หัวข้อ: สมุนไพรหญ้าหวาน-มีสรรพคุณเเละประโยชน์ที่สามารถรักษาโรคได้อย่างดี เริ่มหัวข้อโดย: แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ ที่ มิถุนายน 04, 2018, 01:33:46 pm (https://www.picz.in.th/images/2018/04/28/Y2e9o8.jpg)
หญ้าหวาน ชื่อสมุนไพร ต้นหญ้าหวาน ชื่อวิทยาศาสตร์ Stevia rebaudiana Bertoni ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Eupatorium rebaudianum Bertoni, Stevia rebaudiana (Bertoni) Hemsl.) ชื่อสามัญ Stevia สกุล Asteraceae ถิ่นกำเนิด หญ้าหวาน เป็นพืชที่มนุษย์รู้จักมาเป็นเวลายาวนานกว่า 1,500 ปี ชนพื้นเมืองแถบอเมริกาใต้เป็นผู้ค้นพบและก็ประยุกต์ใช้เป็นครั้งแรก มนุษย์ได้นำสารสกัดของต้นหญ้าหวานมาเป็นองค์ประกอบในชาที่ชงดื่มรวมถึงยาสมุนไพรโบราณ โดยยิ่งไปกว่านั้นในประเทศขว้างรากวัย และก็บราซิล ซึ่งชื่อเดิมของต้นหญ้าหวานที่ชาวพื้นเมืองขว้างรากวัยเรียกเป็นkar-he-e หรือภาษาประเทศสเปน เรียกว่า yerba ducle หมายความว่า สมุนไพรหวาน เป็นสมุนไพรที่คนพื้นเมืองของปารากวัย และบราซิล ใช้ผสมในอาหาร หรือเครื่องดื่มเพื่อเพิ่มความหวาน และก็ใช้ชงเป็นชาดื่ม ที่เรียกว่า “ มะเตะ” มานานมากกว่า 400 ปีแล้วส่วนในแถบทวีปเอเชียพบว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกๆที่มีการใช้สารสกัดจากต้นหญ้าหวานอย่างแพร่หลาย โดยนำไปเป็นองค์ประกอบของของกินรวมทั้งเครื่องดื่มต่างๆ ดังเช่นว่า ผักดอง ซีอิ๊ว เต้าเจี้ยว เนื้อปลาบด เป็นต้น สำหรับในประเทศไทยหญ้าหวานเริ่มไปสู่ประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2518 โดยเป็นการนำมาทดสอบปลูก ในภาคเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดลำพูน แล้วก็จังหวัดเชียงราย ในปัจจุบันอย.ได้อนุญาตให้มีการใช้สารสตีวิโอไซด์เพื่อการบริโภค หญ้าหวานจึงจัดอยู่ในพืชสมุนไพรอีกประเภทหนึ่ง ลักษณะทั่วไป
ประมาณ 3-4 ซม. แผ่นใบเรียบ สีเขียวสด ขอบของใบหยักเป็นฟันเลื่อย และก็งุ้มเข้ากึ่งกลางแผ่นใบ เมื่อเคี้ยวหรือต้มน้ำจะมีรสหวานจัด
การขยายพันธุ์ หญ้าหวาน เป็นพืชที่ชอบอากาศที่ค่อนข้างเย็น ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิประมาณ 20-26 องศาเซลเซียส เป็นพืชที่ชอบดินร่วนซุยหรือดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำได้ดิบได้ดี และก็พืชจำพวกนี้จะเติบโตได้เป็นอย่างดีเมื่อเพาะปลูกในพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลโดยประมาณ 600-700 เมตร ด้วยเหตุนั้นก็เลยมีการนำเข้ามาทดลองปลูกในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.2518 ที่แถบภาคเหนือ ในจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน พะเยา ซึ่งปรากฏว่าได้ผลผลิตเป็นที่น่าพอใจ จึงมีการช่วยเหลือให้มีการปลูกมาจนถึงปัจจุบัน หญ้าหวานเพาะพันธุ์ได้ 2 แนวทาง เป็น
สำหรับเพื่อการเก็บเกี่ยว การเก็บใบหญ้าหวานจะเริ่มเก็บหนแรกได้ 25-30 วัน หลังปลูก หากต้นสมบูรณ์พอเพียง จะเก็บได้ตลอดเดือนละ 1 ครั้ง ตลอดทั้งปี จะเก็บได้โดยประมาณ 10-12 ครั้ง แต่ละครั้งเก็บใบสดได้ราวๆ 40-60 กิโล/ไร่ ซึ่งให้ผลผลิตใบสูงสุดในช่วงฤดูฝน และก็ได้ผลผลิตต่ำในฤดูหนาว รวมทั้งฤดูแล้ง ทั้งนี้ หญ้าหวาน 1 รุ่นจะแก่เก็บเกี่ยวไดนานถึง 3 ปี สำหรับต้นหญ้าหวานสดที่เก็บเกี่ยวได้ ต้องล้างชำระล้าง รวมทั้งตากแดดให้แห้งก่อนส่งโรงงาน แบ่งออกเป็น 2 เกรด คือ เกรด Aและก็เกรด B ถ้าหากภาวะใบไม่สมบูรณ์ ใบมีสีเหลืองหรือซีด จะถูกคัดเป็นเกรด B แต่ว่าเกรดของใบไม่เป็นผลทำให้ความหวานแตกต่างกัน ต้นหญ้าหวานแห้ง เกรด B จะเจอราวๆ 1 ใน 3 ของปริมาณต้นหญ้าหวานแห้งทั้งสิ้น ต้นหญ้าหวานแห้งเกรด A บางทีอาจขายเป็นใบชา ในราคา 200-500 บาท/กิโลกรัม ส่วนเกรด B จะถูกขายในราคาราว 150 บาท/กิโล แล้วก็ใช้บดเป็นผุยผงหญ้าหวานแห้ง ที่ขายในกก.ละ 500 บาท 5 ส่วนราคารับซื้อต้นหญ้าหวานแห้งหน้าโรงงาน อาจมีราคาในตอนเดียวกันหรือสูงยิ่งกว่า (ข้อมูล ราคาปี 2555) ส่วนประกอบทางเคมี ใบหญ้าหวานแห้ง สกัดด้วยน้ำได้สารหวานโดยประมาณจำนวนร้อยละหนึ่ง ซึ่งสารหวานพวกนี้มีชื่อเรียกว่า สตีวิโอไซด์ (Stevioside) ซึ่งมีความหวานมากยิ่งกว่าน้ำตาล 150 - 300 เท่า มีความคงตัวสูงทั้งในตัวทำละลาย กรดอ่อน เบสอ่อน และทนความร้อนได้ถึง 200 องศาเซลเซียส จึงไม่เสื่อมสภาพหรือเปลี่ยนสภาพจากความร้อนสำหรับในการประกอบอาหาร ใช้ในปริมาณน้อย ไม่มีพิษแล้วก็ไม่เป็นอันตรายในการบริโภคซึ่งนักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าสารสกัดจากต้นหญ้าหวานประกอบไปด้วยกรุ๊ปสารที่มีชื่อเรียกว่า ไกลโคไซด์ (Glycoside) รวมทั้ง อะไกลโคน (Aglycone) สารไกลโคไซด์จะประกอบไปด้วยโมเลกุลของน้ำตาลกลูโคส (Glucose) ส่วนสารอะไกลโคนจะประกอบไปด้วยน้ำตาลที่มีโมเลกุลใหญ่ขึ้นหรือบางทีอาจเรียกรวมๆว่า โพลีแซคค้างไรด์ (Polysaccharides) ซึ่งกลุ่มน้ำตาลเหล่านี้นี่เองที่ทำให้สารสกัดของต้นหญ้าหวานมีรสหวาน ขึ้นรถสำคัญต่างๆที่พบในต้นหญ้าหวานมีหลายแบบ เป็นต้นว่า – Stevioside พบได้บ่อยที่สุด 2.0-7.7% – Rebaudioside A ถึง F เจอลำดับรองลงมา โดยประมาณ 0.8-2.9% – Steviol – Steviolbioside – Dulcoside A สารสติวิออลไกลโคไซด์ (รูปที่ 1) มีลักษณะเป็นผงสีขาวถึงสีเหลืองอ่อนไม่มีกลิ่น มีความคงตัวสูงในตัวทำละลาย กรดอ่อน เบสอ่อน และทนความร้อน คุณลักษณะด้านกายภาพ รวมทั้งเคมีของ stevioside – สูตรทางเคมี : C35H60O18 – น้ำหนักโมเลกุล : 804.9 – จุดหลอมเหลว : 198 °C รูปที่ 2 Stevioside ที่มา : อ้างถึงใน ศิวาพร (2546) และก็สาโรจน์ (2547) ผลดี/สรรพคุณ สารสกัดที่ได้จากหญ้าหวานชื่อว่า สตีวิโอไซด์ (stevioside) เป็นสารที่ให้ความหวานมากกว่า 200-300 เท่าของน้ำตาลแต่ว่าไม่ก่อกำเนิดพลังงาน (แคลลอรี่) ภายในร่างกายอะไร ด้วยความพิเศษของต้นหญ้าหวานนี้ ก็เลยมีสรรพคุณรวมทั้งคุณประโยชน์ต่างๆมากไม่น้อยเลยทีเดียว อย่างเช่น ลดระดับน้ำตาลในเลือด ผู้ป่วยเบาหวานนั้นเสี่ยงมีสภาวะน้ำตาลในเลือดสูงได้ง่าย ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อร่างกายขาดเซลล์ที่ผลิตอินซูลินหรือเกิดภาวะดื้ออินซูลิน นอกเหนือจากนี้ ยังมีเหตุอื่นที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงได้ อาทิเช่น ไม่ได้รับอินซูลินหรือยารักษาโรคเบาหวาน รับประทานคาร์โบไฮเดรตมากเกินความจำเป็น เกิดความเคร่งเครียด ได้รับบาดเจ็บ เข้ารับการผ่าตัด หรือติดโรค ซึ่งคุณค่าอีกประการหนึ่งของหญ้าหวานที่บางทีอาจมีประโยชน์ต่อคนป่วยเบาหวานก็คือควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยปรากฏงานศึกษาเรียนรู้ที่ศึกษาเล่าเรียนเรื่องนี้มากไม่น้อยเลยทีเดียว งานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยหนึ่งได้ให้คนไข้เบาหวานจำพวกที่ 2 รับประทานสารสกัดต้นหญ้าหวาน 1 กรัม พร้อมเข้ารับการตรวจเลือดข้างหลังผ่านไป 4 ชั่วโมง พบว่าคนเจ็บมีระดับน้ำตาลในเลือดลดน้อยลง สอดคล้องกับงานศึกษาวิจัยอีกชิ้นที่ศึกษาค้นพบว่าระดับน้ำตาลในเลือดของผู้เจ็บป่วยเบาหวานจำพวกที่ 2 น้อยลงอย่างเป็นจริงเป็นจังหลังจากรับประทานแป้งที่ทำมาจากหญ้าหวาน นอกจากนั้น การกินหญ้าหวานอาจลดระดับน้ำตาลในเลือดของคนที่มีสุขภาพปกติเช่นกัน งานศึกษาเรียนรู้หนึ่งได้สุ่มให้ผู้เข้าร่วมทดลองกินซูโครส แอสปาแตม และต้นหญ้าหวานก่อนกินอาหารมื้อกลางวันรวมทั้งมื้อเย็น ตรงเวลา 3 วัน ผลวิจัยพบว่าผู้ที่กินต้นหญ้าหวานหรูหราน้ำตาลในเลือดรวมทั้งอินซูลินหลังรับประทานอาหารลดลงมากยิ่งกว่าผู้ที่รับประทานซูโครสแล้วก็แอสปาแตมอย่างเป็นจริงเป็นจัง ยิ่งกว่านั้น กลุ่มที่กินหญ้าหวานและแอสปาแตมก่อนมื้ออาหารยังรู้สึกอิ่มและไม่กินอาหารอื่นเสริมเติมจากมื้อหลัก เหมือนกับงานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยอีกชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่าการกินสารสกัดจากใบต้นหญ้าหวานช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้เข้าร่วมการทดลองที่มิได้มีอาการป่วยเป็นโรคเบาหวานหรือมีภาวการณ์น้ำตาลในเลือดสูงได้ ทั้งยังมีคุณลักษณะช่วยยั้งการเติบโตของแบคทีเรียในปากหลายอย่าง ก็เลยไม่ทำให้อาหารหรือเครื่องดื่มที่เก็บไว้นานเกิดการบูดเน่า ไม่ทำให้ฟันผุหรือเหงือกบวมอักเสบได้ง่าย ก็เลยมีการใช้ ผสมในอาหาร และเครื่องดื่ม รวมทั้งผสมในยาสีฟันหรือยาบ้วนปาก เพื่อแต่งรส รวมทั้งช่วยคุ้มครองปกป้องโรคฟันผุ อนึ่งฤทธิ์สำหรับการมีรสหวานของสารสตีวิโอไซด์จะไม่เหมือนกับน้ำตาลซะทีเดียว เนื่องด้วยสารสตีวิโอไซด์จะมีรสหวานช้ากว่าน้ำตาลทรายน้อย จะจางหายไปช้ากว่าน้ำตาลทราย นอกเหนือจากนี้สารดังกล่าวมาแล้วข้างต้นยังเป็นสารที่ไร้ค่าทางของกินอะไร เนื่องจากมีแคลอรีต่ำมากมายไหมมีเลย และจะผิดย่อยให้เกิดเป็นพลังงานกับร่างกาย แต่ว่าจากจุดด้วยนี้นี่เองก็ถือเป็นคุณลักษณะเด่นที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิต โรคไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน แล้วก็โรคหัวใจ ในปัจจุบันมีการอนุญาตให้ใช้สารสกัดจากต้นหญ้าหวานเป็นสารทดแทนน้ำตาลในประเทศต่างๆไม่น้อยกว่า 30 ประเทศ อาทิเช่น ญี่ปุ่น จีน ประเทศเกาหลี แคนที่นาดา ออสเตเลีย นิวซีแลนด์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และก็มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นหน่วยงานอาหารรวมทั้งยาของอเมริกาและก็กรุ๊ปประเทศในยุโรปอนุญาตให้มีการใช้สารหวานจากหญ้าหวานเป็นส่วนประกอบในเครื่องดื่ม ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2551 รวมทั้ง พ.ศ. 2554 เป็นลำดับ ประเทศไทย โดยกระทรวงสาธารณสุข ประกาศอนุญาตให้มีการผลิต และหญ้าหวานในประเทศไทย ตั้งแต่ พุทธศักราช 2545 (ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 262) พ.ศ. 2545 เรื่อง สตีวิโอไซด์รวมทั้งของกินที่มีส่วนผสมของสตีวิโอไซด์) และประกาศให้สารสกัดสติวิออลไกลโคไซด์เป็นวัตถุเจือปนของกิน ตั้งแต่ปี พุทธศักราช 2556 (ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 360) พ.ศ. 2556 เรื่อง สตีวิออลไกลโคไซด์) โดยอ้างอิงข้อมูลของคณะกรรมการผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับวัตถุเจือปนอาหารของหน่วยงานของกินรวมทั้งเกษตร รวมทั้งองค์การอนามัยโลก ที่สหประชาชาติ (The Joint FAO/WHO Expert Committee on Food Additives, JECFA) ซึ่งได้ประเมินรวมทั้งกำหนดค่าความปลอดภัย (Acceptable Daily Intake, ADI) แล้ว รูปแบบ/ขนาดการใช้ จากผลงานวิจัยของทีมวิจัยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้สรุปว่า สารสกัดจากต้นหญ้าหวานมีความปลอดภัยในทุกๆกรณี โดยค่าสูงสุดที่กินได้โดยสวัสดิภาพคือ 7,938 มก./โล(น้ำหนักตัว)/วัน ซึ่งสูงมากมายถ้าเกิดเทียบกับการผสมในเครื่องดื่มหรือกาแฟถึง 73 ถ้วยต่อวัน ซึ่งเป็นไปไม่ได้แน่นอน เนื่องจากว่าคนส่วนมากกินกันโดยประมาณ 2-3 ก็ถือว่ามากพอเพียงต่อวันแล้ว ซึ่งการใช้หญ้าหวานโดยสวัสดิภาพหมายถึงราว 1-2 ใบต่อเครื่องดื่ม 1 ถ้วย ถือเป็นจำนวนที่สมควรและไม่หวานมากเกินไป แต่คณะกรรมการผู้ที่มีความเชี่ยวชาญของของกินและเกษตรแห่งสหประชาชาติ องค์การอนามัยโลกที่เกี่ยวกับสารเจือปนในอาหาร ได้ระบุค่าความปลอดภัย เบื้องต้นไว้ไม่เกิน 2 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกก.ต่อวัน อย่างไรก็ตามบางทีอาจต้องระวังการใช้ในใช้ในขนาดสูงต่อเนื่องกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีภาวะโรคไตและตับ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 360 พ.ศ.2556 เรื่องสตีวิออลไกลโคไซด์) สตีวิออลไกลโคไซด์ แปลว่า สารสกัดบริสุทธิ์จากใบต้นหญ้าหวาน ซึ่งประกอบด้วย สตีวิโอไซด์ รีบาวดิโอไซด์ เอ รีบาวดิโอไซด์ บี รีบาวดิโอไซด์ ซี รีบาวดิโอไซด์ ดี รีบาวดิโอไซด์ โคไซด์ เอ รูบุโซไซด์ แล้วก็ สตีวิออลไบโอไซด์ สารสกัดจากหญ้าหวานที่อนุญาตให้ใช้เป็นองค์ประกอบของกินควรมีปริมาณสารในกลุ่มสตีวิออลไกลโคไซด์ รวมทั้งหมดไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ของน้ำหนักแห้ง ซึ่งอ้างอิงจากมาตรฐาน องค์การของกินและก็เกษตร และองค์การอนามัยโลก ที่ยูเอ็น การศึกษาทางเภสัชวิทยา ในปี ค.ศ.1991 มีนักวิทยาศาสตร์ที่ชื่อว่า Emily Procinska รวมทั้งแผนก ได้ออกมาค้นคว้ารายงานศึกษาค้นคว้าของ John M. Pezzuto ว่าอาจมีข้อผิดพลาด โดยตีพิมพ์ในวารสาร Mutagenesis บอกว่า หญ้าหวานไม่มีผลกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิด Mutagenic (สารก่อกลายพันธุ์) อะไร ดังนี้ได้กระทำการทดลองซ้ำอยู่หลายที หลังจากนั้นมาก็ได้มีรายงานต่างๆออกตามมาอีกเยอะแยะที่กล่าวว่าผลของ mutagenic ในสารสกัดหญ้าหวานมีผลน้อยมาก หรืออาจจะไม่เป็นผลเลย และก็ถัดมาก็เลยได้มีการสำรวจความเป็นพิษพบว่า งานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยโดยมากกล่าวว่าหญ้าหวานไม่มีพิษ และไม่มีหลักฐานใดๆก็ตามระบุว่าต้นหญ้าหวานให้กำเนิดโรคมะเร็งอะไร และยังมีการเล่าเรียนทางสถานพยาบาลอีกหลายๆฉบับ ซึ่งส่ววนใหญ่ส่งผลการเรียนกำหนดถึงกลไกการออกฤทธิ์ภายในร่างกายมนุษย์เป็น กลไกการออกฤทธิ์ของต้นหญ้าหวานคือ สารสกัดของหญ้าหวานที่เป็นไกลโคไซด์ซึ่งมีส่วนประกอบของน้ำตาลเดกซ์โทรสและสารอะไกลโคนซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลที่ใหญ่ขึ้น (Polysaccharides) จะทำปฏิกิริยากับต่อมรับรสของลิ้น ทำให้พวกเรารับรสชาติความหวานซึ่งมีมากยิ่งกว่าน้ำตาลถึง 150 เท่า และต่อมรับรสเล็กน้อยจะทำปฏิกิริยากับสารอะไกลโคนซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกถึงรสขมได้น้อย รวมทั้งระบบทางเดินอาหารของมนุษย์ก็สามารถสลายตัวรวมทั้งแยกไกลโคไซด์ของหญ้าหวานออกมาเป็นน้ำตาลกลูโคสได้อีกด้วย โดยน้ำตาลเดกซ์โทรสที่ได้นี้โดยมากจะถูกแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ดึงไปใช้เป็นพลังงานของตัวลำไส้เอง ก็เลยมีเดกซ์โทรสจากสารสกัดต้นหญ้าหวานเพียงแค่ส่วนน้อยที่ถูกดูดซึมไปสู่กระแสโลหิต ส่วนสารสตีวิออลรวมทั้งสารโพลีแซคคาไรด์ (Poly saccharides) นิดหน่อยจะถูกซับเข้าสู่ร่างกาย และส่วนใหญ่ที่เหลือจะถูกขับทิ้งไปกับอุจจาระ (https://www.picz.in.th/images/2018/04/28/Y2eTJR.jpg) การเรียนทางพิษวิทยา จากการเรียนรู้ความเป็นพิษในหนูหลายๆการศึกษา โดยให้สาร สตีวิโอไซด์ ผสมในอาหารในขนาดต่างๆจนกระทั่ง 5% (ขนาดมากถึง 2 g/kg น้ำหนักตัว ให้ต่อเนื่องกัน 3 เดือน จนถึง 2 ปี ไม่พบความเป็นพิษที่ร้ายแรงต่อตับ รวมทั้งไต อย่างไรก็แล้วแต่มีกล่าวว่าหนูที่ได้รับ สตีวิโอไซด์ โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังในขนาดมากถึง 1.5 g/kg น้ำหนักตัว มีผลต่อไตโดยมี blood urea nitrogen (BUN) และ creatinine ในเลือดสูงมากขึ้น แต่ว่าขนาดดังกล่าวเป็นขนาดที่สูงขึ้นมากยิ่งกว่าขนาดที่ใช้รับประทานในคนมากมายประกอบกับเป็นการให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง เพราะฉะนั้นผลวิจัยถึงความปลอดภัยของสตีวิโอไซด์ในของกิน เป็นระยะเวลาที่ยาวนานจนกระทั่งตอนนี้ปรากฏว่ามีแนวโน้มทางด้านความปลอดภัยที่ดี เมื่อต้นปี คริสต์ศักราช 2009 อเมริกาโดย USFDA ได้ตรึกตรองรวมทั้งประกาศว่า หญ้าหวานได้รับการยอมรับโดยปกติว่าปลอดภัย "Generally Recognized As Safe (GRAS) ส่วนการทดสอบการกลายพันธุ์ของสารสกัดหญ้าหวาน โดย Fujita และแผนก (1979), Okumura และก็แผนก (1978) และ Tama Biochemical Co-Ltd. (1981) ทำการทดสอบกับเชื้อ Salmonella typhimurium, Escherichia coli รวมทั้ง Bacillus subtilis ผลการทดลอง พบว่า สารดังที่กล่าวถึงมาแล้วไม่ก่อกลายพันธุ์แต่อย่างใด ข้อเสนอแนะ/ข้อควรไตร่ตรอง ถึงแม้เดี๋ยวนี้ยังไม่พบสิ่งที่ไม่อนุญาตใช้หญ้าหวานที่ชัดแจ้ง แม้กระนั้นข้อพึงระวังคือ
|