หัวข้อ: ยอ มีสรรพคุณ เเละ ประโยชน์ที่สามารถรักษาโรคต่างๆได้ดีอีกด้วย เริ่มหัวข้อโดย: teareborn ที่ กรกฎาคม 07, 2018, 09:51:38 am (https://www.img.live/images/2018/07/03/56b15c9238dd5724.jpg)[/b]
ยอ[/size][/b] ชื่อสมุนไพร ยอ ชื่ออื่น/ขื่อเขตแดน ยอบ้าน (ภาคกึ่งกลาง) , มะตาเสื่อ (ภาคเหนือ) , แยใหญ่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , Noni (ฮาวาย) , Meng kudu (มาเลเซีย) , Ach (ฮินดู) ชื่อวิทยาศาสตร์ Morinda citrifolia ชื่อสามัญ Indian mulberry สกุล Rubiaceae บ้านเกิด ลูกยอ Morinda citrifolia เป็นผลไม้เขตร้อนพบได้มากบันทึกว่ามีการกินลูกยอเป็นอาหารมานานกว่า 2000 ปี แล้ว โดยยอเป็นพืชพื้นเมืองในแถบโพลีนีเซียตอนใต้ (Polynesia) แล้วก็ได้แพร่ไปไปต่างประเทศโดยมีตำนานว่า คนภายในสมัยก่อน (ที่เดี๋ยวนี้เรียกกันว่าขาว เฟร้นซ์ โพลินีเซีย (French Polynesia) ซึ่งอยู่ในแถบตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก พวกเขาได้เดินทางจากเกาะหนึ่งไปยังอีกเกาะหนึ่งโดยเรือแคนูรวมทั้งได้นำพืชศักดิ์สิทธิ์จากหมู่เกาะเดิมของพวกเขามาด้วย พืชนั้นเป็นของกินขึ้นเบื้องต้นที่สร้างเสริมส่วนต่างๆของร่างกายและเพื่อเป็นยารักษาโรค ซึ่งใช้สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ คนสมัยเก่ารุ่นแล้วรุ่นเล่า ได้ช่วยกันบันทึกและก็จดจำถัดมายังบุตรหลานว่าผลของต้นโนนิช่วยบำบัดลักษณะการป่วยเบื้องต้นได้ โดยชาวโพลิเนเซียน ชาวจีน คนประเทศอินเดีย รู้จักใช้ประโยชน์จากลูกยอมานานแล้ว ส่วนการแพร่ไปประเภทของยอนั้นมีสาเหตุมาจากถูกนำประจำตัวเข้าไปยังหมู่เกาะแปซิฟิคตอนใต้ โดยบรรดาผู้ย้ายถิ่น และมันสามารถเติบโตเจริญในดินภูเขาไฟที่ไร้มลพิษ รวมทั้งมีการแพรกระจายชนิดไปยังดินแดนใกล้เคียง แต่อีกแบบเรียนหนึ่งบอกว่าเป็นไม้พื้นบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ว่ามีผู้น าไปขยายพันธุ์จนกระจัดกระจายไปทั่วประเทศอินเดีย และก็ตามหมู่เกาะต่างๆในห้วงสมุทรแปซิฟิครวมทั้งหมู่เกาะอินดัสตะวันตก ต้นยอขึ้นได้อีกทั้งในป่าทึบหรือตามชายฝั่งทะเลที่เป็นโขดเขาหรือพื้นทราย ต้นโตสุดกำลังเมื่ออายุครบ 18 เดือน และก็จะออกผล ซึ่งในขณะนี้พืชจำพวกนี้เป็นที่รู้จักกันทั้งโลก ในประเทศไทยรู้จักกันในชื่อ “ยอ” ในประเทศมาเลเซียรู้จักกันในชื่อ “เมอกาดู” (Mergadu) ในเอเชียได้เรียกว่า “นเฮา” (Nhau) แถบหมู่เกาะตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิกเรียกกันว่า “โนนู” รวมทั้งในเกาะซามัว ทองคำกา ราราทองกา ตาฮิติ เรียกกันว่า “โนโน” หรือ “โนนิ” ลักษณะทั่วไป ลำต้น ยอเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีความสูงราวๆ 2-6 เมตร ลำต้นมีขนาดเล็ก ขนาดโตเต็มที่ 5-10 เซนติเมตร ขึ้นกับอายุ และความอุดมสมบูรณ์ของดิน เปลือกลำต้นบางใกล้กับเนื้อไม้ ผิวเปลือกออกสีเหลืองนวลแกมขาว หยาบสากบางส่วน แตกกิ่งน้อย 3-5 กิ่ง ทำให้มองดูไม่เป็นทรงพุ่ม ใบ ใบเป็นใบลำพัง (simple leaf) แทงออกตรงข้ามกันซ้ายขวา มีทรงรี หรือขอบขนาน ใบกว้างประมาณ 10-20 เซนติเมตร ยาวประมาณ 15-30 ซม. ใบอ่อนสีเขียวสด เมื่ออายุใบมากจะมีสีเขียวเข้ม ก้านใบยาวประมาณ 1 ซม. โคนใบ แล้วก็ปลายใบมีลักษณะแหลม ขอบของใบ และผิวใบเป็นคลื่น ผิวใบมันหมดจดทั้งสองด้าน ข้างบนใบพบมากเป็นตุ่มที่เกิดจากแบคทีเรีย ดอก ดอกออกเป็นช่อกลมลำพังๆสีขาว ทรงเหมือนหลอด ดอกแทงออกตามง่ามใบ ก้านช่อดอกยาวราวๆ 3-4 เซนติเมตร ไม่มีก้านดอกย่อย จัดเป็นดอกบริบูรณ์เพศที่มีเกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมีย กลีบรองดอก และโคนกลีบเชื่อมชิดกัน กลีบมีสีขาว เป็นรูปท่อ ยาวราวๆ 8-12 มม. ผิวดอกด้านนอกเรียบ ภายในมีขน ดอกส่วนครึ่งปลายบนแยกเป็น 4-5 แฉก ยาวราวๆ 4-5 มิลลิเมตร เกสรตัวผู้ รวมทั้งเกสรตัวเมีย ยาวโดยประมาณ 15 มม. แยกเป็น 2 แฉก อับเรณูยาวราวๆ 3 มม. ผล ผลเป็นประเภทผลรวม (multiple fruit) เหมือนกับน้อยหน่า และขนุน เชื่อมติดกันได้ผลสำเร็จใหญ่ดังที่เราเรียกผลหรือหมาก ขนาดผลกว้างโดยประมาณ 3-5 ซม. ยาว 3-10 ซม. ผิวเรียบเป็นตุ่มพอง ผลอ่อนจะมีสีเขียวสด เมื่อแก่จะมีสีเหลืองอมเขียว รวมทั้งเมื่อสุกจะมีสีเหลือง และกลายเป็นสีขาวจนถึงเน่าตามอายุผล เมล็ดในผลมีเยอะมาก เมล็ดมีลักษณะแบน ภายในเม็ดเป็นถุงอากาศทำให้ลอยน้ำได้ ผิวเมล็ดมีสีนํ้าตาลเข้ม นอกเหนือจากนี้ยังสามารถแบ่งสายพันธุ์ของยอได้อีกดังต่อไปนี้
ยอนิยมปลูกด้วยการเพาะเมล็ด แม้กระนั้นสามารถขายประเภทด้วยแนวทางอื่นได้เช่นเดียวกัน เป็นต้นว่า การปักชำ การตอน แต่การเพาะเมล็ดจะให้ผลที่ดีมากกว่าแล้วก็อัตราการรอดจะสูงกว่าแนวทางอื่น โดยการเพาะเม็ดจะใช้วิธีการบีบแยกเมล็ดออกมาจากผลสุก แล้วล้างด้วยน้ำ และกรองเมล็ดออก ผลที่ใช้ควรเป็นผลสุกจัดที่ตกจากต้นที่มีสีขาว เนื้อผลอ่อนนิ่ม ซึ่งจะได้เมล็ดที่มีสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม เมล็ดที่ได้ต้องนำไปตากแห้ง 3-5 วันก่อน แล้วก็นำมาเพาะในถุงเพาะชำให้มีต้นสูงราวๆ 30 ซม. ก่อนนำลงปลูก ต้นยอเป็นพืชพันธุ์ไม้ที่ดูแลง่ายดายไม่ค่อยมีแมลงศัตรูพืช หรือโรคพืชมากมาย รวมทั้งยังเป็นพืชที่ทนทานต่อภาวะดินเค็มและสภาพการณ์แห้งแล้งอีกด้วย จึงทำให้มีการแพร่ระบาดจำพวกอย่างรวดเร็วส่วนประกอบทางเคมี สาระสำคัญที่เป็นส่วนประกอบในยอ ทั้งในส่วนของ ผล ใบ แล้วก็ราก มีหลายแบบ เป็นต้นว่า scopoletin , octoanoic acid , potassium , vitamin C , terpenoids , Asperuloside , Proxyronine สารในกรุ๊ป anthraquinones ได้แก่ anthraquinone glycoside , morindone และ rubiadin รวมถึง flavonoids, triterpenoids, triterpenes, saponins, carotenoids, vitamin E ยิ่งไปกว่านี้ยังมี vitamin A , amino acid , ursolic acid , carotene และ linoleic acid ซึ่งสารเหล่านี้สารประเภทได้มีการทดลองคุณสมบัติของสารแล้วว่าส่งผลที่สามารถนำมาใช้ด้านการแพทย์ได้ นอกจากนั้นยังพบสารชนิดใหม่ที่ชื่อว่า flavone glycoside และ iridoid glycoside ในใบยอขึ้นรถทั้งคู่มีผลยังยั้ง cell transformation ของ mouse epidermal JB6 cell line คุณประโยชน์/คุณประโยชน์ ประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากยอนั้นมีทั้งยังในด้านการนำไป บริโภคเป็นอาหารและก็การนำมาใช้เป็นยาสมุนไพร ในร้านค้าของ Asperulosideการนำมาบริโภคนั้น มีมากหลายแบบอย่างดังต่อไปนี้ มีการ บริโภคผลยอกันมาก ทั้งดิบๆหรือแต่ง ดังเช่น บางหมู่เกาะในห้วงสมุทรแปซิฟิค รับประทานผลยอเป็นของกินหลัก ส่วนชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้วก็ชนท้องที่ออสเตรเลียรับประทานผลยอดิบจิ้มเกลือ หรือปรุงกับผงกะหยี และใช้เม็ดของยอคั่วกินได้ ส่วนในประเทศไทยนั้นบริโภคยอโดย ลูกยอสุก นำมาจิ้มกินกับเกลือหรือกะปิ ลูกห่ามใช้ทำตำส้ม ใบอ่อน นำมาลวกกินกับน้ำพริก ใช้ทำแกงจืด แกงอ่อม ผัดไฟแดง หรือนำมาใช้รองกระทงห่อหมก และในปัจจุบันมีการนำลูกไปดัดแปลงโดยคั้นเป็น น้ำลูกยอ โดยเชื้อกันว่าเป็นประโยชน์ ทางด้านค่าของอาหารที่มี วิตามินซี วิตามินเอ และก็ธาตุโปแตสเซียมสูง นอกเหนือจากนั้นจะมีลักษณะเหมือนผักผลไม้ไม่น้อยเลยทีเดียวเพราะว่ามีสารแอนติออกซิแดนท์หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งถือว่าช่วยชะลอการแก่ของเซลล์ แล้วก็ต้านทานโรคมะเร็ง ได้ ส่วนในด้านการนำมาใช้เป็นสมุนไพรนั้น ยอได้ถูกบอกว่ามีสรรพคุณทางยา ดังนี้ ตำรายาไทย: ผลมีรสเผ็ดร้อน ช่วยขับลมในลำไส้ ขับผายลม บำรุงธาตุ ทำให้เจริญอาหาร ผสมในยาแก้สะอึก อมแก้เหงือกเปื่อย เหงือกบวม ขับรอบเดือนเสีย ขับเลือดลม ฟอกเลือด ขับน้ำคาวปลา แก้เสียงแหบ แก้ตัวเย็น แก้ร้อนในอก แก้กระษัย แก้อาเจียน โดยเอามาหมกไฟหรือต้มกับน้ำกิน หรือเอามาจิ้มกับน้ำผึ้งทาน แบบเรียนสรรพคุณยาไทยบอกว่าผลอ่อนรับประทานเป็นยาแก้คลื่นเหียนอาเจียน ผลงอมเป็นยาขับเมนส์สตรี ผลดิบเผาเป็นถ่านผสมเกลือเล็กน้อย อมแก้เหงือกยุ่ยเป็นขุมบวม หั่นปิ้งไฟพอเหลืองทำกระสายยา เม็ดเป็นยาระบาย หนังสือเรียนยาไทยมีการใช้ ผลยอ ใน”พิกัดตรีผลสมุฎฐาน” คือการจำกัดจำนวนตัวยาที่ส่งผลเป็นที่ตั้ง 3 อย่าง ส่งผลมะตูม ผลยอ ผลผักชีลา สรรพคุณแก้สมุฎฐานที่ตรีทูต ขับลมต่างๆแก้โรคไตพิการ ส่วนอีกแบบเรียนหนึ่งกล่าวว่าคุณประโยชน์ของส่วนต่างๆของยอไว้ดังต่อไปนี้ ราก คุณประโยชน์เป็นยาระบาย แก้ท้องผูก ใบยอ รสขมเฝื่อน สรรพคุณบำรุงธาตุ แก้ไข้ ฆ่าเหา ปวดข้อ คั้นน้ำทา แก้โรคเกาต์ แก้ท้องเสียในเด็ก แก้เหงือกบวม คั้นน้ำทาแก้แผลเรื้อรัง แก้กษัย ผสมยาอื่นแก้วัณโรค ผลดิบหรือแก่ รสเผ็ดร้อน สรรพคุณขับลม บำรุงธาตุ เจริญอาหาร ขับเลือด รอบเดือนของสตรี ฟอกโลหิต แก้คลื่นเหียนอาเจียน ผสมยาแก้สะอึก อมแก้เหงือกเปื่อยยุ่ย แก้เสียงแหบ แก้ร้อนในอก ผลสุก ของยาบ้าน มีกลิ่นแรง สรรพคุณผายลมในไส้ ต้น ใช้เป็นส่วนประกอบกับสมุนไพรอื่นเป็นยารักษาวัณโรค ดอก เป็นส่วนผสมของสมุนไพรตัวอื่นเป็นยารักษาวัณโรค แบบอย่าง/ขนาดการใช้ แก้อ้วกที่เกิดขึ้นมาจากธาตุผิดปกติ ใช้ผลดิบหรือห่าม(ยังไม่สุก) ฝานเป็นชิ้นบางๆปิ้ง หรือคั่วไฟอ่อนๆให้เหลือง ใช้ทีละ 2 กำมือ น้ำหนักราวๆ 10-15 กรัม ต้มหรือชงน้ำกินจิบแม้กระนั้นน้ำเสมอๆในเวลาที่มีลักษณะ หากดื่มทีละมากมายๆจะทำให้อาเจียน ใบสดใช้ต้มน้ำหรือนำมาบดตากแห้งชงเป็นชาดื่ม รวมถึงใส่แคปซูลรับประทาน ช่วยแก้กษัย แก้ปวดเมื่อยตามข้อมือข้อเท้า แก้ท้องเสีย ลดไข้ แก้ไอ ขับเสลด แก้จุกเสียดแน่นท้อง แก้โรคเบาหวาน ป้องกันโรคในระบบหัวใจ และเส้นเลือด แก้โรคมะเร็ง ดอกใช้ต้มน้ำกินหรือเอามาตากแห้งชงเป็นชาดื่ม แก้วัณโรค เบาหวาน ปกป้องโรคหัวใจ แล้วก็เส้นโลหิต ต้านโรคมะเร็ง เนื้อผลมีรสเผ็ดร้อน มีสารออกฤทธิ์เป็น asperuloside ใช้แก้อาเจียน ช่วยขับลมในกระเพาะ รวมทั้งไส้ ช่วยขับประจำเดือน แก้ระดูมาเปลี่ยนไปจากปกติ ช่วยลดไข้ แก้ไอ ขับเสลด รากเอามาต้มหรือดองสุรารับประทานเป็นยาระบาย แก้กระษัย ช่วยเจริญอาหาร คุ้มครองปกป้องโรคมะเร็ง โรคในระบบหัวใจ และก็หลอดเลือด ไอระเหยที่มาจากลูกยอ ใช้รักษากุ้งยิง ลูกยอดิบ ใช้รักษาลักษณะของการเจ็บ หรือแผลเป็นสะเก็ดรอบปากหรือด้านในปาก ลูกยอสุก ใช้กิน ลูกยอบดละเอียดใช้ล้างคอแก้คอเจ็บ ใช้ทาเท้าแก้เท้าแตก ใช้ทาผิวฆ่าเชื้อโรค หรือกินเพื่อฆ่าพยาธิในร่างกาย ช่วยรักษาโรคกรดไหลย้อน ด้วยแนวทางการทำเป็นเครื่องดื่ม ใช้คู่กับหัวหญ้าแห้วหมู สิ่งแรกให้เลือกลูกยอห่าม เอามาหั่นเป็นแว่นๆไม่บางหรือครึ้มกระทั่งเกินไป แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปย่างไฟอ่อนๆโดยปิ้งให้เหลืองกรอบ สำหรับหญ้าแห้วหมูให้เอาส่วนหัวใต้ดินที่พวกเราเรียกว่าหัวหญ้าแห้วหมู นำไปคั่วให้เหลืองและก็มีกลิ่นหอมสดชื่น เมื่อเสร็จแล้วให้ตั้งไฟต้มน้ำจนถึงเดือดแล้วเอาตัวยาทั้งสองประเภทลงไปต้มพร้อมกัน ใส่น้ำตาลกรวดพอหวาน ทิ้งเอาไว้สักพักแล้วชูลงจากเตา รอจนกระทั่งอุ่นแล้วเอามารับประทาน ที่เหลือให้กรองเอาแต่น้ำแช่ไว้ในตู้เย็นและก็หลังจากนั้นจึงค่อยอุ่นกิน ให้ดื่มต่อเนื่องกัน 1 อาทิตย์ช่วยแก้ลักษณะของการเจ็บคอ ด้วยการใช้ลูกยอดิบนำไปเผาไฟให้สุกแล้วก็แช่ลงไปในน้ำต้มสุก แล้วรินเอาแต่น้ำดื่มเพื่อบรรเทาอาการ วิธีการใช้ยอรักษาอาการคลื่นไส้ ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขมูลฐาน) นำผลยอดิบที่โตสุดกำลังแล้วมาฝานเป็นแผ่นบางๆหลังจากนั้นเอามาตากแห้ง แล้วคั่วในกระทะบนไฟอบอวลๆให้แห้งเกรียม เอามาบดเป็นผุยผง แล้วใช้ผงมาโดยประมาณ 20 กรัม ชงกับน้ำเดือดใหม่ๆ1 ลิตร แช่ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที กรองมัวแต่น้ำใส่กระติกที่มีไว้ใส่น้ำร้อนไว้ จิบน้ำยาประมาณ 30 มล. ทุก 2 ชั่วโมง เวลาคลื่นไส้ คลื่นไส้ การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่เกี่ยวกับแก้อ้วก อ้วก การศึกษาการใช้น้ำผลยอสำหรับการยับยั้งอาเจียน โดยเปรียบเทียบกับยา metoclopramide ซึ่งเป็นยาแก้อาเจียน และน้ำชาซึ่งใช้ในกรุ๊ปควบคุม ในคนป่วยไข้มาลาเรีย 92 ราย ที่มีลักษณะอาการคลื่นไส้อาเจียน ชาย 68 ราย หญิง 24 ราย อายุระหว่าง 15 -55 ปี แบ่งเป็นกรุ๊ปใช้น้ำผลยอ 30 มล. รับประทานทุก 2 ชั่วโมง กลุ่มที่ 2 รับประทานน้ำชา 30 มล. ทุก 2 ชั่วโมง แล้วก็กรุ๊ปที่ 3 ใช้ยา metoclopramide 1 เม็ด (5 มิลลิกรัม) เวลามีลักษณะอาการอ้วกอาเจียนทุก 4 ชั่วโมง เขียนบันทึกปริมาณครั้งการอาเจียนก่อนและก็หลังการให้ยาทุกราย จากการเรียนรู้พบว่าค่าเฉลี่ยปริมาณครั้งการอาเจียนก่อนให้ยา 3 กรุ๊ป มีค่าไม่ได้ต่างอะไรกัน แต่จำนวนการอ้วกกลุ่มที่ใช้ยา metoclopramide มีน้อยที่สุดรองลงมาเป็นยอ รวมทั้งชามีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด แปลว่ายอลดอาการอ้วกได้มากกว่าน้ำชา เมื่อเรียนกลไกการออกฤทธิ์พบว่าผลยอมีฤทธิ์ต่อต้าน dopamine อย่างอ่อน สารสกัดน้ำของผลยอสามารถรีบการบีบตัวของลำไส้เล็กในหนูเม้าส์ที่ได้ถูกกระตุ้นให้อ้วกด้วย apomorphine แต่ว่าไม่สามารถที่จะต้านทานฤทธิ์ของ apomorphine สำหรับในการลดการบีบตัวของกระเพาะได้ ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย (Antibacterial activity) มีรายงานว่าสาร acubin L-asperuloside รวมทั้ง alizarin ในผลลูกยอเป็น antibacterial agent สามารถคุ้มครองปกป้องการตำหนิดเชื้อแบคทีเรียต่างๆได้ ดังเช่นว่า Pseudomonas aeruginosa Proteus morgaii S Staphylococcus aureus Bacillus subtilis Escherichia coil Salmonella และก็ Shigella ฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัส (Antitviral activity) มีรายงานการศึกษาค้นพบสารจากรากของต้นยอชื่อว่า 1-methoxy-2-formyl-3-hydroxy anthraquinone ซึ่งมีฤทธิ์สำหรับในการยังยั้งการเกิด cytopathic effect ของเชื้อ HIV ต่อการ infect MT4 cell โดยไม่มีการขัดขวางการเติบโตของเซลล์ ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อวัณโรค (Antitubercular effects) มีการรายงานพบว่าลูกยอสามารถกำจัดการต่อว่าดเชื้อวัณโรคได้ถึง 97% เปรียบเทียบกับยา antibiotic ดังเช่น Rifampcin ฤทธิ์ระงับความปวด (Analgesic activity) มีแถลงการณ์ว่าสารสกัดจากรากยอมีฤทธิ์หยุดปวดในสัตว์ทดสอบ และผลการวิจัย โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.ทัศนีย์ ปัญจานนท์ พบว่าสารสกัดจากผลยอไทยมีฤทธิ์หยุดปวดในสัตว์ทดสอบ (https://www.img.live/images/2018/07/03/e640af980d713871.jpg)[/b] การเล่าเรียนทางพิษวิทยา การทดลองความเป็นพิษ สารสกัดเอทานอลกับน้ำ (1:1) จากส่วนเหนือดินฉีดเข้าทางท้องหนูพบว่า ค่า LD50 พอๆกับ 0.75 กรัม/กิโลกรัม สารสกัดเมทานอลกับน้ำจากผลฉีดเข้าทางท้องหนูเพศผู้พบว่า ค่า LD50 มีค่ามากกว่า 1 ก./กิโลกรัมน้ำหนักตัว ส่วนอีกการทดลองพบว่า สารสกัดเอทานอลกับน้ำ (1:1) จากส่วนเหนือดินขนาด 10 ก./กก. ให้ทางสายยางสู่กระเพาะหนูหรือฉีดเข้าใต้ผิวหนังไม่แสดงความเป็นพิษ การทดลองพิษครึ่งเรื้อรังในหนูแรทโดยป้อนสารสกัดจากผลยอ ไม่พบความแตกต่างจากปกติอะไรก็แล้วแต่ในค่าตรวจทางวิชาชีวเคมีในเลือด รวมทั้งค่าตรวจทางโลหิตวิทยา ยิ่งไปกว่านี้การทดลองความเป็นพิษโดยใช้สารสกัดด้วยน้ำจากผลยอแห้ง ก็ไม่พบความเป็นพิษทั้งแบบกะทันหันแล้วก็แบบเรื้อรัง พิษต่อเซลล์ น้ำคั้นจากผลขนาด 6.25 มิลลิกรัม/มิลลิลิตรทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่ามีความเป็นพิษต่อเซลส์ CAa-IIC ในช่วงเวลาที่สารสกัดเม-ทานอลจากใบ ทดลองในเซลล์เพาะเลี้ยง ไม่เจอความเป็นพิษต่อเซลล์ CFI IS-RA II สารสกัดคลอโรฟอร์มและน้ำจากรากทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่ามีผลต่อความเคลื่อนไหวรูปร่างของเซลล์ ในตอนที่สารสกัดเฮกเซนและก็เมทานอลจากรากไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเซลล์ ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์จากผลไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ เมื่อทดลองใน Bacillus subtilis ข้อเสนอ/ข้อควรระวัง
Tags : ยอ,
|