หัวข้อ: รู้หรือไม่ว่าการบูรนั้นเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณเเละประโยชน์อันน่าทึ่งอย่างมาก เริ่มหัวข้อโดย: watamon ที่ พฤษภาคม 31, 2018, 10:44:33 am การบูร (Camphor)
การบูรเป็นยังไง การบูรเป็นชื่อของต้นไม้ประเภทหนึ่ง ที่มีผลึกแทรกอยู่สะกดรอยแตกของเนื้อไม้รวมทั้งยังสามารถนำลำต้น,ราก,ใบ มากมายลั่นหรือสกัดจนได้ผลึกดังกล่าวอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งก่อนนั้น คำว่า “การบูร” มาจากภาษาสันสกฤตว่า “Karapur” หรือ “แขนปูร” ซึ่งแสดงว่า “หินปูน” เพราะว่าโบราณเข้าใจว่าผนึกนี้เป็นพวกหินปูนที่มีกลิ่นหอมยวนใจ ถัดมาชื่อนี้เพี้ยนเป็น “กรบูร” แล้วก็เป็น “การบูร” ในปัจจุบัน (นักเขียนรู้เรื่องว่า ชื่อการบูรนี้คงจะถูกเรียกจากผลึกที่ได้แล้วจากนั้นจึงค่อยนำมาตั้งชื่อต้นไม้ที่ให้ผลึก) ส่วนลักษณะของผลึกการบูรนั้น มีลักษณะเป็นผลึกหรือเกล็ดกลมๆเล็กๆมันวาว สีขาวแห้ง มีกลิ่นหอมหวนเย็นฉุน มักจะจับกันเป็นก้อนร่วนๆแตกง่าย ถ้าหากทิ้งเอาไว้ในอากาศ จะระเหิดไปหมด มีรสร้อนปร่าเมา สูตรทางเคมีแล้วก็สูตรโครงสร้าง ผลึกการบูรมีชื่อสามัญว่า Camphor, Gum camphor, Formosan camphor, Laurel camphor เป็นสารประกอบกลุ่มเทอร์พีนที่พบได้จากต้นการบูรมีความไวไฟ มีชื่อตาม IUPAC ว่า 1,7,7-trimethylbicyclo 2.2.1heptan-2-one รวมทั้งมีชื่ออื่นๆเช่น 2-bornanone, 2-camphanone bornan-2-one, Formosa มีสูตรเคมี C10H16O มีน้ำหนักโมเลกุล 152.23 ความหนาแน่น 0.990 มีจุดหลอมเหลวที่ 179.75 องศาเซลเซียส (452.9 K) จุดหลอมเหลว 204 องศาเซลเซียส (477K) สามารถละลายน้ำได้ และมีสูตรองค์ประกอบดังนี้ มูลเหตุ ตามที่ได้กล่าวไปแล้วว่าผลึกการบูรได้มาจากการระเหิดของยางจากแก่นไม้ของต้นการบูรและก็การกลั้นหรือสกัด ลำต้น ราก ใบ ต้น การบูร ซึ่งมีข้อมูลทางพฤกษศาสตร์ของต้นการบูรคือ สมุนไพรการบูร มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆว่า การะบูน การบูร (ภาคกลาง), อบเชยญวน (ไทย), ประพรมเส็ง (งู), เจียโล่ (จีนแต้จิ๋ว), จางมู่ จางหน่าว (ภาษาจีนกลาง) เป็นต้น ชื่อวิทยาศาสตร์ Cinnamomum camphora (L.) J. Presl.ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์Camphora camphora (L.) H.Karst., Camphora hahnemannii Lukman., Camphora hippocratei Lukman., Camphora officinarum Nees, Camphora vera Raf., Camphorina camphora (L.) Farw., Cinnamomum camphoriferum St.-Lag., Cinnamomum camphoroides Hayata, Cinnamomum nominale (Hats. & Hayata) Hayata, Cinnamomum officinarum Nees ex Steud., Laurus camphora L., Persea camphora (L.) Spreng. ชื่อสกุล Lauraceae การบูร เป็นพรรณไม้พื้นเมืองของจีน ประเทศญี่ปุ่น แล้วก็ไต้หวัน และมีการกระจัดกระจายจำพวกไปในแถบ เมดิเตอร์เรเนียน อินโดนีเซีย อินเดีย อียิปต์ แอฟริกาใต้ จาไมกา บราซิล สหรัฐฯ และก็ประเทศไทย โดยจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นทรงพุ่มไม้กว้างและทึบ มีความสูงของต้นได้ถึง 30 เมตร ลำต้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 1.5 เมตร เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาล ผิวหยาบคาย ส่วนเปลือกกิ่งเป็นสีเขียวหรือเป็นสีน้ำตาลอ่อน ลำต้นและกิ่งเรียบไม่มีขน ส่วนแก่นไม้เป็นสีน้ำตาลปนแดง เมื่อเอามากลั่นแล้วจะได้ “การบูร” ทุกส่วนของต้นการบูรจะมีกลิ่นหอมสดชื่น โดยยิ่งไปกว่านั้นที่ส่วนที่ของรากแล้วก็โคนต้น เพาะพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด และกรรมวิธีการปักชำ ใบเป็นใบผู้เดียว ออกเรียงสลับ รูปรี หรือรูปรีแกมรูปไข่ กว้าง 2.5-5.5 เซนติเมตร ยาว 5.5-15 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลม โคนใบป้านหรือกลม ขอบของใบเรียบหรือเป็นคลื่นบางส่วน แผ่นใบค่อนข้างเหนียว ด้านบนสีเขียวเข้ม วาว ข้างล่างสีเขียวอมเทาหรือนวล ไม่มีขน เมื่อขยี้จะมีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นการบูร เส้นใบขึ้นตรงมาจากโคนใบโดยประมาณ 3-8 มม. แล้วแยกออกเป็น 3 เส้น ตรงมุมที่มีเส้นใบแยกออกนั้นมีต่อม 2 ต่อม แล้วก็ตามเส้นกลางใบอาจมีต่อมเกิดขึ้นตรงมุมที่มีเส้นใบแยกออกไป ก้านใบยาว 2-3 เซนติเมตร ไม่มีขน ตาใบมีเกล็ดซ้อนเหลื่อมหุ้มอยู่ เกล็ดชั้นนอกเล็กมากยิ่งกว่าเกล็ดชั้นในเป็นลำดับ ดอกช่อแบบแยกกิ่งก้านสาขาออกตามเป็นกลุ่มบริเวณง่ามใบ ดอกเล็กสีขาวอมเหลืองหรืออมเขียว ก้านดอกสั้นมากมาย กลีบรวมมี 6 กลีบ เรียงเป็น 2 วง วงละ 3 กลีบ รูปรี ปลายมน ข้างนอกเกลี้ยง ข้างในมีขนละเอียด เกสรเพศผู้มี 9 อัน เรียงเป็น 3 วง วงละ 3 อัน อับเรณูของวงที่ 1 รวมทั้งวงที่ 2 หันเข้าข้างใน ก้านเกสรมีขน ส่วนอับเรณูของวงที่ 3 หันหน้าออกภายนอก ก้านเกสรค่อนข้างใหญ่ มีต่อม 2 ต่อมอยู่ใกล้โคนก้าน ต่อมรูปไข่กว้างและก็มีก้าน อับเรณูมีช่องเปิด 4 ช่อง เรียงเป็น 2 แถว แถวละ 2 ช่อง มีลิ้นเปิด 4 ช่อง เกสรเพศผู้เป็นหมันมี 3 อัน อยู่ข้างในสุด รูปร่างคล้ายลูกศร มีขนแต่ไม่มีต่อม รังไข่รูปไข่ ไม่มีขน ก้านเกสรเพศเมียยาวราวๆ 1 มม. ไม่มีขน ปลายเกสรเพศเมียกลม ใบเสริมแต่งเรียวยาว หล่นง่าย มีขนอ่อนนุ่มผลรูปไข่ หรือกลม สำเร็จมีเนื้อ ยาว 6-10 มม. สีเขียวเข้ม เมื่อสุกกลายเป็นสีดำ มีฐานดอกซึ่งเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นแป้นรองรับผลมีเมล็ด 1 เมล็ด ออกดอกราวมิถานายนถึงกรกฎาคมซึ่งการบูรจากธรรมชาตินั้น เป็นผลึกที่แทรกอยู่ในเนื้อไม้ของต้นการบูร ที่เกิดอยู่ทั่วๆไปทั้งต้น ชอบอยู่ตามรอยแตกของเนื้อไม้ มีสูงที่สุดในแก่นของราก รองลงมาที่แก่นของต้น ส่วนที่อยู่ใกล้โคนต้นจะมีการบูรมากกว่าส่วนที่อยู่สูงมากขึ้นมา ในใบแล้วก็ยอดอ่อนมีการบูรอยู่น้อย แล้วก็จะมีน้อยกว่าใบแก่ ส่วนการสร้างการบูร จะใช้ขั้นตอนการกลั่นด้วยละอองน้ำ (ซึ่งบางทีอาจไม่สามารถกลั่นการบูรได้เองภายในครัวเรือน เนื่องด้วยจำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่เฉพาะ) โดยนำส่วนต่างๆของลำต้นและรากการบูรที่แก่เกิน 40 ปี มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วค่อยนำไปกลั่น เมื่อกลั่นจนได้น้ำมันหอมระเหย การบูรจะตกผลึกเป็นก้อนสีขาวๆแยกออกมาจากน้ำมันหอมระเหย หลังจากนั้นจึงกรองแยกเอาผลึกการบูร (บางทีอาจเอามาทำให้บริสุทธิ์โดยการระเหิด) การบูรที่ได้นี้เรียกว่า refined camphor หรือ resublimed camphor แต่ในประเทศอเมริกา จะใช้ใบและก็ยอดอ่อนของต้นที่แก่ 5 ปีขึ้นไปแทน แม้ว่าจะให้ปริมาณการบูรน้อยกว่า แม้กระนั้นสามารถตัดใบแล้วก็ยอดอ่อนมากมายลั่นได้ทุกๆสองเดือน ในตอนนี้การบูรเกือบ 100%ได้จากกระบวนการครึ่งหนึ่งสังเคราะห์จากสารเริ่มต้น คือ แอลฟา-ไพนีน (alpha-pinene) ที่ได้จากน้ำมันสน ประโยชน์/สรรพคุณ หนังสือเรียนยาไทย: “การบูร” มีรสร้อนปร่าเมา ใช้ทาเช็ดนวดแก้ปวด แก้เคล็ดลับบวม ขัดยอก พลิก แก้กระตุก แก้ปวดข้อ แก้ปวดเส้นประสาท แก้รอยผิวหนังแตก แก้พิษแมลงต่อย แล้วก็โรคผิวหนังเรื้อรัง เป็นยาระงับเชื้ออย่างอ่อน ขับเหงื่อ ขับเสมหะ ขับเยี่ยว แก้ไข้หวัด และขับลม บำรุงธาตุ บำรุงกำหนัด ยากระตุ้นหัวใจ บำรุงหัวใจ ใช้เป็นส่วนผสมในยาหอมต่างๆอย่างเช่น ยาหอมเทพจิตร นอกเหนือจากนั้นยังคงใช้แก้อาการชักบางประเภท ใช้การบูร 1-2 เกรน แก้ปวดขัดตามเส้นประสาท ข้อบวมเป็นพิษ แก้กลยุทธ์บวม เส้นตกใจ กระตุก ปวดเมื่อยแพลง แก้เจ็บท้อง ท้องร่วง ขับน้ำเหลือง แก้เลือดลม บำรุงกำหนัด ขับเหงื่อ ขับเสมะหะ บำรุงธาตุ แก้โรคตา กระจายลม ขับผายลม นำมาผสมเป็นขี้ผึ้ง เป็นยาร้อน ใช้ทาแก้เพื่อถอนพิษอักเสบเรื้อรัง ปวดยอกตามกล้ามเนื้อ สะบักจม อก เจ็บปวดรวดร้าวตามเอ็น โรคปวดผิวหนัง รอยผิวแตกในช่วงฤดูหนาว แก้พิษสัตว์กัดต่อย วางในห้องหรือตู้ที่มีไว้สำหรับเก็บเสื้อผ้าไล่ยุงและก็แมลง บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์วิชาความรู้เริ่มแรก ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ปรากฏการใช้การบูร ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆในตำรับ ในยารักษาหลายกลุ่มอาการ ยกตัวอย่างเช่น “ยาธาตุบรรจบ” มีสรรพคุณของตำรับ ใช้บรรเทาอาการท้องอืดเฟ้อ และอาการอุจจาระธาตุทุพพลภาพ ท้องร่วงที่ไม่ติดโรค ฯลฯ, ตำรับ “ยาแก้ลมอัมพฤกษ์” มีส่วนประกอบของการบูรร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆในตำรับ มีคุณประโยชน์ของตำรับในการทุเลาอาการปวดตามเอ็น กล้ามเนื้อ มือ เท้า ตึงหรือชา ตำรับ "ยาประสะไพล" มีส่วนประกอบของการบูรร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆในตำรับ มีคุณประโยชน์ของตำรับสำหรับในการรักษาเมนส์มาไม่สม่ำเสมอหรือมาน้อชูว่าธรรมดา ทุเลาลักษณะของการปวดประจำเดือน และขับน้ำคาวปลาในหญิงข้างหลังคลอดบุตร ในทางการแพทย์แผนปัจจุบันพบว่าการบูรซับทางผิวหนังได้ดี และก็รู้สึกเย็นเมื่อสัมผัสกับผิวหนังเหมือนกันกับเมนทอล มีฤทธิ์เป็นยาชารวมทั้งต้านจุลชีวันอย่างอ่อนๆใช้ทาเฉพาะที่แก้กลยุทธ์บวม ขัดยอก พลิก แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย และก็โรคผิวหนัง นอกเหนือจากนั้นยังมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทศูนย์กลาง นอกจากนี้ยังมีการนำการบูรมาใช้ประโยชน์อื่นๆอีกเช่น
การเรียนทางพิษวิทยา การทดสอบความเป็นพิษ เมื่อฉีดสารสกัดส่วนที่อยู่เหนือดินของต้นการบูรด้วยเอธานอล-น้ำ เข้าช่องท้องหนูถีบจักรพบว่าขนาดที่ทำให้สัตว์ทดสอบตายกึ่งหนึ่งมากยิ่งกว่า 1 กรัม/กก. เมื่อป้นส่วนที่เป็นไขมันให้หมาในขนาด 5 ซีซี/กก. ไม่เจอพิษ มีรายงานว่าการกินการบูร ขนาด 3.5 กรัม ทำให้เสียชีวิตได้ แล้วก็แม้รับประทานเกินครั้งละ 2 กรัม จะทำให้สลบ และก็เป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหาร ไต รวมทั้งสมอง อาการแสดงเมื่อได้รับพิษ คือ อ้วก คลื่นไส้ ปวดศีรษะ วิงเวียนหัว กล้ามเนื้อสั่น กระตุก เกิดการชัก สมองดำเนินงานผิดพลาด เกิดภาวะงงงัน ดังนี้ สังกัดขนาดที่ได้รับ ธรรมดาแล้วร่างกายมีการกำจัดการบูรเมื่อรับประทานเข้าไป ผ่านการเมทาบอลิซึมที่ตับ โดยการบูรจะถูกกลายเป็นสารกลุ่มแอลกอฮอล์ โดยการเติมออกซิเจนในโมเลกุล เกิดเป็นสาร campherolแล้วจะจับกับ glucuronic acid ในตับ เกิดเป็นสารประกอบที่ละลายน้ำได้ และก็ถูกขับออกทางฉี่ แต่ว่าหากได้รับในปริมาณสูงเกินความจำเป็น ก็จะมีการตกค้างจนถึงก่อให้เกิดอันตรายต่อตับ และก็ไตได้ การสูดดมการบูร ที่มีความเข้มข้นกลางอากาศมากกว่า 2 ppm (2 ส่วนในล้านส่วน หรือ 2 mg/m3) จะก่อให้กำเนิดอาการนิดหน่อยถึงปานกลาง เช่น การระคายเคืองต่อจมูก ตา รวมทั้งลำคอ ขนาดที่ส่งผลให้เกิดพิษรุนแรงต่อชีวิต แล้วก็สุขภาพเป็น 200 mg/m3ความเป็นพิษของการบูรที่เกิดขึ้นมาจากการรับประทาน อาทิเช่น คลื่นไส้ คลื่นไส้ ปวดท้อง ปวดศีรษะ ชัก หมดสติ หรืออาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตจากภาวะระบบการหายใจล้มเหลว โดยขนาดของการบูรที่ทำให้เกิดอาการพิษที่รุนแรง (ชัก สลบ) ในผู้ใหญ่หมายถึง34 mg/kg นอกเหนือจากนี้ยังมีแถลงการณ์ว่า การกินน้ำมันการบูรในขนาด 3-5 mL ที่มีความเข้มข้น 20% หรือมากยิ่งกว่า 30 mg/Kg จะมีผลให้เสียชีวิตได้ มีรายงาน case report กำหนดไว้ว่า มีเด็กหญิงอายุ 3 ปีครึ่ง ทานการบูรเข้าไป โดยไม่ทราบขนาดที่รับประทาน ปรากฏว่ามีอาการชักแบบกล้ามเกร็งหมดทั้งตัวโดยไม่มีการกระตุก (generalised tonic seizures) นาน 20-30 นาที ก่อนจะมาถึงโรงหมอ ผลของการตรวจทางห้องทดลองพบว่า ระดับน้ำตาล ระดับ electrolytes และระดับแคลเซียม มีค่าปกติ การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (Electroencephalography (EEG) พบว่ามีค่าธรรมดา และมีอาการอ้วก 1 ครั้ง เมื่อมาถึงโรงหมอ เจอสารสีขาว และก็มีกลิ่นการบูรร้ายแรงจากการอาเจียน ขนาด/จำนวนที่ควรจะใช้ สำหรับการรักประทานยังไม่มีข้อมูลที่ยืนยันชัดแจ้งว่าควรจะบริโภคการบูรเท่าไร ที่จะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายแม้กระนั้นในด้านการสูดดมมีการคำนวณว่าในสารที่ผสมการบูรเสร็จแล้ว ไม่ควรเกินกว่า 2 ppm ซึ่งหมายความว่า มีปริมาณของการบูร 2 มิลลิกรัมในสารละลาย 1 ลิตร ด้วยเหตุนี้ในการใช้การบูรทั้ง การรับประทานแล้วก็การสูดดมความต้องระมัดระวังแล้วก็ใช้ตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด ข้อเสนอ/ข้อควรระวัง
|