หัวข้อ: โรตกรดไหลย้อนที่เราเจอกันบ่อยๆ มีสรรพคุณเเละประโยชน์เเละวิธีรักษาดังนี้ เริ่มหัวข้อโดย: หนุ่มน้อยคอยรัก007 ที่ พฤษภาคม 28, 2018, 04:31:18 pm (https://www.img.in.th/images/f6fbcc492bfc875f63dffe872b932ddf.md.jpg)
โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal reflux disease : GERD) โรคกรดไหลย้อนคืออะไร “โรคกรดไหลย้อน” (Gastroesophageal reflux disease ,GERD) เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการไหลย้อนของกรด (น้ำย่อย) ในกระเพาะกลับไปที่หลอดของกิน ซึ่งปกติร่างกายของพวกเราจะมีการไหลย้อนของกรดในกระเพาะอาหารขึ้นไปในหลอดอาหารอยู่บ้าง โดยยิ่งไปกว่านั้นหลังรับประทานอาหารแต่ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีจำนวนกรดที่ย้อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆหรือย้อนบ่อยครั้งกว่าผู้ที่ไม่เป็นโรค หรือหลอดของกินมีความไวประมือดมากขึ้นแม้ว่าจะมีปริมาณกรดที่ย้อนขึ้นไปไม่มากกว่าธรรมดา นำมาซึ่งการทำให้มีลักษณะอาการระคายบริเวณคอ แล้วก็แสบอกหรือจุกเสียดรอบๆใต้ลิ้นปี่ แล้วก็มีลักษณะอาการท้องอืดท้องเฟ้อร่วมด้วย คล้ายๆกับลักษณะโรคกระเพาะอาหาร ทำให้คนส่วนมากเข้าใจผิดว่าเป็นโรคกระเพาะ รวมทั้งไปซื้อยาลดกรด (antacids) ที่มีจัดจำหน่ายตามตลาดมารับประทานเพื่อทุเลาอาการ ซึ่งเป็นการรักษาที่ไม่ตรงจุด จึงพบว่าในขณะนี้มีผู้ป่วยมาเจอแพทย์ด้วยโรคกรดไหลย้อนเพิ่มสูงมากขึ้น รวมทั้งถ้าเกิดปล่อยให้เกิดอาการเรื้อรังแล้วก็รักษาด้วยการใช้วิธีที่ผิดต้อง อาจทำให้เกิดการเกิดหลอดของกินอักเสบ แผลที่หลอดอาหาร หรือหลอดอาหารตีบ ซึ่งบางทีอาจเพิ่มการเสี่ยงสำหรับการเกิดโรคมะเร็งหลอดอาหารได้ นอกจากนั้นยังสามารถจัดชนิดและประเภทของโรคกรดไหลย้อนได้เป็น 2 จำพวก คือ
ซึ่งโรคกรดไหลย้อนนี้ เป็นโรคที่พบได้โดยประมาณ 10-15% ของผู้ที่มีลักษณะของกินไม่ย่อย (Syspepsia) แล้วก็มักพบในผู้หญิงแล้วก็ในผู้ชาย โดยพบได้ใกล้เคียงกัน เป็นโรคที่พบได้ในทุกช่วงอายุ ตั้งแต่ทารกไปจนถึงผู้สูงวัย แต่เจออัตราเกิดสูงขึ้นในอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป รวมทั้งเจอได้สูงสุดในช่วงอายุ 60 - 70 ปีขึ้นไป มีกล่าวว่าประเทศแถมตะวันตกพบโรคนี้ได้ราว 10 - 20% ของราษฎรเลยทีเดียว สาเหตุของโรคกรดไหลย้อน โรคกรดไหลย้อนมีต้นเหตุที่เกี่ยวข้องกับความไม่ปกติ ของการทำหน้าที่ของกล้ามหูรูดที่อยู่ตรงข้างล่างของหลอดของกิน (lower esophageal sphincter, LES) ในคนปกติขณะกลืนอาหารหูรูดนี้จะคลายตัวเพื่อเปิดช่องให้อาหารไหลผ่านเข้าสู่กระเพาะของกิน เมื่ออาหารผ่านลงกระเพาะอาหารจนหมดแล้วหูรูดนี้จะหดรัดเพื่อขัดขวางไม่ให้น้ำย่อย (ซึ่งเป็นกรดเกลือ) ที่อยู่ในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดของกิน แต่ว่าคนที่เป็นโรคกรดไหลย้อน พบว่ากล้ามเนื้อหูรูดตรงข้างล่างของหลอด อาหารนี้หย่อนสมรรถนะ ทำให้มีน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดอาหารมากยิ่งกว่าธรรมดา (คนทั่วๆไปหลังรับประทานข้าวอาจมีน้ำย่อยไหลย้อนได้ 1-4 ครั้ง ซึ่งไม่นำไปสู่อาการ) ก่อให้เกิดอาการผิดปกติ และการอักเสบของเยื่อบุหลอด อาหารได้ ส่วนต้นสายปลายเหตุที่ทำให้หูรูดดังที่กล่าวถึงแล้วดำเนินการแตกต่างจากปกติยังไม่เคยทราบแจ่มชัด แต่ว่าเชื่อว่าอาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากความเสื่อมถอยตามอายุ (พบในคนอายุมากกว่า 40 ปี) หรือหูรูดยังเจริญไม่เต็มกำลัง (พบในทารก) หรือมีความผิดปกติที่เป็นมาโดยกำเนิด ยิ่งไปกว่านี้การกระทำในชีวิตประจำวัน หรือโรคบางชนิดมีส่วนกระตุ้นการทำงานของหลอดของกินให้เกิดความแตกต่างจากปกติได้ หรือทำให้กระเพาะหลั่งกรดในจำนวนมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น นอนหลังรับประทานอาหารโดยทันที รับประทานอาหารปริมาณมากภายในมื้อเดียว อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ การกระทำต่างๆดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นเหล่านี้ล้วนนำมาซึ่งสภาวะกรดไหลย้อนได้ง่ายมากยิ่งขึ้นด้วยเหมือนกัน อาการของโรคกรดไหลย้อน ลักษณะของคนไข้นั้นขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ถูกเคืองโดยกรด ดังเช่น
แพทย์วินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนได้จาก เรื่องราวอาการ การตรวจคอ การตรวจร่างกาย การตรวจภาพปอดด้วยเอกซเรย์แยกจากโรคปอดต่างๆการส่องกล้องตรวจกล่องเสียง หลอดของกิน กระเพาะ แล้วก็ลำไส้ รวมทั้งอาจตัดชิ้นเนื้อในรอบๆที่ไม่ดีเหมือนปกติเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา เพื่อแยกจากโรคมะเร็งหลอดของกิน รวมทั้งอาจมีการตรวจวิธีเฉพาะอื่นๆเสริมเติม ตัวอย่างเช่น ตรวจวัดสภาวะความเป็นกรดของหลอดของกินในขณะส่องกล้อง ดังนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของหมอ ดังเช่นว่า การเอกซเรย์กลืนสารทึบแสง, การตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์, การตรวจการบีบตัวของหลอดของกิน ฯลฯ แต่โดยส่วนมากแล้ว แพทย์ชอบวินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนจากอาการแสดงก็เพียงพอต่อการวินิจฉัยโรคแล้ว ซึ่งอาการแสดงที่พบบ่อย อย่างเช่น อาการแสบลิ้นปี่ จุกแน่นยอดอก แล้วก็เรอเปรี้ยวหลังทานอาหารที่เป็นตัวกระตุ้น หรือมีความประพฤติปฏิบัติที่เป็นเหตุกำเริบเสิบสาน แม้กระนั้นในรายที่ไม่แน่ชัดบางทีอาจจำเป็นต้องทำการตรวจพิเศษ (ซึ่งพบได้ไม่บ่อย) กรรมวิธีการรักษาโรคกรดไหลย้อน
ควรจะมานะลดน้ำหนัก บากบั่นหลีกเลี่ยงความเครียด หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าที่คับหรือรัดแน่นเกินความจำเป็น ถ้าหากมีอาการท้องผูก ควรจะรักษา รวมทั้งหลบหลีกการเบ่ง ควรจะบริหารร่างกายบ่อย ภายหลังทานอาหารโดยทันที พากเพียรหลบหลีกการนอนราบ หลบหลีกการรับประทานอาหารมื้อดึก รับประทานอาหารจำนวนพอดิบพอดีในแต่ละมื้อ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มบางประเภท ตัวอย่างเช่น กาแฟ น้ำอัดลม ถ้าจะนอนหลังรับประทานอาหาร ควรจะรอราว 3 ชั่วโมง
เดี๋ยวนี้ยาที่ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด เป็นยาลดกรดในกรุ๊ปยับยั้งโปรตอนปั๊ม (Proton pump inhibitors) ดังเช่นว่า โอเมพราโซล (omeprazole)ขนาด 20 มิลลิกรัม วันละ 1-2 ครั้ง ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงมากมายในการคุ้มครองป้องกันลักษณะของโรคกรดไหลย้อน โดยให้รับประทานยาต่อเนื่องกันเป็นเวลา 6 - 8อาทิตย์ หรืออาจจำต้องใช้ยาเป็นระยะเวลานานนับเป็นเวลาหลายเดือนขึ้นอยู่กับผู้ป่วยแต่ละราย อาทิเช่นในกรณีที่เป็นมากหรือมีอาการมานาน ซึ่งอาจจะมีการปรับการรับประทานยาเป็นระยะๆตามอาการที่มี หรือกินโดยตลอดเป็นเวลานาน ในบางครั้งบางคราวอาจใช้ยาเพิ่มการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหารร่วมด้วย อาทิเช่น เมโทโคลพราไมด์ (metoclo-pramide) ขนาด 10 มิลลิกรัม 1 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง ซึ่งยานี้ควรจะกินก่อนรับประทานอาหารประมาณ 30 นาที
ผู้เจ็บป่วยที่มีลักษณะอาการร้ายแรง ซึ่งให้การรักษาโดยการใช้ยาอย่างมากแล้วไม่ดีขึ้น คนไข้ที่ไม่อาจจะรับประทานยาที่ใช้สำหรับในการรักษาภาวการณ์นี้ได้ คนเจ็บที่ดีขึ้นภายหลังจากการใช้ยา แต่ไม่อยากที่จะกินยาต่อ คนป่วยที่กลับกลายซ้ำบ่อยครั้งข้างหลังหยุดยา ดังนี้คนเจ็บที่จะต้องได้รับการผ่าตัดมีเพียงปริมาณร้อยละ 10 เพียงแค่นั้น การดูแลรักษาโดยการผ่าตัดมีหลายวิธี อาทิเช่น endoscopic fundoplication, radiofrequency therapy, injection / implantation therapy ฯลฯ (https://www.img.in.th/images/93ef36996517bdac08f7cec2b0fafc41.jpg) ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อน
การติดต่อของโรคกรดไหลย้อน โรคกรดไหลย้อนมีต้นเหตุมาจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อหูรูดด้านล่างของหลอดอาหาร ทำให้มีกรด (น้ำย่อย) จากกระเพาะไหลถอยกลับขึ้นไปที่หลอดอาหารและมีการอักเสบและก็อาการต่างๆตามมา ซึ่งโรคกรดไหลย้อนนี้มิได้เป็นโรคติดต่อ เนื่องจากไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนอะไร การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคกรดไหลย้อน
การปกป้องตัวเองจากโรคกรดไหลย้อน การคุ้มครองโรคกรดไหลย้อนนั้นตัวเราเองเป็นข้อสำคัญที่จะสามารถป้องกันการเกิดโรคได้ โดยการเปลี่ยนแปลงความประพฤติปฏิบัติการดำเนินชีวิตของพวกเรา เป็นต้นว่า
ชา กาแฟ และก็น้ำอัดลมทุกชนิด ของกินทอด ของกินไขมันสูง ของกินรสจัด รสเผ็ด ผลไม้รสเปรี้ยว ส้ม มะนาว มะเขือเทศ หอมหัวใหญ่ สะระแหน่ เปปเปอร์มิ้นต์ ช็อกโกแลต
ยอ ชื่อวิทยาศาสตร์ Morinda citrifolia ตระกูล Rubiaceae มีรายงานการศึกษาค้นคว้าวิจัยในหนู พบว่า “ยอ” ซึ่งมีสารสำคัญเป็นสวัวโปเลติเตียนน (scopoletin) เป็นส่วนประกอบอยู่ด้วยนั้น สามารถลดการอักเสบของหลอดของกินจากการไหลย้อนของกรดได้ผลดี พอๆกับยามาตรฐานที่ใช้สำหรับในการรักษากรดไหลย้อนหมายถึงรานิติดีน (ranitidine) รวมทั้งแลนโสพราโซล (lansoprazole) เพราะว่ามีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ ต้านทานการหลั่งของกรด ต้านการเกิดแผล แล้วก็ทำให้การบีบตัวของระบบทางเดินอาหาร โดยมีผลต่อระบบประสาทที่เกี่ยวเนื่องโดยตรง และก็ยังมีกล่าวว่าสามารถเพิ่มการดูดซึมของรานิติดีน “ยอ” จึงเหมาะสำหรับในการเป็นสมุนไพรสำหรับรักษาอาการกรดไหลย้อนเป็นอย่างยิ่ง ทั้งจากการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยข้างต้น และก็การที่ “ยอ” มีรสร้อน ช่วยย่อยของกิน ทำให้ของกินไม่ตกค้าง ไม่กำเนิดลมในกระเพาะอาหาร ลดการเกิดแรงดันที่ทำให้กรดไหลย้อน “ยอ” ยังช่วยให้กระเพาะบีบขับเคลื่อนก้าวหน้าขึ้น ทำให้ของกินเขยื้อนจากกระเพาะไปสู่ลำไส้เล็กได้ดีขึ้น ทั้งนี้สมุนไพรที่บางทีอาจใช้ด้วยกันหมายถึงขมิ้นชัน เพราะว่าขมิ้นชันมีสรรพคุณสำหรับเพื่อการรักษาอาการท้องอืด และช่วยขับน้ำดีเพื่อย่อยไขมัน ทำให้ของกินไม่ตกค้างในกระเพาะอาหาร รวมทั้งลำไส้เล็กนานเกินความจำเป็น ช่วยรักษาแผลในกระเพาะได้อีกด้วย มีผู้แนะนำให้กินขมิ้นชันก่อนที่จะกินอาหาร 1-2 ชั่วโมง รุ่งเช้า ช่วงเวลากลางวัน เย็น และก่อนนอน ขนาดกินเป็น ทีละ 1 ช้อนชาสำหรับแบบผง หรือ 3 เม็ดๆละ 500 มก. ขมิ้น ชื่อวิทยาศาสตร์ Curcuma longa L. ตระกูล Zingiberaceae ชื่อพ้อง C. domestica Valeton ชื่ออื่นๆ ขมิ้นแกง ขมิ้นหยอก ขมิ้นหัว ขมิ้นชัน ขี้มิ้น หมิ้น ตายอ สะยอ Turmeric สารออกฤทธิ์ curcumin, ar-turmerone curcumin จากขมิ้นลดการอักเสบจากรอยแผลก้าวหน้า การทดสอบในหลอดทดลอง โดยใช้สารสกัดขมิ้น 160 มิลลิกรัม/กิโลกรัม กรอกเข้าทางกระเพาะ (intragastric) ของหนูขาว ยับยั้งการอักเสบคิดเป็น 29.5% curcumin มีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบที่เกิดขึ้นมาจากการเหนี่ยวนำด้วยคาราจีแนน การทดสอบเปรียบระหว่าง phenylbutazone กับ sodium curcuminate 30 มิลลิกรัม/กก. พบว่าได้ประสิทธิภาพที่ดี แม้กระนั้นถ้าหากสูงมากขึ้นเป็น 60 มก./กก. ฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบจะต่ำลง แล้วก็ sodium curcuminate ยังสามารถยับยั้งการบีบตัวของลำไส้หนูในหลอดทดสอบที่เหนี่ยวนำจากนิโคติน อะซีตำหนิลโคลีน 5-hydroxy-tryptamine ฮีสตามีนรวมทั้งแบเรียมคลอไรด์ ยิ่งกว่านั้น sodium curcuminate ยังลดจังหวะการบีบรัดตัวของลำไส้เล็กของกระต่าย โดยไปลดระยะห่างของจังหวะการบีบรัดตัวของไส้ ขมิ้นสามารถต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร โดยกระตุ้นการหลั่งมิวสินมาฉาบแล้วก็ยั้งการหลั่งน้ำย่อยต่างๆสารสำคัญสำหรับเพื่อการออกฤทธิ์คือ curcumin ในขนาด 50 มก./กิโลกรัม สามารถกระตุ้นการหลั่งไม่วซินออกมาฉาบกระเพาะอาหาร แต่ถ้าเกิดใช้ในขนาดสูงอาจส่งผลให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ มีการทดลองในกระต่ายเปรียบเทียบกับกลุ่มที่มีการหลั่งกรดมากมาย พบว่าผงขมิ้นไม่เปลี่ยนแปลงจำนวนน้ำย่อยและก็กรดในกระเพาะอาหาร แต่ว่าเพิ่มองค์ประกอบของมิวสิน ย่านาง หรือใบย่านาง มีชื่อด้านวิทยาศาสตร์ว่า Tiliacora triandra (Colebr.) Diels มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Bamboo grass อยู่ในวงศ์ Menispermaceae ใบของย่านาง คือเป็นส่วนที่มีสาระรวมทั้งถูกประยุกต์ใช้ในการรักษาโรคมากที่สุด ด้วยเหตุว่าเป็นพืชที่มีฤทธิ์เย็น รวมทั้งมีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง ยิ่งไปกว่านี้ถูกจัดเอาไว้ภายในตำราเรียนสมุนไพรว่าเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย ซึ่งประโยชน์ซึ่งมาจากใบย่านางสำหรับการรักษาโรคมีดังนี้ ระบบทางเดินอาหาร -ช่วยรักษาโรคกระเพาะ ลำไส้อักเสบ -ช่วยลดอาการหดเกร็งตามไส้ -ช่วยรักษาลักษณะของกรดไหลย้อน รักษารวมทั้งคุ้มครองโรคภัยต่างๆ-ช่วยรักษาโรคความดันเลือดสูง -ช่วยคุ้มครองป้องกันแล้วก็บำบัดรักษาการเกิดโรคหัวใจ -ช่วยคุ้มครองปกป้องและก็ลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งได้ -ช่วยรักษาลักษณะของโรคเบาหวาน โดยไปลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ต่ำลง ระบบผิวหนัง -ช่วยในการรักษาโรคเริม งูสวัด -ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ระบบขยายพันธุ์และก็ฟุตบาทปัสสาวะ -ช่วยรักษาโรคนิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในถุงน้ำดี -ช่วยรักษาอาการปัสสาวะแสบขัด ออกร้อนในฟุตบาทเยี่ยว ขึ้นฉ่าย (Apium graveolens L.) ช่วยบำรุงระบบที่ทำหน้าที่ย่อยอาหารในร่างกายรวมทั้งช่วยลดลักษณะโรคที่เกี่ยวกับกระเพาะ ซึ่งรวมทั้งโรคกรดไหลย้อน เอกสารอ้างอิง
|