หัวข้อ: สมุนไพรบุกมีสรรพคุณเเละประโยชน์ที่น่าอัศจรรย์ เริ่มหัวข้อโดย: xcooiuty015s44 ที่ สิงหาคม 06, 2018, 03:33:23 pm (https://www.picz.in.th/images/2018/07/24/NesaN2.jpg)
บุก (Amorphophallus spp.) มีชื่อสามัญว่า Konjac (คอนจัค)12 ในไทยจะใช้บุกที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson หรือที่เราเรียกว่า “บุกคางคก” ซึ่งเป็นพืชตระกูลเดียวกันกับบุกชนิดที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus konjac K.Koch แต่ต่างประเภทกัน ซึ่งมีคุณลักษณะรวมทั้งคุณประโยชน์ทางยาที่ใกล้เคียงกัน และสามารถประยุกต์ใช้แทนกันได้ บุก[/size][/b] บุก ชื่อสามัญ Devil’s tongue, Shade palm, Umbrella arum บุก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus konjac K.Koch (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus rivieri Durand ex Carrière) จัดอยู่ในวงศ์บอน (ARACEAE) สมุนไพรบุก มีชื่อเรียกอื่นว่า แพทย์ ยวี จวี๋ ยั่ว (จีนแต้จิ๋ว), หมอยื่อ (จีนกลาง) ฯลฯ ต้นบุก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกที่แก่หลาย ลำต้นแทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน มีความสูงของต้นประมาณ 50-150 ซม. หัวที่อยู่ใต้ดินนั้นมีขนาดใหญ่ รูปแบบของหัวเป็นรูปค่อนข้างกลมแบนนิดหน่อย หรือกลมแป้น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว 25 เซนติเมตร ผิวเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ลำต้นและกิ่งมีลักษณะกลมใหญ่ เปลือกลำต้นเป็นสีเขียวมีลายแต้มสีขาวปนเปอยู่ หัวบุก ใบบุก ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อยเรียงสลับ รูปแบบของใบเป็นรูปไข่กลมรี ปลายใบแหลม ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดยาวโดยประมาณ 15-20 เซนติเมตร ใบบุก ดอกบุก มีดอกเป็นดอกโดดเดี่ยว ลักษณะของดอกเป็นรูปทรงทรงกระบอกกลมแบน มีกลิ่นเหม็น สีม่วงแดงอมเขียว มีกาบใบยาวประมาณ 30 เซนติเมตร สีม่วงอมเหลือง โผล่ขึ้นพ้นจากกลีบเลี้ยงที่มีสีม่วง ผลบุก รูปแบบของผลเป็นรูปกลมแบน เมื่อสุกจะเป็นสีส้ม ดอกแล้วก็ผลบุก บุกคางคก บุกคางคก ชื่อสามัญ Stanley’s water-tub, Elephant yam บุกคางคก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus campanulatus Decne.) จัดอยู่ในสกุลบอน (ARACEAE) สมุนไพรบุกคางคก มีชื่อเขตแดนอื่นๆว่า บุกหลวง บุกหนาม เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน), บักกะเดื่อ (จังหวัดสกลนคร), กระบุก (จังหวัดบุรีรัมย์), บุกคางคก บุกระอุงคก (จังหวัดชลบุรี), หัวบุก (ปัตตานี), มันซูรัน (ภาคกึ่งกลาง), บุก (ทั่วๆไป), กระแท่ง บุกรอคอย หัววุ้น (ไทย), บุกอีรอคอยกเขา ฯลฯ ต้นบุกคางคก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกจำพวกกะแท่งหรือเท้ายายม่อมหัว มีอายุได้นานหลายปี มีความสูงของต้นโดยประมาณ 5 ฟุต มีลักษณะของลำต้นอวบและอวบน้ำไม่มีแก่น ผิวขรุขระ ลำต้นกลมและมีลายเขียวๆแดงๆลักษณะก็จะคล้ายกับคนเป็นโรคผิวหนัง ต้นบุกนั้นขยายพันธุ์ด้วยแนวทางแยกหน่อ พรรณไม้ประเภทนี้จะงอกงามในช่วงฤดูฝน รวมทั้งจะร่วงโรยไปในตอนต้นฤดูหนาว ในประเทศไทยพบมากขึ้นเองตามป่าราบริมฝั่งรวมทั้งที่อำเภอศรีราชา ส่วนในต่างชาติบุกคางคกนั้นเป็นพืชท้องถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบได้ตั้งแต่ศรีลังกาไปจนกระทั่งอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ ต้นบุกคางคก หัวบุกคางคก คือส่วนของหัวที่อยู่ใต้ดิน มีลักษณะออกจะกลมแล้วก็มีขนาดใหญ่สีน้ำตาล ผิวขรุขระ เส้นผ่านศูนย์กลางของหัวบุกนั้นจะมีขนาดตั้งแต่ 15 เซนติเมตรขึ้นไป เนื้อในหัวเป็นสีเหลืองอมชมพู สีชมพูสด สีขาวขุ่น สีครีม สีเหลืองอ่อน สีเหลืองอมขาวละเอียดและเป็นเมือกลื่น มียาง โดยยิ่งไปกว่านั้นหัวสด แม้สัมผัสเข้าจะทำให้เกิดอาการคันได้ ก่อนเอามาปรุงเป็นอาหารนั้นก็เลยจำต้องทำให้เป็นเมือกโดยการต้มในน้ำเดือดซะก่อน โดยน้ำหนักของหัวนั้นมีตั้งแต่ว่า 1 กรัม ไปจนกระทั่ง 35 กิโล บุกคางคก[/size][/b] ใบบุกคางคก ใบเป็นใบลำพัง ออกที่ปลายยอดของต้น ใบแผ่ออกเหมือนกางร่มแล้วหยักเว้าเข้าหาเส้นกึ่งกลางใบ ส่วนขอบของใบจักเว้าลึก ก้านใบกลม อวบน้ำและยาวได้ราวๆ 150-180 ซม. ใบบุกคางคก ดอกบุกคางคก ออกดอกเป็นช่อ ดอกแทงขึ้นมาจากพื้นดินบริเวณของโคนต้น เป็นแท่งมีลายสีเขียวหรือสีแดงแกมสีน้ำตาล (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์) ดอกออกเป็นช่อ แทงขึ้นมาจากหัวที่อยู่ใต้ดิน ก้านช่อดอกสั้น มีใบเสริมแต่งเป็นรูปหุ้มห่อช่อดอก ขอบหยักเป็นคลื่นและก็บานออก ปลายช่อดอกเป็นรูปกรวยคว่ำขนาดใหญ่ ยับเป็นร่องลึก สีแดงอมน้ำตาลหรือสีม่วงเข้ม ดอกเพศผู้อยู่ตอนบน ส่วนดอกเพศเมียอยู่ตอนล่าง ดอกมีกลิ่นเหม็นเหมือนซากสัตว์เน่า ดอกบุกคางตาราง ผลบุกคางคก ผลได้ผลสด เนื้อนุ่ม รูปแบบของผลเป็นทรงรียาว ขนาดยาวราวๆ 1.2 ซม. ผลมีหลายชิ้นชิดกันเป็นช่อๆ(สิบถึงร้อยร้อยผลต่อหนึ่งช่อดอก)ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนสีเหลือง สีส้ม จนกระทั่งสีแดง ด้านในผลมีเมล็ดโดยประมาณ 1-3 เม็ด โดยมีสันขั้วเม็ดของแต่ว่าเม็ดแยกออกจากกัน เมล็ดมีลักษณะกลมรีหรือเป็นรูปไข่ คุณประโยชน์ของบุก หัวบุกมีรสเผ็ด เป็นยาร้อน มีพิษ ออกฤทธิ์ต่อม้าม ตับ และก็ระบบทางเดินอาหาร มีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นโลหิต (หัว) ใช้เป็นอาหารสำหรับคนป่วยเบาหวานและก็คนไข้โรคไขมันในเลือดสูง ด้วยการแยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วชงกับน้ำ โดยให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว เอามาชงกับน้ำก่อนที่จะกินอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ หัวใช้เป็นยารักษาโรคมะเร็ง (หัว) ใช้เป็นยาแก้ไข้จับสั่น (หัว) ช่วยแก้อาการไอ (หัว) หัวใช้เป็นยากัดเสลด ละลายเสมหะ ช่วยกระจายเสลดที่อุดตันรอบๆหลอดลม (หัว) หัวบุกมีรสเบื่อคัน ใช้เป็นยากัดเสมหะเถาดาน และเลือดจับกันเป็นก้อน (หัว) หัวเอามาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคท้องมาน (หัว) ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (ราก) ช่วยแก้ระดูไม่มาของสตรี (หัว)6 ช่วยขับรอบเดือนของสตรี (ราก) หัวนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้โรคตับ (หัว) ใช้แก้พิษงู (หัว) ใช้เป็นยาแก้แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก (หัว) หัวใช้หุงเป็นน้ำมัน ใช้ใส่บาดแผล กัดฝ้าและก็กัดหนองได้ดิบได้ดี (หัว)1,2,3,4 บางข้อมูลกล่าวว่ารากใช้เป็นยาพอกฝีได้ (ราก) ใช้แก้ฝีหนองบวมอักเสบ (หัว)6 หัวใช้เป็นยาแก้ปวดบวม แก้ฟกช้ำดำเขียว (หัว) บุก เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณมากกว่าไวอากร้า หรือเป็นยาเพิ่มสมรรถนะทางเพศ โดยคุณนิล นก (บ้านหนองพลวง ตำบลโคกกลาง อำเภอลำปลายนพคุณ จ.บุรีรัมย์) เสนอแนะให้ทดลองพิสูจน์ ด้วยการเอาไม้พาดปากหม้อแล้วนำสมุนไพรบุกคางคก เอาพวงเม็ดเอามาย่างไฟให้หอมก่อน แล้วใช้ผูกกับไม้แขวนจุ่มลงไปในหม้อต้มใส่น้ำพอท่วมเมล็ดบุก ต้มจนเมล็ดบุกร่วงลงหม้อ ตัวยาก็จะไหลลงมาด้วย เมื่อเดือดแล้วก็ให้เพิ่มน้ำตาลทรายแดงพอประมาณลงไปต้มให้พอหวาน จากนั้นลองชิมมอง ถ้าหากยังมีลักษณะอาการคันคออยู่ก็ให้เพิ่มเติมน้ำตาลเพิ่มแล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยชิมใหม่ ถ้าเกิดไม่มีอาการคันคอก็เป็นพิษว่าใช้ได้ และให้นำสมุนไพรโด่ไม่รู้จักล้มใส่เข้าไปด้วยราว 1 กำมือ แล้วต้มให้เดือด ปลดปล่อยให้เย็นรวมทั้งเก็บไว้ในตู้เย็น ใช้ดื่ม 1 เป็ก ราวๆ 30 นาที จะปวดท้องเยี่ยวโดยธรรมชาติ ภายหลังอาวุธนั้นจะพร้อมสู้โดยทันที (ผล) หมายเหตุ : สำหรับวิธีการใช้ให้แยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วนำมาชงกับน้ำ ส่วนขนาดที่ใช้นั้นให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว ชงกับน้ำดื่มก่อนที่จะรับประทานอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ2 ส่วนการใช้ตาม 6 ให้ใช้ครั้งละ 10-15 กรัม (เข้าใจว่าเป็นส่วนของหัว) เอามาต้มกับน้ำนาน 2 ชั่วโมง ก็เลยสามารถนำมารับประทานได้ ถ้าหากเป็นยาสดให้ใช้ตำพอกหรือเอามาฝนกับน้ำส้มสายชู หรือต้มเอาน้ำใช้ชะล้างรอบๆที่เป็นแผล ในเนื้อหัวบุกป่าจะมีผลึกของแคลเซียมออกซาเลท (Calcium oxalate) เยอะๆ ที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการคัน ส่วนเหง้าแล้วก็ก้านใบถ้าหากปรุงไม่ดีแล้วกินเข้าไปจะทำให้ลิ้นพองและคันปากได้8ก่อนเอามารับประทานจะต้องกำจัดพิษออกก่อน และไม่รับประทานกากยาหรือยาสด6 กรรมวิธีการกำจัดพิษจากหัวบุก ให้นำหัวบุกมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆตำเพียงพอแหลก คั้นเอาน้ำออกพักไว้ นำกากที่ได้ไปต้มน้ำ แล้วคั้นมัวแต่น้ำ นำไปผสมกับน้ำที่คั้นครั้งแรก แล้วค่อยนำไปต้มกับน้ำปูนใสเพื่อพิษหมดไป เมื่อเดือดก็พักไว้ให้เย็น จะจับกุมกันเป็นก้อน จึงสามารถใช้ก้อนดังกล่าวข้างต้นสำหรับในการประกอบอาหารหรือนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นยาได้6ถ้าหากอาการเป็นพิษจากการกินบุก ให้กินน้ำส้มสายชูหรือชาแก่ แล้วและก็ตามด้วยไข่ขาวสด แล้วให้รีบไปพบแพทย์ เนื่องจากวุ้นบุกสามารถขยายตัวได้มาก (ไม่ต่ำลงยิ่งกว่า 20 เท่าของเนื้อวุ้นแห้ง) จึงไม่สมควรบริโภควุ้นบกภายหลังการรับประทาน แต่ให้รับประทานก่อนกินอาหารไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง ส่วนการบริโภคของกินที่สร้างจากวุ้น ดังเช่นว่า วุ้นก้อนรวมทั้งเส้นวุ้น สามารถบริโภคพร้อมของกินหรือหลังรับประทานอาหารได้ ด้วยเหตุว่าวุ้นดังกล่าวมาแล้วข้างต้นได้ผ่านวิธีการรวมทั้งได้ขยายตัวมาก่อนแล้ว แล้วก็การการที่จะขยายตัวหรือพองตัวได้อีกนั้นจึงเป็นได้ยาก ส่วนในเรื่องของค่าทางโภชนาการนั้นพบว่าวุ้นบุกไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เพราะเหตุว่าไม่มีการเสื่อมสลายเป็นน้ำตาลภายในร่างกาย และไม่มีวิตามินและก็แร่ หรือสารอาหารอะไรก็ตามที่เป็นประโยชน์ต่อสภาพทางด้านร่างกายเลยกลูโคแมนแนนส่งผลทำให้การดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันลดน้อยลง (เป็นต้นว่า วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และก็วิตามินเค) ซึ่งจะไม่ไม่ดีต่อสุขภาพโดยรวมได้ แต่จะไม่เป็นผลต่อการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในน้ำ (ตัวอย่างเช่น วิตามินบีรวม วิตามินซี) การกินผงวุ้นบุกในจำนวนมาก อาจจะส่งผลให้มีลักษณะท้องร่วงหรือท้องอืด มีอาการหิวน้ำมากยิ่งกว่าเดิม บางบุคคลอาจมีอาการอ่อนล้าด้วยเหตุว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดน้อยลงได้ (https://www.picz.in.th/images/2018/07/24/Nesvry.jpg)[/b] ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของบุก สารที่พบ ดังเช่นว่า สาร Glucomannan, Konjacmannan, D-mannose, Takadiastase, แป้ง, โปรตีนบุก, วิตามินบี, วิตามินซี แล้วก็ยังเจอสารที่เป็นพิษ คือ Coniine, Cyanophoric glycoside ก้านบุกพบสาร Uniine และวิตามินบีที่ก้านช่อดอก6 รวมทั้งหัวบุกยังมีโปรตีนอยู่จำนวนร้อยละ 5-6 แล้วก็มีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูงจำนวนร้อยละ 672หัวบุกมีสารสำคัญเป็นกลูวัวแมนแนน (Glucomannan) เป็นสารประเภทคาร์โบไฮเดรต ซึ่งมีกลูโคส แมนโนส และก็ฟรุคโตส สารกลูโคแมนแนนสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ เพราะว่ามีความเหนียว ช่วยยั้งการดูดซึมของกลูโคสจากทางเดินอาหาร ยิ่งเหนียวหนืดมากก็ยิ่งมีผลการดูดซึมเดกซ์โทรส ด้วยเหตุผลดังกล่าว กลูโคแมนแนน ซึ่งเหนียวกว่า gua gum ก็เลยสามารถลดน้ำตาลได้ดียิ่งไปกว่า ก็เลยใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นอาหารสำหรับคนไข้เบาหวานรวมทั้งสำหรับคนที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูงสารกลูโคแมนแนน (Glucomannan) จะมีจำนวนต่างกันออกไปตามจำพวกของบุก5 แป้งจากหัวบุกนั้นประกอบไปด้วยกลูโคนแมนแนนประมาณ 90% และสิ่งปลอมปนอื่นๆได้แก่ alkaloid, starch, สารประกอบไนโตเจนต่างๆsulfates, chloride, แล้วก็พิษอื่น โมเลกุลของกลูวัวแมนแนนนั้นหลักๆแล้วจะประกอบไปด้วยน้ำตาลสองจำพวก คือ กลูโคส 2 ส่วน และแมนโนส 3 ส่วน โดยประมาณ เชื่อมต่อกันระหว่างคาร์บอนตำแหน่งที่ 1 ของน้ำตาลประเภทที่สอง กับคาร์บอนตำแหน่งที่ 4 ของน้ำตาลจำพวกแรกแบบ ?-1, 4-glucosidic linkage ซึ่งต่างจากแป้งที่พบในพืชทั่วๆไป ก็เลยไม่ถูกย่อยโดยกรดและก็น้ำย่อยในกระเพาะ เพื่อให้น้ำตาลที่ให้พลังงานได้8 เว้นเสียแต่กลูโคแมนแนนจะพบได้ในบุกแล้ว ยังเจอได้ในว่านหางจระเข้อีกด้วย9 กลูโคแมนแนน (Glucomannan) สามารถดูดน้ำรวมทั้งพองตัวได้มากถึง 200 เท่า ของจำนวนเดิม เมื่อเรากินกลูโคแมนแนนก่อนที่จะกินอาหารครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงครั้งละ 1 กรัม กลูวัวแมนแนนจะดูดน้ำที่มีมากมายในกระเพาะของพวกเรา แล้วเกิดการพองตัวจนทำให้พวกเรารู้สึกอิ่มของกินได้เร็วและก็อิ่มได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้พวกเรารับประทานได้ลดลงกว่าธรรมดาด้วย ทั้งยังกลูวัวแมนแนนจากบุกก็มีพลังงานต่ำมากมาย กลูโคแมนแนนจึงช่วยสำหรับเพื่อการควบคุมน้ำหนักแล้วก็เป็นของกินของผู้ที่อยากลดหุ่นได้อย่างดีเยี่ยม8 เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่รับประทานครั้งละ 15 กรัม ต่อ 1 กิโล ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลา 2-3 อาทิตย์ พบว่าระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดของหนูลดน้อยลงคิดเป็น 44% แล้วก็ Triglyceride ลดลงคิดเป็น 9.5%6 สาร Glucomannan มีฤทธิ์ดูดซึมน้ำในกระเพาะรวมทั้งไส้ก้าวหน้ามาก และก็ยังสามารถไปกระตุ้นน้ำย่อยในไส้ให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีการขับของที่คั่งค้างในลำไส้ได้เร็วขึ้น6สารสกัดแอลกอฮอล์จากหัวบุก สามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อวัณโรคในหลอดแก้วได้5 เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่ที่มีลักษณะบวมที่ขากินครั้งละ 15 กรัม ต่อ 1 กก. พบว่าอาการบวมที่ขาของหนูต่ำลง6 คุณประโยชน์ของบุกคนประเทศไทยพวกเรานิ http://www.disthai.com/[/b]
|