หัวข้อ: สมุนไพร เพชรสังฆาต มีประโยชน์เเละสรรพคุณ เริ่มหัวข้อโดย: adzposter ที่ มกราคม 22, 2019, 09:29:30 am (https://static1-velaeasy.readyplanet.com/www.disthai.com/images/content/original-1542858868819.jpg)
เพชรสังฆาต ชื่อสมุนไพร เพชรสังฆาต ชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น สันชะควด (ภาคกลาง) , สันชะคาด , ขันข้อ (ราชบุรี) , สามร้อยต่อ (ประจวบคีรีขันธ์) ชื่อวิทยาศาสตร์ Cissus quadrangularis Linn. วงศ์ Vitaceae ถิ่นกำเนิด เพชรสังฆาตเป็นพืชเขตร้อนที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปเอเชีย รวมทั้งแอฟริกาแล้วก็มีการแพร่จำพวกไปตามประเทศเขตร้อนของทวีปดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น โดยพบบ่อยตามรอบๆป่าหรือที่เปียกชื้นที่หรูหราความสูงไม่เกิน 600 เมตรจากระดับน้ำทะเล ส่วนในประเทศไทยมักพบตั้งแต่ภาคเหนือตอนล่างลงไป รวมทั้งมักจะออกดอกรวมทั้งติดผลในช่วงเดือน มิถุนายน-สิงหาคม ลักษณะทั่วไป เพชรสังฆาตจัดเป็น ไม้เถาเลื้อย โดยมีเปลือกเถาเรียบ เถาอ่อนรูปสี่เหลี่ยมเป็นครีบ เป็นข้อๆต่อกันเห็นข้อบ้องแจ่มแจ้ง ลักษณะเป็นข้อๆตรงข้อเล็กรัดตัวลงแต่ละข้อยาวราว 6-10 เซนติเมตร บางข้ออาจมีรากออกมาด้วย มีมือเกาะออกตรงข้อต่อตรงข้ามกับใบ ตามข้อมียางขาว ใบเดี่ยว เรียงสลับ ออกตามข้อต้น ข้อละ 1 ใบ กว้าง 3-8 ซม. ยาว 4-10 ซม. ใบเป็นรูปสามเหลี่ยมหรือรูปไข่ กลมดก เล็ก ผิวเรียบ ปลายใบมน โคนใบเว้า ข้างหลังใบรวมทั้งท้องใบเรียบวาว ขอบของใบหยักมนห่างๆหรือหยักเว้า 3-5 หยัก เนื้อใบนิ่ม ก้านใบยาว 2-3 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อ ออกตามข้อต้นตรงข้ามกับใบ ดอกกลมเล็กสีแดงเขียวเป็นช่อขนาดเล็ก ยาวประมาณ 2-4 เซนติเมตรดอกย่อยสีเขียวอ่อน มีขนาด 2.5 มม. กลีบมี 4 กลีบโคนกลีบดอกไม้ภายนอกมีสีแดง ส่วนกลีบข้างในสีเขียวอ่อน เมื่อบานสุดกำลังดอกจะงอโค้งไปทางข้างล่าง เกสรตัวผู้มี 4 อันวางตรงกับกลีบดอกไม้ ผลสดรูปทรงกลม ผิวเรียบเป็นมัน ฉ่ำน้ำ ผลกลมขนาด 4-7 มม. ผลอ่อนสีเขียว พอเพียงสุกเป็นสีแดงหรือดำ เมล็ดกลมสีน้ำตาลมี 1 เมล็ด การขยายพันธุ์ เพชรสังฆาตนิยมใช้แนวทางการปักชำโดยมีวิธีการเป็น เลือกเถาที่มีลักษณะเหมาะสม คือ จะต้องเป็นเถาที่มีลักษณะครึ่งแก่กึ่งอ่อน เอามาตัดเป็นท่อนให้แต่ละท่อนมีข่อติดอยู่จำนวน2 ข้อแล้ว กระทำปักชำท่อนชนิดโดยใช้ข้อทางด้านโคนของเถาฝังลงดินแล้วกลบให้แน่น รดน้ำให้เปียกแฉะ และควรจัดวางถุงกล้าที่ปักชำเอาไว้ในที่ร่ม ในส่วนของข้อที่เหลืออยู่ข้างบนจะเป็นรอบๆที่แตกใบใหม่เพื่อเจริญก้าวหน้าเป็นเถาต่อไป ส่วนประกอบทางเคมี เถาของเพชรสังฆาตมีองค์ประกอบทางเคมี เช่น natural plant steroids (ketosterones): onocer-7-ene-3 alpha, 21 beta-diol, delta-amyrin, delta-amyrone รวมทั้ง 3,3',4,4'- tetrahydroxybiphenyl สารกรุ๊ป stilbene: quadrangularins A, B, C, resveratrol, piceatannol, pallidol , parthenocissine A.สารในกลุ่ม flavonoids ดังเช่น diosmin, hisdromin, hesperidin. รวมไปถึง ascorbic acid (vitamin C), lupeol, carotene และ calcium oxalate. ผลดี/คุณประโยชน์ ตามตำรายาไทย กล่าวว่า เถา รสร้อนขมคัน เป็นยาแก้ริดสีดวงทวารหนัก แก้โรคลักปิดลักเปิด แก้ระดูไม่ดีเหมือนปกติ แก้กระดูกแตกหักซ้น ขับลมในลำไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ริดสีดวงทวารอีกทั้งชนิดกลีบมะไฟแล้วก็เดือยไก่ • ราก รักษาอาการกระดูกแตกหัก • ต้น แก้หูน้ำหนวก แก้เลือดกำเดา แก้ระดูแตกต่างจากปกติ ช่วยเจริญอาหาร ช่วยขับน้ำเหลืองเสีย • ใบ รักษากระดูกแตกหัก รักษาโรคลำไส้ (อาการอาหารไม่ย่อย) ช่วยขับน้ำเหลืองเสีย แก้ริดสีดวงทวารหนัก นอกจากนี้ในงานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยทางด้านการแพทย์แผนปัจจุบันยังระบุไว้ว่าเพชรสังฆาต มีประสิทธิภาพที่ดีสำหรับในการรักษาริดสีดวงทวารหนักโดยเฉพาะการลดอาการคัน ปวดการเกิดเลือดไหล และกลายเป็นซ้ำ ทั้งในปัจจุบันได้มีงานศึกษาค้นคว้าวิจัยพบว่า "เพชรสังฆาต" มีวิตามินซีสูงมากซึ่งยืนยันคุณประโยชน์รักษาโรคเลือดไหลตามไรฟันได้เป็นอย่างดี และยังอุดมไปด้วยแคโรทีนซึ่งเป็นสารเริ่มของวิตามินเอ มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ ที่สำคัญมีส่วนประกอบของแคลเซียมสูงมากมาย รวมถึงสารอท้องนาโบลิก สเตียรอยด์ (Anabolic Steroids) ที่มีฤทธิ์รีบปฏิกิริยาการสมานกระดูกที่แตกหักโดยกระตุ้นการสร้างเซลล์ออสเตโอบลาสต์ (Osteoblast) ซึ่งทำหน้าที่สร้างกระดูกและก็ยังช่วยทำให้มีการสร้างสารไม่ววัวโพลีแซกคาไรด์ (Mucopolysaccharides) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในแนวทางการสมานกระดูก นอกนั้นสารคอลลาเจน (Collagen) ในเพชรสังฆาตยังเป็นสารอินทรีย์โปรตีน ที่มาจับกุมตัวกับผลึกแคลเซียมฟอสเฟตจนแปลงเป็นกระดูกแข็งซึ่งสามารถรับน้ำหนักแล้วก็มีความยืดหยุ่นในตัวเองอีกด้วย นอกเหนือจากนั้นเพชรสังฆาตยังสามารถใช้ปลูกเพื่อเป็นไม้ประดับ เนื่องมาจากเพชรสังฆาตเป็นไม้เถาเลื้อยมีลักษณะรูปทรงเป็นสีเหลี่ยมแปลกตา มีดอกแล้วก็ผลเป็นช่อสีแดงสวย สามารถนำไปปลูกสำหรับเพื่อการประดับบริเวณรั้วบ้าน ซุ้มไม้หรือบริเวณโคนต้นไม้ใหญ่เพื่อเถาเจริญก้าวหน้าเลื้อยพันขึ้น แบบอย่าง/ขนาดการใช้ ในอดีตการใช้เพชรสังฆาตรักษา ริดสีดวงทวารหนักจะทำ โดยนำ เถาสดใส่กล้วยหรือ มะขามแล้วกลืน (เหตุเพราะเพชรสังฆาตมีแคลเซียม ออกซาเลต (calcium oxalate) การกลืนเถาสดบางทีอาจ เกิดการระคายเคืองทางเดินอาหารได้) ถัดมาได้มี การนำ เพชรสังฆาตมาผลิตให้อยู่ในรูปแบบแคปซูลเพื่อง่ายต่อการบริหารยา โดยในรูปยาผงบรรจุแคปซูล 250 มิลลิกรัม ให้กินครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง ก่อนที่จะกินอาหารและก็ก่อนนอน เป็นเวลา 5-7 วัน หนังสือเรียนยาท้องถิ่นจังหวัดนครราชสีมา ใช้ ต้น แก้ริดสีดวงทวารโดยหั่นเป็นแว่น ตำผสมเกลือนำไปตาก ปั้นเป็นลูกร้อยกรอง กินทีละ 1 เม็ด 3 เวลา หรือใช้เถาสดคั้นเอาน้ำกิน แก้โรคลักปิดลักเปิด แก้ประจำเดือนผิดปกติ แก้กระดูกแตกหักซ้นขับลมในลำไส้ ตำรับยาสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา ใช้น้ำจากต้น หยอดหู แก้น้ำหนวกไหล หยอดจมูกแก้เลือดเสียในสตรีใช้เถาตำละเอียดเป็นยาพอกบริเวณกระดูกหักช่วยลดอาการบวม อักเสบ น้ำคั้นจากเถาใช้ดื่มแก้เลือดไหลตามไรฟัน แก้เลือดประจำเดือนสตรีเปลี่ยนไปจากปกติ รักษาริดสีดวงทวารที่เริ่มเป็นระยะแรก ส่วนอินเดีย ใช้ ลำต้น เป็นยาพอกเมื่อกระดูกหัก น้ำคั้นจากต้นกินแก้โรคลักปิดลักเปิด แก้อาการไม่ปกติของระดู การเรียนทางเภสัชวิทยา ผลต่อแรงตึงตัวของหลอดโลหิตดำ สารสกัดเพชรสังฆาตมีฤทธิ์กระตุ้นเส้นเลือดดำ ให้มีความตึงตัวเพิ่มขึ้น คล้ายกับส่วนประกอบของไบโอฟลาโวนอยด์ 2 จำพวก ได้แก่ ไดออสมิน 90%และฮิสเพอริดิน 10% ที่เจอในตำรับยาแผนปัจจุบัน สำหรับใช้รักษาริดสีดวงทวาร ฤทธิ์ต้านทานการอักเสบฉับพลัน สารสกัดเมทานอลยั้งการบวมของใบหู และก็การบวมของอุ้งเท้าของหนูขาว ที่ถูกกระตุ้นด้วยสารเคมี สารสกัดเฮกเซนที่ความเข้มข้นปริมาณร้อยละ 1 และสารสกัดเอทานอลที่ความเข้มข้นปริมาณร้อยละ 5 ลดอาการบวมของใบหูหนูที่เหนี่ยวนำด้วยสารเคมี ถึงที่กะไว้เวลา 30 นาที ตรวจเจอส่วนประกอบทางเคมีของสาร lupeol ในสารสกัดเฮกเซน ฤทธิ์แก้ปวด สารสกัดเมทานอลลดปริมาณครั้งที่หนูถีบจักรยืดบิดตัวจากลักษณะการเจ็บปวดท้องเนื่องจากว่าได้รับกรดอะซีติกที่ฉีดเข้าทางช่องท้อง และลดระยะเวลาของการเลียเท้าหลังทั้ง 2ระยะ สำหรับการทดลองด้วยการฉีดฟอร์มาลิน แสดว่าออกฤทธิ์แก้ปวดผ่านอีกทั้งระบบประสาทส่วนกลาง และส่วนปลาย ฤทธิ์ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร สารสกัดเอทานอล สามารถลดการเกิดแผลในกระเพาะหนูขาวที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นแผลด้วยแอสไพริน เมื่อให้สารสกัดขนาด 250, 500 แล้วก็ 750 มิลลิกรัม/กก. ให้หนูรับประทานนาน 7 วัน ลดการเกิดแผลได้ 40, 71.2 และก็ 72.6% ตามลำดับ เปรียบเทียบกับranitidine ขนาด 30 มก./กก. ลดการเกิดแผล 71.9% ด้วยเหตุผลดังกล่าวสารสกัดขนาด 500 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เป็นขนาดที่เยี่ยมที่สุด เนื่องมาจากออกฤทธิ์ใกล้เคียงกับ Ranitidine และก็ได้ผลไม่มีความแตกต่างกับขนาด 750 มิลลิกรัม/กก.จะลดการทำลายเนื้อเยื่อในกระเพาะอาหาร แล้วก็รายงานการวิจัยอีกฉบับหนึ่งระบุว่า การเล่าเรียนประสิทธิผลแล้วก็ผลกระทบของการใช้สมุนไพรเพชรสังฆาตในคนป่วยโรคริดสีดวงทวารระยะกระทันหัน จำนวน 570 คน โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม เป็น กรุ๊ปที่ได้รับยาที่มีส่วนผสมของฟลาวานอยด์ (Daflon 500 มก./เม็ด) กลุ่มที่ได้รับสมุนไพรเพชรสังฆาต (500 มิลลิกรัม/เม็ด) และกรุ๊ปที่ได้รับยาหลอก ในตอน 4 วันแรก ให้กินครั้งละ 3 เม็ด ตอนเช้ารวมทั้งเย็นหลังรับประทานอาหาร และตอน 3 วันหลัง ได้รับครั้งละ 2 เม็ด เช้าตรู่และก็เย็น หลังอาหาร คนไข้จะได้รับการวัดอาการต่างๆคือ เลือดออกทางทวารหนัก เมือก อาการคัน รอยแดงหรืออักเสบรอบทวารหนัก และก็การสัมภาษณ์เพื่อไต่ถามอาการ และมีการตรวจเลือดรวมทั้งติดตามผลกระทบของการได้รับยาหรือสมุนไพรควบคู่ไปพร้อมกันด้วย ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยในทุกกลุ่มจำนวนมากอาการเลือดออกรุนแรงจะหยุดในวันที่ 2 ของการให้ยา และมีอาการดีขึ้นหลังการให้ยาครบ 7 วัน ประสิทธิผลของการดูแลรักษาในผู้เจ็บป่วยทุกกลุ่มไม่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และไม่ส่งผลข้างเคียงเกิดขึ้น สรุปได้ว่าเพชรสังฆาตได้ผลสำหรับในการรักษาริดสีดวงทวารในระยะกะทันหันไม่มีความต่างจากยาที่มีส่วนผสมของฟลาวานอยด์รวมทั้งยาหลอก มีความหมายว่าเพชรสังฆาตไม่เป็นผลช่วยสำหรับการรักษาริดสีดวงทวารในระยะกระทันหัน การเรียนรู้ทางพิษวิทยา ความเป็นพิษฉับพลัน เมื่อทดลองความเป็นพิษโดยให้หนูขาวรับประทาน ขนาด 0.5 – 5.0 กรัม/กก ไม่พบพิษอะไรก็แล้วแต่ ความเป็นพิษกึ่งเรื้อรัง (3 เดือน) ในหนูขาวพันธุ์วิสตาร์ 5 กรุ๊ปๆละ 12 ตัว/เพศ กรุ๊ปควบคุมได้รับน้ำทางปาก 10 มิลลิลิตร/น้ำหนักตัว 1 กก./วัน ตอนที่หนูอีก 4 กลุ่มได้รับผงยาเพชรสังฆาตแห้งทางปากในขนาด 0.03,0.3 รวมทั้ง 3.0 กรัม/น้ำหนักตัว 1 กก/วัน หรือเสมอกัน 1,10 และก็ 100 เท่าของขนาดที่ใช้ในคน/วัน เป็นลำดับ โดยกรุ๊ปในที่สุดเป็นกลุ่มพิจารณาอาการข้างหลังการหยุดยา ผลการศึกษาพบว่าการเจริญเติบโตของกลุ่มท้ายที่สุดเป็นกลุ่มพินิจอาการหลังการหยุดยา ผลการศึกษาเรียนรู้พบว่าการเติบโตของกลุ่มได้รับผงยาแล้วก็กรุ๊ปควบคุมไม่ได้มีความแตกต่างกัน ไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของค่าทางเลือดวิทยาและก็ค่าทางซีรั่มวิชาชีวเคมี หรือจุลพยาธิสภาพของอวัยวะภายในที่มีความข้องเกี่ยวกับขนาดของผงยา และไม่พบความไม่ปกติอะไรก็ตามซึ่งสามารถสรุปได้ว่าเนื่องจากความเป็นพิษของผงยาเพชรสังฆาต คำแนะนำ/ข้อควรคำนึง การรับประทานเพชรสังฆาตสด อาจจะส่งผลให้กำเนิดอาการระคายคอ ระคายเยื้อบุในปากเนื่องจากเถาสดมีผลึกแคลเซียมออกซาแลตอยู่มาก 2. ห้ามกินติดต่อกันนานเกิน 2 อาทิตย์เพราะเหตุว่าอาจก่อให้เกิดนิ่วในทางเดินเยี่ยว ผู้ป่วยโรคไตห้ามกิน 3. การใช้สมุนไพรเพชรสังฆาตควรจะขอคำแนะนำหมอหรือผู้ที่มีความชำนาญสำหรับเพื่อการใช้เสมอ ด้วยเหตุว่าอาจจะเป็นผลให้เป็นผลใกล้กันที่ไม่ประสงค์ได้ ดังเช่นว่า ตาเหลือง ตัวเหลือง ฉี่น้อย แน่นท้อง เป็นต้น เอกสารอ้างอิง
|