หัวข้อ: ตะไค้ร้สามารถนำมาทำเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้เป็นอย่างดี เริ่มหัวข้อโดย: powad1208 ที่ พฤษภาคม 26, 2018, 08:46:26 am ตะไคร้
ชื่อสมุนไพร ตะไคร้ ชื่ออื่นๆ/ ชื่อแคว้น จะไคร (ภาคเหนือ) , ติดอยู่หอม (ไทใหญ่แม่ฮ่องสอน) , ไคร (ภาคใต้) , สิงไคร , หัวสิงไคร (อีสาน) , ห่อวอตะโป่ (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน) , เชิดเกรย , เหลอะเกรย (เขมร) ชื่อสามัญ Lemon grass, West Indian lemongrass , Sweet rush ชื่อวิทยาศาสตร์ Cymbopogon citratus (DC.) Stapf วงศ์ GRAMINEAE ถิ่นกำเนิด ตะไคร้เป็นพืชสมุนไพรที่ผูกพันกับวิถีชีวิตของคนไทยพวกเรามาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว ทั้งนี้ก็เพราะตะไคร้เป็นพืชที่มีบ้านเกิดเมืองนอนในแถบเขตร้อนของทวีปเอเชีย อาทิเช่น ไทย , ประเทศพม่า , ลาว , มาเลเซีย , อินโดนีเซีย , อินเดียว , ศรีลังกา เป็นต้นและก็ยังสามารถพบได้ในประเทศเขตร้อนบางประเทศในแถบอเมริกาใต้ เช่นกัน โดยทั่วไปแล้ว ตะไคร้จัดเป็นไม้ล้มลุกตระกูลหญ้าและก็สามารถแบ่งออกเป็น 6 ประเภท เช่น ตะไคร้หอม ตะไคร้กอ ตะไคร้ต้น ตะไคร้น้ำ ตะไคร้หางนาค และก็ตะไคร้หางราชสีห์ ลักษณะทั่วไป ตะไคร้ เป็นพืชล้มลุกวงศ์เดียวกับหญ้า มักมีอายุมากยิ่งกว่า 1 ปี (ขึ้นกับสาเหตุทางสิ่งแวดล้อม)ลำต้นตะไคร้มีเหง้าใต้ดิน ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง รูปทรงกระบอก มีความสูงได้ถึง 1 เมตร (และใบ) ส่วนของลำต้นที่พวกเราแลเห็นจะเป็นส่วนของกาบใบที่ออกเรียงช้อนกันแน่น โคนต้นมีลักษณะกาบใบหุ้มหนา ผิวเรียบ และก็มีขนอ่อนปกคลุม ส่วนโคนมีรูปร่างอ้วน มีสีม่วงอ่อนเล็กน้อย รวมทั้งเบาๆเรียวเล็กลงแปลงเป็นส่วนของใบ ศูนย์กลางเป็นปล้องแข็ง ส่วนนี้สูงราวๆ 20-30 ซม. ขึ้นกับความอุดมสมบูรณ์ของดิน แล้วก็ประเภท และก็เป็นส่วนที่นำมาใช้สำหรับเข้าครัว ใบตะไคร้ประกอบด้วย 3 ส่วนเป็นก้านใบ (ส่วนลำต้นที่กล่าวข้างต้น) หูใบ (ส่วนต่อระหว่างกาบใบ และก็ใบ) และก็ใบ ใบตะไคร้ เป็นใบเดี่ยว มีสีเขียว มีลักษณะเรียวยาว ปลายใบโค้งทางลงดิน โคนใบเชื่อมต่อกับหูใบ ใบมีรูปขอบขนาน ผิวใบสากมือ แล้วก็มีขนปกคลุม ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ แม้กระนั้นคม กลางใบมีเส้นกึ่งกลางใบแข็ง สีขาวอมเทา มองเห็นต่างกับแผ่นใบเด่นชัด ใบกว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ยาว 60-80 ซม. ตะไคร้เป็นพืชที่มีดอกยาก ก็เลยไม่ค่อยพบเจอ ดอกตะไคร้ดอกจะออกดอกเป็นช่อกระจัดกระจาย มีก้านช่อดอกยาว และก็มีก้านช่อดอกย่อยเรียงเป็นคู่ๆในแต่ละคู่จะมีใบประดับรองรับ มีกลิ่นหอมหวน ดอกมีขนาดใหญ่คล้ายดอกอ๋อ การขยายพันธุ์ ตะไคร้สามารถแพร่พันธุ์ได้ด้วย การปักชำต้นเหง้า โดยตัดใบออกให้เหลือตอนโคนราวหนึ่งคืบ นำมาปักชำไว้สักหนึ่งอาทิตย์ก็จะมีรากผลิออกออกมา แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปลงแปลงดินที่ตระเตรียมไว้ สำหรับวิธีการปลูกตะไคร้มีดังนี้
ตะไคร้ถูกใจดินร่วนซุย แต่ก็สามารถเจริญก้าวหน้าได้ในดินดูเหมือนจะทุกจำพวกเป็นพืชที่ดูแลง่ายดายถูกใจน้ำชอบแดดจ้า เป็นพืชทนแล้งได้ดิบได้ดี รวมทั้งเป็นพืชที่มีโรคน้อย ศัตรูพืชก็ไม่ค่อยมี (น่าจะมีเหตุที่เกิดจากการที่ตะไคร้มีน้ำมันหอมระเหยในทุกๆส่วนจึงสามารถคุ้มครองป้องกันจากแมลงต่างๆได้) ส่วนประกอบทางเคมี พบสาร citral 80% นอกเหนือจากนี้ยังพบ trans – isocitral , geranial, nerol, geraniol, myrcene, limonene, eugenol, linalool, menthol, nerolidol, camphor, farnesol, citronellol, ที่มา : wikipedia citronellal, farnesol , caryophyllene oxide ส่วนในน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ มีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ลดการบีบตัวของไส้ คือ menthol, cineole, camphor และก็ linalool จึงลดอาการแน่นจุกเสียด รวมทั้งช่วยขับลม นอกนั้นมี citral, citronellol, geraneol และก็ cineole มีฤทธิ์ยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรียเป็นต้นว่า E. coli ส่วนค่าทางโภชนาการของตะไคร้มีดังนี้ ค่าทางโภชนาการของตะไคร้ ( 100 กรัม)
ที่มา: กองโภชนาการ (2544) ประโยชน์ / คุณประโยชน์ ใช้ส่วนของเหง้า ลำต้นแล้วก็ใบของตะไคร้ เป็นส่วนประกอบของของกินที่สำคัญหลายแบบดังเช่นว่า ต้มยำ และของกินไทยหลายชนิด และใช้เป็นเครื่องเทศปรุงอาหารสำหรับดับกลิ่นคาว ช่วยให้ของกินมีกลิ่นหอม รวมทั้งปรับแต่งรสให้น่าอร่อยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สามารถประยุกต์ใช้ทำเป็นน้ำตะไคร้ น้ำตะไคร้ใบเตย ช่วยดับร้อนแก้หิวได้เป็นอย่างดี สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายชนิด ดังเช่น เครื่องปรุงอบแห้ง ตะไคร้แห้งสำหรับชงดื่ม เอามาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย ฯลฯ น้ำมันตะไคร้ (น้ำมันหอมระเหยที่ได้จากการสกัดตะไคร้) – ใช้เป็นส่วนประกอบของน้ำหอม – ใช้เป็นส่วนผสมสำหรับทำสบู่ แชมพูสระผม – ใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องแต่งหน้า – ใช้ทานวด แก้เมื่อย – ใช้ทาลำตัว แขน ขา เพื่อปกป้อง ยุง และแมลง – ใช้เป็นส่วนผสมของสารปกป้อง และกำจัดแมลง ส่วนคุณประโยชน์ของทางยาของตะไคร้นั้นมีดังนี้ หนังสือเรียนยาไทย: ต้น รสหอมปร่า ขับลม ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อแน่นจุกเสียด แก้อาการเกร็ง ขับเหงื่อ แก้โรคฟุตบาทปัสสาวะ แก้อาการขัดเบา แก้นิ่ว แก้ปัสสาวะเป็นเลือด ทำให้เจริญอาหาร ลดความดันโลหิต เหง้า แก้ไม่อยากอาหาร บำรุงไฟธาตุ แก้กระษัย ขับลมในลำไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ปัสสาวะขัด แก้เยี่ยวพิการ แก้นิ่ว เป็นยารักษาโรคเกลื้อน แก้ไข้หวัด ขับระดู ขับตกขาว ใช้ด้านนอกทาแก้ลักษณะของการปวดบวมตามข้อ ตำราเรียนยาประจำถิ่นอีสาน : ใช้อีกทั้งต้น ลดไข้ โดยนำมาต้มจนเดือดประมาณ 10 นาที ยกลงดื่มครั้งละครึ่งแก้วสามเวลา ใช้ด้านนอกรักษาโรคผิวหนังโดยต้มกับน้ำแล้วก็เอามาอาบ ตำรับยาสมุนไพรล้านนา: ใช้รักษาอาการบวมในเด็ก วัยกลางคน และผู้สูงวัย โดยในตำรับประกอบด้วยตะไคร้ รวมทั้งสมุนไพรอื่นอีก 13 ชนิด นำไปต้มอาบ ทางสุคนธบำบัดน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้บ้าน ช่วยกระตุ้นให้ตื่นตัว สดชื่น ทำให้ขมีขมัน เครียดน้อยลง แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยสำหรับการย่อยอาหาร ช่วยเจริญอาหาร ทุเลาลักษณะของการปวดโรคข้ออักเสบ ปวดกล้ามเนื้อ ส่วนสรรพคุณทางด้านการแพทย์แผนปัจจุบันที่ได้มีการวิจัยทางสถานพยาบาลผลปรากฏว่า น้ำยาบ้วนปากจากตะไคร้สามารถช่วยลดกลิ่นปากที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียบางชนิดลงได้รวมทั้งพบว่ามีความปลอดภัยจากการใช้แรงงานในกลุ่มผู้ถูกทดลอง แม้ยังคงควรจะมีการปรับปรุงกลิ่นแรงรวมทั้งรสจากตะไคร้เพิ่มต่อไป และในน้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากตะไคร้มีอัตราการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคเกลื้อนอยู่ที่ราวๆ 60% ในระหว่างที่ตัวยาคีโตโคนาโซลมีประสิทธิผลทางการรักษาสูงกว่าเป็นอยู่ที่ 80% และมีการทดลองคุณภาพของตะไคร้ด้วยการทาโลชั่นที่มีส่วนผสมของน้ำมันตะไคร้ลงบนแขนของผู้อาสาสมัครทดสอบ แล้วให้ผู้ทดลองอยู่ในบริเวณที่มีตัวริ้นชนิด Culicoides Pachymerus อยู่อย่างชุกชุม โดยทดสอบบ่อยๆ10 ครั้ง เพื่อทดสอบประสิทธิผลทางการปกป้องภายใน 3-6 ชั่วโมง ผลของการทดลองพบว่า โลชั่นที่มีส่วนผสมของตะไคร้มีประสิทธิผลทางการป้องกันตัวริ้นประเภทนี้ได้สูงสุดถึงโดยประมาณ 5 ชั่วโมง ส่วนการทดสอบถึงประสิทธิภาพของตะไคร้สำหรับในการคุ้มครองยุงก้นปล่องสายพันธุ์ Anopheles Arabiensis ในอาสาสมัครทดลองผู้ชาย 3 คน พบว่ายากันยุงที่มีส่วนผสมของตะไคร้มีประสิทธิภาพในการคุ้มครองป้องกันยุงได้ยาวนานที่โดยประมาณ 3 ชั่วโมง ส่วนในหัวข้อการกำจัดรังแคนั้น มีงานทดสอบหนึ่งในไทยที่นำเอาน้ำมันสกัดจากตะไคร้มาเป็นส่วนประกอบในสินค้าน้ำมันบำรุงเส้นผมแต่งกลิ่น 5, 10 รวมทั้ง 15% โดยมีอาสาสมัครทดสอบเป็นคนไทยในวัย 20-60 ปี จำนวน 30 คน ผลของการทดสอบพบว่า สินค้าน้ำมันบำรุงเส้นผมแต่งกลิ่นตะไคร้มีประสิทธิผลต่อการลดจำนวนรังแคลงอย่างเป็นจริงเป็นจัง โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของตะไคร้ 10% ต้นแบบ/ขนาดวิธีการใช้ ใช้รักษาอาการขัดเบา เหง้ารวมทั้งลำต้นสด หรือแห้ง 1 กำมือ หรือน้ำหนักสด 40-60 กรัม แห้ง 20-30 กรัม ทุบต้มกับน้ำพอควร แบ่งดื่ม 3 ครั้งๆละ 1 ถ้วยชา (75 ไม่ลิลิตร) ก่อนอาหาร หรือจะหั่นตะไคร้ คั่วด้วยไฟอ่อนๆพอเพียงเหลือง ชงด้วยน้ำเดือด ปิดฝาทิ้งไว้ 5-10 นาที ดื่มแต่ว่าน้ำ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ถ้วยชา ก่อนรับประทานอาหาร ใช้รักษาท้องอืดท้องเฟ้อแน่นจุกเสียด ใช้เหง้าและลำต้นสด 1 กำมือ น้ำหนัก 40-60 กรัม ทุบเพียงพอแตก ต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว เดือด 5-10 นาที ดื่มแต่น้ำ ครั้งละ 1/2 แก้ว วันละ 3 คราวหน้าอาหาร การใช้ตะไคร้รักษาอาการแน่นจุกเสียด ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขพื้นฐาน)
ใช้รักษาอาการแฮงค์ ใช้ต้นสดโขลกคั้นเอาน้ำแก้อาการเมาในกรณีคนที่เมามากๆช่วยให้หายเร็ว การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา
เมื่อนำน้ำมันหอมระเหย แล้วก็สารสกัดด้วยเฮกเซน, คลอโรฟอร์ม, เอทานอล และน้ำ มาทดลองฤทธิ์ต่อต้านเชื้อรา พบว่าน้ำมันหอมระเหยแล้วก็สารสกัดตะไคร้ด้วยเฮกเซนสามารถต่อต้านเชื้อราได้ทุกประเภท ส่วนสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์มมีฤทธิ์ต้านทานเชื้อราได้น้อย ในช่วงเวลาที่สารสกัดด้วยเอทานอลแล้วก็น้ำไม่มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อรา และก็จากผลของการทดสอบยังพบว่าสารประกอบหลักในน้ำมันหอมระเหย แล้วก็ในสารสกัดด้วยเฮกเซนที่มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อราก้าวหน้า คือ สาร citral มีการจดสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ตะไคร้ในรูปของ emulsion และก็ nanocapsule ที่มีน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ ใช้สำหรับรักษาโรคผิวหนังที่เกิดขึ้นมาจากเชื้อรา E. floccosum, Microsporum canis และ T. rubrum โดยไปยับยั้งการเจริญเติบโตหรือฆ่าเซลล์ของเชื้อราดังกล่าวมาแล้วข้างต้น
ชาชงตะไคร้ เมื่อป้อนให้หนูเม้าส์รับประทานตรงเวลา 30 นาที ก่อนที่จะเหนี่ยวนำหนูให้ปวดอุ้งเท้าด้วยสารคาราจีแนน 100 ไมโครกรัม/อุ้งเท้า หรือด้วยสาร prostaglandin E2 และ dibutyryl cyclic AMP พบว่าสามารถยับยั้งอาการปวดจากการที่ถูกรั้งนำด้วยสารคาราจีแนน แล้วก็ prostaglandin E2 ได้ แต่ว่าไม่เป็นผลถ้าเกิดเหนี่ยวนำให้ปวดด้วย dibutyryl cyclic AMP ยิ่งไปกว่านี้น้ำมันหอมระเหยตะไคร้ รวมทั้งสาร myrcene เมื่อป้อนให้หนูที่ถูกรั้งนำให้กำเนิดลักษณะของการปวดด้วย prostaglandin E2 พบว่าสามารถยับยั้งอาการปวดได้
เมื่อกรอกน้ำมันหอมระเหยจากใบเข้ากระเพาะอาหาร หรือฉีดเข้าช่องท้องหนูถีบจักรเพศผู้ ขนาด 10, 50, 100 มก./กก. พบว่าสามารถทุเลาลักษณะของการปวดได้ แล้วก็เมื่อกรอก น้ำมันหอมระเหยจากใบ เข้าข้างในกระเพาะหนูขาว ขนาด 20% พบว่ามีฤทธิ์บรรเทาลักษณะของการปวดที่เหนี่ยวนำด้วย carageenan หรือ PGE2 แต่ว่าไม่ได้เรื่องในหนูที่ทำให้ปวดด้วย dibutyryl cyclic AMP ซึ่งสารออกฤทธิ์หมายถึงmyrcene (1) นอกนั้นเมื่อกรอกสารสกัดเอทานอล 95% จากใบสด เข้ากระเพาะหนูถีบจักร ขนาด 1 ก./กก. พบว่าไม่อาจจะทุเลาลักษณะของการปวดได้ การเล่าเรียนทางพิษวิทยา หลักฐานความเป็นพิษรวมทั้งการทดลองความเป็นพิษ เมื่อให้น้ำมันหอมระเหยเข้าทางกระเพาะกระต่าย พบว่ามีค่า LD50 มากกว่า 5 กรัม/กก. ส่วนพิษในหนูขาวไม่ชัดแจ้ง และเมื่อป้อนสารสกัดใบด้วยอัลกอฮอล์และก็น้ำ (1:1) ขนาด 460 มิลลิกรัม/กก. เข้ากระเพาะอาหารหนูถีบจักร พบว่าเป็นพิษ แม้กระนั้นสารสกัดใบด้วยน้ำ ขนาด 20-40 ซีซี/กิโลกรัม เมื่อให้ทางปากไม่พบพิษ และไม่เป็นพิษต่อตัวอ่อน และไม่ส่งผลต่อน้ำหนักตัวของหนูขาว มีผู้ศึกษาพิษของน้ำมันหอมระเหย พบว่าอัตราส่วน LD50/TD พอๆกับ 6.9 การป้อนยาชงตะไคร้ให้หนูขาวในขนาด 20 เท่าของขนาดที่ใช้ในคนตรงเวลา 2 เดือน ไม่เจอความเป็นพิษ การเล่าเรียนพิษทันควันของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ขนาด 1,500 ppm เป็นเวลา 60 วัน พบว่าหนูขาวกรุ๊ปที่ได้ตะไคร้ โตเร็วกว่ากรุ๊ปควบคุม แม้กระนั้นค่าเคมีเลือดไม่เปลี่ยนแปลง สารสกัดตะไคร้ด้วยเอทานอล (80%) ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ใน Staphylococcus typhimurium TA98 และ TA100 มีผู้ทดลองฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ใน mammalian cells ของ b-myrcene ซึ่งเป็นสารสำคัญในตะไคร้ พบว่าไม่เจอฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ มีผู้ทดลองใช้ตะไคร้แห้ง ขนาด 400 มคกรัม/จานเพาะเชื้อ มาทดลองกับ S. typhimurium TA98 และก็เมื่อนำน้ำต้มใบตะไคร้กับเนื้อ (วัว ไก่ หมู) ขนาด 4, 8 รวมทั้ง 16 มก./จานเพาะเชื้อ ทดลองกับ S. typhimurium TA98 แล้วก็ TA100 ไม่พบฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ และสารสกัดด้วยน้ำขนาด 0.5 ซีซี/จานเพาะเชื้อ ไม่มีผลก่อกลายพันธุ์ใน Bacillus subtilis H-17 (Rec+) และก็ M-45 (Rec-) ตะไคร้สดในขนาด 1.23 มก./ซีซี ไม่มีพิษต่อยีน (16) รวมทั้ง b-myrcene ซึ่งเป็นสารสำคัญก็ไม่เจอพิษด้วยเหมือนกัน สาร citral ซึ่งเป็นสารที่ได้จากน้ำมันหอมระเหยจากใบ เป็นพิษต่อเซลล์ P388 mouse leukemia และก็น้ำมันหอมระเหย เป็นพิษต่อเซลล์ P388 leukemia โดยมีค่า IC50 5.7 มคกรัม/มล. แม้กระนั้นเมื่อผสมน้ำมันหอมระเหยตะไคร้กับโหระพาช้าง (1:1 vol./vol.) มีค่า IC50 10.2 มคกรัม/มล. ส่วนสกัด (partial purified fraction) ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ PS (murine lymphocytic leukemia P388),FA ( murine ascites mammary carcinoma FM3A ) แต่สารสกัดหยาบคายแสดงฤทธิ์อย่างอ่อนต่อเซลล์ FA สารสกัดใบด้วยเมทานอล ในขนาด 50 มคก./ มิลลิลิตร ออกฤทธิ์ไม่แน่นอนต่อเซลล์มะเร็ง CA-9KB แม้กระนั้นในขนาด 20 มคกรัม/ มล. ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ RAJI มีผู้ทดสอบพิษของชาที่จัดแจงจากตะไคร้พบว่าเมื่อให้อาสาสมัครสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงรับประทานชาตะไคร้ 1 ครั้ง หรือกินวันละครั้งตรงเวลา 2 สัปดาห์ ไม่พบความเคลื่อนไหวทางเคมีในเลือด เม็ดเลือดแล้วก็ปัสสาวะ มีบางรายแค่นั้นที่มีปริมาณบิลลิรูบิน รวมทั้ง amylase สูงขึ้น ก็เลยถือว่าไม่มีอันตราย ส่วนน้ำมันตะไคร้เมื่อผสมในน้ำหอม โดยผสมน้ำมันตะไคร้ปริมาณร้อยละ 0.8 พบว่ามีลักษณะแพ้ แม้กระนั้นการแพ้นี้อาจเกิดขึ้นจากสารอื่นได้ แล้วก็มีรายงานความเป็นพิษต่อถุงลมปอดเมื่อสูดกลิ่นน้ำมันตะไคร้ ข้อเสนอแนะ / ข้อควรพิจารณา
|