ล้อแม็ก แม็ก แม็กล้อ แม็กซ์แต่งรถ ล้อแม็กคุณภาพ รวมล้อแม็กลายใหม่ๆ

Sitemap SMB => สินค้าอื่นๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: teareborn ที่ กรกฎาคม 04, 2018, 02:48:21 pm



หัวข้อ: เพกา มีสรรพคุณเเละประโยชน์อย่างไรบ้าง
เริ่มหัวข้อโดย: teareborn ที่ กรกฎาคม 04, 2018, 02:48:21 pm
(https://www.img.live/images/2018/07/03/726a6e12858e3a52.jpg)[/b]
เพกา[/size][/b]
ชื่อสมุนไพร เพกา
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ลิ้นฟ้า , หมากลิ้นฟ้า (วัวราช,เลย,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) , มะลิดไม้ , มะลิ้นไม้ , ลิดไม้ (ภาคเหนือ) ,เบโก (จังหวัดนราธิวาส,ภาคใต้) ,หมากลิ้นช้าง , หมากลิ้นก้าง (ไทยใหญ่) ,กาโดโด้ง(กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) , ดอก๊ะ ,ดุแก ,ด๊อกก๊ะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ,โชยเตี้ยจั้ง (จีน)
ชื่อสามัญ   Broken bone, Damocles tree, Indian trumpet flower, Indian trumpet tree
ชื่อวิทยาศาสตร์  Oroxylum indicum (L.) Vent.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์  Oroxylum indicum (L.) Kurz
วงศ์             Bignoniaceae
บ้านเกิดเมืองนอน เพกาเป็นพืชท้องถิ่นที่มีมาตั้งแต่เริ่มแรกของทวีปเอเชีย ซึ่งพบในอินเดียและเอเซียอาคเนย์ เป็นครั้งแรก ในขณะนี้สามารเจอได้หลายประเทศ เช่น อินเดีย พม่า ไทย ลาว กัมพูชา มาเลเซีย รวมทั้ง จีนตอนใต้ด้วย ซึ่งมักจะพบเพกาตามป่าเบญจพรรณ และก็ป่าชื้นทั่วไป ส่วนในประเทศไทยนั้นสามารถพบเพกาได้ทุกภาคของประเทศ อย่างไรก็ตามสำหรับเพื่อการนำเพกามาทำเป็นอาหานั้น ดูเหมือนจะมีแต่ว่าคนประเทศไทยเพียงแค่นั้นที่นำมาบริโภค ส่วนประเทศอื่นๆนั้นไม่เจอข้อมูลสำหรับในการเอามาบริโภคเป็นอาหารอะไร
ลักษณะทั่วไป   เพกาเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงกึ่งกลางแล้วก็เป็นไม้ ครึ่งผลัดใบหรือไม่ผลัดใบ สูง 5-12 เมตร ขนาดลำต้นราว 10-30 เซนติเมตร เรือนยอดเล็ก กิ่งเปราะหักง่าย แตกกิ่งก้านน้อย ต้นที่มีอายุน้อยมีกิ่งใหญ่กึ่งกลางกิ่งเดียว เปลือกเรียบ มีใบเป็นกรุ๊ปตรงกลาง คล้ายกับต้นปาล์ม หลังจากออกดอก ลำต้นจะแยกเป็นกิ่งระกะ เปลือกต้น สีน้ำตาลครีมอ่อน หรือเทาอ่อน แตกเป็นสะเก็ดสี่เหลี่ยม และก็แผลของใบยาวถึง 150 เซนติเมตร มีต้นเหตุมาจากใบที่ตกไปแล้ว ลำต้นและก็กิ่งไม้มีรูระบายอากาศ กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป เปลือกลำต้นเรียบสีเทา มีรอยแผลเป็น จากการหลุดตกของใบ ใบประกอบแบบขนนก 3 ชั้น ปลายคี่ ใบขนาดใหญ่ ยาว 60-200 เซนติเมตร เรียงตรงกันข้ามกันอยู่รอบๆปลายกิ่ง ใบย่อยรูปไข่ หรือรูปไข่แกมวงรี กว้าง 4-8 ซม. ยาว 6-12 เซนติเมตร ปลายยาว ขอบของใบเรียบ ฐานใบสอบแคบ ใบสะอาด หรือมีขนสีขาวสั้นๆด้านล่าง ท้องใบนวล ก้านใบบนสุดแยกออก 1 ครั้ง ก้านใบกลางแยก 2 ครั้ง และก็ก้านใบล่างแยก 3 ครั้ง ทำให้เห็นใบทั้งหมดเป็นรูปสามเหลี่ยม  ก้านใบย่อยยาว 5-8 มิลลิเมตร ก้านใบข้าง และก้านใบร่วมโค้งพองออกที่ฐานและที่ข้อ ก้านใบยาว 0.5-2 เมตร ดอกช่อขนาดใหญ่แบบกระจะ ออกที่ปลายยอดเป็นกระจุก มีดอกย่อย 20-35 ดอก จะบานพร้อมกันคราวละ 2-3 ดอก ก้านช่อดอกยาว 60-180 ซม. ยื่นออกมานอกทรงพุ่มของยอด ดอกย่อยขนาดใหญ่ 8-12 ซม. กลีบดอกสีนวลปนเขียวโคนกลีบเป็นหลอดสีม่วงแดง หรือม่วงภายนอก หลอดกลีบยาว 2-4 ซม. รูปแตร กลีบดอกไม้ครึ้ม ขอบร่น ไม่มีพู หรือพูไม่เท่ากัน มีต่อมกระจัดกระจายอยู่ภายนอก ด้านในมีขนหนาแน่น ดอกบานค่ำคืน มีกลิ่นสาบฉุน และหล่นรุ่งอรุณ ชอบมีดอกแล้วก็ผลในกิ่งเดียวกัน เกสรตัวผู้ 5 อัน ใกล้กับหลอดดอก โคนก้านมีขน เกสรตัวเมียมี 1 อัน กลีบเลี้ยงยาว 2-4 ซม. มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ เชื่อมชิดกันเป็นรูปทรงกระบอก ปลายไม่แยกเป็นกลีบอย่างกระจ่าง เมื่อได้ผลสำเร็จ กลีบเลี้ยงนี้จะเจริญเป็นเนื้อแข็งมาก ผลเป็นฝัก แบน โค้งเล็กน้อยที่ฐาน มีสันเล็กๆที่ด้านข้าง คล้ายรูปลิ้น ห้อยอยู่เหนือเรือนยอด กว้าง 6-10 เซนติเมตร ยาว 30-120 ซม. สีน้ำตาลเข้ม สีแดง ติดฝักยาก ฝักเป็นรูปดาบ เมื่อแก่จะแตกเป็น 2 ด้าน เมล็ดแบนสีขาว  ขนาด 4-8 ซม. มีปีกบางโปร่งแสง เยื่อนี้ช่วยให้เมล็ดลอยละล่องตามกระแสลมให้ตกห่างต้นเพื่อแพร่พันธุ์ได้ไกลขึ้น
การขยายพันธุ์ เพกาสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เม็ด  โดยเลือกเมล็ดจากฝักแก่ เปลือกฝักแห้ง มีสีดำ โดยให้เก็บฝักไว้สัก 2-3 เดือน ก่อนนำมาเพาะเมล็ด เพราะว่าภายหลังจากฝักแก่ เม็ดเพกาจะเข้าสู่ระยะพักตัวอยู่ตอนหนึ่ง แม้นำเมล็ดมาเพาะในพักหลังฝักแก่มักมีอัตราการงอกต่ำ เพราะฉะนั้น จึงทิ้งฝักไว้สักระยะหนึ่งก่อน
การเพาะเมล็ด ควรเพาะในถุงเพาะชำ เพื่อย้ายต้นลงปลูกไว้ในแปลงได้สบาย โดยนำเม็ดออกมาจากฝัก แล้วก็ตากแดดสัก 2-3 วันก่อน หลังจากนั้นค่อยเอามาเพาะ  สำหรับสิ่งของเพาะ ควรจะใช้ดินผสมกับอุปกรณ์อินทรีย์ ดังเช่นว่า ปุ๋ยธรรมชาติ ปุ๋ยคอก รวมทั้งแกลบดำ แต่หากไม่สบายให้ใช้เพียงแค่ปุ๋ยหมักสิ่งเดียวก็ได้ โดยใช้อัตราส่วนดิน:ปุ๋ยธรรมชาติ:แกลบดำ ที่ 1:3:1 ก่อนใส่ลงถุงเพาะชำ ต่อไป นำเม็ดลงกลบ และรดน้ำให้เปียกแฉะ พร้อมกับดูแลด้วยการรดน้ำบ่อยๆแต่ละวัน ขั้นต่ำวันละ 1 ครั้ง จวบจนกระทั่งต้นจะผลิออก และแตกใบได้ 2 ข้อ ก่อนย้ายลงปลูกเอาไว้ภายในแปลง  การปลูกเพกานิยมปลูกในต้นหน้าฝน เมื่อต้นกล้าแตกยอดได้ 2 ข้อแล้ว ให้นำกล้าเพกาลงปลูกได้ สำหรับระยะปลูกให้มีระยะห่างที่ 4×4 เมตร โดยการขุดหลุมขนาดราว 30 เซนติเมตร ลึกราว 30 เซนติเมตร ก่อนจะรองตูดหลุมด้วยปุ๋ยคอกราว 3-5 กำ แล้วก็ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 โดยประมาณ 1 จับมือ พร้อมคลุกหน้าดินผสม ก่อนที่จะนำกล้าเพกาลงปลูก
องค์ประกอบทางเคมี
ในฝักพบสาร Oroxylin A , Chrysin     ,Baicalein , Triterpene  , Carboxyliv acid , Ursolic acid
ในเม็ดพบสาร Flavonoids , Chrysin , Oroxylin A ,Terpene , Baicalein , Saponins , Benzoic acid  , 6-Glucoside , Tetuin
สำหรับองค์ประกอบของน้ำมันของเมล็ดเจอสาร
Caprylic, Lauric  , Myristic ,Palmitic ,Palmotoleic ,Stearic ,Oleic , Linoleic acid
ในใบเจอสาร Flavones  ,Baicalein ,Glycosides ,6,7-Glucuronides,7-Glucuronides , Chrysin , Scutellarein , Anthraquinone , Aloe emodin
ส่วนของลำต้นพบสาร Oroxylin A  ,Baicalein  ,Chrysin ,7-Glucuronides, Biochanin A ,Ellagic acid , Puunetin ,B-sitosterols ,b-Methylbailein  ,Lapachol
ส่วนรากเจอสาร  Oroxylin A  ,  Baicalein , Chrysin, Pterocarpan , Rhodioside  ,D-Galatose ,Sitosterol
ที่มา : wikipedia
ส่วนค่าทางโภชนาการของเพราะว่านั้นมีดังนี้
คุณค่าทางโภชนาการในยอดอ่อนเพกา (100 กรัม) พลังงาน 101 กิโลแคลอรี โปรตีน 6.4 กรัม ไขมัน 2.6 กรัม คาร์โบไฮเดรต 13.0 กรัม วิตามินบี1 0.18 มก. วิตามินบี2 0.69 มิลลิกรัมรวมทั้งวิตามินบี3 2.4 มิลลิกรัม  ฝักอ่อนของเพกา (ต่อน้ำหนัก 100 กรัม) วิตามินซี 484 มก. วิตามินเอ 8,200 มิลลิกรัม แคลเซียม 13 มิลลิกรัม, ฟอสฟอรัส 4 มิลลิกรัม, โปรตีน 0.2 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 14 กรัม, ไขมัน 0.5 กรัม, เส้นใย 4 กรัม
ผลดี/สรรพคุณ  คุณประโยช์จากเพกานั้นส่วนมากนิยมนำมารับประทานเป็นอาหาร เป็นต้นว่า ฝักอ่อน อายุฝักราวๆ 1 เดือน (ที่ขนาดไม่ใหญ่มากนัก สามารถใช้เล็บมือจิกลงไปได้) จัดเป็นผักประจำถิ่นที่นิยมเอามากินด้วยการลวกหรือย่างไฟ คู่กับน้ำพริก เมนูลาบต่างๆแล้วก็ซุปหน่อไม้ ซึ่งฝักอ่อนนี้ เมื่อกินจะมีรสขมอ่อนๆดังนี้ การย่างไฟ นิยมปิ้งไฟจากเตาถ่าน แต่ว่าอาจย่างจากไฟลุกไหม้ก็ได้ โดยย่างให้เปลือกฝักอ่อนร้อน และก็อ่อนตัวกระทั่งไหม้เกรียมเป็นสะเก็ดดำ แล้วค่อยขูดสะเก็ดดำออก ก่อนเอามาหั่นรับประทาน    ใบ แล้วก็ยอดอ่อน ราษฎรนิยมนำมากินดิบหรือลวกหรือปิ้งไฟ คู่กับน้ำพริก ซุปหน่อไม้ แล้วก็เมนูลาบต่างๆรวมถึงเอามาผัดใส่กุ้ง หรือยำใส่กระเทียมเจียว ดังนี้ ใบอ่อน แล้วก็ยอดอ่อน มักไม่นิยมเด็ดมารับประทานเท่าไรนัก เพราะว่าต้องให้ยอดเติบโต รวมทั้งติด ดอกบานนิยมเอามาลวกแค่นั้น เนื้อดอกเมื่อลวกแล้วจะมีความนุ่ม รวมทั้งให้รสขมน้อยกว่าฝักอ่อน รวมทั้งยอดอ่อน ถือได้ว่าเป็นส่วนที่อร่อยมากที่สุด และชอบใช้สำหรับรับประทานคู่กับน้ำพริก ส่วนการใช้ผลดีอื่นๆนั้น ดังเช่น แก่นไม้เพกา ในบางพื้นของภาคอีสาน นิยมใช้เผาถ่านสำหรับทำผงถ่านผสมทำดินปืนหรือดินบั้งไฟ ทั้งนี้ สามารถเผาเป็นถ่านได้ทั้งในรูปไม้สด เนื่องจากเนื้อไม้สดออกจะแห้งอยู่แล้ว และก็เผาในรูปขอนไม้แห้ง ซึ่งเผาได้ง่ายดายยิ่งกว่า แต่ว่าปัจจุบันนี้ ไม่ค่อยนิยมแล้ว เนื่องจากว่า ต้นเพกาในอีสานหายากขึ้น รวมทั้งหันมาใช้ไม้ยูคาลิปตัสแทน ส่วนฝักเพกาแก่ นิยมนำมาตากแห้ง และก็ส่งออกเมืองนอกเพื่อใช้ทำยาสมุนไพร สามารถทำรายได้ให้แก่เกษตรกรได้ นอกเหนือจากนี้คนกะเหรี่ยงยังใช้เปลือกต้นเพกาย้อมผ้าให้ได้สีเขียวอีกด้วย
นอกจากนี้เพกายังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย ดังต่อไปนี้  ตำราเรียนยาไทย  ใช้  เมล็ด ต้มน้ำดื่ม แก้ไอแล้วก็ขับเสลด ใช้เป็นยาระบาย เมล็ดแก่ มีรสขม เป็นยาระบาย แก้ไอ ขับเสลด เม็ดแห้ง ทำน้ำจับเลี้ยงแก้ร้อนใน อยากดื่มน้ำ ฝักแก่ มีรสขมกินได้ แก้ร้อนในหิวน้ำ ช่วยเจริญอาหาร ยับยั้งไอ ฝักอ่อน มีรสขมร้อน ใช้เป็นยาขับลม
ใบ มีรสฝาดขม ต้มน้ำดื่มแก้เจ็บท้อง เจริญอาหาร แก้ปวดข้อต่างๆ
เปลือกต้น -รสฝาดเย็น และขมบางส่วน เป็นยาสมานแผล ทำน้ำเหลืองให้ปกติ ขับน้ำเหลืองเสีย ขับเลือดดับพิษเลือด บำรุงเลือด แก้เสลดจุกคอ ขับเสมหะ แก้บิด แก้อาการจุกเสียด
ราก   มีรสฝาดเย็น ขมเล็กน้อย ใช้บำรุงธาตุ ทำให้เกอดน้ำย่อยของกิน เจริญอาหาร   แก้ท้องเดิน แก้บิด แก้ไข้สันนิบาต
เพกาอีกทั้ง 5    เป็นการใช้ส่วนราก ใบ ดอก ผล ต้น รวมกันจะมีรสฝาดเย็น มีสรรพคุณรักษาแผล แก้อักเสบบวม แก้ท้องเสีย บำรุงธาตุ แก้น้ำเหลืองเสีย แก้ไข้เพื่อลม เพื่อเลือด
(https://www.img.live/images/2018/07/03/5fcef2b74eb7783e.jpg)[/b]
แบบ/ขนาดการใช้
ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข      นำเปลือกต้นฝนกับน้ำปูนใสทาแก้อาการบวม ฟกช้ำดำเขียว และ อักเสบ  หรือนำเปลือกเพกาฝนทารอบๆฝีแก้ปวดฝี        เปลือกต้นตำผสมกับสุรา     ใช้เป็นยากวาดประสะพิษซางเด็กรูปแบบเม็ดเหลือง      แก้ละอองขึ้นในปาก คอลิ้น แก้ละอองไข้     ใช้ฉีดพ่นตามตัวคนคลอดลูกที่ทนการอยู่ไฟไม่ได้ ทำให้ผิวหนังชา     ทาบริเวณฝี แก้ปวดฝีทาแก้อาการฟกบวมอักเสบ  เปลือกต้นสดตำผสมกับน้ำส้ม  (ซึ่งได้จากรังมดแดง) หรือเกลือบก    กินขับลมในลำไส้ แก้จุกเสียด แก้บิด แก้อ้วกไม่หยุด    รับประทานแก้เสลดจุกคอ (ขับเสลด) ขับเลือดเน่าในเรือนไฟ บำรุงเลือด
นอกเหนือจากนั้น ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้เปลือกเพกา เปลือกต้นไข่เน่า ใบไข่เน่า แก่นลั่นทม บอระเพ็ด ใบเลี่ยน รากหญ้าติดอยู่ รวม 7 อย่าง น้ำหนักอย่างละ 2 บาท เอามาต้มกับน้ำดื่มทีละ 1 แก้วเล็ก ก่อนกินอาหาร ตอนเช้าแล้วก็เย็น  ช่วยแก้และบรรเทาอาการไอ รวมทั้งขับเสมหะโดยใช้เม็ดแก่เพกาประมาณครึ่งกำมือถึงหนึ่งกำมือ (1.5 – 3 กรัม) ใส่เอาไว้ภายในหม้อที่เติมน้ำ 300 มิลลิลิตร แล้วต้มไฟอ่อนๆจนถึงเดือดประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วเอามาดื่มทีละ 1 แก้ว เช้า ตอนกลางวัน เย็น ตราบจนกระทั่งอาการจะดีขึ้น  แก้โรคไส้เลื่อน ด้วยการใช้เปลือกต้นเพกา รากเขยตาย หญ้าตีนนก นำมาตำรวมกันให้ถี่ถ้วน และจากนั้นจึงนำไปละลายกับน้ำข้าวขัด ใช้ขนไก่ชุบพาด นำมาทาลูกอัณฑะ
การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ     ฟลาโวนอยด์ที่สกัดจากเพกาสามารถลดการอักเสบในเท้าของหนูเม้าส์ที่ถูกรั้งนำให้บวมด้วย dextran แล้วก็จะมีผลลดบวมเยอะขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับ a-chymotrypsin  สารสกัดจากเปลือกต้นเพกามีฤทธิ์ลดการอักเสบในหนูที่ถูกกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการอักเสบด้วยอัลบูมินจากไข่  ฟอร์มาลิน และก็ฮีสตามีน แต่ไม่มีผลในหนูที่ถูกกระตุ้นด้วยซีรัมจากม้า หรือไซลีน (xylene)  ยิ่งไปกว่านี้ยังพบว่าสารสกัดจากเปลือกมีฤทธิ์ลดการแพ้ในหนูที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดภูมิแพ้ได้มากกว่าหนูปกติ
           จากการศึกษาเล่าเรียนฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบในหลอดทดสอบ พบว่าสารสกัดจากเปลือกต้นเพกามีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบโดยยั้งสารภายในร่างกายที่นำไปสู่การอักเสบเป็นPGE2 และก็ NF-kB และก็ยังออกฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยการยับยั้งวิธีการขบวนการออกซิเดชันของไขมัน (lipid-peroxidation)  นอกจากนั้นยังพบว่าสารสกัดด้วยไดคลอโรมีเทนจากเปลือกต้น และรากมีฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยยั้งเอนไซม์ 5-lipoxygenase รวมทั้งพบว่าสาร lapachol ที่สกัดได้จากเปลือกต้นรวมทั้งรากของเพกาก็มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ 5-lipoxygenase ได้เหมือนกัน โดยมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับ fisetin ซึ่งใช้เป็นสารมาตรฐานสำหรับการทดลองฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ  ยิ่งกว่านั้นยังพบว่าสารสกัดด้วยน้ำจากเปลือกยังสามารถลดการอักเสบได้โดยลดการหลั่งเอนไซม์ myeloperoxidase
ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียแล้วก็แก้ท้องเดินสารสกัดไดคลอโรมีเทนของเปลือกต้น แล้วก็รากของเพกา มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียได้หลายสายพันธุ์เป็นต้นว่า Bacillus subtilis, Staphylococcus aureus, Escherichia coli รวมทั้ง Pseudomonas aeruginosa รวมทั้งยังมีฤทธิ์ต้านทานเชื้อราCandida albicans และพบสาร lapachol ที่สกัดได้จากเปลือกต้นแล้วก็รากของเพกา มีฤทธิ์ต้านเชื้อ B. subtilis และก็ S. aureus ได้เสมอกันกับยา streptomycin  สารสกัดเพกาทั้งยังต้นด้วยการต้ม ไม่มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย Salmonella typi type 2 (ค่า MIC เท่ากับ 125 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร) แต่ว่ามีฤทธิ์อย่างอ่อนต่อเชื้อ Staphylococcus aureus (ค่า MIC เท่ากับ 15.13 มก./มล.) (2) สารสกัดจากฝักด้วยเอทานอล (80%) ขนาด 12.5 มก./มล. มีฤทธิ์ไม่แน่นอนต่อเชื้อ S. aureus และก็ Escherichia coli
สำหรับสารสกัดจากตำรับยาเหลืองปิดสมุทรซึ่งมีเปลือกเพกาเป็นส่วนประกอบ รวมทั้งใช้ทุเลาอาการท้องเสียที่มิได้เกิดขึ้นจากการตำหนิดเชื้อ พบว่ามีฤทธิ์ลดอาการท้องเสียในหนูเม้าส์ที่ทำให้ท้องร่วงด้วยน้ำมันละหุ่ง และก็มีฤทธิ์ยั้งการเคลื่อนไหวของกล้ามเรียบในลำไส้เล็กขิงหนูตะเภา  นอกจากนั้นยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคแบคทีเรียที่ส่งผลให้เกิดอุจจาระตก 6 สายพันธุ์ในหลอดทดลองหมายถึงBacillus cereus ATCC 14579, Escherichia coli ATCC 25922, Salmonella typhimurium ATCC 11331, Shigella flexneri  DMSC 1130, Staphylococcus aureus ATCC 25923, Vibrio parahaemolyticus DMST 5665 และ แบคทีเรียที่แยกได้จากของกิน โดยสารสกัดด้วยน้ำจะออกฤทธิ์ดียิ่งกว่าสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์และก็สารสกัดของสมุนไพรโดดเดี่ยวแต่ละจำพวกที่เป็นส่วนประกอบในตำรับยานี้
ฤทธิ์ต้านการยุบเกร็งกล้ามเนื้อ  สารสกัดฝักเพกาด้วยเอทานอลแล้วก็น้ำ (1:1) มีฤทธิ์ต้านการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลำไส้เล็ก เมื่อทำการทดสอบในหนูตะเภาที่ถูกกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อส่วนลำไส้เล็กด้วย acetylcholine รวมทั้ง histamine
ฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ การเรียนใช้สารสกัดจากใบเพกาสำหรับการต้านสารอนุมูลอิสระ DDPH และก็ยับยั้งสารอนุมูลอิสระ Nitric Oxide พบว่า สารสกัดสามารถออกฤทธิ์ยั้งในค่า IC50 = 24.22 ไมโครกรัม/มล. รวมทั้ง ค่า IC10 = 129.81 ไมโครกรัม/มล. ของสารทั้ง 2 เป็นลำดับ
ฤทธิ์ต้านมะเร็ง การศึกษาเล่าเรียนทดสอบสารสกัดจากเพกาชื่อ Baicalein สำหรับในการต้านเซลล์มะเร็ง HL-60 พบว่า สาร Baicalein สามารถยับยั้งเซลล์มะเร็ง HL-60 ได้มากกว่าร้อยละ 50 ด้านใน 36-48 ชั่วโมง
การเรียนรู้ทางพิษวิทยา
การทดสอบความเป็นพิษ มีการทดลองกรอกสารสกัดรากเพกาด้วยน้ำร้อนแก่หนูเพศผู้ในขนาด 1 โมล/กก. มีรายงานว่านำไปสู่พิษ Dhar และก็ภาควิชา ทำการทดลองฉีดสารสกัดฝักเพกาด้วยเอทานอลแล้วก็น้ำ (1:1) แล้วก็สารสกัดรากเพกาด้วยเอทานอลและก็น้ำ (1:1) เข้าช่องท้องหนู พบว่าสารสกัดในขนาดสูงสุดที่หนูสามารถทนได้ (maximum tolerated dose)หมายถึง100 มก./กิโลกรัม แล้วก็ 1 กรัม/กก. ตามลำดับ (4) ธีระยุทธ ได้กระทำการทดสอบความเป็นพิษรุนแรงของสารสกัดเปลือกเพกาด้วยเอทานอล (70%) โดยการฉีดเข้าช่องท้องรวมทั้งกรอกลงกระเพาะหนูถีบจักรในขนาด 100 มก./กิโลกรัมน้ำหนักตัว พบว่าสารสกัดไม่ก่อให้เกิดพิษทันควันในหนู และก็เมื่อทดลองความเป็นพิษทันควันโดยใช้สารสกัดในขนาดสูงขึ้นหมายถึง400 แล้วก็ 800 มิลลิกรัม/กิโลกรัมน้ำหนักตัว พบว่าสารสกัดไม่ทำให้มีการเกิดพิษกระทันหันเมื่อให้โดยการกรอกลงกระเพาะหนู แต่ทำให้เกิดพิษเฉียบพลันได้เมื่อฉีดเข้าช่องท้องในขนาด 800 มก./โล สำหรับความเป็นพิษกึ่งเฉียบพลันของสารสกัด พบว่าเมื่อกรอกสารสกัดลงกระเพาะหนูถีบจักรในขนาด 400 และ 800 มก./กิโลกรัมน้ำหนักตัว ทุกวันเป็นเวลา 30 วัน  พบว่าไม่นำมาซึ่งพิษฉับพลันในหนู
และเมื่อป้อนสารสกัดจากตำรับยาเหลืองปิดสมุทรขนาด 5 กรัม/กิโลกรัม ครั้งเดียวให้หนูแรท ดูการกระทำด้านใน 14 วัน ไม่พบพิษแบบกะทันหันแล้วก็ความผิดแปลกของอวัยวะภายใน รวมทั้งเมื่อให้สารสกัดขนาด 1, 2 รวมทั้ง 4 กรัม/กิโลกรัม/วัน แก่สัตว์ทดลองต่อเนื่องกันตรงเวลา 90 วันไม่พบพิษแบบครึ่งเรื้อรัง ไม่พบความไม่ดีเหมือนปกติของน้ำหนักตัว ค่าตรวจทางเลือดวิทยา และทางชีวเคมี และการเปลี่ยนแปลงในพยาธิวิทยาของอวัยวะภายใน  สำหรับตำรับยารักษาโรคมะเร็งที่มีเพกา ชุมเห็ดเทศ (Senna alata (L.) Roxb.) แล้วก็รางจืด (Thunbergia laurifolia Lindl.) ซึ่งออกฤทธิ์ต้านมะเร็งในหลอดทดลอง ก็พบว่ามีความปลอดภัยสำหรับในการทดลองความเป็นพิษแบบรุนแรงในสัตว์ทดสอบ
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ จากการทดลองฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ โดยวิธี Ames’ test จากผลการทดลองพบว่าสารสกัดในขนาดสูงสุดที่ทำการทดสอบ (2 มิลลิกรัม/จานเพาะเชื้อ) กับ Salmonella typhimurium สายพันธุ์ TA98 และ TA100 พบว่าไม่มีคุณลักษณะสำหรับเพื่อการนำมาซึ่งการ กลายพันธุ์ อมรศรี และก็แผนก พบว่าสารสกัดเพกาที่ได้จากการต้มมีฤทธิ์ต้านทานการกลายพันธุ์ เมื่อทดลองโดยวิธี Ames’ test
การวัดความเป็นพิษของสารสกัดจากเพกาโดยวิธี somatic mutation and recom bination test ในแมลงหวี่ พบว่าสารสกัดเพกาในขนาด 120 มก./มิลลิลิตร สามารถนำไปสู่ somatic mutation ได้  โดยพบว่าแมลงหวี่ที่ได้รับสารสกัดมีจำนวนจุดบนปีกลดน้อยลง เมื่อเปรียบเทียบกับแมลงหวี่กรุ๊ปควบคุม และก็มีแถลงการณ์ว่าส่วนสกัดอัลกอฮอล์ของเพกาเมื่อเอามาทำปฏิกิริยากับเกลือไนไตรท์ในสภาพการณ์โอบล้อมที่เป็นกรดแล้วเอามาทดสอบการกลายพันธุ์ พบว่าสินค้าที่เกิดขึ้นมีฤทธิ์ก่อการกลายพันธุ์
คำแนะนำ/ข้อควรระวัง

  • หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรกินฝักอ่อนของเพกา เพราะว่ามีฤทธิ์ร้อน โดยอาจจะส่งผลให้แท้งบุตรได้
  • ควรจะระวังสำหรับการใช้เพการ่วมกับยากลุ่มต่อต้านการแข็งตัวของเกร็ดเลือด ตัวอย่างเช่น แอสไพริน (aspirin) ,วาฟาริน (warfarin) , สารสกัดแปะก๊วย (Ginko biloba)
  • เพกาเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนอาจส่งผลให้เป็นผลข้างๆได้ อาทิเช่น เกิดการเคืองกระเพาะอาหารได้

    เอกสารอ้างอิง

  • ธีระยุทธ กลิ่นสุคนธ์.  รายงานความก้าวหน้าโครงการวิจัยสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน (ครั้งที่ 1): โครงการย่อย “การวิจัยด้านพิษวิทยา”.  การสัมมนาเรื่อง “การพัฒนาการใช้สมุนไพรทางคลินิก และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสมุนไพร ที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน” 26-27 ก.พ. 2530, มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • เพกา.สมุนไพรทีใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • จีรเดช มโนสร้อย วรพงษ์ กิจดำรงธรรม ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ อรัญญา มโนสร้อย. การทดสอบความเป็นพิษแบบเฉียบพลันของสารสกัดตำรับยารักษาโรคมะเร็งที่คัดเลือกจากฐานข้อมูลตำรายาสมุนไพรไทย มโนสร้อย 2. วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก 2553;8(2):54.
  • อมรศรี ช่างปรีชากุล อริศรา เวชกัลยามิตร มาลิน จุลศิริ ปัญญา เต็มเจริญ.  การต้านสารก่อกลายพันธุ์ของสารสกัดน้ำจากพืช สมุนไพรชนิดที่สามารถนำมาปรุงเป็นเครื่องดื่ม. Special project, Faculty of pharmacy, Mahidol university,1991.
  • เพกา.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหิทยาลัยอุบลราชธานี
  • Ali RM, Houghton PJ, Raman A, Hoult JRS.  Antimicrobial and antiinflammatory activities of extracts and  constituents of Oroxylum indicum (l.) Vent.  Phytomedicine 1988;5(5):375-81.
  • เพกา.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ป่วยติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • อุดมการณ์ อินทุใส และปาริชาติ ทะนานแก้ว . สมุนไพรไทย ตำรับยา บำบัดโรค บำรุงร่างกาย.2549.
  • ธีระยุทธ กลิ่นสุคนธ์.  รายงานความก้าวหน้าโครงการวิจัยสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน (ครั้งที่ 2): โครงการย่อย “การวิจัยด้านพิษวิทยา”.  การสัมมนาเรื่อง “การพัฒนาการใช้สมุนไพรทางคลินิกและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน” 26-27 ก.พ. 2530, มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • เพกา/ลิ้นฟ้า สรรพคุณและการปลูกเพกา.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพิชเกษตรไทย http://www.disthai.com/[/b]
  • นพมาศ สุนทรเจริญนนท์. การพัฒนาตำรับยาแผนโบราณเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน. การสัมมนาเรื่อง “การเผยแพร่ผลงานวิจัยด้านสมุนไพรสู่ระดับอุตสาหกรรม ครั้งที่ 2”, 19-20 มีนาคม ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ, 2552.
  • ขวัญฤทัย คำฝาเชื้อ.2551.พฤกษศาสตร์พื้นบ้านของชาวกะเหรี่ยง ที่ตำบลบ้านจันทร์และแจ่มหลวง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ .วิทยานิพนธ์(วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.271 หน้า
  • Glinsukon T. Toxicological report. Symposium on Development of Medicinal Plants for Tropical Diseases, 26-27 February, Bangkok, Thailand, 1987. p.110-4.
  • เพกา.กลุ่มยาแก้โรคบิด ท้องเดิน ท้องร่วง โรคกระเพาะ.สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด .โครงการอนุรักษ์พันธุกรมมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพฯรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี.
  •   Siriwatanametanon N, Fiebich BL, Efferth T, Prieto JM, Heinrich M. Traditional Used Thai Medicinal Plants: In Vitro Anti-inflammatory, anticancer and Antioxidant Activities. J Ethnopharmacol 2010; 130:196-207.
  • Golikov PP, Brekhman II. Pharmacological study of a liquid extract from the bark of Oroxylum indicum.  Rastit, Resur 1967; 3(3): 446.
  • พัฒน์ สุจำนงค์.  ตำรายาไทย-จีนยากลางบ้าน ยาสมุนไพร และยาแผนโบราณ.  ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แพร่วิทยา, 2524. หน้า 363.
  •   Chen CP, Lin CC, Namba T.  Development of natural crude drug resources from Taiwan. (VI). In vitro studies of the inhibitory effect on 12 microorganisms.  Shoyakugaku Zasshi 1987; 41(3):215-25.
  • แก้ว กังสดาลอำไพ วรรณี โรจนโพธิ์. การประเมินฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ของสมุนไพรไทยในรูปของยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข และสมุนไพรบางชนิด โดยวิธีเอมส์เทสต์. รายงานผลการวิจัยเอกสารด้านการแพทย์แผนไทยโดยศูนย์ประสานงาน การพัฒนาการแพทย์และเภสัชกรรมแผนไทย กระทรวงสาธารณสุ
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ