หัวข้อ: สอนทำขนมปัง มาการอง ของขนมสีสันผ่องใส หลักสูตรเปิดร้านเบเกอรี่ สอนทำอาหาร เริ่มหัวข้อโดย: raraymondas ที่ ธันวาคม 08, 2018, 02:30:26 am สอนทำขนมปัง มาการอง ของของหวานสีสันสดใส หลักสูตรเปิดร้านเบเกอรี่ เรียนทำอาหาร เรียนทำขนมปัง ขนมไทย, ทำขนมปัง, เรียนทำเบเกอรี่ เบเกอรี่ฝรั่งเศส
ทำไมธุรกิจร้านเบเกอรี่ถึงน่าลงทุน สามารถทำคนเดียวได้ ด้วยเหตุว่าถ้าเราเริ่มต้น จากการรับขนมจากที่อื่นๆมาขาย นั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องว่าจ้างผู้ช่วย ซึ่งคนเดียวก็สามารถดูแลร้านค้าได้เอง ทั้งหมดทั้งปวง ไม่ต้องลงทุนสำหรับการว่าจ้างผู้รับจ้าง และก็วุ่นวายกับคนส่วนมาก -เดี๋ยวนี้ ร้านขนมปัง นั้น เข้ากับ Lifestyle ของคนสมัยใหม่ เนื่องจากคนรุ่นหลังนิยม ไปนั่งตามร้านค้าขนม เพื่อพักผ่อน นั่งคุย เจรจากับสหาย หรือนั่งอ่านหนังสือ เพื่อบรรเทา การเปิดร้านขนมแบบเต็มต้นแบบ ก็เลยตอบโจทย์ข้อนี้ได้ รวมทั้งทำรายได้ให้กับธุรกิจได้ อย่างมาก อย่างแน่แท้ -ความนิยมชมชอบเบเกอรี่ ของคนสมัยใหม่ ที่มีเวลาน้อย เลือกกินเบเกอรี่เป็น อาหารจานด่วน หรือรองท้อง หลายคนคงจะเคยทราบคำว่า “กองทัพต้องเดินด้วยท้อง” เมื่อคุณเดินทางไกล หรืออยู่ในชั่วโมงเร่งด่วน ไม่สามารถที่จะหาที่นั่งกินอาหารได้ การกินขนมที่ซื้อข้างทาง จะช่วยให้คุณคลายหิวไปได้ ก่อนที่คุณจะทำธุระเสร็จ รวมทั้งไปรับประทานอาหารมื้อใหญ่ต่อไป การเตรียมความพร้อมก่อนลงทุนในธุรกิจเบเกอรี่ ก่อนที่จะลงทุนในธุรกิจอะไรก็ตามก็จำเป็นที่จะต้องมีการจัดแจงให้พร้อมกั่น ซึ่งธุรกิจเบเกอรี่โฮมเมดก็ไม่ได้มีความแตกต่างกัน จำเป็นอย่างยิ่งที่นักลงทุนจำเป็นต้องพิจารณาถึงความพร้อมก่อนการลงทุน ซึ่งยกตัวอย่างเช่น เงินทุน สำคัญเป็นอันดับต้นๆก็เนื่องจากเงินลงทุนคือปัจจัยหลักที่จะช่วยทำให้การเตรียมวัสดุอุปกรณ์ก่อนที่จะมีการผลิตเบเกอรี่เป็นไปด้วยดี จำนวนเงินลงทุนย่อมนานับประการตามลักษณะของธุรกิจว่าอยากได้ให้ออกมาในลักษณะใด ซึ่งก็จะต้องพินิจพิจารณารวมทั้งพินิจพิเคราะห์ตามกำลังของตัวอง เนื่องจากด้วยทั่วๆไปแล้วการลงทุนในขั้นแรกจะเน้นไปที่สิ่งของปกรณ์ ซึ่งนับว่าเป็นเงินลงทุนคงที่ และจะให้ผลทดแทนกลับมาภายในระยะเวลาไม่นาน ด้วยเหตุนี้ควรที่จะเลือกใช้เครื่องมือที่คุณภาพดี มีการรับประกัน แม้ว่าจะราคาสูงแต่มั่นใจได้ถึงคุณภาพ ส่วนต้นทุนอีกอย่างหนเรียกกันว่าทุนผันแปรแปร อาทิเช่น ค่าใช้จ่ายในการเช่าพื้นที่ ค่าขนส่ง หรือรายจ่ายที่เปลี่ยนแปลงได้ จัดว่าพวกนี้เป็นเงินทุนที่ผู้ลงทุนเองจำต้องตระเตรียมไว้ล่วงหน้า เพื่อสามารถเงินลงทุนสามารถเวียนได้อย่างไม่ขัดข้อง -ความรู้ความชำนิชำนาญ ต้องสำหรับคนที่อยากเริ่มธุรกิจเบเกอรี่โฮมเมดมากมาย ด้วยเหตุว่าควรทำความเข้าใจถึงใอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้รวมทั้งวัตถุดิบทุกสิ่งสำหรับเพื่อการทำเบเกอรี่ ควรศึกษาว่าแป้งมีกี่จำพวก น้ำตาลหรือวัตถุดิบตัวอึ่นๆมีคุณลักษณะยังไงใช้เป็นส่วนผสมในเบเกอรี่แต่ละชนิดเพื่ออะไร นอกจากนั้นยังต้องฝึกหัดรวมทั้งชำนาญสำหรับการทำ เบเกอรี่มากพอที่จะควบคุมประสิทธิภาพรวมทั้งรสได้ เพื่อของหวานที่ผลิตมีคุณภาพและก็รสที่เช่นกัน ปัจจุบันนี้ มีโรงเรียนสอนทำเบเกอรีมากมาย พวกเราสามารถเลือกเรียนได้ ได้ตามอยาก ทั้งยังสามารถเลือกเฉพาะวิชาที่สนใจได้ ซึ่งส่วนมากถึงแม้เขาเรียนเพียงหลักสูตรเดียวก็สามารถเอามาปรับใช้รวมทั้งทำขายได้ในทันที และการเรียนรู้สูตรแล้วก็วิธีการทำจากเพื่อนพ้องหรือญาติโกโหติกา ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีที่จะไม่ต้องเลยค่าครองชีพสำหรับการเข้าห้องเรียนกับสถานที่เรียนสอนทำเบเกอรี่ต่างๆ -เล่าเรียนตลาดและคู่ปรับ ผู้ผลิตควรศึกษาเรียนรู้ถึงสถานการณ์การตลาดเพื่อแนวทางการทำความเข้าใจสำหรับเพื่อการดำเนินธุรกิจของพวกเรา ควรศึกษาเรียนรู้ว่ากาตลาดเบเกอรี่ในช่วงนั้นๆเป็นอย่างไร มีกรุ๊ปคู่แข่งขันจำนวนราวๆกี่ราย รวมทั้งแต่ละรายมีข้อเด่นข้อเสียอะไรบ้าง และก็พวกเราต้องหาคุณลักษณะเด่นของเรา และก็ปรับแผนการเพื่อให้สู้กับคู่ต่อสู้ให้ได้ การ มองหา ร้านสำหรับฝากขายมีความจำเป็นมากสำหรับการที่จะช่วยทำให้ธุรกิจของพวกเราก้าวไปด้านหน้าหรือจะถอยหลัง ร้านที่เห็นควรให้ความสนใจคือร้านค้าที่อยู่ในย่านชุมชน มีทำเลดี มีที่จอดรถสำหรับลูกค้าไว้พร้อม มีการเคลื่อนไหวของปริมาณลูกค้าและก็หมุนวนผลิตภัณฑ์ตลอดทั้งวัน รวมทั้งทางร้านค้ามีลัษณะทิศทางที่จะช่วยพรีเซนเทชั่นสินค้าของเรา เพื่อไม่ให้สินค้าของเราถูกกักไว้เพื่อคอยส่งคืนคืนสิ่งเดียว -หาแหล่งวัตถุดิบที่เหมาะสมทั้งยังเรื่องราคาแล้วก็ประสิทธิภาพ การซื้อวัตถุดิบสำหรับเฉพาะกระบวนการทำเบเกอรี่ ย่อมทำให้ได้วัตถุดิบที่มีราคาถูกกว่าซื้อตามห้างทั่วไป แล้วก็ยังคงได้เครื่องมือสำหรับในการทำเบเกอรี่อย่างครบถ้วน รูปแบบของธุรกิจร้านเบเกอรี่ อาชีพอิสระ รายได้ดี -รับขนมจากที่อื่นๆมาขาย Bakery ยี่ห้อ HOME ของมหาวิทยาลัยราชภัฎ สวนดุสิต เป็นตัวอย่างสุด Classic ของ ร้านขนมปัง ลักษณะนี้ เราจะมองเห็นคนนำของหวานยี่ห้อ HOME มาเดินขายจากที่ต่างๆหรือจัดโต๊ะขายก็ตาม ลักษณะนี้เป็นแบบที่เริ่มต้นง่าย เพียงไปรับขนม และเอามาตั้งขาย ไม่ต้องจมทุนไปกับการซื้อเครื่องอบขนม ไม่ต้องสิ้นเปลืองแรงทำ และก็ขนมที่ขายอร่อยแน่นอน - ทำขนมขายเอง แม้คุณมีเงินทุนมากยิ่งขึ้นมาหน่อย รวมทั้งเคยไปเรียนทำ Bakery มา หรือมั่นใจในความสามารถ ธุรกิจร้านขนมปังชนิดนี้ จะทำเงินได้มากกว่า เพราะเหตุว่าพวกเราไม่ต้องไปรับของหวาน มาจากที่อื่นๆ ซึ่งมีต้นทุนที่ซื้อมา แพงกว่าขนมที่พวกเราทำเองอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก็จำเป็นต้องทดลองชั่งน้ำหนักมองว่า เงินลงทุนที่ลงเพิ่มไป จะคุ้มกับรายได้ที่ได้เพิ่มขึ้นมาหรือไม่ - ร้านขนมปังพร้อมที่นั่ง แบบเต็มต้นแบบ ถ้าไม่ได้อยากต้องการขายเพียงแค่ Bakery สิ่งเดียว รวมทั้งมีความรู้สึกว่าของหวานที่ทำขึ้นมา มีดีกว่าเพียงแค่จะเป็นร้านค้าทั่วไป ก็เปิดร้านเบเกอรี่พร้อมที่นั่ง แบบเต็มต้นแบบได้เลย เนื่องจากราคาของหวานจะขายได้แพงกว่า 2 แบบแรก โดยมีจุดหมาย ให้เป็นจุดสำหรับเพื่อนัดพบ สำหรับมาทานของหวาน นั่งคุยกัน หรือนั่งอ่านหนังสือ ซึ่งกับ Lifestyle ของคนรุ่นหลังด้วย สูตรคัพเค้ก คัพเค้กเรดเวลเว็ท สำหรับใครที่เคยลองชิมเค้กเรดเวลเว็ทมาแล้วติดใจอยากทำเสิร์ฟแขกในงานปาร์ตี้บ้าง แต่ถ้าทำชิ้นใหญ่คงไม่เหมาะขอย่อขนาดลงเป็นคัพเค้กเรดเวลเว็ทสูตรจากคุณปูขาเก เซมารู มีจุดเด่นที่เนื้อเค้กรสช็อกโกแลตแต่มีสีแดงสด โปะครีมชีส ทำเสิร์ฟในถ้วยกระดาษสีแดงดูเข้ากันจริง ๆ บอกได้คำเดียวว่าเริด ส่วนผสม คัพเค้กเรดเวลเว็ท - แป้งสาลีอเนกประสงค์ (ร่อนแล้วตวง) 3+1/2 ถ้วย - เบกกิ้งโซดา 2 ช้อนชา - เกลือป่น 1+1/2 ช้อนชา - ผงโกโก้ 1/4 ถ้วย - ไข่ไก่ (ขนาดใหญ่) 3 ฟอง - น้ำตาลทราย 1+3/4 ถ้วย - น้ำมันดอกคาโนลา 2 ถ้วย - กลิ่นวานิลลา 1+1/2 ช้อนชา - บัตเตอร์มิลค์ 1+1/3 ถ้วย - น้ำส้มสายชู 2 ช้อนชา - สีผสมอาหารสีแดง 1 ออนซ์ - พิมพ์คัพเค้ก 24 ถ้วย หมายเหตุ : - เค้กกำมะหยี่นี้ตามปกติเขาใส่น้ำส้มสายชูลงไปด้วย จะทำให้เค้กฟู นุ่ม ชุ่มละมุนละไม เพราะน้ำส้มสายชูจะไปทำปฏิกิริยากับเบกกิ้งโซดา ทำให้เกิดฟองอากาศเล็ก ๆ ในส่วนผสม ขณะที่เราตะล่อมส่วนผสมอยู่จะทำให้เค้กที่ได้เบา ฟูฟ่อง นุ่ม นวลเนียนดุจดังแพรกำมะหยี่ - ถ้าไม่มีบัตเตอร์มิลค์ ให้ใช้นมสดจืด 1-1/3 ถ้วย ผสมน้ำมะนาว 1-1/2 ช้อนโต๊ะ ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที ส่วนผสมจะข้นขึ้น หรือใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติ ขนาด 4-6 ออนซ์ ผสมกับนมให้ได้ปริมาณเท่าบัตเตอร์มิลค์ 1-1/3 ถ้วย - ใช้น้ำมันคาโนลา หรือน้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน จะได้ไม่มีกลิ่นน้ำมันติดขนม - สีผสมอาหารสีแดงในสูตรต้นฉบับใช้ 3 ออนซ์ แม่ปูใช้ 1 ออนซ์ สีก็แดงอย่างสุดขีดแล้วค่ะหรือจะขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่ใช้ก็อาจเป็นไปได้ วิธีทำคัพเค้กเรดเวลเว็ท 1. เปิดเตาอบที่อุณหภูมิ 350 องศาฟาเรนไฮต์ เตรียมไว้ 2. ร่อนแป้งเค้ก เกลือ เบกกิ้งโซดา และผงโกโก้เข้าด้วยกัน พักไว้ก่อน 3. ตอกไข่ไก่ใส่ลงในอ่างผสมขนาดใหญ่ จากนั้นตีด้วยตะกร้อไฟฟ้า ใช้ความเร็วปานกลางจนขึ้นฟู 4. ค่อย ๆ ใส่น้ำตาลทรายลงไปทีละน้อยจนหมด ตีจนส่วนผสมข้นเป็นครีม ใช้เวลาตีประมาณ 5 นาที จากนั้นยกตะกร้อขึ้นให้ส่วนผสมไหลลงเห็นเป็นรอยพับ 5. ค่อย ๆ เทน้ำมันใส่ลงในอ่างผสมไข่ ตีส่วนผสมให้เข้ากัน ตามด้วยกลิ่นวานิลลาลงไป ส่วนผสมที่ได้จะข้น ๆ 6. ใส่สีผสมอาหารสีแดงลงไปทั้งหมด ตีส่วนผสมให้เข้ากันดี แล้วใส่น้ำส้มสายชูลงไป 7. ใส่ส่วนผสมแป้งครึ่งหนึ่งลงในอ่างผสมไข่ ตะล่อมส่วนผสมพอเข้ากัน 8. ใส่บัตเตอร์มิลค์ลงไป ตะล่อมส่วนผสมให้เข้ากันอีกครั้ง แล้วใส่แป้งที่เหลือลงไปจนหมด ตะล่อมส่วนผสมให้เข้ากัน (การตะล่อมแป้งตะล่อมเบา ๆ แต่ให้ทำไว ๆ ค่ะ) 9. ค่อย ๆ ตักส่วนผสมใส่ในลงพิมพ์กระดาษ (จริง ๆ ต้องได้ทั้งหมด 24 ถ้วย แต่วันนี้แม่ปูมือหนักไปหน่อย ทำได้ 22 ถ้วยค่ะ) จากนั้นนำเข้าเตาอบ นานประมาณ 23-25 นาที หรือจนเค้กสุก (โดยใช้ไม้ปลายแหลมจิ้มดู ให้จิ้มไม้ลงไปตรงกลางเค้ก ถ้าไม่มีเศษแป้งติดไม้ก็แสดงว่าเค้กสุกแล้ว) นำออกจากเตาอบพักบนตะแกรงให้เค้กคลายความร้อนก่อนประมาณ 10 นาที จึงนำออกจากถาดวางพักให้เค้กเย็นบนตะแกรง - พักเค้กให้เย็นก่อน ระหว่างนี้ก็ไปทำครีมชีสฟรอสติ้งกันค่ะ ส่วนผสม ครีมชีสฟรอสติ้ง - ครีมชีส 227 กรัม - เนยนุ่ม ๆ 113 กรัม - น้ำตาลไอซิ่ง 400 กรัม วิธีทำครีมชีสฟรอสติ้ง - ตีครีมชีสให้เนียนแล้วใส่เนยลงไปตีให้เข้ากันจนส่วนผสมขึ้นฟู (จะได้หน้าตาดังรูป) จากนั้นค่อย ๆ ใส่น้ำตาลไอซิ่งลงไป (หาผ้าคลุมอ่างไว้ด้วยก็ดีค่ะ น้ำตาลจะได้ไม่กระจายเต็มห้อง) ตีไปเรื่อย ๆ จนน้ำตาลละลายหมด (ใช้เวลาไม่นานมากค่ะ) - จะได้ส่วนผสมครีมฟรอสติ้งข้น ๆ เนียน ๆ ดังนี้ จากนั้นนำไปบีบลงบนเค้ก (ถ้าบีบครีมไม่หนามาก ก็จะบีบได้พอดีกับคัพเค้กตามสูตรนี้ค่ะ แม่ปูบีบใส่ บางอันหนา บางอันบาง แต่ก็พอดีค่ะ) - แบบนี้โปะอย่างหนา สำหรับคนที่ชื่นชอบครีมหวาน ๆ เค้กไวท์ช็อกโกแลต ถ้าเอียนกับดาร์กช็อกโกแลตก็ลองเปลี่ยนมาทำไวท์ช็อกโกแลตบ้างก็ได้ ขอนำเสนอเค้กไวท์ช็อกโกแลต สูตรจาก คุณน้องซาแมนต้า สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม เค้กเนื้อแน่นใส่ไวท์ช็อกโกแลตแซมดาร์กช็อกโกแลตตัดเลี่ยน กินกับกาแฟตอนเช้าก็แจ่ม ส่วนผสม เค้กไวท์ช็อกโกแลต • เนยจืด 125 กรัม • ไวท์ช็อกโกแลต 150 กรัม • แป้งสาลีอเนกประสงค์ 130 กรัม • ผงฟู 1 ช้อนชา • เกลือป่น 1/3 ช้อนชา • ไข่ไก่ (อุณหภูมิห้อง) 2 ฟอง • น้ำตาลทรายแดง 100 กรัม • กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา • ไวท์ช็อกโกแลตและดาร์กช็อกโกแลต อย่างละ 80 กรัม (สับให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ) สำหรับใส่ในส่วนผสมเค้กเมื่อได้ผสมเสร็จแล้ว • อัลมอนด์สไลซ์ (สำหรับโรยหน้าเค้ก) 50 กรัม วิธีทำเค้กไวท์ช็อกโกแลต 1. เปิดเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส และร่อนแป้งสาลีกับเกลือป่น และผงฟูเข้าด้วยกัน เตรียมไว้ 2. ละลายเนยจืดและไวท์ช็อกโกแลตเข้าด้วยกันด้วยไมโครเวฟประมาณ 30 วินาที นำออกมาคนผสมให้ละลายเข้ากันแล้วนำเข้าไมโครเวฟต่ออีก 20 วินาที นำออกจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น เตรียมไว้ 3. ตีไข่ไก่ด้วยความเร็วสูงสุด ประมาณ 1 นาที เติมน้ำตาลทรายแดงลงไปแล้วตีด้วยความเร็วปานกลาง ประมาณ 2 นาที 4. เทส่วนผสมเนยกับไวท์ช็อกโกแลตละลายใส่ลงไป ตีต่อด้วยความเร็วต่ำแค่พอเข้ากัน ตามด้วยกลิ่นวานิลลา ตีพอเข้ากัน แบ่งใส่แป้งครึ่งหนึ่งลงไป ตีด้วยความเร็วต่ำแค่พอเข้ากันแล้วใส่แป้งที่เหลือลงไปตีแค่พอเข้ากันแล้วรีบหยุด 5. ใส่ไวท์ช็อกโกแลตและดาร์กช็อกโกแลตสับลงไป ใช้พายยางคนให้ส่วนผสมเข้ากัน เทส่วนผสมใส่พิมพ์ ใช้พายปาดหน้าเค้กให้เรียบและโรยหน้าด้วยอัลมอนด์สไลซ์ 6. นำเข้าเตาอบ อบนานประมาณ 20-25 นาทีหรือจนกว่าเค้กจะสุก ที่ไปที่มาของขนมสีสันผ่องใส มาการูนหรือมาการอง (Macaroon) มาการูน หรือ มาการอง (Macaroon) ของหวานรูปวงกลมเชื้อชาติประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมีสีสันแจ่มใส ใส่ไส้กึ่งกลาง ชักชวนให้น่ากิน กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและก็พบเจอกันได้มากตามห้าง ร้านเบเกอรี่ หรือในโรงแรมประเทศไทยช่วงนี้ ใครจะทราบบ้างว่าแหล่งกำเนิดที่แท้จริงของอาหารหวานทรงกลมสีสันผ่องใสที่น่ากินนี้เป็นของหวานที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอิตาลี มาจากคำว่า "Maccaone หรือ Maccherone" ในภาษาอิตาลี มาการองหรือมาการูน เปิดตัวครั้งแรกในปี คริสต์ศักราช 1553 โดยเชฟหญิงชาวอิตาลีที่มีนามว่า Catherine de Medicis ในงานสมรสของคุณกับ Duc d'Orleans หรือกษัตริย์เฮนรี่ที่ 2 ของประเทศฝรั่งเศส ในอีก 21 ปีถัดมานั่นเอง มาการองหรือมาการูน เริ่มแรกเป็นขนมที่ทำขึ้นมาง่ายๆจากอัลมอนต์ น้ำตาลรวมทั้งไข่ขาวแค่นั้น ซึ่งเป็นของที่ราคาแพงไม่แพงแล้วก็มีคุณค่าทางอาหาร มีการบันทึกไว้ว่าหลานสาวของ Catherine de Medicis และก็ชาวประเทศฝรั่งเศสใช้รับประทานเพื่อประทังชีวิตในสมัยสินค้าต่างๆมีราคาแพง จนกว่าช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ใบหน้าของ มาการองหรือมาการูน ก็แปรไปเป็นของหวานที่มีสีสันบาดตา รวมทั้งนำมาการูนสองแผ่นมาเกาะติดกันโดยมีไส้ "chocolate panache (ช็อกโกแล็ตผสมครีม)" โดย Pierre Desfontaines หลายชายของ Louis Ernest Laduree (Laduree pastry and Salon de the,rue Royale) ร้านเบเกอรี่โด่งดังในประเทศฝรั่งเศส การทำมาการองโดยประมาณคือ การผสมไข่ขาว น้ำตาล รวมทั้งอัลมอนด์ล้วนๆบดละเอียดจนเป็นผุยผงเหมือนแป้ง เรียกส่วนผสมนี้ว่า เมอแรงก์ (meringue) ตักเมอแรงก์ใส่กรวยแล้วบีบลงบนถาดอบเป็นชิ้นกลมๆขนาดเล็ก และก็ต้องตากทิ้งเอาไว้ครู่หนึ่งแล้วจึงนำเข้าเตาอบ ออกมาเป็นฝามาการอง (Shell) แล้วทำไส้ใส่ไว้กึ่งกลาง แนวทางการทำมาการองต้นตำรับ แตกต่างกันตั้งแต่แนวทางตระเตรียมเมอแรงก์แบบที่นิยมทำกันในปัจจุบัน วิธีการทำมาการองแบบต้นตำรับนั้นจะต้องใช้วิธีจัดเตรียมเมอแรงก์แบบ "เฟรนช์ เมอแรงก์ (French Meringue)" คือการตีไข่ขาวกับน้ำตาลแบบไม่ต้องต้ม ใช้มือค่อยๆตีไปเรื่อยๆซึ่งเป็นวิธีเริ่มแรกที่คนประเทศฝรั่งเศสทำมาเมื่อร้อยปีที่ผ่านมา ร้านมาการองที่มีชื่อเสียงในขณะนี้ของประเทศฝรั่งเศสก็ยังคงใช้แนวทางดั้งเดิมนี้อยู่ แต่เดี๋ยวนี้คนโดยมากไม่มีใครทำแล้ว ด้วยเหตุว่าวิธีการทำยุ่งยากกว่าแนวทางต้มน้ำตาลด้วยความร้อนซึ่งจะก่อให้ผิวของมาการองต่างกัน และแบบเริ่มแรกต้องใช้เวลาตากที่อุณหภูมิปกติขั้นต่ำ 3 ชั่วโมงถึงจะนำเข้าอบได้ ในตอนที่แนวทางต้มน้ำตาล ทิ้งเอาไว้เพียงแต่ 15 นาที ก็นำเข้าเตาอบได้เลย มาการองสมัยนี้นิยมต้มน้ำตาลที่อุณหภูมิ 118 องศาเซลเซียส ซึ่งเมื่อรวมกับไข่ขาวจะมีความแน่นและก็คงตัวช่วยไม่ให้ผิวหน้ามาการองแตกจากการอบ ผิวเรียบสวย แต่ว่าไม่มีความอ่อนนุ่มเท่ากับวิธีตีน้ำตาลทราย ไข่ขาวและก็ผงอัลมอนด์ให้ขึ้นฟูเบาๆซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความชำนาญ แนวทางการทำมาการองเจ้าตำรับแบบ เฟรนช์ เมอแรงก์ ทำให้ได้ตัวฝามาการอง (Shell) ซึ่งผิวสัมผัสข้างนอกจะกรอบบางๆกัดหน่อยเดียวจะพบความนิ่มของเนื้อเชลล์แทบละลายในปากผสมกันจนกลมกลืไปกับรสของไส้ คุณสมบัติเฉพาะของมาการองอีกจุด คือ "ชายเล่ห์เหลี่ยมประเทศฝรั่งเศส (skirt)" เป็นส่วนที่เป็นรอยหยักๆบริเวณรอบๆขอบเชลล์ ซึ่งมีต้นเหตุจากส่วนผสมและการอบที่เหมาะสม หากอบแล้วไม่มีสเกิร์ตเกิดขึ้น ตัวเชลล์จะแปลงเป็นขนมผิงที่กรอบทั้งชิ้น (http://www.annann201.com/image/data/11920601_999210586790653_454856427_n.jpg)| ขมป้งบ้านครูแอน อร่อย การันตี เรียนแล้วทำเป็น ชัวร์ (http://www.annann201.com/image/data/12081449_1017937108251334_417336563_n.jpg)| อยากทำขนมเค้กเป็น อยากทำขนมอร่อยๆ เรียนกับครูแอนเลย (http://www.annann201.com/image/data/12071604_1017937091584669_375514808_n.jpg)| ทำขนมเค้กกินเอง ขนมปัง เบเกอรี่ บ้านครูแอน สอนเป็นกันเอง เรียนจบต้องทำเป็นให้จงได้ (http://www.annann201.com/image/data/12067393_1017937111584667_1341016223_n.jpg)} คอร์สแต่งหน้าเค้ก ไส้ขนมปัง เปิดร้านเบเกอรี่ (สอนส่วนตัว) อร่อยเหาะ เครดิต : http://www.annann201.com/ Tags : สอนทำเบเกอรี่,เรียนทำขนมไทย,สอนทำขนมไทย
|