ล้อแม็ก แม็ก แม็กล้อ แม็กซ์แต่งรถ ล้อแม็กคุณภาพ รวมล้อแม็กลายใหม่ๆ

Sitemap SMB => สินค้าอื่นๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: kkjofkgkuy ที่ ธันวาคม 25, 2018, 07:26:22 pm



หัวข้อ: ลูกซัด มีประโยชน์เเละสรรพคุณ
เริ่มหัวข้อโดย: kkjofkgkuy ที่ ธันวาคม 25, 2018, 07:26:22 pm
(https://static1-velaeasy.readyplanet.com/www.disthai.com/images/content/original-1543806904131.jpg)
ลูกซัด
ชื่อสมุนไพร  ลูกซัด
ชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น  ไม่มีข้อมูล
ชื่อวิทยาศาสตร์   Trigonella foenum-graecum L.
ชื่อสามัญ  Fenugreek , Methi
วงศ์ LEGUMINOSAE (FABACEAE) - PAPILIONIODEAE
ถิ่นกำเนิด
ลูกซัดเป็นพืชที่มีบ้านเกิดเมืองนอนในแถบเมติเตอร์เรเนียน และมีการกระจัดกระจายชนิดไปในอินเดีย จีน รวมทั้งประเทศแอฟริกา ดังเช่นว่า อียิปต์ , เอธิโอเปีย ในปัจจุบันสามารถ เจอได้ในหลายพื้นที่ทั้งโลกอีกทั้งในทวีปเอเชีย แอฟริกา และก็ยุโรปโดยส่วนใหญ่นิยมใช้เมล็ดของลูกซัดซึ่งมีกลิ่น เฉพาะตัว เป็นเครื่องเทศในการทำอาหาร โดยยิ่งไปกว่านั้นในอาหรับและก็อินเดีย ส่วนแหล่งปลูกเพื่อการค้าขายที่สำคัญ ดังเช่น ประเทศอินเดีย อียิปต์ ตูนีเซีย โมร็อกโก เอธิโอเปียประเทศฝรั่งเศส ตุรกี และก็ จีน
ลักษณะทั่วไป
ลูกซัดจัดเป็นไม้ล้มลุกอายุปีเดียว ลำต้นตั้งชัน สูงได้ถึง 60 เซนติเมตร รากแก้วขนาดใหญ่ใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 3 ใบ เรียงสลับ หูใบขนาดเล็ก ก้านใบยาว 1-4 หรือ 1-6 ซม. แกนกลางสั้น ใบย่อยรูปไข่กลับหรือขอบขนาด กว้าง 0.5-2 ซม. ยาว 1.5-4 ซม. ดอกลำพังออกที่ซอกใบ รูปดอกถั่ว สีเหลือง ยาว 1-1.5 ซึม ฝักรูปขอบขนาน กว้าง 2-4 เซนติเมตร ยาว 5-19 ซม. ผิวเนียน ในฝักมีเม็ด 10-20 เมล็ด เมล็ดแก่สีน้ำตาลอ่อน หรือสีเหลืองทอง เมล็ดมีขนาดเล็ก ขนาดกว้าง 3 มิลลิเมตร ยาว 4 มม. ครึ้ม 1 มิลลิเมตร มีร่องกึ่งกลางเม็ด มีกลิ่นแรงเฉพาะบุคคล เม็ดมีรสฝาด มีกลิ่นหอมหวน
การขยายพันธุ์
ลูกซัดสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ด และการปักชำ โดยมีวิธีการเพาะเมล็ดรวมทั้งใช้กิ่งปักชำ รวมถึงกรรมวิธีปลูกเหมือนกันกับพืชประเภทอื่นๆทั่วๆไป
องค์ประกอบทางเคมี
เมื่อศึกษาทางด้านองค์ประกอบทางเคมีพบว่าสาระสำคัญที่เจอในลูกซัดประกอบด้วยgalactomannan ร้อยละ 14-15 น้ำมันระเหยยาก (fixed oil) มีรสขมและกลิ่นเหม็น น้ำมันระเหยง่ายปริมาณร้อยละ 0.02 เจอสารกรุ๊ปAlkaloids ตัวอย่างเช่น trigonelline , สารกรุ๊ป saponin ดังเช่นว่า diosgenin, yamogenin, tigogenin, neotigogenin, Graecunin A-G sarsapogenin smilgenin trigofoenside A trigofoenoside B,C trigofoenoside D trigofoenoside F,G yuccagenin, gitogenin สารกรุ๊ปflaronoids ดังเช่นว่า vitexin, orientin, quercetin, luteolin kaempferol กรดอะมิโนชื่อ 4-hydroxyisoleucine

ที่มา : Wikipedia
นอกเหนือจากนี้ ลูกซัดยังมีคุณค่าทางโภชนาการดังนี้ คุณค่าทางโภชนาการของเม็ดลูกซัดต่อ (100 กรัม) (3.5 ออนซ์)
พลังงาน 1,352 kJ (323 kcal)
คาร์โบไฮเดรต 58 กรัม
เส้นใยอาหาร 25 กรัม
ไขมัน 6.4 กรัม
โปรตีน 23 กรัม
วิตามิน
Thiamine(B 1 ) ไทอะมีน (วิตามิน B1) 0.322 mg
Riboflavin (B 2 ) ไรโบฟลาวิน (วิตามิน B2) 0.366 มก
ไนอาสิน(B 3 ) (วิตามิน B3) 1.64 มก
ไพริดอกซิน (วิตามิน บี6) 0.6 มก
โฟเลต(B 9 ) (วิตามิน B9) 57 ไมโครกรัม
แอสคอบิดเอสิด (วิตามินซี) 3 มก
แร่ธาตุ
แคลเซียม 176 มิลลิกรัม
เหล็ก 34 มก
แมกนีเซียม 191 มก
แมงกานีส 1.23 mg
ฟอสฟอรัส 296 มก
โพแทสเซียม 770 มก
โซเดียม 67 มก
สังกะสี 2.5 มก
ส่วนประกอบอื่นๆ
น้ำ 8.8 กรัม
คุณประโยชน์/สรรพคุณ
ลูกซัดถูกประยุกต์ใช้เป็นเครื่องเทศในการทำอาหาร เพราะให้กลิ่นหอมยวนใจ รวมทั้งมีรสขมส่วนตัว เป็นรสเสน่ห์อาหารอย่างหนึ่ง ซึ่งลูกซัดจะมีกลิ่นหอมสดชื่นคล้ายขึ้นฉ่ายแม้กระนั้นแรงกว่า รสออกขมนิดๆขื่นหน่อยๆเมื่อจะใช้เขานำไปคั่วไฟก่อน ไฟต้องอ่อนมากมายๆเนื่องจากว่าลูกซัดเปราะบาง ไหม้ง่าย เมื่อคั่วแล้วจะมีกลิ่นหอมสดชื่นมากเพิ่มขึ้น ถ้าเกิดคั่วด้วยน้ำมันเม็ดจะขยายตัว รสออกขมเข้มขึ้น เจือด้วยรสเผ็ดนิดๆรวมทั้งด้วยคุณสมบัติกลิ่นและรสดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ลูกซัดจึงเปลี่ยนเป็นส่วนผสมที่สำคัญใน ?ผงกะหยี? อันเป็นเครื่องเทศสากลที่ใช้กันทั้งโลก และก็ที่ชาวอินเดียใช้ ลูกซัดสำหรับในการดองมะม่วง พริก กระเทียมรวมทั้งผักอื่นๆทำเป็น Achar (อาจาด) ที่ใช้เป็นเครื่องเคียงของสะเต๊ะ และในอีกหลายๆประเทศก็ยังมีการใช้ลูกซัดมาเป็นส่วนผสมของแป้งเพื่อจัดเตรียมเป็นอาหารชนิดต่างๆอย่างเช่น ขนมปัง แป้งพิซซ่า มัฟฟิน และก็ขนมเค้ก รวมถึงมีการคิดค้นเพื่อพัฒนาลูกซัดในลักษณะของอาหารเพื่อสุขภาพ (functional food) และก็ สินค้าเสริมอาหาร (dietary supplement) อีกด้วย ในอินเดียวมีการใช้เม็ดแก้ท้องร่วง รักษาเกาต์ เบาหวานขับน้ำนม กระตุ้นกำหนัด แล้วก็ขับระดู ส่วนในประเทศทางแถบยุโรป จะใช้เม็ดรักษาโรคเบาหวาน และขับน้ำนม
สำหรับคุณประโยชน์ทางยาตามตำรายาไทย: ใช้เมล็ด แก้ท้องร่วง กล่อมเสลดและอาจมแก้ธาตุทุพพลภาพแก้ท้องขึ้น ขับลมในลำไส้ขับปัสสาวะ บำรุงธาตุ ทำให้เจริญอาหาร บดแล้วนำมาใช้พอก ฝี ลดอาการบวม ทาแผลต่างๆแก้อักเสบบวม แก้ไอเรื้อรัง ช่วยให้ระดูมาปกติ
สรรพคุณแผนโบราณ ขับเสมหะ ทำให้ชุ่มชื้น ต่อต้านการอักเสบ ขับรอบเดือน ขับนมหลังคลอดลูก รักษาเบาหวาน ส่วนคนประเทศไทยในโบราณกาลใช้น้ำต้มลูกซัดและก็เปลือกชะลูดต้มผ้า เพื่อผ้ามีกลิ่นหอมยวนใจและก็แข็งจับกลีบได้ ซึ่งสารเมือกที่มีในลูกซัดนั่นเองที่ทำให้ผ้าแข็งตัวเป็นเงางาม เดี๋ยวนี้ได้มีการใช้เมือกของลูกซัดสำหรับการอาบกระดาษมัน รวมทั้งผสมสำหรับในการทำยาเม็ดเพื่อให้การแตกตัวของยาดีขึ้น
ต้นแบบ/ขนาดวิธีใช้
การใช้ลูกซัดในปัจจุบันเป็นการใช้สำหรับเพื่อการบริโภคในรูปแบบของเครื่องเทศ และของกินมากกว่า การใช้สำหรับการเป็นยารักษาโรคเนื่องจากขนาดสำหรับการให้ยารักษาโรคนั้นก็ยังไม่มีรายงานการศึกษาเรียนรู้ที่ชี้ชัดถึงขนาดการใช้ที่เหมาะสมแล้วก็มีความปลอดภัยที่แน่นอน
การเรียนทางเภสัชวิทยา
มีการเล่าเรียนฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดในสัตว์ทดสอบ อีกทั้งปกติแล้วก็ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวาน โดยพบว่าในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวานด้วย alloxan เมื่อฉีดสารสกัดน้ำจากใบ ขนาด 0.06 0.2 0.5 และก็ 1 กรัม/กิโลกรัม และก็สารสกัด 70% เอทานอลจากใบ ขนาด 0.8 ก./กก. เข้าทางท้อง และก็ป้อนสารสกัดน้ำจากใบ ขนาด 1 2 และ 8 กรัม/กก. ส่งผลลดน้ำตาลในเลือดของหนู ยาต้มและสารสกัด 95% เอทานอลจากเม็ด ขนาด 0.5 มล./ตัว สารสกัด 95% เอทานอลจากเมล็ด ขนาด 250 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และก็สารสกัดอัลกอฮอล์จากเมล็ด ขนาด1 2 แล้วก็ 4 ก./กิโลกรัม มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดในหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้บาหวานด้วย alloxan ได้เหมือนกัน
ลูกซัดมีผลเสริมฤทธิ์ของยารักษาโรคเบาหวานโดยเมื่อให้ผงเม็ดลูกซัดร่วมกับยา glicazide พบว่าลูกซัดจะเสริมและเพิ่มช่วงเวลาการออกฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของยาในหนูแรทธรรมดา หนูที่ถูกรั้งนำให้เป็นโรคเบาหวานด้วย alloxan monohydrate และในกระต่ายปกติ โดยไม่ทำให้มีการเกิดการชักเนื่องมาจากน้ำตาลในเลือดต่ำ สารสกัดเอทานอล ขนาด 500 มิลลิกรัม/กก. เมื่อให้ร่วมกับยาglibenclamide แก่หนูแรทปกติและหนูที่ถูกรั้งนำให้เป็นเบาหวานด้วย streptozotocin จะส่งผลเสริมฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดเช่นกันผงเม็ด ขนาด 15 กิโลกรัม ส่งผลลดน้ำตาลในเลือดรวมทั้งอินซูลินของคนไข้ เมื่อทดสอบด้วยวิธีการวัดระดับน้ำตาลในเลือดหลังอาหาร (Meal tolerance test) เมื่อให้ผู้เจ็บป่วย จำนวน 15 คน รับประทานอาหารที่ผสมผงเมล็ดลูกซัดที่ขจัดไขมัน จำนวน 100 กรัมนาน 10 วัน พบว่าระดับน้ำตาลแล้วก็อินซูลินในเลือดต่ำลง ผู้เจ็บป่วย อายุระหว่าง38-54 ปี ปริมาณ 10 คน ที่ทานอาหารซึ่งผสมผงเม็ดลูกซัด ขนาด 25 ก. โดยแบ่งเป็นขนาดเท่าๆกัน รับประทานวันละ2 มื้อ เป็น ช่วงกลางวันแล้วก็เย็น นาน 15 วัน พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลง โดยลูกซัดมีผลลดระดับน้ำตาลในพลาสมา เพิ่มการใช้เดกซ์โทรส รวมทั้งเพิ่ม insulin receptor บนเม็ดเลือดแดง ทำให้เพิ่มแรงต้านทานต่อกลูโคส รวมทั้งเมื่อให้คนป่วย ปริมาณ 60 คน ทานอาหารที่ผสมผงเม็ดลูกซัดในขนาดเดียวกันนี้ นาน 24 อาทิตย์ พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดรวมทั้งอินซูลินในผู้เจ็บป่วยต่ำลงเช่นเดียวกัน
การเรียนรู้
 
ในอาสาสมัครร่างกายแข็งแรงที่รับประทานแคปซูลผงใบลูกซัดขนาด 2.5 กรัม วันละ 2 ครั้ง นาน 3 เดือน พบว่าไม่มีผลลดน้ำตาลในเลือด เมื่อให้คนธรรมดา ปริมาณ 6 คน รับประทานตำรับอาหารที่ผสมผงเมล็ดลูกซัดดิบ เมล็ดต้น และก็เมล็ดกำลังผลิออก จำนวน 12.5 ก. วันละครั้งเป็นอาหารเช้า หรือให้กินตำรับยาซึ่งประกอบด้วยลูกซัด และก็ guar gum พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงเมล็ด ขนาด 25 กรัม ยางที่สกัดจากเมล็ด (gum) ขนาด 5 กรัม แล้วก็ใบ ขนาด 150 ก. มีผลลดน้ำตาลในเลือดของคนปกติได้ เมื่อให้อาสาสมัครชายร่างกายแข็งแรงอายุ 20-30 ปี ปริมาณ 20 คน กินสารสกัดน้ำจากใบ ขนาด 40 มก./กก.พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดน้อยลง 13.4 ภายหลังได้รับสารสกัด 4 เซนติเมตร โดยมีผลใกล้กันบางส่วน ดังเช่นว่า รู้สึกหิวฉี่บ่อยครั้ง รวมทั้งเวียนหัว
 
นอกเหนือจากนี้ยังมีงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัย
 
จำนวนหนึ่งทำทดลองโดยให้สตรี ที่อยู่ในตอนให้นมบุตรดื่มชาที่มีส่วนผสมของลูกซัด ผลสรุปที่ได้ เป็น มีสัญญาณบ่งชี้ถึงจำนวนน้ำนมที่เพิ่มขึ้นของคุณแม่ในกลุ่มทดลองอย่างเป็นจริงเป็นจัง เมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปควบคุมที่ไม่ได้บริโภคชาที่มีส่วนผสมของลูกซัด จึงอาจกล่าวได้ว่า ของกินเพิ่มนมที่มีส่วนผสมของลูกซัดอาจช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำนม แล้วก็มีส่วนช่วยเพิ่มน้ำหนักตัวเด็กในระยะหลังคลอดได้ด้วย แม้กระนั้น หลักฐานที่แจ่มกระจ่างทางด้านการแพทย์เกี่ยวกับลูกซัดที่ชมรมกับการเพิ่มจำนวนน้ำนมในสตรีที่ให้นมบุตรยังคงมีจำกัดและนักวิจัยยังระบุว่าควรจะมีการเรียนเพิ่มอีกต่อไป
 
การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา
ลูกซัด การทดสอบความเป็นพิษ ยาต้มจากใบ สารสกัดน้ำจากใบ หรือสารสกัดเอทานอล:น้ำจากเมล็ดเมื่อฉีดเข้าทางท้องหนูแรท และหนูเม้าส์ มีค่าLD50 เท่ากับ 4 กรัม/กิโลกรัม 1.9 กรัม/กก. และก็ 1ก/กก. เป็นลำดับ เมื่อป้อนหนูแรทด้วยสารกสัดน้ำจากใบพบว่ามีค่า LD50 พอๆกับ 10 ก./กก. สารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์จากเม็ด เมื่อทดลองในกระต่ายและก็หนูแรทมีค่า LD50 มากกว่า 2 รวมทั้ง 5ก./กิโลกรัม ตามลำดับ
การกินเมล็ดลูกซัด ขนาด 25 ก./วัน ไม่ก่อให้เกิดพิษ การศึกษาความเป็นพิษในคนป่วยที่เป็นเบาหวานประเภทที่ 2 จำนวน 60 คน โดยให้กินอาหารที่เสริมผงเม็ดลูกซัด 25 กรัม นาน 24 อาทิตย์ พบว่าไม่เป็นพิษต่อตับแล้วก็ไต และไม่เจอความผิดปกติของค่าทางเลือดวิทยา แม้กระนั้นหรูหรายูเรียในเลือดลดน้อยลงภายหลังจากกิน 12 สัปดาห์
พิษต่อเซลล์ สารสกัดน้ำจากเม็ด ความเข้มข้น 0.3 มก./มล. เป็นพิษต่อเซลล์ตับของหนูแรท โดยทำให้กำเนิดความผิดปกติของไครโมโซม
พิษต่อตัวอ่อน ไม่เจอความเป็นพิษต่อตัวอ่อน เมื่อป้องผงเมล็ดแห้ง ขนาด 175 มิลลิกรัม/กก. ให้แก่หนูแรทที่ตั้งท้อง เมล็ด ขนาด 2 กรัม/ตัว ไม่มีผลทำให้หนูแรทแท้ง
มีรายงานผู้เจ็บป่วยที่การเกิดอาการแพ้จากการสูดดมผงเมล็ดลูกซัด โดยการทำให้น้ำมูกไหลมาก หอบและก็สลบ และผู้เจ็บป่วยที่เกิดอาการแพ้จากการรับประทานเครื่องแกง ที่มีลูกซัดเป็นส่วนประกอบ โดยมีอาการหลอดลมบีบเกร็ง หอบ และท้องเสีย รวมทั้งจะเสริมให้แพ้มากมายในผู้ป่วยที่แพ้ถั่วดินด้วย ในคนไข้ที่เป็นหอบหืดเรื้อรังซึ่งใช้ผลเม็ดลูกซัดสำหรับแก้รังแค พบว่าทำให้หนังหัวหมดความรู้สึก หน้าบวม และหอบ
 
คำแนะนำ/ข้อควรไตร่ตรอง

1. ไม่ชี้แนะให้คนที่แพ้ของกินประเภทถั่วทานลูกซัด ด้วยเหตุว่าถั่วลูกซัดเป็นพืชเครือญาติถั่ว ถึงจะจัดเป็นเครื่องเทศก็ตาม
2. หญิงตั้งครรภ์ไม่สมควรทานถั่วลูกซัด เพราะว่าถั่วลูกซัดอาจเข้าไปกระตุ้นการยุบตัวของมดลูกได้
3. ต้องระวังการใช้ลูกซัดร่วมกับยารักษาโรคเบาหวาน อย่างเช่น ยาในกลุ่ม sulfonylureas ยกตัวอย่างเช่น chlorpropamide, glibencamide, glipizide, gliclazide, gliquidone และ glimepiride เพราะเหตุว่าลูกซัด บางทีอาจไปเสริมฤทธิ์ของยา
4. อาจมีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงมากเกินไป ด้วยเหตุนี้ถ้าหากคนไข้โรคเบาหวาน จะกินลูกซัด ควรจะขอความเห็นหมอรวมทั้งอยู่ภายใต้ข้อเสนอของแพทย์อย่างใกล้ชิด
5. ควรรอบคอบในการใช้ร่วมกับยาละลายลิ่มเลือด เป็นต้นว่า warfarin หรือสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านการรวมตัวของเกร็ดเลือด ได้แก่ กระเทียม หรือแปะก๊วย เพราะอาจเพิ่มการเสี่ยงต่อการตกเลือดได้
6. ลูกซัดบางทีอาจส่งผลนำมาซึ่งการก่อให้เกิดผลกระทบอื่นๆได้ ดังเช่นว่า ท้องเสีย ท้องไส้ป่วนปั่น เรอ มีแก๊สในท้อง หรือฉี่มีกลิ่นคล้ายเมเปิลไซรัป
7. ถึงยังไม่มีรายงานการใช้ในสตรีมีท้องแล้วก็ให้นมลูก แต่ว่าสตรีมีท้องและก็ให้นมบุตร แต่สตรีตั้งครรภ์ควรรอบคอบในการใช้ เพราะว่าลูกซัดส่งผลลดน้ำตาลในเลือด ยิ่งกว่านั้นยังมีรายงานศึกษาว่า สารสกัดน้ำ 95% เอทานอล และก็เมทานอลจากเมล็ด มีฤทธิ์กระตุ้นมดลูกของหนูที่กำลังท้อง ดังนั้น อาจมีผลกระตุ้นให้เกิดแท้งลูกได้ โดยเหตุนั้นควรจะขอคำแนะนำหมอและผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้รวมทั้งไม่สมควรใช้ในปริมาณมาก และตลอดเป็นเวลานานๆ
 
เอกสารอ้างอิง

  • ธิดารัตน์ จันทร์ดอน.ลูกซัด...เครื่องเทศมีประโยชน์.จุลสารข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.ปีที่35.ฉบับที่1 ตุลาคม.2560
  • Chan HT, So LT, Li SW, Siu CW, Lau CP, Tse HF. Effect of herbal consumption on time in therapeutic range of warfarin therapy in patients with atrial fibrillation. J Cardiovasc Pharmacol. 2011;58(1):87-90.
  • นันทวัน บุณยะประภัศร อรนุช โชคชัยเจริญพร.บรรณาธิการ.สมุนไพรไม้พื้นบ้าน เล่ม 4 กรุงเทพฯ:บริษัท ประชาชน จำกัด,2543:740 หน้าhttps://www.disthai.com/[/color]
  • นิจศิริ เรืองรังสี เครื่องเทศ.กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.2542:206 หน้า.
  • อรัญญา ศรีบุศราคัม.ลูกซัด...แก้เบาหวาน.จุลสารข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.ปีที่ 27.ฉบับที่1 ตุลาคม.2552.หน้า4-11
  • El Bairi K, Ouzir M, Agnieszka N, Khalki L. Anticancer potential of Trigonella foenum graecum: cellular and molecular targets. Biomed Pharmacother 2017;90:479-91.
  • ลูกซัด..ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีEthan M. Natural standard herb and supplement reference: evidence-based clinical reviews. New York: Elsevier Mosby; 2005.
  • Lu FR, Shen L, Qin Y, Gao L, Li H, Dai Y. Clinical observation on Trigonella foenum-graecum L. total saponins in combination with sulfonylureas in the treatment of type 2 diabetes mellitus. Chin J Integr Med. 2008;14(1):56-60.
  • Nagulapalli VKC, Swaroop A, Bagchi D, Bishayee A. A small plant with big benefits: fenugreek (Trigonella foenum-graecum Linn.) for disease prevention and health promotion. Mol Nutr Food Res. 2017;61(6):1-26.
  • Izzo AA, Di Carlo G, Borrelli F, Ernst E. Cardiovascular pharmacotherapy and herbal medicines: the risk of drug interaction. Int J Cardiol. 2005;98(1):1-14.
  • Lambert JP, Cormier J. Potential interaction between warfarin and boldo-fenugreek. Pharmacotherapy. 2001;21(4):509-12.
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ