หัวข้อ: โรตกรดไหลย้อนที่เราเจอกันบ่อยๆ มีสรรพคุณเเละประโยชน์เเละวิธีรักษาดังนี้ เริ่มหัวข้อโดย: watamon ที่ พฤษภาคม 15, 2018, 05:50:57 pm (https://www.img.in.th/images/f6fbcc492bfc875f63dffe872b932ddf.md.jpg)
โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal reflux disease : GERD) โรคกรดไหลย้อนคืออะไร “[url=http://www.disthai.com/16880091/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99-gastroesophageal-reflux-disease-gerd]โรคกรดไหลย้อน[/url]” (Gastroesophageal reflux disease ,GERD) เป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจากการไหลย้อนของกรด (น้ำย่อย) ในกระเพาะกลับไปที่หลอดของกิน ซึ่งโดยธรรมดาร่างกายของพวกเราจะมีการไหลย้อนของกรดในกระเพาะอาหารขึ้นไปในหลอดอาหารอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังรับประทานอาหารแต่ว่าคนที่เป็นโรคนี้จะมีปริมาณกรดที่ย้อนมากยิ่งขึ้นหรือย้อนบ่อยครั้งกว่าคนที่ไม่เป็นโรค หรือหลอดอาหารมีความไวประมือดมากขึ้นแม้ว่าจะมีปริมาณกรดที่ย้อนขึ้นไปไม่มากกว่าปกติ ทำให้มีลักษณะระคายรอบๆลำคอ แล้วก็แสบอกหรือจุกเสียดรอบๆใต้ลิ้นปี่ รวมทั้งมีลักษณะท้องอืดท้องเฟ้อร่วมด้วย คล้ายๆกับลักษณะโรคกระเพาะอาหาร ทำให้คนโดยมากหลงผิดว่าเป็นโรคกระเพาะอาหาร รวมทั้งไปซื้อยาลดกรด (antacids) ที่มีจัดจำหน่ายตามท้องตลาดมารับประทานเพื่อทุเลาอาการ ซึ่งเป็นการรักษาที่ไม่ถูกจุด ก็เลยพบว่าในปัจจุบันมีคนเจ็บมาพบแพทย์ด้วยโรคกรดไหลย้อนเพิ่มสูงมากขึ้น รวมทั้งหากปล่อยให้เกิดอาการเรื้อรังรวมทั้งรักษาด้วยวิธีที่ผิดต้อง อาจนำมาซึ่งการเกิดหลอดของกินอักเสบ แผลที่หลอดของกิน หรือหลอดอาหารตีบ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงสำหรับการกำเนิดโรคมะเร็งหลอดของกินได้ นอกจากนั้นยังสามารถจัดประเภทของโรคกรดไหลย้อนได้เป็น 2 ชนิด เป็น
ซึ่งโรคกรดไหลย้อนนี้ เป็นโรคที่เจอได้ราว 10-15% ของผู้ที่มีลักษณะของกินไม่ย่อย (Syspepsia) แล้วก็พบมากอีกทั้งในผู้หญิงรวมทั้งในผู้ชาย โดยพบได้ใกล้เคียงกัน เป็นโรคที่เจอได้ในทุกช่วงอายุ ตั้งแต่เด็กแรกเกิดไปจนถึงคนวัยแก่ แม้กระนั้นเจออัตราเกิดสูงขึ้นในอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป และก็เจอได้สูงสุดในช่วงอายุ 60 - 70 ปีขึ้นไป มีกล่าวว่าประเทศแถมตะวันตกเจอโรคนี้ได้โดยประมาณ 10 - 20% ของพลเมืองอย่างยิ่งจริงๆ สาเหตุของโรคกรดไหลย้อน โรคกรดไหลย้อนมีสาเหตุที่เกี่ยวโยงกับความไม่ดีเหมือนปกติ ของแนวทางการทำหน้าที่ของกล้ามหูรูดที่อยู่ตรงข้างล่างของหลอดอาหาร (lower esophageal sphincter, LES) ในคนธรรมดาขณะกลืนของกินหูรูดนี้จะคลายตัวเพื่อเปิดช่องให้อาหารไหลผ่านเข้าสู่กระเพาะอาหาร เมื่ออาหารผ่านลงกระเพาะอาหารจนกระทั่งหมดแล้วหูรูดนี้จะหดรัดเพื่อปิดกั้นไม่ให้น้ำย่อย (ซึ่งเป็นกรดเกลือ) ที่อยู่ในกระเพาะไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดอาหาร แต่ว่าคนที่เป็นโรคกรดไหลย้อน พบว่ากล้ามหูรูดตรงข้างล่างของหลอด ของกินนี้หย่อนยานสมรรถภาพ ทำให้มีน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดของกินมากกว่าธรรมดา (คนทั่วไปข้างหลังรับประทานข้าวอาจมีน้ำย่อยไหลย้อนได้ 1-4 ครั้ง ซึ่งไม่ส่งผลให้เกิดอาการ) นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการเปลี่ยนไปจากปกติ แล้วก็การอักเสบของเยื่อบุหลอด ของกินได้ ส่วนมูลเหตุที่ทำให้หูรูดดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นทำงานไม่ดีเหมือนปกติยังไม่ทราบเด่นชัด แม้กระนั้นมั่นใจว่าอาจเกิดขึ้นจากความเสื่อมถอยตามอายุ (เจอในคนอายุมากกว่า 40 ปี) หรือหูรูดยังรุ่งโรจน์ไม่สุดกำลัง (พบในเด็กแบเบาะ) หรือมีความผิดปกติที่เป็นมาโดยกำเนิด นอกเหนือจากนั้นความประพฤติในชีวิตประจำวัน หรือโรคบางประเภทมีส่วนกระตุ้นแนวทางการทำงานของหลอดของกินให้เกิดความผิดแปลกได้ หรือทำให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดในปริมาณมากขึ้น เป็นต้นว่า นอนหลังรับประทานอาหารทันที รับประทานอาหารจำนวนมากข้างในมื้อเดียว อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ พฤติกรรมต่างๆพวกนี้ล้วนนำมาซึ่งการก่อให้เกิดภาวการณ์กรดไหลย้อนได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน อาการของโรคกรดไหลย้อน ลักษณะของคนป่วยนั้นขึ้นกับอวัยวะที่ถูกระคายเคืองโดยกรด เช่น
แพทย์วินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนได้จาก ประวัติอาการ การตรวจลำคอ การตรวจร่างกาย การตรวจภาพปอดด้วยเอกซเรย์แยกจากโรคปอดต่างๆการส่องกล้องตรวจกล่องเสียง หลอดอาหาร กระเพาะ และลำไส้ รวมทั้งบางทีอาจตัดชิ้นเนื้อในรอบๆที่เปลี่ยนไปจากปกติเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา เพื่อแยกจากโรคมะเร็งหลอดอาหาร และอาจมีการตรวจวิธีเฉพาะอื่นๆเพิ่มเติมอีก ดังเช่นว่า วัดภาวะความเป็นกรดของหลอดของกินในขณะส่องกล้อง ดังนี้สังกัดดุลยพินิจของแพทย์ เป็นต้นว่า การเอกซเรย์กลืนสารทึบแสง, การตรวจทางเวชศาสตร์ปรมาณู, การตรวจการบีบตัวของหลอดอาหาร เป็นต้น แต่ว่าโดยส่วนมากแล้ว แพทย์ชอบวินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนจากอาการแสดงก็เพียงพอต่อการวินิจฉัยโรคแล้ว ซึ่งอาการแสดงที่พบได้มาก ดังเช่นว่า อาการแสบลิ้นปี่ จุกแน่นยอดอก แล้วก็เรอเปรี้ยวข้างหลังกินอาหารที่เป็นตัวกระตุ้น หรือมีความประพฤติที่เป็นเหตุกำเริบ แม้กระนั้นในรายที่ไม่ชัดแจ้งอาจจะต้องกระทำการตรวจพิเศษ (ซึ่งเจอได้นานๆครั้ง) ขั้นตอนการรักษาโรคกรดไหลย้อน
ควรจะอุตสาหะลดหุ่น มานะหลบหลีกความเครียด เลี่ยงการสวมเสื้อผ้าที่คับหรือรัดแน่นเกินไป หากมีลักษณะท้องผูก ควรจะรักษา และก็หลบหลีกการเบ่ง ควรบริหารร่างกายบ่อย หลังจากกินอาหารในทันที อุตสาหะหลบหลีกการนอนราบ หลีกเลี่ยงการทานอาหารมื้อดึก กินอาหารปริมาณพอดีในแต่ละมื้อ เลี่ยงเครื่องดื่มบางชนิด อาทิเช่น กาแฟ น้ำอัดลม ถ้าเกิดจะนอนหลังรับประทานอาหาร ควรรอประมาณ 3 ชั่วโมง
ปัจจุบันยาที่ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด คือ ยาลดกรดในกลุ่มยั้งโปรตอนปั๊ม (Proton pump inhibitors) อาทิเช่น โอเมพราโซล (omeprazole)ขนาด 20 มิลลิกรัม วันละ 1-2 ครั้ง ซึ่งมีคุณภาพสูงมากสำหรับในการคุ้มครองลักษณะโรคกรดไหลย้อน โดยให้รับประทานยาติดต่อกันตรงเวลา 6 - 8สัปดาห์ หรืออาจจำต้องใช้ยาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานหลายเดือนขึ้นกับคนป่วยแต่ละราย อาทิเช่นในกรณีที่เป็นมากหรือมีอาการมานาน ซึ่งอาจจะมีการปรับการรับประทานยาเป็นช่วงๆตามอาการที่มี หรือกินอย่างสม่ำเสมอเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน บ้างครั้งอาจใช้ยาเพิ่มการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหารร่วมด้วย อาทิเช่น เมโทโคลพราไมด์ (metoclo-pramide) ขนาด 10 มิลลิกรัม 1 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง ซึ่งยานี้ควรจะกินก่อนอาหารราว 30 นาที
ผู้ป่วยที่มีลักษณะร้ายแรง ซึ่งให้การรักษาโดยการใช้ยาอย่างเต็มที่แล้วไม่ดีขึ้น คนไข้ที่ไม่สามารถกินยาที่ใช้สำหรับในการรักษาสภาวะนี้ได้ คนไข้ที่หลังจากการใช้ยา แต่ว่าไม่ได้อยากต้องการที่จะกินยาต่อ ผู้เจ็บป่วยที่กลับกลายซ้ำบ่อยหลังหยุดยา ทั้งนี้คนไข้ที่จะต้องได้รับการผ่าตัดมีเพียงแค่ร้อยละ 10 เท่านั้น การดูแลรักษาโดยการผ่าตัดมีหลายแนวทาง อย่างเช่น endoscopic fundoplication, radiofrequency therapy, injection / implantation therapy เป็นต้น (https://www.img.in.th/images/93ef36996517bdac08f7cec2b0fafc41.jpg) ปัจจัยเสี่ยงที่นำมาซึ่งโรคกรดไหลย้อน
การติดต่อของโรคกรดไหลย้อน โรคกรดไหลย้อนมีต้นเหตุที่เกิดจากความไม่ปกติของกล้ามหูรูดส่วนล่างของหลอดของกิน ทำให้มีกรด (น้ำย่อย) จากกระเพาะไหลถอยกลับขึ้นไปที่หลอดอาหารและเกิดการอักเสบและก็อาการต่างๆตามมา ซึ่งโรคกรดไหลย้อนนี้มิได้เป็นโรคติดต่อ เนื่องจากไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด การปฏิบัติตนเมื่อป่วยด้วยโรคกรดไหลย้อน
การคุ้มครองป้องกันตัวเองจากโรคกรดไหลย้อน การป้องกันโรคกรดไหลย้อนนั้นตัวเราเองเป็นหัวใจหลักที่จะสามารถคุ้มครองป้องกันการเกิดโรคได้ โดยการเปลี่ยนแปลงความประพฤติปฏิบัติการดำรงชีวิตของพวกเรา ตัวอย่างเช่น
ชา กาแฟ และก็น้ำอัดลมทุกชนิด อาหารทอด ของกินไขมันสูง ของกินรสจัด รสเผ็ด ผลไม้รสเปรี้ยว ส้ม มะนาว มะเขือเทศ หอมหัวใหญ่ สะระแหน่ เปปเปอร์มิ้นต์ ช็อกโกแลต
ยอ ชื่อวิทยาศาสตร์ Morinda citrifolia สกุล Rubiaceae มีรายงานการศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยในหนู พบว่า “ยอ” ซึ่งมีสารสำคัญ คือ สโคโปเลว่ากล่าวน (scopoletin) เป็นส่วนประกอบอยู่ด้วยนั้น สามารถลดการอักเสบของหลอดของกินจากการไหลย้อนของกรดได้ผลลัพธ์ที่ดี เท่าๆกับยามาตรฐานที่ใช้ในการรักษากรดไหลย้อนหมายถึงรานิติดีน (ranitidine) และก็แลนโสพราโซล (lansoprazole) เพราะว่ามีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ ต้านทานการหลั่งของกรด ต่อต้านการเกิดแผล และก็ทำให้การบีบตัวของระบบทางเดินอาหาร โดยส่งผลต่อระบบประสาทที่เกี่ยวเนื่องโดยตรง และก็ยังมีแถลงการณ์ว่าสามารถเพิ่มการดูดซึมของรานิติดีน “ยอ” จึงเหมาะสำหรับเพื่อการเป็นสมุนไพรสำหรับรักษาลักษณะของกรดไหลย้อนเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งจากการศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยข้างต้น และการที่ “ยอ” มีรสร้อน ช่วยในการย่อยอาหาร ทำให้ของกินไม่ตกค้าง ไม่เกิดลมในกระเพาะ ลดการเกิดแรงดันที่ทำให้กรดไหลย้อน “ยอ” ยังช่วยทำให้กระเพาะบีบเคลื่อนได้ดีขึ้น ทำให้ของกินเขยื้อนจากกระเพาะไปสู่ลำไส้เล็กได้ดีขึ้น ทั้งนี้สมุนไพรที่บางทีอาจใช้ร่วมกัน คือ ขมิ้นชัน เพราะว่าขมิ้นชันมีสรรพคุณสำหรับในการรักษาอาการท้องอืด รวมทั้งช่วยขับน้ำดีเพื่อย่อยไขมัน ทำให้ของกินไม่หลงเหลือในกระเพาะ รวมทั้งลำไส้เล็กนานเหลือเกิน ทั้งยังช่วยรักษาแผลในกระเพาะได้อีกด้วย มีผู้แนะนำให้กินขมิ้นชันก่อนที่จะรับประทานอาหาร 1-2 ชั่วโมง ยามเช้า ช่วงเวลากลางวัน เย็น และก่อนนอน ขนาดกินคือ ทีละ 1 ช้อนชาสำหรับแบบผง หรือ 3 เม็ดๆละ 500 มิลลิกรัม ขมิ้น ชื่อวิทยาศาสตร์ Curcuma longa L. ตระกูล Zingiberaceae ชื่อพ้อง C. domestica Valeton ชื่ออื่นๆ ขมิ้นแกง ขมิ้นหยอกเย้า ขมิ้นหัว ขมิ้นชัน ขี้มิ้น หมิ้น ตายอ สะยอ Turmeric สารออกฤทธิ์ curcumin, ar-turmerone curcumin จากขมิ้นลดการอักเสบจากบาดแผลเจริญ การทดลองในหลอดทดลอง โดยใช้สารสกัดขมิ้น 160 มก./กิโลกรัม กรอกเข้าทางกระเพาะอาหาร (intragastric) ของหนูขาว ยั้งการอักเสบคิดเป็น 29.5% curcumin มีฤทธิ์ต้านการอักเสบที่เกิดขึ้นจากการเหนี่ยวนำด้วยคาราจีแนน การทดลองเทียบระหว่าง phenylbutazone กับ sodium curcuminate 30 มก./กก. พบว่าได้ผลลัพธ์ที่ดี แม้กระนั้นถ้าสูงขึ้นเป็น 60 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ฤทธิ์ต้านการอักเสบจะต่ำลง แล้วก็ sodium curcuminate ยังสามารถยั้งการบีบตัวของไส้หนูในหลอดทดสอบที่เหนี่ยวนำจากนิโคติน อะซีว่ากล่าวลโคลีน 5-hydroxy-tryptamine ฮีสตามีนและก็ธาตุแบเรียมคลอไรด์ นอกเหนือจากนั้น sodium curcuminate ยังลดจังหวะการบีบรัดตัวของลำไส้เล็กของกระต่าย โดยไปลดระยะห่างของจังหวะการบีบรัดตัวของไส้ ขมิ้นสามารถต้านการเกิดแผลในกระเพาะ โดยกระตุ้นการหลั่งมิวซินมาเคลือบและก็ยับยั้งการหลั่งน้ำย่อยต่างๆสารสำคัญสำหรับในการออกฤทธิ์เป็น curcumin ในขนาด 50 มก./กก. สามารถกระตุ้นการหลั่งไม่วซินออกมาเคลือบกระเพาะอาหาร แต่ว่าถ้าเกิดใช้ในขนาดสูงอาจจะเป็นผลให้กำเนิดแผลในกระเพาะอาหารได้ มีการทดลองในกระต่ายเปรียบเทียบกับกลุ่มที่มีการหลั่งกรดมาก พบว่าผงขมิ้นไม่เปลี่ยนแปลงจำนวนน้ำย่อยรวมทั้งกรดในกระเพาะอาหาร แต่ว่าเพิ่มส่วนประกอบของไม่วซิน ย่านาง หรือใบย่านาง มีชื่อทางด้านวิทยาศาสตร์ว่า Tiliacora triandra (Colebr.) Diels มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Bamboo grass อยู่ในวงศ์ Menispermaceae ใบของย่านาง คือเป็นส่วนที่มีคุณประโยชน์และก็ถูกนำมาใช้สำหรับการรักษาโรคสูงที่สุด เพราะเหตุว่าเป็นพืชที่มีฤทธิ์เย็น รวมทั้งมีสารต้านอนุมูลอิสระในจำนวนสูง นอกจากนี้ถูกจัดไว้ในตำราเรียนสมุนไพรว่าเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย ซึ่งคุณประโยช์จากใบย่านางสำหรับในการรักษาโรคมีดังนี้ ระบบทางเดินอาหาร -ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร ไส้อักเสบ -ช่วยลดอาการหดเกร็งตามไส้ -ช่วยรักษาลักษณะของกรดไหลย้อน รักษาและก็ป้องกันโรคภัยต่างๆ-ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง -ช่วยคุ้มครองปกป้องแล้วก็บรรเทาการเกิดโรคหัวใจ -ช่วยปกป้องและก็ลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งได้ -ช่วยรักษาลักษณะโรคโรคเบาหวาน โดยไปลดระดับน้ำตาลในเลือดให้น้อยลง ระบบผิวหนัง -ช่วยสำหรับในการรักษาโรคเริม งูสวัด -ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ระบบสืบพันธุ์แล้วก็ฟุตบาทเยี่ยว -ช่วยรักษาโรคนิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในถุงน้ำดี -ช่วยรักษาอาการปัสสาวะแสบขัด ออกร้อนในทางเดินฉี่ ขึ้นฉ่าย (Apium graveolens L.) ช่วยทำนุบำรุงระบบที่ทำหน้าที่ในการย่อยอาหารภายในร่างกายและก็ช่วยลดลักษณะของโรคที่เกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ซึ่งรวมถึงโรคกรดไหลย้อน เอกสารอ้างอิง
|