หัวข้อ: พญายอเป็นสมุนไพรที่สามารถนำมารักษาโรคได้อย่างดีเยี่ยม เริ่มหัวข้อโดย: kkthai20009 ที่ พฤษภาคม 26, 2018, 07:35:26 pm ชื่อสมุนไพร พญายอ
ชื่ออื่นๆ/ชื่อแคว้น เสลดพังพอนตัวเมีย , พญาข้อทองคำ พญาข้อดำ (ภาคกลาง) , พญาปล้องคำ (จังหวัดลำปาง) , ผักมันไก่ , ผักลิ้นเขียด (จังหวัดเชียงใหม่) , โพะโซ่จาง (กะเหรี่ยง) , ชิงเจี้ยง หนิ่วซิ้วฮวา (จีนแมนดาริน) ชื่อวิทยาศาสตร์ Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Clinacanthus burmanni Nees ตระกูล ACANTHACEAE ถิ่นเกิด สมุนไพรพญายอเป็นสมุนไพรเขตร้อน ดังเช่นว่าทวีปแอฟริกา บราซิล แล้วก็อเมริกา กลาง ส่วนในทวีปเอเชียมีการกระจัดกระจายในประเทศอินโดนีเซีย ไทย พม่า ลาว กัมพูชา ฯลฯ และก็เป็นสมุนไพรที่มีหมอประจำถิ่นประเทศ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย จีน ใช้รักษาผื่นผิวหนัง แมลงสัตว์กัดต่อย งูกัด แมงป่องต่อย มาตั้งแต่ในสมัยก่อนแล้ว ส่วนในประเทศไทยพบบ่อยขึ้นตามป่าเบญจพรรณ หรือพบปลูกกันตามบ้านทั่วไป ทั่วทุกภาคของประเทศ พญายอ หรือ เสลดพังพอนตัวเมียมีชื่อพ้องกัน ซึ่งก็คือ เสลดพังพอนเพศผู้ แม้กระนั้นต่างกันตรงที่เสลดพังพอนเพศผู้มีหนาม สรรพคุณอ่อนกว่าเสมหะพังพอนตัวเมียและเพื่อไม่ให้งงงันระหว่างสมุนไพร 2 จำพวกนี้ จึงเรียกเสลดพังพอนตัวเมียว่า "พญายอ" ลักษณะทั่วไป พญายอ จัดเป็นพรรณไม้พุ่มไม้ปนเถาหรือไม้พุ่มรอเลื้อย มักเลื้อยพิงไปตามต้นไม้อื่นๆมีความสูงได้โดยประมาณ 1-3 เมตร ลำต้นมีลักษณะหมดจด ต้นอ่อนเป็นสีเขียว ใบเป็นใบคนเดียว ออกเรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ๆรูปแบบของใบเป็นรูปใบหอก รูปรีแคบขอบขนาน ปลายใบรวมทั้งโคนใบแหลม ส่วนขอบของใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างโดยประมาณ 2-3 เซนติเมตร และยาวประมาณ 7-9 ซม. แผ่นใบเป็นสีเขียวเข้ม ผิวใบเรียบ ดอกเป็นช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมีดอกราว 3-6 ดอก กลีบเป็นสีแดงส้ม โคนกลีบดอกเชื่อมชิดกันเป็นหลอด ยาวราวๆ 3-4 ซม. ปลายแยกออกเป็น 2 ปากเป็นปากข้างล่างและปากบน ดอกหนึ่งมี 5 กลีบ กลีบดอกไม้เป็นรูปทรงกระบอก ส่วนกลีบรองกลีบดอกไม้นั้นเป็นสีเขียว ยาวเท่าๆกัน มีขนคือต่อมเหนียวๆอยู่โดยรอบ ดอกมีเกสรเพศผู้ 2 อัน ส่วนเกสรเพศเมียสะอาดไม่มีขน ออกดอกในตอนประมาณต.ค.ถึงม.ค. ผลได้ผลแห้งและก็แตกได้ รูปแบบของผลเป็นรูปกลมยาวรี ยาวได้ราว 0.5 ซม. ก้านสั้น ภายในผลมีเม็ดราว 4 เม็ด การขยายพันธ์ การขยายพันธุ์พญายอนั้นสามารถได้ 2 แนวทางเป็นการปักชำแล้วก็การแยกเหง้ากิ้งก้านไปปลูก แม้กระนั้นจำนวนมากชอบใช้วิธีการใช้กิ่งปักชำโดยเลือกกิ่งที่สมบูรณ์ไม่มีโรค ไม่แก่ หรือไม่อ่อนเหลือเกิน ตัดกิ่งประเภทให้มีความยาว 6-8 นิ้ว และก็มีตาบนกิ่งราวๆ 1-3 ตา ให้มีใบคงเหลือที่ปลายยอด ประมาณ 1/3 ของกิ่ง ทาปูนแดงบริเวณรอยตัดของตัวการ รวมทั้งกิ่งพันธุ์เพื่อปกป้องเชื้อรา ปักชำลงในถุงที่มีเป็นดินร่วนคละเคล้าทราย (จะช่วยให้อัตราการออกรากของกิ่งชำสูง และสะดวกในการย้ายต้นไปปลูก) โดยปักชำกิ่งลงในวัสดุปลูกลึกประมาณ 3 นิ้ว และก็ปักให้เอียง 45 องศา รดน้ำให้เปียกและรักษาความชุ่มชื้นให้เพียงพอควรระวังอย่าให้กิ่งชำถูกแสงแดดมากมาย กิ่งปักชำจะออกรากด้านใน 3-4 สัปดาห์ แล้วก็ใช้ช้อนขุดหรือเสียมแซะกิ่งชำลงปลูกลงในหลุมปลูกที่จัดแจงไว้ 1 ต้นต่อหลุม กลบ รดน้ำภายหลังปลูกทันที การเก็บเกี่ยว ควรที่จะเก็บใบขนาดกลาง ที่ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป โดยให้ใช้ขั้นตอนการตัดต้นเหนือระดับผิวดินประมาณ 10 ซม. ภายหลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว ต้นตอเดิมยังสามารถแตกหน่อแตกกิ่งเติบโตได้อีก รวมทั้งสามารถเก็บเกี่ยวผลิตผลต่อไปได้ การรักษา ในระยะ 1-2 เดือนแรก ควรจะรดน้ำแต่ละวัน ถ้าแดดจ้าควรรดน้ำรุ่งเช้า-เย็น เมื่ออายุ 2 ข้างขึ้นไปแล้วบางทีอาจให้น้ำวันเว้นวัน ในช่วงฤดูฝนถ้าหากมีฝนตกบางทีอาจจะไม่ต้องให้น้ำ พญายอสามารถเจริญวัยเจริญในดินทุกหมวดหมู่ที่มีการระบายน้ำได้ดี แม้กระนั้นชอบดินร่วนซุยผสมทรายที่ระบายน้ำดีมากที่สุด ถูกใจอากาศร้อนชื้น ขึ้นได้ดิบได้ดีในขณะที่มีแดด(แดดไม่จัด) และที่ร่ม องค์ประกอบทางเคมี รากของพญายอ ประกอบด้วยสาร Lupeol, B-Sitosterol, Stigmasterol และมีการทดลองพบว่าสารสกัดด้วยสารละลายบิวทานอล (butanol) จากใบของพญายอ มีสารประกอบฟลาโวนอยด์ (flavonoid) สามารถหยุดอาการอักเสบได้ สารฟลาโวนอยด์มีฤทธิ์ลดการอักเสบสารกรุ๊ป Monoglycosyl diglycerides ยกตัวอย่างเช่น 1, 2- di-O-linolenoyl-3-O-β-D-Galactopyranosyl-sn-glycerol รวมทั้งสารกลุ่ม Glycoglycerolipids จากใบมีฤทธิ์ยั้งเชื้อไวรัสเริมรวมทั้งงูสวัด ยิ่งกว่านั้นพญายอ ยังมีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพมากยิ่งกว่า 20 ชนิด โดยเป็นสารเคมีจากพืชที่มีความหมายต่อชีวิต ตัวอย่างเช่น Stigmaster, Lupeol, B-Sitosterol Belutin, Myricyl alcohol และสารสกัดที่ได้จากเมทานอลในประเทศไทย 6 ชนิด C-Glycosyl flavones ดังเช่นว่า Vitexin, Isovitexin, Schaftoside, Isomoll-pentin, 7-0-B-Glucopyranoside, Orientin, Isori-entin รวมทั้งสารสกัดได้จากต้นและใบได้สาร Gluco-sides 5 ชนิด (1) Cerebrosides รวมทั้ง Monoacylmonogalactosyl glycerol สาร Triga-lactosyl แล้วก็ Digalactosyl diglycerides 4 สาร 8 จำพวก สกัดได้จากส่วนเหนือดินสดด้วยคลอโรฟอร์มเป็น Chlorophyll A, Chlorophyll B, และก็ Phacoph-orbide A และก็สารประกอบที่มีซัลเฟอร์ 4 ชนิด Clinamide A-C, 2-Cis- entadamide A แล้วก็สารประกอบที่พบมาก่อน 3 ชนิด Entadamide A, Entadamide C และ Trans 3 methylsulfinyl-2-propenol คุณประโยชน์ / คุณประโยชน์ คุณประโยชน์ของพญายอตามตำรายาไทย ระบุว่า ใบ – ใช้ถอนพิษไข้ ดับพิษร้อน แก้อาการผิดสำแดง แก้เจ็บคอ เจ็บปก แผลในปาก คางทูม รักษาโรคบิด ไข่ดัน รักษาแผลไฟเผา น้ำร้อนลวก รักษาแผลน้ำเหลืองเสีย ผื่นคัน แก้ฝี แก้พิษงู แมลงสัตว์กัดต่อย รักษาโรคหัด ราก - ปรุงเป็นยาขับฉี่ ขับรอบเดือน แก้ปวดเมื่อยบั้นเอว บำรุงกำลัง แก้ผิดสำแดง ส่วนทั้งยัง 5 (ทั้งยังต้น) - ใช้ทำลายพิษ โดยเฉพาะพิษแมลงสัตว์กัดต่อย ตะขาบ แมลงป่อง รักษาอาการอักเสบ งูสวัด ผื่นคัน แผลน้ำร้อนลวก โรคตับเหลือง รักษาแผลสด แผลเรื้อรัง แก้ปวดบวม เคล็ดขัดยอก ฟกช้ำ ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบันยังมีการผลิตยาที่มีส่วนประกอบของพญายอหลายประเภท อาทิเช่น ครีมพญายอ ใช้ทุเลาอาการโรคเริม แล้วก็ งูสวัด ยาป้ายปากพญายอให้รักษาแผลในปาก (aphthaus ulcer) โลชั่นพญายอ ใช้บรรเทาอาการผื่นผื่นคัน ผื่นคัน ตุ่มคัน เป็นต้น ต้นแบบ / ขนาดวิธีใช้
o - ใช้ใบสด 5-10 ใบ ตำขยี้ทาบริเวณที่เป็นแผลที่แพ้ จะยุบหายได้ผลดี
o ใช้ใบตำเคี่ยวกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำมันงา เอากากพอกแผลที่ถูกน้ำร้อนลวกหรือไฟเผา แผลจะแห้ง o นำใบมาตำให้ถี่ถ้วนผสมกับเหล้า ใช้พอกบริเวณที่ถูกไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก มีสรรพคุณดับพิษร้อนได้ดี
o ใช้ใบเสลดพังพอนตัวเมียสด 10-20 ใบ (เลือกใบสีเขียวเข้มสดเป็นเงาไม่อ่อนไม่แก่จนกระทั่งเหลือเกิน)เอามาตำผสมกับเหล้าหรือน้ำมะนาว คั้นเอาน้ำกินหรือเอาน้ำทาแผลและก็เอากากพอกแผล o ใช้ใบเสมหะพังพอน 1,000 กรัม หมักใน alcohol 70 % 1,000 ซีซี. หมักไว้ 7 วัน นำมากรองแล้วเอาไประเหยให้เหลือ 500 ซีซี. เติม glycerine pure ลงไปเท่ากับจำนวนที่ระเหยไป (500 ซีซี.) นำน้ำยาเสมหะพังพอนกรีเซอรีนที่ได้ทาแผลเริม งูสวัด แผลร้อนในปาก ทำลายพิษต่างๆ
ส่วนการใช้พญายอรักษาอาการเหตุเพราะแมลงกัดต่อย และก็เริมตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขนั้น ให้ใช้ใบขยี้ทาบริเวณที่ถูกแมลง สัตว์ กัดต่อย หรือเป็นเริมและสำหรับครีม ที่มีสารสกัดพญายอร้อยละ 4 – 5 รวมทั้งสารละลาย (สำหรับป้ายปาก) ที่มีสารสกัดพญายอในกลีเซอรีนจำนวนร้อยละ 2.5 – 4 รวมทั้งโลชัน ที่มีสารสกัดพญายอปริมาณร้อยละ 1.25 ให้ใช้ ทาบริเวณที่มีอาการ วันละ 5 ครั้ง การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา ฤทธิ์ลดการอักเสบ สารสกัดเอ็นบิวทานอลจากใบให้ทางปากหนูขาว จะลดการอักเสบของอุ้งเท้าหนูที่ถูกเหนี่ยวนำโดย carrageenan รวมทั้งลดการอักเสบของถุงลมหนูขาวที่เหนี่ยวนำให้กำเนิดโดยฉีดลมแล้วก็น้ำมันละหุ่ง (1-3) แต่หากใช้วิธีทาสารสกัดที่ผิวหนังจะไม่สามารถลดน้ำหนองของถุงลมหนูได้ สารสกัดเอ็นบิวทานอล ขนาด 270 มิลลิกรัม/กิโลกรัม จะลดอาการบวมของอุ้งเท้าหนูได้พอกับแอสไพรินขนาด 100 มก./กิโลกรัม (2) เมื่อใช้ 5% ของพญายอในรูป cold cream สารสกัดเอทานอล 95% และสารสกัดเอทานอลในน้ำ ทาเฉพาะที่ให้หนูขาว สามารถลดหนองรวมทั้งการเกิด granuloma ได้ 50.98%, 50.10% และก็ 48.30% ตามลำดับ สารสกัดเอทานอลจากใบ ขนาด 20 มคก./มิลลิลิตร มีผลต่อ cytokines ที่เกิดในกระบวนการอักเสบหมายถึงยับยั้ง interleukin-1-b แต่ว่าไม่อาจจะยับยั้ง interleukin-6 และ tumor necrosing factor-a ฤทธิ์รักษาโรคงูสวัด นำสารสกัดจากใบพญายอความเข้มข้นต่างๆมาตรวจ DNA hybridization รวมทั้ง plaque reduction assay พบว่า ขนาด 1:2,000 และ 1:1,200 เป็นลำดับ จะยั้งเชื้อไวรัส Varicella zoster ก่อนเข้าสู่เซลล์ได้ 50% ขนาด 1:6,000 และ 1:4,800 เป็นลำดับ จะฆ่าเชื้อเชื้อไวรัส Varicella zoster ในเซลล์ ขนาดมากกว่า 1:18,000 และก็ 1:9,600 เป็นลำดับ สามารถทำลายเชื้อเชื้อไวรัส Varicella zoster โดยตรงได้ 50% จะมีความเห็นว่าเมื่อเชื้อไปสู่เซลล์แล้วฤทธิ์สำหรับการยั้งเชื้อไวรัสต่ำลง คนเจ็บโรคงูสวัด ปริมาณ 51 ราย ได้รับการดูแลรักษาด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอเปรียบเทียบกับยาหลอกแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ตามชนิดของยา และให้ยาเรียงสลับแบบสุ่ม ผู้ป่วยทุกรายมาพบแพทย์ด้านใน 48 ชม.ภายหลังมีอาการ โดยให้ป้ายยาวันละ 5 ครั้ง ตรงเวลา 7-14 วัน จนกว่าแผลจะหาย พบว่าคนเจ็บสุดที่รักษาด้วยสารสกัดใบพญายอแผลจะตกสะเก็ดภายใน 3 วัน แล้วก็หายข้างใน 7-10 วัน มีจำนวนไม่น้อยกว่ากลุ่มสุดที่รักษาด้วยยาหลอกอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ หรูหราความปวดลดลงเร็วกว่า และไม่พบผลข้างเคียงอะไรก็ตาม ฤทธิ์ต้านเริม สารสกัดน้ำจากใบ มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัส Herpes simplex type 1 รวมทั้ง type 2 โดยตรงก่อนที่จะเชื้อไวรัสจะเข้าสู่เซลล์ แล้วก็สารสกัดจากใบความเข้มข้นตั้งแต่ 1:1,200 นาน 30 นาที สามารถออกฤทธิ์ทำลายเชื้อ HSV 2 โดยตรงก่อนเพาะเลี้ยงลงเซลล์ สารสกัดเมทานอลและสารสกัดน้ำจากใบไม่สามารถที่จะยับยั้งเชื้อไวรัส HSV-2 รวมทั้ง HSV-1, HSV-2 ในเซลล์ เป็นลำดับ ผู้เจ็บป่วยโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ทั้งชายและหญิงปริมาณ 27 คน ได้รับการดูแลรักษาด้วยครีมจากสารสกัดเอทานอลจากใบพญายอ 5% (dilution 1:4,800) เปรียบเทียบกับการดูแลรักษาด้วยยา acyclovir cream จำนวน 26 คน และก็ยาหลอก 24 คน โดยทาแผลวันละ 4 ครั้ง ต่อเนื่องกัน 6 วัน พบว่า คนป่วยที่ได้รับการดูแลรักษาด้วยครีมพญายอ และก็ acyclovir cream แผลตกสะเก็ดในวันที่ 3 รวมทั้งหายข้างในวันที่ 7 ไม่เหมือนกับแผลของคนป่วยที่ใช้ยาหลอก จะเป็นสะเก็ดในวันที่ 4–7 และก็หายในวันที่ 7-14 หรือนานกว่านั้น ครีมพญายอไม่กระตุ้นให้เกิดอาการอักเสบ ระคายเคือง เวลาที่ acyclovir cream ทำให้แสบ ผู้เจ็บป่วยโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ประเภทเป็นซ้ำ ปริมาณ 56 ราย ได้รับการรักษาด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอ เทียบการดูแลและรักษากับยา acyclovir cream จำนวน 54 คน และยาหลอก 53 คน ทาตุ่มหรือแผลวันละ 4 ครั้ง ตรงเวลา 6 วัน พบว่ากรุ๊ปสุดที่รักษาด้วยยาจากสารสกัดพญายอแผลจะตกสะเก็ดภายใน 3 วัน และหายด้านใน 7 วัน ไม่มีอาการแสบแผล และไม่มีความต่างจากการดูแลและรักษาด้วย acyclovir cream แต่ว่ายา acyclovir cream จะทำให้แสบแผล (13) ฤทธิ์แก้ปวด เมื่อให้ส่วนสกัดเอ็นบิวทานอลจากใบ ขนาด 30, 90, 270, 540, 810 และก็ 2,430 มก./กก. แก่หนูถีบจักรทางปาก จะลดการบิดตัวของหนูที่ถูกรั้งนำโดยกรดอะซีติเตียนค แล้วก็เพิ่มการซึมผ่านของผนังเส้นเลือด เป็นสัดส่วนกับขนาดของส่วนสกัด ส่วนสกัดเอ็นบิวทานอลขนาด 90 มิลลิกรัม/กก. จะมีความแรงพอๆกับเฟนนิวบิวทาโซนขนาด 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม สำหรับในการลดการบิดตัว แต่ว่าจะมีความแรงน้อยกว่าในการลดการซึมผ่านฝาผนังเส้นโลหิต เมื่อให้สารสกัดนี้โดยการฉีดเข้าท้อง ไม่แสดงให้เห็นว่ามีฤทธิ์ระงับปวดเมื่อใช้วิธี hot water bath รวมทั้งให้ส่วนสกัดคลอโรฟอร์มจากใบขนาดดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นทางปากหนูถีบจักร ไม่เป็นผลลดการบิดตัวของหนูเช่นเดียวกัน นอกนั้น พญายอมีสารออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ในหลอดทดลองแล้วก็มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย สารสกัดจากใบด้วยเอทธิลอะซิเตทเข้มข้น 1.39-6.31 มก./มิลลิลิตร สามารถยับยั้ง Bacillus cereus รวมทั้ง candida albican สาร Flavonoids รวมทั้ง Phenolic compounds ในสมุนไพรทุกชนิด ยั้งแบคทีเรียได้ไพเราะเพราะพริ้งมี Carbonyl group รวมทั้ง พญายอยังมีฤทธิ์ต้านทานพิษงู: มีการเรียนพบว่าสารสกัดพญายอมีฤทธิ์ปกป้องทําลายเซลล์เนื้อเยื่อแผล แม้กระนั้นไม่มีฤทธิ์ยับยั้งพิษต่อระบบประสาทของงูเห่า ที่มีต่อNeuromuscular transmission การเรียนรู้ทางพิษวิทยา หลักฐานความเป็นพิษและการทดสอบความเป็นพิษ การทดลองความเป็นพิษพบว่า สารสกัดเอ็นบิวทานอลมีค่า LD50 13.4 กรัม/กิโลกรัม 48 ชม. หลังให้ทางปาก และมีค่า 3.4 ก./กิโลกรัม เมื่อฉีดเข้าท้อง การให้สารสกัดทุกวี่ทุกวันตรงเวลา 6 สัปดาห์ ไม่มีผลต่อการเจริญเติบโตของหนูขาว แต่ว่าเจอน้ำหนักไธมัเสียใจลงระหว่างที่น้ำหนักตับเพิ่มขึ้น ไม่เจอความผิดปกติต่ออวัยวะอื่นๆและไม่มีอาการไม่ประสงค์อื่นๆส่วนสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1.3 กรัม/กิโล (หรือเท่ากันใบแห้ง 5.44 กรัม/กิโลกรัม) เมื่อป้อนเข้าทางปากหรือฉีดเข้าช่องท้องหนูเม้าส์ ไม่ส่งผลให้เกิดอาการพิษอะไรก็ตามรวมทั้งเมื่อป้อนหนูแรทด้วยสารสกัดเอ็นบิวทานอลจากใบขนาด 270 มิลลิกรัม/กิโล รวมทั้ง 540 มก./กิโลกรัม ทุกวี่ทุกวัน นาน 6 อาทิตย์ พบว่าไม่มีผลต่อการเจริญเติบโต แต่น้ำหนักต่อมธัยมัเศร้าใจลง ในขณะที่น้ำหนักตับมากขึ้น ไม่พบความผิดแปลกต่ออวัยวะอื่น และไม่พบอาการไม่พึงปรารถนาใดๆ ข้อเสนอ / ข้อควรไตร่ตรอง พญายอก็เช่นเดียวกับสมุนไพรชนิดอื่นๆคือ ควรใช้ในปริมาณที่พอดีไม่ควรใช้มากเกินไปหรือนานจนกระทั่งเกินไปเพราะอาจเกิดผลกระทบต่อสุขภาพได้ แล้วก็แม้ในสมัยก่อนจะมีการใช้ใบสดเอามาตำแล้วพอกรอบๆที่เป็นแผล และก็ให้ผลการดูแลและรักษาที่ดี แต่ว่าในปัจจุบันแนวทางนี้ไม่เป็นที่นิยมแล้ว เพราะว่าจะทำความสะอาดแผลได้ยาก รวมถึงอาจก่อให้แผลติดเชื้อและก็เป็นหนองจนกระทั่งแผ่ขยายไปยังบริเวณอื่นได้ เอกสารอ้างอิง
|