หัวข้อ: ย่านาง เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณ เเละ ประโยชน์ที่น่าทึ่ง ดังนี้ เริ่มหัวข้อโดย: numtanf225611 ที่ กรกฎาคม 09, 2018, 12:00:04 pm (https://www.img.live/images/2018/07/03/753dbf684c18e9c2.jpg)[/b]
ย่านาง[/size][/b] ชื่อสมุนไพร ย่านาง ชื่ออื่นๆ/ชื่อเขตแดน จอยนาง , จ้อยนาง (ภาคเหนือ) , เถาย่านาง , เถาวัลย์เขียว , ต้นหญ้าน้องสาว (ภาคกึ่งกลาง) , บริเวณนาง , นางวันยอ , ขันยอยาด (ภาคใต้) ชื่อวิทยาศาสตร์ Tiliacora triandra (Colebr.) Diels, สกุล Menispermaceae ถิ่นเกิด ย่านางมีบ้านเกิดในตรงกลางของเอเซียอาคเนย์ ดังเช่นว่า ในประเทศ พม่า , ไทย , ลาว , กัมพูชา ความจริงแล้วพืชตระกูลย่านางนี้มีราว 70 เครือญาติ แต่ส่วนใหญ่เป็นไม้เลื้อยในป่าเขตร้อนแล้วก็ในป่าดงผลัดใบในทวีปเอเชียและอเมริกาเหนือ ส่วนย่านางของพวกเรานั้นเจอขึ้นตามป่าผลัดใบ ป่าดงดิบ แล้วก็ป่าโปร่ง ในทุกภาคของประเทศไทย แต่ในปัจจุบันได้มีการนำมาปลูกใบบริเวณบ้าน เพื่อใช้บริโภคแล้วก็ใช้เป็นยาสมุนไพรกันอย่างแพร่หลาย ลักษณะทั่วไป ย่านางเป็นไม้เถาเลื้อย เถากลมขนาดเล็ก มีแก่นไม้ เลื้อยพระอินทร์มต้นไม้ หรือกิ่งไม้ เถามีสีเขียว ยาว 10-15 เมตร เถาอ่อนสีเขียว เมื่อเถาแก่จะมีสีคล้ำ แตกเป็นแนวถี่ เถาอ่อนมีขนนุ่มสีเทา มีเหง้าใต้ดิน กิ่งก้านมีรอยแผลเป็นรูปจานที่ก้านใบหลุดไป มีขนกระจาย หรือหมดจด ใบลำพัง หนา สีเขียวเข้มวาว เรียงแบบสลับ รูปไข่ ยาวโดยประมาณ 6-12 เซนติเมตร กว้างประมาณ 4-6 เซนติเมตร ขอบของใบเรียบ ปลายใบแหลม ฐานใบมน ผิวใบเป็นคลื่นน้อย ก้านใบยาวประมาณ 1.5 ซม. ผิวใบเรียบมัน ไม่มีหูใบ เนื้อใบคล้ายกระดาษ แต่แข็ง เหนียว มีเส้นใบครึ่งหนึ่งออกจากโคนใบรูปฝ่ามือ 3-5 เส้น แล้วก็มีเส้นกิ่งก้านสาขาใบ 2-6 คู่ เส้นกลุ่มนี้จะไปเชื่อมกันที่ขอบใบ เส้นกลางใบด้านล่างจะร่นละเอียดใกล้ๆโคน ขนสะอาด ก้านใบผิวย่นละเอียด ดอกออกเป็นช่อเล็กๆแบบแยกกิ้งก้านตามข้อและก็ซอกใบ มีดอก 1-3 ดอก สีเหลือง ก้านช่อดอกยาวราว 0.5 เซนติเมตร แยกเป็นช่อดอกเพศผู้รวมทั้งช่อดอกเพศภรรยา ดอกเพศผู้สีเหลือง กลีบเลี้ยงมี 6-12 กลีบ กลีบวงนอกสุดมีขนาดเล็กที่สุด กลีบวงในมีขนาดใหญ่กว่าและเรียงซ้อนกัน รูปรีกว้าง ยาว 2 มม. ค่อนข้างจะสะอาด กลีบมี 3 หรือ 6 กลีบ สอบแคบ ปลายเว้าตื้น ยาว 1 มม. หมดจด เกสรเพศผู้มี 3 อัน เป็นรูปตะบอง ยาว 1.5-2 มม. ดอกเพศภรรยา กลีบเลี้ยงวงในรูปกลม ยาว 2 มม. ด้านนอกมีขนกระจาย กลีบดอกมี 6 กลีบ รูปรีปนขอบขนาน ยาว 1 มิลลิเมตร เกสรเพศเมียมี 8-9 อัน แต่ละอันยาวไม่ถึง 1 มิลลิเมตร ติดอยู่บนก้านยกสั้นๆยอดเกสรเพศเมียไม่มีก้าน ผลได้ผลกรุ๊ป ผลกลมรูปไข่กลับ กว้าง 6-7 มิลลิเมตร ยาว 7-10 มม. ผิวเกลี้ยง มีเม็ดแข็ง ผลสีเขียว ฉ่ำน้ำ ออกเป็นพวง ตามข้อและก็ซอกใบ ติดบนก้านยาว 3-4 มิลลิเมตร เมื่อสุกจะกลายเป็นสีส้มและก็สีแดงสด เมล็ดรูปเกือกม้า ฝาผนังผลชั้นในมีสันไม่เป็นระเบียบ ออกดอกตอนเดือนมีนาคมถึงเมษายน การขยายพันธุ์ ย่านางเป็นพืชที่เจริญรุ่งเรืองได้ ในดินดูเหมือนจะทุกประเภท ถูกใจดินร่วนผสมทรายจะก้าวหน้าได้ดิบได้ดี การปลูกในฤดูฝน จะเติบโตได้ดีมากว่า จะเจริญงอกงามเร็วกว่าปลูกในตอนอื่น ย่านางที่ปลูกง่ายขึ้นง่าย ดูแลรักษาง่าย ไม่ต้องดูแลมากมาย ทนความแห้งได้ดี ส่วนการขยายพันธุ์สามารถแพร่พันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ด หรือการแยกเหง้าปลูก แต่ว่าแนวทางที่เป็นที่นิยมในขณะนี้ คือ การเพาะเมล็ด เม็ดย่านางจะมีอัตราการงอกของเม็ดสูง แต่จำเป็นต้องใช้เม็ดที่แก่เต็มที่ที่มีลักษณะสีดำ ซึ่งควรที่จะนำมาตากแห้ง 5-7 วัน ก่อนปลูก การปลูกด้วยการหยอดเม็ดต้องระมัดระวังอย่าขุดหลุมลึก เนื่องจากว่าจะมีผลให้เม็ดเน่าได้ง่าย ส่วนการดูแลและรักษาย่านางไม่มียุ่งยากมาก เพราะย่านางจะเติบโตเจริญ ในดินมีความชุ่มชื้นเพียงพอ และก็สามารถเติบโตได้หากแม้จะมีวัชพืชขึ้นครึ้ม เนื่องจากต้นย่านางจะสร้างเถาเลื้อยอยู่ข้างบนพืชประเภทอื่น สำหรับหัวข้อการให้ปุ๋ยย่านางนั้นไม่สำคัญ ถ้าดินมีสภาพอินทรีย์วัตถุที่พอเพียง พวกเราสามารถใช้เพียงแต่ปุ๋ยธรรมชาติจากมูลสัตว์ 1 ถัง/ต้น ก็พอเพียง แต่หากจะให้ใบเขียวเข้มมากขึ้นเรื่อยๆ บางทีอาจต้องใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 16-8-8 หรือปุ๋ยยูเรียเพิ่มในอัตรา 50-100 กรัม/ต้น หรือประมาณ 1 กำมือ สำหรับต้นที่แตกเถายาว ส่วนต้นขนาดเล็กจำต้องปรับจำนวนลดน้อยลง แล้วนำต้นกล้าที่ได้มาปลูกภายในแปลงดิน ให้มีระยะห่างระหว่างต้นราว 1×1 เมตร และก็เมื่อต้นเริ่มเลื้อยเลื้อย ให้ทำหลักปักไว้ ทำค้างให้เถาเลื้อยขึ้น การเก็บผลิตผลย่านาง จะเริ่มเก็บผลผลิตใบย่านาง ใช้เวลาราว 2-3 เดือน หลังปลูกภายในแปลง ใบมีขนาดโตสุดกำลังมีสีเขียว จะสามารถเก็บเกี่ยวใบย่านางได้ และจะเก็บได้ตลอดกาลเรื่อยๆ ส่วนประกอบทางเคมี สาระสำคัญที่เจอในใบย่านางส่วนใหญ่จะเป็นสารกลุ่มฟินอลิก (phenolic compound) อย่างเช่น ไม่เนโคไซด์ (Minecoside), กรดพาราไฮดรอกซีเบนโซอิก (p-hydroxy benzoic acid) และสารในกลุ่มฟลาโวนไกลโคไซด์ ดังเช่น สารโมโนอีพอกซีเบตาแคโรทีน (moonoepoxy-betacarotene) แล้วก็อนุพันธ์ของกรดซินนามิก (flavones glycosidf cinnamic acid derivative) ส่วนสารอัลาลอยด์ (alkaloid) ดังเช่นว่า ทิเรียโครีน (tiliacorine) , ทิเรียวัวลินิน (Tiliacorinine) , นอร์ทิเรียวัวรินิน (nor-tiliacorinine) , tiliacorinin 2,-N-oxide Tiliandrine , Tetraandrine และก็ D-isochondendrine เจอได้ในราก และก็ใบย่านาง แล้วก็การเรียนรู้องค์ประกอบหลักที่มีฤทธิ์ต้านทานมาลาเรียจากรากย่านาง โดยสกัดรากด้วยตัวทำละลาย chloroform:methanol:ammonium hydroxide ในอัตราส่วน (50:50:1) ใช้วิธีแยกสารด้วย column chromatography รวมทั้งการตกผลึก พบว่าได้สารประกอบ alkaloid 2 จำพวกหมายถึงtiliacorinine (I) รวมทั้ง tiliacorine (II) ปริมาณ 0.0082% และก็ 0.0029% ตามลำดับ ส่วนค่าทางโภชนาการของย่านางนั้นมีดังนี้ - พลังงาน 95 กิโลแคลอรี - เส้นใย 7.9 กรัม - แคลเซียม 155.0 กรัม - ฟอสฟอรัส 11.0 มก. - เหล็ก 7.0 มิลลิกรัม - วิตามินเอ 30625 (IU) - วิตามินบีหนึ่ง 0.03 มิลลิกรัม Minecoside - วิตามินบีสอง 0.36 มก. - ไนอาซิน 1.4 มก. - วิตามินซี 141.0 มก. - เถ้า 8.46% - ไขมัน 1.26% - โปรตีน 15% Tiliacorine - น้ำตาลทั้งหมด 59.47% - แคลเซียม 1.42% - ธาตุฟอสฟอรัส 0.24% - โพแทสเซียม 1.29% - กรดยูเรนิค 10.12% - โมโนแซคค้างไรด์ - แรมโนส 0.50% - อะราบิโนส 7.70% หน่วยเปอร์เซ็นต์ (ใบย่านาง 100 กรัม/น้ำหนักแห้ง) tiliacorinine - กาแลคโตส 8.36% - เดกซ์โทรส 11.04% - ไซโลส 72.90% คุณประโยชน์/คุณประโยชน์ ใบย่านางเป็นสมุนไพรเย็น มีคลอโรฟิลล์สดจากธรรมชาติ และยังมีวิตามินที่จำเป็นต่อสภาพร่างกายอีกเยอะมาก อาทิเช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เบต้าแคโรทีนในจำนวนค่อนข้างสูง โดยเป็นสมุนไพรที่คนอีกหลายคนต่างก็รู้จักดีกันดี ด้วยเหตุว่านิยมเอามาเป็นเครื่องปรุงรสช่วยเพิ่มความกลมกล่อมของของกิน ยกตัวอย่างเช่น แกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้ แกงเลียง แกงหวาน ประโยชน์ย่านางที่ใช้เป็นของกินมีดังนี้ ใบย่านาง เก็บบริโภคได้ตลอดปี ยอดอ่อนแตกใบมากในช่วงฤดูฝน ยอดอ่อนของเถาย่านางใช้กินแกล้มแนมกับของกินเผ็ด คนไทยอีสานรวมทั้งชาวลาวใช้ใบย่านางคั้นเอาน้ำประกอบอาหารต่างๆทำให้น้ำซุปข้นขึ้น ได้แก่ แกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้ ย่านางสามารถลดฤทธิ์กรดยูริกในหน่อไม้ได้ ลดความขมของหน่อไม้ และก็เพิ่มคลอโรฟิลล์และก็อนุภาคเบตาแคโรทีนให้กับอาหารดังกล่าว ยิ่งไปกว่านี้ยังใส่น้ำคั้นใบย่านางในแกงเห็ด ต้มเลอะเทอะ แกงขี้เหล็ก แกงขนุน แกงผักอีลอก แกงยอดหวาย แกงอีลอก นำไปอ่อมแล้วก็หมก ชาวใต้ใช้ยอด ใบเพสลาด (หมายคือใบที่ไม่อ่อน ไม่แก่เหลือเกิน) นำไปแกงเลียง แกงหวาน แกงขี้เหล็ก น้ำคั้นจากใบช่วยลดความขมของใบขี้เหล็กได้ ยิ่งไปกว่านี้ยังนำไปผัด แกงน้ำกะทิ แล้วก็หั่นซอกซอยรับประทานอาหารยำได้อีก ผลสุกใช้กินเล่น ส่วนชาวเหนือใช้ยอดย่านางอ่อนนำมาลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริก ใบแก่คั้นน้ำนำมาใส่แกงประจำถิ่น ได้แก่ แกงหน่อไม้ แกงแค ส่วนสรรพคุณทางยาของย่านาง คือ ตำราเรียนยาไทย ใช้ ราก รสจืด รสจืดขม ใช้ในตำรับยาแก้ไข้ห้าโลกวชิระ (ประกอบด้วยรากย่านาง รวมกับรากเท้ายายม่อม รากมะเดื่อชุมพร รากคนทา รากชิงชี่ อย่างละเท่าๆกัน) แก้ไข้ (ใช้รากแห้งครั้งละ 1 กำมือ หรือราว 15 กรัม ต้มกับน้ำดื่มก่อนกินอาหารเช้า ช่วงเวลากลางวัน เย็น) แก้พิษเมาเบื่อ กระทุ้งพิษไข้ แก้เมาสุรา ทำลายพิษผิดสำแดง เอามาต้มกินเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น แก้ไข้ ขับพิษต่างๆแก้ท้องผูก ปรุงยาแก้ไข้รากสาด ไข้กลับ ไข้หัว ไข้พิษ ไข้สันนิบาต ไข้ป่าเรื้องรัง ไข้ทับรอบเดือน บำรุงหัวใจ บำรุงธาตุ แก้พิษข้างในให้ตกสิ้น แก้โรคหัวใจบวม แก้กำเดา แก้ลม แก้ไข้จับสั่น แก้เมาสุรา รากผสมกับรากสุนัขน้อย ต้มกินแก้ไข้มาลาเรีย ลำต้น รสจืดขม ถอนพิษผิดสำแดง รักษาพิษไข้ แก้ไข้ตัวร้อน แก้ไข้พิษ แก้ไข้รากสาด ไข้ดำแดง ไข้ไข้ทรพิษ ไข้เซื่องซึม ไข้กลับไข้ซ้ำ แก้ลิ้นเป็นฝ้าขาว แก้ลิ้นแข็งกระด้าง รักษาโรคปวดข้อ ก้านที่มีใบผสมกับพืชอื่นใช้เป็นยาแก้ท้องเดิน ใบ รสจืดขม กินถอนพิษ แก้ไข้ แก้ไข้รากสาด ไข้พิษ ไข้เซื่องซึม ไข้หัว ไข้พิษ ปวดหัวตัวร้อน อีสุกอีใส หัด ลิ้นหยาบคางแข็ง เป็นยากวาดคอ แก้ไข้โรคฝีดาษ ไข้ดำแดง ส่วนอีกหนังสือเรียนหนึ่งกล่าวว่า ราก นำรากมาต้มดื่มแก้ร้อนใน แก้ดับหิว บรรเทาอาการไข้ ไข้รากสาด อีสุกอีใส โรคฝีดาษ ทำลายพิษแฮงค์ เมาสุรา บรรเทาอาการท้องผูก ท้องเสีย บำรุงหัวใจ ถอนพิษ และก็ลดพิษจากพืช สัตว์ แล้วก็สารเคมีภายในร่างกาย ลำต้น ลำต้นนำมาต้มหรือบดคั้นน้ำ ทุเลาอาการไข้จำพวกต่างๆลดพิษร้อน พิษจากพืช เห็ด รวมทั้งลดพิษยาฆ่าแมลงในร่างกาย ใบ นำใบมาบดคั้นน้ำสด หรือนำมาต้มน้ำ รวมทั้งใบตากแห้งอัดใส่แคปซูลกิน มีฤทธิ์ในทางยาหลายด้าน อาทิเช่น บรรเทาอาการร้อนใน บรรเทาอาการป่วย ตัวร้อน บรรเทาไข้รากสาด ไข้โรคฝีดาษลดพิษยากำจัดแมลงภายในร่างกาย และก็ทำลายพิษอื่นๆ ภาคอีสานใช้รากต้มเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น และใช้รากยานางผสมรากหมาน้อย ต้มแก้ไข้มาลาเรีย บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์วิชาความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ กำหนดการใช้ย่านางในตำรับ “ยาห้าราก” มีส่วนประกอบของรากย่านางร่วมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆในตำรับ มีคุณประโยชน์บรรเทาอาการไข้ ส่วนทางด้านการแพทย์แผนปัจจุบันกล่าวว่า ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของย่านาง โดยพบว่าย่านางมีฤทธิ์ลดไข้ ยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไข้จับสั่น Plasmodium falciparum แก้ปวด ลดระดับความดันโลหิต ต้านทานเชื้อจุลชีวัน ต้านการแพ้ ลดการยุบเกร็งของลำไส้ ต่อต้านการก้าวหน้าของเซลล์มะเร็ง ยับยั้งเอนไซม์ acetylcholinesterase แล้วก็มีฤทธิ์อย่างอ่อนๆสำหรับเพื่อการต้านอนุมูลอิสระ และยังมีคุณลักษณะกระตุ้นการเพิ่มปริมาณของเซลล์เม็ดเลือดขาวคราว-ลิมโฟซัยท์ (T-lymphocyte) ต้านจุลชีพ Staphylococcus aureus, Bacillus cereus, Escherichia coli แล้วก็ Salmonellaspp. รวมทั้งยังมีคุณสมบัติกระตุ้นการเพิ่มจำนวนของเซลล์เม็ดเลือดขาวครั้ง-ลิมโฟซัยท์ (T-lymphocyte) ต้านจุลชีวิน Staphylococcus aureus, Bacillus cereus, Escherichia coli และ Salmonella spp. ต้านไข้ แล้วก็ต้านทานอนุมูลอิสระ ใบย่านางปราศจากอันตรกิริยา (interaction) กับยารักษาโรคเรื้อรังเป็นต้นว่า โรคหัวใจแล้วก็หลอดเลือด โรคกระดูกแล้วก็ข้อเบาหวาน โรคระบบทางเท้าหายใจ รูปแบบ/ขนาดวิธีการใช้ แก้ไข้ ใช้รากย่านางแห้ง 1 กำมือ ประมาณ 15 กรัม ต้มกับน้ำ 2 แก้วครึ่ง เคี่ยวให้เหลือ 2 แก้ว ให้ดื่มครั้ง1-2 แก้ว ก่อนที่จะรับประทานอาหาร 3 เวลา แก้ป่วง (ปวดท้องเพราะทานอาหารผิดสำแดง)ใช้รากย่านางแดงรวมทั้งรากมะปรางหวาน ฝนกับน้ำอุ่น แต่ไม่ถึงกับข้น ดื่มครั้งละ 1-2 แก้วต่อครั้ง วันละ 3-4 ครั้ง หรือทุกๆ2 ชั่วโมง ถ้าไม่มีรากมะปรางหวาน ก็ใช้รากย่านางแดงอย่างเดียวก็ได้ หรือถ้าเกิดให้ดีขึ้น ใช้รากมะขามฝนรวมด้วย ถอนพิษเบื่อเมาในของกิน อาทิเช่น เห็ด กลอย ใช้รากย่านางต้นและใบ 1 กำมือ ตำผสมกับข้าวสารเจ้า 1 จับมือ เพิ่มเติมน้ำคั้นให้ได้ 1 แก้ว กรองด้วยผ้าขาวบาง ใส่เกลือแล้วก็น้ำตาลน้อยพอเพียงดื่มง่ายให้หมดอีกทั้งแก้ว ทำให้คลื่นไส้ออกมา จะช่วยให้ดีขึ้น ดับพิษร้อน ทำลายพิษไข้ ใช้หัวย่านางเคี่ยวกับน้ำ 3 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วนดื่มทีละ 1-2 แก้ว การใช้เป็นยาพื้นบ้านในภาคอีสาน ใช้ราก ต้มเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น ใช้รากย่านางผสมรากสุนัขน้อย ต้มแก้ไข้ไข้มาลาเรีย ใช้ราก ต้มขับพิษต่างๆ น้ำย่านางเมื่อนำมาผสมกับดินสอพองหรือปูนเคี้ยวหมากผสมจนกระทั่งเหลว สามารถเอามาทา สิว ฝ้า ตุ่มคัน ตุ่มใส ผื่นคัน พอกฝีหนองได้อีกด้วย (https://www.img.live/images/2018/07/03/ab3592687f09ae6c.jpg) การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา ฤทธิ์ต้านเชื้อไข้มาลาเรีย เรียนฤทธิ์ต้านเชื้อไข้จับสั่น Plasmodium falciparum ของสารสกัดรากย่านางด้วยเมทานอล ซึ่งสารสกัดมีสาร alkaloid เป็นส่วนประกอบ 2 ส่วนสกัด คือส่วนที่ละลายน้ำ และก็ส่วนที่ไม่ละลายน้ำ พบว่าเฉพาะสาร alkaloid ที่ไม่ละลายน้ำ (water-insoluble alkaloid) มีฤทธิ์เพิ่มการยับยั้งเชื้อไข้จับสั่น จากองค์ประกอบทางเคมีที่แยกได้ พบสาร alkaloid ที่ไม่เหมือนกัน 5 จำพวก ในกลุ่ม bisbenzyl isoquinoline ได้แก่ tiliacorine, tiliacorinine, nor-tiliacorinine A, และก็สาร alkaloid ที่ไม่สามารถที่จะเจาะจงโครงสร้างได้เป็นG และ H ซึ่งพบว่าสาร alkaloid G มีฤทธิ์สูงสุดสำหรับเพื่อการกำจัดเชื้อไข้จับสั่นระยะ schizont (เป็นระยะที่เชื้อมาลาเรียเข้าสู่เซลล์ตับ แล้วเปลี่ยนรูปร่างเป็นกลมรี และก็มีขนาดใหญ่ขึ้น มีการแบ่งนิวเคลียสเป็นหลายๆก้อน) โดยมีค่า ID50 พอๆกับ 344 ng/mL ตามด้วย nor-tiliacorinine A รวมทั้ง tiliacorine ตามลำดับ (ID50s พอๆกับ 558 และก็ 675 mg/mL ตามลำดับ) ฤทธิ์ยับยั้งเชื้อวัณโรค สาร bisbenzylisoquinoline alkaloids 3 ประเภท เป็นต้นว่า tiliacorinine, 20-nortiliacorinine แล้วก็ tiliacorine ที่แยกได้จากรากย่านาง และอนุพันธ์สังเคราะห์ 1 จำพวก คือ 13҆-bromo-tiliacorinine สารทั้ง 4 ชนิดนี้ ได้นำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อวัณโรคสายพันธุ์ดื้อยา multidrug-resistant Mycobacterium tuberculosis (MDR-MTB) ผลการทดลองพบว่า สารทั้ง 4 ชนิด มีค่า MIC อยุ่ระหว่าง 0.7 - 6.2 μg/ml แต่ที่ค่า MIC เท่ากับ 3.1 μg/ml เป็นค่าที่สามารถยั้ง MDR-MTB ได้เยอะมากๆที่สุด ฤทธิ์ต้านโรคมะเร็ง การศึกษาเล่าเรียนฤทธิ์ยับยั้งเซลล์ของมะเร็งท่อน้ำดี ในหลอดทดสอบ แล้วก็ในสัตว์ทดสอบ โดยเรียนผลของสาร tiliacorinine ซึ่งเป็นสาร กลุ่ม alkaloid ที่เจอในย่านาง สำหรับในการทดสอบ in vivo ทำในหนูถีบจักร เพื่อมองผลลดการเจริญของก้อน เนื้องอกในหนูที่ได้รับเซลล์มะเร็งท่อน้ำดี และสาร tiliacorinine ผลของการทดลองพบว่า tiliacorinine มีนัยสำคัญสำหรับในการยั้งการเพิ่มจำนวนของเซลล์ของมะเร็งท่อน้ำดีในหลอดทดลอง โดยมีค่า IC50 พอๆกับ 4.5-7 µM โดยกลไกการกระตุ้นขั้นตอน apoptosis ซึ่งเป็นวิธีการสำหรับในการกำจัดเซลล์ผิดปกติ และก็เซลล์ของโรคมะเร็งภายในร่างกาย และก็การทดลองในหนูพบว่าสามารถลดการก้าวหน้าของเนื้องอกในหนูได้ การทดลองฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระของผักพื้นเมืองไทย ปริมาณ 6 จำพวก เป็นต้นว่า ผักเราด ผักติ้ว ผักปลังขาว ย่านาง ผักเหมียง และผักหวานบ้าน โดยการสกัดสารสำคัญด้วยแอลกอฮอล์จากผักแต่ละจำพวก ทดลองฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระของสารสกัดจากผักอีกทั้ง 6 จำพวกเปรียบเทียบกับตัวควบคุม วิตามินซี รวมทั้งวิตามินอี สารสกัดจากย่านางส่วนที่ละลายน้ำและก็ส่วนที่ไม่ละลายน้ำให้ค่า IC50 499.24 รวมทั้ง 772.63 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ตามลำดับ เมื่อเทียบกับค่าที่ได้จากวิตามินซี และก็วิตามินอีที่ IC50 9.34 และ 15.91 ไมโครกรัม/มล. เป็นลำดับ งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งในประเทศไทยตรวจทานฤทธิ์หยุดปวดและก็ฤทธิ์ต้านทานการอักเสบของผักพื้นบ้านอีสาน 10 จำพวก การตรวจหาฤทธิ์ระงับปวดโดยใช้ writhing test และก็ tail flick test สำหรับการตรวจฤทธิ์ต้านทานอักเสบ ใช้ rat hind paw edema model ผลของการทดลองใช้สารสกัดพืชผักประจำถิ่นด้วยน้ำ ขนาด 1 กรัมต่อน้ำหนักตัวของหนูเพศผู้ 1 กก. พบว่าสารสกัดจาก ใบตำลึง ใบย่านาง ผักติ้วแดง ผักกาดฮีน มะระขี้นก ผักชะพลู แล้วก็ผักชีลาว มีผลลดการเกิด writhing ในหนูปริมาณร้อยละ 35-64 (p<0.05) การทดสอบฤทธิ์หยุดปวดด้วย tail flick test พบว่าสารสกัดจากใบตำลึงรวมทั้งใบย่านางมีฤทธิ์ยับยั้งปวด แล้วหลังจากนั้นเลือกเฟ้นสารสกัดที่มีฤทธิ์สูงที่สุด 4 จำพวก ตัวอย่างเช่น ใบตำลึง ใบย่านาง ผักติ้วแดง และก็ผักกาดฮีนมาทำทดลองฤทธิ์ต้านทานการอักเสบโดยใช้คาราจีแนนเป็นสารระตุ้น พบว่าสารสกัดทั้งยัง 4 ประเภทไม่มีฤทธิ์ต้านทานอักเสบในสัตว์ทดลอง ผู้ศึกษาค้นคว้าและวิจัยมั่นใจว่าสารสกัดจากใบตำลึงแล้วก็ใบย่านางบางครั้งก็อาจจะออกฤทธิ์ยับยั้งปวดต่อระบบประสาท ส่วนงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลในห้องทดลองขั้นต้นพบว่า สารสกัดใบย่านางมีฤทธิ์กระตุ้นรูปแบบการทำงานของรีเซ็ปเตอร์ที่ขนคอเลสเตอรอลเข้าสู่ตับ แต่ไม่เคยทราบว่าจะมีผลลดคอเลสเตอรอลในเลือดของระบบร่างกายหรือไม่ การศึกษาและทำการค้นพบนี้บางทีอาจเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของย่านางที่ใช้รักษาโรคหัวใจมาแต่ว่าโบราณได้ ถ้าหากแม้กระนั้นควรมีการเรียนรู้เพิ่มอีกถัดไป จากการทดลองฤทธิ์ลดไข้ของสารสกัด 50% เอทานอลจากรากย่านาง เมื่อนำไปสำรวจฤทธิ์สำหรับในการลดไข้ พบว่าไม่มีคุณสมบัติสำหรับเพื่อการลดไข้แต่มีพิษต่อสัตว์ทดสอบ การศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยทางเคมีได้แยกอัลคาลอยด์ ออกมาสองจำพวกหมายถึงอัลคาลอยด์ที่ไม่ละลายน้ำ(water-insoluble alkaloids) และก็อัลคาลอด์ที่ละลายน้ำ (water-soluble quarternary base) เมื่อตรวจสอบฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของอัลคาลอยด์ที่แยกได้ พบว่าการเกิดพิษต่อสัตว์ทดสอบเกิดขึ้นได้เนื่องมาจาก water-soluble quarternary base ซึ่งมีฤทธิ์คล้าย curare จากการตรวจค้นสูตรโครงสร้างสรุปได้ว่า water-soluble quarternary base นี้อาจอยู่ในจำพวก aporphine alkaloids การเรียนรู้ทางพิษวิทยา พิษทันควัน รวมทั้งครึ่งหนึ่งเรื้อรังของย่านาง ศึกษาพิษกะทันหันของสารสกัดน้ำจากทุกส่วนของย่านาง โดยการป้อนสารสกัด ในหนูเพศผู้ แล้วก็เพศภรรยา ชนิดละ 5 ตัว ในขนาด 5,000 mg/kg เพียงแต่ครั้งเดียว พบว่าไม่มีอาการแสดงของภาวการณ์เป็นพิษเกิดขึ้น และ ไม่มีการแสดงความประพฤติปฏิบัติที่เปลี่ยนไปจากปกติ รวมทั้งไม่มีการถึงแก่กรรม หรือความเคลื่อนไหวของเนื้อเยื่อภายใน สารสกัดใบย่านางด้วยแอลกอฮอล์ร้อยละ 50 ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนังของหนู ปริมาณ 10 กรัม ต่อน้ำหนักตัวของหนู 1 กก. (คิดเป็นจำนวน 6,250 เท่าของปริมาณที่คนได้รับ) ไม่แสดงความเป็นพิษ การเรียนพิษเรื้องรัง ทดลองโดยป้อนสารสกัดแก่หนูทดลอง เพศผู้ และเพศเมีย จำพวกละ 10 ตัว ทุกวัน ในขนาดความเข้มข้น 300, 600 แล้วก็ 1,200 mg/kg ติดต่อกันเป็นเวลานาน 90 วัน ไม่เจอความไม่ดีเหมือนปกติทางด้านการกระทำ รวมทั้งสุขภาพ หนูในกลุ่มทดลอง แล้วก็กรุ๊ปควบคุม จะมีการทดลองในวันที่ 90 และก็ 118 โดยตรวจร่างกาย รวมทั้งมีกรุ๊ปที่ติดตามผลถัดไปอีก 118 วัน ผลการทสอบพบว่า น้ำหนักของอวัยวะ ค่าวิชาชีวเคมีในเลือด รวมทั้งเนื้อเยื่ออวัยวะภายใน ไม่พบการเกิดพิษ ผลการศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่า สารสกัดย่านางด้วยน้ำ ไม่ทำให้เกิดพิษรุนแรง รวมทั้งพิษกึ่งเรื้อรังในตัวทดลอง ทั้งในหนูเพศผู้ และเพศเมีย คำแนะนำ/ข้อควรคำนึง
|