ล้อแม็ก แม็ก แม็กล้อ แม็กซ์แต่งรถ ล้อแม็กคุณภาพ รวมล้อแม็กลายใหม่ๆ

Sitemap SMB => สินค้าอื่นๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: Navaphon11991 ที่ กันยายน 27, 2019, 11:55:06 pm



หัวข้อ: p1 กล้องสำรวจถนนหนทางภาคสนาม ให้บริการ กล้องระดับ TOPCON, Pentax, CTS/Berger ราค
เริ่มหัวข้อโดย: Navaphon11991 ที่ กันยายน 27, 2019, 11:55:06 pm
จำหน่ายกล้องอุปกรณ์กล้องไลน์สำรวจ คุณภาพเยี่ยม กล้องระดับ TOPCON ยี่ห้อ TOPCON, Pentax, CTS/Berger
การจำแนกดิน คือ การรวบรวมดินประเภทต่างๆที่มีลักษณะ หรือ คุณสมบัติที่หมือนกันหรือคล้ายคลึงกันตามที่กำหนดไว้ ให้เป็นหมวดหมู่อย่างมีระเบียบ เพื่อสบายสำหรับเพื่อการจดจำและใช้ประโยชน์งาน
ระบบการแบ่งแยกดินของประเทศรัสเซีย
ระบบนี้จะมีความสนใจดินที่เกิดในสภาพอากาศหนาวเย็น จนถึงค่อนข้างร้อน ในการแบ่งประเภทและชนิดขั้นสูง เน้นการใช้โซนลักษณะอากาศและพรรณไม้เป็นหลัก มีทั้งผอง 12 ชั้น (class I- class XII) โดยชั้น I-VI เป็นดินในเขตลักษณะของอากาศตั้งแต่หนาวจัด จนกระทั่งค่อนข้างหนาวในทะเลทราย ชั้น VII-IX ย้ำลักษณะของอากาศค่อนข้างจะร้อน โดยใช้ลักษณะความชื้น-ความแห้ง แล้วก็สภาพพรรณไม้ที่เป็นป่า หรือท้องทุ่ง เป็นต้นสายปลายเหตุจำกัด สำหรับชั้น X-XII เน้นย้ำดินในเขตร้อน จากขั้นสูงจะมีการแบ่งประเภทและชนิดออกเป็นชั้นย่อย ตามลักษณะการเกิดของดิน และแบ่งเป็นจำพวกดิน ในขั้นต่ำ ระบบการแบ่งดินของคูเบียนา การแบ่งดินใช้ ทรัพย์สมบัติทางเคมีของดิน แล้วก็โซนของอากาศกับพืชพรรณ เป็นหลัก โดยเน้นสภาพแวดล้อมในเขตเมดิเตอร์เรเนียน แล้วก็สิ่งแวดล้อมที่ค่อนข้างจะแห้งมากกว่าเขตชื้นแล้วก็ฝนชุก
-ระบบการแบ่งดินของประเทศฝรั่งเศส
มีลักษณะเด่นคือ เป็นการแบ่งดินที่ใช้ลักษณะทั้งหมดทั้งปวงด้านในหน้าตัดดินเป็นกฏเกณฑ์ เน้นวิวัฒนาการของหน้าตัดดิน โดยไตร่ตรองจาการเรียงตัวของชั้นกำเนิดดินข้างในหน้าตัดดินโดยเฉพาะ กับการที่มีปฏิกิริยาความเคลื่อนไหว หรือชั้นที่มีการสะสมของดินเหนียว การจำแนกขั้นสูงสุด ย้ำลักษณะที่เกี่ยวโยงกับการขังน้ำ ส่วนอย่างน้อย ใช้ความมากน้อยสำหรับเพื่อการย้ายที่อนุภาคดินเหนียวในหน้าตัดดิน
-ระบบการจำแนกดินของประเทศเบลเยียม
เป็นการจัดประเภทที่ค่อนข้างจะละเอียด ซึ่งเกิดจากการใช้ที่ดินทางการเกษตรที่เข้มข้น การจำแนกดินใช้ลักษณะของเนื้อดิน ชั้นการระบายน้ำ และพัฒนาการของหน้าตัดดิน เป็นลักษณะแบ่งประเภท ในการขยายความเนื้อดิน แบ่งได้ 7 ชั้น (ชั้นอนุภาคดิน) วัสดุอินทรีย์และขี้ตะกอนลมหอบ ส่วนชั้นการระบายน้ำของดิน ใช้การแปลความที่เกี่ยวกับความแฉะของดิน ได้แก่ จุดประ แล้วก็สีเทาในเนื้อดิน กับระดับความลึกของดินที่เจอลักษณะดังที่ได้กล่าวมาแล้ว สำหรับความก้าวหน้าของหน้าตัดดินแบ่งได้หลายชั้นโดยพิเคราะห์จากลำดับของชั้นต่างๆในหน้าตัดดินแล้วก็ชั้น (B) นับได้ว่าเป็นชั้น B ที่พึ่งมีความก้าวหน้าหรือเป็นชั้นแคมบิก B คล้ายกันกับในระบบของประเทศฝรั่งเศส
-ระบบการจำแนกดินของอังกฤษ
เน้นย้ำลักษณะดินที่เจอในประเทศอังกฤษรวมทั้งเวลส์ มี 10 กลุ่ม อธิบายออกมาจากกันโดยใช้รูปแบบของหน้าตัดดินเป็นหลักเกณฑ์ซึ่งเน้นย้ำจำพวกแล้วก็การจัดเรียงตัวของชั้นดิน มี Terrestrial raw soils, Hydric raw soils, Lithomorphic (A/C) soils, Pelosols, Brown soils, Podzolic soils, Surface water gley soils, Groundwater gley soils, Man-made soils และก็ Peat soils
-ระบบการจำแนกดินของประเทศแคนาดา
ระบบการจำแนกเป็นแบบมีหลายขั้นอนุกรมเกณฑ์รวมทั้งมีลำดับสูงต่ำกระจ่างแจ้ง ประกอบด้วย 5 ขั้นด้วยกันเป็น อันดับ (order) กลุ่มดินใหญ่ (great group) กรุ๊ปดินย่อย (subgroup) วงศ์ดิน (family) และชุดดิน (series) ชั้นอนุกรมระเบียบของดินในระบบการแบ่งแยกดินของแคนาดาแจงแจงออกจากกันโดยใช้ลักษณะที่พิจารณาได้ รวมทั้งที่วัดได้ แต่หนักไปในทางทางด้านทฤษฎีการกำเนิดดินสำหรับการจำแนกแยกแยะขั้นสูง ซึ่งแบ่งได้เป็น 9 ชั้น และแบ่งออกเป็น 28 กรุ๊ปดิน
-ระบบการจำแนกดินของประเทศออสเตรเลีย
การพัฒนาด้านการแบ่งแยกดินในออสเตรเลียมีมานานแล้วเช่นกัน โดยในระยะแรกเป็นการจำแนกดินที่ใช้ธรณีวิทยาของวัสดุดินเริ่มต้นเป็นหลัก แม้กระนั้นถัดมาได้มีการปรับปรุงมาเรื่อยๆจนกระทั่งย้ำเค้าโครงวิทยาของหน้าตัดดินโดยแบ่งได้เป็น 47 หน่วยดินหลัก (great soil groups) ด้วยเหตุว่าการที่ออสเตรเลียมีสภาพภูมิอากาศอยู่หลายแบบร่วมกัน ทำให้มีสิ่งแวดล้อมทางดินหลายแบบร่วมกันตามไปด้วย มีอีกทั้งในภาวะที่หนาวเย็นไปจนกระทั่งเขตร้อนชื้น และก็เขตที่เป็นทะเลทราย ซึ่งทำให้เห็นชัดเจนว่าระบบการแบ่งนี้ครอบคลุมประเภทของดินต่างๆมากไม่น้อยเลยทีเดียว แต่เน้นย้ำดินที่มีการสะสมคาร์บอเนต ย้ำสีของดิน แล้วก็เนื้อของดินค่อนข้างมากมาย ระบบการแบ่งดินของออสเตรเลียนี้มีอยู่มากยิ่งกว่า 1 แบบ เนื่องด้วยมีการเสนอระบบต่างๆที่มีแนวความคิดพื้นฐานไม่เหมือนกันออกไป อย่างเช่นระบบของฟิทซ์แพทริก (FitzPatrick, 1971, 1971, 1980) ที่เน้นย้ำจากระดับที่ถือว่าต่ำขึ้นไปหาระดับสูง และก็ระบบที่พบอยู่ในคู่มือของดินประเทศออสเตรเลีย (A Handbook of Australia Soils) เป็นต้น
-ระบบการแบ่งแยกดินของประเทศนิวซีแลนด์
ประเทศนิวซีแลนด์ใช้ระบบอนุกรมข้อบังคับดินของสหรัฐอเมริกาเป็นหลักสำหรับการจำแนกแยกแยะดิน และดินของประเทศนิวซีแลนด์บริเวณกว้างเป็นดินที่เกิดมาจากตะกอนภูเขาไฟ
-ระบบการแบ่งดินของประเทศบราซิล
ดินในประเทศบราซิลเป็นดินที่มีลักณะเด่นเป็นดินเขตร้อน ระบบการแบ่งแยกดินของบราซิลไม่ใช้สภาพความชุ่มชื้นดินในการแบ่งแยกขั้นสูง แล้วก็ใช้สี จำนวนของส่วนประกอบกับประเภทของหินต้นกำเนิด เป็นลักษณะที่ใช้ในการจำแนกมากยิ่งกว่าที่ใช้ในอันดับวิธานดินกษณะที่ใช้ในการแบ่งประเภทและชนิดมากยิ่งกว่าที่ใช้ในอนุกรมระเบียบดิน
ตามระบบการจำแนกดินประจำชาตินี้ สามารถแบ่งดินในประเทศไทยออกเป็น
ชุดดินรังสิต
Alluvial soils
เป็นดินที่เกิดขึ้นใหม่ มีอายุน้อย มีความก้าวหน้าของหน้าตัดดินต่ำ หน้าตัดดินเป็นแบบ A-C, A-Cg, Ag-Cg หรือ A-(B)-Cg มีต้นเหตุมาจากการทับถมโดยน้ำตามที่ราบลุ่ม เช่นที่ราบลุ่มริมแม่น้ำ ทะเลสาบ ปากแม่น้ำ ชายทะเล แล้วก็เนินตะกอนน้ำพารูปพัด (alluvial fan) ภาวะของการทับถมบางทีอาจเป็นรอบๆของน้ำจืด น้ำทะเล หรือน้ำกร่อยก็ได้ โดยมากจะมีเนื้อดินละเอียด และการระบายน้ำเหลวแหลก มักพบลักษณะที่แสดงการขังน้ำ ยกเว้นรอบๆสันดินชายน้ำ แล้วก็ที่เนินขี้ตะกอนน้ำพารูปพัด ที่เนื้อดินจะหยาบกว่า รวมทั้งดินมีการระบายน้ำดี ส่วนประกอบแล้วก็แร่ที่มีอยู่ในดิน alluvial มักไม่เหมือนกันมากมาย แล้วก็มักจะผสมปะปนจากบริเวณต้นกำเนิดที่มาจากหลายแห่ง ชุดดินที่สำคัญของกลุ่มดินหลักนี้เป็น
- พวกที่เกิดจากขี้ตะกอนน้ำจืด ได้แก่ ชุดดินท่าม่วง สรรพยา สิงห์บุรี จังหวัดราชบุรี อยุธยา
- พวกที่เกิดขึ้นมาจากขี้ตะกอนน้ำกร่อย ดังเช่นว่า ชุดดินองครักษ์ รังสิต
- พวกที่เกิดจากขี้ตะกอนพื้นทวีปมหาสมุทร อาทิเช่น ชุดดินท่าจีน กรุงเทพมหานคร
-
Hydromorphic Alluvial soils
คือดิน Alluvial soils ที่มีการระบายน้ำออกจะชั่วช้าสารเลว-ชั่วโคตรมาก ในเรื่องที่มีการจัดชนิดและประเภทดินออกเป็น Alluvial soils และก็ Hydromorphic Alluvial soils ดินที่อยู่ในกลุ่มดินหลัก Alluvial soils จะเป็นดินที่มีการระบายน้ำดี รวมทั้งอยู่ในรอบๆที่สูงกว่าในภูมิทัศน์ที่ต่อเนื่องกัน ดินในทั้งสองกรุ๊ปดินหลักนี้ชอบได้รับอิทธิพลอุทกภัยในช่วงฤดูน้ำหลากเสมอ
 -ชุดดินหัวหิน
Regosols
มีวิวัฒนาการของหน้าตัดดินต่ำ กำเนิดแจ้งชัดเฉพาะดินบน (A) รวมทั้งมีหน้าตัดดินแบบ A-C หรือ A-Cg มีเหตุมาจากวัตถุแหล่งกำเนิดดินที่เป็นทรายจัดบางทีอาจเป็นทรายรอบๆชายฝั่งทะเล หรือรอบๆเนินทราย หรือทรายจากแม่น้ำ ดินมีการระบายน้ำดี จนถึงระบายน้ำดีจนเกินไป เจอทั่วๆไปเป็นแถวยาวตามชายฝั่งทะเล แล้วก็ตามตะพักลำน้ำของแม่น้ำที่มีตะกอนเป็นทรายจัด มีปฏิกิริยาค่อนข้างจะเป็นกรด ชุดดินที่สำคัญเช่น ชุดดินหัวหิน พัทยา ระยอง และก็น้ำพอง
-Lithosols
เป็นดินตื้นมากมาย โดยมากลึกไม่เกิน 30 เซนติเมตร พบได้มากตามบริเวณที่ลาดเชิงเขาซึ่งมีกษัยการสูง การเรียงตัวของชั้นดินเป็นแบบ A-C-R, AC-C-R หรือ A-R เนื้อดินมีเศษหินที่ยังไม่ผุพังสลายตัวหรือกำลังย่อยสลายปนอยู่เป็นส่วนมาก ดินนี้ไม่เหมาะแก่การเกษตร หรือการผลิตพืชโดยทั่วไป
-ชุดดินลพบุรี
Grumusols
เป็นดินสีคล้ำ เป็นผลมาจากวัตถุต้นกำเนิดที่มีปฏิกิริยาเป็นด่าง ดังเช่นว่า หินปูน มาร์ล หรือบะซอลต์ วิวัฒนาการของหน้าตัดดินต่ำ เนื้อดินเป็นดินเหนียว มีองค์ประกอบเป็นแร่ดินเหนียวจำพวก 2:1 ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจในการยืด-หดตัวได้มาก ดินจะขยายตัวเมื่อแฉะ (swelling) และก็หดตัวเมื่อแห้ง (shrinkage) ทำให้มีลักษณะของรอยูลื่น (slickensides) เกิดขึ้นในดิน ลักษณะหน้าตัดมีชั้น A-C หรือ A-AC-C โดยชั้น A จะครึ้ม มีส่วนประกอบดินแบบก้อนกลม (granular structure) หรือก้อนกลมพรุน (crumb structure) พบมากในบริเวณที่ราบลุ่มหรือตะพักลำน้ำ ลักษณะผิวหน้าดินเป็นหลักที่ปุ่มๆป่ำๆ (gilgai relief) เมื่อแห้งผิวดินจะแตกระแหงเป็นร่องลึก ปฏิกิริยาดินเป็นด่าง ลักษณะโดยรวมเป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง แต่มีโภคทรัพย์ด้านกายภาพที่เป็นปัญหาในการไถกระพรวน ดินนี้ในรอบๆที่ต่ำจะมีการระบายน้ำเหลวแหลก ส่วนมากใช้ปลูกข้าว แม้กระนั้นถ้าเกิดอยู่ในที่สูง ยกตัวอย่างเช่นในบริเวณใกล้เชิงเขาหินปูนมักจะมีการระบายน้ำดี ใช้ปลูกพืชไร่ ยกตัวอย่างเช่น ข้าวโพดชุดดินที่สำคัญ ดังเช่นว่า ชุดดิน ลพบุรี บ้านหมี่ โคกกระเทียม บุรีรัมย์ กรุ๊ปดินหลัก Grumusols นี้ ไม่มีในระบบ USDA 1938 เริ่มใช้สำหรับในการเสริมเติมระบบ USDA เมื่อ 1949
 -ชุดดินตาคลี
Rendzinas
เป็นดินตื้นเกิดตามตีนเขาหินปูน วัตถุแหล่งกำเนิดเป็นพวกปูน (CaCO3) หรือมาร์ล กำเนิดเกี่ยวโยงกับดิน Grumusols แม้กระนั้นอยู่ในบริเวณที่สูงกว่า พบได้ทั่วไปรอบๆที่ลาดใกล้เขา หรือ กระพักที่ลุ่มใกล้เขาหินปูน เป็นดินที่มีวิวัฒนาการของหน้าตัดต่ำ ลักษณะดินจะมีเพียงแค่ชั้น A รวมทั้ง C หรือ A-(B)-C ดินบนสีคล้ำ มีองค์ประกอบดี ร่วน แล้วก็ค่อนข้างจะครึ้ม มีการระบายน้ำดี ส่วนดินข้างล่างเป็นดินเหนียวผสมปูนหรือปูนมาร์ล ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นตามความลึก และชอบพบชั้นที่เป็นปูน หรือ ปูนมาร์ลล้วนๆอยู่ในตอนล่างของหน้าตัดดิน ดินพวกนี้จะมีปฏิกิริยาเป็นด่าง (pH ราว 7.0-8.0) ส่วนมากใช้สำหรับในการปลูกพืชไร่ เป็นต้นว่าข้าวโพด หรือปลูกไม้ผล ยกตัวอย่างเช่น น้อยหน่า ทับทิม ฯลฯ ชุดดินที่สำคัญคือ ชุดดินตาคลี
 -ชุดดินชัยบาดาล
Brown Forest soils
เจอตามบริเวณภูเขาเป็นส่วนใหญ่ มีต้นเหตุที่เกิดจากวัตถุต้นกำเนิดที่เป็นวัตถุตกค้าง แล้วก็เศษหินเชิงเขา ทั้งยังในภาวะที่หินพื้นเป็นพวกที่มีปฏิกิริยาเป็นกรด รวมทั้งด่าง ยกตัวอย่างเช่น แกรนิต ไนส์ แอนดีไซต์ มาร์ล บางทีอาจพบปะสนทนาปนกับดินในกรุ๊ปดินหลัก Rendzinas เป็นดินตื้น ความก้าวหน้าของหน้าตัดดินไม่เท่าไรนัก มีลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ A-B-C หรือ A-B-R แต่ชั้น B ชอบไม่ค่อยกระจ่างแจ้ง ในประเทศไทยพบได้ทั่วไปตามภูเขาหินปูนเป็นส่วนมาก สำหรับ Brown Forest soils ที่เป็นกรด เจอเพียงเล็กน้อยชุดดินที่สำคัญ อาทิเช่น ชัยบาดาล ลำทุ่งนารายณ์ สมอทอด
 -Humic Gley soils
เจอจำนวนน้อยในประเทศไทย มักกำเนิดผสมอยู่กับดินอื่นๆในลักษณะขจุยขจายเป็นหย่อมๆในบริเวณที่ราบลุ่ม พบได้ทั่วไปอยู่ใกล้กับดินในกลุ่ม Grumusols, Rendzinas หรือ Red Brown Earths เป็นดินในที่ต่ำ มีการระบายน้ำต่ำทราม ความเจริญของหน้าตัดไม่ดีนัก ลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ Ag (Apg)-Cg หรือ A-Bg-Cg ลักษณะที่สำคัญคือ ดินบนครึ้ม มีสารอินทรีย์สูง ดินข้างล่างมักเป็นดินเหนียวสีเทาหรือสีเทาเข้ม มีลักษณะที่แสดงถึงภาวะที่มีการขังน้ำชัดเจน มีจุดประ ปฏิกิริยาดินเป็นด่างบางส่วนชุดดินที่สำคัญคือ ชุดดินแม่ขานตอบ
 -ชุดดินร้อยเอ็ด
Low Humic Gley soils
เป็นดินที่เกิดขึ้นจากขี้ตะกอนน้ำพา เจอในรอบๆที่ต่ำที่มีการระบายน้ำชั่ว ส่วนมากอยู่ในบริเวณตะพักแถบที่ลุ่มต่ำที่สูงกว่าที่ราบลุ่มใหม่ใกล้น้ำ ระดับน้ำใต้ดินตื้นและก็แช่ขังเป็นบางครั้งบางคราว แต่ว่ามีพัฒนาการของหน้าตัดค่อนข้างดี ลักษณะสำคัญของดินในกลุ่มนี้คือ หน้าตัดดินมีลักษณะที่แสดงออกถึงการขังน้ำ มีจุดประแจ่มชัด หน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt, Ap-A2-Bt, A1-A2-Btg, A1g-A2g-Btg, หรือ Apg-Btg พวกที่มีอายุน้อยจะสมบูรณ์บริบูรณ์มากยิ่งกว่าพวกที่เกิดยาวนานกว่า บางบริเวณจะเจอศิลาแลงอ่อน (plinthite) ในตอนล่างของหน้าตัดดิน ส่วนใหญ่เป็นดินที่มีความอิ่มตัวเบสต่ำ pH ประมาณ 4.5-5.5 สำหรับพวกที่เกิดอยู่ในรอบๆกระพักลุ่มน้ำออกจะใหม่ มักจะมีความอิ่มตัวเบสสูง ชุดดินที่สำคัญหมายถึงเพ็ญ สระบุรี มโนรมย์ เพชรบุรี เชียงราย หล่มเก่า ส่วนพวกที่เกิดบนกระพักลุ่มน้ำออกจะเก่า อาทิเช่นชุดดิน ร้อยเอ็ด จังหวัดลำปาง ฯลฯ
 
-ชุดดินท่าอุเทน
Ground Water Podzols
เป็นดินที่มีการระบายน้ำชั่วช้าสารเลวถึงค่อนข้างเหลวแหลกเจอเฉพาะในบริเวณที่มีฝนตกชุก อาทิเช่น ในภาคใต้ รอบๆชายฝั่งทิศตะวันออก หรือบางจังหวัดของภาคอีสาน เป็นต้นว่า จังหวัดนครพนม มีต้นเหตุจากวัตถุต้นกำเนิดที่เป็นทราย ในบริเวณที่เป็นทรายจัด ยกตัวอย่างเช่น หาดเก่าหรือตะกอนทรายเก่า ในรอบๆที่ออกจะต่ำ มีความก้าวหน้าของหน้าตัดดี รูปแบบของหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-(A2)-Bh-Cg หรือ A1-A2-Bir-Cg ชั้นดินบนสีคล้ำ และก็มีอินทรียวัตถุสูง ชั้น A2 (albic horizon) หรือชั้นล้างมีสีซีดจางเห็นได้ชัดเจน ชั้น Bh มีสีน้ำตาลเข้มรวมทั้งมีการอัดตัวค่อนข้างแน่น แข็ง เนื่องจากมีการสะสมสารอินทรีย์ที่เสื่อมสภาพแล้วกับอะลูมินัมออกไซด์แล้วก็/หรือเหล็กออกไซด์ มีปฏิกิริยาเป็นกรด pH ต่ำ ราวๆ 4.0-5.0 ตลอดทั้งหน้าตัดชุดดินที่สำคัญเป็น ชุดดินบ้านทอน ท่าอุเทน
 -ชุดดินหนองมึง
Solodized-Solonetz
พบในบริเวณที่ค่อนข้างจะแห้งแล้ง และก็วัตถุต้นกำเนิดมีเกลือผสมอยู่ ได้แก่รอบๆชายฝั่งทะเลเก่า หรือรอบๆที่ได้รับผลกระทบจากเกลือที่มาจากใต้ดิน เป็นต้นว่าในภาคอีสาน ของประเทศไทย ฯลฯ มีลักษณะของหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt ดินมีการระบายน้ำเลวทราม ชั้น Bt จะแข็งแน่นรวมทั้งมีองค์ประกอบแบบแท่งหัวมน (columnar structure) หรือแบบแท่งหัวตัด (prismatic) ดินบนเป็นดินร่วนคละเคล้าทราย มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างราว 5-5.5 ส่วนดินล่างมี pH สูง 7.0-8.0 ยกตัวอย่างเช่นชุดดินว่าวจุฬาร้องไห้ ชุดดินหนองแก เป็นต้น
 -ชุดดินทิศเหนือ
Solonchak
เป็นดินที่มีการระบายน้ำเลวทรามถึงค่อนข้างจะชั่วช้าสารเลว มีเกลือสะสมอยู่ในชั้นดินมากมาย หน้าตัดดินเป็นแบบ Apg-Cg หรือ Apg-Bg-Cg ในดินพวกนี้จะมีชั้นดินที่เป็นดินเหนียวอยู่เป็นชั้นบางๆสลับกับชั้นทราย เกิดขึ้นให้เห็นชัดเจน ในช่วงฤดูแล้งจะมองเห็นคราบเปื้อนเกลือสีขาวๆที่ผิวหน้าดิน ความเป็นกรดเป็นด่างมากกว่า 7.0 อย่างเช่น ชุดดินทิศเหนือ
 -Non Calcic Brown soils
พบไม่มากสักเท่าไรนักในประเทศไทย พบในบริเวณตะพักลำน้ำค่อนข้างจะใหม่ ความก้าวหน้าของหน้าตัดดี ลักษณะหน้าตัดดินแบบ A1(Ap)-A2-Bt ดินบนสีน้ำตาลเทา ดินล่างมีสีน้ำตาล น้ำตาลคละเคล้าเหลือง หรือน้ำตาลปนแดง มีต้นเหตุมาจากตะกอนน้ำค่อนข้างจะใหม่ มีเนื้อดินตั้งแต่ค่อนข้างจะหยาบคายไปจนถึงละเอียด และมีปฏิกิริยาเป็นกรดเล็กน้อย ในหน้าตัดดินจะพบแร่ไมกาอยู่ทั่วๆไป มีการระบายน้ำดี ความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างจะสูง เหมาะสมที่จะปลูกพืชไร่รวมทั้งไม้ผล ชุดดินที่สำคัญตัวอย่างเช่น ชุดดิน กำแพงแสน ธาตุพนม
 -ชุดดินโคราช
Gray Podzolic soils
เกิดในรอบๆกระพักลำน้ำเป็นดินที่มีอายุค่อนข้างจะมากมาย มีความก้าวหน้าของหน้าตัดดี เจอในรอบๆสายธารระดับต่ำ-ระดับกลาง วัตถุต้นกำเนิดเป็นขี้ตะกอนน้ำที่ทับถมมานานแล้ว ซึ่งจะเป็นกรดรวมทั้งมีแร่ที่ย่อยสลายง่ายหลงเหลืออยู่ในปริมาณน้อย ในภาวะพื้นที่แบบคลื่น ซึ่งทำให้การไหลผ่านหน้าดินเป็นไปอย่างช้าๆแล้วก็ลักษณะอากาศที่มีระยะเปียก-แห้งสลับกันเป็นเหตุที่สำคัญต่อการเกิดดินประเภทนี้ ลักษณะดินชี้ให้เห็นว่าดินมีการชะละลายสูง สีจะออกขาวหรือเทาจัดเมื่อแห้ง และก็มีลักษณะการเคลื่อนย้ายบนผิวหน้าดินค่อนข้างจะกระจ่าง เนื้อดินละเอียดแล้วก็อินทรียวัตถุถูกชะล้างไปเมื่อหน้าดินถูกฝน ยังเหลือแต่ว่าจุดที่เกาะตัวกันแน่นอยู่เป็นจุดๆบางทีอาจพบพลินไทต์ในชั้นดินด้านล่าง เป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ-ต่ำมาก ลักษณะของหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt กรุ๊ปดินนี้พบเป็นรอบๆกว้างใหญ่ในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และก็บางพื้นที่ในภาคเหนือ ชุดดินที่สำคัญ ยกตัวอย่างเช่น ชุดดินวัวราช สันป่าตอง ห้วยโป่ง ฯลฯ
 -ชุดดินท่ายาง
Red Yellow Podzolic soils
เป็นดินเก่าที่มีความเจริญของหน้าตัดดินดี เกิดในภาวะที่คล้ายกับดินในกลุ่มดินหลัก Reddish Brown Lateritic Soils ลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt-C หรือ R พบทั่วไปในรอบๆเทือกเขาแล้วก็ที่ลาดตีนเขาหรือที่ราบขั้นบันไดเก่า วัตถุต้นกำเนิดดินมาจากหินหลายประเภท โดยมากเป็นหินที่มีปฏิกิริยาเป็นกรดถึงเป็นกลาง ดินมีการระบายน้ำดี ลักษณะเนื้อดินเปลี่ยนแปลงได้มากตั้งแต่ค่อนข้างจะหยาบคายจนถึงค่อนข้างละเอียด สีจะออกแดง เหลืองผสมแดงและเหลือง มีชั้น E ที่ค่อนข้างเด่นชัด มีสีจางหรือเทากว่าชั้นอื่น รวมทั้งอาจมีเศษหินที่สลายตัว หรือ พลินไทต์ปะปนอยู่ด้วยในดินข้างล่าง แบบอย่างเป็นต้นว่า ชุดดินท่ายาง โพนพิสัย จังหวัดชุมพร หาดใหญ่ จังหวัดภูเก็ต ฯลฯ จัดว่าเป็นกรุ๊ปดินที่พบบ่อยกลุ่มหนึ่งในประเทศไทย
 -ชุดดินอ่าวลึก
Reddish Brown Lateritic soils
เป็นดินเก่า มีพัฒนาการของหน้าตัดดี มีเหตุที่เกิดจากวัตถุต้นกำเนิดที่เป็นวัตถุตกค้างของหินที่มีปฏิกิริยาเป็นกลางและก็ที่มีปฏิกิริยาเป็นด่าง ลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A3-Bt-C หรือ R เป็นดินที่มีการระบายน้ำดี ดินข้างบนมีสีน้ำตาลเข้ม หรือสีน้ำตาลแดง มีเนื้อดินตั้งแต่ดินร่วนซุย (loam) ถึง ดินร่วนเหนียว (clay loam) ส่วนชั้นดินข้างล่างมีเนื้อดินเป็นดินร่วนซุยเหนียว ถึงดินเหนียว (clay) ที่มีสีแดง รูปแบบของดินแสดงการชะล้างสูง และบางทีอาจเจอชั้นหินแลงในชั้นล่างของหน้าตัดดิน ลักษณะดินจะคล้ายกับดินในกลุ่มดินหลัก Red Brown Earths ที่ต่างกันเป็นจะมีเป็นกรดมากยิ่งกว่า pH โดยประมาณ 5-6 ชุดดินที่สำคัญเป็น ชุดดินลี้ บ้านจ้อง อ่าวลึก จังหวัดตราด ฯลฯ
-ชุดดินปากช่อง
Red Brown Earth
เป็นดินที่มีความเกี่ยวพันโดยตรงกับหินปูน หรือหินที่มีปฏิกิริยาเป็นด่าง แล้วก็จะมีความสัมพันธ์กับหินดินดานด้วย ดินมีสีแดง มีพัฒนาการของหน้าตัดดี เป็นแบบ A1-A3-Bt-C หรือ R เนื้อดินเป็นดินเหนียว มีการระบายน้ำดี กำเนิดในรอบๆที่ราบซึ่งเกิดจากกษัยการ หรืออาจจะเกิดตามไหล่เขาได้ ดินพวกนี้มีลักษณะสีดิน รวมทั้งการจัดลำดับตัวของชั้นดินใกล้เคียงกับดินในกลุ่มดินหลัก Reddish Brown Lateritic มากต่างกันที่ความเป็นกรดเป็นด่างของดิน โดยที่ Red Brown Earth มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างสูงขึ้นมากยิ่งกว่า (pH ประมาณ 6.5-8.0) ชุดดินที่สำคัญคือ ชุดดินปากช่อง เป็นกลุ่มดินที่มีการปลูกพืชไร่และทำสวนผลไม้กันมากมาย
-ชุดดินยโสธร
Red Yellow Latosols
เป็นดินที่มีการระบายน้ำดีจนกระทั่งดีเกินไป แก่มาก หน้าตัดดินลึก มีลักษณะที่มีความหมายว่ามีการชะละลายสูง วิวัฒนาการของหน้าตัดดี ลักษณะหน้าตัดเป็นแบบ A-B (Box) หรือ A1-A3-B (Box) พบเป็นหย่อมๆในบริเวณลานกระพักสายธารระดับที่ถือว่าสูง มีเหตุมาจากตะกอนน้ำพาเก่ามากมาย มีทรัพย์สินทางด้านกายภาพดี แม้กระนั้นทรัพย์สินทางเคมีไม่ค่อยดี มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ มีสีแดงหรือเหลืองตลอดหน้าตัดดิน ดินบนเนื้อดินหยาบ ดินล่างมีพวกเซสควิออกไซด์สูง บางแห่งพบหินแลงในตอนล่างของหน้าตัดดิน และไม่พบการเคลือบผิวของดินเหนียวในชั้น B ชุดดินที่สำคัญ อย่างเช่น ศรีราชา ยโสธร
-Reddish Brown Latosols
กำเนิดในรอบๆที่เกี่ยวโยงกับภูเขาไฟ วัตถุต้นกำเนิดเป็นตะกอนหลงเหลือ หรือขี้ตะกอนดาดตีนเขา ของหินที่เป็นด่างอาทิเช่น บะซอลท์ แอนดีไซต์ เป็นดินที่มีการระบายน้ำดี และก็พัฒนาการของหน้าตัดดี มีหน้าตัดดินแบบ A-Box (ox = ออกไซด์ของเหล็ก) เนื้อดินเป็นดินเหนียวสีแดง สีแดงคละเคล้าน้ำตาล มีความร่วนซุยดี เป็นดินลึกมากมาย มักจะเหมาะสมกับการใช้ทำสวนผลไม้ อาทิเช่น ชุดดินท่าใหม่
-Organic soils
Organic soils หรือเรียกว่า Peat and Muck soils เป็นดินที่มีลักษณะแตกต่างไปจากกรุ๊ปดินอื่นๆเพราะเหตุว่าเป็นดินที่มีอินทรีย์คาร์บอนอยู่ในองค์ประกอบมากยิ่งกว่าปริมาณร้อยละ 20 โดยน้ำหนัก หรือประกอบไปด้วยอินทรียวัตถุล้วนๆพบในรอบๆแอ่งต่ำมีน้ำขังอยู่เกือบทั้งปีแล้วก็มีการสะสมของวัสดุดินอินทรีย์สูง สำหรับในประเทศไทยพบได้ทั่วไปทางภาคใต้ ในจังหวัดนราธิวาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่พรุ ข้อดีก็คือสีจะคล้ำ มีอินทรีย์วัตถุสูง เป็นกรดจัด มีการพัฒนาหน้าตัดดินน้อย ลักษณะหน้าตัดเป็นแบบ A-C เมื่อระบายน้ำออก จะหดตัวได้มาก เช่น ชุดดินนราธิวาส พบมากในภาคใต้ของประเทศไทย
(http://www.p1instrument.com/UploadImage/86b68602-3fe7-430f-9bbe-db9434776ae0.jpg)
 
กล้องวัดมุมอิเล็กทรอนิกส์ ยี่ห้อ Leica Builder 100 - T100 9"
 
1.กล้องเล็งเป็นระบบเห็นภาพตั้งตรง
2. กำลังขยาย 30 เท่า
3. ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเลนส์ปากกล้องไม่ต่ำกว่า 40 มิลลิเมตร
4. ขนาดความกว้างของภาพที่เห็นในระยะ 100 เมตร ไม่น้อยกว่า 2.6 เมตร หรือ 1องศา 30 ลิปดา
5. ระยะมองเห็นภาพชัดใกล้สุดไม่เกิน 0.9เมตร
6. ค่าตัวคูณคงที่ 100
7. ค่าตัวบวกคงที่ 0
8. กำลังในการขยายภาพ 3 ฟิลิปดา
9. เป็นกล้องแบบอิเล็กทรอนิกส์ระบบวัดมุมแบบ Absolute Reading
10. หน่วยวัดเป็น องศา ลิปดา ฟิลิปดา
11. แสดงค่ามุมที่วัดได้ละเอียดโดยตรงไม่เกิน 5 ฟิลิปดา และ 10 ฟิลิปดา
12. ค่าความถูกต้องในการอ่านมุม ( Accuracy ) ไม่เกิน 9 ฟิลิปดา
13. หน้าจอแสดงผลเป็น LCD 1 หน้าจอ มีระบบให้แสงสว่างหน้าจอขณะทำงานและสามารถบอกระดับพลังงานได้
14. ความไวของระดับฟองกลม 10ลิปดา 2 มม.
15. ความไวของระดับฟองยาว 60ฟิลิปดา / 2 มม.
16. กล้องส่องหัวหมุด ( Optical Plummet ) กำลังขยาย 3 เท่า ปรับความคมชัดได้ตั้งแต่ระยะ 0.5 เมตร ขึ้นไป
17. สามารถแสดงผลทั้งเป็นมุมราบและมุมดิ่ง

 
การวัด (Measurement)
การวัด (Measurements) เป็นกรรมวิธีพื้นฐานของการได้มาซึ่งค่าสังเกต (Observations) ของข้อมูลตามที่ต้องการ เมื่อได้ก็ตามที่มีการวัด เมื่อนั้นย่อมมีความคลาดเคลื่อน (Errors) ขึ้นตามมาทุกครั้ง ดังนั้น จึงไม่มีการวัดครั้งใดที่ปราศจากความคลาดเคลื่อนอยู่ด้วย นั่นคือ ในการวัดทุกครั้งจำเป็นจำต้องมีการประเมินค่าความถูกต้อง (Accuracy) และค่าความแม่นยำ (Precision) และนั่นหมายถึง ในศึกษาถึงความถูกต้องของการวัดจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเข้าใจถึงธรรมชาติ ชนิด และ ขนาดของความคลาดเคลื่อนที่แต่ละกระบวนการวัดด้วย
การวัดและมาตรฐาน (Measurement and Standards)

  • การวัด เป็นกระบวนการหาขนาด ปริมาณ ของสิ่งที่ต้องการวัดด้วยการเทียบกับมาตรฐานอันหนึ่งที่ใช้ในการหาขนาดและปริมาณต่างๆ เช่น
  • ความยาว น้ำหนัก ทิศทาง เวลา ตลอดจน ปริมาตร ตัวอย่างของการเทียบกับสิ่งที่เป็นมาตรฐาน เช่น ความยาวมาตรฐาน 1 เมตร คือ ระยะทางที่แสงเดินทางได้ในสุญญากาศเป็นเวลา 1/299,792,458 วินาที ซึ่งอาจจะทำการวัดเทียบกับสิ่งที่ใช้เป็นมาตรฐานอ้างอิงนั้นโดยตรงหรือโดยอ้อม (Direct and Indirect Measurement)


Precision, Accuracy and Discrepancy

  • ค่าความแม่นยำ ( Precision ) คือ ความแม่นยำในการวัดหลายๆ ครั้ง กล่าวคือ มี Discrepancy มากหรือน้อยซึ่งขึ้นอยู่กับ ความละเอียดของเครื่องมือ และ ความชำนาญของผู้ใช้
  • ค่าความถูกต้อง ( Accuracy) คือ ความถูกต้องของค่าการวัดที่ได้ว่า ใกล้เคียง กับค่าจริงเพียงใด Accuracy
  • ค่าความแตก
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ