หัวข้อ: สมุนไพรบุกมีสรรพคุณเเละประโยชน์ที่น่าอัศจรรย์ เริ่มหัวข้อโดย: k7y656525252 ที่ สิงหาคม 03, 2018, 01:20:52 pm (https://www.picz.in.th/images/2018/07/24/NesaN2.jpg)
บุก (Amorphophallus spp.) มีชื่อสามัญว่า Konjac (คอนจัค)12 ในไทยจะใช้บุกที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson หรือที่เราเรียกว่า “บุกคางคก” ซึ่งเป็นพืชตระกูลเดียวกันกับบุกจำพวกที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus konjac K.Koch แต่ว่าต่างประเภทกัน ซึ่งมีคุณสมบัติแล้วก็คุณประโยชน์ทางยาที่ใกล้เคียงกัน รวมทั้งสามารถนำมาใช้แทนกันได้ บุก[/size][/b] บุก ชื่อสามัญ Devil’s tongue, Shade palm, Umbrella arum บุก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus konjac K.Koch (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus rivieri Durand ex Carrière) จัดอยู่ในวงศ์บอน (ARACEAE) สมุนไพรบุก มีชื่อเรียกอื่นว่า แพทย์ ยวี จวี๋ ยั่ว (จีนแต้จิ๋ว), หมอยื่อ (จีนแมนดาริน) เป็นต้น ต้นบุก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกที่แก่หลาย ลำต้นแทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน มีความสูงของต้นโดยประมาณ 50-150 เซนติเมตร หัวที่อยู่ใต้ดินนั้นมีขนาดใหญ่ ลักษณะของหัวเป็นรูปค่อนข้างจะกลมแบนนิดหน่อย หรือกลมแป้น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 25 ซม. ผิวเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ลำต้นรวมทั้งกิ่งไม้มีลักษณะกลมใหญ่ เปลือกลำต้นเป็นสีเขียวมีลายทาสีขาวปนเปอยู่ หัวบุก ใบบุก ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อยเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กลมรี ปลายใบแหลม ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดยาวราวๆ 15-20 ซม. ใบบุก ดอกบุก ออกดอกเป็นดอกเดี่ยว รูปแบบของดอกเป็นรูปทรงทรงกระบอกกลมแบน มีกลิ่นเหม็น สีม่วงแดงอมเขียว มีกาบใบยาวโดยประมาณ 30 เซนติเมตร สีม่วงอมเหลือง โผล่ขึ้นพ้นจากกลีบเลี้ยงที่มีสีม่วง ผลบุก ลักษณะของผลเป็นรูปกลมแบน เมื่อสุกจะเป็นสีส้ม ดอกรวมทั้งผลบุก บุกคางคก บุกคางคก ชื่อสามัญ Stanley’s water-tub, Elephant yam บุกคางคก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus campanulatus Decne.) จัดอยู่ในวงศ์บอน (ARACEAE) สมุนไพรบุกคางคก มีชื่อเขตแดนอื่นๆว่า บุกหลวง บุกหนาม เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน), บักกะเดื่อ (จ.สกลนคร), กระบุก (จังหวัดบุรีรัมย์), บุกคางคก บุกระอุงคก (ชลบุรี), หัวบุก (ปัตตานี), มันซูรัน (ภาคกลาง), บุก (ทั่วไป), กระแท่ง บุกรอ หัววุ้น (ไทย), บุกอีรอกเขา ฯลฯ ต้นบุกคางคก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกจำพวกกะแท่งหรือเท้ายายม่อมหัว มีอายุได้นานหลายปี มีความสูงของต้นโดยประมาณ 5 ฟุต มีลักษณะของลำต้นอวบอ้วนและก็อวบน้ำไม่มีแก่น ผิวตะปุ่มตะป่ำ ลำต้นกลมและก็มีลายเขียวๆแดงๆลักษณะก็จะคล้ายกับคนเป็นโรคผิวหนัง ต้นบุกนั้นขยายพันธุ์ด้วยแนวทางแยกหน่อ พรรณไม้จำพวกนี้จะเจริญงอกงามในช่วงฤดูฝน แล้วก็จะร่วงโรยไปในตอนต้นฤดูหนาว ในประเทศไทยพบบ่อยขึ้นเองตามป่าราบชายทะเลและที่อำเภอศรีราชา ส่วนในต่างถิ่นบุกคางคกนั้นเป็นพืชท้องถิ่นในเอเซียอาคเนย์ พบได้ตั้งแต่ศรีลังกาไปจนถึงอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ต้นบุกคางคก หัวบุกคางคก เป็นส่วนของหัวที่อยู่ใต้ดิน มีลักษณะค่อนข้างกลมและมีขนาดใหญ่สีน้ำตาล ผิวตะปุ่มตะป่ำ เส้นผ่าศูนย์กลางของหัวบุกนั้นจะมีขนาดตั้งแต่ 15 ซม.ขึ้นไป เนื้อในหัวเป็นสีเหลืองอมชมพู สีชมพูสด สีขาวขุ่น สีครีม สีเหลืองอ่อน สีเหลืองอมขาวละเอียดและเป็นมูกลื่น มียาง โดยเฉพาะหัวสด ถ้าเกิดสัมผัสเข้าจะทำให้เกิดอาการคันได้ ก่อนเอามาปรุงเป็นของกินนั้นก็เลยจะต้องทำให้เป็นมูกโดยการต้มในน้ำเดือดซะก่อน โดยน้ำหนักของหัวนั้นมีตั้งแต่ 1 กรัม ไปจนกระทั่ง 35 กิโล บุกคางคก ใบบุกคางคก ใบเป็นใบคนเดียว ออกที่ปลายยอดของต้น ใบแผ่ออกเหมือนกางร่มแล้วหยักเว้าเข้าพบเส้นกลางใบ ส่วนขอบของใบจะเว้าลึก ก้านใบกลม อวบน้ำและก็ยาวได้ประมาณ 150-180 เซนติเมตร ใบบุกคางคก ดอกบุกคางคก ออกดอกเป็นช่อ ดอกแทงขึ้นมาจากพื้นดินรอบๆของโคนต้น เป็นแท่งมีลายสีเขียวหรือสีแดงแกมสีน้ำตาล (ขึ้นกับสายพันธุ์) ดอกออกเป็นช่อ แทงขึ้นมาจากหัวที่อยู่ใต้ดิน ก้านช่อดอกสั้น มีใบตกแต่งเป็นรูปห่อหุ้มช่อดอก ขอบหยักเป็นคลื่นรวมทั้งบานออก ปลายช่อดอกเป็นรูปกรวยคว่ำขนาดใหญ่ ยับเป็นร่องลึก สีแดงอมน้ำตาลหรือสีม่วงเข้ม ดอกเพศผู้อยู่ตอนบน ส่วนดอกเพศภรรยาอยู่ตอนล่าง ดอกมีกลิ่นเหม็นเหมือนซากสัตว์เน่า ดอกบุกคางตาราง ผลบุกคางคก ผลสำเร็จสด เนื้อนุ่ม รูปแบบของผลเป็นทรงรียาว ขนาดยาวราวๆ 1.2 ซม. ผลมีจำนวนมากติดกันเป็นช่อๆ(สิบถึงร้อยร้อยผลต่อหนึ่งช่อดอก)ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนสีเหลือง สีส้ม จนกระทั่งสีแดง ข้างในผลมีเมล็ดราว 1-3 เมล็ด โดยมีสันขั้วเม็ดของแม้กระนั้นเมล็ดแยกออกมาจากกัน เมล็ดมีลักษณะกลมรีหรือเป็นรูปไข่ สรรพคุณของบุก หัวบุกมีรสเผ็ด เป็นยาร้อน มีพิษ ออกฤทธิ์ต่อม้าม ตับ และระบบทางเดินอาหาร มีคุณประโยชน์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นโลหิต (หัว) ใช้เป็นของกินสำหรับผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวานและก็คนเจ็บโรคไขมันในเลือดสูง ด้วยการแยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วชงกับน้ำกิน โดยให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว นำมาชงกับน้ำดื่มก่อนกินอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ หัวใช้เป็นยารักษาโรคมะเร็ง (หัว) ใช้เป็นยาแก้ไข้จับสั่น (หัว) ช่วยแก้อาการไอ (หัว) หัวใช้เป็นยากัดเสมหะ ละลายเสลด ช่วยกระจายเสมหะที่อุดตันบริเวณหลอดลม (หัว) หัวบุกมีรสเบื่อคัน ใช้เป็นยากัดเสลดเถาดาน แล้วก็เลือดจับกันเป็นก้อน (หัว) หัวนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้โรคท้องมาน (หัว) ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (ราก) ช่วยแก้เมนส์ไม่มาของสตรี (หัว)6 ช่วยขับเมนส์ของสตรี (ราก) หัวเอามาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้โรคตับ (หัว) ใช้แก้พิษงู (หัว) ใช้เป็นยาแก้แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก (หัว) หัวใช้หุงเป็นน้ำมัน ใช้ใส่บาดแผล กัดฝ้ารวมทั้งกัดหนองได้ดี (หัว)1,2,3,4 บางข้อมูลระบุว่ารากใช้เป็นยาพอกฝีได้ (ราก) ใช้แก้ฝีหนองบวมอักเสบ (หัว)6 หัวใช้เป็นยาพาราบวม แก้ฟกช้ำดำเขียว (หัว) บุก เป็นสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์มากกว่าไวอากร้า หรือเป็นยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ โดยคุณนิล สกุณา (บ้านหนองพลวง ตำบลโคกกลาง อำเภอลำปลายนพคุณ จังหวัดจังหวัดบุรีรัมย์) เสนอแนะให้ทดลองพิสูจน์ ด้วยการเอาไม้พาดปากหม้อแล้วนำสมุนไพรบุกคางคก เอาพวงเมล็ดนำมาย่างไฟให้หอมก่อน แล้วใช้ผูกกับไม้แขวนจุ่มลงไปในหม้อต้มใส่น้ำเพียงพอท่วมเมล็ดบุก ต้มจนเมล็ดบุกหล่นลงหม้อ ตัวยาก็จะไหลลงมาด้วย เมื่อเดือดรวมทั้งให้เพิ่มน้ำตาลทรายแดงพอควรลงไปต้มให้พอหวาน หลังจากนั้นทดลองลองดู ถ้ายังมีลักษณะคันคออยู่ก็ให้เติมน้ำตาลเพิ่มและหลังจากนั้นก็ค่อยชิมใหม่ ถ้าหากไม่มีอาการคันคอก็แสลงว่าใช้ได้ และก็ให้นำสมุนไพรโด่ไม่รู้เรื่องล้มใส่เข้าไปด้วยโดยประมาณ 1 กำมือ แล้วต้มให้เดือด ปลดปล่อยให้เย็นและเก็บไว้ในตู้เย็น ใช้ดื่ม 1 เป็ก ราว 30 นาที จะปวดฉี่โดยธรรมชาติ ภายหลังอาวุธนั้นจะพร้อมสู้โดยทันที (ผล) หมายเหตุ : สำหรับวิธีการใช้ให้แยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วเอามาชงกับน้ำดื่ม ส่วนขนาดที่ใช้นั้นให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว ชงกับน้ำกินก่อนอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ2 ส่วนการใช้ตาม 6 ให้ใช้ทีละ 10-15 กรัม (รู้เรื่องว่าคือส่วนของหัว) เอามาต้มกับน้ำนาน 2 ชั่วโมง จึงสามารถนำมากินได้ หากเป็นยาสดให้ใช้ตำพอกหรือเอามาฝนกับน้ำส้มสายชู หรือต้มเอาน้ำใช้ล้างบริเวณที่เป็นแผล ในเนื้อหัวบุกป่าจะมีผลึกของแคลเซียมออกซาเลท (Calcium oxalate) ไม่น้อยเลยทีเดียว ที่ส่งผลให้เกิดอาการคัน ส่วนเหง้ารวมทั้งก้านใบหากปรุงไม่ดีแล้วรับประทานเข้าไปจะก่อให้ลิ้นพองและก็คันปากได้8ก่อนเอามากินจะต้องกำจัดพิษออกก่อน และไม่รับประทานกากยาหรือยาสด6 กรรมวิธีการกำจัดพิษจากหัวบุก ให้นำหัวบุกมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆตำพอเพียงแหลก คั้นเอาน้ำออกพักไว้ นำกากที่ได้ไปต้มน้ำ แล้วคั้นเอาแต่น้ำ นำไปผสมกับน้ำที่คั้นคราวแรก แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปต้มกับน้ำปูนใสเพื่อพิษหมดไป เมื่อเดือดก็พักไว้ให้เย็น จะจับกุมตัวกันเป็นก้อน จึงสามารถใช้ก้อนดังกล่าวในการประกอบอาหารหรือนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นยาได้6ถ้าเกิดอาการเป็นพิษจากการกินบุก ให้กินน้ำส้มสายชูหรือชาแก่ แล้วตามด้วยไข่ขาวสด แล้วให้รีบไปพบหมอ ด้วยเหตุว่าวุ้นบุกสามารถขยายตัวได้มาก (ไม่น้อยกว่า 20 เท่าของเนื้อวุ้นแห้ง) ก็เลยไม่สมควรบริโภควุ้นบกวันหลังการกิน แต่ว่าให้รับประทานก่อนที่จะรับประทานอาหารไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง ส่วนการบริโภคอาหารที่สร้างมาจากวุ้น อาทิเช่น วุ้นก้อนแล้วก็เส้นวุ้น สามารถบริโภคพร้อมอาหารหรือหลังรับประทานอาหารได้ เนื่องจากวุ้นดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นได้ผ่านกระบวนการและได้ขยายตัวมาก่อนแล้ว และก็การการที่จะขยายตัวหรือขยายตัวได้อีกนั้นก็เลยเป็นได้ยาก ส่วนในเรื่องของคุณค่าทางโภชนาการนั้นพบว่าวุ้นบุกไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เพราะเหตุว่าไม่มีการย่อยสลายเป็นน้ำตาลภายในร่างกาย และไม่มีวิตามินแล้วก็แร่ธาตุ หรือสารอาหารอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นประโยชน์ต่อสภาพร่างกายเลยกลูวัวแมนแนนมีผลทำให้การดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันต่ำลง (เช่น วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี แล้วก็วิตามินเค) ซึ่งจะไม่ไม่ดีต่อสุขภาพโดยรวมได้ แต่ว่าจะไม่เป็นผลต่อการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในน้ำ (อาทิเช่น วิตามินบีรวม วิตามินซี) การกินผงวุ้นบุกในปริมาณมาก อาจจะเป็นผลให้มีลักษณะอาการท้องร่วงหรืออาการท้องอืด มีอาการหิวน้ำมากกว่าเดิม บางบุคคลอาจมีอาการอ่อนแรงเพราะว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงได้ (https://www.picz.in.th/images/2018/07/24/Nesvry.jpg)[/b] ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของบุก สารที่พบ อย่างเช่น สาร Glucomannan, Konjacmannan, D-mannose, Takadiastase, แป้ง, โปรตีนบุก, วิตามินบี, วิตามินซี รวมทั้งยังพบสารที่เป็นพิษหมายถึงConiine, Cyanophoric glycoside ก้านบุกพบสาร Uniine และวิตามินบีที่ก้านช่อดอก6 แล้วก็หัวบุกยังมีโปรตีนอยู่ร้อยละ 5-6 แล้วก็มีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูงปริมาณร้อยละ 672หัวบุกมีสารสำคัญ คือ กลูโคแมนแนน (Glucomannan) เป็นสารประเภทคาร์โบไฮเดรต ซึ่งมีกลูโคส แมนโนส และฟรุคโตส สารกลูวัวแมนแนนสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ เพราะเหตุว่ามีความเหนียว ช่วยยับยั้งการดูดซึมของเดกซ์โทรสจากทางเดินอาหาร ยิ่งหนืดมากมายก็ยิ่งมีผลการดูดซึมเดกซ์โทรส ดังนั้น กลูวัวแมนแนน ซึ่งเหนียวกว่า gua gum ก็เลยสามารถลดน้ำตาลได้ดีมากยิ่งกว่า จึงใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นของกินสำหรับผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวานและก็สำหรับผู้ที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูงสารกลูวัวแมนแนน (Glucomannan) จะมีจำนวนแตกต่างกันออกไปตามชนิดของบุก5 แป้งจากหัวบุกนั้นประกอบไปด้วยกลูโคนแมนแนนโดยประมาณ 90% และสิ่งปลอมปนอื่นๆอย่างเช่น alkaloid, starch, สารประกอบไนโตเจนต่างๆsulfates, chloride, แล้วก็พิษอื่น โมเลกุลของกลูวัวแมนแนนนั้นสำคัญๆแล้วจะประกอบไปด้วยน้ำตาลสองชนิด คือ เดกซ์โทรส 2 ส่วน และแมนโนส 3 ส่วน คร่าวๆ เชื่อมต่อกันระหว่างคาร์บอนตำแหน่งที่ 1 ของน้ำตาลประเภทลำดับที่สอง กับคาร์บอนตำแหน่งที่ 4 ของน้ำตาลจำพวกแรกแบบ ?-1, 4-glucosidic linkage ซึ่งแตกต่างจากแป้งที่เจอในพืชทั่วๆไป ก็เลยผิดย่อยโดยกรดและน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร เพื่อน้ำตาลที่ให้พลังงานได้8 นอกจากกลูวัวแมนแนนจะเจอได้ในบุกแล้ว ยังพบได้ในว่านหางจระเข้อีกด้วย9 กลูโคแมนแนน (Glucomannan) สามารถดูดน้ำและพองตัวได้มากถึง 200 เท่า ของปริมาณเดิม เมื่อพวกเรารับประทานกลูวัวแมนแนนก่อนที่จะรับประทานอาหารครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงครั้งละ 1 กรัม กลูโคแมนแนนจะดูดน้ำที่มีมากมายในกระเพาะของเรา แล้วมีการพองตัวกระทั่งทำให้พวกเรารู้สึกอิ่มของกินได้เร็วและก็อิ่มได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้พวกเรารับประทานได้ลดลงกว่าปกติด้วย ทั้งกลูโคแมนแนนจากบุกก็มีพลังงานต่ำมากมาย กลูวัวแมนแนนจึงช่วยสำหรับเพื่อการควบคุมน้ำหนักแล้วก็เป็นอาหารของผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยม8 เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่รับประทานครั้งละ 15 กรัม ต่อ 1 โล ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลา 2-3 สัปดาห์ พบว่าระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดของหนูลดลงคิดเป็น 44% แล้วก็ Triglyceride ต่ำลงคิดเป็น 9.5%6 สาร Glucomannan มีฤทธิ์ดูดซึมน้ำในกระเพาะและก็ไส้เจริญมากมาย รวมทั้งยังสามารถไปกระตุ้นน้ำย่อยในไส้ให้เยอะขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีการขับของที่คั่งค้างในลำไส้ได้เร็วขึ้น6สารสกัดแอลกอฮอล์จากหัวบุก สามารถยับยั้งการก้าวหน้าของเชื้อวัณโรคในหลอดแก้วได้5 เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่ที่มีลักษณะอาการบวมที่ขากินครั้งละ 15 กรัม ต่อ 1 กิโล พบว่าอาการบวมที่ขาของหนูลดน้อยลง6 คุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากบุกคนประเทศไทยพวกเรานิ http://www.disthai.com/[/b] Tags : สมุนไพรบุก หัวข้อ: Re: สมุนไพรบุกมีสรรพคุณเเละประโยชน์ที่น่าอัศจรรย์ เริ่มหัวข้อโดย: mmkmm25255 ที่ สิงหาคม 25, 2018, 09:24:23 am สรรพคุณของบุก/ประโยชน์ของบุก
|