หัวข้อ: สมุนไพรเหงือปลาหมอ เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณเเละประโยชน์อย่างมากมาย เริ่มหัวข้อโดย: watamon ที่ พฤษภาคม 31, 2018, 06:08:19 pm เหงือกปลาหมอ
ชื่อสมุนไพร เหงือกปลาหมอ ชื่ออื่นๆ/ชื่อเขตแดน แก้มหมอ (จังหวัดสตูล) , อีเกร็ง (ภาคกึ่งกลาง) , แก้มหมอเล (กระบี่) , นางเกร็ง,จะเกร็ง อื่นๆอีกมากมาย ชื่อวิทยาศาสตร์ Acanthus ebracteatus Vahl. (เหงือกปลาแพทย์ดอกสีขาว) Acanthus ilicifolius L. var. ilicifolius (เหงือกปลาแพทย์ดอกสีม่วง) ชื่อสามัญ Sea Holly. สกุล ACANTHACEAE บ้านเกิดเมืองนอน เหงือกปลาหมอนับว่าเป็นสมุนไพรท้องถิ่นของไทยพวกเราด้วยเหตุว่ามีประวัติสำหรับในการนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรมาตั้งแต่โบราณแล้ว ซึ่งเหงือกปลาหมอนี้เป็นพรรณไม้ที่มักขึ้นกลางแจ้งและก็ชอบพบบ่อยในรอบๆป่าชายเลน หรือตามพื้นที่ชายน้ำริมฝั่งลำคลอง เจริญวัยได้ดีในที่ร่มและมีความชุ่มชื้นสูง หรือในแถบที่ดินเค็มและไม่ถูกใจที่ดอน แถบภาคอีสารก็มีรายงายว่าปลูกได้เช่นเดียวกัน เหงือกปลาแพทย์ พบอยู่ 2 จำพวกหมายถึงจำพวกดอกสีขาว Acanthus ebracteatus Vahl พบบ่อยในภาคกลางและภาคตะวันออก ประเภทดอกสีม่วง Acanthus ilicifolius L. พบทางภาคใต้ อีกทั้งเหงือกปลาหมอยังเป็นพันธุ์ไม่ขึ้นชื่อของจังหวัดสมุทรปราการอีกด้วย ลักษณะทั่วไป
การขยายพันธุ์ เหงือกปลาหมอสามารถเพาะพันธุ์ได้ด้วยแนวทางเพาะเม็ดแล้วก็การใช้กิ่งปักชำ แต่แนวทางที่เป็นที่ชื่นชอบและได้ผลผลิตที่ดีเป็นการใช้กิ่งปักชำ นำกิ่งที่ไม่แก่และไม่อ่อนกระทั่งเกินความจำเป็น อายุ 1-2 ปี มาชำลงในดินโคลน รอรดน้ำให้เปียกแฉะ โดยประมาณ 2 เดือน จะผลิออกราก จึงกระทำย้ายปลูก ก่อนปลูกควรจะจัดเตรียมแปลงปลูก ระยะปลูก 80x80 ซม. รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยมูลสัตว์หรือปุ๋ยหมัก ให้ปุ๋ยคอกหว่านรอบโคนต้นปีละ 2 ครั้งๆละ 1 กิโลกรัม/ต้น ให้ปุ๋ยบ่อยขึ้นในกรณีที่เก็บเกี่ยวผลผลิตบ่อยมาก ทำให้ต้นชำรุดทรุดโทรม ใบเป็นสีเหลือง กำจัดวัชพืชดูแลรักษาแปลงให้สะอาด หลังปลูก 1 ปี จึงจะเก็บผลิตผล โดยตัดกิ่งให้แพทย์ทั้งต้น (โคน) ให้เหลือความยาวกึ่งหนึ่ง เพื่อแตกใหม่ในปีหน้า กิ่งที่ได้เอามาสับเป็นท่อนๆละ 6 นิ้ว นำไปผึ่งแดดกระทั่งแห้งดี หรืออบแห้ง กิ่งรวมทั้งใบสด 3 กก. จะตากแห้งได้ 1 กก. แล้วก็ผลิตผลจากต้นอายุ 1 ปี จำนวน 4 ต้น (กอ) จะมีน้ำหนักสด 1 กิโลกรัม ส่วนประกอบทางเคมี ในใบพบสาร : alpha-amyrin, beta-amyrin, ursolic acid apigenin-7-O-beta-D-glucuronide, methyl apigenin-7-O-beta-glucuronate campesterol, 28-isofucosterol, beta-sitosterol ในรากเจอสาร : benzoxazoline-2-one, daucosterol, octacosan-1-ol, stigmasterol อีกทั้งต้นเจอสาร : acanthicifoline, lupeol, oleanolic acid, quercetin, isoquercetin, trigonelline , dimeric oxazolinone คุณประโยชน์ ยาสมุนไพรพื้นเมือง ใช้ ใบ ต้มกับน้ำดื่ม แก้นิ่วในไต ทั้งต้น 10 ส่วน กับพริกไทย 5 ส่วน ทำเป็นยาลูกกลอน แก้โรคกระเพาะ ขับเลือด เป็นยาอายุวัฒนะ ต้น ใช้รักษาแผลฝีหนอง ใช้ ใบและต้น แก้ตกขาว โดยตำเป็นผงละลายน้ำผึ้ง หรือน้ำมันงา ปั้นเป็นลูกกลอนรับประทาน หนังสือเรียนยาไทย ใช้ ใบ รสเค็มกร่อยร้อน ตัดรากฝีด้านใน และด้านนอกทุกชนิด แก้น้ำเหลืองเสีย ช่วยบำรุงรักษารากผม แก้ประป่าดง ใบเป็นยาอายุวัฒนะ รักษาตกขาว , ตกขาวของสตรี ใบสด แก้ไข้ ผื่นคันฝี แก้ฝีทราง หรือใช้ใบสดเอามาตำให้ละเอียด ใช้พอกบริเวณแผลที่ถูกงูกัด พอกฝี และก็แผลอักเสบ ต้นแล้วก็เม็ด มีรสเผ็ดร้อน รักษาฝี แก้โรคน้ำเหลืองเสีย เมล็ด ใช้เป็นยาขับพยาธิ เป็นยาแก้ไอ ขับเลือด แก้ฝี ทั้งยังต้น มีรสเค็มกร่อย อีกทั้งต้นสด รักษาโรคผิวหนังพวกพุพอง น้ำเหลืองเสีย และก็ผื่นคันตามร่างกาย ต้มกินแก้พิษไข้ทรพิษ พิษฝีภายใน ตัดรากฝีทั้งผอง แก้โรคผิวหนัง น้ำเหลืองเสีย เป็นยาอายุวัฒนะ ต้มอาบ แก้พิษไข้หัว แก้โรคผิวหนังผื่นคัน ตำพอก ปิดหัวฝี แผลเรื้อรัง คั้นเอาน้ำทาหัวบำรุงรากผม ใช้ยั้ง/ต่อต้านมะเร็ว ช่วยเจริญอาหาร ทุเลาลักษณะของการปวดหัว ราก ใช้รากสด เอามาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้โรคงูสวัด บำรุงประสาท แก้หอบหืด ขับเสมหะ เหงือกปลาแพทย์ 5 (ราก,ต้น,ใบ,ผล,เม็ด) มีคุณประโยชน์ช่วยแก้พิษฝี แก้มะเร็ง ช่วยสำหรับเพื่อการเจริญอาหาร ช่วยให้เลือดลดธรรมดา เป็นยาอายุวัฒนะ แบบอย่าง/ขนาดการใช้
ในปัจจุบันเหงือกปลาแพทย์ มีการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ยาแคปซูลสมุนไพรเหงือกปลาหมอ ยาชงสมุนไพรและก็ยาเม็ด มีสรรพคุณใช้รักษาโรคผิวหนังอีกทั้งเหงือกปลาหมอยังเป็นสมุนไพรที่ใช้สำหรับการอบตัวเป็นการอบตัวด้วยละอองน้ำที่ได้จากการต้มสมุนไพร และการอบเปียกแบบเข้ากระโจม โดยเหงือกปลาแพทย์มีสรรพคุณสำหรับรักษาโรคผิวหนัง นอกนั้นเหงือกปลาหมอยังเป็นส่วนผสมในสินค้าเครื่องแต่งหน้าต่างๆเป็นต้นว่า ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมแล้วก็สบู่สมุนไพร เป็นต้น การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา ฤทธิ์ลดการอักเสบ ทดลองน้ำสกัดจากใบแห้ง ความเข้มข้น 500 มคกรัม/มิลลิลิตร กับหนูขาว พบว่าสารสกัดดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ โดยไปยั้งการผลิต leukotriene B-4 แม้กระนั้นสารสกัดนี้ไม่มีฤทธิ์เป็น serotonin antagonist เมื่อเร็วๆนี้ มีงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยว่าสารสกัดด้วยเอทานอลจากทั้งต้น ขนาด 500 มคกรัม/มล. มีฤทธิ์ยับยั้ง 5-lipoxygenase activity ด้วยกลไกสำหรับในการลดการผลิต leukotriene B-4 ถึง 64% แล้วก็สารสกัดด้วยน้ำ ขนาด 500 มคก./มิลลิลิตร ลดได้ 44% รวมทั้งมีการวิเคราะห์สารสำคัญของเหงือกปลาแพทย์ดอกม่วงที่มีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ พบว่าสารนั้นเป็นพวก dimeric oxazolinone ที่มีสูตรโครงสร้างเป็น 5,5¢-bis-benzoxazoline-2,2¢-dione ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย มีการทดลองสารสกัดเอทานอล (90%) จากต้นแห้ง (ไม่เคยทราบความเข้มข้น) กับ Staphylococcus aureus พบว่าสารสกัดนี้ไม่มีฤทธิ์ แต่ว่าการทดสอบเมล็ดเหงือกปลาแพทย์ พบว่ามีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อ S. aureus ฤทธิ์ต้านการเกิดออกซิเดชั่น มีการทดสอบสารสกัดอัลกอฮอล์จากใบของเหงือกปลาหมอดอกม่วง พบว่าสารสกัดนี้มีฤทธิ์ต้านทานการเกิดอนุมูลอิสระหลายประเภท เช่น superoxide radical, hydroxyl radical, nitric oxide radical และก็ lipid peroxide ฯลฯ นอกจากนั้นสารสกัดจากส่วนผลด้วยเมทานอล เมื่อทดลองในหนูถีบจักร พบฤทธิ์ต้านการเกิดอนุมูลอิสระ โดยมีขนาดที่ยับยั้งได้ 50% (IC50)หมายถึง79.67 มคล./มล. และพบฤทธิ์ยับยั้งการเกิด lipid peroxide โดยขนาดที่ยับยั้งได้ 50% (IC50) คือ 38.4 มคล./มิลลิลิตร ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่เกี่ยวกับการเพิ่มภูมิต้านทาน มีการนำสารสกัดน้ำอย่างหยาบคายจากรากของเหงือกปลาหมอมาทำให้ครึ่งบริสุทธิ์ โดยวิธี gel filtration (Sephadex G-25) เพื่อเรียนฤทธิ์เสริมภูมิต้านทานที่มีต่อ mononuclear cell (PMBC) ของคนธรรมดา 20 ราย โดยประเมินผลการเล่าเรียนจาก H3-thymidine uptake พบว่าสารสกัดครึ่งหนึ่งบริสุทธิ์ของเหงือกปลาหมอดอกม่วง ที่ความเข้มข้นต่ำ (10 มคกรัม/มล.) สามารถกระตุ้นการแบ่งตัวของ lymphocytes ได้สูงกว่ากรุ๊ปควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ (P < 0.05) การเรียนทางพิษวิทยา หลักฐานความเป็นพิษและการทดสอบความเป็นพิษ เมื่อให้สารสกัดลำต้นแห้งด้วยน้ำมันปิโตรเลียมอีเทอร์ ขนาดความเข้มข้น 5 ซีซี/จานเพาะเชื้อ ไม่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการก่อกลายจำพวก ใน Salmonella typhimurium TA98 และ TA100 แต่ว่าเมื่อให้สารสกัดด้วยน้ำจากส่วนรากกับหนูเพศเมียขนาด 2.7 แล้วก็ 13.5 กรัม/กก. เป็นเวลา 12 เดือน เจอความเป็นพิษต่อตับในตัวทดลอง หลักฐานความเป็นพิษ และก็ยังมีการศึกษาวิจัยเกี่ยววกับการทดลองความเป็นพิษของเหงือกปลาแพทย์อีกจำนวนมากบอกว่า เมื่อฉีดสารสกัดพืชอีกทั้งต้นด้วยเอทานอล (90%) เข้าทางท้องของหนูถีบจักร ขนาดที่ทำให้หนูตายเป็นปริมาณกึ่งหนึ่ง (LD50) มีค่ามากกว่า 1 กรัม/กก. ส่วนสารสกัดใบด้วยเมทานอลรวมทั้งน้ำ (1:1) ฉีดเข้าท้องหนูถีบจักรเพศผู้ ค่า LD50 มีค่ามากกว่า 1 ก./กก. และก็สารสกัดจากใบร่วมกับต้นด้วยเมทานอลและน้ำ (1:1) ฉีดเข้าช่องท้องหนูถีบจักรเพศผู้ด้วยเหมือนกัน ค่า LD50 พอๆกับ 750 มิลลิกรัม/กิโลกรัม สารสกัดจากต้นด้วยเมทานอลและก็น้ำ (1:1) ค่า LD50 มีค่ามากยิ่งกว่า 1 กรัม/กก. เมื่อกรอกสารสกัดใบร่วมกับก้านใบ ลำต้น รากแห้ง ด้วยน้ำหรือน้ำร้อน หรือฉีดเข้าช่องท้องของหนูถีบจักร (ไม่กำหนดขนาด) ไม่นำไปสู่พิษ รวมทั้งเมื่อกรอกสารสกัดรากแห้งด้วยน้ำให้หนูถีบจักร ในขนาด 0.013 มิลลิกรัม/สัตว์ทดลอง ไม่พบพิษ ทั้งมีการเล่าเรียนถึงพิษของเหงือกปลาแพทย์ดอกม่วงแบบกะทันหันและแบบครึ่งหนึ่งเฉียบพลันในหนูจำพวกสวิส โดยใช้ส่วนสกัดจากใบรวมทั้งรากแยกกัน ในขนาดความเข้มข้นต่างๆพบว่า สารสกัดดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นไม่มีพิษอย่างกระทันหัน แต่การใช้เหงือกปลาแพทย์ในขนาดสูงๆเป็นเวลานานอาจจะทำให้เป็นผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินเยี่ยวได้ รวมถึงมีการทดสอบนำสารสกัดจากรากเหงือกปลาหมอกับ mononuclear cell (PMBC) ของคนภายในหลอดทดสอบโดยใช้สารสกัดอย่างหยาบ พบว่าสารสกัดดังที่กล่าวถึงมาแล้ว ขนาด 100 มคกรัม/มิลลิลิตร เป็นพิษต่อ PBMC (P< 0.05) แม้กระนั้นเมื่อนำสารสกัดหยาบมาทำให้ครึ่งหนึ่งบริสุทธิ์โดยวิธี gel filtration (Sephadex G-25) พบว่าสารสกัดครึ่งหนึ่งบริสุทธิ์ที่ได้ไม่เป็นพิษต่อ PMBC ที่เลี้ยงเอาไว้ภายในหลอดทดลองถึงแม้จะใช้ในความเข้มข้น 1,000 มคกรัม/มิลลิลิตร การต้านการฝังตัวของตัวอ่อน ให้สารสกัดเอทานอล (90%) ขนาด 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม กับหนูขาวที่ท้อง พบว่าสารสกัดนี้ไม่มีฤทธิ์ต้านทานการฝังตัวของตัวอ่อน ข้อเสนอแนะ/ข้อพึงระวัง หากแม้ในการค้นคว้าทางด้านพิษวิทยารวมทั้งการทดลองความเป็นพิษของเหงือกปลาหมออีกทั้งจำพวกดอกสีม่วงรวมทั้งจำพวกดอกสีขาว จะมีผลการศึกษาเล่าเรียนชี้ว่า ไม่มีพิษแต่ว่าแต่ การใช้สมุนไพรเหงือกปลาหมอก็คล้ายกับการใช้สมุนไพรประเภทอื่นนั้นก็คือ ไม่ควรใช้ในขนาดและปริมาณที่สูง แล้วก็ใช้เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน เพราะว่าอาจส่งผลให้กำเนิดความไม่ปกติหรือผลกระทบต่อระบบต่างๆของร่างกายได้ เอกสารอ้างอิง
|