หัวข้อ: โรคกระดูกพรุน มีวิธีรักษาอย่างไรเเละมีสรรพคุณ-ประโยชน์อะไรบ้าง เริ่มหัวข้อโดย: watamon ที่ พฤษภาคม 18, 2018, 02:14:21 pm (https://www.picz.in.th/images/2018/04/28/YCf0dl.jpg)
โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) โรคกระดูกรุน คืออะไร โรคกระดูกพรุนโดยธรรมดา เป็นภาวการณ์ที่ปริมาณธาตุ (ที่สำคัญเป็นแคลเซียม) ในกระดูกน้อยลง ร่วมกับความเสื่อมโทรมของเนื้อเยื่อที่ประกอบเป็นองค์ประกอบด้านในกระดูก ทำให้เนื้อหรือมวลกระดูกลดความหนาแน่น จึงบอบบางแตกหักง่าย รอบๆที่พบการหักของกระดูกได้หลายครั้ง เช่น ข้อมือ สะโพก รวมทั้งสันหลัง ส่วนคำอธิบายศัพท์ของภาวการณ์กระดูกพรุนหรือโรคกระดูกพรุน คือ ภาวการณ์ที่ความหนาแน่นของมวลกระดูก (bone mineral density : BMD) ต่ำลงซึ่งส่งผลให้กระดูกบอบบาง รวมทั้งมีการเสี่ยงที่จะเกิดกระดูกหักได้ง่าย โดยใช้ความหนาแน่นของมวลกระดูก เป็นเกณฑ์สำหรับเพื่อการวินิจฉัยสภาวะกระดูกพรุนที่องค์การอนามัยโลกได้ประกาศใช้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1994 โดยเทียบเทียงค่า BMD ของคนป่วยกับของวัยหนุ่มวัยสาวที่มีร่างกายแข็งแรงโดยใช้ค่า T-score เป็นมาตรฐาน ผู้ที่มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation : SD) ต่ำยิ่งกว่า -2.5 วินิจฉัยว่ามีสภาวะกระดูกพรุน ในตอนที่ค่า -1.0 ถึง -2.5 นับว่ามีภาวการณ์กระดูกบาง (osteopenia) และ ค่ามากกว่า -1.0 ถือว่ากระดูกธรรมดา โรคกระดูกพรุนเป็นโรคเรื้อรังที่พบได้บ่อยในผู้สูงวัย โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน (มักไม่ค่อยเจอในเด็กและก็คนวัยหนุ่มสาว นอกจากในเรื่องที่มีภาวะปัจจัยเสี่ยง) โดยผู้หญิงได้โอกาสกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนสูงถึงจำนวนร้อยละ 30-40 ขณะที่ผู้ชายได้โอกาสร้อยละ 13 โดย สตรีช่วงอายุ 10 ปีแรกหลังหมดเมนส์ กระดูกจะบางลงเร็วมาก อธิบายได้ว่าเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากการที่ขาดฮอร์โมนผู้หญิงที่มีชื่อว่าเอสโตรเจน นอกจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนแล้ว ยังมีต้นเหตุจากความเสื่อมโทรมตามวัยซึ่งเจอได้ทั้งในผู้ชายและสตรี และก็เป็นโรคที่คนส่วนใหญ่มักมองข้ามเนื่องจากว่าจะไม่ออกอาการจนกระทั่งจะเกิดภาวะแทรก(การหักของกระดูกต่างๆยกตัวอย่างเช่น กระดูกข้อมือ กระดูกบั้นท้าย กระดูกสันหลัง) ทำให้คนจำนวนมากไม่ได้รับการตรวจหรือรักษา อย่างทันทีทันควันกระทั่งเป็นเหตุให้เกิดการหักของกระดูกตามอวัยวะต่างๆจากที่กล่าวมา (โดยเฉพาะกระดูกสะโพก) จากการคาดประมาณขององค์การอนามัยโลก คาดว่าใน ค.ศ.2050 จะมีผู้ป่วยเพราะเหตุว่ากระดูกบั้นท้ายหักมากถึง 6.25 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการแถลงการณ์ในปี ค.ศ. 1990 ที่มีปริมาณผู้ป่วยเพียงแค่ 1.33 ล้านคน เนื่องจากว่าสภาวะกระดูกพรุนมีความเกี่ยวเนื่องกับกระดูกสันหลังสถิติดังที่กล่าวผ่านมาแล้วก็เลยสะท้อนถึงปริมาณผู้ที่มีภาวการณ์กระดูกพรุนที่จะมากขึ้นอย่างรวดเร็วในตอนศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในกรุ๊ปทวีปเอเชียซึ่งพบว่าในจำนวนมวลชน กระดูกสะโพกหักทั่วทั้งโลกในปี ค.ศ.1990 จำนวนร้อยละ 30 เป็นชาวเอเชียและก็ในปี 2050 คาดว่าชาวเอเชียจะราษฎรผู้เจ็บป่วยกระดูกบั้นท้ายหักถึงปริมาณร้อยละ 50 ของประชาชนโลกทั้งหมดทั้งปวง สำหรับเมืองไทย (ข้อมูลเมื่อปี 2555) ยังไร้การศึกษาถึงสถิติโรคกระดูกพรุนเป็นรายปี แต่ว่าจากสถิติปริมาณประชาชนคนแก่ของประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างเร็ว ก็เลยทำให้ความชุกของโรคกระดูกพรุนมากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น โดยยิ่งไปกว่านั้นในคนที่มีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไปจะพบโรคกระดูกพรุนได้มากกว่า 50% โดยเจอภาวะกระดูกพรุนบริเวณสันหลังส่วนเอว 15.7-24.7% บริเวณกระดูกบั้นท้าย 9.5-19.3% อุบัติการณ์ของกระดูกสะโพกหักในเพศหญิงวัยหมดระดูที่แก่ตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปได้ปริมาณ 289 ครั้งต่อมวลชน 1 แสนรายต่อปี สาเหตุของโรคกระดูกพรุน เนื่องมาจากกระดูกมี โปรตีน คอลลาเจน และก็แคลเซียม โดยมีแคลเซียมฟอสเฟตเป็นตัวทำให้กระดูกแข็งแรง ทนต่อแรงดึงรั้ง กระดูกมีการสร้างและสลายตัวอยู่ตลอดระยะเวลา พูดอีกนัยหนึ่ง ในเวลาที่มีการสร้างกระดูกใหม่โดยใช้แคลเซียมจากของกินที่รับประทานเข้าไป ก็มีการสลายแคลเซียมในเนื้อกระดูกเก่าออกมาในเลือดและก็ถูกขับออกมาทางปัสสาวะและอุจจาระ ปกติในเด็กจะมีการสร้างกระดูกมากยิ่งกว่าการสลาย ทำให้กระดูกมีการเจริญเติบโต มวลกระดูกจะค่อยๆเพิ่มขึ้นจนกระทั่งมีความหนาแน่นสูงสุด เมื่ออายุราว ๓๐-๓๕ ปี หลังจากนั้นจะเริ่มมีการสลายกระดูกมากกว่าการผลิต ทำให้กระดูกค่อยๆบางตัวลงตามอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสตรีตอนหลังวัยหมดระดู ซึ่งมีการลดลงของฮอร์โมนเอสโทรเจนอย่างรวดเร็ว ฮอร์โมนจำพวกนี้ช่วยการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายและชะลอการสลายของแคลเซียมในเนื้อกระดูก เมื่อพร่องฮอร์โมนชนิดนี้ก็จะทำให้กระดูกบางตัวลงอย่างเร็ว จนถึงเกิดภาวะกระดูกพรุน ส่วนกลไกการเกิดกระดูกพรุนที่แน่ๆยังไม่ทราบ แต่ในพื้นฐานพบว่ามีต้นเหตุจากการเสียสมดุลระหว่างเซลล์สร้างกระดูก (Osteoblast) และเซลล์ซึมซับทำลายกระดูก (Osteoclast) ซึ่งการมีกระดูกที่แข็งแรงควรจะมีสมดุลระหว่างเซลล์ทั้งสองประเภทนี้เสมอ ซึ่งการเสียสมดุลกำเนิดได้จากหลายสาเหตุคือ
อาการโรคกระดูกพรุน จำนวนมากชอบไม่มีอาการแสดง จนกว่ากำเนิดไม่ดีเหมือนปกติขององค์ประกอบกระดูก เป็นต้นว่า ปวดข้อมือ สะโพก หรือข้างหลัง (ด้วยเหตุว่ากระดูกข้อมือ บั้นท้าย หรือสันหลังแตกหัก) ความสูงลดน้อยลงจากเดิม (ด้วยเหตุว่าการหักรวมทั้งยุบตัวของกระดูกสันหลัง ซึ่งบางทีอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัว เป็นต้น) ถ้าเกิดเป็นโรคกระดูกพรุนจำพวกทุติยภูมิก็อาจมีอาการแสดงของโรคที่เป็นสาเหตุ ทั้งผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนจะมีความเสี่ยงต่อการหักของกระดูกซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่มักพบชองภาวการณ์กระดูกพรุนโดยยิ่งไปกว่านั้นกระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง และกระดูกข้อมือ ซึ่งส่งผลเสียต่อการ สูญเสียทั้งยังเศรษฐกิจของประเทศชาติแล้วก็คุณภาพชีวิตของคนเจ็บ และก็โดยส่วนใหญ่จะมีสาเหตุจากอุบัติเหตุที่ไม่ร้ายแรงหรือมีแรงกระแทกต่ำ ยกตัวอย่างเช่น กระดูกหักจากการเปลี่ยนท่ายืนหรือนั่ง, กระดูกหักขณะก้มจับของหรือยกของหนัก, กระดูกซี่โครงหักเพียงไอหรือจาม, กระดูกข้อมือหักจากการใช้มือจนถึงตัวเอาไว้จากการลื่นหรือหกล้ม, กระดูกบั้นท้ายหักจากก้นชนกับพื้น เป็นต้น ขั้นตอนการรักษาของโรคกระดูกพรุน เนื่องมาจากภาวการณ์กระดูกพรุนโดยมากไม่ปรากฏอาการแสดงที่เปลี่ยนไปจากปกติกระทั่งจะเกิดการหักของกระดูก รวมทั้งมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆได้แก่ ลักษณะของการปวดเกิดขึ้น การตรวจรวมทั้งวิเคราะห์การสูญเสียมวลกระดูกให้ได้ก่อนที่จะเกิดการหักของกระดูกก็เลยเป็นเรื่องสำคัญ โดยแพทย์จะวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน จากความเป็นมาอาการ ประวัติความเป็นมาป่วยต่างๆประวัติการออกกำ ลังกาย อายุ การตรวจร่างกาย แล้วก็จะทำวินิจฉัยด้วยการเอกซเรย์กระดูก ตรวจความหนาแน่นของกระดูก (bone mineral density) แล้วนำค่าที่ได้ไปเปรียบเทียบกับค่าธรรมดาในเพศและอายุช่วงเดียวกัน ถ้าเกิดกระดูกมีค่ามวลกระดูกน้อยกว่า 1.00 gm/cm2 จะได้โอกาสกระดูกหักได้ง่าย ซึ่งการแบ่งกระดูกตามค่ามวลกระดูกจะแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังต่อไปนี้
การตรวจด้วย dual-energy x-ray absorptiometry (DEXA) ได้รับการยอมรับว่าเป็นกระบวนการตรวจที่เป็นมาตรฐาน (gold standard) มีความถูกต้องถูกต้องที่สุดสำหรับเพื่อการตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกแม้ว่าจะสูญเสียมวลกระดูกไปเพียงแต่จำนวนร้อยละ 1 ก็ตาม กระบวนการรักษาโรคกระดูกพรุนเป็น เพิ่มแนวทางการทำงานของเซลล์สร้างกระดูกแล้วก็หยุดหรือลดรูปแบบการทำงานของเซลล์ทำลายกระดูก โดยหมอจะมีแนวทางการดูแลและรักษาผู้ที่มีสภาวะกระดุพรุน ดังนี้
คนป่วยจำต้องใช้ยาเสมอๆ แพทย์จะนัดหมายมาตรวจเป็นระยะ อาจจำต้องกระทำการตรวจกรองโรคมะเร็งเต้านมแล้วก็ปากมดลูก (สำหรับผู้ที่รับประทานเอสโทรเจน) ปีละ ๑ ครั้ง ตรวจความหนาแน่นของกระดูกทุก ๒-๓ ปี เอกซเรย์ในรายที่สงสัยมีกระดูกหัก ฯลฯ ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน ยกตัวอย่างเช่น กระดูกหัก ก็ให้การรักษา อาทิเช่น การเข้าเฝือก การผ่าตัด แนวทางการทำกายภาพบำบัด เป็นต้น ในรายที่มีโรคหรือภาวการณ์ที่เป็นสาเหตุของโรคกระดูกพรุนประเภททุติยภูมิ ก็ให้การรักษาไปพร้อมเพียงกัน สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคกระดูกพรุน ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อกำเนิดโรคกระดูกพรุนนั้น สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงอยู่ 2 จำพวกเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนได้ แล้วก็ ปัจจัยเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ (ตารางที่ 1) คนที่มีสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงหลายปัจจัยก็จะมีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุน รวมทั้งจะได้โอกาสสูงที่จะเกิดกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน (https://www.picz.in.th/images/2018/04/28/YCfNbV.jpg) สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของการเกิดภาวะกระดูกพรุน ต้นเหตุที่ปรับปรุงไม่ได้ ต้นสายปลายเหตุที่ปรับแก้ได้
การติดต่อของโรคกระดูกพรุน โรคกระดูกพรุนเป็นโรคที่ร่างกายมีสภาวะที่ความหนาแน่นของมวลกระดูกลดต่ำลงยิ่งกว่าค่ามาตรฐาน ซึ่งมีเหตุมาจากกลไกการย่อยสลายของเซลล์สร้างกระดูก ทำให้ความสมดุลของเซลล์สร้างกระดูกแล้วก็เซลล์ดูดซึมทำลายกระดูกสูญเสียไป ซึ่งมีเยอะมากหลายกรณี แต่โรคกระดูกพรุนนี้ไม่ใช่โรคติดต่อเพราะเหตุว่าไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน
อายุปริมาณแคลเซียมที่ต้องการ (mg/day) แรกเกิด – 6 เดือน 6 เดือน – 1 ปี 1 ปี – 5 ปี 6 ปี – 10 ปี 11 ปี – 24 ปี เพศชาย 25 ปี – 65 ปี มากกว่า 65 ปี ผู้หญิง 25 ปี – 50 ปี มากยิ่งกว่า 50 ปี (หลังวัยหมดประจำเดือน) อายุ 400 600 800 800-1200 1200-1500 1000 1500 1000 ปริมาณแคลเซียมที่อยากได้ (mg/day) -ได้รับการดูแลและรักษาด้วย estrogen - ไม่ได้รับการรักษาด้วย estrogen อายุมากกว่า 65 ปี ระหว่ามีครรภ์ หรือให้นมลูก 1000 1500 1500 1200-1500 โดยอาหารที่มีแคลเซียมสูง อาทิเช่น นม เนยแข็ง ปลาที่กินได้กระดูก (ตัวอย่างเช่น ปลาไส้ตัน) กุ้งแห้ง เต้าหู้แข็ง ถั่วแดง ผักสีเขียวเข้ม (เป็นต้นว่า คะน้า ใบชะพู) งาดำคั่ว ทางปฏิบัติ สำหรับเด็กและวัยรุ่นควรดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว คนแก่รวมทั้งผู้สูงอายุดื่มนมวันละ 1-2 แก้วเป็นประจำ จะมีผลให้ได้รับแคลเซียมปริมาณร้อยละ 50 ของจำนวนที่ต้องการ ส่วนแคลเซียมที่ยังขาดให้รับประทานจากอาหารแหล่งอื่นๆประกอบ ผู้ใหญ่บางคนที่มีความจำกัดสำหรับเพื่อการดื่มนม (ได้แก่ มีสภาวะไขมันในเลือดสูง อ้วน เป็นเบาหวาน ความดันเลือดสูง โรคหัวใจขาดเลือด) ให้เลือกกินเนยแข็ง นมเปรี้ยว นมพร่องมันเนย แทน หรือบริโภคของกินที่มีแคลเซียมสูงในแต่ละมื้อให้มากเพิ่มขึ้น
เพชรสังฆาต ชื่อวิทยาศาสตร์ Cissus guadrangu laris L. สกุล Vitaceae "เพชรสังฆาต" เป็นสมุนไพรที่ใช้บำรุงกระดูกมาตั้งแต่สมัยก่อน ในพระหนังสือสรรพลักษณะ พูดถึงคุณประโยชน์ของ "เพชรสังฆาต" ไว้ว่า "เพชรสังฆาต แก้จุกเสียด แก้บิด แก้ปวดในข้อในกระดูก ชอบแก้ลมทั้งปวงแล" ในตำราเรียนแพทย์แผนโบราณทั่วๆไป สาขาเภสัชกรรม ของกองประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสาธารณสุข บอกว่า "เพชรสังฆาต" มีสรรพคุณ แก้กระดูกแตก หัก ซ้น ขับลมในลำไส้ แก้ริดสีดวงทวารหนัก ส่วนแพทย์ท้องถิ่นนั้นใช้เถาตำละเอียดเป็นยาพอกรอบๆกระดูกหักช่วยลดอาการบวม อักเสบได้ เดี๋ยวนี้ได้มีงานศึกษาวิจัยพบว่า "เพชรสังฆาต" มีวิตามินซีสูงมากซึ่งรับรองสรรพคุณรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน อุดมด้วยแคโรทีนซึ่งเป็นสารเริ่มของวิตามินเอ มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ ที่สำคัญมีองค์ประกอบของแคลเซียมสูงมาก รวมทั้งสารอนาโบลิก สเตียรอยด์ (Anabolic Steroids) มีฤทธิ์เร่งปฏิกิริยาการสมานกระดูกที่แตกหักโดยกระตุ้นการสร้างเซลล์ออสเตโอบลาสต์ (Osteoblast) ซึ่งปฏิบัติหน้าที่สร้างกระดูกแล้วก็ยังช่วยให้มีการสร้างสารมิววัวโพลีแซกค้างไรด์ (Mucopolysaccharides) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในขั้นตอนสมานกระดูก นอกจากนี้สารคอลลาเจน (Collagen) ในเพชรสังฆาตยังเป็นสารอินทรีย์โปรตีนที่มาจับกุมตัวกับผลึกแคลเซียมฟอสเฟตจนถึงแปลงเป็นกระดูกแข็งซึ่งสามารถรับน้ำหนักและก็มีความยืดหยุ่นในตัวเอง ผลของการตรวจสอบและลองใช้เถาเพชรสังฆาตในสตรีวัยทองซึ่งเป็นกรุ๊ปเสี่ยงที่จะเกิดภาวะกระดูกพรุน พบว่าช่วยเพิ่มมวลกระดูกและรักษากระดูกแตก กระดูกหักได้ ฝอยทองคำ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cuscuta chinensis Lam. สกุล Convlvulaceae ในประเทศจีนรวมทั้งบางประเทศในแถบเอเชีย ได้มีการใช้เม็ดฝอยทองสำหรับการรักษาโรคกระดูกพรุน จากการวิเคราะห์ทางเคมีพบว่า สารประกอบที่แยกได้จากสารสกัดเอทานอลเป็นสารในกรุ๊ป astragalin, flavonoids, quercetin, hyperoside isorhamnetin รวมทั้ง kaempferol เมื่อเอามาทดลองฤทธิ์พบว่าสาร kaempferol แล้วก็ hyperoside สามารถเพิ่มฤทธิ์ของ alkaline phosphatase (ALP) ในเซลล์ osteoblast-like UMR-106 โดยที่ ALP เป็นตัวชี้สำหรับการเพิ่มการสร้างเซลล์กระดูกของเซลล์เริ่ม รวมทั้งสาร astragalin ยังกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ UMR-106 ด้วย ส่วนสารอื่นๆไม่พบว่ามีฤทธิ์ดังกล่าวข้างต้น นอกเหนือจากนี้ยังพบว่าสารที่แยกได้มีฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจน ขึ้นรถ quercetin, kaempferol แล้วก็ isorhamnetin ออกฤทธิ์กระตุ้น ERβ (estrogen receptor agonist) แต่เมื่อเปรียบเทียบกันในด้านของการกระตุ้น ER จะมีเพียงสาร quercetin และ kaempferol ที่ออกฤทธิ์แรงในการยับยั้งตัวรับ estrogen ประเภท ERα/β โดยที่กลไกดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นคาดว่าจะเปรียบเทียบกับยา raloxifene ที่ออกฤทธิ์กระตุ้น ER ที่รอบๆกระดูก ไขมัน หัวใจรวมทั้งหลอดเลือด แม้กระนั้นออกฤทธิ์ยั้ง ER ที่รอบๆเต้านมและก็มดลูก ยิ่งกว่านั้นสาร quercetin และก็ kaempferol ยังกระตุ้นการแสดงออกของ ERα/β-mediated AP-1 reporter (activator protein) ซึ่งเป็นโปรตีนที่เกี่ยวกับการผลิตกระดูก เหมือนกันกับยา raloxifene จากการทดลองทั้งสิ้นทำให้สรุปได้ว่าเมล็ดฝอยทองคำมีคุณภาพในการรักษาโรคกระดูกพรุน และสารสำคัญที่มีฤทธิ์สำหรับในการสร้างเซลล์กระดูกเป็น kaempferol และ hyperoside เอกสารอ้างอิง
|