หัวข้อ: สมุนไพร เพชรสังฆาต มีประโยชน์เเละสรรพคุณ เริ่มหัวข้อโดย: sudteen555 ที่ ธันวาคม 08, 2018, 03:25:50 pm (https://static1-velaeasy.readyplanet.com/www.disthai.com/images/content/original-1542858868819.jpg)
เพชรสังฆาต ชื่อสมุนไพร เพชรสังฆาต ชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น สันชะควด (ภาคกลาง) , สันชะคาด , ขันข้อ (ราชบุรี) , สามร้อยต่อ (ประจวบคีรีขันธ์) ชื่อวิทยาศาสตร์ Cissus quadrangularis Linn. วงศ์ Vitaceae ถิ่นกำเนิด เพชรสังฆาตเป็นพืชเขตร้อนที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปเอเชีย และแอฟริการวมทั้งมีการแพร่ไปจำพวกไปตามประเทศเขตร้อนของทวีปดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น โดยพบบ่อยตามรอบๆป่าหรือที่ชื้นที่หรูหราความสูงไม่เกิน 600 เมตรจากระดับน้ำทะเล ส่วนในประเทศไทยพบได้มากตั้งแต่ภาคเหนือตอนล่างลงไป และก็ชอบมีดอกรวมทั้งติดผลในช่วงเดือน มิถุนายน-สิงหาคม ลักษณะทั่วไป เพชรสังฆาตจัดเป็น ไม้เถาเลื้อย โดยมีเปลือกเถาเรียบ เถาอ่อนรูปสี่เหลี่ยมเป็นครีบ เป็นข้อๆต่อกันมองเห็นข้อบ้องกระจ่างแจ้ง ลักษณะเป็นบ้องๆตรงข้อเล็กรัดตัวลงแต่ละข้อยาวราว 6-10 เซนติเมตร บางข้ออาจมีรากออกมาด้วย มีมือเกาะออกตรงข้อต่อตรงข้ามกับใบ ตามข้อมียางขาว ใบเดี่ยว เรียงสลับ ออกตามข้อต้น ข้อละ 1 ใบ กว้าง 3-8 ซม. ยาว 4-10 ซม. ใบเป็นรูปสามเหลี่ยมหรือรูปไข่ กลมหนา เล็ก ผิวเรียบ ปลายใบมน โคนใบเว้า หลังใบและก็ท้องใบเรียบวาว ขอบใบหยักมนห่างๆหรือหยักเว้า 3-5 หยัก เนื้อใบนิ่ม ก้านใบยาว 2-3 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อ ออกตามข้อต้นตรงข้ามกับใบ ดอกกลมเล็กสีแดงเขียวเป็นช่อขนาดเล็ก ยาวประมาณ 2-4 ซม.ดอกย่อยสีเขียวอ่อน มีขนาด 2.5 มม. กลีบดอกมี 4 กลีบโคนกลีบดอกไม้ข้างนอกมีสีแดง ส่วนกลีบภายในสีเขียวอ่อน เมื่อบานเต็มที่ดอกจะงอโค้งไปทางข้างล่าง เกสรตัวผู้มี 4 อันวางตรงกับกลีบดอก ผลสดทรงกลม ผิวเรียบวาว ฉ่ำน้ำ ผลกลมขนาด 4-7 มม. ผลอ่อนสีเขียว พอเพียงสุกเป็นสีแดงหรือดำ เมล็ดกลมสีน้ำตาลมี 1 เมล็ด การขยายพันธุ์ เพชรสังฆาตนิยมใช้วิธีการปักชำโดยมีวิธีการคือ คัดเถาที่มีลักษณะเหมาะสม เป็น ต้องเป็นเถาที่มีลักษณะครึ่งหนึ่งแก่ครึ่งอ่อน นำมาตัดเป็นท่อนให้แต่ละท่อนมีข่อติดอยู่จำนวน2 ข้อแล้ว กระทำปักชำท่อนจำพวกโดยใช้ข้อทางด้านโคนของเถาฝังลงดินแล้วกลบให้แน่น รดน้ำให้ชุ่ม รวมทั้งควรจัดวางถุงกล้าไม้ที่ปักชำเอาไว้ในที่ร่ม ในส่วนของข้อที่เหลืออยู่ข้างบนจะเป็นบริเวณที่แตกใบใหม่เพื่อเจริญเป็นเถาต่อไป ส่วนประกอบทางเคมี เถาของเพชรสังฆาตมีองค์ประกอบทางเคมี ตัวอย่างเช่น natural plant steroids (ketosterones): onocer-7-ene-3 alpha, 21 beta-diol, delta-amyrin, delta-amyrone และ 3,3',4,4'- tetrahydroxybiphenyl สารกรุ๊ป stilbene: quadrangularins A, B, C, resveratrol, piceatannol, pallidol , parthenocissine A.สารในกลุ่ม flavonoids อาทิเช่น diosmin, hisdromin, hesperidin. รวมถึง ascorbic acid (vitamin C), lupeol, carotene และก็ calcium oxalate. ผลดี/สรรพคุณ ตามตำรายาไทย ระบุว่า เถา รสร้อนขมคัน เป็นยาแก้ริดสีดวงทวารหนัก แก้โรคลักปิดลักเปิด แก้ระดูไม่ดีเหมือนปกติ แก้กระดูกแตกหักซ้น ขับลมในลำไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ริดสีดวงทวารทั้งยังจำพวกกลีบมะไฟและก็เดือยไก่ • ราก รักษาอาการกระดูกแตกหัก • ต้น แก้หูน้ำหนวก แก้เลือดกำเดา แก้ระดูเปลี่ยนไปจากปกติ ช่วยเจริญอาหาร ช่วยขับน้ำเหลืองเสีย • ใบ รักษากระดูกแตกหัก รักษาโรคไส้ (อาการของกินไม่ย่อย) ช่วยขับน้ำเหลืองเสีย แก้ริดสีดวงทวารหนัก นอกเหนือจากนั้นในงานวิจัยด้านการแพทย์แผนปัจจุบันยังกำหนดไว้ว่าเพชรสังฆาต มีคุณภาพที่ดีในการรักษาริดสีดวงทวารหนักโดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดอาการคัน ปวดการเกิดเลือดออก รวมทั้งกลับกลายซ้ำ ทั้งยังในตอนนี้ได้มีการค้นคว้าพบว่า "เพชรสังฆาต" มีวิตามินซีสูงมากซึ่งยืนยันสรรพคุณรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้เป็นอย่างดี และยังอุดมไปด้วยแคโรทีนซึ่งเป็นสารเริ่มของวิตามินเอ มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่สำคัญมีส่วนประกอบของแคลเซียมสูงมากมาย รวมถึงสารอนาโบลิก สเตียรอยด์ (Anabolic Steroids) ที่มีฤทธิ์เร่งปฏิกิริยาการสมานกระดูกที่แตกหักโดยกระตุ้นการผลิตเซลล์ออสเตโอบลาสต์ (Osteoblast) ซึ่งปฏิบัติภารกิจสร้างกระดูกและก็ยังช่วยทำให้มีการสร้างสารมิววัวโพลีแซกติดอยู่ไรด์ (Mucopolysaccharides) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในวิธีการสมานกระดูก นอกเหนือจากนี้สารคอลลาเจน (Collagen) ในเพชรสังฆาตยังเป็นสารอินทรีย์โปรตีน ที่มาจับกุมตัวกับผลึกแคลเซียมฟอสเฟตจนกระทั่งแปลงเป็นกระดูกแข็งที่สามารถรับน้ำหนักและมีความยืดหยุ่นในตนเองอีกด้วย นอกนั้นเพชรสังฆาตยังสามารถใช้ปลูกเพื่อเป็นไม้ประดับ เพราะว่าเพชรสังฆาตเป็นไม้เถาเลื้อยมีลักษณะทรงเป็นสีเหลี่ยมแปลกตา มีดอกรวมทั้งผลเป็นช่อสีแดงสวย สามารถนำไปปลูกเอาไว้สำหรับเพื่อการตกแต่งบริเวณรั้วบ้าน ซุ้มไม้หรือบริเวณโคนต้นไม้ใหญ่เพื่อให้เถาก้าวหน้าเลื้อยพันขึ้น ต้นแบบ/ขนาดวิธีการใช้ ในสมัยก่อนการใช้เพชรสังฆาตรักษา ริดสีดวงทวารหนักจะทำ โดยนำ เถาสดใส่กล้วยหรือ มะขามแล้วกลืน (เนื่องมาจากเพชรสังฆาตมีแคลเซียม ออกซาเลต (calcium oxalate) การกลืนเถาสดอาจ เกิดการระคายเคืองทางเดินอาหารได้) ต่อมาได้มี การนำ เพชรสังฆาตมาผลิตให้อยู่ในแบบอย่างแคปซูลเพื่อง่ายต่อการบริหารยา โดยในรูปยาผงใส่แคปซูล 250 มิลลิกรัม ให้กินครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง ก่อนที่จะรับประทานอาหารรวมทั้งก่อนนอน ตรงเวลา 5-7 วัน หนังสือเรียนยาพื้นเมืองจังหวัดโคราช ใช้ ต้น แก้ริดสีดวงทวารโดยหั่นเป็นแว่น ตำผสมเกลือนำไปตาก ปั้นเป็นลูกร้อยกรอง รับประทานครั้งละ 1 เม็ด 3 เวลา หรือใช้เถาสดคั้นเอาน้ำกิน แก้โรคลักปิดลักเปิด แก้รอบเดือนไม่ดีเหมือนปกติ แก้กระดูกแตกหักซ้นขับลมในไส้ ตำรับยาสมุนไพรประจำถิ่นล้านนา ใช้น้ำจากต้น หยอดหู แก้น้ำหนวกไหล หยอดจมูกแก้เลือดเสียในสตรีใช้เถาตำละเอียดเป็นยาพอกบริเวณกระดูกหักช่วยลดอาการบวม อักเสบ น้ำคั้นจากเถาใช้ดื่มแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้เลือดประจำเดือนสตรีไม่ดีเหมือนปกติ รักษาริดสีดวงทวารที่เริ่มเป็นระยะแรก ส่วนอินเดีย ใช้ ลำต้น เป็นยาพอกเมื่อกระดูกหัก น้ำคั้นจากต้นรับประทานแก้โรคลักปิดลักเปิด แก้อาการผิดปกติของประจำเดือน การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา ผลต่อแรงตึงตัวของหลอดโลหิตดำ สารสกัดเพชรสังฆาตมีฤทธิ์กระตุ้นเส้นเลือดดำ ให้มีความตึงตัวเพิ่มขึ้น คล้ายกับส่วนผสมของไบโอฟลาโวนอยด์ 2 จำพวก ตัวอย่างเช่น ไดออสมิน 90%รวมทั้งฮิสเพอริดิน 10% ที่พบในตำรับยาแผนปัจจุบัน สำหรับใช้รักษาริดสีดวงทวาร ฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบทันควัน สารสกัดเมทานอลยับยั้งการบวมของใบหู และก็การบวมของอุ้งเท้าของหนูขาว ที่ถูกกระตุ้นด้วยสารเคมี สารสกัดเฮกเซนที่ความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 1 แล้วก็สารสกัดเอทานอลที่ความเข้มข้นปริมาณร้อยละ 5 ลดอาการบวมของใบหูหนูที่รั้งนำด้วยสารเคมี ถึงที่เหมาะเวลา 30 นาที ตรวจเจอส่วนประกอบทางเคมีของสาร lupeol ในสารสกัดเฮกเซน ฤทธิ์แก้ปวด สารสกัดเมทานอลลดปริมาณครั้งที่หนูถีบจักรยืดบิดตัวจากลักษณะการเจ็บปวดท้องเนื่องมาจากได้รับกรดอะซีตำหนิกที่ฉีดเข้าทางช่องท้อง แล้วก็ลดช่วงเวลาของการเลียเท้าหลังอีกทั้ง 2ระยะ สำหรับการทดลองด้วยการฉีดฟอร์มาลิน แสดว่าออกฤทธิ์แก้ปวดผ่านทั้งระบบประสาทศูนย์กลาง แล้วก็ส่วนปลาย ฤทธิ์ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร สารสกัดเอทานอล สามารถลดการเกิดแผลในกระเพาะอาหารหนูขาวที่ถูกรั้งนำให้เป็นแผลด้วยแอสไพริน เมื่อให้สารสกัดขนาด 250, 500 รวมทั้ง 750 มก./กิโลกรัม ให้หนูรับประทานนาน 7 วัน ลดการเกิดแผลได้ 40, 71.2 และก็ 72.6% เป็นลำดับ เปรียบเทียบกับranitidine ขนาด 30 มิลลิกรัม/กก. ลดการเกิดแผล 71.9% ด้วยเหตุผลดังกล่าวสารสกัดขนาด 500 มก./กก. เป็นขนาดที่เยี่ยมที่สุด เนื่องจากออกฤทธิ์ใกล้เคียงกับ Ranitidine รวมทั้งให้ผลไม่ต่างอะไรกับขนาด 750 มก./กก.จะลดการทำลายเนื้อเยื่อในกระเพาะอาหาร รวมทั้งรายงานการวิจัยอีกฉบับหนึ่งกล่าวว่า การเรียนรู้ประสิทธิผลแล้วก็ผลข้างเคียงของการใช้สมุนไพรเพชรสังฆาตในคนป่วยโรคริดสีดวงทวารระยะรุนแรง ปริมาณ 570 คน โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ได้รับยาที่มีส่วนผสมของฟลาวานอยด์ (Daflon 500 มก./เม็ด) กลุ่มที่ได้รับสมุนไพรเพชรสังฆาต (500 มิลลิกรัม/เม็ด) และกลุ่มที่ได้รับยาหลอก ในตอน 4 วันแรก ให้กินทีละ 3 เม็ด เช้าตรู่รวมทั้งเย็นหลังอาหาร รวมทั้งช่วง 3 คราวหลัง ได้รับครั้งละ 2 เม็ด เช้าตรู่และก็เย็น หลังอาหาร คนป่วยจะได้รับการคาดคะเนอาการต่างๆคือ เลือดออกทางทวารหนัก มูก อาการคัน รอยแดงหรืออักเสบรอบทวารหนัก รวมทั้งการสัมภาษณ์เพื่อสอบถามอาการ แล้วก็มีการตรวจเลือดและก็ติดตามผลข้างเคียงของการได้รับยาหรือสมุนไพรควบคู่ไปพร้อมกันด้วย ผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยในทุกกรุ๊ปโดยมากอาการเลือดออกกะทันหันจะหยุดในวันที่ 2 ของการให้ยา รวมทั้งมีลักษณะดีขึ้นข้างหลังการให้ยาครบ 7 วัน ประสิทธิผลของการดูแลและรักษาในคนเจ็บทุกกรุ๊ปไม่ต่างกันอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ และไม่ส่งผลข้างเคียงเกิดขึ้น สรุปได้ว่าเพชรสังฆาตให้ผลสำหรับเพื่อการรักษาริดสีดวงทวารในระยะฉับพลันไม่ได้แตกต่างจากยาที่มีส่วนผสมของฟลาวานอยด์แล้วก็ยาหลอก มีความหมายว่าเพชรสังฆาตไม่เป็นผลช่วยสำหรับเพื่อการรักษาริดสีดวงทวารในระยะเฉียบพลัน การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา ความเป็นพิษเฉียบพลัน เมื่อทดลองความเป็นพิษโดยให้หนูขาวรับประทาน ขนาด 0.5 – 5.0 กรัม/กก ไม่พบพิษอะไรก็ตาม ความเป็นพิษครึ่งหนึ่งเรื้อรัง (3 เดือน) ในหนูขาวชนิดวิสตาร์ 5 กลุ่มๆละ 12 ตัว/เพศ กรุ๊ปควบคุมได้รับน้ำทางปาก 10 มล./น้ำหนักตัว 1 กก./วัน เวลาที่หนูอีก 4 กลุ่มได้รับผงยาเพชรสังฆาตแห้งทางปากในขนาด 0.03,0.3 แล้วก็ 3.0 กรัม/น้ำหนักตัว 1 กก/วัน หรือเทียบเท่า 1,10 และก็ 100 เท่าของขนาดที่ใช้ในคน/วัน เป็นลำดับ โดยกรุ๊ปท้ายที่สุดเป็นกลุ่มพินิจอาการหลังการหยุดยา ผลการศึกษาเรียนรู้พบว่าการเติบโตของกลุ่มท้ายที่สุดเป็นกรุ๊ปพินิจอาการหลังการหยุดยา ผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยพบว่าการเจริญเติบโตของกรุ๊ปได้รับผงยาและก็กลุ่มควบคุมไม่มีความแตกต่างกัน ไม่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดความเคลื่อนไหวของค่าทางเลือดวิทยารวมทั้งค่าทางซีรั่มวิชาชีวเคมี หรือจุลพยาธิภาวะของอวัยวะภายในที่มีความเกี่ยวเนื่องกับขนาดของผงยา และไม่เจอความเปลี่ยนไปจากปกติใดๆก็ตามซึ่งสามารถสรุปได้ว่าเนื่องจากความเป็นพิษของผงยาเพชรสังฆาต ข้อเสนอแนะ/ข้อพึงระวัง การกินเพชรสังฆาตสด อาจจะส่งผลให้เกิดอาการระคายคอ ระคายเยื้อบุในปากเนื่องจากว่าเถาสดมีผลึกแคลเซียมออกซาแลโคนยู่มากมาย 2. ห้ามรับประทานติดต่อกันนานเกิน 2 สัปดาห์เพราะอาจจะเป็นผลให้เกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ คนไข้โรคไตห้ามกิน 3. การใช้สมุนไพรเพชรสังฆาตควรขอความเห็นหมอหรือผู้เชี่ยวชาญในการใช้เสมอ ด้วยเหตุว่าอาจก่อให้เป็นผลใกล้กันที่ไม่ประสงค์ได้ เช่น ตาเหลือง ตัวเหลือง เยี่ยวน้อย แน่นท้อง เป็นต้น เอกสารอ้างอิง
Tags : เพชรสังฆาต
|