หัวข้อ: สมุนไพรพิมเสน มีวิธีรักษาโรคพร้อมทั้งสรรพคุณ-ประโยชน์ดีๆ เริ่มหัวข้อโดย: หนุ่มน้อยคอยรัก007 ที่ มิถุนายน 02, 2018, 03:35:12 pm (https://www.img.in.th/images/fed6af07ef7d9cbe2f2714de3702e2e7.jpg)
พิมเสน (Bomed Camphor) พิมเสนเป็นยังไง พิมเสนมีชื่อเรียกหลายชื่อ อาทิเช่น ภิมเสน ภีมเสน พิมเสนเกล็ด พิมเสนตรังกานู พรมแสน มีชื่อสามัญว่า “Borneo Camphor” แขกประเทศอินเดียในบอมเบย์เรียก “Bhimseni” หรือ “Boras” ชาวฮินดูเรียก “Bhimsaini-kapur” หรือ “Barus kapur” โดยทั่วไปแล้วพิมเสนแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดเป็นพิมเสนที่ได้จากธรรมชาติหรือพิมเสนแท้ ชื่อสามัญ Borneol camphorและพิมเสนสังเคราะห์ หรือพิมเสนเทียม ชื่อสามัญ Borneolum Syntheticum (Borneol) ซึ่งพิมเสนจะมีลักษณะเป็นเกล็ดเล็กๆแบนๆมีสีขาวขุ่นหรือออกแดงอ่อนๆ(ถ้าเป็นพิมเสนบริสุทธิ์จะเป็นผลึกรูปแผ่นทรงหกเหลี่ยม) มีเนื้อแน่นกว่าการบูร ระเหิดได้ช้ากว่าการบูร ติดไฟให้แสงจ้าแล้วก็มีควันมากมาย ไม่มีเถ้าถ่าน ละลายได้ยากในน้ำ ละลายได้ดิบได้ดีในตัวทำละลายชนิดขั้วต่ำ พิมเสนมีกลิ่นหอมยวนใจเย็น ฉุน รสหอม เย็นปากเย็นคอ อดีตสมัยคนประเทศไทยนิยมใช้ใส่ไว้ภายในหมากพลูบด สูตรทางเคมีรวมทั้งสูตรโครงสร้าง พิมเสนแท้ (Borneo Camphor) เป็นสารประกอบอินทรีย์ชนิดไบไซคิก แล้วก็เป็นสารกรุ๊ปเทอร์พีน มีสูตรเคมีเป็น C10H18O มีชื่อทางเคมีว่า(+)-borneol หรือ endo-2-camphanol หรือ endo-2-hydroxycamphane มีลักษณะเป็นเกล็ดสีขาว 6 เหลี่ยม มีกลิ่นหอมหวนฉุนเหมือนการบูร ติดไฟให้แสงจ้าแล้วก็มีควันมากมาย ไม่มีขี้เถ้า มีมวลโมเลกุล 154.25 gmd -1 และมีความถ่วงจำเพาะเท่ากับ 1.011 มีจุดหลอมตัว 208 องศาเซลเซียส เกือบไม่ละลายน้ำ ละลายได้ในตัวทำละลายจำพวกขั้วต่ำ เช่น ปิโตรเลียมอีเธอ(1:6) ในเบนซีน (1:5) ที่มา : Wikiperdia(http://www.disthai.com/images/editor/Untitled-5.jpg) แหล่งที่มา พิมเสนธรรมชาติ หรือ พิมเสนแท้ คือ พิมเสนที่ได้มาจากการระเหิด (ผู้กระทำลั่นของแก่นไม้โดยธรรมชาติ) ของยางจากต้นไม้ประเภท (รู้เรื่องว่าตัวต้นไม้ที่ให้พิมเสนนี้มิได้ถูกข้อบังคับชื่อไทยไว้ ซึ่งในหนังสือเรียนยาแผนโบราณส่วนมากก็จะกล่าวถึงแม้กระนั้นสิ่งที่สกัดได้จากเจ้าพืชต้นใหญ่นี้ว่า พิมเสน เนื่องจากว่าหากเรียกว่าต้นพิมเสนบางทีอาจกำเนิดความสับสน เนื่องจากว่าต้นพิมเสน นั้นยังหมายถึงพืชอีกชนิด เป็นไม้เนื้ออ่อน มีชื่อวิทยาศาสตร์ Pogostemon cablin (Blanco) Benth. เครือญาติ Labiatae ซึ่งเจ้าต้นนี้ สกัดได้น้ำมันหอมระเหย ที่ฝรั่งเรียกว่า Patchouli) ซึ่งมีชื่อทางด้านวิทยาศาสตร์ว่า Dryobalanops aromatica Gaertn. จัดอยู่ในสกุลยางทุ่งนา (DIPTEROCARPACEAE) (ภาษาจีนกลางเรียกว่า “หลงเหน่าเซียงสู้”) ซึ่งพบได้ทั่วไปในเมืองจังหวัดตรังกานู ประเทศมาเลเซีย ซึ่งพืชประเภทนี้(Dryobalanops aromatic Gaertn.) มีชื่อเรียกหลายชื่อ อย่างเช่น Borneo Camphor Tree, Pokok Kapur Barus (มลายู), Pokok Kapurum (อินโดนีเซีย-เกะสุมาตรา), Mahoborn Teak(อินโดนีเซีย-บอร์เนียว) เป็นไม้ขนาดใหญ่ อาจสูงได้ถึง 70 เมตร มีพูพอนใหญ่มาก วัดรอบๆลำต้นได้ 2-10 เมตร เปลาตรง เรือนยอดเป็นรูปฉัตร มีกิ่งก้านใหญ่ ปลายกิ่งตก ยอดทรงแหลม ใบเป็นใบโดดเดี่ยว ใบที่อยู่ตอนบนของต้นเรียงสลับกัน ส่วนใบที่อยู่ตอนล่างของต้นออกตรงกันข้าม รูปไข่ เบาๆเรียวแหลมสู่ปลายใบ ขนาดกว้าง 2.5-5 ซม. ยาว 7.5-17.8 เซนติเมตร ขอบใบเรียบ ผิวใบเรียบ ก้านใบสั้น ใบอ่อนสีแดงรวมทั้งแขวน ดอกเป็นดอกช่อ ออกที่ปลายกิ่งหรือที่ซอกใบ ดอกย่อยมีขนาดเล็ก มีกลิ่นหอมยวนใจ กลีบชั้นนอกมี 5 กลีบ ขนาดเท่าๆกัน แข็ง กลีบชั้นในห่อตามยาว เกสรตัวผู้มีจำนวนไม่น้อย ก้านเกสรชิดกันเป็น 2 แถว รวมกันเป็นหลอดยาวกว่าเกสรตัวเมีย เกสรตัวเมียมีรังไข่อยู่เหนือกลีบดอก มี 3 ห้อง ผลเป็นผลแห้ง ไม่แตก กลีบนอกจะแผ่ออกเป็นปีก มี 1 เมล็ด พิมเสนสังเคราะห์ หรือ พิมเสนเทียมเป็นพิมเสนที่ได้จากสารสกัดจากต้นการบูร (ชื่อวิทยาศาสตร์ Cinnamomum camphora (L.) Presl. จัดอยู่ในจัดอยู่ในวงศ์อบเชย (LAURACEAE), และก็ต้นหนาด (หนาดหลวง หนาดใหญ่ หรือพิมเสนหนาด ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Blumea balsamifera (L.) DC. จัดอยู่ในวงศ์ทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE) โดยผ่านวิธีทางเคมีวิทยา ซึ่งพิมเสนที่ได้จากการกลั่นพืชจำพวกนี้ จีน(แต้จิ๋ว) เรียก “ไหง่เผี่ยง” จึงเรียกกันว่า “Ngai Camphor” หรือ “Blumea Camphor” นิยมใช้กันมากมายในเกาะไหหลำ ประโยชน์/สรรพคุณ แม้พิมเสนจะสกัดได้มาจากต้นไม้แต่ว่า ตามตำรายาแผนโบราณ จัดพิมเสน เป็นจำพวกธาตุวัตถุ ไม่ใข่พืชวัตถุ หมอแผนโบราณใช้พิมเสนเป็นยาขับเหงื่อ ขับเสลด กระตุ้นการหายใจ กระตุ้นสมองบำรุงหัวใจ ใช้เป็นยาระงับความกระวายกระวน ทำให้ง่วงซึมแก้กลยุทธ์ปวดเมื่อยคลายเส้นการอบสมุนไพรมีพิมเสนเป็นองค์ประกอบในตัวยา พิมเสนซึ่งระเหิดเมื่อถูกความร้อน มีกลิ่นหอมยวนใจ ใช้แต่งกลิ่น บำรุงหัวใจ แก้โรคผิวหนัง ผสมในลูกประคบ เพื่อช่วยแต่งกลิ่น มีฤทธิ์แก้พุพอง แก้หวัดนอกนั้นยังผสมอยู่ในยาหม่อง น้ำอบไทย ในหนังสือเรียนพระโอสถพระนารายณ์: เจาะจง “ตำรับยาทรงนัตถุ์” เข้าเครื่องยา 17 สิ่ง ใช้จำนวนเท่าๆกัน แล้วก็ พิมเสนด้วย ผสมกัน บดเป็นผุยผงละเอียด ใช้นัตถุ์แก้ลมทั้งหลาย ตลอดจนโรคที่เกิดในหัว ตา แล้วก็จมูก อีกขนานหนึ่งเข้าเครื่องยา 15 สิ่ง และพิมเสนด้วย บดเป็นผงละเอียด ห่อผ้าบาง ทำเป็นยาดม แก้ปวดหัว เวียนหัว แก้สลบ แก้ริดสีดวงจมูก คอ รวมทั้งตา ยิ่งกว่านั้นพิมเสนยังใช้เป็นส่วนประกอบใน “ตำรับยาขี้ผึ้งบี้พระเส้น” ใช้ถูนวดเส้นที่แข็งให้หย่อนได้ และในตำรับ “ขี้ผึ้งขาวแก้พิษแสบร้อนให้เย็น” การเรียนทางเภสัชวิทยา หากแม้คนประเทศไทยพวกเราจะรู้จักพิมเสนกันมานาน แม้กระนั้นเนื้อหาเกี่ยวกับพิมเสนกลับไม่มีให้ค้นคว้ามากเท่าไรนัก เพราะว่าต้นไม้ที่ให้พิมเสนนี้ เป็นพืชที่มีเฉพาะถิ่นที่ขึ้นกับเฉพาะในเขตป่าของ เกาะเกะสุมาตรา บอร์เนียว และก็คาบสมุทรมลายู จึงทำให้การค้นคว้าวิจัยในต้นไม้ชนิดนี้เป็นไปแบบแคบๆไม่กว้างใหญ่แต่ก็ยังมีตัวอปิ้งข้อมูลทางเภสัชวิทยาของพิมเสนบางฉบับที่มีการเผยแพร่กัน เช่น
การเรียนรู้ทางพิษวิทยา เหมือนกับการศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยาพิมเสนกับการเรียนรู้ทางพิษวิทยานี้ก็ไม่มีคุณวุฒิกันอย่างมากมาย ซึ่งบางครั้งอาจจะเพราะว่าการที่ต้นไม้ที่ให้พิมเสนนี้ฯลฯไม้เฉพาะถิ่น แต่ว่าก็มีการกำหนดข้อกำหนดสำหรับการใช้พิมเสนไว้ว่า แม้สูดต่อเนื่องกันเป็นเวลานานอาจมีอันตรายได้ เพราะสารนี้ส่งผลให้เกิดอาการระคายเคืองบริเวณฟุตบาทหายใจ นอกเหนือจากนั้นสารนี้ยังมีฤทธิ์กระตุ้นแล้วก็สงบระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งรวมไปถึงการใช้กำเนิดขนาดด้วย ขนาด/ปริมาณที่ควรใช้ ในตำราเรียนยาไทยระบุไว้ว่า การใช้พิมเสนสำหรับกิน ให้ใช้ครั้งละ 0.15-0.3 กรัมเอามาบดเป็นผุยผงกับหนังสือเรียนยาอื่น หรือใช้ทำเป็นยาเม็ด และไม่ควรจะปรุงยาด้วยแนวทางต้ม ถ้าใช้ภายนอกให้เอามาบดเป็นผุยผงใช้โรยแผลตามที่ต้องการ ส่วนขนาด/ปริมาณของพิมเสนที่กระทรวงสาธารณสุขของไทยอนุญาตให้ใช้เป็นองค์ประกอบกับตัวยาอื่นๆนั้น ทางกระทรวงสาธารณสุขจะกำหนดให้ใช้เป็นตำรับๆไป (https://www.img.in.th/images/d8f7c37c23e20f8b0bf81d8b0f9b060b.jpg) คำแนะนำ/ข้อควรพิจารณา
อนึ่งในตอนนี้พิมเสนแท้เกือบจะไม่มีแล้ว เพราะเหตุว่ามีราคาแพง โดยมากก็เลยใช้พิมเสนสังเคราะห์ ซึ่งได้มาจากปฏิกิริยารีดักชันของการบูร (dl-camphor) ได้เป็น (dl-borneol) ก็คือ พิมเสนเกล็ดขาวๆที่เห็นกันโดยธรรมดา ก็เลยเรียก พิมเสนเทียมนี้ ว่า "พิมเสนเกล็ด" Borneolum Syntheticum (Borneol) ซึ่งพิมเสนสังเคราะห์ (หรือพิมเสนเทียม)นี้ชอบมีรสเผ็ดกัดลิ้น ถ้าเกิดเป็นของถึงแม้จากธรรมชาติจะไม่กัดลิ้นแต่จะก่อให้เย็นปากเย็นคอ ควรต้องต้องระวังสำหรับการใช้พิมเสนสังเคราะห์นี้ด้วย เอกสารอ้างอิง
Tags : พิมเสน
|