หัวข้อ: พิกัดเกสร มีสรรพคุณเเละประโยชน์ที่น่าทึ่ง เริ่มหัวข้อโดย: ำพ ที่ มีนาคม 04, 2019, 11:41:13 pm (https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/images/content/original-1533260341426.png)
พิกัดเกสร คำว่า เกสร หรือที่โบราณใช้เป็น เกษร นั้น มีความหมายที่เกี่ยวกับดอกไม้ อาจหมายคือโครงสร้างที่ใช้ขยายพันธุ์ของพืช ๒ ส่วน ซึ่งแสดงอยู่ในวงของดอก เป็นเกสรผู้และเกสรเพศเมีย ตามลำดับจากนอกถึงในสุดทาง หลังจากนั้นออกมาจะเป็นกลีบรวมทั้งกลีบเลี้ยงตามลำดับ แต่ในความหมายที่เกี่ยวกับพิกัดยานั้นอาจถึงเกสรเพศผู้ (ดังเช่น เกสรบัวหลวง) หรือดอกไม้ทั้งยังดอก (รวม กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรเพศผู้ แล้วก็เกสรเพศเมีย) (ยกตัวอย่างเช่น ดอกกระดังงา ดอกมะลิ เป็นต้น) หรือบางทีอาจหมายถึงช่อดอกทั้งช่อ (ยกตัวอย่างเช่น ดอกลำเจียก )ที่ใช้ในยาไทยมี ๓ พิกัด คือ ทั้งยัง ๕ พิกัดเกสรทั้งยัง ๗ รวมทั้งทั้งยัง ๙ ทั้ง ๕ อย่างเช่น เกสรบัวหลวง เกสรบุนนาค ดอกพิกุล ดอกมะลิ แล้วก็ดอกสารภี มีคุณประโยชน์บำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ไข้เพื่อเสลดแล้วก็โลหิต แก้ไข้เพ้อกลุ้ม แก้ลมเวียนหัว แก้น้ำดี แก้ธาตุ ทำให้เจริญอาหาร บํารุงท้อง เครื่องยาพิกัดนี้ ใช้มากมายในยาแก้ลมหน้ามืด ยาหอมบำรุงหัวใจ ทั้ง ๗ ตัวประกอบด้วยตัวยา ๕ อย่าง ทั้ง ๕ โดยมีดอกจำปา รวมทั้งดอกกระดังงา เพิ่มเข้ามา พิกัดยานี้มีคุณประโยชน์โดยรวมชูกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ไข้เพื่อเสลดและเลือด แก้ไข้เพพ้อกลุ้มใจ แก้ลมหน้ามืด แก้น้ำดี แก้ไข้เพื่อปถวีธาตุ ให้เจริญอาหาร แก้ร้อนในหิวน้ำ แก้โรคตาทั้ง ๙ ประกอบด้วยตัวยา ๗ อย่างในทั้ง ๗ โดยมีดอกลำเจียก รวมทั้งดอกลำดวนเพิ่มเข้ามา พิกัดยานี้มีสรรพคุณ โดยรวมแก้ร้อนในอยากกินน้ำ แก้ไข้จับ แก้ไข้เพื่อลม แก้ไข้เพื่อปถวีธาตุ ให้เจริญอาหาร แก้โรคตา ตารางที่ ๑ เครื่องยาในพิกัดเกสร เครื่องยา ชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ของมูลเหตุ ตระกูล ส่วนของพืช เกสรบัวหลวง Nelumbo nucifera Gaertn. Nelumbonaceae เกสรเพศผู้ ดอกบุนนาค Mesua ferrea L. Guttiferae อีกทั้งดอก ดอกพิกุล Mimusops elengi L. Sapotaceae ทั้งยังดอก ดอกมะลิ Jasminum sambac Ait. Oleaceae อีกทั้งดอก ดอกสารภี Mamea siamensis (T.and) Kosterm. Guttiferae อีกทั้งดอก ดอกจำปา Macnolia Champaca (L.) Baill. Ex Pierre var. champaca (ชื่อพ้อง Michelia champaca L.) Magnoliaceae ทั้งดอก ดอกกระดังงา Cananga odorata Hook.f. & Th. Annonaceae ทั้งยังดอก ดอกลำเจียก Pandanus odoratissimus L.f Pandanaceae ช่อดอกทั้งช่อ ดอกลำดวน Melodorum fruiticosum Lour. Annonaceae ทั้งดอก เกสรบัวหลวง เกสรบัวหลวงเป็นเกสรเพศผู้ของดอกบัวหลวงประเภทดอกตูมทรงฉลวย กลีบไม่ซ้อน สีขาว (เรียกบุณฑริก) หรือสีชมพูเรียก (ปัทม์ โกกนุท นิโลบล ฯลฯ) บัวหลวงเป็นบัวน้ำประเภทก้านแข็ง (บัวชาติ) มีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Nelumbo nucifera Gaertn.ในวงศ์ Nelumbonaceae ใต้มีชื่อสามัญว่า sacred lotus เครื่องยาที่เรียก เกสรบัวหลวง ได้จากเกสรเพศผู้ของดอกบัวหลวง หนังสือเรียนสรรพคุณยาโบราณว่า มีกลิ่นหอมสดชื่น รสฝาด ใช้แก้ไข้ แก้ธาตุทุพพลภาพ บำรุงหัวใจ เกสรบัวหลวงเข้าเครื่องยาไทยในพิกัดเกสรอีกทั้ง ๕ เกสรอีกทั้งเจ็ดและเกสรทั้ง ๙ ดอกบุนนาค ดอกบุนนาคได้จากต้นบุนนาคอายมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Mesua ferrea L.ในวงศ์ Guttiferae พืชประเภทนี้มีชื่อสามัญว่า indian rose chestnut tree ต้นบุนนาคเป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๕ – ๒๕ เมตร ทรงพุ่มเป็นรูปเจดีย์ต่ำๆโคนต้นมีพูพอนเล็กน้อย ลำต้นเปลา เปลือกเรียบ สีน้ำตาลคละเคล้าเทารวมทั้งปนแดง มีรอยแตกตื้นๆข้างในเปลือกมียางขาว ใบเป็นใบผู้เดียว เรียงตรงกันข้าม รูปใบหอกหรือรูปขอบขนานแกมใบหอก กว้าง ๑.๕-๓.๕ เซนติเมตร ยาว ๔-๑๕ เซนติเมตร โคนใบสอบ ปลายใบเรียวแหลม ขอบของใบเรียบ ข้างบนสีเขียวเข้ม ด้านล่างมีรอยเปื้อนสีขาวนวล เส้นใบถี่ เนื้อใบดก ก้านใบสั้นยาว ๔-๗ มิลลิเมตร ใบอ่อนสีชมพูอมเหลืองแขวนเป็นพู่ ดอกออกผู้เดียวๆหรือออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ ๒-๓ ดอก ตามง่ามใบ ดอกสีขาวหรือสีนวล มีกลิ่นหอม เมื่อบานเต็มที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว ๕-๑๐ ซม. กลีบเลี้ยงมี ๔ กลีบ รูปช้อน งอเป็นกระพุ้ง มี ๒ ชั้น ชั้นละ ๒ กลีบ กลีบมี ๔ กลีบ รูปไข่กลับ ปลายบานรวมทั้งเว้า โคนสอบ เกสรเพศผู้มีจำนวนไม่น้อย ผลรูปไข่ แข็ง สีน้ำตาลเข้ม กว้าง ๒ เซนติเมตร ยาว ๔๐ เซนติเมตร ปลายโค้งแหลม กลีบเลี้ยงขยายโตเป็นกาบห่อผล ๔ กาบ มีเมล็ด ๑-๒ เมล็ด พืชนี้มีแก่นไม้สีแดงคล้ำ วาวเลื่อม เสี้ยนค่อนข้างจะตรง เนื้อออกจะหยาบ แข็ง และก็แข็งแรงดีเยี่ยม เลื่อยผ่าตกแต่งยาก ขัดชักเงาได้ดี ฝรั่งเรียกไม้นี้ว่า ironwood หรือ Ceylon ironwood ใช้ทำหมอนรองรางรถไฟ ใช้ก่อสร้างบ้านเรือน ทำเสา สะพาน ด้ามวัสดุ ใช้ต่อเรือ ทำกระดูกงูเรือ กงเสากระโดงเรือ ใช้ทำทุกส่วนของเกวียน ทำด้ามหอก ด้ามร่ม ทำพานท้ายหรือและก็รางปืน น้ำมันที่บีบจากเมล็ดทำเครื่องสำอาง แบบเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า ดอกบุนนาคมีกลิ่นหอมสดชื่น เย็น รสขมบางส่วน ช่วยบำรุงดวงใจให้ช่ำชื่น ใช้แก้ไข้กาฬ แก้ร้อนในดับหิว บำรุงโลหิต บำรุงหัวใจ แก้ลมกองละเอียด วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย แล้วก็ว่าแก้กลิ่นสาบสางในกายได้ ดอกบุนนาคเข้าเครื่องยาไทยพิกัดเกสรทั้ง ๕ และก็เกสรทั้งยัง ๗ แล้วก็เกสรทั้ง ๙ นอกเหนือจากนี้ส่วนอื่นของต้นบุนนาคยังใช้ผลดีทางยาได้ อาทิเช่น รากใช้แก้ลมในลำไส้ เปลือกต้นมีคุณประโยชน์กระจัดกระจายหนอง และกระพี้แก้เสลดในคอ เนื้อไม้ใช้แก้ลักปิดลักเปิด ดอกพิกุล ดอกพิกุลเป็นดอกของต้นพิกุลอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Mimusops elengi L.ในวงศ์ Sapotaceae พืชจำพวกนี้ ลางถิ่นเรียก กุน (ภาคใต้) แก้ว (ภาคเหนือ) ซางดง (ลำพูน) ก็มีต้นพิกุลเป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๐-๒๕ เมตร เรือนยอดรูปเจดีย์หรือกลมทึบ ใบเป็นใบลำพัง เรียงสลับกันห่างๆรูปไข่ รูปรี หรือรูปขอบขนาน กว้าง ๒-๖.๕ ซม. ยาว ๕-๑๕ เซนติเมตร โคนมน ปลายแหลม เป็นติ่งสั้นๆขอบของใบเป็นคลื่น ดอกเป็นดอกลำพัง หรือออกเป็นกลุ่ม ๒-๖ ดอก ตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงมี ๘ กลีบ เรียง ๒ ชั้น ชั้นละ ๔ กลีบ กลีบดอกมี ๒๔ กลีบ เรียง ๒ ชั้น ชั้นนอกมี ๘ กลีบ ชั้นในมี ๑๖ กลีบ โคนเชื่อมกันนิดหน่อย ร่วงง่าย มีสีนวล กลิ่นหอมสดชื่นเย็น กลิ่นยังคงอยู่ถึงแม้ตากแห้งแล้ว เกสรเพศผู้สมบูรณ์มี ๘ อัน แล้วก็เกสรเพศผู้เป็นหมัน คล้ายกลีบมี ๘ อัน ผลเป็นแบบมีเนื้อ รูปไข่ กว้างราว ๑.๕ เซนติเมตร เมื่ออ่อนสีเขียว และสุกมีสีแดงแสด มีรสหวานเล็กน้อย เมื่อต้นพิกุลแก่มากมายๆเนื้อไม้จะผุหรือรากจะผุ ทำให้ข้นหรือลงได้ง่าย ก็เลยไม่นิยมนำมาปลูกเอาไว้ในรอบๆบ้าน ต้นแก่ๆมักมีเชื้อราจะเดินเข้าไปในเนื้อไม้ ทำให้แก่นไม้มีกลิ่นหอมหวน โบราณเรียก “ขอนดอก” ซึ่งมีขายทำร้านยาสมุนไพรเป็นเนื้อไม้ที่มีสีน้ำตาลเข้มประขาว มีกลิ่นหอมสดชื่นฝรั่งเรียก “bullet wood” เพราะว่าเนื้อไม้มีประด่างเป็นจุดขาวๆราวกับรอยกระสุน ขอนดอก เป็นเครื่องยาไทย อาจได้จากต้นพิกุล หรือต้นตะหาม(Lagerstroemia calyculata Kurz. วงศ์ Lythraceae) แก่ๆมีเชื้อรารุ่งเรืองเข้าไปในแก่นไม้ แต่ว่าโบราณว่าขอนดอกที่ได้จากต้นตะหามจะมีคุณภาพด้อยกว่า ตำราสรรพคุณยาโบราณว่า ขอนดอกมีกลิ่นหอม รสจืด มีสรรพคุณบำรุงตับ ปอด รวมทั้งหัวใจ บำรุงลูกในท้อง (ครรภรักษา) ทำให้หัวใจชุ่มชื่นกระชุ่มกระชวย ดอกพิกุลมีกลิ่นหอมยวนใจเย็น เข้ายาหอม ยานัตถุ์ ยาแก้ไข้ แก้ปวดหัว แก้เจ็บคอแล้วก็แก้ร้อนใน แบบเรียนสรรพคุณยาโบราณจัดเข้าเครื่องยาพิกัดเกสรทั้ง ๕ เกสรอีกทั้ง ๗ และก็เกสรทั้ง ๙ หรือใช้ผสมกับดอกไม้อื่นๆที่มีกลิ่นหอมยวนใจเพื่อทำบุหงา เว้นแต่น้ำส่วนอื่นๆของต้นพิกุลยังใช้ผลดีทางยาได้แบบเรียนว่ารากพิกุลมีรส ขมเฝื่อนฝาด เข้ายาบำรุงโลหิต แก้เสมหะ แก้ลม แก่นพิกุลมีรสขมเฝื่อน เข้ายาบำรุงโลหิต ยาแก้ไข้ เปลือกต้นที่คุณมีรสฝาด ใช้ปรุงเป็นยาแก้เหงือกอักเสบ ใบพิกุลรสเบื่อฝาด เข้ายาแก้โรคหืด แก้กามโรค ดอกมะลิ ดอกมะลิเป็นดอกของพืชอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Jasminum sambac Ait.ในวงศ์ Oleaceae ถ้ามีกลีบชั้นเดียวเรียก มะลิลา ถ้าหากมีกลีบซ้อนกันหลายชั้นเรียก มะลิซ้อน แต่ว่าดอกมะลิที่กำหนดในตำราเรียนยามักนิยมใช้ดอกมะลิลา ฝรั่งเรียกดอกมะลิ jasmine หรือArabain jasmine ต้นมะลิเป็นไม้พุ่มคอยเลื้อยสูง ๑-๒ เมตร ใบเรียงตรงกันข้าม รูปไข่ ขนาดกว้าง ๓.๕-๔.๕ ซม.ยาว ๕-๗ เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบมน ก้านใบสั้น หากเป็นจำพวกดอกซ้อนมักออก ๓ ใบใน ๑ ข้อ แล้วก็สีใบจะเข้มกว่า ดอกมีสีขาว กลิ่นหอมยวนใจแรง ดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อที่ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงเป็นเส้น ๘-๑๐ เส้น กลีบดอกเป็นหลอดยาว ๑-๒ เซนติเมตร ปลายแยกเป็น ๕-๘ กลีบ เมื่อบานเต็มกำลังจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒-๓ ซม. เกสรเพศผู้มี ๒ อัน ดอกออกตลอดทั้งปี แต่ว่าจะ ดกในฤดูร้อนและฤดูฝน หนังสือเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า ดอกมะลิมีกลิ่นหอมหวนเย็น รสขม ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ดับพิษร้อน ทำให้จิตใจสดชื่น บำรุงครรภ์ แก้ร้อนในกระหายน้ำ โบราณจัดเข้าเครื่องยาพิกัดเกสรทั้ง ๕ เกสรทั้งยัง ๗ รวมทั้งเกสรอีกทั้ง ๙ หรือใช้อบในน้ำหอม ทำน้ำดอกไม้ไทย หรือใช้ผสมกับดอกไม้ประเภทอื่นๆที่มีกลิ่นหอมยวนใจ สำหรับทำบุหงา นอกจากนั้นตำราเรียนสรรพคุณยาโบราณว่า ใบมะลิสดมีรสฝาด แพทย์ตามต่างจังหวัดใช้ใบสดตำกับกากมะพร้าวก้นกะลาพอกหรือทาแก้แผลพุพอง แก้แผลเรื้อรัง และก็ ยังว่าใช้ยอด ๓ ยอด ตำพอกหรือทาเพื่อลบรอยรอยแผล รากมะลิมีรสเย็นเมา ฝนหรือต้มน้ำกิน แก้ปวดปวดหัว แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้หลอดลมอักเสบ ใช้มาก (ราว ๑-๒ ข้อมือ) ทำให้หมดสติ ตำพอกหรือแก้เคล็ดลับขัดยอกจากการกระทบกระแทก ดอกสารภี ดอกสารภีได้จากต้นสารภีอันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Mammea siamensis (T. And) Kosterm. ในวงศ์ Guttiferae ลางถิ่นเรียก ไม่สำนึกบุญคุณ (จันทบุรี) สร้อยพี (ภาคใต้) ก็มี ต้นสารภีเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางสูง ๑๐-๑๕ เมตร เรือนยอดเป็นไม้พุ่มทึบ เปลือกต้นสีเทาดำ แตกล่อนเป็นสะเก็ด มียางขาวและจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน กิ่งอ่อนเป็นสารสี่เหลี่ยม ใบเป็นใบโดดเดี่ยว เรียงตรงกันข้ามเป็นคู่ๆแต่ละคู่สลับแนวทางกัน รูปไข่ปนรูปขอบขนาน กว้าง ๔-๖.๕ ซม.ยาว ๑๕-๒๐ ซม. โคนใบสอบแคบ ปลายใบมนหรือสอบทู่ๆอาจมีติ่งสั้นๆหรือหยักเว้าตื้นๆเนื้อใบหนา ดอกออกเป็นช่อ ช่อเดียวหรือหลายช่อตามกิ่ง ดอกสีขาวกลายเป็นสีเหลืองเมื่อจะโรย มีกลิ่นหอมหวนมาก กลีบเลี้ยงมี ๒ กลีบ โคนเชื่อมชิดกัน ติดทนและขยายโตตามผล กลีบดอกมี ๔ กลีบ โค้งเป็นกระพุ้ง เมื่อบานมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว ๑.๕ เซนติเมตร เกสรเพศผู้มีเป็นจำนวนมาก ผลรูปกระสวย ยาวราว ๒.๕ เซนติเมตร เมื่อสุกสีเหลือง เนื้อสีเหลืองหรือสีแสดหุ้มเม็ด สารภีแนน สารภีแนนเป็นชื่อถิ่นทางตะวันตกเฉียงเหนือของพืชที่มีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Calophyllum inophyllum L. ในตระกูล Guttiferae รู้จักกันในชื่ออีกหลายชื่อ เป็นต้นว่า สารภีสมุทร (ประจวบคีรีขันธ์) กากะทิง (ภาคกึ่งกลาง) ทิง (กระบี่) เนาวกาน (น่าน) เป็นพืชที่ขึ้นริมหาด หรือปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป พืชประเภทนี้เป็นไม้ยืนต้นสูง ๘-๑๐ เมตร เรือนยอดแห่งกว้างเป็นพุ่มกลม ทึบ เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลผสมเทา ข้างในมีน้ำยางสีเหลืองใส ใบเป็นใบโดดเดี่ยว เรียงตรงกันข้าม รูปรีถึงรูปไข่กลับ กว้าง ๔.๕-๘ เซนติเมตร ยาว ๘-๑๕ เซนติเมตร โคนใบสอบ ปลายใบมน กว้างหรือเว้ากึ่งกลางนิดหน่อย ขอบใบเรียบ เนื้อใบหนา เส้นใบถี่และก็ขนานกัน ดอกสีขาว มีกลิ่นหอม ดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่งหรือตามซอกใบที่ปลายกิ่ง กลีบดอกมี ๕-๖ กลีบ เมื่อบานมีสัตว์เส้นผ่านศูนย์กลาง ๒-๒.๕ เซนติเมตร เกสรเพศผู้มีสีเหลือง มีจำนวนหลายชิ้น ผลรูปกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๒.๕-๓ ซม. ปลายกิ่งเป็นติ่งแหลม สีเขียว เมื่อแก่สีน้ำตาล แห้งผิวร่น เปลือกออกจะครึ้ม แพทย์แผนไทยลางถิ่นใช้ดอกสารภีแนนแทนดอกสารภี ปรุงเป็นยาหอม บำรุงหัวใจ น้ำมันระเหยยากที่หนีบได้จากเมล็ดใช้ทาแก้ปวดข้อ และก็ใช้เป็นยาพื้นสำหรับทำเครื่องสำอางตำราคุณประโยชน์ยาโบราณว่าดอกสารภีมีกลิ่นหอมสดชื่น รสขมเย็น แก้เลือดทุพพลภาพ แก้ไข้ที่มีพิษร้อน เป็นยาเจริญอาหาร ยาบำรุงหัวใจ แล้วก็ยาชูกำลัง โบราณจัดดอกสารภีไว้ในพิกัดเกสรทั้งยัง ๕ เกสรทั้ง ๗ และเกสรทั้ง ๙ ดอกจำปา ดอกจำปาได้จากดอกของต้นจำปาอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่าmagnolia champaca (L.) Bail.ex Pierre var. Champaca ในสกุล Magnoliaceae พืชชนิดนี้เป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๕-๓๐ เมตร ยอดอ่อนรวมทั้งใบอ่อนมีขน ใบแก่หมดจด ใบเป็นใบคนเดียว เรียงเพียรสลับกัน รูปรี รูปไข่ หรือรูปไข่แคบ กว้าง ๔-๑๐ ซม. ยาว ๑๐-๒๕ ซม. ปลายแหลมหรือเป็นติ่งแหลม โคนกลมมนหรือแหลม ดอกเป็นดอกผู้เดียว ออกตามซอกใบ สีเหลืองอมส้ม มีจำปาดอกขาว เหตุเพราะต้นจำปามีเขตผู้กระทำระจายพันธุ์กว้าง เป็นตั้งแต่ประเทศอินเดีย ประเทศพม่า ไทย ไปถึงจนกระทั่งเวียดนาม ก็เลยอาจมีการคลายข้างในโดยธรรมชาติกลายพันธุ์โดยธรรมชาติจนถึงขนาดรวมทั้งสีของดอกไม่เหมือนกันออกไปบ้าง ที่วัดกลาง ตำบลนครไทย อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก มีต้นจำปาอายุมากต้นหนึ่ง ดอกเมื่อแรกแย้มมีสีนวล (ไม่ขาวเสมือนดอกจำปีทั่วๆไป) แม้กระนั้นจะกลายเป็นสีเหลืองส้มเมื่อใกล้โรย (เหมือนดอกจำปาทั่วไป) ราษฎรเรียกต้นจำปานี้ว่า ต้นจำปาขาว เมื่อผ่านไปทางอำเภอนครชัยจะมองเห็นป้าย ต้นจำปาขาว ๗๐๐ ปี ต้นจำปาขาวที่ว่านี้ก็คือต้นจำปาแก่ต้นนี้เอง ส่วนกลุ่มคำ ประวัติศาสตร์ ๗๐๐ปี ต้องการจะสื่อว่าบริเวณตำบลนครไทยนั้นเดิมเป็นเมืองโบราณชื่อเมืองบางยาง เป็นเมืองที่บิดาขุนบางกลางเวหา ผู้เสพผู้สืบทอดจากพระชัยศิริ ราชวงศ์เชียงราย ย้ายถิ่นมาตั้งภูมิลำเนาจำต้องสูงพระไพร่พลอยู่ในราว พุทธศักราช ๑๗๗๘ ก่อนร่วมกับบิดาขุนหน้าผาเมือง เจ้าผู้ครองนครราด ยกพลตีสุโขทัยอันเป็นเมืองหน้าด่านของเขมรรวมทั้งรับชัยชนะในราวพ. ศ. ๑๘๐๐ แต่งตั้งพระองค์เป็นปฐมกษัตริย์ทรงชื่อว่าบิดาขุนศรีอินทราทิตย์ แห่งกรุงสุโขทัย จำปาของลาว จำปา เป็นชื่อที่คนไทยอีสานรวมทั้งชาวลาวเรียกพืชอีกชนิดหนึ่งอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Plumeria obtusa L.ในวงศ์ Apocynaceae ชาวไทยภาคกึ่งกลางเรียก ลั่นทม ลางถิ่นบางทีอาจเรียก จำปาขาว จำปาขอม จำปาลาว หรือลั่นทมดอกขาว มีชื่อสามัญว่า pagoda tree หรือ temple tree หรือ graveyard flower (เรียกดอก) พืชประเภทนี้เป็นไม้พุ่มสูง ๓-๖ เมตร แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มกว้าง ทุกส่วนมียางสีขาว ใบเป็นใบโดดเดี่ยว เรียงสลับที่บริเวณปลายกิ่ง รูปใบพายปนรูปขอบขนาน กว้าง ๕-๘ เซนติเมตร ยาว ๒๐-๓๒ ซม. ปลายรวมทั้งวัวนมน ข้างบนสีเขียวเข้ม วาว ด้านล่างมีขนนุ่ม ดอกสีขาว กึ่งกลางดอกสีเหลือง มีกลิ่นหอมยวนใจโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น ๕ กลีบ ซ้อนเหลื่อมล้ำกัน กลีบรูปไข่กลับปลายมน งอลงบางส่วน เมื่อบานมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๘-๑๐ เซนติเมตรเกสรเพศผู้มี ๕ อัน ก้านเกสรสั้นมากมาย ผลเป็นฝักคู่ รูปยาวรี เมื่อแก่แตกเป็น ๒ ส่วน เม็ดมีเยอะมาก แบน มีปีก ดวงจําปานี้เป็นดอกไม้ประจำชาติของประเทศลาว นิยมนำมาปลูกตามวัดเพื่อเป็นพุทธบูชา จัดเป็นพืชที่มีความเป็นสิริมงคลผู้ไม่เคยทราบลางท่านมีความเห็นว่าชื่อ ลั่นทม ออกเสียงคล้ายกับ โศกเศร้า อันมีความหมายว่าไม่เป็นมงคลจึงเปลี่ยนชื่อให้พืชจำพวกนี้ใหม่ว่า “ท่าทางวดี” ซึ่งเป็นการไม่ควรต้นจำปาชนิดนี้เป็นพืชสมุนไพรที่เกิดทุกส่วนของต้นใช้เป็นยาได้ ตำราเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า กลีบจำปามีกลิ่นหอมยวนใจ มีรสขม ช่วยให้ใจร้าย กระจัดกระจายโลหิต อันร้อน ขับฉี่ ขับลม แก้เหน็ดเหนื่อย ตาลาย หน้ามืด ตาลาย บำรุงหัวใจ แก้เส้นกระตุก บำรุงน้ำดี บำรุงเลือด ดอกจำปาเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งในพิกัดเกสร อีกทั้ง ๗ และเกสรอีกทั้ง ๙ ลางตำราว่าดอกใช้ผสมกับใบพลูกินแก้โรคหอบหืด และก็เมล็ดรสขมเป็นยาขับน้ำเหลือง นอกจากเปลือกต้นจำปามีรสเฝื่อนฝาดขม แก้คอแห้งผาก แก้ไข้ บำรุงหัวใจ ขับเสมหะ ใช้เป็นยาถ่ายอย่างแรง ต้มน้ำแก้โรคหนองใน ขับเมนส์ ใบมีรสขื่นขม แก้ไข้อภิญญาณ แก้โรคประสาท แก้เส้นประสาททุพพลภาพ แก้ป่วง ใช้ลนไฟพอกแก้ปวดบวม ชงน้ำร้อนดื่มแก้หืด กระพี้มีรสขื่นขม ใช้ทำลายพิษผิดสำแดง แก่นมีรสขื่นขม เมา แก้กุฏฐัง รากมีรสเฝื่อนขม ใช้ขับเลือดเน่า เป็นยาถ่าย (https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/images/editor/Benjakesorn-2.jpg) ต้นจำปา ที่ซับจำปา บริเวณที่ตอนนี้เป็นบ้านดูดซับจำปาตำบลซึมซับจำปาอำเภอท่าหลวงจังหวัดลพบุรีนั้นเดิมเป็นป่าพรุน้ำจืดที่กว้างใหญ่ไพศาลอุดมด้วยพันธุ์พืชรวมทั้งสัตว์ป่านานาจำพวกซึ่งยังมีคนเฒ่าคนแก่เล่าขานถึงแม้กระนั้นในขณะนี้ถูกราษฎรแผ้วถางเป็นพื้นที่ดินในการเลี้ยงชีพโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นไร่มันสำปะหลังสุดสายตา คงเหลือแต่ป่าต้นน้ำราว ๙๖ ไร่ ที่ราษฎรเรียกกันสืบมาว่าประจําปลาในป่านี้มีไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งขึ้นอยู่มากประชาชนเรียกพืชนั้นว่าจำเป็นต้องจับปลาแล้วก็เรียกพื้นที่ป่าซับน้ำบริเวณนั้นว่าดูดซึมจําปาอันเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดชื่อหมู่บ้านชื่อวัดแล้วก็ชื่อตำบลเป็นลำดับเมื่อเร็วๆนี้นิสิตที่จะศึกษาเล่าเรียนจำปาต้นนี้ ในเชิงอนุกรมระเบียบพบว่าเป็นพืชในวงศ์ Magnoliaceae ประเภทใหม่ของโลกซึ่งไม่เคยมีกล่าวว่าเจอที่ใดมาก่อน ก็เลยได้ระบุชื่อวิชาพฤกษศาสตร์โดยได้รับพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระนามาภิไธย สิรินธร ตั้งเป็นชื่อบกประเภทว่า Magnolia sirindhorniar Noot.& Chalermgrin เพื่อสรรเสริญแก่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ ประเทศไทยบรมราชเด็กหญิง แล้วก็เพื่ออนุรักษ์พืชประเภทนี้ไว้ให้แหล่งกรรมพันธุ์และระบบนิเวศของพืชชนิดนี้ถูกทำลายไป โดย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานชื่อไทยให้พืชจำพวกนี้ให้พืชนี้ใหม่ว่า จำปีสิรินธร ดอกกระดังงา ดอกกระดังงาเป็นดอกของพืชอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Cananga odorata Hook.f. &Th.ในตระกูล Annonaceae ลางถิ่นเรียกกระดังงาไทย (ภาคกึ่งกลาง) กระดังงาใหญ่ กระดังงาใบใหญ่ สบันงาต้น สบันงา (ภาคเหนือ) มีชื่อสามัญว่า ylang-ylang (เป็นภาษาตากาล็อก อ่านว่า อิลาง – อิลาง) ต้นกระดังงาเป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๕-๒๐ เมตร ลำต้นตั้งชัน เปลือกสีเทาหมดจดหรือสีเงิน กิ่งแผ่ออกจากต้น มักลู่ลง ส่วนที่ยังอ่อนอยู่มีขนปกคลุม ใบเป็นใบลำพัง เรียงสลับกัน แขวนลง รูปขอบขนาน กว้าง ๔ – ๙ ซม. ยาว ๗-๑๒ เซนติเมตร ปลายใบแหลม หรือเป็นติ่งแหลม โคนใบออกจะกลมมน หรือเบี้ยว ขอบของใบเป็นคลื่น ใบบาง ค่อนข้างนิ่ม สีเขียวอ่อน ดอกสีเหลืองอมเขียว มีกลิ่นหอม ออกรวมกันเป็นกลุ่ม ๔-๖ ดอก ก้านดอกยาว ๒-๔ เซนติเมตร กลีบเลี้ยงมี ๓ กลีบ สามเหลี่ยม ยาวราว ๐.๕ ซม. มีขนปกคลุม กลีบดอกห้อยลง มี ๖ กลีบ แบ่งเป็น ๒ ชั้น ชั้นละ ๓ กลีบ ชั้นนอกรูปแคบยาว ปลายเรียวแหลม ขอบกลีบชอบม้วนหรือต้องการเป็นคลื่น ยาว ๕-๘.๕ ซม. กลีบชั้นในสั้นกว่าบางส่วน เกสรเพศผู้และก็รังไข่มีเยอะมากๆ ผลได้ผลสำเร็จกลุ่มมี ๔-๑๒ ผลย่อย ผลย่อยรูปยาวรี กว้างราว ๑ ซม. ยาว ๒.๕ เซนติเมตร มีก้านยาว ๑.๓-๒ เซนติเมตร มีสีเขียวเข้มเมื่อแก่เป็นสีดำ เมื่อกลั่นกลีบดอกไม้แรกแย้มด้วยไอน้ำจะได้น้ำมันระเหยระเหยง่าย เรียก น้ำมันดอกกระดังงา (ylang-ylang oil) กลีบดอกลุกลนไฟใช้อบน้ำให้หอม (น้ำดอกไม้) สำหรับใช้เป็นน้ำกระสายยา ดอกแห้งผสมกับดอกไม้หอมอื่นๆสำหรับทำบุหงา ดอกกระดังงามีกลิ่นหอมเย็น ใช้ปรุงยาแก้ลมวิงเวียน ชูกำลัง ทำให้หัวใจชุ่มชื่นกระชุ่มกระชวย แก้หมดแรง อยากดื่มน้ำ แพทย์แผนไทยจัดเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งในพิกัดเกสรทั้ง๗ และเกสรอีกทั้ง ๙ ตำราสรรพคุณยาโบราณว่า เปลือกต้นมีรสฝาด เป็นยาขับฉี่ แก้เยี่ยวทุพพลภาพ แก้ท้องร่วง นอกจากแก่นไม้มีรสขมฝาด ใช้เป็นยาขับเยี่ยวรวมทั้งแก้ปัสสาวะทุพพลภาพเช่นเดียวกัน กระดังงาสงขลา กระดังงาจังหวัดสงขลา หรือ กระดังงาค่อย มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Canaaga odorata Hook.f.&Th var. fruticosa (Craib) J.Sincl. ในสกุล Annonaceae เป็นไม้พุ่มสูง ๑-๓ เมตร แตกกิ่งเป็นพุ่มกลม ใบและก็ดอกคล้ายต้นกระดังงามากมาย แตกต่างที่กระดังงาสงขลาเป็นไม้พุ่ม ใบสั้นกว่า ดอกออกคนเดียวๆบนกิ่งด้านตรงกันข้ามกับใบ กลีบเลี้ยงรูปไข่ ปลายแหลม กลีบดอกไม้มี ๑๕-๒๔ กลีบ ยาว เรียว บิด และก็เป็นคลื่นมากกว่าดอกกระดังงา กลีบชั้นนอกยาวและก็ใหญ่มากยิ่งกว่ากลีบชั้นใน พืชประเภทนี้เป็นพืชถิ่นเดียวแล้วก็พืชหายาก (ในธรรมชาติ) ของประเทศไทย เจอคราวแรกที่บ้านจะโหนง อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เป็นพืชที่เพาะพันธุ์ง่ายออกดอกได้เกือบจะทั้งปี นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ ดอกลำเจียก ดอกลำเจียกเป็นช่อของดอกลำเจียก (Screw pine) อันมีชื่อพฤษศาสตร์ว่า Pandanus odoratissimus L.f. ในตระกูล Pandanaceae พืชจำพวกพืชนี้ดอกเพศผู้แล้วก็ดอกเพศเมียอยู่ต่างต้นกัน ต้นที่มีดอกเพศผู้เรียก ลำเจียก ส่วนต้นที่มีดอกเพศภรรยา เรียก เตย หรือเตยสมุทร มีผู้ตั้งชื่อต้นที่มีดอกตัวเมียเป็นพืชชนิดหนึ่งโดยให้ชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Pandanus tectorius Sol. ex Parkinson พืชประเภทนี้เป็นไม้พุ่ม สูง ๕-๖ เมตร ลำต้นสีนวลหรือสีน้ำตาลอ่อน มีหนามแหลมสั้นๆกระจายอยู่ทั่วๆไป โคนต้นมีรากค้ำจำนวนไม่ใช่น้อย ใบเป็นใบผู้เดียว เรียงเวียนสลับเป็น ๓ เกลียวที่ปลายกิ่ง ใบรูปขอบขนาน กว้าง ๕-๘ ซม. ยาว ราว ๒ เมตร ขอบใบหยักมีหนามแข็ง ปลายหนามโค้งไปทางปลายใบ ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ดอกเพศผู้แล้วก็ดอกเพศภรรยามีต่างต้นกัน ช่อดอกเพศผู้ยาว มีก้านรองดอกสีขาวนวล ๒-๓ กาบห่อหุ้ม มีดอกย่อยมากมาย ดอกย่อยมีขนาดเล็ก มีกลิ่นหอม ช่อดอกเพศเมียสีเขียว มีขนาดใหญ่ อยู่ชิดกันเป็นกรุ๊ป มีกาบรองดอกสีเขียว ๒-๓ กาบ ผลเป็นรูปลิ่ม แข็ง ปลายมีหนามสั้นๆติดกันเป็นกรุ๊ปแน่น เมื่อสุกมีสีส้มอมแดง มีกลิ่นหอมอ่อนๆตำราเรียนสรรพคุณยาโบราณว่ารากเตยมีรสจืด หวาน เย็น แก้เยี่ยวแดง ขับฉี่ แก้หนองใน แก้มุตกิต ตกขาว ละลายก้อนนิ่วในไต รากอากาศมีรสจืด หวาน แก้หนอง ในแก้ขัดเบา แก้เบาขุ่นเป็นแป้ง แก้กระเพาะค่อยพิการหรืออักเสบ ขับเยี่ยว แก้นิ่วมุตกิต ใบแก้หนองและน้ำเหลือง ดอกเพศผู้มีรสเย็น แก้ไข้ แก้ไอ บำรุงหัวใจ แก้อ่อนแรง แก้ลม บำรุงธาตุ แก้ร้อนในก
|