หัวข้อ: โรคกระดูกพรุน มีวิธีรักษาอย่างไรเเละมีสรรพคุณ-ประโยชน์อะไรบ้าง เริ่มหัวข้อโดย: หนุ่มน้อยคอยรัก007 ที่ พฤษภาคม 28, 2018, 05:08:27 pm (https://www.picz.in.th/images/2018/04/28/YCf0dl.jpg)
โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) โรคกระดูกรุน เป็นอย่างไร โรคกระดูกพรุนโดยทั่วไปแล้ว คือสภาวะที่จำนวนธาตุ (ที่สำคัญคือแคลเซียม) ในกระดูกต่ำลง ร่วมกับความเสื่อมของเนื้อเยื่อที่ประกอบเป็นส่วนประกอบข้างในกระดูก ทำให้เนื้อหรือมวลกระดูกลดความหนาแน่น ก็เลยเปราะบางแตกหักง่าย บริเวณที่พบการหักของกระดูกได้บ่อยมาก ตัวอย่างเช่น ข้อมือ บั้นท้าย และก็สันหลัง ส่วนคำจำกัดความของภาวะกระดูกพรุนหรือโรคกระดูกพรุน คือ สภาวะที่ความหนาแน่นของมวลกระดูก (bone mineral density : BMD) ต่ำลงซึ่งส่งผลให้กระดูกบอบบาง แล้วก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดกระดูกหักได้ง่าย โดยใช้ความหนาแน่นของมวลกระดูก เป็นมาตรฐานสำหรับในการวิเคราะห์สภาวะกระดูกพรุนที่องค์การอนามัยโลกได้ประกาศใช้ตั้งแต่ปี คริสต์ศักราช1994 โดยเปรียบเทียงค่า BMD ของคนเจ็บกับของวัยหนุ่มสาวที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงโดยใช้ค่า T-score เป็นมาตรฐาน คนที่มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation : SD) น้อยกว่า -2.5 วิเคราะห์ว่ามีสภาวะกระดูกพรุน ในตอนที่ค่า -1.0 ถึง -2.5 จัดว่ามีภาวะกระดูกบาง (osteopenia) แล้วก็ ค่ามากกว่า -1.0 จัดว่ากระดูกธรรมดา โรคกระดูกพรุนเป็นโรคเรื้อรังที่มักพบในคนชรา โดยเฉพาะในเพศหญิงวัยหมดระดู (มักไม่ค่อยพบในเด็กรวมทั้งคนวัยหนุ่มวัยสาว ยกเว้นในเรื่องที่มีสภาวะปัจจัยเสี่ยง) โดยเพศหญิงมีโอกาสกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนสูงถึงปริมาณร้อยละ 30-40 ขณะที่ผู้ชายมีโอกาสจำนวนร้อยละ 13 โดย เพศหญิงช่วงอายุ 10 ปีแรกข้างหลังหมดรอบเดือน กระดูกจะบางลงเร็วมาก อธิบายได้ว่ามีต้นเหตุมาจากการที่ขาดฮอร์โมนเพศหญิงที่มีชื่อว่าเอสโตรเจน นอกจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนแล้ว ยังเป็นผลมาจากความเสื่อมตามวัยซึ่งพบได้อีกทั้งในผู้ชายและก็เพศหญิง รวมทั้งเป็นโรคที่คนโดยมากมักละเลยเนื่องจากว่าจะไม่ออกอาการจนกระทั่งจะเกิดภาวะแทรก(การหักของกระดูกต่างๆได้แก่ กระดูกข้อมือ กระดูกบั้นท้าย กระดูกสันหลัง) ทำให้คนส่วนใหญ่มิได้รับการตรวจหรือรักษา อย่างทันทีทันควันจนกระทั่งเป็นเหตุให้เกิดการหักของกระดูกตามอวัยวะต่างๆตามที่กล่าวมา (โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดูกสะโพก) จากการคาดโดยประมาณขององค์การอนามัยโลก คาดว่าใน ค.ศ.2050 จะมีผู้ป่วยเนื่องด้วยกระดูกสะโพกหักมากถึง 6.25 ล้านคน ซึ่งมากขึ้นจากการรายงานในปี ค.ศ. 1990 ที่มีปริมาณผู้ป่วยเพียงแค่ 1.33 ล้านคน เนื่องจากภาวการณ์กระดูกพรุนมีความเกี่ยวเนื่องกับกระดูกสันหลังสถิติดังกล่าวก็เลยสะท้อนถึงจำนวนคนที่มีสภาวะกระดูกพรุนที่จะเพิ่มขึ้นอย่างเร็วในตอนศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในกรุ๊ปเอเชียซึ่งพบว่าในปริมาณพลเมือง กระดูกบั้นท้ายหักทั่วโลกในปี ค.ศ.1990 จำนวนร้อยละ 30 เป็นชาวเอเชียรวมทั้งในปี 2050 คาดว่าชาวเอเชียจะราษฎรผู้ป่วยกระดูกสะโพกหักถึงจำนวนร้อยละ 50 ของประชากรโลกทั้งสิ้น สำหรับประเทศไทย (ข้อมูลเมื่อปี 2555) ยังไม่มีการศึกษาถึงสถิติโรคกระดูกพรุนเป็นทุกปี แต่จากสถิติปริมาณสามัญชนผู้สูงวัยของประเทศไทยที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างเร็ว ก็เลยทำให้ความชุกของโรคกระดูกพรุนมากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น โดยยิ่งไปกว่านั้นในผู้ที่แก่ตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไปจะเจอโรคกระดูกพรุนได้มากกว่า 50% โดยพบสภาวะกระดูกพรุนรอบๆสันหลังส่วนเอว 15.7-24.7% รอบๆกระดูกบั้นท้าย 9.5-19.3% อุบัติการณ์ของกระดูกสะโพกหักในสตรีวัยหมดระดูที่แก่ตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปได้ปริมาณ 289 ครั้งต่อพลเมือง 1 แสนรายต่อปี ต้นเหตุของโรคกระดูกพรุน เนื่องจากกระดูกประกอบด้วย โปรตีน คอลลาเจน และแคลเซียม โดยมีแคลเซียมฟอสเฟตเป็นตัวทำให้กระดูกแข็งแรง ทนต่อแรงดึงรั้ง กระดูกมีการสร้างและสลายตัวอยู่ตลอดระยะเวลา กล่าวคือ เวลาที่มีการสร้างกระดูกใหม่โดยใช้แคลเซียมจากอาหารที่รับประทานเข้าไป ก็มีการสลายแคลเซียมในเนื้อกระดูกเก่าออกมาในเลือดและก็ถูกขับออกมาทางฉี่รวมทั้งอุจจาระ ธรรมดาในเด็กจะมีการสร้างกระดูกมากกว่าการสลาย ทำให้กระดูกมีการเจริญวัย มวลกระดูกจะเบาๆเพิ่มขึ้นจนถึงมีความหนาแน่นสูงสุด เมื่ออายุราวๆ ๓๐-๓๕ ปี จากนั้นจะเริ่มมีการสลายกระดูกมากกว่าการผลิต ทำให้กระดูกค่อยๆบางตัวลงตามอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะ ในเพศหญิงระยะหลังวัยหมดประจำเดือน ซึ่งมีการลดน้อยลงของฮอร์โมนเอสโทรเจนอย่างรวดเร็ว ฮอร์โมนประเภทนี้ช่วยการดูดซึมแคลเซียมไปสู่ร่างกายแล้วก็ชะลอการสลายของแคลเซียมในเนื้อกระดูก เมื่อพร่องฮอร์โมนประเภทนี้ก็จะก่อให้กระดูกบางตัวลงอย่างรวดเร็ว กระทั่งเกิดภาวะกระดูกพรุน ส่วนกลไกการเกิดกระดูกพรุนที่แน่นอนยังไม่รู้จัก แต่ในเบื้องต้นพบว่ามีเหตุมาจากการเสียสมดุลระหว่างเซลล์สร้างกระดูก (Osteoblast) และก็เซลล์ซับทำลายกระดูก (Osteoclast) ซึ่งการมีกระดูกที่แข็งแรงควรมีสมดุลระหว่างเซลล์ทั้งสองชนิดนี้เสมอ ซึ่งการเสียสมดุลเกิดได้จากหลายกรณีคือ
ลักษณะของโรคกระดูกพรุน จำนวนมากมักจะไม่มีอาการแสดง กระทั่งกำเนิดเปลี่ยนไปจากปกติของส่วนประกอบกระดูก ได้แก่ ปวดข้อมือ สะโพก หรือข้างหลัง (เหตุเพราะกระดูกข้อมือ บั้นท้าย หรือสันหลังแตกหัก) ความสูงต่ำลงจากเดิม (เนื่องมาจากการหักรวมทั้งยุบตัวของกระดูกสันหลัง ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้สึกตัว เป็นต้น) ถ้าเป็นโรคกระดูกพรุนจำพวกทุติยภูมิก็อาจมีอาการแสดงของโรคที่เป็นสาเหตุ อีกทั้งคนที่เป็นโรคกระดูกพรุนจะเสี่ยงต่อการหักของกระดูกซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยชองสภาวะกระดูกพรุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง รวมทั้งกระดูกข้อมือ ซึ่งมีผลกระทบต่อการ สูญเสียทั้งยังเศรษฐกิจของประเทศรวมทั้งคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย รวมทั้งโดยส่วนใหญ่จะมีเหตุมาจากอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรงหรือมีแรงชนต่ำ ได้แก่ กระดูกหักจากการเปลี่ยนท่ายืนหรือนั่ง, กระดูกหักขณะก้มจับของหรือยกของหนัก, กระดูกซี่โครงหักเพียงแค่ไอหรือจาม, กระดูกข้อมือหักจากการใช้มือกระทั่งถึงตัวเอาไว้จากการลื่นหรือหกล้ม, กระดูกสะโพกหักจากก้นกระแทกกับพื้น เป็นต้น กระบวนการรักษาของโรคกระดูกพรุน เพราะภาวะกระดูกพรุนส่วนมากไม่ปรากฏอาการแสดงที่เปลี่ยนไปจากปกติจวบจนกระทั่งจะเกิดการหักของกระดูก และมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆเป็นต้นว่า ลักษณะของการปวดเกิดขึ้น การตรวจและก็วินิจฉัยการสูญเสียมวลกระดูกให้ได้ก่อนจะมีการหักของกระดูกจึงเป็นประเด็นสำคัญ โดยหมอจะวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน จากประวัติอาการ ประวัติป่วยไข้ต่างๆประวัติการออกกำ ลังกาย อายุ การตรวจร่างกาย แล้วก็จะกระทำการวินิจฉัยด้วยการเอกซเรย์กระดูก ตรวจความหนาแน่นของกระดูก (bone mineral density) แล้วนำค่าที่ได้ไปเปรียบเทียบกับค่าธรรมดาในเพศและอายุช่วงเดียวกัน หากกระดูกมีค่ามวลกระดูกน้อยกว่า 1.00 gm/cm2 จะได้โอกาสกระดูกหักได้ง่าย ซึ่งการแบ่งกระดูกตามค่ามวลกระดูกจะแบ่งได้เป็น 4 ประเภท ดังต่อไปนี้
การตรวจด้วย dual-energy x-ray absorptiometry (DEXA) ได้รับการยินยอมรับว่าเป็นขั้นตอนการตรวจที่เป็นมาตรฐาน (gold standard) มีความถูกต้องแน่ใจแม่นยำที่สุดสำหรับเพื่อการวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกแม้จะสูญเสียมวลกระดูกไปเพียงแค่ร้อยละ 1 ก็ตาม กระบวนการรักษาโรคกระดูกพรุนเป็น เพิ่มหลักการทำงานของเซลล์สร้างกระดูกแล้วก็หยุดหรือลดรูปแบบการทำงานของเซลล์ทำลายกระดูก โดยแพทย์จะมีแนวทางการดูแลรักษาคนที่มีภาวะกระดุพรุน ดังนี้
คนไข้จำเป็นต้องใช้ยาเป็นประจำ หมอจะนัดมาตรวจเป็นระยะ อาจจำต้องทำการตรวจกรองมะเร็งเต้านมแล้วก็ปากมดลูก (สำหรับคนที่กินเอสโทรเจน) ปีละ ๑ ครั้ง ตรวจความหนาแน่นของกระดูกทุก ๒-๓ ปี เอกซเรย์ในรายที่สงสัยมีกระดูกหัก ฯลฯ ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน เป็นต้นว่า กระดูกหัก ก็ให้การรักษา ดังเช่นว่า การเข้าเฝือก การผ่าตัด การทำกายภาพบำบัด เป็นต้น ในรายที่มีโรคหรือสภาวะที่เป็นต้นเหตุของโรคกระดูกพรุนจำพวกทุติยภูมิ ก็ให้การรักษาไปพร้อมๆกัน สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะก่อเกิดโรคกระดูกพรุน ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อเกิดโรคกระดูกพรุนนั้น ปัจจัยเสี่ยงอยู่ 2 ประเภทเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงได้ และก็ ปัจจัยเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงมิได้ (ตารางที่ 1) ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงหลายเหตุก็จะมีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุน และก็จะได้โอกาสสูงที่จะกำเนิดกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน (https://www.picz.in.th/images/2018/04/28/YCfNbV.jpg) ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดภาวะกระดูกพรุน ปัจจัยที่แก้ไขไม่ได้ ต้นสายปลายเหตุที่ปรับแต่งได้
การติดต่อของโรคกระดูกพรุน โรคกระดูกพรุนเป็นโรคที่ร่างกายมีสภาวะที่ความหนาแน่นของมวลกระดูกลดต่ำยิ่งกว่าค่ามาตรฐาน ซึ่งเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากกลไกการสลายตัวของเซลล์สร้างกระดูก ส่งผลให้ความสมดุลของเซลล์สร้างกระดูกและเซลล์ซับทำลายกระดูกสูญเสียไป ซึ่งมีมากไม่น้อยเลยทีเดียวหลายสาเหตุ แม้กระนั้นโรคกระดูกพรุนนี้ไม่ใช่โรคติดต่อเพราะเหตุว่าไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนอะไร การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน
อายุจำนวนแคลเซียมที่อยาก (mg/day) ทารก – 6 เดือน 6 เดือน – 1 ปี 1 ปี – 5 ปี 6 ปี – 10 ปี 11 ปี – 24 ปี ผู้ชาย 25 ปี – 65 ปี มากกว่า 65 ปี เพศหญิง 25 ปี – 50 ปี มากกว่า 50 ปี (หลังวัยหมดประจำเดือน) อายุ 400 600 800 800-1200 1200-1500 1000 1500 1000 จำนวนแคลเซียมที่อยากได้ (mg/day) -ได้รับการดูแลและรักษาด้วย estrogen - ไม่ได้รับการดูแลและรักษาด้วย estrogen อายุมากกว่า 65 ปี ระหว่าตั้งท้อง หรือให้นมบุตร 1000 1500 1500 1200-1500 โดยของกินที่มีแคลเซียมสูง เป็นต้นว่า นม เนยแข็ง ปลาที่กินได้อีกทั้งกระดูก (ยกตัวอย่างเช่น ปลาไส้ตัน) กุ้งแห้ง เต้าหู้แข็ง ถั่วแดง ผักสีเขียวเข้ม (ดังเช่น คะน้า ใบชะพู) งาดำคั่ว ทางปฏิบัติ สำหรับเด็กและก็วัยรุ่นควรดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว คนแก่รวมทั้งผู้สูงอายุดื่มนมวันละ 1-2 แก้วเสมอๆ จะมีผลให้ได้รับแคลเซียมร้อยละ 50 ของปริมาณที่อยาก ส่วนแคลเซียมที่ยังขาดให้กินจากอาหารแหล่งอื่นๆประกอบ ผู้ใหญ่บางบุคคลที่มีข้อจำกัดสำหรับการดื่มนม (เช่น มีสภาวะไขมันในเลือดสูง อ้วน เป็นโรคเบาหวาน ความดันเลือดสูง โรคหัวใจขาดเลือด) ให้เลือกกินเนยแข็ง นมเปรี้ยว นมพร่องมันเนย แทน หรือบริโภคของกินที่มีแคลเซียมสูงในแต่ละมื้อให้มากขึ้นเรื่อยๆ
เพชรสังฆาต ชื่อวิทยาศาสตร์ Cissus guadrangu laris L. วงศ์ Vitaceae "เพชรสังฆาต" เป็นสมุนไพรที่ใช้บำรุงกระดูกมาตั้งแต่อดีตกาล ในพระคัมภีร์สรรพลักษณะ เอ๋ยถึงสรรพคุณของ "เพชรสังฆาต" ไว้ว่า "เพชรสังฆาต แก้จุกเสียด แก้บิด แก้ปวดในข้อในกระดูก ชอบแก้ลมทั้งสิ้นแล" ในตำราเรียนหมอแผนโบราณทั่วๆไป สาขาเภสัชกรรม ของกองประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า "เพชรสังฆาต" มีคุณประโยชน์ แก้กระดูกแตก หัก ซ้น ขับลมในลำไส้ แก้ริดสีดวงทวารหนัก ส่วนแพทย์ประจำถิ่นนั้นใช้เถาตำละเอียดเป็นยาพอกรอบๆกระดูกหักช่วยลดอาการบวม อักเสบได้ ปัจจุบันนี้ได้มีงานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยพบว่า "เพชรสังฆาต" มีวิตามินซีสูงมากซึ่งรับรองคุณประโยชน์รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน อุดมด้วยแคโรทีนซึ่งเป็นสารเริ่มต้นของวิตามินเอ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ที่สำคัญมีองค์ประกอบของแคลเซียมสูงมาก รวมถึงสารอที่นาโบลิก สเตียรอยด์ (Anabolic Steroids) มีฤทธิ์เร่งปฏิกิริยาการสมานกระดูกที่แตกหักโดยกระตุ้นการสร้างเซลล์ออสเตโอบลาสต์ (Osteoblast) ซึ่งทำหน้าที่สร้างกระดูกและก็ยังช่วยให้มีการสร้างสารไม่ววัวโพลีแซกค้างไรด์ (Mucopolysaccharides) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในขั้นตอนการสมานกระดูก นอกจากนี้สารคอลลาเจน (Collagen) ในเพชรสังฆาตยังเป็นสารอินทรีย์โปรตีนที่มาจับกุมตัวกับผลึกแคลเซียมฟอสเฟตกระทั่งเปลี่ยนเป็นกระดูกแข็งที่สามารถรับน้ำหนักและมีความยืดหยุ่นในตนเอง ผลของการตรวจสอบและลองใช้เถาเพชรสังฆาตในสตรีวัยทองซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดภาวะกระดูกพรุน พบว่าช่วยเพิ่มมวลกระดูกและรักษากระดูกแตก กระดูกหักได้ ฝอยทอง ชื่อวิทยาศาสตร์ Cuscuta chinensis Lam. ตระกูล Convlvulaceae ในประเทศจีนแล้วก็บางประเทศในแถบเอเชีย ได้มีการใช้เมล็ดฝอยทองในการรักษาโรคกระดูกพรุน จากการวิเคราะห์ทางเคมีพบว่า สารประกอบที่แยกได้จากสารสกัดเอทานอลเป็นสารในกลุ่ม astragalin, flavonoids, quercetin, hyperoside isorhamnetin และ kaempferol เมื่อนำมาทดลองฤทธิ์พบว่าสาร kaempferol แล้วก็ hyperoside สามารถเพิ่มฤทธิ์ของ alkaline phosphatase (ALP) ในเซลล์ osteoblast-like UMR-106 โดยที่ ALP เป็นตัวบ่งชี้สำหรับในการเพิ่มการผลิตเซลล์กระดูกของเซลล์ขึ้นต้น และสาร astragalin ยังกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ UMR-106 ด้วย ส่วนสารอื่นๆไม่พบว่ามีฤทธิ์ดังกล่าว นอกเหนือจากนี้ยังพบว่าสารที่แยกได้มีฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจน โดยสาร quercetin, kaempferol รวมทั้ง isorhamnetin ออกฤทธิ์กระตุ้น ERβ (estrogen receptor agonist) แม้กระนั้นเมื่อเปรียบเทียบกันในทางของการกระตุ้น ER จะมีเพียงแต่สาร quercetin แล้วก็ kaempferol ที่ออกฤทธิ์แรงในการยับยั้งตัวรับ estrogen จำพวก ERα/β โดยที่กลไกดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นคาดว่าจะเปรียบเทียบกับยา raloxifene ที่ออกฤทธิ์กระตุ้น ER ที่รอบๆกระดูก ไขมัน หัวใจแล้วก็เส้นโลหิต แต่ว่าออกฤทธิ์ยับยั้ง ER ที่บริเวณเต้านมรวมทั้งมดลูก ยิ่งไปกว่านี้สาร quercetin รวมทั้ง kaempferol ยังกระตุ้นการแสดงออกของ ERα/β-mediated AP-1 reporter (activator protein) ซึ่งเป็นโปรตีนที่เกี่ยวกับการผลิตกระดูก เหมือนกันกับยา raloxifene จากการทดลองทั้งหมดทั้งปวงทำให้สรุปได้ว่าเม็ดฝอยทองคำมีประสิทธิภาพสำหรับเพื่อการรักษาโรคกระดูกพรุน และก็สารสำคัญที่มีฤทธิ์สำหรับในการสร้างเซลล์กระดูกคือ kaempferol และก็ hyperoside เอกสารอ้างอิง
|