้าอายุน้อยกว่า 13 ปี ก็ฉีดเพียงเข็มเดียว แต่ว่าถ้าอายุตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไป ควรฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 4-8 อาทิตย์ ข้างหลังฉีดยา ควรเลี่ยงการใช้ยาแอสไพรินนาน 6 สัปดาห์ ทั้งนี้เพื่อลดช่องทางเสี่ยงที่จะทำให้เป็นโรคเรย์ซินโดรม วัคซีนชนิดนี้ห้ามฉีดในหญิงมีครรภ์ คนที่มีภาวะภูมิคุ้มกันผิดพลาด ใช้ยาแอสไพรินอยู่ประจำ หรือใช้ยาสตีรอยด์ขนาดสูงมานาน บางทีอาจเกิดภาวะเข้าแทรกรุนแรงได้ สำหรับหญิงวัยเจริญพันธุ์ (15-45 ปี) หากยังไม่แน่ใจว่าเคยเป็นโรคนี้หรือยัง ควรจะหารือแพทย์ ตรวจตราว่ามีภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้หรือยัง ถ้าเกิดยัง หมอบางทีอาจชี้แนะให้วัคซีนคุ้มครองป้องกันเพื่อไม่ให้มีอันตรายต่อทารกในท้องขณะมีครรภ์ รวมทั้งหลังฉีดวัคซีนจำพวกนี้ ควรคุมกำเนิดนาน 3 เดือน จึงจะสามารถตั้งท้องได้อย่างปลอดภัย
- ในเด็กที่ไม่มีข้อบ่งห้าม สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 12-15 เดือน ขึ้นไป รวมทั้งฉีดกระตุ้นอีกครั้งที่อายุ 4-6 ปีหรืออาจฉีด 2 เข็มห่างกันอย่างน้อย 3 เดือน ซึ่งภูมิคุ้มกันจะขึ้นดียิ่งกว่าการฉีด 1 เข็ม
- จากการเล่าเรียนในเด็กอายุ 1-12 ปี ข้างหลังได้รับวัคซีนคราวแรก จะมีภูมิต้านทานในระดับที่ป้องกันโรคได้ปริมาณร้อยละ 85และก็มากขึ้นเป็นจำนวนร้อยละ 99.6 ข้างหลังได้รับวัคซีนครั้งที่ 2
- สำหรับคนที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้เจ็บป่วยโรคนี้ การฉีดยาอาจไม่ทันกาล ถ้าจำเป็นแพทย์บางทีอาจชี้แนะให้ฉีดเซรุ่ม ที่มีชื่อว่า varicella-zoster immune globulin (VZIG) เป็นการฉีดภูมิต้านทานเข้าไปโดยตรง มักจะฉีดให้กับคนที่สัมผัสโรคอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ คนที่มีสภาวะภูมิต้านทานบกพร่อง ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว และเด็กแบเบาะที่มีแม่เป็นอีสุกอีใสช่วง 5 วันก่อนคลอดถึง 2 คราวหน้าคลอด
- วัคซีนปกป้องโรคอีสุกอีใส ที่ใช้ในตอนนี้ทำมาจากเชื้ออีสุกอีใสที่มีชีวิตแล้วนำมาทำให้อ่อนฤทธิ์ลง ในประเทศไทยมีจัดจำหน่าย 3 ประเภทเป็นVarilrix ในวัคซีน 1 เข็มมีเชื้อไม่ต่ำกว่า 2,000 PFU, OKAVAX ในวัคซีน 1 เข็มมีเชื้อไม่ต่ำยิ่งกว่า 1,000 PFU, รวมทั้ง Varicella Vaccine-GCC ในวัคซีน 1 เข็มมีเชื้อไม่ต่ำยิ่งกว่า 1,400 PFU ทั้งยังปัจจุบันนี้ยังมีการผลิตวัคซีนคุ้มครองโรคอีสุกอีใสให้อยู่ในรูปวัคซีนรวม เป็นต้นว่า วัคซีนรวมหัด-โรคเหือด-คางทูม-อีสุกอีใส (MMRV) ซึ่งจะรวมอยู่ในเข็มเดียวกันทำให้สบาย และไม่จะต้องเจ็บตัวเยอะขึ้น
สมุนไพรที่ช่วยรักษา/ทุเลา อาการของโรคอีสุกอีใส- เสลดพังพอนตัวเมีย Clinacanthus nutans (Burm.f) มีอีกชื่อหนึ่งคือ พญายอ ซึ่งเสมหะพังพอนตัวเมียแตกต่างจากเพศผู้เป็นตัวเมียไม่มีหนาม ใบตัวผู้มีสีเข้มกว่า ดอกตัวเมียมีสีแดง ดอกเพศผู้มีสีส้นสด ขั้นตอนการให้เด็ดใบเสลดพังพอนตัวเมียมาล้างให้สะอาด แล้วเอามาโขลกหรือปั่นให้ถี่ถ้วนผสมกับน้ำดินสอพอง ทาที่ตุ่มผ่องใสบ่อยๆจะช่วยทุเลาอาการคัน แล้วก็ทำให้ตุ่มแผลแห้งเร็ว ลดอาการบวมแดงของตุ่มได้
- ผักชี Coriandrum sativum การอาบน้ำต้มผักชีจะช่วยให้อีสุกอีใสหายไวขึ้น ซึ่งตามตำรายาแผนโบราณพูดว่า คุณประโยชน์ของผักชีคือเป็นพืชธาตุเย็นที่ช่วยลดอาการผื่นแดง
- สะเดา Azadiracta indica มีการเรียนรู้พบว่าสารเกดูนิน (Gedunin) แล้วก็ นิมโบลิดี (Nimbolide) ในใบรวมทั้งเมล็ดสะเดามีประสิทธิภาพสำหรับการออกฤทธิ์ยั้งเชื้อรา แบคทีเรียรวมทั้งเชื้อไวรัสสูง เพราะฉะนั้น จึงสามารถทุเลาลักษณะของโรคที่เกิดจาก เชื้อไวรัส อย่างอีสุกอีใสได้
- ใบมะยม Phyllanthus acidus ใช้ใบมะยมไม่อ่อนหรือแก่เหลือเกิน 2-3 กำมือ ใส่น้ำ 2-3 ลิตร ต้มให้เดือดราวๆ 20 นาที แล้วชูลงผสมน้ำเย็นให้อุ่นพอเพียงอาบได้ อาบวันละ 3 ครั้ง เช้า ตอนกลางวัน เย็น หลังอาบน้ำอาการจะเบาๆดีขึ้นกว่าเดิม
- ย่านาง Tiliacora triandra เอาราก “ย่านาง” แบบสดประมาณขยุ้มมือต้มกับน้ำท่วมยาจนถึงเดือด ดื่มขณะอุ่นวันละครั้ง ครั้งละ 3 ส่วน 4 แก้ว ต้มดื่มเรื่อยๆต่อเนื่องกัน 3-5 วัน อาการที่เป็นจะดีขึ้นกว่าเดิม
เอกสารอ้างอิง- รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.อีสุกอีใส.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่296.คอลัมน์ สารานุกรมทันโรค.ธันวาคม.2546
- อีสุกอีใส เป็นได้ก็หายได้.เกร็ดความรู้สู่ประชาชน.หน่วยข้อมูลคลังยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
- (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). “อีสุกอีใส (Chickenpox/Varicella)”. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป หน้า 404-407.
- Kuter B, Matthews H, Shinefield H, Black S, Dennehy P, Watson B, et al. Ten year follow-up of healthychildren who received one or two injections of varicellavaccine. Pediatr Infect Dis J. 2004; 23:132-7.
- อ.พญ.เลลานี ไพฑูรย์พงษ์.สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.โรคอีสุกอีใส.สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย.
- Centers for Disease Control and Prevention (CDC)..Prevention of Varicella Recommendations of the Advisory Committee on Immunization Practices (ACIP). MMVR 2007; 56:1-40.
- อีสุกอีใส.อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ http://www.disthai.com/[/b]
- Heininger U, Seward JF. Varicella. Lancet. 2006; 368:1365-76.
- Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
- อ.พญ.จรัสศรี ฟี้ยาพรรณ,นางรษิกา ฤทธิ์เรืองเดช,พญ.พิชญา มณีประสพโชคและคณะ.โรคสุกใส(Chicken pox).ภาควิชาตจวิทยาคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล.
- สำนักระบาดวิทยา. โรคอีสุกอีใส. สรุปรายงานการเฝ้าระวังโรค 2552. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์. 2553; 55-6.
- Krause PR, Klinman DM. Efficacy,immunogenicity,safety, and use of live attenuated chickenpox vaccine. J Pediatr. 1995; 127:518-25.
- พญ.อารีย์ โอบอ้อมรัก.หนังสือเลี้ยงลูกด้วยสมุนไพร.หน้า 56.สำนักพิมพ์เอเชียบูรพา.