หัวข้อ: เสาวรส สรรพคุณเเละประโยชน์ เริ่มหัวข้อโดย: gogrov5568225 ที่ ธันวาคม 26, 2018, 03:13:38 am (https://static1-velaeasy.readyplanet.com/www.disthai.com/images/content/original-1542705566162.jpg) เสาวรส ชื่อสมุนไพร เสาวรส ชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น สุคนธรส (ภาคกลาง) , กะทกรกฝรั่ง กะทกรกสีดา , กะทกรกยักษ์ (ทั่วไป) ชื่อวิทยาศาสตร์ Passiflora edulis Sims. (พันธุ์สีม่วง) Passiflora edulis f. flavicarpa O. Deg. (พันธุ์สีเหลือง) ชื่อสามัญ Passion fruit , Yellow granadilla , Jamaica honey-suckle วงศ์ Passifloraceae ถิ่นกำเนิด เสาวรส มีบ้านเกิดเมืองนอนในทวีปอเมริกาใต้ในประเทศบราซิลขว้างรากวัย และก็ประเทศอาร์เจนตินา แล้วมีการกระจายชนิดโดยการนำเสาวรสไปปลูกเพื่อคุณประโยชน์เชิงพาณิชย์ในหลายประเทศทั่วทั้งโลก อาทิเช่น อินเดีย นิวซีแลนด์ อินโดนีเซียเปอร์โตริโก สาธารณรัฐโดมินิกัน สหรัฐฯประเทศออสเตรเลีย อิสราเอล คอสตาริกา แอฟริกาใต้ประเทศโปรตุเกสรวมถึงประเทศแถบทะเลแคริบเบียนแล้วก็แอฟริกาตะวันออก สำหรับในประเทศไทย เสาวรสถูกนำเข้ามาทดลองปลูกครั้งแรกในภาคเหนือ ประมาณปี พ.ศ. 2498 ปัจจุบัน เจอปลูกมากมายในภาคเหนือ รวมทั้งภาคตะวันออก ในแถบจังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน จังหวัดเพชรบูรณ์ ระยอง และจังหวัดชลบุรี ลักษณะทั่วไป เสาวรสจัดเป็นไม้เถาเลื้อยขนาดใหญ่ ส่วนโคนเป็นไม้เนื้อแข็ง อายุหลายปี สามารถเลื้อยได้ไกลถึง 12 เมตร มีมือเกาะ ใบคนเดียว รูปคล้ายโล่ หรือรูปไข่ ออกเรียงสลับกัน ขอบของใบมักเว้าลึกเป็น 3 พูปลายใบแหลม หรือเรียวแหลม โคนใบกลม หรือรูปหัวใจเว้าตื้น เนื้อใบออกจะเหนียว ขอบของใบจักฟันเลื่อย มีเส้นใบ 3 เส้น ออกมาจากโคนใบก้านใบยาว 4-4.5 เซนติเมตร ที่ปลายก้านมีต่อม หูใบรูปหอก ขอบเรียบ หรือจะฟันเลื่อย ดอกเสาวรสจัดเป็นดอกบริบูรณ์เพศ สามารถผสมเกสรด้วยตนเองได้ดี ตัวดอกแทงออกเป็นดอกลำพัง ดอกแทงออกรอบๆซอกใบตามเถา มีกลีบเลี้ยง ด้านนอกกลีบเลี้ยงมีสีเขียว ภายในมีสีขาว และกลีบดอกสีครีมอมม่วง 5 กลีบ กลีบดอกเรียงสลับเป็น 2 ชั้นถัดมาด้านในมีฝอยเป็นเส้นล้อมเป็นวงกลมเป็นจำนวนมาก โคนฝอยมีสีม่วง ปลายฝอยมีสีขาวกึ่งกลางดอกมีเกสรตัวผู้ 5 อัน ส่วนเกสรตัวเมียมีปลายแยกเป็น 3 แฉก เมื่อบานจะส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ผลเสาวรสออกเป็นผลโดดเดี่ยวผลมีรูปทรงกลมหรือรูปไข่ และอวบน้ำ ขนาดผลประมาณ 5-7 ซม. มีน้ำหนักผลราวๆ 35-115 กรัม ขึ้นกับขนาดผล ส่วนสีเปลือกไม่เหมือนกันตามสายพันธุ์ อาทิ จำพวกสีม่วงจะมีเปลือกสีม่วงเข้ม ส่วนชนิดสีเหลืองจะมีเปลือกสีเหลืองสด เปลือกผลทุกจำพวกออกจะหนา และ เป็นเงา ด้านในผลประกอบด้วยเมล็ดจำนวนมาก ส่วนพันธุ์ที่เจอในประเทศไทยและนิยมนำมาปลูกกันมาก มี 3 พันธุ์ 1. ชนิดผลสีม่วง ( Passiflora edulis) พันธุ์ผลสีม่วงในธรรมชาติพบได้บ่อยในที่สูงราว 1,000-2,000 เหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งมีอากาศค่อนข้างหนาวเย็นตลอดระยะเวลา ทำให้ผลมีขนาดเล็ก เมื่อผลสุกจะมีสีม่วงเข้มผิวเป็นมัน น้ำจาก ชนิดผลสีม่วง มีรสชาติดีมากยิ่งกว่าพันธุ์ผลสีเหลือง มีกรดต่ำสีงามแล้วก็หวาน จึงเหมาะกับรับประทาน ผลสดข้อผิดพลาดของพันธุ์นี้เป็น ค่อนจะอ่อนแอต่อโรค 2. ประเภทผลสีเหลือง (Passiflora edulis, var flaicarpa) ชนิดผลสีเหลือง ตามธรรมชาติเจอขึ้นตามพื้นที่สูงในแถบประเทศชายฝั่งทะเลที่มีความสูงตั้งแต่ 800 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ผลมีลักษณะเด่น คือ ผลมีขนาดใหญ่เมื่อผลสุกจะมีสีเหลืองขมิ้น ผิววาว น้ำคั้นของจำพวกนี้ มีกรดมากมาย ซึ่งมีpH ต่ำลงยิ่งกว่า 3 เหมาะกับส่งเข้าโรงงานเพื่อดัดแปลงมากกว่าการ กินผลสด ข้อดีของจำพวกนี้คือ ได้ผลดกและมีแรงต้านทานโรคและแมลงสูงยิ่งกว่าพันธุ์ผลสีม่วง 3. จำพวกลูกผสม เป็นพันธุ์ที่เกิดขึ้นมาจากการผสมระหว่างพันธุ์ผลสีม่วงกับชนิดสีเหลือง เพื่อคัดเลือกต้นพันธุ์ใหม่ ศูนย์รวมลักษณะผลที่เด่นของแต่ละจำพวกไว้ ทำให้มีลักษณะผลใหญ่ ได้ผลดก มีเกลื่อนกลาดหุ้มห่อ เม็ดมากเปลือกบาง ขัดขวางโรค รวมทั้งมีขณะสำหรับในการได้ผลที่ช้านาน จำพวกนี้จะให้ทั้งยังผลที่มีสีม่วงรวมทั้งผลสีเหลือง สามารถเก็บผลผลิตได้ตลอดทั้งปี การขยายพันธุ์ เสาวรส สามารถเจริญเติบโตเจริญในสภาพภูมิอากาศของเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นเขตอากาศเย็นทางภาคเหนือ หรือเขตอากาศร้อนเปียกชื้นทางภาคกลางรวมทั้ง ภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพืชที่ปลูกได้ง่าย การรักษาไม่ยุ่งยาก แม้กระนั้นให้ผลผลิตต่อไร่สูง ส่วนการขยายพันธุ์เสาวรสสามารถขยายพันธุ์ได้จากต้นกล้าที่เพาะเม็ด รวมทั้งต้นกล้าที่ได้จากการปักชำหรือการตอนเถา แต่โดยมากนิยมปลูกจากเมล็ดมากที่สุด โดยมีวิธีการดังนี้ การเตรียมเมล็ด เม็ดที่ใช้เพาะกล้า ควรที่จะเลือกจากผลเสาวรสที่ส่งผลขนาดใหญ่ ผลมีความสมบูรณ์ เปลือกผลเป็นมันวาว ไม่มีรอยกัดแทะของแมลง โดยนำเม็ดมาใส่ผ้าขาวบางแล้วนำไปขยี้ให้น้ำ และเยื่อห่อเมล็ดหลุดออกจากเม็ด หลังจากนั้นนำเมล็ดมาล้างชำระล้าง ก่อนที่จะนำเมล็ดมาตากตากแดดให้แห้ง นาน 5-7 วัน เก็บพักเอาไว้ในที่ร่มนาน 1-2 เดือน ค่อยเอามาเพาะ ภายหลังจากพักเม็ดไว้ 1-2 เดือนแล้ว ก่อนเพาะให้นำเมล็ดมาแช่น้ำไว้ 1 คืน การเพาะเม็ดบางทีอาจเพาะในถุงเพาะชำได้โดยตรง หรือหยอดเพาะในกระบะเพาะก่อน แล้วค่อยแยกลงเพาะต่อในถุงเพาะชำได้ การเตรียมแปลงปลูก การปลูกเสาวรสในแปลงใหญ่จำนวนหลายต้นต้องตระเตรียมแปลงก่อน โดยการไถกระพรวนดิน 1-2 รอบ พร้อมกำจัดวัชพืชออกให้หมด ต่อจากนั้น ขุดหลุมปลูกขนาดราว 30 ซม. โดยให้ลึกราวๆ 30 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างแถว แล้วก็ระยะห่างระหว่างต้นหรือหลุม โดยประมาณ 2-3 เมตร แล้ว ปลดปล่อยหลุมตากแดดไว้ 3-5 วัน กรรมวิธีปลูก ก่อนปลูก ให้โรยก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมัก 3-5 กำมือ และก็ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 โดยประมาณ 1 ถือมือ ก่อนคลุกหน้าดินลงผสม ก่อนฉีกถุงสีดำออก แล้วนำต้นกล้าเสาวรสลงปลูกลงในหลุม พร้อมกลบดินให้แน่นพอควร จากนั้น นำไผ่มาปักข้างหลุม เพื่อให้ลำต้นอิงเติบโตสักระยะ แนวทางการทำค้าง เป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากว่าเสาวรสเป็นไม้เถาเลื้อย ควรต้องเกาะเลื้อยตามอุปกรณ์ต่างๆการเตรียมค้าง ควรจะจัดเตรียมข้างหลังการขุดหลุมปลูกเสร็จหรือทำร่วมกับการขุดหลุมปลูก หรือบางทีอาจทำข้างหลังการปลูก แม้กระนั้นพึงระวังไม่ให้ต้นพันธุ์มีอันตรายขณะทำค้าง การเตรียมค้างทำเป็นโดยการใช้เสาคอนกรีตหรือเสาไม้มาฝังใกล้กับต้นเสาวรสตามแนวยาวของแถว แล้วต่อจากนั้น ใช้ลวดกางโยงแต่ละเสาตามแนวยาว และหลังจากนั้นก็ค่อยกางโยงตัดตามแนวขวางให้เป็นตารางสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดราว 50×50 ซม. องค์ประกอบทางเคมี ในน้ำเสาวรสเจอสาระสำคัญ เป็นต้นว่า Carotenoid (ติดอยู่โรทีนอยด์) Pectin methyhesterase (เอนไซม์ เพคทนเมทิลเอสเตอเรส) Catalase (ติดอยู่ทาเลส) Leucine (ลิวซีน) Valine (วาลีน) Tyrosine (โทโรซีน) Prline (โพรลีน) Threonine (ทรีโอนีน) Glycine (ไกลซีน) Aspertic acid (กรดแอสพาร์ทิก) Arginine (อาร์จินีน) Lysine (ไลซีน) Alkalod (อัลคาลอยด์) ส่วนคุณค่าทางโภชนาการของเสาวร ประโยชน์/สรรพคุณ เม็ดพร้อมเยื่อหุ้มห่อเม็ดนำมาคั้นหรือปั่นเป็นน้ำผลไม้ดื่ม ให้รสเปรี้ยวจัด หรือปั่นผสมกับผลไม้อื่นที่มีรสหวาน เพื่อเพิ่มความหวาน อาทิเช่น ประเทศทางแถบอเมริกาใต้นิยมนำเยื่อห่อหุ้มเม็ด และก็เปลือกมาปั่นผสมกับน้ำตาล ได้เครื่องดื่มที่เรียกว่า refresco หรือใช้ผสมกับน้ำผลไม้ชนิดอื่น ตัวอย่างเช่น น้ำผลแอปเปิ้ล น้ำส้ม น้ำสัปปะรด น้ำพีช เป็นต้น โดยอัตราการผสมน้ำเสาวรสราวๆ 5 หรือ 10 เปอร์เซ็นต์ เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและรสที่ดี ซึ่งเป็นที่นำยมกันอย่างแพร่หลายในต่างถิ่น เพราะนอกจากทำให้เครื่องดื่มมีกลิ่นหอมและก็รสที่ดียิ่งขึ้นแล้ว ยังมีคุณค่าทางอาหารสูง แล้วก็น้ำเสาวรสยังสามารถใช้ประโยชน์แต่งกลิ่นและก็รสของไอศกรีม เค้ก เยลลี่ เชอร์เบท พาย ลูกกวาดเหล้าองุ่น เป็นต้น และเยื่อหุ้มเม็ดยังแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆอาทิ เสาวรสผง แยมเสาวรส รวมทั้งเยลลี่เสาวรส ส่วนเปลือกเสาวรสมีคาร์โบไฮเดรต รวมทั้งโปรตีนสามารถนำมาตากแห้งหรือใช้สดเป็นอาหารเลี้ยงโค ควาย แกะแพะ รวมทั้งหมู ได้ นอกจากนี้ยังมีการนำเสาวรสเอามาสกัดสารสำหรับเป็นส่วนประกอบของเครื่องแต่งตัว โดยยิ่งไปกว่านั้นครีมที่เอาไว้ดูแลผิว เนื่องจากมีสารที่สามารถสะท้อนรังสียูวีได้ และก็ในงานศึกษาค้นคว้าวิจัยได้กำหนดไว้ว่า เสาวรสอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ แร่ วิตามินและไฟเบอร์ ขณะที่เสาวรส 100 กรัม ให้พลังงานเพียง 51-60แคลอรีแค่นั้น และเสาวรส100 กรัม ให้วิตามินซีถึง 30 มก. การกินเสาวรสเสมอๆแล้วจะห่างไกลจากไข้หวัด แล้วก็ยังช่วยทำให้มีภูมิต้านทานโรคที่แข็งแรง เสาวรสดีต่อการขับถ่าย เพราะว่ามีเส้นใยสูง จึงสามารถช่วยขจัดคอเลสเตอรอลในร่างกายได้ อีกทั้งยังช่วยขับพิษในไส้ คุ้มครองโรคมะเร็งไส้อีกด้วย เสาวรสบำรุงสายตาได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะเหตุว่าอุดมไปด้วยวิตามินเอ และยังมีสารฟลาโวนอยด์อย่างเบต้าแคโรทีนรวมทั้งคริบโทแซนทินเบต้า(cryptoxanthin-ß) ซึ่งสารพวกนี้มีคุณสมบัติของสารต้านอนุมูลอิสระ ควบคู่ไปกับวิตามินเอที่ช่วยทำนุบำรุงสายตาได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนสรรพคุณตามตำรายาไทยกำหนดไว้ว่า ยอด สามารถกินเป็นผักสด แต่ว่าจะมีรสขมบางส่วนบางทีอาจเอามาจิ้มน้ำพริกหรือนำไปแกงยอดเสาวรสก็ได้ เนื้อไม้ ใช้เป็นยาควบคุมธาตุ ถอนพิษ และใช้รักษาบาดแผล ราก แก้ไข้ รักษาผื่นคัน รวมทั้งรักษาโรคกามโรค โดยนำรากไปต้มน้ำใบ เอามาตำแล้วคั้นมัวแต่น้ำ กินเป็นยาถ่ายพยาธิได้ ดอกขับเสลด แก้ไอ ผลแก่ ใช้คั้นเอาน้ำเป็นน้ำผลไม้ช่วยลดไขมันในเลือดเป็นยาระบาย และยังมีสรรพคุณ ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ลดความดับโลหิต และก็โรคกระเพาะเยี่ยวอักเสบ รูปแบบ / ขนาดวิธีการใช้ โดยธรรมดาแล้ว มักจะนำเสาวรสสุกมาทำเป็นน้ำผลไม้หรือใช้รับประทานสดๆก็สามารถได้ประโยชน์จากสารออกฤทธิ์ต่างๆของเสาวรสแล้วส่วนในคัดค้านการนำมาใช้เป็นสมุนไพรก็มีการมาใช้ เช่น นำรากเสาวรสไปต้มแล้วใช้ดื่มช่วยแก้ไข้ รักษาตามโรค แก้ผื่นคัน หรือนำใบมาต้มกับน้ำใช้กินสามารถใช้เป็นยาถ่ายพยาธิได้ หรือจะใช้เนื้อในของผลสุกมาทำเป็นน้ำผลไม้ดื่ม จะช่วยลดไขมันในเลือด ลดความดันโลหิตและช่วยทำให้ระบายได้ ฯลฯ การศึกษาทางเภสัชวิทยา ในการทดสอบฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระในหลอดทดสอบ (in vitro) พบว่า สารสกัดเอทานอล 80% จากเนื้อห่อเมล็ดของเสาวรสทั้งยังจำพวกผลสีม่วงและผลสีเหลืองมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยวิธี 2,2-azino-bis (3-ethylbenzthiazoline-6-sulphonic acid) decolorization assay (ABTS assay), H2O2 scavenging assay และ 2,2-diphenyl-1-picrylhydrazyl radical scavenging capacity assay (DPPH assay) จากผลการศึกษาวิจัยดังกล่าวข้างต้นชี้ให้เห็นว่า น้ำเสาวรสมีคุณค่าทางโภชนาการและมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เหมาะกับใช้เป็นเครื่องสำหรับคนรักสุขภาพ ใยอาหารส่วนที่ไม่ละลายน้ำ (insoluble fiber-rich fraction) จากเมล็ดเสาวรสมีฤทธิ์ลดไขมันในเลือด เมื่อทดลองผสมลงในของกินที่มีไขมันสูง (hypercholesterolemic diet) ปริมาณ 5% แล้วใช้เลี้ยงหนู แฮมสเตอร์นาน 30 วันพบว่า ไตรกลีเซอไรด์แล้วก็คอเลสเตอรอลในเลือดและก็ในตับหนูลดน้อยลงอย่างเป็นจริงเป็นจัง และพบว่ามีไขมันในน้ำดีและในอุจจาระที่ถ่ายออกมามากเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม แล้วก็สำหรับการป้อน น้ำคั้นเสาวรสประเภทเปลือกสีเหลืองให้แก่หนูแรทขนาด 1,000 มิลลิกรัม/กก. วันละ 2 ครั้ง นานต่อเนื่องกัน 28 วัน มีผลลดค่าไขมันรวมทั้ง LDL (low-density lipoprotein) ใน เลือดแล้วก็เพิ่มค่า HDL (high-density lipoprotein) นอกจากนั้นยังมีผลลดค่า thiobarbituric acid reactive substance (TBARS) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึง การเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของไขมัน (lipid peroxidation) ทำให้เห็นว่าเมล็ดเสาวรสรวมถึงน้ำจากส่วนเยื่อหุ้มห่อเม็ดมีฤทธิ์ลดไขมันในเลือด และต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระที่เกิดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันของไขมันได้ นอกจากนี้การป้อนส่วนเนื้อหุ้มเมล็ดของเสาวรสจำพวกเปลือกสีเหลืองให้แก่หนูแรทที่มีความดันโลหิตสูง ขนาดวันละ 5 – 8 ก./กก. นานต่อเนื่องกัน 5 วัน ส่งผลทำให้ค่าความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัวลดลง และก็พบว่าระดับglutathione ในเยื่อไตสูงขึ้น และสามารถยับยั้งการเกิดสาร TBARS เห็นผลการทดลองดังกล่าวทำให้เห็นว่าส่วนเนื้อหุ้มห่อเม็ดของเสาวรสมีฤทธิ์ลดความดันเลือดรวมทั้งฤทธิ์ต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระ การเล่าเรียนทางคลินิก การเล่าเรียนฤทธิ์ ต้านทานอนุมูลอิสระของน้ำคั้นเสาวรสในกลุ่มอาสาสมัครคนแก่ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) ที่มีร่างกายแข็งแรงและไม่มีภาวะของโรคร้ายแรงปริมาณ 60 คน ทั้งปวงศชายแล้วก็หญิง โดยให้อาสาสมัครดื่ม น้ำคั้นเสาวรสทั้งจากจำพวกผลสีม่วงและก็ผลสีเหลืองวันละ 1 แก้ว (ราวๆ 125 มล.) หลังจากกิน อาหารเที่ยง นานติดต่อกัน 4 อาทิตย์เก็บเนื้อเก็บตัวอย่างเลือดของอาสาสมัครอีกทั้งตอนก่อนแล้วก็หลังดื่มน้ำคั้น เสาวรส เพื่อวัดค่าทางวิชาชีวเคมีในเลือดและก็เปรียบเทียบผลการเปลี่ยน ผลจากการเรียนพบว่า การกินน้ำคั้นเสาวรสทั้งยังจำพวกผลสีม่วงแล้วก็สีเหลืองมีผลทำให้จำนวนวิตามินเอและก็วิตามินอีในร่างกาย เพิ่มสูงขึ้น และก็มีผลเพิ่มลักษณะการทำงานของเอนไซม์ที่เกี่ยวกับกรรมวิธีการต้านทานการเกิดอนุมูลอิสระ ได้แก่ superoxide dismutase (SOD) รวมทั้ง catalase นอกนั้นยังส่งผลยับยั้งการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวโยง ในวิธีการอักเสบเป็น interleukin-6 (IL-6) รวมทั้ง tumor necrosing factor-α (TNF-α) อีกด้วย ส่วนการเรียนทางสถานพยาบาลอีกชิ้นหนึ่งระบุว่าการทดสอบโดยให้อาสาสมัคร 9 คน(ทั้งชายรวมทั้งหญิง) ที่มีอายุระหว่าง 20-35 ปี รับประทานแคปซูลสารสกัดน้ำหรือชา (เข้มข้น 10%) จากส่วนใบเสาวรส วันละ 4 แคปซูลก่อนอน ติดต่อกันนาน 1 อาทิตย์ พบว่าไม่ได้มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างอาสาสมัครกรุ๊ปที่ระบบประทานแคปซูลเสาวรสรวมทั้งกลุ่มที่ได้รับยาหลอกในเรื่องผลการนอนหลับ แต่พบว่าอาสาสมัครกรุ๊ปที่ระบบประทานแคปซูลเสาวรสบางรายมีค่าโปรตีนและก็โปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีที่เกี่ยวโยงกับหลักการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ ไตและตับเพิ่มสูงมากขึ้นอาทิเช่น bilirubin, uric acid, creatinine phosphokinase และ glutamic-oxaloacetic transaminase ข้อแนะนำ / ข้อควรไตร่ตรอง 1. การรับประทานเสาวรสอาจก่อให้เป็นผลข้างๆ ดังเช่นว่า วิงเวียนหัว รู้สึกงงเต็ก กล้ามเนื้อดำเนินการไม่ปกติ ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลงไป เส้นโลหิตอักเสบ บางรายพบกล่าวว่ามีอาการอ้วก คลื่นไส้ ง่วงซึม หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นเปลี่ยนไปจากปกติ 2. จากการทดลองในหลอดทดลอง (in vitro) น้ำคั้นเสาวรสมีฤทธิ์ยับยั้ง โปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีCYP450 ประเภทCYP3A4 เมื่อทดลองบนเซลล์human liver microsomes โดยเหตุนี้จำเป็นจะต้องรอบคอบ การกินน้ำคั้นเสาวรสร่วมกับกรุ๊ปแผนปัจจุบันที่จะต้องอาศัยโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีดังที่กล่าวมาแล้วในวิธีการเผาผลาญยา 3. หญิงมีครรภ์ไม่สมควรกินเสาวรสเพราะสารเคมีบางตัวในเสาวรสอาจจะเป็นผลให้มดลูกหดตัว 4. คนที่เข้ารับการผ่าตัดควรหยุดรับประทานเสาวรสอย่างน้อย 2 อาทิตย์ เพราะเสาวรสอาจมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางซึ่งบางทีอาจไปยับยั้งฤทธิ์ยาสลบหรือยาตัวอื่นต่อสมองในช่วงผ่าตัดแล้วก็ภายหลังผ่าตัดได้ เอกสารอ้างอิง
|