หัวข้อ: งาดำที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี มีสรรพคุณเเละประโยชน์อันน่าทึ่ง เริ่มหัวข้อโดย: watamon ที่ มิถุนายน 01, 2018, 08:52:55 am งาดำ
ชื่อสมุนไพร งาดำ ชื่อสามัญ Black Sasame seeds Black ชื่อวิทยาศาสตร์ Sesamum indicum Linn ตระกูล Pedaliaceae บ้านเกิด งามีถิ่นเกิดในทวีปแอฟริกา รอบๆประเทศเอธิโอเปีย แล้วแผ่กระจายไปยังอินเดีย จีน แล้วก็ประเทศต่างๆในแถบเอเชียรวมถึงเมืองไทยด้วย ส่วนในประเทศอินเดียมีการกล่าวว่ามีการปลูกงามาแล้วหลายพันปี ก่อนที่จะพ่อค้าชาวอาหรับ และเมดิเตอร์เรเนียลจะนำงาไปปลูกแถบอาหรับ รวมทั้ง ยุโรป ยิ่งไปกว่านี้ยังมีผู้พบหลักฐานว่า ชาวบาบิโลนในประเทศโซมาเลียมีการปลูกงามานานกว่า 2,500 ปี ก่อนคริสตกาล รวมทั้งใช้นํ้ามันงาสำหรับทำยา แล้วก็ของกิน ซึ่งมีบันทึกใน Medical Papyrus of Thebes พูดว่า ทหารโรมันได้นำงาไปปลูกภายในประเทศอิตาลีในคริสศตวรรษที่ 1 แต่ว่าปรากฏว่าสภาพอากาศไม่เหมาะสมกับการปลูก รวมทั้งในช่วงปลายศตวรรษที่17 รวมทั้ง18 มีการนำงามาปลูกเอาไว้ในอเมริกาโดยทาสชาวแอฟริกัน ด้านการใช้คุณประโยชน์จากงาดำนั้นอินเดีย จีน แล้วก็ประเทศอื่นๆในแถบเอเซียจะใช้งาทำเป็นนํ้ามันเพื่อทำอาหาร ส่วนคนยุโรปจะนำงามาทำขนมเค้ก ไวน์ และก็นํ้ามัน รวมถึงใช้สำหรับในการปรุงอาหาร แล้วก็เป็นเครื่องหอม ส่วนชาวแอฟริกันใช้ใบงาทำ พลุ รวมทั้งพอกผิวหนัง และใช้เป็นสารไล่แมลงให้สัตว์เลี้ยงฯลฯ ลักษณะทั่วไป งาดำ เป็นพืชล้มลุกที่มีอายุฤดูเดียว มีลำต้นตั้งชัน อาจแตกกิ่งหรือเปล่าแตกกิ่งกิ้งก้าน ลำต้นสูงราวๆ 50-150 เซนติเมตร ลำต้นมีลักษณะสีเหลี่ยม มีร่องตามทางยาว ไม่มีแก่น มีลักษณะอวบน้ำ รวมทั้งมีขนสั้นปกคลุม เปลือกลำต้นบาง มีสีเขียว ใบงาดำ ออกเป็นใบเดี่ยว เรียงตรงกันข้ามกันเป็นชั้นๆตามความสูง ประกอบด้วยก้านใบสั้น ยาวประมาณ แผ่นใบมีรูปหอก สีเขียวสด กว้างราว 3-6 ซม. ยาวโดยประมาณ 8-16 ซม. โคนใบมนกว้าง ปลายใบแหลม ขอบใบหยักเล็กน้อย มีเส้นกิ้งก้านใบตรงข้ามกันเป็นคู่ๆยาวจรดขอบของใบ ดอกงาดำเป็นดอกโดดเดี่ยวหรือเป็นกรุ๊ปตรงซอกใบ ปริมาณ 1-3 ดอก ดอกย่อยมีก้านดอกสั้น มีกลีบรองดอก ปริมาณ 5 กลีบ ส่วนกลีบดอกมีลักษณะเป็นกรวย ห้วยลงดิน กลีบดอกอ่อนมีสีเขียวอมเหลือง กลีบดอกเมื่อบานมีสีขาว ยาวราว 4-5 เซนติเมตร แบ่งเป็น 2 ส่วนหมายถึงกลีบด้านล่าง รวมทั้งกลีบบน โดยกลีบข้างล่างจะยาวกว่ากลีบบน ภายในดอกมีเกสรตัวผู้ 2 คู่ มี 1 คู่ยาว ส่วนอีกคู่สั้นกว่า ส่วนเกสรตัวเมียมี 1 อัน มีก้านเกสรยาว 1.5-2 เซนติเมตร ปลายก้านเกสรแหว่งเป็น 2-4 แฉก ผลงาดำเรียกว่า ฝัก มีลักษณะทรงกระบอกยาว ผิวฝักเรียบ ปลายฝักแหลมเป็นติ่ง แล้วก็แบ่งได้ร่องพู 2-4 ร่อง กว้างโดยประมาณ 1 ซม. ยาวโดยประมาณ 2-3 เซนติเมตร ฝักอ่อนมีสีเขียว รวมทั้งมีขนปกคลุม ฝักแก่กลายเป็นสีน้ำตาล แล้วก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำอมเทา แล้วหลังจากนั้น ร่องพูจะปริแตก เพื่อให้เมล็ดหล่นลงดิน ภายในฝักมีเม็ดขนาดเล็ก สีดำเยอะมากๆ เมล็ดเรียงซ้อนในร่องพู เม็ดมีรูปรี และก็แบน ขนาดเม็ดราว 2-3 มม. เปลือกเมล็ดบางมีสีดำ มีกลิ่นหอม แต่ละฝักมีเม็ดราวๆ 80-100 เมล็ด การขยายพันธุ์ งาดำแพร่พันธุ์ด้วยการใช้เมล็ด ซึ่งนิยมปลูกด้วยกัน 2 แบบหมายถึงการหว่านเมล็ด และก็โรยเม็ดเป็นแนว แบ่งช่วงปลูกออกเป็น 3 ช่วง เป็น
การเตรียมแปลงปลูก ในพื้นที่ที่มีระบบระเบียบชลประทานเข้าถึง สามารถปลูกงาดำได้ทุกฤดู ส่วนพื้นที่ที่ไม่มีระบบชลประทานมักปลูกไว้ในตอนหลังเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ พื้นที่แปลงปลูกต้องไถกลบดิน 1 รอบก่อน และก็ตากดินนาน 7-10 วัน แล้ว หว่านด้วยปุ๋ยหมัก โดยประมาณ 1-2 ตัน/ไร่ ก่อนไถกระพรวนดินกลบอีกครั้ง หรือหว่านปุ๋ยมูลสัตว์ตั้งแต่ตอนไถรอบแรก (ใช้สำหรับพื้นที่ไม่เกลื่อนกลาดมาก) เนื่องจากรอบถัดมาจะเป็นการหว่านเม็ดได้เลย ส่วนการปลูกแบบหยอดเม็ด ให้ไถร่องตื้นหรือใช้คราดดึงทำแนวร่องก่อน การปลูก
การดูแลรักษา หลังการโปรยเมล็ด ถ้าเกิดปลูกเอาไว้ในช่วงแล้ง เกษตรมักจัดตั้งระบบให้น้ำ ซึ่งควรให้เสมอๆ 2-3 ครั้ง/อาทิตย์ ส่วนการปลูกภายในฤดูฝน เกษตรมักปล่อยให้งาดำเติบโตโดยอาศัยน้ำฝนจากธรรมชาติ ดังนี้ ถ้าเจอโรคหรือแมลงให้ฉีดพ่นด้วยสารเคมีกำจัด ส่วนการใส่ปุ๋ย ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 ในระยะ 1-1.5 เดือน แรกข้างหลังปลูก และก็บางทีอาจใส่ร่วมกับปุ๋ยหมัก อัตรา 1-2 ตัน/ไร่ ส่วนการกำจัดวัชพืช ให้ลงแปลงถอนวัชพืชด้วยมือบ่อยๆ ทุก 2 ครั้ง/ เดือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 1-1.5 เดือนแรก การเก็บเกี่ยวผลิตผล งาดำ สามารถเก็บเกี่ยวเมล็ดได้หลังการปลูกโดยประมาณ 70-120 วัน ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ โดยดูจากฝักที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือน้ำตาลอมดำ ส่วนใบจะเริ่มสีเหลือง และบางจำพวกมีการร่วงแล้ว ดังนี้ ต้องเก็บฝักก่อนที่จะเปลือกฝักจะปริแตก ส่วนจำพวกงาดำที่นิยมนำมาปลูกในขณะนี้นั้นมีด้วยกัน 4 จำพวกคือ
ในเม็ดมีน้ำมันอยู่ราว 45-55% ประกอบด้วยกรดไขมันได้แก่ oleic acid, linoleic acid, palmitic acid, stearic acid, นอกเหนือจากนี้ยังมี สารกรุ๊ป lignan, ชื่อ Sesamin , sesamol, d-sesamin, sesamolin, สารอื่นๆเป็นต้นว่า sitosterol (สารกันเหม็นหืนคือ sesamol ทำให้น้ำมันงาไม่กลิ่นหืน) นอกจากนี้งาดำยังมีคุณค่าทางโภชนาการดังต่อไปนี้ คุณค่าทางโภชนาการของงาดำ (งาดำ 100 กรัม) น้ำ 4.2 กรัม พลังงาน 603 กิโลแคลอรี่ โปรตีน 20.6 กรัม ไขมัน 48.2 กรัม คาร์โบไฮเดรต 21.8 กรัม ใยอาหาร 9.9 กรัม เถ้า 5.2 กรัม แคลเซียม 1228 มก. เหล็ก 8.8 มก. ฟอสฟอรัส 584 มก. ไทอะมีน 0.94 มิลลิกรัม ไรโบฟลาวิน 0.27 มิลลิกรัม ไนอะซีน 3.5 มก. กรดกลูดามิก 3.955 กรัม กรดแอสพาร์ติก 1.646 กรัม เมไธโอนีน 0.586 กรัม ทรีโอนีน 0.736 กรัม ซีสคราวอีน 0.358 กรัม ซีรีน 0.967 กรัม ฟีนิลอะลานีน 0.940 กรัม อะลานีน 0.927 กรัม อาร์จินีน 2.630 กรัม โปรลีน 0.810 กรัม ไกลซีน 1.215 กรัม ฮิสทิดีน 0.522 กรัม ทริปโตเฟน 0.388 กรัม ไทโรซีน 0.743 กรัม วาลีน 0.990 กรัม ไอโซลิวซีน 0.763 กรัม ลิวซีน 1.358 กรัม ไลซีน 0.569 กรัม ธาตุแคลเซียม 975 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 14.55 มก. ธาตุซีลีเนียม 5.7 มก. ธาตุโซเดียม 11 มิลลิกรัม ธาตุฟอสฟอรัส 629 มิลลิกรัม ธาตุสังกะสี 7.75 มิลลิกรัม ธาตุโพแทสเซียม 468 มก. ธาตุแมกนีเซียม 351 มก. ธาตุแมงกานีส 2.460 มก. ธาตุทองแดง 4.082 มิลลิกรัม ประโยชน์/คุณประโยชน์ งาดำนิยมประยุกต์ใช้เป็นสัดส่วนผสมของของหวานต่างๆดังเช่น ไอศกรีมงาดำ , คุกกี้งาดำ , เค้กงาดำ , นมงาดำ , กระยาสารท ฯลฯ หรือใช้เป็นส่วนประกอบภัณฑ์เสริมความสวยงามต่างๆอย่างเช่น สบู่ ครีมที่เอาไว้ดูแลผิว ฯลฯ ส่วนคุณประโยชน์ทางยาของงาดำนั้นสามารถช่วยทำนุบำรุงร่างกายเกือบทุกรูปทรง ไม่ว่าจะเป็น ผม ผิวพรรณ กระดูก เล็บ ระบบขับถ่าย การบำรุงหัวใจ จึงเหมาะกับทุกวัย ถึงแม้ว่าจะเด็กที่มีอาการป่วยไข้อยู่แล้ว หรือสตรีที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยทอง งาดำจะจำเป็นมากอย่างยิ่ง เนื่องจากว่าจะช่วยคุ้มครองปกป้องโรคภาวการณ์กระดูกพรุนอย่างสำเร็จ โดยในตำราเรียนยาไทยบอกว่า ใช้น้ำมันระเหยยากที่บีบจากเมล็ด หุงเป็นน้ำมันใส่บาดแผล และก็ผสมเป็นน้ำมันทาถูนวดแก้กลยุทธ์ขัดยอก ฟกช้ำ ปวดบวม ลดการอักเสบ ใส่แผลรักษาอาการผื่นคัน ทำน้ำมันใส่ผม เป็นยาระบายอ่อนๆทาผิวหนังให้นุ่มและก็เปียกชื้น หญิงไทยโบราณใช้ทาเพื่อทำความสะอาดผิว สรรพคุณพื้นเมืองบอกว่า เมล็ด นำมาซึ่งกำลัง ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย แม้กระนั้นทำให้ดีกำเริบเสิบสาน น้ำมัน ทำน้ำมันใส่แผล ใส่แผลเปื่อยยุ่ย มักใช้ผสมยาทาสำหรับกระดูกหัก บำรุงเอ็น ไขข้อ ทานวดแก้เคล็ดยอก ปวดบวม หรือใช้ทาบำรุงรากผม ตำรับยาสมุนไพรล้านนา: ใช้รักษาโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน น้ำร้อนลวก ไฟเผา ตำรับยาน้ำมันที่เจาะจงในตำราพระยารักษาโรคพระนารายณ์: มีรวม 3 ตำรับ ที่ใช้น้ำมันงาเป็นส่วนประกอบ ดังนี้ “น้ำมันทรงแก้พระเส้นผมตก (ผมหล่น)ให้คันให้หงอก” ประกอบด้วยสมุนไพร 19 จำพวก นำมาต้มแล้วกรองกากออก เติมน้ำมันงา แล้วหุงให้เหลือแต่น้ำมันใช้แก้พระเกศเธอ คัน ขาว “น้ำมันแก้ยุ่ยพังทลาย” มีคุณประโยชน์ แก้ขัดค่อยหรือปัสสาวะไม่ออก แก้ปวดขบ แก้หนอง มีรวม 2 ตำรับ แต่ละตำรับ มีสมุนไพร 12 ชนิด และก็น้ำมันงาพอเหมาะ หุงให้เหลือแค่น้ำมัน ยานี้ใช้ ยอนเป่าเข้าไปในลำกล้อง (ฟุตบาทปัสสาวะในองคชาติ) ส่วนหนังสือเรียนแพทย์แผนปัจจุบันระบุว่าสารออกฤทธิ์ในงาดำมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต่อต้านการอักเสบ ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ต้านทานเซลล์ของมะเร็ง รักษาอาการไอ จากการเจาะจงความสามารถการดูแลรักษาโรคของเม็ดงาโดยฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ว่าช่วยบรรเทาอาการไอ นับเป็นประโยชน์ข้อเดียวของงาดำแล้วก็งาขาวที่มีข้อมูลเยอะที่สุดในตอนนี้ ลดระดับคอเลสเตอรอล น้ำมันงายอดเยี่ยมในน้ำมันจากพืชที่พูดกันว่าดีต่อร่างกาย โดยมั่นใจว่าอุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งเป็นไขมันชนิดดีที่ช่วยลดจำนวนคอเลสเตอรอลและก็ในน้ำมันงานี้ยังเจอไขมันอิ่มตัวในปริมาณน้อย วัยทอง หญิงที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือนซึ่งเป็นสภาวะของการเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายและจิตใจจากการที่ร่างกายไม่ผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนอีกต่อไป บางทีอาจได้ใช้ประโยชน์จากสารเซซามิน (Sesamin) ในเมล็ดงาที่มั่นใจว่าเมื่อไปสู่ร่างกายจะถูกจุลอินทรีย์ในลำไส้แปรไปเป็นสารสำคัญอย่างเอนเทอโรแลกโตน (Enterolactone) ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์เอสโตรเจนและก็มีองค์ประกอบทางเคมีคล้ายฮอร์โมนเอสโตเจนของเพศหญิงอย่างไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogens) งาเป็นอาหารที่มีแร่มากมายที่สำคัญหมายถึงธาตุเหล็ก ไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส โดยจำนวนแคลเซียมที่พบจะมีมากกว่าผักทั่วไปกว่า 40 เท่า และก็ฟอสฟอรัสมากกว่าผักทั่วไปกว่า 20 เท่า ซึ่งเป็นธาตุที่ปฏิบัติหน้าที่สร้างเสริมกระดูก โดยเฉพาะเด็กเล็ก รวมทั้งสตรีวัยหมดระดู กรดไขมันไลโนเลอิค และก็กรดไขมันชนิดโอเลอิค ช่วยสำหรับเพื่อการลดระดับไขมันจำพวกต่างๆในเส้นเลือด รวมทั้งช่วยป้องกันการเกิดเกล็ดเลือด แล้วก็ลิ่มเลือด งามีคาร์โบไฮเดรตในปริมาณตํ่า แต่ว่ามีวิตามินบีทุกจำพวกสูงก็เลยนับได้ว่างามีวิตามินบีอยู่แทบทุกประเภท จึงมีคุณประโยชน์ช่วยทำนุบำรุงระบบประสาท บำรุงสมอง ทุเลาอาการเหน็บชา แก้ร่างกายอ่อนแรง แก้ลักษณะของการปวดเมื่อยล้า และแก้การเบื่ออาหาร งามีปริมาณใยอาหารในปริมาณสูง ปฏิบัติภารกิจสร้างเสริม แล้วก็กระตุ้นการทำงานของไส้ อีกทั้งการย่อย การดูดซึม และการขับถ่าย ช่วยคุ้มครองท้องผูก ยั้ง แล้วก็ซึมซับสารพิษ พร้อมขับออกทางอุจจาระ ทำให้คุ้มครองมะเร็งในไส้ แล้วก็ควบคุมระดับไขมันในเลือด กรดไลโนเลอิคพบในเมล็ดงาเยอะมากๆ เป็นกรดที่มีบทบาทสำคัญต่อการเติบโต รวมทั้งช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนัง เพราะเหตุว่าทำให้ฝาผนังเซลล์ภายในภายนอกดำเนินการอย่างปกติ แบบ/ขนาดวิธีใช้ ในปัจจุบันงาดำนั้นส่วนใหญ่จะนิยมเอามาทำเป็นขนมหรือส่วนประกอบของขนมแล้วก็ผลิตภัณฑ์ที่ใช้บริโภคมากกว่าการใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆแต่ก็มีตำรายาไทยแผนโบราณที่ได้เจาะจงจำนวนการใช้เพื่อบรรเทาโรคต่างๆอาทิเช่น
ฤทธิ์ลดการอักเสบ สาร sesamin จากน้ำมันเมล็ดงา เมื่อทำการทดสอบโดยผสมลงในของกินของหนูถีบจักร รวมทั้งป้อนให้หนูที่ถูกรั้งนำให้มีการติดเชื้อโรค แล้วก็การอักเสบที่ลำไส้ใหญ่ ซึ่งหนูที่มีการอักเสบจะมีการหลั่งสาร dienoic, eicosanoids, TNF-a (tumor necrosis factor-a) และก็ cyclooxygenase เพิ่มมากขึ้น จากผลของการทดลอง พบว่าสาร sesamin ในน้ำมันเม็ดงา มีฤทธิ์ลดการอักเสบที่ไส้ของหนูได้ โดยลดการสร้างสารจำพวก Prostaglandin E2 (PGE2), Thromboxane B2 (TXB2) และก็ TNF-a อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (1) เมื่อกระทำทดลองในชายธรรมดา 11 คน โดยฉีดสารที่นำไปสู่การอักเสบ Auromyose ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ของ TNF-a, PGE2 รวมทั้ง leukotriene B4 (LTB4) แล้วให้ชายทั้ง 11 คน กินอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของน้ำมันงา 18 ก./วัน นาน 12 สัปดาห์ แล้วก็กระทำวัดระดับ TNF-a, PGE2 และ LTB4 ในกระแสโลหิตอีกทั้งก่อนรวมทั้งหลังให้อาหารเสริมที่มีส่วนผสมของน้ำมันงา พบว่าระดับของสารที่ส่งผลให้เกิดการอักเสบดังกล่าวมาแล้วก่อนหน้านี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง หมายความว่าน้ำมันงาไม่มีฤทธิ์ลดการอักเสบ (2) 0.5 กรัม ของสารสกัดเมทานอล 100% จากเม็ดงา 100 ก. ไม่มีผลยับยั้ง cyclooxygenase 2 รวมทั้ง nitric oxide ในเซลล์ RAW 264.7 ที่ถูกรั้งนำโดย lipopolysaccharide (3) ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย สารสกัดอัลกอฮอล์หรืออะซีโตนจากเมล็ดงา ความเข้มข้น 25 มคกรัม/มิลลิลิตร (4) แล้วก็สารสกัดเอทานอล 80% จากใบ ลำต้น ราก และผล ความเข้มข้น 500 มิลลิกรัม/มล. (5) ไม่เป็นผลยั้งเชื้อ Staphylococcus aureus (4, 5) และก็เชื้อ Pseudomonas aeruginosa (5) การเรียนเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของงาดำและงาขาวที่ช่วยรักษาอาการไอ เป็นการทดลองในเด็กอายุ 2-12 ปี จำนวน 107 คน ที่มีลักษณะอาการไอจากโรคไข้หวัด โดยให้กินน้ำมันงา 5 มิลลิลิตรก่อนนอนติดต่อกัน 3 วัน เพื่อลดความรุนแรงรวมทั้งความถี่ของการไอ คำตอบพบว่าในวันแรกอาการไอของเด็กที่รับประทานน้ำมันงาดียิ่งขึ้นกว่ากรุ๊ปรับประทานยาหลอก แม้กระนั้นอยู่ในระดับไม่มากเท่าไรนัก และเมื่อผ่านไป 3 วัน เด็กอีกทั้ง 2 กรุ๊ปต่างมีลักษณะอาการดีขึ้น และไม่พบว่าการใช้น้ำมันงานำมาซึ่งผลกระทบใดๆก็ตามทำการศึกษาผู้ป่วยที่เจ็บในโรงพยาบาลทั้งสิ้น 150 คน โดยกรุ๊ปหนึ่งให้การรักษาด้วยการใช้การทาน้ำมันงาควบคู่ไปกับการรักษาธรรมดา ส่วนอีกกรุ๊ปให้การรักษาปกติเพียงอย่างเดียว ผลปรากฏว่าน้ำมันงาช่วยลดความร้ายแรงของความเจ็บปวดและนำมาซึ่งการทำให้คนไข้กินยาพาราลดลง ภาควิชาแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ศึกษาและทำการค้นพบว่าในเม็ดงาดำ มีสารเซซามินอยู่ด้านในซึ่งสารตัวนี้สามารถที่จะช่วยสำหรับเพื่อการยั้งการพัฒนาเซลล์ต้นกำเนิดของเซลล์สลายกระดูก ที่ให้กำเนิดโรคข้อเสื่อม โรคกระดูกพรุน ได้โดยจะเข้าไปทำให้แคลเซียมผสานกับกระดูกมากยิ่งขึ้นยิ่งกว่านั้นยังช่วยในเรื่องของโรคสมอง ไม่ว่าจะเป็นเส้นเลือดตันในสมองเส้นเลือดแตก ที่ทำให้เป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตโดยสารเซซาไม่นจะเข้าไปช่วยปกป้องเซลล์ประสาทที่ยังดีอยู่ และช่วยฟื้นฟูเซลล์ประสาทที่สลายตัวสุดท้ายก็เป็นโรคมะเร็ง ที่นับว่าเป็นโรคที่เกิดมากเป็นอันดับ 1 เดี๋ยวนี้ซึ่งเซลล์ของมะเร็งนั้นจะแพร่ไปอย่างเร็วด้วยเหตุว่ามีเส้นโลหิตใหม่ที่เกิดขึ้นมาแล้วไปสร้างการหลอมเลี้ยงให้กับเซลล์มะเร็งนั้นๆแล้วก็จะแพร่ระบาดไปเรื่อยๆซึ่งสารเซซามิน ก็จะเข้าไปปกป้องรักษาเซลล์พร้อมทั้งตัดวงจรหรือลดเส้นเลือดใหม่ที่เป็นน้ำเลี้ยงให้กับเซลล์ของมะเร็งพร้อมกับค่อยๆฟื้นฟูสภาพเซลล์ให้กลับมา โดยผลที่เกิดขึ้นจากการวิจัยในห้องแลปที่ได้ร่วมกับนักศึกษาปริญญาโท ได้ทดลองกับไข่ไก่ที่ปกติต่อจากนั้นได้กระทำฉีดเซลล์หรือพิษเข้าไป ก็พบว่าไข่ไก่จะกำเนิดอาการเป็นพิษหรือคล้ายกับการเป็นโรคมะเร็ง แล้วต่อจากนั้นก็ทำการฉีดสารเซซามิน เข้าไปก็พบว่าการบูรณะของเซลล์เริ่มคืนมารวมทั้งได้ทดสอบด้วยการฉีดสารเซซามินเข้าไปในไข่ไก่ปกติ แล้วเมื่อเวลาผ่านไป 6 ชั่วโมงถึงฉีดพิษ หรือเซลล์มะเร็งเข้าไป ก็พบว่ามีการปกป้องรักษาเซลล์ได้มากกว่าไข่ไก่ที่ไม่ถูกฉีดสารเซซามินอปิ้งเห็นได้ชัด การเรียนรู้ทางพิษวิทยา
|