หัวข้อ: รู้หรือไม่ว่าการบูรนั้นเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณเเละประโยชน์อันน่าทึ่งอย่างมาก เริ่มหัวข้อโดย: teareborn ที่ พฤษภาคม 24, 2018, 09:43:59 am การบูร (Camphor)
การบูรเป็นยังไง การบูรเป็นชื่อของต้นไม้ ที่มีผลึกแทรกอยู่ตามรอยแตกของเนื้อไม้และยังสามารถนำลำต้น,ราก,ใบ มากลั่นหรือสกัดจนได้ผลึกดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งเมื่อก่อน คำว่า “การบูร” มาจากภาษาสันสกฤตว่า “Karapur” หรือ “แขนปูร” ซึ่งมีความหมายว่า “หินปูน” เนื่องจากว่าโบราณรู้เรื่องว่าผนึกนี้เป็นพวกหินปูนที่มีกลิ่นหอมหวน ถัดมาชื่อนี้เพี้ยนเป็น “กรบูร” แล้วก็เป็น “การบูร” ในตอนนี้ (ผู้เขียนเข้าใจว่า ชื่อการบูรนี้คงจะถูกเรียกจากผลึกที่ได้แล้วจึงนำมาตั้งชื่อต้นไม้ที่ให้ผลึก) ส่วนรูปแบบของผลึกการบูรนั้น มีลักษณะเป็นผลึกหรือเกล็ดกลมๆเล็กๆแวววาว สีขาวแห้ง มีกลิ่นหอมหวนเย็นฉุน มักจะจับกันเป็นก้อนร่วนๆแตกง่าย ถ้าทิ้งเอาไว้ภายในอากาศ จะระเหิดไปหมด มีรสร้อนปร่าเมา สูตรทางเคมีและสูตรส่วนประกอบ ผลึกการบูรมีชื่อสามัญว่า Camphor, Gum camphor, Formosan camphor, Laurel camphor เป็นสารประกอบกลุ่มเทอร์พีนที่พบได้จากต้นการบูรมีความไวไฟ มีชื่อตาม IUPAC ว่า 1,7,7-trimethylbicyclo 2.2.1heptan-2-one แล้วก็มีชื่ออื่นๆตัวอย่างเช่น 2-bornanone, 2-camphanone bornan-2-one, Formosa มีสูตรเคมี C10H16O มีน้ำหนักโมเลกุล 152.23 ความหนาแน่น 0.990 มีจุดหลอมเหลวที่ 179.75 องศาเซลเซียส (452.9 K) จุดหลอมเหลว 204 องศาเซลเซียส (477K) สามารถละลายน้ำได้ แล้วก็มีสูตรองค์ประกอบดังนี้ มูลเหตุ ตามที่ได้กล่าวไปแล้วว่าผลึกการบูรได้มาจากการระเหิดของยางจากเนื้อไม้ของต้นการบูรรวมทั้งการกลั้นหรือสกัด ลำต้น ราก ใบ ต้น การบูร ซึ่งมีข้อมูลทางวิชาพฤกษศาสตร์ของต้นการบูรเป็น สมุนไพรการบูร มีชื่อเขตแดนอื่นๆว่า การะบูน การบูร (ภาคกลาง), อบเชยญวน (ไทย), พรมเส็ง (งู), เจียโล่ (จีนแต้จิ๋ว), จางมู่ จางหน่าว (จีนกลาง) ฯลฯ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cinnamomum camphora (L.) J. Presl.ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์Camphora camphora (L.) H.Karst., Camphora hahnemannii Lukman., Camphora hippocratei Lukman., Camphora officinarum Nees, Camphora vera Raf., Camphorina camphora (L.) Farw., Cinnamomum camphoriferum St.-Lag., Cinnamomum camphoroides Hayata, Cinnamomum nominale (Hats. & Hayata) Hayata, Cinnamomum officinarum Nees ex Steud., Laurus camphora L., Persea camphora (L.) Spreng. ชื่อตระกูล Lauraceae การบูร เป็นพรรณไม้ประจำถิ่นของเมืองจีน ประเทศญี่ปุ่น แล้วก็ไต้หวัน รวมทั้งมีการกระจัดกระจายประเภทไปในแถบ เมดิเตอร์เรเนียน อินโดนีเซีย อินเดีย อียิปต์ แอฟริกาใต้ จาไมกา บราซิล สหรัฐอเมริกา และก็ประเทศไทย โดยจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นทรงพุ่มไม้กว้างและทึบ มีความสูงของต้นได้ถึง 30 เมตร ลำต้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 1.5 เมตร เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาล ผิวหยาบคาย ส่วนเปลือกกิ่งเป็นสีเขียวหรือเป็นสีน้ำตาลอ่อน ลำต้นและก็กิ่งเรียบไม่มีขน ส่วนเนื้อไม้เป็นสีน้ำตาลปนแดง เมื่อนำมากลั่นแล้วจะได้ “การบูร” ทุกส่วนของต้นการบูรจะมีกลิ่นหอม โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ส่วนที่ของรากและก็โคนต้น แพร่พันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเม็ด และก็กรรมวิธีการปักชำ ใบเป็นใบผู้เดียว ออกเรียงสลับ รูปรี หรือรูปรีแกมรูปไข่ กว้าง 2.5-5.5 ซม. ยาว 5.5-15 ซม. ปลายใบเรียวแหลม โคนใบป้านหรือกลม ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นน้อย แผ่นใบออกจะเหนียว ด้านบนสีเขียวเข้ม วาว ข้างล่างสีเขียวอมเทาหรือนวล ไม่มีขน เมื่อขยี้จะมีกลิ่นหอมยวนใจเหมือนกลิ่นการบูร เส้นใบขึ้นตรงมาจากโคนใบราว 3-8 มิลลิเมตร แล้วแยกออกเป็น 3 เส้น ตรงมุมที่มีเส้นใบแยกออกนั้นมีต่อม 2 ต่อม รวมทั้งตามเส้นกึ่งกลางใบอาจมีต่อมเกิดขึ้นตรงมุมที่มีเส้นใบแยกออกไป ก้านใบยาว 2-3 เซนติเมตร ไม่มีขน ตาใบมีเกล็ดซ้อนซ้อนห่อหุ้มอยู่ เกล็ดชั้นนอกเล็กมากยิ่งกว่าเกล็ดชั้นในเป็นลำดับ ดอกช่อแบบแยกแขนงออกตามเป็นกระจุกบริเวณง่ามใบ ดอกเล็กสีขาวอมเหลืองหรืออมเขียว ก้านดอกสั้นมาก กลีบรวมมี 6 กลีบ เรียงเป็น 2 วง วงละ 3 กลีบ รูปรี ปลายมน ข้างนอกสะอาด ข้างในมีขนละเอียด เกสรเพศผู้มี 9 อัน เรียงเป็น 3 วง วงละ 3 อัน อับเรณูของวงที่ 1 รวมทั้งวงที่ 2 เบือนหน้าเข้าภายใน ก้านเกสรมีขน ส่วนอับเรณูของวงที่ 3 หันออกด้านนอก ก้านเกสรค่อนข้างใหญ่ มีต่อม 2 ต่อมอยู่ใกล้โคนก้าน ต่อมรูปไข่กว้างและก็มีก้าน อับเรณูมีช่องเปิด 4 ช่อง เรียงเป็น 2 แถว แถวละ 2 ช่อง มีลิ้นเปิด 4 ช่อง เกสรเพศผู้เป็นหมันมี 3 อัน อยู่ข้างในสุด รูปร่างคล้ายลูกศร มีขนแต่ว่าไม่มีต่อม รังไข่รูปไข่ ไม่มีขน ก้านเกสรเพศเมียยาวโดยประมาณ 1 มิลลิเมตร ไม่มีขน ปลายเกสรเพศเมียกลม ใบประดับเรียวยาว หล่นง่าย มีขนอ่อนนุ่มผลรูปไข่ หรือกลม ได้ผลมีเนื้อ ยาว 6-10 มม. สีเขียวเข้ม เมื่อสุกเปลี่ยนเป็นสีดำ มีฐานดอกซึ่งเติบโตขึ้นมาเป็นแป้นรองรับผลมีเมล็ด 1 เม็ด ออกดอกราวมิ.ย.ถึงก.ค.ซึ่งการบูรจากธรรมชาตินั้น เป็นผลึกที่แทรกอยู่ในแก่นไม้ของต้นการบูร ที่เกิดอยู่ทั่วไปทั้งยังต้น มักจะอยู่ตามรอยแตกของเนื้อไม้ มีมากที่สุดในแก่นของราก รองลงมาที่แก่นของต้น ส่วนที่อยู่ใกล้โคนต้นจะมีการบูรมากกว่าส่วนที่อยู่สูงขึ้นมา ในใบแล้วก็ยอดอ่อนมีการบูรอยู่น้อย แล้วก็จะมีน้อชูว่าใบแก่ ส่วนการสร้างการบูร จะใช้กรรมวิธีการกลั่นด้วยไอน้ำ (ซึ่งอาจไม่อาจจะกลั่นการบูรได้เองข้างในครอบครัว เนื่องจากจำเป็นต้องใช้วัสดุอุปกรณ์ที่เฉพาะ) โดยนำส่วนต่างๆของลำต้นรวมทั้งรากการบูรที่แก่เกิน 40 ปี มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วก็ค่อยนำไปกลั่น เมื่อกลั่นจนได้น้ำมันหอมระเหย การบูรจะตกผลึกเป็นก้อนสีขาวๆแยกออกมาจากน้ำมันหอมระเหย จากนั้นจึงกรองแยกเอาผลึกการบูร (บางทีอาจเอามาทำให้บริสุทธิ์โดยการระเหิด) การบูรที่ได้นี้เรียกว่า refined camphor หรือ resublimed camphor แต่ว่าในประเทศอเมริกา จะใช้ใบและก็ยอดอ่อนของต้นที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไปแทน แม้ว่าจะให้ปริมาณการบูรน้อยกว่า แต่สามารถตัดใบและก็ยอดอ่อนมากมายลั่นได้ทุกๆสองเดือน ในปัจจุบันนี้การบูรดูเหมือนจะทั้งหมดได้จากวิธีการครึ่งสังเคราะห์จากสารเริ่ม คือ แอลฟา-ไพนีน (alpha-pinene) ที่ได้จากน้ำมันสน ผลดี/คุณประโยชน์ ตำรายาไทย: “การบูร” มีรสร้อนปร่าเมา ใช้ทาถูนวดแก้ปวด แก้กลยุทธ์บวม ปวดเมื่อย พลิก แก้กระตุก แก้ปวดข้อ แก้ปวดเส้นประสาท แก้รอยผิวหนังแตก แก้พิษแมลงต่อย และก็โรคผิวหนังเรื้อรัง เป็นยายับยั้งเชื้ออย่างอ่อน ขับเหงื่อ ขับเสลด ขับฉี่ แก้ไข้หวัด และขับลม บำรุงธาตุ บำรุงกำหนัด ยากระตุ้นหัวใจ บำรุงหัวใจ ใช้เป็นส่วนผสมในยาหอมต่างๆเช่น ยาหอมเทวดาจิตร ยิ่งไปกว่านี้ยังคงใช้แก้อาการชักบางประเภท ใช้การบูร 1-2 เกรน แก้ปวดขัดตามเส้นประสาท ข้อบวมเป็นพิษ แก้เคล็ดลับบวม เส้นผวา กระตุก ขัดยอกพลิก แก้เจ็บท้อง ท้องเดิน ขับน้ำเหลือง แก้เลือดลม บำรุงกำหนัด ขับเหงื่อ ขับเสมะหะ บำรุงธาตุ แก้โรคตา กระจัดกระจายลม ขับผายลม นำมาผสมเป็นขี้ผึ้ง เป็นยาร้อน ใช้ทาแก้เพื่อทำลายพิษอักเสบเรื้อรัง ปวดยอกตามกล้ามเนื้อ สะบักจม อก เจ็บปวดรวดร้าวตามเส้นเอ็น โรคปวดผิวหนัง รอยผิวแตกในช่วงฤดูหนาว แก้พิษสัตว์กัดต่อย วางในห้องหรือตู้เก็บเสื้อผ้าไล่ยุงและก็แมลง บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้เริ่มแรก ตามประกาศคณะกรรมการปรับปรุงระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ปรากฏการใช้การบูร ร่วมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆในตำรับ ในยารักษาหลายกรุ๊ปอาการ เช่น “ยาธาตุบรรจบ” มีสรรพคุณของตำรับ ใช้ทุเลาอาการท้องอืดเฟ้อ และก็อาการอุจจาระธาตุพิการ ท้องร่วงที่ไม่ติดเชื้อ ฯลฯ, ตำรับ “ยาแก้ลมอัมพฤกษ์” มีส่วนประกอบของการบูรร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณของตำรับสำหรับในการบรรเทาอาการปวดตามเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ มือ เท้า ตึงหรือชา ตำรับ "ยาประสะไพล" มีส่วนประกอบของการบูรร่วมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณของตำรับสำหรับเพื่อการรักษาระดูมาไม่สม่ำเสมอหรือมาน้อชูว่าปกติ บรรเทาลักษณะของการปวดระดู แล้วก็ขับน้ำคาวปลาในหญิงหลังคลอดลูก ในทางการแพทย์แผนปัจจุบันพบว่าการบูรดูดซึมทางผิวหนังได้ดี และก็รู้สึกเย็นเมื่อสัมผัสกับผิวหนังเหมือนกับเมนทอล มีฤทธิ์เป็นยาชาและก็ต้านทานจุลอินทรีย์อย่างอ่อนๆใช้ทาเฉพาะที่แก้เคล็ดลับบวม ขัดยอก แพลง แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย แล้วก็โรคผิวหนัง นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง นอกเหนือจากนั้นยังมีการนำการบูรมาใช้ประโยชน์อื่นๆอีกดังเช่นว่า
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา การทดลองความเป็นพิษ เมื่อฉีดสารสกัดส่วนที่อยู่เหนือดินของต้นการบูรด้วยเอธานอล-น้ำ เข้าท้องหนูถีบจักรพบว่าขนาดที่ทำให้สัตว์ทดสอบตายครึ่งหนึ่งมากยิ่งกว่า 1 กรัม/กิโลกรัม เมื่อป้นส่วนที่เป็นไขมันให้สุนัขในขนาด 5 ซีซี/กิโลกรัม ไม่พบพิษ มีรายงานว่าการกินการบูร ขนาด 3.5 กรัม ทำให้เสียชีวิตได้ รวมทั้งถ้าเกิดรับประทานเกินทีละ 2 กรัม จะก่อให้สลบ และเป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหาร ไต และสมอง อาการแสดงเมื่อได้รับพิษหมายถึงคลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ตาลายหัว กล้ามสั่น กระตุก เกิดการชัก สมองดำเนินงานขาดตกบกพร่อง เกิดภาวะงงมาก ดังนี้ ขึ้นกับขนาดที่ได้รับ ธรรมดาแล้วร่างกายมีการกำจัดการบูรเมื่อกินเข้าไป ผ่านการเมทาบอลิซึมที่ตับ โดยการบูรจะถูกกลายเป็นสารกลุ่มแอลกอฮอล์ โดยการเติมออกสิเจนในโมเลกุล กำเนิดเป็นสาร campherolแล้วจะจับตัวกับ glucuronic acid ในตับ เกิดเป็นสารประกอบที่ละลายน้ำได้ แล้วก็ถูกขับออกทางปัสสาวะ แต่ว่าถ้าเกิดได้รับในจำนวนสูงเกินไป ก็จะมีการหลงเหลือกระทั่งเกิดอันตรายต่อตับ แล้วก็ไตได้ การสูดดมการบูร ที่มีความเข้มข้นกลางอากาศมากกว่า 2 ppm (2 ส่วนในล้านส่วน หรือ 2 mg/m3) จะมีผลให้เกิดอาการนิดหน่อยถึงปานกลาง อย่างเช่น การระคายเคืองต่อจมูก ตา และก็ลำคอ ขนาดที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดพิษร้ายแรงต่อชีวิต รวมทั้งสุขภาพเป็น 200 mg/m3ความเป็นพิษของการบูรที่เกิดขึ้นจากการรับประทาน ตัวอย่างเช่น อ้วก คลื่นไส้ เจ็บท้อง ปวดหัว ชัก หมดสติ หรือบางทีอาจมีอันตรายถึงชีวิตจากภาวะระบบการหายใจล้มเหลว โดยขนาดของการบูรที่นำมาซึ่งอาการพิษที่รุนแรง (ชัก หมดสติ) ในผู้ใหญ่เป็น34 mg/kg ยิ่งกว่านั้นยังมีแถลงการณ์ว่า การกินน้ำมันการบูรในขนาด 3-5 mL ที่มีความเข้มข้น 20% หรือมากยิ่งกว่า 30 mg/Kg จะก่อให้เสียชีวิตได้ มีรายงาน case report เจาะจงไว้ว่า มีเด็กหญิงอายุ 3 ปีครึ่ง ทานการบูรเข้าไป โดยไม่เคยทราบขนาดที่กิน ปรากฏว่ามีลักษณะอาการชักแบบกล้ามเกร็งทั้งตัวโดยไม่มีการกระตุก (generalised tonic seizures) นาน 20-30 นาที ก่อนที่จะมาถึงโรงพยาบาล ผลของการตรวจทางห้องทดลองพบว่า ระดับน้ำตาล ระดับ electrolytes รวมทั้งระดับแคลเซียม มีค่าปกติ การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (Electroencephalography (EEG) พบว่ามีค่าธรรมดา และมีอาการอ้วก 1 ครั้ง เมื่อมาถึงโรงพยาบาล พบสารสีขาว และมีกลิ่นการบูรร้ายแรงจากการคลื่นไส้ ขนาด/จำนวนที่ควรจะใช้ ในการรักประทานยังไม่มีข้อมูลที่ยืนยันแจ้งชัดว่าควรบริโภคการบูรเยอะแค่ไหน ที่จะไม่มีอันตรายต่อสภาพทางด้านร่างกายแต่ในด้านการสูดดมมีการคำนวณว่าในสารที่ผสมการบูรเสร็จแล้ว ไม่ควรเกินกว่า 2 ppm ซึ่งแปลว่า มีจำนวนของการบูร 2 มิลลิกรัมในสารละลาย 1 ลิตร ด้วยเหตุนั้นในการใช้การบูรทั้งยัง การรับประทานรวมทั้งการสูดดมความต้องระวังและใช้ตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด ข้อเสนอ/ข้อควรคำนึง
Tags : การบูร
|