หัวข้อ: พลู ประโยชน์เเละสรรพคุณ เริ่มหัวข้อโดย: giulp54252 ที่ มกราคม 01, 2019, 05:53:20 am (https://static1-velaeasy.readyplanet.com/www.disthai.com/images/content/original-1543633694589.jpg)
พลู ชื่อสมุนไพร พลู ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น พลูเหลือง, พลูทอง, พลูจีน (ทั่วไป), เปล้าอ้วน, ซีเก๊ะ , ซีเก๊าะ (ภาคใต้),กื่อเจี่ย (จีนแต้จิ๋ว), จวีเจียง (จีนกลาง) ชื่อวิทยาศาสตร์ Piper betle Linn. ชื่อสามัญ Bettle Piper , Bettle leaf vine วงศ์ PIPERACEAE ถิ่นกำเนิด พลู มีบ้านเกิดในเขตร้อนชื้นในแถบเอเชียใต้ดังเช่นอินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ ฯลฯ (แม้กระนั้นอีกตำราหนึ่งระบุว่าพลูมีต้นกำเนิดมาจากประเทศมาเลเซีย) โดยพบว่าพลูมีมากกว่า 100 สายพันธุ์ทั้งโลกซึ่งจำนวนมากพบได้มากในประเทศอินเดียกว่า 40 สายพันธุ์ ส่วนในประเทศไทยพลูมักพบในทั่วทุกภาคและก็มีแหล่งเพาะปลูกที่สำคัญในประเทศคือ ในจังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดปราจีนบุรี นครนายก จังหวัดนครปฐม จังหวัดกรุงเทพ มหาสารคาม ขอนแก่น และก็นครราชสีมา ซึ่งชอบเป็นการปลูกเพื่อการบริโภคในท้องถิ่น และปลูกเพื่อการค้าขาย และส่งออกเมืองนอกในบางส่วน ลักษณะทั่วไป พลูเป็นพืชตระกูลเดียวกับพริกไทย (PIPERACEAE) จัดเป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งลำต้นเกลี้ยงเป็นปล้อง และก็มีข้อ ขนาดลำต้น 2.5-5 เซนติเมตร ลำต้นมีลักษณะอวบน้ำ และก็มีร่องเล็กๆสีน้ำตาลอมแดงตามแนวยาวของลำต้น สันร่องมีสีเขียว โดยลำต้นส่วนปลายจะมีสีเขียว ส่วนลำต้นส่วนต้นจะมีสีเขียวอมเทา โดยมีรากยึดเกาะที่ออกตามขอของลำต้นบางครั้งบางคราวเรียกว่า รากตุ๊กแก แตกออกตามข้อของลำต้นเพื่อยึดเกาะอุปกรณ์สำหรับช่วยประคองลำต้นเลื้อยขึ้นที่สูงได้ และทำให้ลำต้นไม่หลุดร่วงลงสู่พื้นได้ง่าย ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยว ออกสลับกัน รูปหัวใจหรือกลมปนรูปไข่กว้าง 8 – 12 ซม. ยาว 12 – 16 ซม. ปลายใบแหลมหรือเรียวแหลม เนื้อใบออกจะเป็นมันสด ใบอ่อนมีสีเหลืองอ่อน แล้วก็ค่อยๆกลายเป็นสีเขียวอ่อน รวมทั้งสีเขียวเข้ม เมื่อแก่สุดกำลังจะมีสีเหลือง มีกลิ่นหอมยวนใจเฉพาะ รสเผ็ด เส้นใบนูนเด่นทางข้างล่าง ก้านใบยาว ดอกพลูมีสีขาว ออกรวมกันเป็นช่อ มีช่อดอกแบ่งเพศกันอยู่คนละต้น ประกอบด้วยช่อดอกตัวเมียแล้วก็ดอกตัวผู้ มีใบประดับประดาดอกขนาดเล็กรูปวงกลม ช่อดอกตัวผู้ยาว 2-12 ซม. ก้านช่อดอกยาว 1.5-3 ซม. ประกอบด้วยเกสรตัวผู้ 2 อัน มีขนาดสั้นมากมาย ส่วนช่อดอกตัวเมียมีความยาวพอๆกับช่อดอกตัวผู้ แต่มีก้านช่อดอกยาวกว่า ดอกมักบานไม่พร้อมกัน ก็เลยทำให้ไม่ค่อยพบเจอผลของพลู เนื่องจากว่าได้โอกาสผสมเกสรน้อย ผลของพลูมีลักษณะอัดแน่นที่เกิดขึ้นมาจากดอกในช่อดอก ผลของพลูมีลักษณะค่อนข้างนุ่ม ข้างในประกอบด้วย 1 เม็ด โดยเมล็ดมีลักษณะกลม ปริมาณยาวประมาณ 2.25-2.6 มม. กว้างประมาณ 2 มิลลิเมตร การขยายพันธุ์ พลูสามารถปลูก และแพร่พันธุ์ใหม่ด้วยการปักชำกิ่ง เหมือนกันกับพืชเชื้อสายพริกไทยอื่นๆ โดยใช้กิ่งหรือลำต้นที่มีข้อราว 3-5 ข้อ ปักชำในแปลงปักชำหรือถุงปักชำเมื่อกิ่งปักชำติดและก็หลังจากนั้นจึงค่อยย้ายลงปลูกภายในแปลงปลูก แล้วจึงทำค้างให้พลูเลื้อยพันขึ้น ซึ่งพลูจะสามารถเติบโตได้ดิบได้ดีในภาวะของดินร่วนที่มีอินทรียวัตถุมาก มีความเป็นกรดบางส่วน (pH 6- 6.7) พื้นที่การระบายเจริญมีค่าความชุ่มชื้นสมาคมราว 70-80% ส่วนประกอบทางเคมี ใบพลู มีน้ำมันหอมระเหยซึ่งมีสาระสำคัญต่างๆได้แก่ chavicol, chavibetol, eugenol , estragole methlyeugnol และก็ hydroxycatechol สารกรุ๊ปโมโนเทอร์ปีนส์ ตัวอย่างเช่น 1,8-cineol, carvacrol, camphene, limonene สารกลุ่มเซสควีเทอร์ไต่ส์ อย่างเช่น cadinene, caryophyllene นอกเหนือจากนี้ยังมีสารอื่นๆอีก ได้แก่ β-carotene, β-sitosterol, stigmasterol และในส่วนของต่างๆของพลูสดยังเจอสาร Fluoride , tectrochrysin, adunctin A, yangonin, fargesin, pluviatilol, sesamin ที่มา : wikipedia นอกจากนี้เมื่อนำใบพลูสดมาวิเคราะห์ค่าทางของกินพบว่า มีส่วนประกอบต่างๆดังนี้ ค่าทางโภชนาการในใบพลูสด (100 กรัม) Water (น้ำ) 85 – 90% Protein (โปรตีน) 3 – 3.5% Fat (ไขมัน) 2.3 – 3.3% Minerals (เกลือแร่) 0.4 – 1.0% Fiber (ใยอาหาร) 2.3% Chlorophyll (คลอโรฟีล) 0.01 – 0.25% Carbohydrate (ติดอยู่รโปรไฮเดรต) 0.5 – 6.10% Nicotinic acid (วิตามืน บี 3) 0.63 – 0.89 มิลลิกรัม/100 ก. Vitamin C (วิตามิน ซี) 0.005 – 1.01% Vitamin A (วิตามิน เอ) 1.9 – 2.9 มก./100 ก. Thiamine (วิตามิน บี1) 10 – 70 มคกรัม/100 ก. Riboflavin (วิตามิน บี2) 1.9 – 30 มคก./100 ก. Tannin (แทนนิน) 0.1 – 1.3% Nitrogen (ไนโตรเจน) 2.0 – 7.0% Phosphorus (ธาตุฟอสฟอรัส) 0.05 – 0.6% Potassium (โพแคสเซียม) 1.1 – 4.6% Calcium (แคลเซียม) 0.2 – 0.5% Iron (เหล็ก) 0.005 – 0.007% Essential oil (น้ำมันหอมระเหย) 3.4 มดก./100 กรัม Energy (พลังงาน) 44 กิโลแคลอรี่/100 ก. คุณประโยชน์/สรรพคุณ ใบพลูกับคนประเทศไทยนับว่ามีความผูกพันกันมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วโดยคนภายในสมัยก่อนมั่นใจว่าใบพลูรับประทานกับหมาก แล้วก็ปูนแดง จะช่วยให้เหงือกแล้วก็ฟันแข็งแรง ช่วยกำจัดกลิ่นปาก และก็ในหนังสือเรียนยาไทยที่ใช้กันมาตั้งแต่โบราณ จะใช้ใบสดรับประทานเป็นยาขับลม แก้เจ็บท้อง ฝาดสมาน ขับเสลด เป็นยากระตุ้นน้ำลาย ขับเหงื่อ แก้เจ็บท้อง(ที่มีอาการเย็นบริเวณท้อง) เจ็บท้อง ด้วยเหตุว่าพยาธิ ใช้เป็นยาฆ่าเชื้อ และก็ยังชื่อว่ารักษาอาการช้ำบวม รักษาลักษณะของการปวดท้อง รักษาอาการไอเจ็บคอ รักษาอาการผื่นคันอันเนื่องมาจากเกิดลมพิษ รักษาโรคผิวหนัง รักษาโรคกลาเกลื้อน แผลอักเสบฝีหนองและก็สิว นอกเหนือจากนี้ยังใช้น้ำคั้นจากใบสดเป็นยาถ่ายพยาธิ ยาระบาย แก้ท้องผูก ขับเสลด ลดไข้แก้ปวดศีรษะ ขับลมในกระเพาะอาหาร ทำให้ลมหายใจหอมสดชื่น นอกจากนี้จากการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยยังระบุถึงสรรพคุณของพลูว่าใช้รักษาแผลรวมทั้งใช้ป้องกันเชื้อจุลินทรีย์ แล้วก็นอกนั้นยังพบว่าในน้ำพลูมีสารeugenol และก็ chavicol ซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาชาและก็ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ต้นแบบ/ขนาดวิธีใช้ ใช้ใบสด 3-5 กรัม ต้มน้ำกินสำหรับแก้อาการปวดท้อง แก้ลมพิษ ให้ใช้ใบสดตำผสมสุราทาบริเวณที่เป็น ใช้เคี้ยวแล้วคายทิ้งวันละ 2-3 ครั้งช่วยกำจัดกลิ่นปาก แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อและบำรุงกระเพาหาร ใช้ใบสดโขลกให้ถี่ถ้วนคั้นเอาน้ำผสมกับน้ำร้อนหนึ่งแก้วใช้ดื่ม ลดปวดบวม ใช้ใบพลู ใบใหญ่ๆนำไปอังไฟให้ร้อนใช้ไปประคบรอบๆที่ปวดบวมช้ำ รักษากลากแล้วก็ฮ่องกงฟุต เอาใบสดตำอย่างละเอียดดองกับเหล้าขาวทิ้งไว้ 15 วัน แล้วกรองเอาแต่น้ำใช้ทาบริเวณที่เป็น การเรียนทางเภสัชวิทยา ฤทธิ์ยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย (Antibacterial activity) จากการศึกษาเล่าเรียนฤทธิ์การยับยั้งแบคทีเรียของสารสกัดจากใบพลูที่สกัดด้วยน้ำ พบว่ามีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อ Streptococcus mutans โดยพบว่าที่ความเข้มข้น 1 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ของสารสกัดจากใบพลูส่งผลทำให้เซลล์แตก นอกจากเชื้อดังที่พูดมาแล้วข้างต้นแล้ว มีการศึกษาเกี่ยวกับพลูว่าเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์กว้างขวางสำหรับเพื่อการยั้งการเจริญก้าวหน้าของเชื้อได้หลายอย่าง เป็นต้นว่า Ralstonia sp., Xanthomonas sp. และก็ Erwinia sp., เป็นต้น โดยส่วนประกอบหลักที่พบในสารสกัดจากใบพลูที่สกัดด้วยน้ำคือ hydroxychavicol, fatty acid รวมทั้งhydroxybenzenacetic acid และก็ยังพบว่าสารสกัดใบพลูที่สกัดด้วยเมทานอลมีฤทธิ์ยั้งการเติบโตของเชื้อ S, aureus, B. cereus, K. pneumonia รวมทั้ง E. coli ฤทธิ์สำหรับในการยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา (Antifungal activity) มีการศึกษาพบว่าสารสกัดด้วยเอทานอลจากใบพลูมีความรู้สำหรับการยับยั้งการเติบโตของเชื้อราได้หลายประเภทดังเช่นว่า Colletotrichum capsici, Fusarium pallidoroseum, Botryodiplodia theobromae, Altemaria altemate, Penicilium citrinum, Phomopsis caricae-papayae รวมทั้งAspergillus niger ซึ่งทดลองโดยใช้วิธี disc diffusion method พบว่าสารสกัดใบพลูจากเอทานอลมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นได้ดีมากว่าprochloraz 2.5 มิลลิกรัม/มล. หรือ clorimazole 10 มิลลิกรัมมลยิ่งไปกว่านั้นมีการเรียนเพื่อปรับปรุงครีมพลูเพื่อใช้ในการรักษาโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา ที่สามารถติดต่อสู่กันระหว่างคนรวมทั้งสัตว์โดยเตรียมครีมพลูที่ประกอบด้วย สารสกัดพลูจากเอทานอล10 % เปรียบเทียบกับยามาตรฐาน ketoconazole cream 20% ด้วยแนวทาง disc diffusion method ผลการค้นคว้าพบว่าให้ค่าการหยุดยั้งการเติบโตของเชื้อรา microsporum canis, microporum gypreum รวมทั้ง Trichophyton mentagrophyte ใกล้เคียงกับ ketosporum canis, microsporum gypreum และก็ trichophyton mentagrophyte ใกล้เคียงกับ ketoconazole cream เมื่อทำการอ่านผลที่ 96 ชั่วโมงแต่ว่าความสามารถของครีมพลูเริ่มลดลงภายหลังจาก 96 ชั่วโมง รวมทั้งหมดไปในวันที่ 7 ของการทดลอง ฤทธิ์การต้านอักเสบ (Anti-inflammatory activity) การเรียนรู้เกี่ยวกับฤทธิ์ต้านทานการอักเสบจากสารสกัดที่ได้จากพลูพบว่าสารสกัดจากใบพลูอบแห้งคราวสกัดด้วยเอทานอล 95% มีสาระสำคัญที่มีฤทธิ์ต้านทานการอับเสบ คือ allylpyrocatechol โดยมีการเรียนรู้ในหนู Sprague Dawley rat เพศผู้มีขนาดน้ำหนักตัว 100 – 120 ก. ผลจาการทดลองพบว่าการฉีด allypyrocatechol ขนาด10 มก./กก. เข้าใต้ผิวหนังรอบๆ sub-plantar มีฤทธิ์สำหรับเพื่อการต้านทานการอักเสบที่เกิดขึ้นในหนูโดย allylpyrocaate-chol จะลดการแสดงออกของ mRNA ของ inducible nitric oxide synthase (iNOS), cyclooxygenase-2 (COX-2), interleukin-12p40 (IL-12p40) แล้วก็ tumor necrosing factoralpha (TNF-α) ซึ่ง allylpyocatachol จะป้องกันการทำลาย kappa B inhibitor (IKB) มีผลยั้งหลักการทำงานของ transcription ขึ้น ทำให้มีการกระตุ้นแนวทางการทำงานของ macrophage น้อยลง ทำให้เกิดการอักเสบต่ำลง ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (Free radlcal scavenging activity) การศึกษาเล่าเรียนผลของสารสกัดใบพลูด้วยเอทานอลต่อการต้านอนุมูลอิสระในหนู Swiss albino mice โดยศึกษาเล่าเรียนถึงต้นเหตุต่างๆที่มีผลต่อการเกิดอนุมูลอิสระผลจาการเล่าเรียนพบว่าสารสกัดจากใบพลูมีผลในการยับยั้งการเกิดแนวทางการ lipid peroxidation ที่เกิดขึ้นจากการกระตุ้นด้วยรังสีแกมมา รวมทั้งนอกนั้นพบว่าเมื่อทำการป้อนสารสกัดพลูในขนาด 1,5 รวมทั้ง 10 มิลลิกรัม/กก. ให้หนูกินทุกๆวันต่อเนื่องกันเป็นเวลา 2 อาทิตย์จากนั้นจึงนำตับของหนูมาพินิจพิจารณาพบว่าไม่มีการเปลี่ยนระดับของ lipid peroxidation แล้วก็ยังพบว่าสารสกัดจากใบพลูมีผลทำให้จำนวนของ glutathione เพิ่มขึ้น ซึ่งglutathione มีส่วนสำคัญในขั้นตอน detoxification โดยจะไปกระทำควบคุมรวมทั้งรักษาระดับของปฏิกิริยา redox รวมทั้ง thiol homeostasis ในตับ ซึ่งมีผลสำหรับเพื่อการควบคุมการเกิดปฏิกิริยาcellular oxidative แล้วก็ยังพบว่าสารสกัดใบพลูมีผลสำหรับในการทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นลักษณะการทำงานของเอนไซน์ superoxide dismutase (SOD) แต่ว่าตรงกันข้ามพบว่า รูปแบบการทำงานของเอนไซน์ catalase ลดลงนอกจากการเรียนสาเหตุดังที่ได้กล่าวมาแล้วแล้ว ยังมีการเรียนรู้เกี่ยวกับสภาวะเครียดของสัตว์ทดลองที่เกิดภายหลังการให้สารสกัดจากใบพลู โดยศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงของระดับ glyoxalase system (Gly l และ Gly ll) ซึ่งเป็นตัวบอกถึงสภาวะเครียดของหนู ซึ่งจากการทดลองพบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงของระดับ Gly l และ Gly ll) ภายหลังจากการให้สารสกัดใบพลูกับหนู ฤทธิ์ต่อระบบภูมิคุ้มกัน (lmmunomodulating Activity) การเรียนผลของสารสกัดพลูด้วยเอทานอลต่อการสร้าง histamine และ granulocyte macrophage colony stimulating factor (GM-CSF) จาก bone marrow mast cells ของหนูแรท (murine rat) รวมทั้งการหลั่งของ eotaxin และก็ IL-8 โดย human lung epithelial cell line (BEAS-2B) ซึ่งจากการศึกษาพบว่าสารสกัดพลูด้วยเอทานอล มีผลลดการหลั่ง histamine และ GM-CSF ซึ่งมีต้นเหตุมาจากการกระตุ้นของ lgE ที่เกิดขึ้นในปฏิกิริยาhypersensitive อย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งสารสกัดพลูจากเอทานอลยังมีผลในการยับยั้งการหลั่ง eotaxin และก็ IL-8 ซึ่งมาจากจากการกระตุ้นของ TNF-α รวมทั้ง IL-4 ในปฏิกิริยา allergic reaction นอกนั้นยังพบว่าน้ำมันหอมระเหยจากพลูส่งผลต่อการกระบวนการ phagocytosis ของ macrocytes ในหนูถีบจักร และก็น้ำมันหอมระเหยจากพลูยังส่งผลต่อการเพิ่มปริมาณของlymphocytes จากม้าม ไขกระดูก และต่อม thymus ในหนูถีบจักรด้วย การเรียนรู้ทางพิษวิทยา การทดสอบความเป็นพิษ (Toxicity test) ขนาดของสารสกัดพลูที่ป้อนให้หนูถีบจักรกินแล้วตายกึ่งหนึ่ง (LD50) มีค่าเท่ากับ 3.22 ก./กิโลกรัม หนูที่ได้รับสารสกัดต่ำลงยิ่งกว่า 2 ก./กิโลกรัม มีลักษณะซึมแล้วก็หลับ ไม่เป็นผลต่อการหายใจรวมทั้งกลับกลายธรรมดาได้ ถ้าเกิดได้รับสารสกัดมากกว่า 2.5 กรัม/กก. พบว่าหนูมีอาการซึมแล้วก็หลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีลักษณะอาการเหน็ดเหนื่อย หลังจากนั้นมีอาการซึมและตายด้วยเหตุว่าหายใจไม่ออก และก็นอกนั้นยังพบว่า chavicol แล้วก็ chavibetol เป็นสารในใบพลู ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของ phenol เป็นพิษกับเซลล์สร้างเม็ดสี (melanocyte) ก่อให้เกิด hypopigmentation ในส่วนของ basal cell layeres ของผิวหนังชั้นกำพร้า ทดลองความเป็นพิษเมื่อเปล่งแสง (Phototoxicity) ของขี้ผึ้งพลู4% ซึ่งทำจากสารสกัดใบพลูด้วยอีเทอร์ใน modified polyethylene glycol ointment ต่อผิวหนังหนูตะเภา ไม่พบผื่นแดง หรืออาการเคืองอะไรก็แล้วแต่ทั้งยังก่อนฉายและก็หลังส่องแสงอุลยี่ห้อไวโอเล็ต ในเวลาที่ยาตระเตรียมขึ้ผึ้งใบพลูที่ใช้ base เป็น hydrophilic petrolatum จะเป็นพิษต่อผิวหนังหนูตะเภา โดยมีสีแดงกระจ่างแจ้ง ก่อกลายพันธุ์ สารสกัดอะซีโตนรวมทั้งสารสกัดน้ำจากใบ ความเข้มข้น 200 ไมโครกรัม/เพลท ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ต่อเชื้อ Salmonella typhimurium TA98, TA100 ,TA1535, TA1537 และก็ TA1538 สารสกัดคลอโรฟอร์ม สารสกัด 50% เอทานอล สารสกัด 95% เอทานอล และก็สารสกัดน้ำจากใบ ความเข้มข้น1.41 37.5 50 และก็ 153.8 มก./ เพลท ตามลำดับไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ ต่อเชื้อ S.typhimurium TA98, TA100 พิษต่อเซลล์ สารสกัดน้ำจากช่อดอก ความเข้มข้น 800 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร เป็นพิษอย่างอ่อนต่อเซลล์ oralmucosal fibroblasts แล้วก็สารสกัดเดียวกันนี้เป็นพิษอย่างอ่อนต่อเซลล์ gingival keratinocytes สารสกัด 95% เอทานอลจากใบ ความเข้มข้น20 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร เป็นพิษอย่างอ่อนต่อเซลล์ 9KB พิษต่อยีน สารสกัดน้ำจากช่อดอก เป็นพิษต่อยีนเมื่อทดสอบในเซลล์ oral mucosal fibroblasts รวมทั้งเซลล์ gingival keratinocytes สาร hydroxychavicol จากช่อดอกเป็นพิษต่อยีน ทำให้โครโมโซมของเซลล์ Chinese hamster ovary (CHO-K1) แบ่งตัวแตกต่างจากปรกติ เมื่อให้สารสกัดน้ำจากใบพลูร่วมกับสารสกัดน้ำจากหมากแล้วก็ยาสูบ ขนาด9.4 กรัม/กก. แก่หนูถีบจักรเป็นเวลา 10 เดือน พบว่าทำให้โครโมโซมของเซลล์ไขกระดูกของหนูเปลี่ยนแปลงแล้วก็มีการแบ่งตัวไม่ดีเหมือนปกติ ฤทธิ์ต่อระบบขยายพันธุ์ สารสกัด 95% เอทานอลจากก้านใบขนาด 30 มิลลิกรัม/กก. ส่งผลคุมกำเนิดในหนูขาวทั้งยัง 2 เพศ ให้หนูถีบจักรเพศผู้กินสารสกัด 95% เอทานอลจากใบแล้วก็ลำต้นขนาด 50 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ใน 30 วันแรก และก็ขนาด 1000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ใน 30 คราวหลัง พบว่าสามารถคุมกำเนิดได้โดยลดการปฏิสนธิ (ferility) ได้ถึง 0% ขณะที่สารสกัด 95% เอทานอล สารสกัดน้ำรวมทั้งสารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์จากใบและก็ราก (ไม่ระบุขนาดที่ใช้) ไม่มีผลต่อการคุมกำเนิดในหนูถีบจักรและไม่ส่งผลต่อการฝังตัวของตัวอ่อนที่มดลูกในหนูขาวที่ได้รับสารสกัดนี้ใบรวมทั้งรากแห้งไม่เจาะจงสารสกัดและก็ขนาดที่ใช้ ก็ไม่มีผลต่อการฝังตัวของตัวอ่อนเช่นกัน เมื่อให้โดยการฉีดเข้าทางท้องของหนูขาว ฤทธิ์ก่อเกิดมะเร็ง นอกจากนี้ยังมีการเรียนรู้ในชายที่เคี้ยวหมากในประเทศไต้หวัด โดยเรียนรู้ในคนเจ็บที่เป็นมะเร็งหลอดของกินระยะเริ่มต้น (esophageal squamous-cell-carcinoma) จำนวน 126 ราย โดย 65 ราย เป็นผู้เจ็บป่วยที่มีประวัติว่าบดหมาก รวมทั้ง 61 ราย ในนั้นเป็นผู้ป่วยที่บดหมากกับดอกพลู (Piper betle infloesence) รวมทั้ง 4 ราย เคี้ยวหมากกับดอกและใบพลู (Piper betle inflorecence and betel leaf) พบว่าเพศชายที่บดหมาก มีโอกาสที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้สูงยิ่งกว่าคนที่ไม่ได้บดหาก 4 เท่า และจากการเรียนเพิ่มเติบพบว่า ผู้ที่เคี้ยวหมากกับดอกพลูมีแนวโน้มเสี่ยงเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้มากกว่าคนที่บดหมากกับใบรวมทั้งดอกพลู หรือบดหมากกับใบรวมทั้งดอกพลู หรือบดหมากกับใบพลูสิ่งเดียวถึง 24 เท่า(ไม่เจอผลต่างกันอย่างเป็นจริงเป็นจังในผู้ที่เคี้ยวหมากกับใบและก็ดอกพลู หรือเคี้ยวหมากกับใบพลูอย่างเดียว) ซึ่งผลจากการทดสอบในครั้งนี้คาดว่าในดอกของพลูมีสารที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดมะเร็ง (carcinogens) แล้วก็ในใบพลูมีสารต้านโรคมะเร็ง (anticarcinogenic) ข้อเสนอ/สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวัง 1. การเก็บใบพลู มาใช้ควรจะเก็บเวลาสาย ด้วยเหตุว่าเป็นตอนๆที่ใบมีการสังเคราะห์ด้วยแสงบริบูรณ์ โดยเลือกเก็บเฉพาะใบที่มีสีเขียวเข้ม ไม่ควรเก็บใบอ่อนบริเวณยอดหรือเก็บใบแก่ที่เหลืองแล้ว ด้วยเหตุว่าใบกลุ่มนี้จะมีสารเคมี หรือน้ำมันหอมระเหยน้อย 2. ในผู้ที่แพ้ยางของพืชจำพวก ชะพลู พริกไทย ควรรอบคอบไม่ให้โดนยางของพลูด้วยเหมือนกันเพราะเป็นพืชในวงศ์เดียวกันอาจจะส่งผลให้เกิดการแพ้ได้ 3. การใช้พลูในแบบอย่างสมุนไพรเพื่อการดูแลและรักษาโรคควรที่จะใช้ในขนาดรวมทั้งปริมาณที่เหมาะเจาะไม่ใช้มากมายหรือใช้เป็นระยะเวลาที่ยาวนานเหลือเกิน 4. สำหรับคนที่มีโรคประจำตัว สตรีท้อง หรือสตรีให้นมลูก ควรจะหารือแพทย์รวมทั้งผู้ที่มีความชำนาญก่อนใช้ เอกสารอ้างอิง
|