หัวข้อ: สมุนไพรหญ้าหวาน-มีสรรพคุณเเละประโยชน์ที่สามารถรักษาโรคได้อย่างดี เริ่มหัวข้อโดย: Saichonka ที่ พฤษภาคม 22, 2018, 09:04:58 am (https://www.picz.in.th/images/2018/04/28/Y2e9o8.jpg)
หญ้าหวาน ชื่อสมุนไพร หญ้าหวาน ชื่อวิทยาศาสตร์ Stevia rebaudiana Bertoni ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Eupatorium rebaudianum Bertoni, Stevia rebaudiana (Bertoni) Hemsl.) ชื่อสามัญ Stevia สกุล Asteraceae บ้านเกิดเมืองนอน หญ้าหวาน เป็นพืชที่มนุษย์รู้จักมาเป็นเวลายาวนานกว่า 1,500 ปี ชนพื้นเมืองแถบอเมริกาใต้เป็นผู้ค้นพบรวมทั้งประยุกต์ใช้เป็นครั้งแรก มนุษย์ได้นำสารสกัดของหญ้าหวานมาเป็นองค์ประกอบในชาที่ชงดื่มรวมทั้งยาสมุนไพรโบราณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศขว้างรากวัย รวมทั้งบราซิล ซึ่งชื่อเดิมของหญ้าหวานที่ชนท้องที่ปารากวัยเรียก คือ kar-he-e หรือภาษาประเทศสเปน เรียกว่า yerba ducle แสดงว่า สมุนไพรหวาน เป็นสมุนไพรที่คนท้องถิ้นของปารากวัย และบราซิล ใช้ผสมในของกิน หรือเครื่องดื่มเพื่อเพิ่มความหวาน และใช้ชงเป็นชาดื่ม ที่เรียกว่า “ มะเตะ” มานานมากกว่า 400 ปีแล้วส่วนในแถบเอเชียพบว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกๆที่มีการใช้สารสกัดจากหญ้าหวานอย่างมากมาย โดยนำไปเป็นองค์ประกอบของอาหารและก็เครื่องดื่มต่างๆ เช่น ผักดอง ซีอิ๊ว เต้าเจี้ยว เนื้อปลาบด ฯลฯ สำหรับในประเทศไทยหญ้าหวานเริ่มเข้าสู่ประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2518 โดยเป็นการนำมาทดสอบปลูก ในภาคเหนือ โดยเฉพาะที่จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน แล้วก็จังหวัดเชียงราย ในปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้อนุญาตให้มีการใช้สารสตีวิโอไซด์เพื่อการบริโภค ต้นหญ้าหวานจึงจัดอยู่ในพืชสมุนไพรอีกประเภทหนึ่ง ลักษณะทั่วไป
ราว 3-4 ซม. แผ่นใบเรียบ สีเขียวสด ขอบของใบหยักเป็นฟันเลื่อย และโก่งเข้ากึ่งกลางแผ่นใบ เมื่อบดหรือต้มน้ำดื่มจะมีรสหวานจัด
การขยายพันธุ์ หญ้าหวาน เป็นพืชที่ชอบอากาศที่ค่อนข้างจะเย็น ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิราวๆ 20-26 องศาเซลเซียส เป็นพืชที่ถูกใจดินร่วนซุยหรือดินร่วนซุยคละเคล้าทรายที่ระบายน้ำเจริญ และพืชจำพวกนี้จะเจริญวัยได้อย่างดีเยี่ยมเมื่อเพาะปลูกในพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลราวๆ 600-700 เมตร ด้วยเหตุผลดังกล่าวก็เลยมีการนำเข้ามาทดลองปลูกเอาไว้ในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.2518 ที่แถบภาคเหนือ ในจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน จังหวัดพะเยา ซึ่งปรากฏว่าได้ผลผลิตเป็นที่น่าพึงพอใจ จึงมีการเกื้อหนุนให้มีการปลูกมาจนถึงเดี๋ยวนี้ หญ้าหวานขยายพันธุ์ได้ 2 วิธี คือ
สำหรับการเก็บเกี่ยว การเก็บใบต้นหญ้าหวานจะเริ่มเก็บหนแรกได้ 25-30 วัน หลังปลูก ถ้าเกิดต้นบริบูรณ์พอ จะเก็บได้สม่ำเสมอเดือนละ 1 ครั้ง ตลอดทั้งปี จะเก็บได้ประมาณ 10-12 ครั้ง แต่ละครั้งเก็บใบสดได้ราวๆ 40-60 กก./ไร่ ซึ่งได้ผลผลิตใบสูงสุดในฤดูฝน แล้วก็ให้ผลผลิตต่ำในฤดูหนาว และก็ฤดูแล้ง ทั้งนี้ หญ้าหวาน 1 รุ่นจะมีอายุเก็บเกี่ยวไดนานถึง 3 ปี สำหรับหญ้าหวานสดที่เก็บเกี่ยวได้ จะต้องล้างชำระล้าง และผึ่งแดดให้แห้งก่อนส่งโรงงาน แบ่งออกเป็น 2 เกรด คือ เกรด Aและก็เกรด B แม้ภาวะใบไม่สมบูรณ์ ใบมีสีเหลืองหรือซีดเผือด จะถูกคัดเป็นเกรด B แต่ว่าเกรดของใบไม่มีผลทำให้ความหวานต่างกัน ต้นหญ้าหวานแห้ง เกรด B จะพบโดยประมาณ 1 ใน 3 ของปริมาณหญ้าหวานแห้งทั้งผอง ต้นหญ้าหวานแห้งเกรด A อาจขายเป็นใบชา ในราคา 200-500 บาท/กิโล ส่วนเกรด B จะถูกขายในราคาราว 150 บาท/โล แล้วก็ใช้บดเป็นผงหญ้าหวานแห้ง ที่ขายในกิโลกรัมละ 500 บาท 5 ส่วนราคารับซื้อหญ้าหวานแห้งหน้าโรงงาน อาจมีราคาในตอนเดียวกันหรือสูงยิ่งกว่า (ข้อมูล ราคาปี 2555) องค์ประกอบทางเคมี ใบต้นหญ้าหวานแห้ง สกัดด้วยน้ำได้สารหวานราวร้อยละหนึ่ง ซึ่งสารหวานเหล่านี้มีชื่อเรียกว่า สตีวิโอไซด์ (Stevioside) ซึ่งมีความหวานมากกว่าน้ำตาลทราย 150 - 300 เท่า มีความคงตัวสูงทั้งยังในตัวทำละลาย กรดอ่อน เบสอ่อน และก็ทนไฟได้ถึง 200 องศาเซลเซียส จึงไม่เสื่อมสภาพหรือเปลี่ยนสภาพจากความร้อนสำหรับการทำอาหาร ใช้ในปริมาณน้อย ไม่มีพิษรวมทั้งไม่เป็นอันตรายสำหรับเพื่อการบริโภคซึ่งนักวิทยาศาสตร์ศึกษาและทำการค้นพบว่าสารสกัดจากหญ้าหวานประกอบไปด้วยกรุ๊ปสารที่มีชื่อเรียกว่า ไกลโคไซด์ (Glycoside) และ อะไกลโคน (Aglycone) สารไกลโคไซด์จะประกอบไปด้วยโมเลกุลของน้ำตาลกลูโคส (Glucose) ส่วนสารอะไกลโคนจะประกอบไปด้วยน้ำตาลที่มีโมเลกุลใหญ่ขึ้นหรืออาจเรียกรวมๆว่า โพลีแซคค้างไรด์ (Polysaccharides) ซึ่งกลุ่มน้ำตาลกลุ่มนี้นี่เองที่ทำให้สารสกัดของต้นหญ้าหวานมีรสหวาน ขึ้นรถสำคัญต่างๆที่เจอในหญ้าหวานมีหลายชนิด ดังเช่น – Stevioside พบได้ทั่วไปที่สุด 2.0-7.7% – Rebaudioside A ถึง F พบลำดับรองลงมา ราวๆ 0.8-2.9% – Steviol – Steviolbioside – Dulcoside A สารสติวิออลไกลโคไซด์ (รูปที่ 1) มีลักษณะเป็นผงสีขาวถึงสีเหลืองอ่อนไม่มีกลิ่น มีความคงตัวสูงในตัวทำละลาย กรดอ่อน เบสอ่อน รวมทั้งทนไฟ คุณลักษณะทางกายภาพ และเคมีของ stevioside – สูตรทางเคมี : C35H60O18 – น้ำหนักโมเลกุล : 804.9 – จุดหลอมเหลว : 198 °C รูปที่ 2 Stevioside ที่มา : อ้างถึงใน ศิวาพร (2546) รวมทั้งสาโรจน์ (2547) ประโยชน์/สรรพคุณ สารสกัดที่ได้จากหญ้าหวานชื่อว่า สตีวิโอไซด์ (stevioside) เป็นสารที่ให้ความหวานมากกว่า 200-300 เท่าของน้ำตาลแต่ว่าไม่ก่อเกิดพลังงาน (แคลลอปรี่) ในร่างกายอะไร ด้วยความพิเศษของหญ้าหวานนี้ ก็เลยมีคุณประโยชน์แล้วก็ผลดีต่างๆเยอะมาก ดังเช่น ลดระดับน้ำตาลในเลือด คนป่วยโรคเบาหวานนั้นเสี่ยงมีสภาวะน้ำตาลในเลือดสูงได้ง่าย ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อร่างกายขาดเซลล์ที่ผลิตอินซูลินหรือเกิดภาวะดื้อรั้นอินซูลิน ยิ่งไปกว่านี้ ยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงได้ ดังเช่น ไม่ได้รับอินซูลินหรือยารักษาเบาหวาน รับประทานคาร์โบไฮเดรตมากจนเกินไป กำเนิดความเครียด ได้รับบาดเจ็บ เข้ารับการผ่าตัด หรือติดเชื้อโรค ซึ่งคุณประโยชน์อีกประการหนึ่งของต้นหญ้าหวานที่บางทีอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคเบาหวานก็คือควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยปรากฏงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยที่ศึกษาเรื่องนี้จำนวนมาก งานศึกษาค้นคว้าวิจัยหนึ่งได้ให้คนป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 กินสารสกัดหญ้าหวาน 1 กรัม พร้อมเข้ารับการวิเคราะห์เลือดหลังผ่านไป 4 ชั่วโมง พบว่าผู้ป่วยหรูหราน้ำตาลในเลือดลดน้อยลง สอดคล้องกับงานศึกษาค้นคว้าวิจัยอีกชิ้นที่ค้นพบว่าระดับน้ำตาลในเลือดของคนเจ็บเบาหวานจำพวกที่ 2 ลดลงอย่างเป็นจริงเป็นจังหลังจากรับประทานแป้งที่ทำมาจากหญ้าหวาน นอกเหนือจากนี้ การรับประทานหญ้าหวานบางทีอาจลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ที่มีสุขภาพปกติเหมือนกัน การค้นคว้าหนึ่งได้สุ่มให้ผู้เข้าร่วมทดลองกินซูโครส แอสปาแตม และหญ้าหวานก่อนกินอาหารมื้อกลางวันรวมทั้งมื้อเย็น ตรงเวลา 3 วัน ผลวิจัยพบว่าผู้ที่รับประทานหญ้าหวานหรูหราน้ำตาลในเลือดรวมทั้งอินซูลินหลังรับประทานอาหารน้อยลงมากยิ่งกว่าผู้ที่รับประทานซูโครสรวมทั้งแอสปาแตมอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ กรุ๊ปที่รับประทานหญ้าหวานและแอสปาแตมก่อนมื้อของกินยังรู้สึกอิ่มและไม่ทานอาหารอื่นเพิ่มอีกจากมื้อหลัก เช่นเดียวกับงานวิจัยอีกชิ้นที่แสดงให้เห็นว่าการกินสารสกัดจากใบต้นหญ้าหวานช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้เข้าร่วมการทดสอบที่ไม่ได้ป่วยด้วยเบาหวานหรือมีสภาวะน้ำตาลในเลือดสูงได้ ทั้งยังมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรียในปากหลายแบบ ก็เลยไม่ทำให้อาหารหรือเครื่องดื่มที่เก็บไว้นานเกิดการบูดเน่า ไม่ทำให้ฟันผุหรือเหงือกบวมอักเสบได้ง่าย ก็เลยมีการใช้ ผสมในของกิน แล้วก็เครื่องดื่ม รวมทั้งผสมในยาสีฟันหรือยาบ้วนปาก เพื่อแต่งรส และก็ช่วยคุ้มครองโรคฟันผุ อนึ่งฤทธิ์ในการมีรสหวานของสารสตีวิโอไซด์จะแตกต่างจากน้ำตาลซะทีเดียว เนื่องจากสารสตีวิโอไซด์จะออกรสหวานช้ากว่าน้ำตาลทรายเล็กน้อย จะเลือนลางจางหายไปช้ากว่าน้ำตาลทราย นอกนั้นสารดังกล่าวยังเป็นสารที่ไร้ค่าทางอาหารอะไร เพราะว่ามีแคลอรีต่ำมากหรือเปล่ามีเลย แล้วก็จะผิดย่อยให้เกิดเป็นพลังงานกับร่างกาย แม้กระนั้นจากข้อเสียนี้นี่เองก็ถือเป็นลักษณะเด่นที่เหมาะสมอย่างมากสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ความดันเลือด โรคไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน และโรคหัวใจ ในตอนนี้มีการอนุญาตให้ใช้สารสกัดจากต้นหญ้าหวานเป็นสารทดแทนน้ำตาลในประเทศต่างๆไม่น้อยกว่า 30 ประเทศ ตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่น จีน ประเทศเกาหลี แคนที่นาดา ออสเตเลีย นิวซีแลนด์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย รวมทั้งมีลักษณะท่าทางเยอะขึ้นองค์การอาหารและก็ยาของสหรัฐอเมริกาแล้วก็กรุ๊ปประเทศในยุโรปอนุญาตให้มีการใช้สารหวานจากหญ้าหวานเป็นส่วนผสมในเครื่องดื่ม ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2551 และก็ พ.ศ. 2554 ตามลำดับ ประเทศไทย โดยกระทรวงสาธารณสุข ประกาศอนุญาตให้มีการผลิต และก็ต้นหญ้าหวานในประเทศไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2545 (ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 262) พ.ศ. 2545 เรื่อง สตีวิโอไซด์รวมทั้งอาหารที่มีส่วนผสมของสตีวิโอไซด์) และก็ประกาศให้สารสกัดสติวิออลไกลโคไซด์เป็นวัตถุเจือปนของกิน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 (ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 360) พ.ศ. 2556 เรื่อง สตีวิออลไกลโคไซด์) โดยอ้างอิงข้อมูลของคณะกรรมการผู้ที่มีความชำนาญเกี่ยวกับวัตถุเจือปนอาหารขององค์การของกินและก็เกษตร และก็องค์การอนามัยโลก แห่งยูเอ็น (The Joint FAO/WHO Expert Committee on Food Additives, JECFA) ซึ่งได้ประเมินแล้วก็ระบุค่าความปลอดภัย (Acceptable Daily Intake, ADI) แล้ว แบบ/ขนาดการใช้ จากผลจากงานวิจัยของทีมงานวิจัยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้สรุปว่า สารสกัดจากหญ้าหวานมีความปลอดภัยในทุกๆกรณี โดยค่าสูงสุดที่กินได้อย่างปลอดภัยคือ 7,938 มิลลิกรัม/กิโล(น้ำหนักตัว)/วัน ซึ่งสูงมากมายถ้าเกิดเทียบกับการผสมในเครื่องดื่มหรือกาแฟถึง 73 ถ้วยต่อวัน ซึ่งเป็นไปไม่ได้แน่ๆ เนื่องจากว่าคนส่วนมากกินกันราวๆ 2-3 ก็จัดว่ามากมายเพียงพอต่อวันแล้ว ซึ่งการใช้ต้นหญ้าหวานอย่างปลอดภัย คือ โดยประมาณ 1-2 ใบต่อเครื่องดื่ม 1 ถ้วย ถือเป็นปริมาณที่เหมาะสมและไม่หวานมากจนเกินไป แม้กระนั้นคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญของของกินและก็เกษตรที่องค์การสหประชาชาติ องค์การอนามัยโลกที่เกี่ยวกับสารเจือปนในของกิน ได้ระบุค่าความปลอดภัย เบื้องต้นไว้ไม่เกิน 2 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกก.ต่อวัน แม้กระนั้นบางทีอาจต้องระมัดระวังการใช้ในใช้ในขนาดสูงติดต่อกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีภาวะโรคไตแล้วก็ตับ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 360 พ.ศ.2556 เรื่องสตีวิออลไกลโคไซด์) สตีวิออลไกลโคไซด์ แปลว่า สารสกัดบริสุทธิ์จากใบต้นหญ้าหวาน ซึ่งประกอบด้วย สตีวิโอไซด์ รีบาวดิโอไซด์ เอ รีบาวดิโอไซด์ บี รีบาวดิโอไซด์ ซี รีบาวดิโอไซด์ ดี รีบาวดิโอไซด์ วัวไซด์ เอ รูบุโซไซด์ แล้วก็ สตีวิออลไบโอไซด์ สารสกัดจากต้นหญ้าหวานที่อนุญาตให้ใช้เป็นส่วนประกอบอาหารต้องมีจำนวนสารในกลุ่มสตีวิออลไกลโคไซด์ รวมยอดไม่น้อยกว่าจำนวนร้อยละ 95 ของน้ำหนักแห้ง ซึ่งอ้างอิงจากมาตรฐาน องค์การของกินแล้วก็เกษตร รวมทั้งองค์การอนามัยโลก แห่งองค์การสหประชาชาติ การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา ในปี คริสต์ศักราช1991 มีนักวิทยาศาสตร์ที่ชื่อว่า Emily Procinska รวมทั้งคณะ ได้ออกมาค้นคว้ารายงานวิจัยของ John M. Pezzuto ว่าอาจมีข้อผิดพลาด โดยเผยแพร่ในวารสาร Mutagenesis ระบุว่า หญ้าหวานไม่เป็นผลนำมาซึ่งการก่อให้เกิด Mutagenic (สารก่อกลายพันธุ์) แต่อย่างใด ดังนี้ได้ทำทดสอบซ้ำอยู่หลายครา ต่อจากนั้นเป็นต้นมาก็ได้มีรายงานต่างๆออกตามมาอีกเพียบเลยที่ระบุว่าผลของ mutagenic ในสารสกัดหญ้าหวานมีผลน้อยมาก หรือบางทีก็อาจจะไม่มีผลเลย รวมทั้งถัดมาจึงได้มีการวิเคราะห์ความเป็นพิษพบว่า งานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยโดยมากระบุว่าหญ้าหวานไม่มีพิษ และไม่มีหลักฐานใดๆกล่าวว่าหญ้าหวานให้เกิดโรคมะเร็งแต่อย่างใด รวมทั้งยังมีการเรียนทางสถานพยาบาลอีกหลายๆฉบับ ซึ่งส่ววนใหญ่ส่งผลการเล่าเรียนกำหนดถึงกลไกการออกฤทธิ์ในร่างกายมนุษย์เป็น กลไกการออกฤทธิ์ของต้นหญ้าหวานคือ สารสกัดของหญ้าหวานที่เป็นไกลโคไซด์ซึ่งมีส่วนประกอบของน้ำตาลเดกซ์โทรสรวมทั้งสารอะไกลโคนซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลที่ใหญ่ขึ้น (Polysaccharides) จะทำปฏิกิริยากับต่อมรับรสของลิ้น ทำให้พวกเรารับรสความหวานซึ่งมีมากยิ่งกว่าน้ำตาลถึง 150 เท่า และต่อมรับรสบางส่วนจะทำปฏิกิริยากับสารอะไกลโคนซึ่งทำให้มีความรู้สึกถึงรสขมได้เล็กน้อย รวมทั้งระบบทางเดินอาหารของมนุษย์ก็สามารถสลายตัวและก็แยกไกลโคไซด์ของหญ้าหวานออกมาเป็นน้ำตาลกลูโคสได้อีกด้วย โดยน้ำตาลเดกซ์โทรสที่ได้นี้จำนวนมากจะถูกแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ดึงไปใช้เป็นพลังงานของตัวไส้เอง จึงมีเดกซ์โทรสจากสารสกัดหญ้าหวานเพียงแค่ส่วนน้อยที่ถูกซึมซับไปสู่กระแสโลหิต ส่วนสารสตีวิออลแล้วก็สารโพลีแซคติดอยู่ไรด์ (Poly saccharides) บางส่วนจะถูกซับเข้าสู่ร่างกาย แล้วก็ส่วนมากที่เหลือจะถูกขับทิ้งไปกับอุจจาระ (https://www.picz.in.th/images/2018/04/28/Y2eTJR.jpg) การเล่าเรียนทางพิษวิทยา จากการเล่าเรียนความเป็นพิษในหนูหลายๆการเรียน โดยให้สาร สตีวิโอไซด์ ผสมในอาหารในขนาดต่างๆจนถึง 5% (ขนาดมากถึง 2 g/kg น้ำหนักตัว ให้ต่อเนื่องกัน 3 เดือน จนกระทั่ง 2 ปี ไม่พบความเป็นพิษที่ร้ายแรงต่อตับ รวมทั้งไต แม้กระนั้นมีแถลงการณ์ว่าหนูที่ได้รับ สตีวิโอไซด์ โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังในขนาดมากถึง 1.5 g/kg น้ำหนักตัว มีผลต่อไตโดยมี blood urea nitrogen (BUN) และ creatinine ในเลือดสูงขึ้น แม้กระนั้นขนาดดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วเป็นขนาดที่สูงขึ้นยิ่งกว่าขนาดที่ใช้รับประทานในคนมากประกอบกับเป็นการให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ดังนั้นผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยถึงความปลอดภัยของสตีวิโอไซด์ในของกิน เป็นระยะเวลานานจนถึงเดี๋ยวนี้ปรากฏว่ามีลัษณะทิศทางทางด้านความปลอดภัยที่ดี เมื่อต้นปี ค.ศ. 2009 ประเทศอเมริกาโดย USFDA ได้ตรึกตรองรวมทั้งประกาศว่า ต้นหญ้าหวานได้รับการยอมรับโดยธรรมดาว่าปลอดภัย "Generally Recognized As Safe (GRAS) ส่วนการทดสอบการกลายพันธุ์ของสารสกัดหญ้าหวาน โดย Fujita แล้วก็แผนก (1979), Okumura และก็ภาควิชา (1978) รวมทั้ง Tama Biochemical Co-Ltd. (1981) ทำการทดสอบกับเชื้อ Salmonella typhimurium, Escherichia coli แล้วก็ Bacillus subtilis ผลของการทดสอบ พบว่า สารดังที่กล่าวผ่านมาแล้วไม่ก่อกลายพันธุ์แต่อย่างใด คำแนะนำ/ข้อควรปฏิบัติตาม หากแม้ปัจจุบันยังไม่พบข้อกำหนดใช้ต้นหญ้าหวานที่แจ่มกระจ่าง แต่ข้อควรตรึกตรองคือ
Tags : ต้นหญ้าหวาน
|