หัวข้อ: ไอ้เข้ เริ่มหัวข้อโดย: มม ที่ มีนาคม 21, 2019, 11:24:08 pm (https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/images/content/original-1533346992365.jpg)[/b]
ไอ้เข้ ไอ้เข้เป็นสัตว์คลานขนาดใหญ่ มีผัวหนังแข็งเป็นเกล็ด ปากยาว ปลายปากนูนสูงขึ้นเป็นช่องเปิดของรูจมูก หางเป็นเหลี่ยม แบน ยาว ใช้โบกว่ายแล้วก็ใช้ฟาดต่างอาวุธ เป็นประจำทำมาหากินในน้ำ จระเข้หรืออ้ายเข้ก็เรียก อีสานเรียกแข้ ปักษ์ใต้เรียกเข้ ในแบบเรียนยาโบราณมักเขียนเป็นจรเข้ เรียกในภาษาอังกฤษว่า crocodile ในทางสัตวานุกรมเกณฑ์นั้น ตะไข้ที่จัดอยู่ในวงศ์ (Crocodylidae) มีทั้งสิ้น ๒๒ จำพวก แบ่งออกได้เป็น ๓ วงศ์ย่อย คือ ๑. สกุลย่อย (Crocodylinae) มีทั้งหมด ๑๔ ชนิด จัดแบ่งเป็น ๓ สกุล ที่พบในประเทศไทยมี ๒ สกุล คือสกุล(Crocodylus) มีทั้งหมดทั้งปวง ๑๒ จำพวก พบในประเทศไทยเพียง ๒ ประเภท แล้วก็สกุลตะโขง (Tomistoma) มีเพียง ๑ จำพวก ๒.ตระกูลย่อยจีน (Alligatoriane) มัทั้งปวง ๗ ประเภท แยกเป็น ๔ สกุล ไม่เจอในธรรมชาติในประเทศไทย Crocodile กับ Alligator ที่จัดอยู่ในสกุลย่อย Crocodylinae มีชื่อสามัญว่า crocodile ส่วนที่อยู่ในวงศ์ย่อย Alligatoriane มีชื่อสามัญว่า alligator ลักษณะโดยธรรมดาคล้ายกันแต่แตกต่างที่ alligator มีส่วนหัวกว้างกว่า ปลายปากกลมมนกว่า ฟันบนครอบฟันข้างล่าง ฟันข้างล่างซี่ที่ ๔ ทั้งสองข้างขยายโตกว่าฟันซี่อื่นๆ จะไม่เห็นฟันซี่นี้เมื่อปากปิด เพราะเหตุว่าฟัน ๒ ซี่นี้สอดลงในรูที่ฟันข้างบน ส่วน crocodile มีส่วนหัวที่แหลมเรียวยาวกว่า ฟันบนและก็ฟันข้างล่างเรียงตรงกัน ฟันซี่ที่ขยายใหญ่ขึ้นจะเฉียงออกมาด้านนอก เห็นได้แม้เวลาปิดปาก ๓.สกุลย่อยตะโขงประเทศอินเดีย (Gavialinaae) ซึ่งมีเพียงแต่ ๑ สกุล รวมทั้งมีเพียงแค่ ๑ ชนิดเพียงแค่นั้น คือตะโขงประเทศอินเดียGavialis gangeticus (Gmelin) เจอตามแหล่งน้ำจืดแล้วก็แม่น้ำต่างๆทางภาคเหนือของอินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ เนปาล ภูเขาฏาน แล้วก็ประเทศพม่า แต่ว่าไม่พบในไทย แต่ก่อนเจอ[url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16960467/%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89-]จระเข้[/url][/color]อยู่ตามป่าริมน้ำ ลำห้วย ลำคลอง หนอง บึง เคยมีเยอะๆ ก็เลยมีการจับมากินเป็นอาหารและก็ใช้ส่วนต่างๆของมาเป็นเครื่องยาสมุนไพร ปัจจุบันเมื่อมีคนเยอะขึ้นเรื่อยๆ ธรรมชาติแล้วก็สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป ทั้งที่จำเป็นจะต้องจริงได้แก่การใช้พื้นที่ป่าเป็นหลักที่ดินสำหรับเลี้ยงชีพและที่พักอาศัย และก็ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้จำนวนในธรรมชาติน้อยลงมากจนเกือบสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติ คงพบบ้างตามแหล่งน้ำในเขตอนุรักษ์บางพื้นที่ แต่ เป็นโชคดีที่แม้ว่าจวนสิ้นซากไปจากธรรมชาติในประเทศไทยแล้ว แต่ว่านักธุรกิจของเราก็บรรลุเป้าหมายสำหรับเพื่อการเพาะพันธุ์ ทำให้มีจำนวนเยอะขึ้น กลายเป็นสัตว์อาสินที่สำคัญของประเทศ เป็นสัตว์ที่ให้หนังสำหรับทำเครื่องหนังที่ตลาดอยากได้ และก็ให้เครื่องยาสมุนไพรโดยที่ไม่เป็นการทำลายสัตว์ชนิดนี้ในธรรมชาติ ผลิตจากที่เพราะว่าประเภทขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเนื้อ ดี หรือหนังแปลงเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศ ที่ดึงดูดนักท่องเทียวทั้งที่เป็นชาวไทยรวมทั้งเป็นคนต่างประเทศให้มาเยี่ยมชมปีละไม่น้อยเลยทีเดียวๆ ไอ้เข้ในประเทศไทย ไอ้เข้ที่เจอในธรรมชาติในประเทศไทยจัดอยู่ในตระกูล Crocodylidae มี ๒ สกุล รวม ๓ จำพวก คือ สกุล (Crocodylus) มี ๒ ประเภท เป็นต้นว่า น้ำจืดหรือบึง (Crocodylus siamensis Schneider) กับน้ำทะเลหรืออ้ายเคี่ยม (Crocodylus porosus Schneider) รวมทั้งสกุลตะโขง (Tomistoma ) มี ๑ ชนิด คือ ตะโขงหรือปากกระทุงเหว Tomistoma schleielii (S. Muller) สัตว์เหล่านี้มีสามีหนังแข็งเป็นเกร็ด ปากยาว ปลายปากนูนสูงขึ้นเป็นช่องเปิดของรูจมูก เรียกก้อนขี้หมา หางเป็นเหลี่ยม แบน ยาว ใช้โบกว่ายแล้วก็ใช้ฟาดต่างอาวุธ (เมื่ออยู่ในน้ำจะฟาหางได้เมื่อขาหลังถึงพื้นแค่นั้น) ๑.ตะไข้น้ำจืด มีชื่อวิทยาศาสตร์ Crocodylus siamensis Schneider เป็นขนาดปานกลาง ลำตัวบางทีอาจยาวได้ถึง ๓ เมตร มีลักษณะเด่นเป็นมีแถวเกร็ดนูนบนด้านหลังหอย รวมทั้งมีสันเตี้ยอยู่ระหว่างตาทั้ง ๒ ข้าง ประเภทนี้พบอาศัยอยู่ตามทะเลสาบน้ำจืด ตลอดจนในที่ราบ หนอง บ่อน้ำ แล้วก็แม่น้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบึงที่แยกออกมาจากแม่น้ำ และก็ลำธารที่ไหลเอื่อยๆที่มีฝั่งเป็นโคลน เคยพบได้ทั่วไปที่บ่อน้ำบอระเพ็ด แต่ปัจจุบันนี้เกือบจะไม่เจอในแหล่งธรรมชาติเลย ประเภทนี้รับประทานปลาเป็นของกินหลัก โตสุดกำลังเมื่ออายุ ๑๐-๑๒ ปี ผสมพันธุ์ในช่วงธันวาคมถึงเดือนมีนาคม ตัวเมียตกไข่ในเดือนเมษายนและพ.ค. ตกไข่ครั้งละ ๒๐-๔๐ ฟอง ไข่ฟักออกเป็นตัวในราว ๖๗-๖๘ วัน ๒.ตะไข้น้ำเค็ม มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Crocodylus porosus Schneider เป็นขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาที่ยังมีเผ่าพันธุ์อยู่ในตอนนี้ ลำตัวบางทีอาจยาวได้ถึง ๘ เมตร รอบๆท้ายทอยไม่พบแถวเกร็ดนูนดังเช่นว่าที่เจอในสมุทรน้ำจืด และก็บริเวณหน้าผากมีสันจางคู่หนึ่งซึ่งสอบเข้าพบกัน เริ่มตั้งแต่ตาไปสินสุดที่ปุ่มจมูก (ก้อนขี้มา) เพศผู้โตเต็มที่เมื่ออารุราว ๑๖ ปี ส่วนตัวภรรยาโตสุดกำลังเมื่ออายุราว ๑๐ ปี ตัวเมียวางไข่ครั้งละราวๆ ๕๐ ฟอง ไข่ฟักออกเป็นตัวในราว ๘๐-๙๐ วัน ลักษณะที่แตกต่าง ไอ้เข้น้ำจืด ไอ้เข้น้ำเค็ม ๑.ลำตัว ป้อมสั้น ไม่ได้ส่วนสัดนัก เรียวยาว ได้ส่วนสัดกว่า ๒.ท่อนหัว รูปสามเหลี่ยมมุมป้าน โหนกที่ข้างหลังตาสูง และเป็นสันมากยิ่งกว่า รูปสามเหลี่ยมมุมแหลม ปากยาวกว่า ๓.ลายบนตัว สีออกเทาดำ มีลายสีดำเป็นแถบ สีออกเหลืองอ่อน มีลายเป็นจุดสีดำตลอดลำตัว ๔.บริเวณกำดัน มีเกล็ด ๔-๕ เกล็ด มีมีเกล็ด ๕.ขาหลัง พังผืดเห็นไม่ชัด มีพังผืดเห็นได้ชัดเสมือนขาเป็ด ๓.ตะโขง หรือ ปากนกกระทุงเหว เป็นพันธุ์ที่หายากที่สุดในประเทศไทย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tomistoma schlegeill (S. Muller) เป็นขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งของไทย ลำตัวอาจยาวถึง ๕ เมตร ตัวสีน้ำตาลแดง มีลายสีน้ำตาลเข้ม ปากยาวเรียวเหมือนปากปลาเข็ม หางแบนใหญ่ ใช้ว่ายน้ำ ประเภทนี้เจอเฉพาะทางภาคใต้ของไทย มักอาศัยอยู่ในแม่น้ำแล้วก็หนองน้ำจืดที่มีบริเวณติดต่อกับแม่น้ำ บางทีอาจพบได้บริเวรป่าชายเลนหรือบริเวรน้ำกร่อย มีรายงานว่าพบปากกระทุงเหวที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เขตรักษาประเภทสัตว์ป่าเขาบรรทัด จังหวัดพัทลุง เขตห้ามล่าสัตว์ป่าพลุโต๊ะแดง จังหวักนราธิวาส แต่พบเพียงแค่ที่ละ ๑-๒ ตัว จำพวกนี้รับประทาน ปลา รวมทั้งสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังหลากหลายประเภทเป็นของกิน โตสุดกำลังเมื่ออายุราว ๔.๕-๖ ปี ตัวเมียวางไข่ครั้งละราว ๒๐-๖๐ ฟอง ไข่ฟักออกเป็นตัวในราว ๗๕-๙๐ วัน และฟักเป็นตัวในช่วงฤดูฝน ๔.ไอ้เข้ลูกผสม เป็นผสมระหว่างน้ำจืดกับน้ำทะเล คนประเทศไทยเป็นผู้สำเร็จสำหรับในการผสม ๒ ชนิดนี้ เป็นครั้งแรกในโลกเมื่อกว่า ๒๐ ปีก่อน ลูกผสมมีรูปร่าง สีสัน เกล็ด แล้วก็นิสัยที่ดุร้ายเสมือนน้ำทะเล แม้กระนั้นมีขนาดโตกว่า (เมื่อโตเต็มกำลังมีปริมาณยาว ๕.๕ เมตร มีน้ำหนักตัวมากยิ่งกว่า ๑,๒๐๐ กิโลกรัม) จัดเป็นประเภทที่มีขนาดโตที่สุดในประเทศไทย พันทางเริ่มวางไข่เมื่ออายุ ๑๐-๑๒ ปี วางไข่ราวทีละ ๓๐-๔๐ ฟอง มากกว่าการวางไข่ของน้ำทะเล ไข่มีขนาดเล็ก เปลือกไข่บาง อัตราฟักเป็นตัวได้ต่ำมากมาย เมื่ออายุ ๑๓-๒๐ ปีตกไข่ราวทีละ ๓๐ –๕๕ ฟอง ไข่ขนาดโตปานกลาง เปลือกไข่ดกกว่า อัตราฟักเป็นตัวได้สูง และเมื่ออายุ ๒๑ ปี ขึ้นไปตกไข่ทีละ ๓๕-๖๐ ฟอง เปลือกไข่หนามาก อัตราฟักเป็นตัวสูง (https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/images/editor/cf.png)[/b] ชีววิทยาของจระเข้ไทย นักวิทยาศาสตร์มั่นใจว่าเกิดแล้วก็มีพัฒนาการบนโลกมาตั้งแต่ ๒๕๐ ล้านปีกลาย ปัจจุบันนี้มีในโลกนี้ราว ๒๒ ประเภท กระจัดกระจายอยู่ตามแหล่งน้ำต่างๆในเขตร้อนทั่วทั้งโลก โดยยิ่งไปกว่านั้นรอบๆที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยระหว่าง ๒๑-๓๕ องศา เป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ในช่วงฤดูร้อนหรือในเวลากลางวันนั้น อาศัยกลบดานอยู่ในน้ำ ในช่วงฤดูหนาวจึงออกมาตากแดด เหมือนเคยชอบนอนบนริมตลิ่งน้ำที่เงียบสงบ น้ำนิ่ง ลึกไม่เกิน ๑.๕๐ เมตร เป็นสัตว์ที่มีความรู้สึกไวต่อการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาหรืออากาศ ได้แก่ ก่อนเกิดพายุฝนฟ้าคะนองหรือแผ่นดินไหวภูเขาไฟระเบิด ตะไข้จะส่งเสียงร้องออกมาจากคอคล้ายเสียงคำรามของสิงโต และก็ตัวอื่นๆก็จะร้องรับตามกันต่อๆไป ไทยแก่เฉลี่ยราว ๖๐-๗๐ ปี แต่ว่าโตเต็มกำลังและผสมพันธุ์ละวางไข่ได้เมื่อมีอายุราว ๑๐ ปีขึ้นไป เราสามารถจำแนกประเภทเพศผู้และก็ตัวเมียได้โดยการดูลักษณะด้านนอกเมื่อแก่ตั้งแต่ ๓ ปี ขึ้นไป เริ่มสืบพันธุ์ได้เมื่อมีอายุราว ๑๐ ปี โดยการผสมพันธุ์กันในน้ำแค่นั้น ฤดูผสมพันธุ์มักเป็นหน้าหนาว เป็นในราวเดือนธันวาคมถึงก.พ. เมื่อผสมพันธุ์กัน ตัวผู้จะเกาะหลังตัวเมียรวมทั้งตวัดข้างหลังหางรัดตัวภรรยา ใช้เวลาผสมพันธุ์กันราว ๑๐-๑๕ นาที ตัวเมียมีท้องราว ๑ เดือน รวมทั้งเริ่มวางไข่ในราวมีนาคมถึงพฤษภาคมตัวเมียจะเลือกทำเลที่ตั้งที่สมควร ไม่เป็นอันตราย และใกล้แหล่งน้ำ แล้วปัดกวาดเอาใบไม้รวมทั้งหญ้ามาทำเป็นรังสูงราว ๔๐-๘๐ ซม. กว้างได้ตั้งแต่ ๑-๒๐ เมตร สำหรับออกไข่ หลังจากนั้นก็เลยขุดหลุมตรงกลางแล้วออกไข่ โดยใช้เวลาออกไข่ ๒๐-๓๐ นาที เมื่อตกไข่เสร็จก็เลยกลบให้แน่น ไข่มีลักษณะโตกว่าไข่เป็ดบางส่วน แต่ว่าเล็กมากยิ่งกว่าไข่ห่าน ตัวเมียตกไข่คราวละ ๓๕-๔๐ ฟอง ระยะฟักตัวของไข่แต่ละประเภทก็แตกต่างกัน เมื่อครบกำหนดช่วงเวลาฟัก ลูกจะร้องออกจากไข่ เมื่อตัวหนึ่งร้องตัวอื่นๆก็ร้องรับต่อๆกันไป เมื่อแม่ได้ยินเสียงลูกร้อง ก็จะขุดค้นไปในรังจนถึงไข่ ลูกใช้ปลายปากที่มีติ่งแหลมเจาะไข่ออกมา ตัวที่ไม่อาจจะเจาะเปลือกไข่ได้ แม่จะคาบไข่เอาไว้ภายในปากรวมทั้งขบให้เปลือกแตกออก ลูกแรกเกิดมีขนยาว ราว ๒๕-๓๐ เซนติเมตร มีน้ำหนักตัวราว ๒๐๐-๓๐๐ กรัม มีฟันแหลมแล้วก็ใช้กัดได้แล้ว และมีไข่แดงอยู่ในท้องสำหรับเป็นอาหารได้อีกราว ๑0 วัน เมื่อของกินหมดรวมทั้งเริ่มหิว ก็จะหาอาหารกินเอง มีระบบย่อยอาหารที่ดีเยี่ยม สามารถย่อยกระดูกสัตว์ต่างๆได้ เมื่อโตสุดกำลังมีฟัน ๖๕ ซี่ ฟันด้านล่าง ๓๐ ซี่ เมื่อฟันหักไปก็มีฟันใหม่แตกออกขึ้นมาแทนที่ในระยะเวลาไม่นาน ฟันเป็นกรวยซ้อนกันเป็นชุดๆอยู่ข้างในเหงือก ๓ ชุด มีลิ้นใกล้กับพื้นปาก เมื่ออ้าปากจะเห็นเป็นจุดเล็กๆสีดำๆปรากฏอยู่ทั่วๆไปที่พื้นปากข้างล่าง บริเวณนั้นเป็นจุดที่ใช้บอกความไม่เหมือนของรสของกินที่รับประทานเข้าไป ส่วนลึกในโพรงปากมีลิ้นเปิดปิดเพื่อคุ้มครองป้องกันน้ำถูกคอเมื่ออยู่ในน้ำ จมูกอยู่ส่วนโค้งของปลายด้านบนของจะงอยปาก มีลักษณะเป็นปุ่มรูปวงกลม มีรูจมูก ๒ รู ปิดเปิดได้ เวลาดำน้ำจะปิดสนิทเพื่อปกป้องน้ำเข้าจมูก หายใจและดมกลิ่นด้วยจมูก ในโพรงปากมีกระเปาะเป็นโพรงอยู่ด้านใน ใช้สำหรับรับกลิ่น มี ๔ ขา แต่ว่าขาสั้น ดูไม่สมดุลกับลำตัว ขาหน้ามีนิ้วข้างละ ๕ นิ้ว ขาข้างหลังมีนิ้วข้างละ ๔ นิ้ว ไม่สามารถคลานไปไหนได้ไกลๆแม้กระนั้นในระยะสั้นๆทำเป็นเร็วเท่าคนวิ่ง เมื่อต้อง สามารถคลานลงน้ำรวมทั้งว่ายน้ำได้ อย่างเงียบกริบ เวลาจับเหยื่อในน้ำ ะเคลื่อนตัวเข้าหาเหยื่ออย่างช้าๆ เสมือนท่อนไม้ลอยน้ำมา เมื่อได้จังหวะรวมทั้งระยะทางพอเหมาะก็จะพุ่งเข้าใส่เหยื่ออย่างรวดเร็ว พร้อมอ้าปากงับเหยื่อได้อย่างเที่ยงตรง เมื่องับเหยื่อไว้ได้แล้ว ก็จะบิดหมุนควงเหยื่อเหยื่อตายสนิทแล้วจึงค่อยกิน ฟันมีไว้สำหรับจับเหยื่อและก็ฉีกเหยื่อเป็นชิ้นๆแล้วกลืนลงไป ไม่ได้มีไว้สำหรับบดอาหาร สามารถลอยน้ำได้โดยการสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วประคองตัวให้ลอยน้ำได้โดยการใช้ขาพุ้ยน้ำแล้วก็หางโบก แต่สำหรับการพุ่งตัวรวมทั้งว่ายด้วยความรวดเร็วนั้น ใช้เพียงแค่หางอันมีพลังโบก ไปๆมาๆอย่างเร็วเพื่อให้ตัวพุ่งไปข้างหน้า มีความรู้และความเข้าใจสำหรับการแลเห็นที่ดีและไวมาก สามารถดูภาพได้ ๑๘๐ องศา ทั้งยังสามารถเห็นวัตถุที่มาจากเหนือหัวได้ สายตาของมีความไวและก็เร็วพอที่จะผสานกับนกที่บินผ่านไป ยังลืมตาและแลเห็นในน้ำได้ เมื่อตะไข้มุดน้ำจะมีม่านตาบางใสมาปิดตาเพื่อคุ้มครองการเคืองตา ยังมีหูที่รับเสียงได้ดี หูเป็นร่องอยู่ข้างนัยน์ตา ๒ ข้าง นอกจากนี้ยังรับทราบอันตรายที่จะมาถึงได้ด้วยผิวหนัง ที่สามารถรับความรู้สึกจากการเขย่ากระเทือนของพื้นดินหรือท้องน้ำได้ในธรรมชาติอยู่รวมกันเป็นฝูงหรืออย Tags : จระเข้
|