ล้อแม็ก แม็ก แม็กล้อ แม็กซ์แต่งรถ ล้อแม็กคุณภาพ รวมล้อแม็กลายใหม่ๆ

Sitemap SMB => สินค้าอื่นๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: powad1208 ที่ พฤษภาคม 26, 2018, 08:46:26 am



หัวข้อ: ตะไค้ร้สามารถนำมาทำเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้เป็นอย่างดี
เริ่มหัวข้อโดย: powad1208 ที่ พฤษภาคม 26, 2018, 08:46:26 am
ตะไคร้
ชื่อสมุนไพร ตะไคร้
ชื่ออื่นๆ/ ชื่อแคว้น จะไคร (ภาคเหนือ) , ติดอยู่หอม (ไทใหญ่แม่ฮ่องสอน) , ไคร (ภาคใต้) , สิงไคร , หัวสิงไคร (อีสาน) , ห่อวอตะโป่ (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน) , เชิดเกรย , เหลอะเกรย (เขมร)
ชื่อสามัญ Lemon grass, West Indian lemongrass , Sweet rush
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cymbopogon citratus (DC.) Stapf
วงศ์   GRAMINEAE
ถิ่นกำเนิด ตะไคร้เป็นพืชสมุนไพรที่ผูกพันกับวิถีชีวิตของคนไทยพวกเรามาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว ทั้งนี้ก็เพราะตะไคร้เป็นพืชที่มีบ้านเกิดเมืองนอนในแถบเขตร้อนของทวีปเอเชีย อาทิเช่น ไทย , ประเทศพม่า , ลาว , มาเลเซีย , อินโดนีเซีย , อินเดียว , ศรีลังกา เป็นต้นและก็ยังสามารถพบได้ในประเทศเขตร้อนบางประเทศในแถบอเมริกาใต้ เช่นกัน โดยทั่วไปแล้ว ตะไคร้จัดเป็นไม้ล้มลุกตระกูลหญ้าและก็สามารถแบ่งออกเป็น 6 ประเภท เช่น ตะไคร้หอม ตะไคร้กอ ตะไคร้ต้น ตะไคร้น้ำ ตะไคร้หางนาค และก็ตะไคร้หางราชสีห์
ลักษณะทั่วไป ตะไคร้ เป็นพืชล้มลุกวงศ์เดียวกับหญ้า มักมีอายุมากยิ่งกว่า 1 ปี (ขึ้นกับสาเหตุทางสิ่งแวดล้อม)ลำต้นตะไคร้มีเหง้าใต้ดิน ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง รูปทรงกระบอก มีความสูงได้ถึง 1 เมตร (และใบ) ส่วนของลำต้นที่พวกเราแลเห็นจะเป็นส่วนของกาบใบที่ออกเรียงช้อนกันแน่น โคนต้นมีลักษณะกาบใบหุ้มหนา ผิวเรียบ และก็มีขนอ่อนปกคลุม ส่วนโคนมีรูปร่างอ้วน มีสีม่วงอ่อนเล็กน้อย รวมทั้งเบาๆเรียวเล็กลงแปลงเป็นส่วนของใบ ศูนย์กลางเป็นปล้องแข็ง ส่วนนี้สูงราวๆ 20-30 ซม. ขึ้นกับความอุดมสมบูรณ์ของดิน แล้วก็ประเภท และก็เป็นส่วนที่นำมาใช้สำหรับเข้าครัว ใบตะไคร้ประกอบด้วย 3 ส่วนเป็นก้านใบ (ส่วนลำต้นที่กล่าวข้างต้น) หูใบ (ส่วนต่อระหว่างกาบใบ และก็ใบ) และก็ใบ  ใบตะไคร้ เป็นใบเดี่ยว มีสีเขียว มีลักษณะเรียวยาว ปลายใบโค้งทางลงดิน โคนใบเชื่อมต่อกับหูใบ ใบมีรูปขอบขนาน ผิวใบสากมือ แล้วก็มีขนปกคลุม ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ แม้กระนั้นคม กลางใบมีเส้นกึ่งกลางใบแข็ง สีขาวอมเทา มองเห็นต่างกับแผ่นใบเด่นชัด ใบกว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ยาว 60-80 ซม.  ตะไคร้เป็นพืชที่มีดอกยาก ก็เลยไม่ค่อยพบเจอ ดอกตะไคร้ดอกจะออกดอกเป็นช่อกระจัดกระจาย มีก้านช่อดอกยาว และก็มีก้านช่อดอกย่อยเรียงเป็นคู่ๆในแต่ละคู่จะมีใบประดับรองรับ มีกลิ่นหอมหวน ดอกมีขนาดใหญ่คล้ายดอกอ๋อ
การขยายพันธุ์ ตะไคร้สามารถแพร่พันธุ์ได้ด้วย การปักชำต้นเหง้า โดยตัดใบออกให้เหลือตอนโคนราวหนึ่งคืบ นำมาปักชำไว้สักหนึ่งอาทิตย์ก็จะมีรากผลิออกออกมา แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปลงแปลงดินที่ตระเตรียมไว้  สำหรับวิธีการปลูกตะไคร้มีดังนี้

  • การเตรียมดิน ตะไคร้ถูกใจดินร่วนซุย ให้ไถกลับดินรวมทั้งไถพรวนลึกราว 0.5 เมตร แล้วทำหลุม แต่ละหลุมห่างกันประมาณ 0.5 เมตร
  • ลงต้นพันธุ์หลุมละ 3 ต้น กลบดินให้พอมิดรากตะไคร้ราว 10 เซนติเมตร
  • ตอนแรกรดน้ำทุกวัน แม้กระนั้นระวังอย่าให้น้ำเข้าไส้ตะไคร้เวลารดน้ำให้รดทีโคนต้นตะไคร้เท่านั้น มิฉะนั้นต้นตะไคร้จะเน่าห้ามใช้สปริงเกอร์เด็ดขาดต้องให้น้ำที่โคนเท่านั้น
  • ในช่วง 3 วันแรกที่ปลูกให้พรางแสงแดดให้ตะไคร้ด้วย หลังจากตะไคร้ปรับนิสัยได้แล้วให้เอาอุปกรณ์พรางแสงสว่างออกเพราะว่าธรรมชาติของตะไคร้ถูกใจแดด และก็เจริญวัยได้ดิบได้ดีในที่ที่มีแสงแรง
  • เมื่อผ่านไป 1 เดือนตะไคร้จะเริ่มตั้งกอ ให้ดูที่ต้น หากต้นเจริญเติบโตดี ลำต้นจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว 1.5-2 ซม.ก็สามารถตัดไปใช้หรือขายได้ การตัดตะไคร้ให้ตัดติดกก แต่ว่าอย่าให้สั่นสะเทือนรากที่อยู่ในดินเพราะตะไคร้สามารถแตกขึ้นมาตั้งกอได้อีก ไม่ต้องไปหาต้นชนิดมาปลูกใหม่แทน
  • เมื่อตัดควรตัดให้หมดกอ เพื่อต้นตะไคร้ที่แตกใหม่จะได้เติบโตได้เต็มกำลัง
  • หลัง จากตัดแล้วตะไคร้จะตั้งกอใหม่ภายในช่วงเวลา 1-2 เดือนเมื่อตะไคร้โตสุดกำลังรวมทั้งสามารถตัดได้อีกอยู่ตลอดไปจวบจนกระทั่งต้นจะชำรุดทรุดโทรม หรือ ตะไคร้ไม่แตกขึ้นมาอีก

ตะไคร้ถูกใจดินร่วนซุย แต่ก็สามารถเจริญก้าวหน้าได้ในดินดูเหมือนจะทุกจำพวกเป็นพืชที่ดูแลง่ายดายถูกใจน้ำชอบแดดจ้า เป็นพืชทนแล้งได้ดิบได้ดี รวมทั้งเป็นพืชที่มีโรคน้อย ศัตรูพืชก็ไม่ค่อยมี (น่าจะมีเหตุที่เกิดจากการที่ตะไคร้มีน้ำมันหอมระเหยในทุกๆส่วนจึงสามารถคุ้มครองป้องกันจากแมลงต่างๆได้)
ส่วนประกอบทางเคมี
พบสาร  citral 80% นอกเหนือจากนี้ยังพบ trans – isocitral , geranial, nerol, geraniol, myrcene, limonene, eugenol, linalool, menthol, nerolidol, camphor, farnesol, citronellol,
ที่มา : wikipedia
citronellal, farnesol , caryophyllene oxide ส่วนในน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ มีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ลดการบีบตัวของไส้ คือ menthol, cineole, camphor และก็ linalool จึงลดอาการแน่นจุกเสียด  รวมทั้งช่วยขับลม  นอกนั้นมี citral, citronellol, geraneol และก็ cineole มีฤทธิ์ยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรียเป็นต้นว่า E. coli   ส่วนค่าทางโภชนาการของตะไคร้มีดังนี้
ค่าทางโภชนาการของตะไคร้ ( 100 กรัม)

  • พลังงาน 143 กิโลแคลอรี่
  • โปรตีน 1.2 กรัม
  • ไขมัน 2.1 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 29.7 กรัม
  • เส้นใย 4.2 กรัม
  • แคลเซียม 35 มก.
  • ฟอสฟอรัส 30 มก.
  • เหล็ก 2.6 มก.
  • วิตามินเอ 43 ไมโครกรัม
  • ไทอามีน 0.05 มก.
  • ไรโบฟลาวิน 0.02 มก.
  • ไนอาสิน 2.2 มก.
  • วิตามินซี 1 มก.
  • ขี้เถ้า 1.4 กรัม

ที่มา: กองโภชนาการ (2544)
ประโยชน์ / คุณประโยชน์ ใช้ส่วนของเหง้า ลำต้นแล้วก็ใบของตะไคร้ เป็นส่วนประกอบของของกินที่สำคัญหลายแบบดังเช่นว่า ต้มยำ และของกินไทยหลายชนิด และใช้เป็นเครื่องเทศปรุงอาหารสำหรับดับกลิ่นคาว ช่วยให้ของกินมีกลิ่นหอม รวมทั้งปรับแต่งรสให้น่าอร่อยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สามารถประยุกต์ใช้ทำเป็นน้ำตะไคร้ น้ำตะไคร้ใบเตย ช่วยดับร้อนแก้หิวได้เป็นอย่างดี  สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายชนิด ดังเช่น เครื่องปรุงอบแห้ง ตะไคร้แห้งสำหรับชงดื่ม เอามาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย ฯลฯ
น้ำมันตะไคร้ (น้ำมันหอมระเหยที่ได้จากการสกัดตะไคร้)
– ใช้เป็นส่วนประกอบของน้ำหอม
– ใช้เป็นส่วนผสมสำหรับทำสบู่ แชมพูสระผม
– ใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องแต่งหน้า
– ใช้ทานวด แก้เมื่อย
– ใช้ทาลำตัว แขน ขา เพื่อปกป้อง ยุง และแมลง
– ใช้เป็นส่วนผสมของสารปกป้อง และกำจัดแมลง
ส่วนคุณประโยชน์ของทางยาของตะไคร้นั้นมีดังนี้
หนังสือเรียนยาไทย: ต้น รสหอมปร่า ขับลม ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อแน่นจุกเสียด  แก้อาการเกร็ง ขับเหงื่อ แก้โรคฟุตบาทปัสสาวะ แก้อาการขัดเบา แก้นิ่ว แก้ปัสสาวะเป็นเลือด ทำให้เจริญอาหาร ลดความดันโลหิต เหง้า แก้ไม่อยากอาหาร บำรุงไฟธาตุ แก้กระษัย ขับลมในลำไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ปัสสาวะขัด แก้เยี่ยวพิการ แก้นิ่ว เป็นยารักษาโรคเกลื้อน แก้ไข้หวัด ขับระดู ขับตกขาว ใช้ด้านนอกทาแก้ลักษณะของการปวดบวมตามข้อ
           ตำราเรียนยาประจำถิ่นอีสาน : ใช้อีกทั้งต้น ลดไข้ โดยนำมาต้มจนเดือดประมาณ 10 นาที ยกลงดื่มครั้งละครึ่งแก้วสามเวลา ใช้ด้านนอกรักษาโรคผิวหนังโดยต้มกับน้ำแล้วก็เอามาอาบ
           ตำรับยาสมุนไพรล้านนา: ใช้รักษาอาการบวมในเด็ก วัยกลางคน และผู้สูงวัย โดยในตำรับประกอบด้วยตะไคร้ รวมทั้งสมุนไพรอื่นอีก 13 ชนิด นำไปต้มอาบ
           ทางสุคนธบำบัดน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้บ้าน ช่วยกระตุ้นให้ตื่นตัว สดชื่น ทำให้ขมีขมัน เครียดน้อยลง แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยสำหรับการย่อยอาหาร ช่วยเจริญอาหาร ทุเลาลักษณะของการปวดโรคข้ออักเสบ ปวดกล้ามเนื้อ
ส่วนสรรพคุณทางด้านการแพทย์แผนปัจจุบันที่ได้มีการวิจัยทางสถานพยาบาลผลปรากฏว่า น้ำยาบ้วนปากจากตะไคร้สามารถช่วยลดกลิ่นปากที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียบางชนิดลงได้รวมทั้งพบว่ามีความปลอดภัยจากการใช้แรงงานในกลุ่มผู้ถูกทดลอง แม้ยังคงควรจะมีการปรับปรุงกลิ่นแรงรวมทั้งรสจากตะไคร้เพิ่มต่อไป และในน้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากตะไคร้มีอัตราการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคเกลื้อนอยู่ที่ราวๆ 60% ในระหว่างที่ตัวยาคีโตโคนาโซลมีประสิทธิผลทางการรักษาสูงกว่าเป็นอยู่ที่ 80%  และมีการทดลองคุณภาพของตะไคร้ด้วยการทาโลชั่นที่มีส่วนผสมของน้ำมันตะไคร้ลงบนแขนของผู้อาสาสมัครทดสอบ แล้วให้ผู้ทดลองอยู่ในบริเวณที่มีตัวริ้นชนิด Culicoides Pachymerus อยู่อย่างชุกชุม โดยทดสอบบ่อยๆ10 ครั้ง เพื่อทดสอบประสิทธิผลทางการปกป้องภายใน 3-6 ชั่วโมง ผลของการทดลองพบว่า โลชั่นที่มีส่วนผสมของตะไคร้มีประสิทธิผลทางการป้องกันตัวริ้นประเภทนี้ได้สูงสุดถึงโดยประมาณ 5 ชั่วโมง  ส่วนการทดสอบถึงประสิทธิภาพของตะไคร้สำหรับในการคุ้มครองยุงก้นปล่องสายพันธุ์ Anopheles Arabiensis ในอาสาสมัครทดลองผู้ชาย 3 คน พบว่ายากันยุงที่มีส่วนผสมของตะไคร้มีประสิทธิภาพในการคุ้มครองป้องกันยุงได้ยาวนานที่โดยประมาณ 3 ชั่วโมง  ส่วนในหัวข้อการกำจัดรังแคนั้น มีงานทดสอบหนึ่งในไทยที่นำเอาน้ำมันสกัดจากตะไคร้มาเป็นส่วนประกอบในสินค้าน้ำมันบำรุงเส้นผมแต่งกลิ่น 5, 10 รวมทั้ง 15% โดยมีอาสาสมัครทดสอบเป็นคนไทยในวัย 20-60 ปี จำนวน 30 คน ผลของการทดสอบพบว่า สินค้าน้ำมันบำรุงเส้นผมแต่งกลิ่นตะไคร้มีประสิทธิผลต่อการลดจำนวนรังแคลงอย่างเป็นจริงเป็นจัง โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของตะไคร้ 10%
ต้นแบบ/ขนาดวิธีการใช้
ใช้รักษาอาการขัดเบา    เหง้ารวมทั้งลำต้นสด   หรือแห้ง  1  กำมือ  หรือน้ำหนักสด  40-60  กรัม  แห้ง  20-30  กรัม  ทุบต้มกับน้ำพอควร  แบ่งดื่ม  3  ครั้งๆละ  1  ถ้วยชา (75  ไม่ลิลิตร) ก่อนอาหาร  หรือจะหั่นตะไคร้  คั่วด้วยไฟอ่อนๆพอเพียงเหลือง  ชงด้วยน้ำเดือด  ปิดฝาทิ้งไว้  5-10  นาที  ดื่มแต่ว่าน้ำ 3 ครั้ง ครั้งละ  1  ถ้วยชา  ก่อนรับประทานอาหาร                     
ใช้รักษาท้องอืดท้องเฟ้อแน่นจุกเสียด   ใช้เหง้าและลำต้นสด  1  กำมือ  น้ำหนัก  40-60  กรัม  ทุบเพียงพอแตก  ต้มกับน้ำ  2  ถ้วยแก้ว  เดือด  5-10  นาที  ดื่มแต่น้ำ  ครั้งละ  1/2  แก้ว  วันละ  3  คราวหน้าอาหาร     
การใช้ตะไคร้รักษาอาการแน่นจุกเสียด ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขพื้นฐาน)

  • นำตะไคร้ทั้งต้นรวมถึงรากจำนวน 5 ต้น สับเป็นท่อน ต้มกับเกลือ เติมน้ำสุก 3 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มครั้งละ 1 ถ้วยแก้ว ต่อเนื่องกัน 3 วัน จะหายเจ็บท้อง
  • นำลำต้นแก่สดๆตีเพียงพอแหลกประมาณ 1 กำมือ (40-60 กรัม) ต้มเอาน้ำ

                ใช้รักษาอาการแฮงค์ ใช้ต้นสดโขลกคั้นเอาน้ำแก้อาการเมาในกรณีคนที่เมามากๆช่วยให้หายเร็ว
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา

  • ฤทธิ์ลดการบีบตัวของไส้ สารเคมีในน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ช่วยขับลม น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้จึงลดอาการแน่นจุกเสียดได้
  • ฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคแบคทีเรียมูลเหตุอาการแน่นจุกเสียดและท้องร่วง เมื่อนำน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ (ความเข้มข้นปริมาณร้อยละ 0.3) มาทดลอง พบว่าสามารถต่อต้านเชื้อแบคทีเรียที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการท้องเสียได้ปานกลาง   มีการพัฒนาสูตรตำรับเจล ล้างมือจากน้ำมันตะไคร้สำหรับยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่นำไปสู่อาการท้องเสีย พบว่าตำรับที่มีประสิทธิภาพสำหรับการยั้งเชื้อแบคทีเรียดังที่ได้กล่าวมาแล้วได้ดีที่สุดหมายถึงตำรับที่มีความเข้มข้นของน้ำมันตะไคร้ร้อยละ 5 โดยน้ำหนัก แล้วก็มีการจดสิทธิบัตรสำหรับสารสกัดตะไคร้ที่เป็นส่วนประกอบในยา อาหาร หรือเครื่องสำอาง โดยกล่าวว่าสามารถยั้งเชื้อแบคทีเรีย E. coli ได้
  • ฤทธิ์ต้านเชื้อรา สารสกัดด้วยเอทานอล แล้วก็น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ สามารถต้านเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนัง ดังเช่น กลาก เกลื้อน ได้  โดยน้ำมันตะไคร้ที่มีสาร citral แล้วก็ myrcene เป็นส่วนประกอบหลักจะมีฤทธ์ยั้งเชื้อราดังที่กล่าวถึงมาแล้ว แล้วก็เมื่อนำน้ำมันตะไคร้ไปปรับปรุงเป็นครีมต่อต้านเชื้อราพบว่าที่ความเข้มข้นปริมาณร้อยละ 2.5 แล้วก็ 3.0 จะได้ผลต่อต้านเชื้อราได้ดีที่สุดแล้วก็เหมาะสมที่จะปรับปรุงเป็นตำรับยาต่อไป

เมื่อนำน้ำมันหอมระเหย แล้วก็สารสกัดด้วยเฮกเซน, คลอโรฟอร์ม, เอทานอล และน้ำ มาทดลองฤทธิ์ต่อต้านเชื้อรา พบว่าน้ำมันหอมระเหยแล้วก็สารสกัดตะไคร้ด้วยเฮกเซนสามารถต่อต้านเชื้อราได้ทุกประเภท  ส่วนสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์มมีฤทธิ์ต้านทานเชื้อราได้น้อย ในช่วงเวลาที่สารสกัดด้วยเอทานอลแล้วก็น้ำไม่มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อรา และก็จากผลของการทดสอบยังพบว่าสารประกอบหลักในน้ำมันหอมระเหย แล้วก็ในสารสกัดด้วยเฮกเซนที่มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อราก้าวหน้า คือ สาร citral
                 มีการจดสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ตะไคร้ในรูปของ emulsion และก็ nanocapsule ที่มีน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ ใช้สำหรับรักษาโรคผิวหนังที่เกิดขึ้นมาจากเชื้อรา E.  floccosum, Microsporum canis และ  T.  rubrum โดยไปยับยั้งการเจริญเติบโตหรือฆ่าเซลล์ของเชื้อราดังกล่าวมาแล้วข้างต้น

  • ฤทธิ์ต่อต้านยีสต์ สารสกัดด้วยเอทานอล รวมทั้งน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้สามารถต่อต้านยีสต์ Candida albicans ได้
  • ฤทธิ์แก้ปวด พบว่าน้ำมันหอมระเหยสามารถทุเลาอาการปวดได้เมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องหนูเม้าส์ที่ถูกรั้งนำให้กำเนิดความเจ็บปวดด้วยความร้อน  หรือถ้าเกิดป้อนน้ำมันหอมระเหยในขนาดเท่าเดิมทางปากจะสามารถทุเลาอาการปวดได้เมื่อเทียบกับยา meperidine

ชาชงตะไคร้ เมื่อป้อนให้หนูเม้าส์รับประทานตรงเวลา 30 นาที ก่อนที่จะเหนี่ยวนำหนูให้ปวดอุ้งเท้าด้วยสารคาราจีแนน 100 ไมโครกรัม/อุ้งเท้า  หรือด้วยสาร prostaglandin E2  และ dibutyryl cyclic AMP พบว่าสามารถยับยั้งอาการปวดจากการที่ถูกรั้งนำด้วยสารคาราจีแนน แล้วก็ prostaglandin E2 ได้  แต่ว่าไม่เป็นผลถ้าเกิดเหนี่ยวนำให้ปวดด้วย dibutyryl cyclic AMP  ยิ่งไปกว่านี้น้ำมันหอมระเหยตะไคร้  รวมทั้งสาร myrcene เมื่อป้อนให้หนูที่ถูกรั้งนำให้กำเนิดลักษณะของการปวดด้วย prostaglandin E2  พบว่าสามารถยับยั้งอาการปวดได้

  • ฤทธิ์ลดไข้ เมื่อให้สารสกัดน้ำร้อนจากใบของตะไคร้ ทางสายยางแก่หนูขาวในขนาด 20 มล./กก. ไม่มีฤทธิ์ลดอุณหภูมิของหนูขาว แต่ว่าเมื่อฉีดเข้าช่องท้องหนูขาวในขนาด 40.0 มิลลิลิตร/กก. พบว่าลดอุณหภูมิของหนูขาวได้อย่างมีนัยสำคัญ (p< 0.05) (2) เมื่อให้สารสกัดน้ำร้อนจากใบของตะไคร้ ทางสายยางแก่หนูขาวในขนาด 20-40 มิลลิลิตร/กิโลกรัม ทุกวันตรงเวลา 8 อาทิตย์ พบว่าไม่มีฤทธิ์ลดอุณหภูมิกายของหนูขาว
  • ฤทธิ์ขับน้ำดี ตะไคร้มีสารช่วยสำหรับการขับน้ำดีมาช่วยย่อย คือ borneol, fenchone และ cineole
  • ฤทธิ์ขับลม ยาชงตะไคร้เมื่อให้กินไม่มีผลขับลม แม้กระนั้นถ้าเกิดให้โดยฉีดทางช่องท้องจะให้ผลดี

เมื่อกรอกน้ำมันหอมระเหยจากใบเข้ากระเพาะอาหาร หรือฉีดเข้าช่องท้องหนูถีบจักรเพศผู้ ขนาด 10, 50, 100 มก./กก. พบว่าสามารถทุเลาลักษณะของการปวดได้ แล้วก็เมื่อกรอก    น้ำมันหอมระเหยจากใบ เข้าข้างในกระเพาะหนูขาว ขนาด 20% พบว่ามีฤทธิ์บรรเทาลักษณะของการปวดที่เหนี่ยวนำด้วย carageenan หรือ PGE2 แต่ว่าไม่ได้เรื่องในหนูที่ทำให้ปวดด้วย dibutyryl cyclic AMP ซึ่งสารออกฤทธิ์หมายถึงmyrcene (1) นอกนั้นเมื่อกรอกสารสกัดเอทานอล 95% จากใบสด เข้ากระเพาะหนูถีบจักร ขนาด 1 ก./กก. พบว่าไม่อาจจะทุเลาลักษณะของการปวดได้
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา หลักฐานความเป็นพิษรวมทั้งการทดลองความเป็นพิษ
เมื่อให้น้ำมันหอมระเหยเข้าทางกระเพาะกระต่าย พบว่ามีค่า LD50 มากกว่า 5 กรัม/กก. ส่วนพิษในหนูขาวไม่ชัดแจ้ง และเมื่อป้อนสารสกัดใบด้วยอัลกอฮอล์และก็น้ำ (1:1) ขนาด 460 มิลลิกรัม/กก. เข้ากระเพาะอาหารหนูถีบจักร พบว่าเป็นพิษ แม้กระนั้นสารสกัดใบด้วยน้ำ ขนาด 20-40 ซีซี/กิโลกรัม เมื่อให้ทางปากไม่พบพิษ และไม่เป็นพิษต่อตัวอ่อน และไม่ส่งผลต่อน้ำหนักตัวของหนูขาว มีผู้ศึกษาพิษของน้ำมันหอมระเหย พบว่าอัตราส่วน LD50/TD พอๆกับ 6.9 การป้อนยาชงตะไคร้ให้หนูขาวในขนาด 20 เท่าของขนาดที่ใช้ในคนตรงเวลา 2 เดือน ไม่เจอความเป็นพิษ
          การเล่าเรียนพิษทันควันของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ขนาด 1,500 ppm เป็นเวลา 60 วัน พบว่าหนูขาวกรุ๊ปที่ได้ตะไคร้ โตเร็วกว่ากรุ๊ปควบคุม แม้กระนั้นค่าเคมีเลือดไม่เปลี่ยนแปลง
สารสกัดตะไคร้ด้วยเอทานอล (80%) ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ใน Staphylococcus typhimurium TA98 และ TA100 มีผู้ทดลองฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ใน mammalian cells ของ b-myrcene ซึ่งเป็นสารสำคัญในตะไคร้ พบว่าไม่เจอฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ มีผู้ทดลองใช้ตะไคร้แห้ง ขนาด 400 มคกรัม/จานเพาะเชื้อ มาทดลองกับ S. typhimurium TA98 และก็เมื่อนำน้ำต้มใบตะไคร้กับเนื้อ (วัว ไก่ หมู) ขนาด 4, 8 รวมทั้ง 16 มก./จานเพาะเชื้อ ทดลองกับ S. typhimurium TA98 แล้วก็ TA100 ไม่พบฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ และสารสกัดด้วยน้ำขนาด 0.5 ซีซี/จานเพาะเชื้อ ไม่มีผลก่อกลายพันธุ์ใน Bacillus subtilis H-17 (Rec+) และก็ M-45 (Rec-) ตะไคร้สดในขนาด 1.23 มก./ซีซี ไม่มีพิษต่อยีน (16) รวมทั้ง b-myrcene ซึ่งเป็นสารสำคัญก็ไม่เจอพิษด้วยเหมือนกัน
สาร citral ซึ่งเป็นสารที่ได้จากน้ำมันหอมระเหยจากใบ เป็นพิษต่อเซลล์ P388 mouse leukemia และก็น้ำมันหอมระเหย เป็นพิษต่อเซลล์ P388 leukemia โดยมีค่า IC50 5.7 มคกรัม/มล. แม้กระนั้นเมื่อผสมน้ำมันหอมระเหยตะไคร้กับโหระพาช้าง (1:1 vol./vol.) มีค่า IC50 10.2 มคกรัม/มล. ส่วนสกัด (partial purified fraction) ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ PS (murine lymphocytic leukemia P388),FA   ( murine ascites mammary carcinoma FM3A ) แต่สารสกัดหยาบคายแสดงฤทธิ์อย่างอ่อนต่อเซลล์ FA สารสกัดใบด้วยเมทานอล ในขนาด 50 มคก./ มิลลิลิตร ออกฤทธิ์ไม่แน่นอนต่อเซลล์มะเร็ง CA-9KB แม้กระนั้นในขนาด 20 มคกรัม/ มล. ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ RAJI
มีผู้ทดสอบพิษของชาที่จัดแจงจากตะไคร้พบว่าเมื่อให้อาสาสมัครสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงรับประทานชาตะไคร้ 1 ครั้ง หรือกินวันละครั้งตรงเวลา 2 สัปดาห์ ไม่พบความเคลื่อนไหวทางเคมีในเลือด เม็ดเลือดแล้วก็ปัสสาวะ มีบางรายแค่นั้นที่มีปริมาณบิลลิรูบิน รวมทั้ง amylase สูงขึ้น ก็เลยถือว่าไม่มีอันตราย ส่วนน้ำมันตะไคร้เมื่อผสมในน้ำหอม โดยผสมน้ำมันตะไคร้ปริมาณร้อยละ 0.8 พบว่ามีลักษณะแพ้ แม้กระนั้นการแพ้นี้อาจเกิดขึ้นจากสารอื่นได้ แล้วก็มีรายงานความเป็นพิษต่อถุงลมปอดเมื่อสูดกลิ่นน้ำมันตะไคร้
ข้อเสนอแนะ / ข้อควรพิจารณา

  • การบริโภคตะไคร้หรือการใช้ตะไคร้ทาบนผิวหนังเพื่อจุดประสงค์ทางการรักษาโรค อาจจะไม่เป็นอันตรายถ้าหากใช้ตะไคร้ในช่วงเวลาสั้นๆภายใต้การดูแลและก็คำเสนอแนะจากหมอ
  • การสูดดมสารที่มีส่วนประกอบของตะไคร้ อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่เกิดอันตรายแล้วก็เป็นพิษต่อสุขภาพร่างกายได้ในคนเจ็บบางราย อาทิเช่น ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพปอด
  • ขอความเห็นแพทย์ เภสัชกร รวมทั้งศึกษาเล่าเรียนข้อมูลบนฉลากอย่างถี่ถ้วนก่อนใช้สินค้าใดๆก็ตามที่มีสารสกัดมาจากตะไคร้ก่อนเสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดผลข้างเคียงที่อาจมีอันตรายต่อร่างกายข้างหลังการบริโภค
  • ระวังการใช้ตะไคร้และก็สินค้าจากตะไคร้ในผู้ที่เป็นต้อหิน (glaucoma) ด้วยเหตุว่า citral จะทำให้ความดันในดวงตามากขึ้น
เอกสารอ้างอิง

  • ตะไคร้.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ฉบับประชาชนทั่วไป.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ตะไคร้แกง.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
  • Puatanachokchai R, Vinitketkumnuen U, Picha P.  Antimutagenic and cytotoxic effects of lemon grass.  The 11th   Asia Pacific Cancer Conference, Bangkok Thailand, 16-19 1993.
  • คุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย.กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข.2544.
  • Carlini EA, Contar JDDP, Silva-Filho AR, Solveira-Filho NG, Frochtengarten ML, Bueno,OFA. Pharmacology of  lemongrass (Cymbopogon citratus Stapf).    Effects of teas prepared from the leaves on laboratory animals.  J  Ethnopharmacol 1986;17(1):37-64.
  • ตะไคร้สรรพคุณประโยชน์กับบทพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์.พบแพทย์ดอทคอม. http://www.disthai.com/[/b]
  • Lemongrass oil West Indian.  Food Cosmet Toxicol 1976;14:457.
  • กาญจนา ขยัน,การอบแห้งตะไคร้ด้วยเทคนิคการให้ความร้อนแบบไดอิเล็กตริกโดยใช้เครื่องอบไมโครเวฟที่ควบคุมอุณหภูมิได้.
  • Vinitketkumnuen U, Puatanachokchai R, Kongtawelert P, Lertprasertsuke N, Matsushima T.  Antimutagenicity of   lemon grass (Cymbopogon citratus Stapf) to various known mutagens in Salmonella mutation assay.  Mutat Res   1994;341(1):71-5.
  • ตะไคร้ใบตะไคร้ประโยชน์และสรรพคุณตะไคร้.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อเกษตรไทย.
  • Souza Formigoni MLO, Lodder HM, Filho OG, Ferreira TMS, Carlini EA. Pharmacology of lemongrass  (Cymbopogon citratus Stapf).    Effects of daily two month administration in male and female rats and in  offspring exposed "in utero". J Ethnopharmacol 1986;17(1):65-74.
  • Parra AL, Yhebra RS, Sardinas IG, Buela LI.  Comparative study of the assay of Artemia salina L. and the  estimate of the medium lethal dose (LD50 value) in mice, to determine oral acute toxicity of plant extracts.   Phytomedicine 2001;8(5):395-400.
  • ตะไคร้.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • Kauderer B, Zamith H, Paumgartten FJ, Speit G. Evaluation of the mutagenicity of b-myrcene in mammalian cells   in vitro.  Environ Mol Mutagen 1991;18(1):28-34.
  • Lorenzetti BB, Souza GEP, Sarti SJ, et al. Myrcene mimics the peripheral analgesic activity of lemongrass tea.  J  Ethnopharmacol 1991;34(1):43-8.   
  • Skramlik EV. Toxicity and toleration of volatile oils.  Pharmazie 1959;14:435-45.
  • Ostraff M, Anitoni K, Nicholson A, Booth GM. Traditional Tongan cures for morning sickness and their   mutagenic/toxicological evaluations.  J Ethnopharmacol 2000;71(1/2):201-19.
  • Wohrl S, Hemmer W, Focke W, Gotz M, Jarisch R. The significance of fragrance mix, balsam of Peru, colophony   and propolis as screening tools in the detection of fragrance allergy.  Br J Dermatol 2001;145(2):268-73.
  • Onbunma S, Kangsadalampai K, Butryee B, Linna T. Mutagenicity of different juices of meat boiled with herbs   treated with nitrite.  Ann Res Abst, Mahidol Univ (Jan 1 – Dec 31, 2001) 2002;29:350.
  • Costa M, Di Stasi LC, Kirizawa M, et al. Screening in mice of some medicinal plants used for analgesic purposes  in the state of Sao Paulo.  J Ethnopharmacol 1989;27(1/2):25-33.
  • Mishra AK, Kishore N, Dubey NK, Chansouria JPN. An evaluation of the toxicity of the oils of Cymbopogon   citratus and Citrus medica in rats.  P
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ