กระทู้ล่าสุดของ: watamon

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11 12 ... 44
136  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคเอดส์ - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: มีนาคม 29, 2018, 04:32:29 pm

โรคเอดส์ (Acquired immunodeficiency syndrome. AIDS)

  • โรคเอดส์เป็นอย่างไร โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือโรคเอดส์ เพิ่งมีการค้นพบมา 30 กว่าปี และก็ทั่วโลกต่างกลัว ด้วยเหตุว่าปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้

    ประวัติความเป็นมาของโรค ภูมิต้านทานผิดพลาด/AIDS ประการแรกอาจจะจะต้องกล่าวถึงปี พุทธศักราช ๒๔๕๒ Carlos Ribeiro Justiniano Chagas แพทย์ชาวบราซิล ค้นพบเชื้อที่ขณะนั้นมีความรู้สึกว่าเป็นโปรโตซัวชื่อ Pneumocystis carinii ซึ่งก่อโรคปอดบวม(Pneumonia) ในหนูและก็มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Immunodeficiency) โรคปอดอักเสบนี้เรียกว่า Pneumocystis carinii Pneumonia (PCP) ต่อมา Otto Jirovec นักปรสิตวิทยาชาวเช็ก เสนอว่าเชื้อนี้ที่ก่อโรคในคนกับสัตว์เป็นคนละจำพวกกัน แต่ไม่มีข้อพิสูจน์ที่แน่ๆ
    พ.ศ. ๒๕๒๔ Michael Gottlieb หมอคนประเทศอเมริกาแถลงการณ์ว่าพบคนไข้ที่เป็นชายรักร่วมเพศ ๕ คนไข้เป็นโรค PCP และอีก ๕ เดือนต่อมาทั้งหมดก็ติดเชื้อเชื้อไวรัส CMV ซึ่งมักจะเป็นในมีภูมิต้านทานบกพร่อง แม้กระนั้นหาต้นเหตุไม่พบว่าภูมิต้านทานของคนเหล่านี้บกพร่องจากอะไร จึงเชื่อว่าเป็นโรคใหม่ เนื่องจากว่า ๔ ใน ๕ คนนี้ตรวจเจอเชื้อไวรัสตับอักเสบบีร่วมด้วยซึ่งติดต่อทางเพศสมาคม จึงคาดว่าโรคที่เจอใหม่นี้คงจะติดเชื้อโรคทางเพศสมาคมเช่นกัน
    พ.ศ. ๒๕๒๕ ศูนย์ควบคุมและคุ้มครองปกป้องโรคของอเมริกา (CDC) ตั้งชื่อโรคนี้ว่า Acquired Immunodeficiency Syndrome หรือโรคเอดส์ (AIDS) นั่นเอง
    พ.ศ. ๒๕๒๖ Luc Montagnier รวมทั้งทีมงานนักวิจัยจากสถาบัน Pasteur ใน Paris ศึกษาค้นพบเชื้อไวรัสที่เป็นต้นเหตุของโรคนี้โดยใช้ชื่อว่า Lymphadenopathy Associated Virus (LAV)
    อีกหนึ่งปีถัดมา Robert Gallo รวมทั้งทีมวิจัยจากสถาบันเชื้อไวรัสวิทยาใน Baltimore ก็ศึกษาและทำการค้นพบเชื้อไวรัสนี้เหมือนกันโดยเรียกว่า Human T-cell Lymphotrophic Virus-III (HTLV-III) แต่ว่า Gallo อ้างถึงว่าตนเป็นผู้ค้นพบเชื้อนี้เป็นคนแรกส่งผลให้เกิดการโต้แย้งกัน สุดท้ายพิสูจน์ได้ว่าทั้งคู่เป็นเชื้อเดียวกันจึงให้ใช้ชื่อเดียวกันว่า Human Immunodeficiency Virus (HIV) และจัดว่าทั้งคู่เป็นผู้ค้นพบด้วยกัน     โรคเอดส์ หรือโรคภูมิต้านทานขาดตกบกพร่อง (AIDS : Acquired Immune Deficiency Syndrome) มีความหมายกว้างๆว่า โรคภูมิต้านทานขาดตกบกพร่องซึ่งมิได้เป็นมาตั้งแต่เกิดแต่ว่าโรคเอดส์ (AIDS) คือโรคที่เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการตำหนิดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ซึ่งย่อมาจากคำว่า Human immunodeficiency virus จัดเป็นไวรัสในกลุ่มรีโทรไวรัส (Retro virus)โดยเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันโรค ทำให้ผู้เจ็บป่วยที่ติดโรคมีภูมิต้านทานลดน้อยลง จนถึงร่างกายไม่สามารถที่จะต่อต้านเชื้อโรคได้อีก โรคต่างๆจึงเกิดลักษณะของการเจ็บป่วยต่างๆซึ่งนำมาซึ่งการก่อให้เกิดการเสียชีวิตได้ ปัจจุบันนี้ยังไม่มีกระบวนการใดรักษาโรคภูมิคุมกันบกพร่องให้หายสนิท มีเพียงยาที่ช่วยชะลอการพัฒนาของโรคและลดอัตราการเสียชีวิตจากเอดส์ แม้ผู้ติดเชื้อรู้สึกตัวแล้วก็ได้รับการดูแลรักษาแต่แรกเริ่ม ก็อาจช่วยไม่ให้การติดเชื้อโรคไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องแผ่ขยายไปสู่ระยะที่เป็นเอดส์เต็มตัวได้ โดยจะนับว่าเมื่อโรคเข้าสู่ระยะที่สามของการต่อว่าดเชื้อไวรัสเอชไอวีจะเรียกว่าเป็นโรคโรคภูมิคุมกันบกพร่องโดยบริบูรณ์แล้ว

  • สิ่งที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ เอดส์มีเหตุที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง (Human Immunodeficieney Virus) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ทำลายเม็ดเลือดขาว ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันที่อยู่ในเม็ดเลือดขาวดำเนินการขาดตกบกพร่อง โดยเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องเป็นเชื้อไวรัสในกรุ๊ป Lentivirus ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของกรุ๊ปเชื้อไวรัส Retrovirus เชื้อไวรัสกลุ่มนี้ลือชื่อในด้านการมีระยะแฝงนาน กระบวนการทำให้มีเชื้อไวรัสในกระแสโลหิตนาน การต่อว่าดเชื้อในระบบประสาท และแนวทางการทำให้ภูมิคุ้มกันของผู้ติดเชื้อโรคอ่อนแอลง เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องมีความจำเพาะต่อเม็ดเลือดขาวจำพวก CD4 T lymphocyte และ Monocyte สูงมากมาย โดยจะจับกับเซลล์ CD4 รวมทั้งฝังตัวเข้าไปด้านใน  ยิ่งกว่านั้นไวรัสตัวนี้ยังสามารถเข้าไปอยู่ในเซลล์ชนิดอื่นๆของร่างกายได้อีก เป็นต้นว่า เซลล์ มาวัวรฟาจ (Macro phage) เดนไดรดีคเซลล์ (Dendritic cell) ไมโครเกลียของสมอง (Microglia)เป็นต้น    เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องจะเพิ่มโดยสร้างสายดีเอ็นเอโดยโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี reverse transcryptase ต่อจากนั้นสายดีเอ็นเอของเชื้อไวรัสจะแทรกเข้าไปในสายดีเอ็นเอของผู้ติดโรคอย่างถาวร รวมทั้งสามารถเพิ่มต่อไปได้  นอกจากนั้นเชื้อเอชไอวี  สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ๆดังเช่น HIV-1 และก็ HIV-2 การระบาดทั่วทั้งโลกส่วนใหญ่ และก็เมืองไทยมีต้นเหตุจาก HIV-1 ซึ่งยังแบ่งเป็นชนิดย่อยๆได้อีกหลายอย่าง ส่วน HIV-2 พบระบาดในแอฟริกา) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสจำพวกใหม่ ที่มีการเพาะเลี้ยงแยกเชื้อได้ในปี พ.ศ.2526 เชื้อนี้มีมากมายในเลือด น้ำเชื้อ รวมทั้งน้ำเมือกในช่องคลอดของผู้ติดเชื้อ

    ในปัจจุบันทั้งโลกพบสายพันธุ์เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง มากกว่า 10 สายพันธุ์ ที่มีการกลายพันธุ์มาจากสายพันธุ์เดิม กระจัดกระจายอยู่ตามประเทศต่างๆทั้งโลก โดยพบบ่อยที่สุดที่ทวีปแอฟริกามีมากกว่า 10 สายพันธุ์ สายพันธุ์ที่พบได้มากที่สุดในโลก คือสายพันธุ์ซี มากถึง 40% พบในทวีปแอฟริกา อินเดีย จีน และก็ประเทศพม่า ส่วนในประเทศไทยเจอเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง 2 สายพันธุ์เป็น สายพันธุ์เอ-อี (A/E) หรืออี (E) มักพบกว่า 95% แพร่ระบาดระหว่างร่วมเพศระหว่างชายหญิง กับสายพันธุ์บี (B) ที่แพร่ระบาดกันในกรุ๊ปรักร่วมเพศ รวมทั้งผ่านการใช้ยาเสพติดฉีดเข้าเส้น
    จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวว่า ตั้งแต่พบการระบาดของโรคเอดส์หนแรกจนกระทั่งปี พ.ศ.2558 มีผู้ติดเชื้อโรคไปแล้วกว่า 70 ล้านคนทั่วโลก และเสียชีวิตไปแล้วกว่า 35 ล้านคน
    เวลาที่รายงานของแผนการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS) พบว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของเอชไอวี/เอดส์ ในปี 2559 มีผู้ติดโรคเอชไอวีทั่วโลกสะสม 36.7 ล้านคน เป็นผู้ติดโรครายใหม่ 1.8 ล้านคน รวมทั้งมีคนเสียชีวิตจากเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง 1 ล้านคน
    ในส่วนของเมืองไทยนั้น โดยจากรายงานในปีล่าสุดของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค (ปี 2557) พบว่าตั้งแต่ปี 2527-2557 ตลอด 30 ปีให้หลังมีคนป่วยโรคภูมิคุมกันบกพร่องเข้ารับการดูแลรักษาในสถานพยาบาลของภาครัฐรวมทั้งเอกชนทั้งปวง 388,621 ราย รวมทั้งมีคนป่วยเสียชีวิต 100,617 ราย โดยในปีถัดมา (ปี 2558) มีการคาดราวๆปริมาณคนป่วยเอดส์แล้วก็ติดเชื้อโรคไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องในประเทศไทยเป็นจำนวนทั้งนั้นราวๆ 1,500,000 คน

  • อาการของโรคโรคภูมิคุมกันบกพร่อง

เนื่องมาจากผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะมีการเปลี่ยนของร่างกายต่างๆนาๆ ก็แล้วแต่จำนวนของเชื้อและก็ระดับภูมิต้านทาน (ปริมาณ CD4) ของร่างกาย ด้วยเหตุนี้โรคเอดส์ ก็เลยสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระยะร่วมกันดังต่อไปนี้

  • ระยะติดเชื้อโรคโดยไม่มีอาการ ผู้ติดโรคที่ไม่มีอาการหรือมีลักษณะนิดหน่อยอยู่ชั่วประเดี๋ยวดังที่กล่าวผ่านมาแล้วชอบแข็งแรงปกติเหมือนคนทั่วๆไป แต่การวิเคราะห์เลือดจะพบเชื้อเอชไอวีรวมทั้งสารภูมิต้านทานต่อเชื้อจำพวกนี้แล้วก็สามารถกระจายเชื้อให้คนอื่นได้ เรียกว่าเป็นพาหะ (carrier)

ระยะนี้แม้ว่าจะไม่มีอาการ แต่ว่าเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องจะแบ่งตัวรุ่งเรืองขึ้นไปเรื่อยๆรวมทั้งทำลาย CD4 จนถึงมีปริมาณต่ำลง โดยเฉลี่ยราวๆปีละ 50-75 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร จากระดับธรรมดา (คือ 600-1,000 เซลล์) เมื่อลดลดลงมากๆก็จะเกิดอาการเจ็บป่วยไข้ ดังนี้อัตราการน้อยลงของ CD4 จะเร็วช้าสังกัดความรุนแรงของเชื้อเอชไอวี รวมทั้งสภาพความแข็งแรงของระบบภูมิต้านทานของคนป่วย
ช่วงนี้มักเป็นอยู่นาน 5-10 ปี บางรายอาจสั้นเพียง 2-3 เดือน แต่บางรายบางทีอาจนานกว่า 10-15 ปีขึ้นไป

  • ระยะติดเชื้อโรคที่มีอาการ เดิมเรียกว่า ระยะที่มีลักษณะอาการสโมสรกับโรคภูมิคุมกันบกพร่อง (AIDS related complex/ARC) ผู้ป่วยจะมีอาการมากน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณ CD4 ดังต่อไปนี้

มีอาการนิดหน่อย ระยะนี้ถ้าเกิดตรวจ CD4 จะมีเยอะแยะกว่า 500 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร คนป่วยอาจมีอาการ ดังนี้
* ต่อมน้ำเหลืองที่คอโตน้อย
* โรคเชื้อราที่เล็บ
* แผลแอฟทัส
* ผิวหนังอักเสบประเภทเกล็ดรังแคที่ไรผม ข้างจมูก ริมฝีปาก
* ฝ้าขาวข้างลิ้น (hairy leukoplakia) ซึ่งมีสาเหตุจากเชื้อไวรัสอีบีวี (Epstein-Barr virus/EBV) มีลักษณะเป็นฝ้าขาวที่ด้านข้างของลิ้น ซึ่งขูดไม่ออก
* โรคโซริอาซิส (สะเก็ดเงิน) ที่เคยเป็นอยู่เดิมกำเริบเสิบสาน
มีลักษณะอาการปานกลาง เวลานี้ถ้าเกิดตรวจ CD4 จะมีจำนวนระหว่าง 200-500 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร ผู้ป่วยอาจมีอาการทางผิวหนังและเยื่อบุช่องปากแบบข้อ กรัม หรือไม่ก็ได้ อาการที่อาจพบได้มีดังนี้
* เริมที่ริมฝีปาก หรืออวัยวะเพศ ซึ่งกำเริบเสิบสานบ่อยครั้ง แล้วก็เป็นแผลเรื้อรัง
* งูสวัด ที่มีลักษณะกำเริบอย่างต่ำ 2 ครั้ง หรือขึ้นพร้อมกันมากยิ่งกว่า 2 แห่ง
* โรคเชื้อราในโพรงปาก หรือช่องคลอด
* ท้องเดินบ่อย หรือเรื้อรังนานเกิน 1 เดือน
* ไข้เกิน 37.8 องศาเซลเซียส แบบเป็นๆหายๆหรือต่อเนื่องกันทุกวันนานเกิน 1 เดือน
* ต่อมน้ำเหลืองโตมากกว่า 1 แห่งในบริเวณไม่ติดต่อกัน (ดังเช่นว่า คอ รักแร้ ขาหนีบ) นานเกิน 3 เดือน
* น้ำหนักลดเกินปริมาณร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัวโดยไม่เคยทราบปัจจัย
* ปวดกล้ามเนื้อแล้วก็ข้อ
* ไซนัสอักเสบเรื้อรัง
* ปอดอักเสบจากแบคทีเรีย ซึ่งเป็นซ้ำบ่อย

  • ระยะป่วยด้วยเอดส์ (เอดส์เต็มขั้น) ช่วงนี้ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยเสื่อมเต็มกำลัง ถ้าหากตรวจ CD4 จะพบมีจำนวนน้อยกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม. ได้ผลทำให้เชื้อโรคต่างๆตัวอย่างเช่น เชื้อรา ไวรัส แบคทีเรีย โปรโตซัว วัณโรค ฯลฯ ฉวยโอกาสเข้ารุมเร้า เรียกว่า โรคติดเชื้อชุบมือเปิบ (opportunistic infections) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการติดโรคหวานใจษาออกจะยาก แล้วก็บางทีอาจติดเชื้อโรคจำพวกเดิมซ้ำสิ่งเดียวหรือติดเชื้อประเภทใหม่ หรือติดเชื้อหลายแบบร่วมกัน

ตอนนี้ผู้ป่วยอาจมีอาการดังต่อไปนี้
* เหงื่อออกมากช่วงกลางคืน
* ไข้ หนาวสั่น หรือไข้สูงเรื้อรังติดต่อกันนับเป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือเป็นแรมเดือน
* ไอเรื้อรัง หรือหายใจหอบอิดโรยจากวัณโรคปอด หรือปอดอักเสบ
* ท้องร่วงเรื้อรัง จากเชื้อราหรือโปรตัวซัว
* น้ำหนักลด รูปร่างซูบซีด รวมทั้งอ่อนระโหยโรยแรง
* ปวดศีรษะร้ายแรง ชัก งวยงง ซึม หรือหมดสติจากการติดเชื้อในสมอง
* ปวดท้อง อาเจียน คลื่นไส้
* กลืนทุกข์ยากลำบาก หรือเจ็บเวลากลืน เหตุเพราะหลอดของกินอักเสบจากเชื้อรา
* สายตาพร่ามัวมองดูไม่ชัดเจน หรือมองเห็นเงาใยแมงมุมลอยไปมาจากจอตาอักเสบ
* ตกขาวหลายครั้ง
* มีผื่นคันตามผิวหนัง (papulopruritic eruption)
* ซีดเผือด
* มีจุดแดงจ้ำเขียวหรือเลือดออกมาจากภาวการณ์เกล็ดเลือดต่ำ
* งงมาก สูญเสียความจำ หลงๆลืมๆง่าย ไม่มีสมาธิ ความประพฤติปฏิบัติผิดแปลกไปจากเดิม เนื่องจากความผิดปกติของสมอง
* อาการโรคโรคมะเร็งที่เกิดแทรก เช่น โรคมะเร็งของผนังหลอดเลือดที่เรียกว่า Kaposi's sarcoma (KS) โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในสมอง โรคมะเร็งปากมดลูก โรคมะเร็งทวารหนัก ฯลฯ
ในเด็ก ที่ติดโรคเอชไอวี ระยะต้นอาจมีอาการน้ำหนักตัวไม่ขึ้นตามเกณฑ์ เมื่อโรคแพร่กระจายเยอะขึ้นก็อาจมีอาการเดินทุกข์ยากลำบากหรือวิวัฒนาการทางสมองช้ากว่าธรรมดา รวมทั้งเมื่อเป็นเอดส์เต็มขั้น นอกจากมีโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแบบเดียวกับคนแก่แล้ว ยังบางทีอาจพบว่าแม้เป็นโรคที่พบทั่วไปในเด็ก (อาทิเช่น หูชั้นกลางอักเสบ ปอดอักเสบ ทอนซิลอักเสบ) ก็มักจะมีลักษณะอาการรุนแรงมากกว่าปกติ

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะกระตุ้นให้เกิโรคเอดส์[/url]


  • เซ็กซ์ การติดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องจำนวนมากมีสาเหตุจากการมีเซ็กส์ที่ไม่ได้คุ้มครองระหว่างคู่นอนที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเชื้อเอชไอวี
  • การสัมผัสกับสารคัดหลั่งที่มีเชื้อ ผู้ปฏิบัติงานทางสาธารณสุขสัมผัสเชื้อเอชไอวีได้โดยดำเนินงาน หรือสารคัดเลือกหลั่งของผู้ป่วยที่มีเชื้อ
  • การติดต่อจากแม่สู่ลูก แม่ที่มีเชื้อเอชไอวีให้นมบุตรหรือการคลอดลูกขณะติดเชื้อ
  • การใช้ของมีคมด้วยกัน ดังเช่นว่า เข็มฉีดยาในผู้ที่ติดสารเสพติด
  • ผู้ที่ได้รับการถ่ายเลือดจากการบริจาคแต่ในกรณีนี้เจอได้น้อยมาก
  • กรรมวิธีการรักษาโรคโรคภูมิคุมกันบกพร่อง

การวินิจฉัยโรคโรคภูมิคุมกันบกพร่อง อันดับแรกสุดคือ แนวทางในการซักความเป็นมาของคนเจ็บแล้วก็การตรวจร่างกาย ซึ่งมัก จะมีประวัติการต่อว่าดเชื้อไวรัสเอชไอวีมาก่อนแล้ว ซึ่งหมอสามารถทราบจากการพิสูจน์เลือดว่า ส่งผลบวกต่อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องไหม นอกจากนั้นการตรวจร่างกายชอบเจออาการแสดงที่ระบุว่า ผู้ป่วยอยู่ในระยะของการเป็นโรคเอดส์แล้ว
ตรวจค้นสารภูมิคุ้มกัน (แอนติบอดี) ต่อเชื้อเอชไอวี โดยวิธีอีไลซ่า (ELISA) จะตรวจเจอสารภูมิคุ้มกันหลังติดเชื้อ 3-12 อาทิตย์ (ส่วนใหญ่โดยประมาณ 8 สัปดาห์ บางรายอาจนานถึง 6 เดือน) แนวทางลักษณะนี้เป็นการตรวจรับรองด้วยการตรวจกรองขั้นต้น ถ้าหากพบเลือดบวก จำเป็นต้องทำตรวจรับรองด้วยวิธีอีไลซ่าที่ผลิตโดยอีกบริษัทหนึ่งที่ไม่ซ้ำกับวิธีตรวจหนแรก หรือทำการตรวจด้วยแนวทาง particle agglutination test (PA) ถ้าเกิดได้ผลบวกก็สามารถวิเคราะห์ว่ามีการติดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง แต่หากได้ผลลบก็จำเป็นต้องตรวจรับรองโดยวิธีเวสเทิร์นบลอต (Western blot) อีกรอบ ซึ่งให้ผลบวก 100% ข้างหลังติดเชื้อ 2 อาทิตย์
การเจาะเลือดเพื่อนับปริมาณเม็ดเลือดขาวชนิด ทีลิมโฟซัยท์ที่มีซีดี 4 เป็นบวก (CD 4-positive T cell) จะพบว่าจำนวนน้อยลงมากมาย ด้วยเหตุว่าเชื้อไวรัสจะเข้าไปอยู่ในเซลล์ประเภทนี้ และก็จะทำลายเซลล์ประเภทนี้ไปเรื่อยๆส่วนใหญ่หากมีจำนวนของหนลิมโฟซัยท์ที่มีซีดี 4 เป็นบวกต่ำลงต่ำกว่า 350 เซลล์ต่อลูกบาศก์มม.ในคนแก่ (ค่าปกติ 600 - 1,200 เซลล์ต่อลูกบาศก์ไม่ลลิ เมตร) ระดับของ CD4+ T cell ที่ใช้สำหรับการวิเคราะห์ หากเป็นเด็กอายุน้อยกว่า 12 เดือนจะมี CD4+น้อยกว่า 30% ของเม็ดเลือดขาวทั้งปวง เด็กอายุ12 - 35 เดือนจะมี CD4+ น้อยกว่า 25% และเด็กอายุ 36 - 59 เดือนจะมี CD4+ น้อยกว่า 20%
โรคที่เกิดขึ้นจากติดโรคไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องและโรคภูมิคุมกันบกพร่องในตอนนี้ ยังไม่อาจจะรักษาให้หายได้ แม้กระนั้นสามารถควบคุมโรคและก็ทำให้มีชีวิตอยู่ได้นานอย่างคนปกติได้ โดยแนวทางการรักษาผู้ติดเชื้อ ไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องและก็คนไข้โรคภูมิคุมกันบกพร่อง ตัวอย่างเช่น
การใช้ยายับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสหรือยาต่อต้านเชื้อไวรัส ซึ่งต้องรับประทานไปตลอดชาติ เรียกว่า Antiretroviral therapy ซึ่งเราสามารถติดตามผลการรักษาได้จากการเจาะเลือดมองจำนวนเม็ดเลือดขาว CD 4 positive T cell ว่า อยู่ในเกณฑ์ธรรมดาหรือไม่ และก็นับปริมาณไวรัสในเลือดได้โดยตรง (Viral load) เดี๋ยวนี้ยาต้านทานเชื้อไวรัสเอชไอวีมีหลายชนิดดังเช่นว่า
ยาที่มีฤทธิ์ยั้งเอนไซม์รีเวิสทรานสคริปเตส (Nucleoside analogues Reverse transcriptase inhibitors) ดังเช่นว่า ยาชื่อ Zidovudine (AZT), Didanosine (ddI), Zalcitabine (ddC), Stavudine (d4T), Lamivudine (3TC)
ยาที่มีฤทธิ์ยั้งเอนไซม์รีเวิสทรานสคริปเตสที่ไม่ใช่นิวคลีโอไซด์ (Non-nucleoside reverse transcriptase inhibitors) ยกตัวอย่างเช่น ยาชื่อ Delavirdine, Loviride, Nevirapine
ยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอส (Protease inhibitors) ยกตัวอย่างเช่น ยาชื่อ Nelfinavir, Indinavir, Ritonavir, Saquinavir
อนึ่ง หลักการให้ยาต้านทานเชื้อไวรัสในปัจจุบันเป็น ต้องให้ยาอย่างต่ำ 3 ชนิดโดยใช้ยาในกรุ๊ป Nucleoside analogue 2 ตัว ร่วมกับยาในกรุ๊ป Non-nucleoside หรือ Protease inhibitor อีก 1 ตัวรวมเป็น 3 ตัว โดยจำเป็นต้องใช้ยาแต่ละวันรวมทั้งตรงตรงเวลาที่กำหนดโดยเคร่ง
โดยแพทย์จะใคร่ครวญให้ยาต้านทานไวรัสในกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังนี้
เมื่อมีอาการแสดงของโรคอีกทั้งในระยะแรกเริ่มรวมทั้งพักหลัง การให้ยาต้านทานเชื้อไวรัสในผู้เจ็บป่วยที่เป็นระยะแต่เดิม (primary HIV infection) สามารถชะลอการดำเนินโรคไปสู่ระยะที่รุนแรงได้
เมื่อยังไม่มีอาการแสดง แม้กระนั้นตรวจเลือดพบว่ามีค่า CD4 ต่ำลงมากยิ่งกว่า 200 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร
เมื่อยังไม่มีอาการแสดง แต่ว่ามีค่า CD4 อยู่ที่ 200-350 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร อาจตรึกตรองให้ยาต้านทานเชื้อไวรัสเป็นรายๆไป อย่างเช่น ในรายที่ปริมาณเชื้อไวรัสสูง มีอัตราการน้อยลงของ CD4 อย่างรวดเร็ว ความพร้อมของคนป่วย ฯลฯ ในการให้ยาควรติดตามดูผลกระทบ ซึ่งอาจมีอันตรายต่อคนเจ็บ หรือทำให้คนไข้ไม่ยินยอมรับประทานยาโดยตลอด
การใช้ยารักษาโรคติดโรคที่เกิดจากมีภูมิต้านทานต้านโรคผิดพลาดหรือเชื้อฉกโอ กาส ขึ้นอยู่กับว่าคนป่วยติดเชื้อประเภทใด อาทิเช่น ติดเชื้อโรควัณโรคก็ให้ยารักษาวัณโรค ติดเชื้อโรคราก็ให้ยารักษาเชื้อรา หรือหากเป็นโรคมะเร็งก็รักษาโรคโรคมะเร็ง ฯลฯ

  • การติดต่อของโรคเอดส์ สามารถติดต่อได้โดยการได้รับเลือด รวมทั้ง/หรือสารคัดหลั่ง (Secretion) จากผู้ที่ติดเชื้อซึ่งมีหลายวิธี ดังนี้
  • ทางการร่วมเพศ ทั้งเพศสมาคมเพศเดียวกันระหว่างชายรักร่วมเพศ หญิงรักร่วมเพศ และก็การมีเซ็กส์ระหว่างชายกับหญิง การติดต่อทางเพศสโมสรนี้คิดเป็นอัตราประ มาณ 78% ของการติดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องทั้งหมดทั้งปวง
  • การใช้สารเสพติดจำพวกฉีดเข้าเส้น (เส้นเลือด) โดยใช้เข็มฉีดร่วมกับคนอื่น คนที่ติดเชื้อโดยแนวทางลักษณะนี้มีราวๆ 20%
  • ทางการรับเลือดจากคนอื่นที่มีเชื้อไวรัสอยู่ คนที่มีการเสี่ยงในกลุ่มนี้ ดังเช่นว่า ผู้ป่วยโรคเลือดเรื้อรังที่จะต้องรับเลือดบ่อยๆ ตัวอย่างเช่น โรคฮีโมฟิเลีย (Hemophilia) หรือคนที่รับการปลูกถ่ายอวัยวะจากผู้ที่ติดเชื้อ การต่อว่าดเชื้อโดยวิธีการแบบนี้มีราวๆ 1.5%
  • ติดต่อจากแม่ที่ติดโรคสู่ลูก ซึ่งอาจติดต่อได้ทางเลือดจากแม่สู่ลูกโดยตรงผ่านทางเกลื่อนกลาด หรือจากการที่เด็กแรกคลอดกลืนเลือดของแม่ระหว่างการคลอด หรือได้รับเชื้อที่อยู่ในน้ำนมแม่ก็ได้
  • การต่อว่าดเชื้อของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์จากอุบัติเหตุด้านการแพทย์ ตัวอย่างเช่น ถูกเข็มฉีดยา หรือเข็มเจาะเลือดผู้ป่วยตำนิ้วโดยบังเอิญ ซึ่งเคยมีรายงานว่าทำให้พนักงานด้านการแพทย์ติดโรคได้ หากแม้จะได้โอกาสน้อยก็ตาม

จากการเรียนรู้ในประเทศต่างๆเท่าที่ผ่านมาไม่พบว่ามีการติดต่อโดยแนวทางต่อไปนี้
* การหายใจ ไอ จามรดกัน
* การกินของกิน และดื่มน้ำร่วมกัน
* การว่ายน้ำในสระ หรือเล่นกีฬาด้วยกัน
* การใช้ห้องอาบน้ำร่วมกัน
* การอยู่ด้านในห้องเรียน ห้องทำงาน ยานพาหนะ หรือการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ
* การสัมผัส โอบกอด
* การใช้ครัว ภาชนะเครื่องครัว จาน แก้ว หรือผ้าที่เอาไว้เช็ดตัวด้วยกัน
* การใช้โทรศัพท์ด้วยกัน
* การถูกยุงหรือแมลงกัด

  • การกระทำตนเมื่อป่วยเป็นโรคภูมิคุมกันบกพร่อง

                - ไปพบแพทย์และก็ตรวจเลือดเป็นช่วงๆดังที่แพทย์เสนอแนะ รวมทั้งรับประทานยาต่อต้านไวรัสเมื่อมีค่า CD4 ต่ำยิ่งกว่า 200 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร การกินยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่องมักจะช่วยทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและก็ยาวนาน จำนวนมากมักจะเป็นเวลานานกว่า 10 ปีขึ้นไป
- ดำเนินการ เรียนหนังสือ คบหากับผู้อื่นและปฏิบัติกิจวัตรที่ทำทุกๆวันได้ตามปกติ ไม่ต้องกังวลว่าจะกระจายเชื้อให้บุคคลอื่นโดยการสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกันหรือหายใจรดคนอื่นๆ
- ถ้าหากมีความกังวลใจเป็นกังวลดวงใจ ควรเล่าความในใจให้ญาติสนิทมิตรสหายฟัง หรือขอคำปรึกษาแนะนำจากแพทย์ พยาบาล นักจิตวิทยา หรืออาสาสมัครในองค์กรพัฒนาเอกชน
- เรียนรู้ธรรมชาติของโรค การรักษา การดูแลตัวเอง จนกระทั่งมีความรู้ความเข้าใจโรคนี้เป็นอย่างดี ก็จะไม่มีความรู้สึกท้อแท้หมดกำลังใจ และก็มีกำลังใจอดทน ซึ่งเป็นอาวุธอันทรงอำนาจสำหรับเพื่อการทำนุบำรุงสุขภาพให้แข็งแรงต่อไป
- ผลักดันสุขภาพตนเองด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ ทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสภาพร่างกาย (ไม่จำเป็นที่ต้องรับประทานอาหารเสริมราคาแพง) งดแอลกอฮอล์ บุหรี่ สิ่งเสพติด นอนหลับพักผ่อนให้พอเพียง
- เสริมสร้างสุขภาพเกี่ยวกับจิตด้วยการฟังเพลง ร้องเพลง เล่นกีฬา อยู่สนิทสนมธรรมชาติ ฝึกให้มีสมาธี รุ่งโรจน์สติ สวดมนต์ไหว้พระหรือภาวนาตามลัทธิศาสนาที่เชื่อถือ
- หลีกเลี่ยงความประพฤติปฏิบัติที่บางครั้งอาจจะแพร่ระบาดให้ผู้อื่นโดย

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ รวมทั้งงดการร่วมเพศทางปากหรือทวารหนัก
  • ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับคนอื่นๆ
  • งดเว้นการให้ทานเลือดหรืออวัยวะต่างๆอย่างเช่น ดวงตา ไต เป็นต้น
  • เมื่อร่างกายเปื้อนเปรอะเลือดหรือน้ำเหลือง ให้รีบชำระล้าง แล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าโดยทันที แล้วก็ค่อยนำไปแยกซักให้สะอาดและก็ตากให้แห้ง พึงระวังอย่าให้ผู้อื่นสัมผัสถูกเลือดหรือน้ำเหลืองของตน
  • ไม่ใช้ของมีคม (เช่น ใบมีดโกน) ร่วมกับคนอื่นๆ

- เลี่ยงการท้อง โดยการคุมกำเนิด ด้วยเหตุว่าเด็กอาจมีจังหวะรับเชื้อจากแม่ได้
- แม่ที่มีการติดโรค ไม่สมควรเลี้ยงบุตรด้วยนมตนเอง
- เมื่อมีโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแทรก ควรคุ้มครองป้องกันมิให้เชื้อโรคต่างๆแพร่ให้ผู้อื่น ดังเช่นว่า

  • ใช้กระดาษหรือผ้าสำหรับเช็ดหน้าปิดปากปิดจมูกเวลาไอ หรือจาม
  • ถ้วย ถ้วยชาม จาน แก้วน้ำที่ใช้แล้ว ควรล้างให้สะอาด ด้วยน้ำยาที่เอาไว้สำหรับล้างจานหรือลวกด้วยน้ำร้อน แล้วทิ้งเอาไว้ให้แห้งก่อนใช้ประโยชน์ใหม่
  • ควรระมัดระวังไม่ให้น้ำมูก น้ำลาย น้ำเหลืองจากแผล ฉี่ แล้วก็สิ่งถ่ายต่างๆไปเปื้อนถูกคนอื่นๆ
  • การบ้วนน้ำลายหรือเสลด รวมทั้งการทิ้งกระดาษทิชชูที่ใช้แล้ว ควรมีภาชนะใส่ให้เป็นที่เป็นทาง และสามารถนำไปทิ้งหรือชำระล้างได้สบาย
  • การปกป้องตนเองจากโรคเอดส์
  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลอื่นที่มิใช่คู่ครอง ควรยึดมั่นต่อการร่วมเพศกับคู่สามีภรรยา (รักเดียวใจเดียว)
  • ถ้าเกิดยังนิยมมีเซ็กส์กับบุคคลอื่น โดยเฉพาะหญิงบริการ หรือบุคคลที่ร่วมเพศเสรีหรือมีการกระทำเสี่ยงอื่นๆก็ควรจะใช้ถุงยางอนามัยป้องกันทุกครั้ง
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสถูกเลือดของผู้อื่น ได้แก่ ขณะช่วยเหลือคนที่มีบาดแผลเลือดออก ควรใส่ถุงมือยางหรือถุงก๊อบแก๊บ 2-3 ชั้น ป้องกันอย่าสัมผัสถูกเลือดโดยตรง
  • เลี่ยงการใช้เข็มหรือกระบอกสำหรับฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
  • หลีกเลี่ยงการใช้ของมีคม (ยกตัวอย่างเช่น ใบมีดโกน) ร่วมกับคนอื่นๆ ถ้าเกิดเลี่ยงไม่ได้ ก่อนใช้ควรจะทำลายเชื้อด้วยการแช่ในน้ำยาฆ่าเชื้อโรค ได้แก่ แอลกอฮอล์ 70% โพวิโดนไอโอดีน 2.5% ทิงเจอร์ไอโอดีน, ไลซอล 0.5-3% โซเดียมไฮโพคลอไรด์ 0.1-0.5% (หรือน้ำยาคลอรอคอยกซ์ 1ส่วนประกอบน้ำ 9 ส่วนก็ได้) ฯลฯ นาน 10-20 นาที
  • ก่อนแต่งงาน ควรจะขอความเห็นหมอในการตรวจเช็
137  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคเเพ้ภูมิต้านทานตนเอง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: มีนาคม 29, 2018, 08:28:25 am

โรค SLE (โรคแพ้ภูมิต้านทานตนเอง[/u],โรคแพ้ภูมิคุ้มกันตนเอง) (Systemic lupus erythematosus)

  • โรค SLE เป็นอย่างไร โรคเอสแอลอี หรือ โรคพุ่มพวงหมายถึงโรคภูมิแพ้ตัวเอง หรือ โรคภูมิต้านตัวเอง (Autoimmune disease) ชนิดหนึ่ง เป็นผลมาจากการที่ร่างกายสร้างสารภูมิต้านทานขัดขวาง หรืออิมมูน (Immune) ไม่ปกติ โดยจะต่อต้านเยื่อเกี่ยวพันของเนื้อเยื่อต่างๆเกิดขึ้นได้กับทุกอวัยวะ เป็นผลให้มีการอักเสบเรื้อรัง (ชนิดไม่ใช่จากการตำหนิดเชื้อ) ของเนื้อเยื่อได้ทุกส่วนของร่างกาย  อวัยวะที่เกิดการอักเสบได้หลายครั้งตัวอย่างเช่น ผิวหนัง ข้อ ไต ระบบเลือด ระบบประสาท เป็นต้น การอักเสบนี้จะเหนือกว่าเนื่องกระทั่งเป็น โรคเรื้อรังชนิดหนึ่ง  ซึ่งโรคเอสแอลอี (SLE) ย่อมาจากชื่อจริงในภาษาอังกฤษว่า systemiclupus erythematosus หรือเรียกง่ายๆว่าโรคลูปัส

    โดยจัดเป็นโรคที่เรื้อรังประเภทหนึ่งที่อยู่ในกรุ๊ปโรคภูมิคุ้มกันฟั่นเฟือน มีสาเหตุจากการที่ร่างกายคนป่วยผลิตโปรตีนของภูมิต้านทานในเลือดที่ เรียกว่า "แอนติบอดี้" ขึ้นมามากเกินปกติ ก่อปัญหาในอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายไม่ว่าอีกทั้งทางตรงหรือทางอ้อม ดังเช่น จากปกติภูมิต้านทานในร่างกายจะต่อต้านเชื้อโรคและก็สิ่งแปลกปลอม อาทิเช่น แบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัสจากด้านนอกร่างกาย แต่กลับต้านทานร่างกายของตน จนนำมาซึ่งการอักเสบที่อวัยวะต่างๆรวมทั้งกำเนิดเป็นโรค SLE สุดท้าย
    ซึ่งคำว่า ลูปัส มีรากศัพท์มาจากภาษาลาติน แสดงว่า หมาป่า ซึ่งคาดคะเนว่า มาจากการที่ผื่นที่บริเวณใบหน้าที่เกิดขึ้นมาจากโรคนี้อยู่ในตำแหน่งคล้ายลักษณะขนบนใบหน้าของสุนัขป่า หรือเหมือนถูกสุนัขป่ากัด หรือข่วน หรือจากการที่เพศหญิงประเทศฝรั่งเศสใส่หน้ากากเพื่อปกปิดบริเวณใบหน้าเมื่อมีผื่นเกิดขึ้น หน้ากากนี้เรียกว่า “Loup” หรือ “Wolf/หมาป่า” โรค SLE หรือโรคลูปัส เป็นโรคแพ้ภูเขาไม่ตัวเอง (Autoimmune disease) ที่พบได้บ่อยในหญิงวัยเจริญพันธุ์ (จำนวนร้อยละ 90) โดยพบได้มากในเพศหญิงอายุตอน 20-30 ปี พบในหญิงเชื้อชาติผิวดำได้บ่อยที่สุด รองลงไปตามลำดับเป็นผู้หญิงเอเชีย และเพศหญิงผิวขาว

  • ต้นเหตุของโรค SLE พยาธิกำเนิดยังไม่รู้จักแจ่มชัด แต่ว่าคาดคะเนว่าเกิดจากระบบภูมิต้านทานของร่างกายมีการตอบสนองอย่างเปลี่ยนไปจากปกติต่อเชื้อโรคหรือสารเคมีบางสิ่งบางอย่าง ทำให้มีการสร้างสารภูมิคุ้มกัน (แอนติบอดี) ต่อเยื่อต่างๆก็เลยจัดเป็นโรคภูเขามิต้านตัวเอง (autoimmune) ชนิดหนึ่ง อาจพบต้นสายปลายเหตุที่กระตุ้นให้อาการแย่ลง อย่างเช่น ยาบางจำพวก (ตัวอย่างเช่น ซัลฟา ไฮดราลาซีน เมทิลโดพา ไอเอ็นเอช คลอร์โพรมาซีน เฟนิโทอิน ไทโอยูราสิล) การเช็ดกแดด การกระทบกระเทือนทางจิตใจ สภาวะมีท้อง เป็นต้น

นอกเหนือจากนี้  ยังสันนิษฐานว่า อาจเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนผู้หญิง (เนื่องจากว่าพบบ่อยในหญิงวัยข้างหลังมีระดูแล้วก็ก่อนวัยหมดระดูรวมทั้งพบได้มากกว่าเพศ 7-10 เท่า)   รวมทั้งพันธุกรรม (พบมากในคนที่มีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนี้)
ส่วนกลไกการเกิดโรคมีสาเหตุจากมีความผิดธรรมดาของระบบภูมิต้านทาน เกิดภาวะภูเขาไม่ไวเกิน (hypersensitivity) ของเม็ดเลือดขาวชนิด T และ B lymphocyte ทำให้เกิดการผลิต autoantibodies ต้านเนื้อเยื่อของตนเองรวมทั้งกำเนิด immune complex ล่องลอยไปตามกระแสโลหิตไปติดตามอวัยวะต่างๆนอกนั้นยังมีความผิดธรรมดาของการกาจัด immune complex นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการอักเสบของอวัยวะแล้วก็เส้นเลือดนำมาซึ่งการเกิดพยาธิสภาพในหลายอวัยวะ

  • อาการโรค SLE โรคนี้พบบ่อยในวัยหนุ่มวัยสาว อายุ 15-40 ปี เพศหญิงมากกว่าผู้ชาย อาการแล้วก็อาการแสดงบางทีอาจแตกต่างกันได้มาก ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการน้อยดังเช่น จับไข้ หมดแรง ปวดข้อ มีผื่นแดงตามใบหน้า ผื่นแพ้แดด ผมหล่น มีแผลในปาก รายที่เป็นมากขึ้นอาจมีอาการซีด ติดเชื้อง่าย มีจุดเลือดออกหรือเส้นเลือดอักเสบ นิ้วซีดเซียวเขียวเวลาถูกความเย็น ขาบวม เยี่ยวแตกต่างจากปกติ มีความผิดปกติทางไต เหนื่อยหอบ เจ็บทรวงอก ชักหรือมีปัญหาทางระบบประสาทได้ และก็ด้วยโรคนี้เป็นโรคเรื้อรังที่มีลักษณะเกิดขึ้นกับหลายอวัยวะหรือหลายระบบของร่างกาย บางรายอาการกลุ่มนี้เกิดขึ้นพร้อมๆกัน บางรายมีการแสดงออกเพียงแค่อวัยวะใดอวัยวะหนึ่งทีละระบบ

ซึ่งจะมีลักษณะอาการที่เกิดขึ้นอยู่กับอวัยวะต่างๆสามารถแยกได้เป็น อาการทางผิวหนัง คนป่วยมักมีผื่นแดงขึ้นที่บริเวณใบหน้า บริเวณสันจมูก และก็โหนกแก้ม 2 ข้าง เป็นรูปคล้ายผีเสื้อที่เรียกว่า ผื่นปีกผีเสื้อ (Butterfly rash) หรือมีผื่นแดงคันรอบๆนอกร่มผ้าที่ถูกแดด หรือมีผื่นขึ้นเป็นวง เป็นแผลเป็นตามใบหน้า หนังหัว หรือรอบๆใบหู มีแผลในปาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณเพดานปาก ยิ่งไปกว่านี้ยังมีผมตกเยอะขึ้นเรื่อยๆ
อาการทางข้อรวมทั้งกล้าม ผู้ป่วยส่วนมากจะมีลักษณะปวดข้อ มักเป็นที่ข้อนิ้วมือ ข้อมือ ข้อต่อไหล่ ข้อเข่า หรือข้อเท้า บางครั้งบางคราวมีบวมแดงร้อนร่วมด้วย
อาการทางไต คนไข้มักมีอาการบวมรอบๆเท้า 2 ข้าง ขา หน้า หนังตา เพราะว่ามีอาการอักเสบที่ไต รายที่มีลักษณะรุนแรงจะมีความดันเลือดสูงขึ้น ปัสสาวะออกน้อยลง ไปจนกระทั่งขั้นไตวายได้ในช่วงเวลาอันสั้น
อาการทางระบบเลือด ผู้ป่วยอาจมีเลือดจาง มีเม็ดเลือดขาวหรือเกล็ดเลือดลดลง ทำให้มีอาการเมื่อยล้า มีภาวการณ์ติดโรคง่าย หรือมีจุดเลือดออกตามตัวได้
อาการทางระบบประสาท คนไข้บางรายอาจมีอาการชัก หรือมีลักษณะพูดเรื่อยเปื่อยไม่รู้เรื่อง หรือเหมือนคนโรคจิตจำญาติไม่ได้ เพราะว่ามีการอักเสบของสมองหรือเส้นเลือดในสมอง
นอกนั้น ยังอาจมีอาการทั่วไปร่วมด้วย เป็นต้นว่า เป็นไข้ หมดแรง ไม่อยากกินอาหาร เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวกล้าม ปวดศรีษะ จิตใจหม่นหมอง ร่วมได้ อาการของโรคชอบแสดงความร้ายแรงมากมายหรือน้อยภายในช่วงเวลา 1-2 ปีแรก จากที่เริ่มมีอาการ ต่อไปชอบเบาลงเรื่อยๆแต่ว่าอาจมีอาการเกิดขึ้นอีกรุนแรงได้เป็นครั้งๆ  ในปัจจุบันโรคเอสแอลอียังมีวิธีที่ไม่สามารถที่จะรักษาให้หายขาดได้ แต่ว่าสามารถควบคุมอาการโรคให้สงบ และก็ดำเนินชีวิตได้ตามธรรมดาหากรักษาได้ทันการ

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรค SLE
  • เพศ เนื่องจากเจอโรคได้สูงในหญิง ซึ่งพบได้มากกว่าผู้ชายถึง 7 เท่า
  • การตำหนิดเชื้อบางประเภทอีกทั้งจากแบคทีเรีย และเชื้อไวรัส บางจำพวก
  • การถูกแสงแดดจัดเรื้อรัง
  • การแพ้สิ่งต่างๆรวมทั้งของกินบางชนิด
  • การสูบบุหรี่
  • ฮอร์โมนเพศหญิง (เพราะเหตุว่าโรคนี้กำเนิดในผู้หญิงสูงยิ่งกว่าในผู้ชาย ถึงราวๆ 7-10 เท่า) รวมทั้งการมีท้อง
  • จากผลกระทบของยาบางจำพวก เช่น ยาคุ้มครองป้องกันการชัก ยาคุม แล้วก็ยาลดหุ่นบางชนิด ซึ่งเมื่อมีสาเหตุจากยา หลังหยุดยา โรคมักหายได้
  • อารมณ์ (อาการเครียด)
  • การทำงานหนัก รวมทั้ง การบริหารร่างกายเกินไป
  • ประเภทกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ครอบครัวมีประวัติป่วยเป็นโรค SLE

อาการที่เสี่ยงที่จะเป็นโรค SLE (ควรจะไปพบแพทย์เพื่อตรวจวิเคราะห์)

  • จับไข้ต่ำๆไม่เคยรู้ต้นเหตุเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
  • มีอาการปวดตามข้อ
  • มีผื่นขึ้นบริเวณใบหน้า หรือมีผื่นคันรอบๆที่ถูกแสงอาทิตย์
  • มีผมตกมากมายแตกต่างจากปกติ
  • มีลักษณะอาการบวมตามขา หน้าหรือหนังตา
  • แนวทางอาการรักษาโรค SLE

การวิเคราะห์โรค เนื่องมาจากโรค SLE มีความมากมายในอาการรวมทั้งอาการแสดงเพราะฉะนั้นก็เลยมีการตั้งกฏเกณฑ์ในการวิเคราะห์ ACR criteria โดยอาศัยอาการหรือสิ่งตรวจเจอ 4 ใน 11 ข้อ (ความไว 75%, ความจำเพาะ 95%) การวินิจฉัย จะต้องอาศัยอาการทางคลินิกร่วมกับการตรวจทางห้องทดลอง การวินิจฉัยมักไม่เป็นปัญหาเพราะว่าผู้เจ็บป่วยจำนวนมากจะมีลักษณะอาการแจ่มชัด อาทิเช่น สตรีอายุน้อยมาด้วยผื่น malar rash, discoid rash ร่ปวดข้อ หมดแรง จับไข้ ร่วมกับผลตรวจเลือดเข้าได้รับโรค SLE แม้กระนั้นการวินิจฉัยจะมีความลำเค็ญในผู้เจ็บป่วยบางครั้งอย่างเช่น เพศชาย, ผู้สูงอายุหรือคนไข้ ที่มีลักษณะแสดงเพียงแต่ระบบเดียวจำเป็นจะต้อง อาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการซึ่งดังเช่นว่า CBC, UA, CXR และ ANA ช่วยสำหรับเพื่อการวิเคราะห์แยกโรคที่เกิดจากโรคอื่น
นอกนั้นหมอจะทำการวินิจฉัยโดยอาศัยผลการตรวจทางห้องทดลองอื่นๆอีกเป็นต้นว่า ตรวจเลือด พบแอนตินิวเคลียร์แฟกเตอร์ (antinuclear factor) และแอลอีเซลล์ (LE cell) ตรวจฉี่อาจพบสารไข่ขาวและเม็ดเลือดแดง  ยิ่งไปกว่านี้ บางทีอาจต้องกระทำตรวจเอกซเรย์ คลื่นหัวใจแล้วก็ตรวจพิเศษอื่นๆอีกด้วย  เดี๋ยวนี้ยังไม่มียา หรือกรรมวิธีการรักษาโรคนี้ให้หายสนิทได้ แต่ว่าเป็นการรักษาให้โรคสงบเป็นพักๆแล้วก็การรักษาทะนุถนอมตามอาการ   การรักษาโรคเอสแอลอีจะต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องตัวโรคของคนไข้ การปฏิบัติแบบอย่างถูกของผู้เจ็บป่วย  และก็การดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ผู้กระทำการดูแลและรักษา
โดยในรายที่เป็นไม่ร้ายแรง (ตัวอย่างเช่น มีเพียงไข้ ปวดข้อ ผื่นแดงที่หน้า) หมออาจจะเริ่มให้ยาต้านทานอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ (ยาที่ใช้รักษาโรคข้ออักเสบ) ถ้าเกิดไม่ได้ผลบางทีอาจให้ไฮดรอกซีคลอโรควีน (hydroxychloroquine) เพื่อช่วยลดอาการเหล่านี้
ในรายที่เป็นรุนแรง หมอจะให้สตีรอยด์ (อาทิเช่น เพร็ดนิโซโลน) ในขนาดสูงติดต่อเป็นสัปดาห์หรือยาวนานหลายเดือน เพื่อลดการอักเสบของอวัยวะต่างๆเมื่อดียิ่งขึ้นแล้วก็ค่อยๆลดขนาดยาลง แล้วก็ให้ในขนาดต่ำเพื่อควบคุมอาการไปเรื่อยๆบางทีอาจนานเป็นนานเป็นปีๆหรือกระทั่งจะมีความเห็นว่าไม่มีอันตราย ถ้าเกิดให้ยาดังที่กล่าวผ่านมาแล้วแล้วไม่เป็นผล แพทย์จะให้ยากดภูมิต้านทาน เช่น ไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophasphamide) อะซาไทโอพรีน (azathioprine) ฯลฯ
ในรายที่มีลักษณะอาการรุนแรง อาทิเช่น บวม หายใจหอบ มีลักษณะไม่ดีเหมือนปกติทางสมอง ฯลฯ จำเป็นต้องรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล กระทั่งจะไม่เป็นอันตราย ก็เลยให้ผู้เจ็บป่วยกลับบ้านและก็นัดหมายมาตรวจกับหมอเป็นระยะๆ

  • การติดต่อของโรค SLE โรค SLE เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่สร้างภูมิต้านทานต่อเนื้อเยื่อของตนเอง จึงกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการต่างๆของโรค SLE จึงไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด (แต่มีรายงานว่าอาจพบการถ่ายทอดทางด้านกรรมพันธุ์ได้)
  • การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรค SLE
  • ผู้เจ็บป่วยควรจะรู้ดีว่า โรคนี้มีความรุนแรงแตกต่าง บางคนอาจมีอาการนิดหน่อย แต่บางคนอาจมีอาการรุนแรงได้ ถึงแม้ว่าผู้ป่วยมีลักษณะอาการเล็กน้อย ถ้าเกิดไม่ได้รับการดูแลและรักษา อาการบางทีอาจรุนแรงมากยิ่งขึ้นได้ โรคนี้เป็นโรคเรื้อรัง ซึ่งมีลักษณะกำเริบเสิบสานแล้วก็สงบสลับกันไป ดังนั้นควรมารับการตรวจรักษาจากแพทย์โดยเป็นประจำ กินยาตามสั่งโดยครัดเคร่ง ไม่ควรหยุดยาหรือลดยาเอง เนื่องจากอาจจะเป็นผลให้โรคกำเริบเสิบสานขึ้น
  • เวลาไม่สบายไม่สมควรซื้อยากินเอง ควรจะเจอแพทย์รวมทั้งบอกแพทย์เหตุว่าเป็นเอสแอลอี เพื่อการดูแลรักษาที่สมควร รวมทั้งหมอจะได้หลีกเลี่ยงยาบางตัวที่อาจทำให้โรคกำเริบขึ้น
  • หลบหลีกการสนิทสนมกับคนไข้ที่เป็นโรคติดเชื้อโรค ด้วยเหตุว่าคนไข้โรคเอสแอลอีอาจติดเชื้อได้ง่าย และก็โรคเอสแอลอีอาจกำเริบขึ้นได้
  • ถ้าหากมีอาการที่บ่งชี้ถึงการตำหนิดเชื้อ เป็นต้นว่า ไข้สูง ไอ
  • ควรตรวจสุขภาพฟันอย่างสม่ำเสมอ กระบวนการทำฟัน ถอนฟัน ควรจะกินยาปฏิชีวนะก่อนรวมทั้งหลังทำ เพื่อปกป้องการติดเชื้อ ทั้งนี้จะต้องอยู่ภายใต้การปกครองของหมอ
  • ถ้าหากมีอาการผิดปกติ ที่บางทีอาจบ่งว่าโรคกำเริบ ได้แก่ ไข้ อ่อนเพลีย ผมหล่น ผื่นผิวหนังเห่อแดง ปวดข้อ ควรจะมาพบหมอก่อนนัดหมายได้
  • หลีกเลี่ยงแสงอาทิตย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่าง 10.00-16.00 น. เนื่องจากว่าแดดจะทำให้โรคกำเริบเสิบสานได้ คนป่วยที่แพ้แสงสว่างมาก ควรจะใช้ยากันแดด ใส่หมวก กางร่ม ใส่เสื้อแขนยาว ถ้าต้องออกไปถูกแสงอาทิตย์
  • หลีกเลี่ยงภาวะเครียดทั้งร่างกายและจิตใจ
  • ควรจะพักให้เพียงพอ บริหารร่างกายบ่อย
  • ไม่รับประทานอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบหรือเปล่าสะอาด สถานที่ยัดเยียด เนื่องจากมีโอกาสเสี่ยงต่อการตำหนิดเชื้อ
  • หากโรคยังไม่สงบ ไม่สมควรตั้งท้อง เนื่องมาจากโรคอาจกำเริบเสิบสานขณะมีครรภ์ได้ อาจเป็นอันตรายต่อผู้เจ็บป่วยและก็เด็กแรกเกิด นอกจากนั้นยาที่รับประทานเพื่อควบคุมโรคในผู้ป่วยบางรายอาจมีผลต่อลูกในท้อง ถ้าเกิดโรคสงบแล้ว สามารถตั้งท้องได้แต่ว่าควรจะปรึกษาแพทย์ก่อน รวมทั้งขณะมีครรภ์ควรจะมารับการตรวจร่างกายอย่างใกล้ชิดมากกว่าเดิม เพราะบางเวลาโรคอาจกำเริบ
  • การคุมกำเนิด ควรเลี่ยงการใช้ยาคุม เหตุเพราะอาจก่อให้โรคกำเริบ สำหรับเพื่อการใส่ห่วงคุมกำเนิดอาจเพิ่มอุบัติการณ์ของการต่อว่าดเชื้อ แนะนำว่าให้ใช้ถุงยาง
  • คนป่วยที่ได้รับยาลดอาการปวดข้อ (NSAIDs) ถ้ามีอาการเจ็บท้อง ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
  • ดื่มนมสด หรือรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงคุ้มครองป้องกันกระดูกพรุน
  • การป้องกันตนเองจากโรค SLE เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรคนี้ จึงยังไม่ทราบการป้องกันไม่ให้เกิดโรคนี้  แต่ก็มีวิธีที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้ได้ด้วยการดูแลรักษาร่างกายของตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดย
  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ไม่เครียดจนเกินไป
  • รักษาสุขอนามัยของตัวเองให้สะอาด เพื่อลดโอกาสในการติดเชื้อ
เมื่อมีอาการผิดปกติที่เสี่ยงจะเป็นโรค SLE ข้อใดข้อหนึ่ง (ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว) ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโดยด่วน

  • สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/บรรเทาอาการของโรค SLE

พลูคาว (Houttuynia cordata Thunb)  พลูคาว เป็นพืชผักพื้นบ้านของไทย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Houttuynia cordata Thunb มีชื่อท้องถิ่นได้หลายชื่อ เช่น พลูคาว ผักคาวตอง ผักก้านตอง ในประเทศไทยพบมากทางภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พลูคาว มีองค์ประกอบทางเคมี ที่สำคัญ 6 ประเภทคือ น้ำมันหอมระเหย (Volatile oil), สารประเภท ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids), สารประเภท อัลคาลอยด์ (Alkaloid), สารประเภทกรดไขมัน  (Fatty acids), สารประเภทไฟโตเสตอรอล (Phytosterols) และสารประกอบเคมีอื่นๆ ได้แก่ Polyphenolic acid กับแร่ธาตุ เช่น Fluoride, Potassium chloride, Potassium sulfate  งานวิจัยของพลูคาวกับระบบภูมิคุ้มกัน เป็นเรื่องที่น่าสนใจและแปลกใจอย่างยิ่ง เพราะแนวโน้มพบว่า เสริมภูมิคุ้มกัน ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่นโรคเอดส์ ขณะเดียวกัน ก็ลดภูมิคุ้มกันในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันไวเกิน เช่นโรค SLE หรือภูมิต้านทานต่อเนื้อเยื่อตนเอง
นอกจากนี้เจียวกู่หลานยังช่วยปรับสมดุลของภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่สร้างภูมิคุ้มกันมากจนเกินไป หรือสร้างภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ จนทำให้มีอาการข้ออักเสบหรือมีอาการของโรค SLE ที่เป็นโรคเรื้อรังในปัจจุบัน โดยมีผลต่อการทำงานของร่างกายที่สำคัญคือ ช่วยบำรุงการทำงานของอวัยวะภายในให้แข็งแรงและปรับสมดุลการทำงานของระบบประสาท ระบบฮอร์โมนให้เป็นปกติจากความเครียด ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาวิจัยพบว่า สมุนไพรเจียวกู่หลานนั้นเป็น Adaptogen ที่ดีกว่าสมุนไพรชนิดอื่น ๆ
เอกสารอ้างอิง

  • รศ.นพ.กิตติ โตเต็มโชคชัยการ.โรคเอสแอลดี (SLE).นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่274.คอลัมน์โรคน่ารู้.กุมภาพันธุ์.2545
  • Patients with SLE .คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/[/b]
  • วิทยา บุญวรพัฒน์.”เจียวกู่หลาน (ปัญจขันธ์)”หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.หน้า 188.
  • Tsokos, G. (2011). Systemic lupus erythematosus. N Engl J Med. 365, 2110-2121.
  • โรคลูปุสหรือเอสแอลดี (SLE).ภาควิชาอาจวิทยา.คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Handa, R., Kumar, U., and Wali, J. (2006). Systemic lupus erythematosus and pregnancy http://www.japi.org/june2006/systemicpdf [2012, Jan10].
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.โรคเอสแอลดี.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่350.คอลัมน์ สารานุกรมพันโรค.กรกฏาคม.2551
  • “เจียวกู่หลาน”.โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง.สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง
  • ศาสดาจารย์เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.โรคพุ่มพวง/โรคลูปัส/โรคเอสแอลอี (SLE).หาหมอ.
  • แนวทางการรักษาโรคเอสแอลดี.Guideline ราชาวิทยาลัยอายุรแพทย์
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
138  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรฟันปลา เป็นยังไง เเละ มีประโยชน์ทั้งสรรพคุณดีอย่างไร เมื่อ: มีนาคม 29, 2018, 07:54:07 am
[b]สมุนไพร[/b].com/wp-content/uploads/2017/09/%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2.png" alt="" border="0" />
สมุนไพรฟันปล[/size][/b]
ฟันปลา Litsea umbellate Merr.
บางถิ่นเรียกว่า ฟันปลา เสียใจ (ปราจีนบุรี) เมนตรือ (เขมร-จันทบุรี) สะเตื้อ (ตราด)
       ไม้ใหญ่ ขนาดเล็ก หรือไม้พุ่ม สูง 3-10 มัธยม ตามกิ่งมีขนสีน้ำตาล ใบ ลำพังออกเรียงสลับ หรือเรียงเวียนห่างๆรูปรี หรือ มีขนาดค่อนข้างเล็ก กว้าง 4-10 ซม. ยาว 7.5-23 เซนติเมตร ปลายใบแหลม หรือมน โคนใบแหลมขอบใบเรียบ หรือเป็นคลื่นบางส่วน ด้านบนสีเขียวเข้มเป็นเงา มีขนเฉพาะตามเส้นกึ่งกลางใบและเส้นกิ้งก้านใบ ข้างล่างเป็นรอยเปื้อนขาว มีขน เส้นใบมี 6-10 คู่ ด้านล่างมองเห็นชัดกว่าข้างบน ก้านใบยาว 6-12 มม. มี ดอก ออกเป็นช่อ เป็นกลุ่มตามง่ามใบ ก้านช่อยาว 2-5 มม. ช่อดอกมีขนปกคลุมหนาแน่น [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
กลีบรวมเชื่อมชิดกันเป็นรูปถ้วย ปลายแยกเป็น 4-6 กลีบ ทั้งยังถ้วยแล้วก็กลีบติดทนจนถึงได้ผล ผล รูปไข่หรือออกจะกลม ปลายมีติ่งแหลม โคนมีชั้นของกลีบรวมรองรับอยู่ ขอบกลีบรวมมีขน

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นในป่าดิบ เจอทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ และทางภาคใต้ของไทย
สรรพคุณ : ต้น เปลือกต้นเจอ alkaloid ใบ ตำเป็นยาพอกฝี

Tags : สมุนไพร
139  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคพาร์กินสัน- อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: มีนาคม 28, 2018, 02:39:24 pm

โรคพาร์กินสัน (Parkinson ‘s disease)


นอกจากนี้ยังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคอีกเช่น   คนไข้อาจมีอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย (เช่น ขา หลัง) โดยเฉพาะเวลานอน หรือช่วงกลางคืน อาจปวดจนนอนไม่หลับ บางรายอาจมีอาการซึมเศร้า ความดันตก ในท่ายืน ท้องผูก มีภาวะความจำเสื่อม หรืออาจมีปัญหากินอาหารและดื่มน้ำได้น้อย น้ำหนักลด ในรายที่เดินลำบาก อาจหกล้ม กระดูกหักหรือศีรษะแตก ในรายที่เป็นมาก อาจนอนบนเตียงมากจนเป็นแผลกดทับ อาจมีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก และมีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะได้ง่าย คนไข้ที่ปล่อยไว้ไม่รักษาจนมีอาการรุนแรง (กินเวลา ๓-๑๐ ปี) มักจะตายด้วยโรคปอดอักเสบแทรกซ้อนหรือภาวะเลือดเป็นพิษจากการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ

  • ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลให้เกิดโรคพาร์กินสัน
  • อายุ หากแก่มากขึ้นก็จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมากเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่แก่ 60 ปีขึ้นไป
  • พันธุกรรม โดยพบว่าคนป่วยราว 15-20% จะมีประวัติคนภายในครอบครัวเป็นโรคพาร์กินสัน (ถ้ามีญาติสายตรงเป็นโรคนี้ 1 คนจะเพิ่มจังหวะเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคนี้ 3 เท่า และแม้มี 2 คนก็จะเพิ่มการเสี่ยงเป็น 10 เท่าตามลำดับ)
  • เป็นผู้ที่สัมผัสกับยากำจัดศัตรูพืชหรือยาฆ่าวัชพืช กินน้ำจากบ่อและอาศัยอยู่ในเขตทุรกันดาร เพราะว่ามีรายงานว่าเจอโรคนี้ได้มากในชาวนาชาวไร่ที่กินน้ำจากบ่อ
  • เป็นผู้ที่หรูหราฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ อย่างเช่น ในหญิงที่ตัดรังไข่รวมทั้งมดลูก หญิงวัยทองก่อนที่จะครบกำหนด ซึ่งคนกลุ่มนี้จะได้โอกาสเป็นโรคนี้ได้สูง แต่ถ้าเกิดได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนตอบแทนก็บางครั้งก็อาจจะช่วยลดการเกิดโรคนี้ได้
  • เคยประสบอุบัติเหตุที่กระทบทางสมอง
  • นอกจากนั้นยังมีแถลงการณ์ว่า ผู้ที่ขาดกรดโฟลิกจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสันเหมือนกัน
  • กรรมวิธีการรักษาโรคพาร์กินสัน โดยทั่วไปหากคนเจ็บปรากฏอาการกระจ่าง สามารถวิเคราะห์ได้จากลักษณะอาการและการตรวจร่างกายทางระบบประสาทอย่างประณีต ระยะเริ่มต้นเริ่ม บางทีอาจวิเคราะห์ยาก ควรต้องวินิจฉัยแยกโรคก่อนเสมอคนที่สงสัยว่าจะมีอาการป่วยด้วยโรคพาร์คินสัน ควรได้รับการตรวจวิเคราะห์จากอายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านประสาทวิทยา หรือที่เรียกว่าประสาทแพทย์

การวินิจฉัยโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) จึงจะต้องแยกโรคอื่นๆที่มีลักษณะอาการของพาร์กินสัน รวมทั้งแยกอาการ หรือภาวะพาร์กินสันทุติยภูมิ (Secondary parkinsonism) ออก ไปด้วย เนื่องด้วยการดูแลและรักษาจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าจะมีลักษณะบางสิ่งบางอย่างคล้ายกันก็ตาม
การวิเคราะห์โรคพาร์กินสันจะอาศัยอาการผู้ป่วย และก็ความเปลี่ยนไปจากปกติที่หมอตรวจพบเป็นหลัก รวมทั้งลักษณะของการมีอาการที่ค่อยเป็นค่อยไป อายุที่เริ่มเป็น และประวัติในครอบครัว ไม่มีการตรวจพิเศษทางห้องทดลองใดที่ตรวจแล้วบอกได้ว่าคนไข้กำลังเป็นโรคพาร์กินสันอยู่ การตรวจทางห้องทดลองจะใช้เพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรคอื่นๆบางโรคที่มีลักษณะของโรคพาร์กินสันแล้วก็มีลักษณะเฉพาะของโรคนั้นๆร่วมด้วย เพื่อซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลและรักษาที่ผิดแผกแตกต่างออกไปเท่านั้น ได้แก่ การตรวจค้นระดับพิษในกระแสเลือด การตรวจหาระดับสาร Ceruloplasmin ในเลือดเพื่อวินิจฉัยโรค Wilson’s disease การเอกซเรย์สมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (เอมอาร์ไอ/MRI) เพื่อวิเคราะห์ โรค Normal pressure hydrocephalus เป็นต้น
ในสมัยก่อนแพทย์เข้าใจว่าโรคพาร์กินสันนี้มีความผิดปกติที่ไขสันหลัง แม้กระนั้นในปัจจุบันเป็นที่รู้กันแน่ๆแล้วว่า พยาธิภาวะของโรคนี้เกิดที่บริเวณตัวสมองเองในส่วนลึกๆบริเวณก้านสมอง ซึ่งมีกรุ๊ปเซลล์ประสาทที่มีสีดำมีปริมาณเซลล์น้อยลง หรือบกพร่องในหน้าที่สำหรับเพื่อการปลดปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า โดพามีน (dopamine) ก็เลยก่อให้เกิดอาการเคลื่อนช้า เกร็งรวมทั้งสั่นเกิดขึ้นเป็นลำดับ ด้วยเหตุนี้ในปัจจุบันการดูแลและรักษาโรคนี้จึงหวังมุ่งให้สมองหรูหราสารโดพามีนกลับสู่ค่าธรรมดา ซึ่งบางทีอาจทำได้โดยการกินยาการทำกายภาพบำบัด หรือผ่าตัดสมอง
การรักษาโรคพาร์กินสันมี 3 วิธี คือ

  • รักษาด้วยยา ซึ่งแม้ว่ายาจะไม่สามารถที่จะทำให้เซลล์สมองที่ตายไปแล้วฟื้นหรือกลับมาแตกหน่อทดแทนเซลล์เดิมได้ แต่ก็จะทำให้สารเคมีโดปามีนในสมองมีปริมาณเพียงพอกับสิ่งที่มีความต้องการของร่างกายได้ สำหรับยาที่ใช้ในตอนนี้เป็นยากลุ่ม LEVODOPA และก็ยากลุ่ม DOPAMINE AGONIST เป็นหลัก (การใช้ยาแต่ละชนิดขึ้นกับการวินิจฉัยจากแพทย์ ตามความเหมาะสม)
  • ทำกายภาพบำบัด จุดมุ่งหมายของการดูแลและรักษาก็คือ ให้ผู้ป่วยคืนสู่ภาวะชีวิตที่ใกล้เคียงคนธรรมดาที่สุด สามารถเข้าสังคมได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นสุขทั้งกายและจิตใจ ซึ่งมีหลักวิธีปฏิบัติง่ายๆคือ

ก) ฝึกหัดการเดินให้ค่อยๆก้าวขาแต่ว่าพอดี โดยการเอาส้นตีนลงเต็มฝ่าเท้า รวมทั้งแกว่งแขนไปด้วยขณะเดินเพื่อช่วยสำหรับการทรงตัวดี ยิ่งไปกว่านี้ควรหมั่นจัดท่าทางในท่าทางต่างๆให้ถูกสุขลักษณะ รองเท้าที่ใช้ควรจะเป็นแบบส้นเตี้ย และก็พื้นต้องไม่ทำมาจากยาง หรือวัสดุที่เหนียวติดพื้นง่าย
ข) เมื่อถึงเวลานอน ไม่สมควรให้นอนเตียงที่สูงเกินไป เวลาจะขึ้นเตียงต้องเบาๆเอนตัวนอนลงเอียงข้างโดยใช้ศอกจนถึงก่อนชูเท้าขึ้นเตียง
ค) ฝึกหัดการพูด โดยพี่น้องจะต้องให้ความเข้าอกรู้เรื่องเบาๆฝึกฝนคนป่วย รวมทั้งควรจะทำในสถานที่ที่เงียบสงบ

  • การผ่าตัด ส่วนใหญ่จะได้ผลดีในคนไข้ที่มีอายุน้อย และก็มีลักษณะอาการไม่มากนัก หรือในคนที่มีลักษณะเข้าแทรกจากยาที่ใช้มาเป็นระยะเวลานานๆตัวอย่างเช่น อาการสั่นที่รุนแรง หรือมีการเคลื่อนแขน ขา มากเปลี่ยนไปจากปกติจากยา ปัจจุบันนี้มีการใช้แนวทางกระตุ้นไฟฟ้าที่สมองส่วนลึกโดยผ่าตัดฝังเอาไว้ในร่างกาย พบว่าเกิดผลดี แม้กระนั้นค่าใช้สอยสูงมาก ผู้เจ็บป่วยโรคพาร์กินสัน จึงควรได้รับการดูแลใส่ใจจากคนที่อยู่รอบข้างในการพัฒนาฟื้นฟูด้านร่างกาย รวมถึงจิตใจ ด้วยเหตุนั้นถ้าเกิดท่านมีคนสนิทที่เป็นโรคชนิดนี้ ควรต้องรีบนำมาพบหมอเพื่อรับการวิเคราะห์โรคอันจะส่งผลให้เกิดการดูแลรักษาที่ถูกแล้วก็สมควรต่อไป
  • การติดต่อของโรคพาร์กินสัน เนื่องมาจากโรคพาร์กินสันเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากเซลล์สมองมีการตาย แล้วก็ทำให้สารสื่อประสาทที่ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายมีจำนวนลดน้อยลง จึงกระตุ้นให้เกิดอาการต่างๆของโรค ซึ่งไม่อาจจะติดต่อจากคนสู่คน หรือ จากสัตว์สู่คนได้ (แม้กระนั้นสามารถถ่ายทอดทางชนิดบาปไปสู่บุตรหลานได้)
  • การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคพาร์กินสัน ผู้เจ็บป่วยและก็ญาติสามารถดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอและก็สม่ำเสมอ ดังต่อไปนี้
  • ติดตามรักษากับหมอเสมอๆ
  • กินยาควบคุมอาการดังที่หมอเสนอแนะให้ใช้
  • กินอาหารชนิดที่มีกากใยเพื่อช่วยลดอาการท้องผูก
  • หมั่นฝึกฝนออกกำลังกาย โดยการเคลื่อนไหวร่างกายให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำเป็น อย่านอนหรือนั่งนิ่งๆรวมทั้งวิธีการทำกิจวัตรที่ทำทุกๆวัน บริหารร่างกาย เพื่อเพิ่มความคล่องตัวแล้วก็ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ลดเกร็งและก็ปรับการเลี้ยงตัวให้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น การเดิน วิ่งเหยาะๆรำไท้วางท่า หรือเต้นแอโรบิก    ฝึกหัดเดิน ยืนยืดตัวตรง วางเท้าห่างกัน ๘-๑๐ นิ้ว นับจังหวะก้าวเท้าแกว่งไกวแขน เสมือนเดินสวนสนามหรือเดินก้าวข้ามเส้นที่ขีดไว้ เมื่อใดที่ก้าวไม่ออกให้จังหวะกับตนเองกระดกข้อเท้าแล้วก้าวเดิน    ฝึกบอกโดยให้ผู้เจ็บป่วยเป็นฝ่ายพูดก่อน หายใจลึกๆแล้วออกเสียงให้ดังกว่าที่ตั้งใจไว้
  • รอบๆทางเดินหรือในห้องน้ำควรมีราวเกาะและไม่วางของขวางทางเท้า
  • การแต่งตัว ควรใส่เสื้อผ้าที่ถอดใส่ง่าย เช่น กางเกงเอวยางยืด เสื้อติดแถบกาวแทนกระดุม
  • ญาติพี่น้อง ควรที่จะใส่ใจดูแลคนเจ็บอย่างใกล้ชิด ระแวดระวังการเกิดอุบัติเหตุ ตัวอย่างเช่น การเดินหกล้ม เป็นต้น

สิ่งจำเป็นก็คือ คนสนิทของผู้เจ็บป่วยรวมทั้งพี่น้อง ควรจะเรียนรู้และทำความเข้าใจผู้ป่วยพาร์กินสัน  แม้ว่าจะมีข้อมูลว่าการดื่มกาแฟ การสูบยาสูบ การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน(ในผู้หญิงวัยหมดระดู) จะช่วยลดการเกิดโรคพาร์กินสันได้ แม้กระนั้นก็ไม่ชี้แนะ เนื่องจากว่ามีโทษทำให้มีการเกิดโรคอื่นๆที่น่าสยองก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตได้มากกว่า

  • การคุ้มครองตนเองจากโรคพาร์กินสัน ด้วยเหตุว่าสาเหตุที่จริงจริงของการเกิดโรคพาร์กินสันยังไม่เคยทราบเด่นชัด ด้วยเหตุดังกล่าวการคุ้มครองเต็มที่จึงเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าบางการเรียนรู้พบว่า การกินอาหารมีสาระ 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม โดยจำกัดของกินกลุ่มไขมันรวมทั้งเนื้อแดง (เนื้อของสัตว์เลือดอุ่น) จำกัดอาหารในกรุ๊ปผลิตภัณฑ์จากนม กินผัก ผลไม้มากขึ้นให้มากๆเหตุเพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง อาจช่วยลดจังหวะกำเนิดอาการ หรือ ลดความรุนแรงจากอาการโรคนี้ลงได้บ้าง นักค้นคว้าแห่งแผนกแพทยศาสตร์ Chapel Hill มหาวิทยาลัยนอร์ธแคโลไรที่นาได้คิดวิธีทดสอบแบบง่ายๆที่ใครๆก็ทำได้ แล้วก็ทำเสร็จภายในระยะเวลาเพียงแค่ ๑ นาที

แนวทางทดลองดังที่กล่าวมาข้างต้นมี 3 ขั้นตอนกล้วยๆเป็น

  • ให้คนไข้ยิ้มให้ดู
  • ให้ชูแขนขึ้นทั้งยัง 2 ข้างและให้ค้างเอาไว้
  • ท้ายที่สุดให้คนเจ็บบอกประโยคง่ายๆให้ฟังสักประโยค

นักค้นคว้าทดลอง ด้วยการให้คนที่เคยมีอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นตัวแสดงร่วมกับคนธรรมดาคนอื่นๆรวมแล้ว ๑๐๐ คน แล้วให้อาสาสมัครสมมติตัวเป็นคนผ่านมาพบเหตุการณ์ที่มีคนเจ็บเกิดอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ให้อาสาสมัครลองทดสอบด้วยคำสั่งข้างต้นกับตัวละครอีกทั้ง ๓ ข้อ เวลาเดียวกันก็โทรศัพท์บอกผลของการทดสอบให้ผู้ทำการวิจัยรู้ โดยผู้วิจัยอยู่ในอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งไม่เห็นท่าทีหรือการแสดงออกของคนที่สงสัยจะมีลักษณะสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ผลที่ออกมาพบว่า นักวิจัยสามารถแยกคนเจ็บออกมาจากคนปกติได้อย่างแม่นยำถึงร้อยละ ๙๖ ทีเดียว โดยแยกอาการกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนล้า (facial weakness) ได้จำนวนร้อยละ ๗๑ แยกกล้ามเนื้อแขนอ่อนกำลังได้ถึง ร้อยละ ๙๕ รวมทั้งแยก  ประสาทกลางสถานที่ทำงานไม่ดีเหมือนปกติทางคำพูดได้ร้อยละ ๘๘ ซึ่งถือได้ว่าถูกต้องมากด้านในเหตุการณ์ที่แพทย์ไม่อยู่ในจุดเกิดเหตุ

  • สมุนไพรที่ช่วยปกป้อง/รักษาโรคพาร์กินสัน สารสกัดจากบอระเพ็ด ชื่อ columbamine เป็นสารกรุ๊ปอัลคาลอยด์ ที่มีงานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยพบว่า สามารถยับยั้งฤทธิ์ของเอ็นไซม์ชื่อ acetyl cholinesterase ได้สูงมากมาย ซึ่งการยับยั้งเอนไซม์ acetyl cholinesterase เป็นจุดมุ่งหมายสำคัญของการเป็นยารักษาคนป่วยสมองเสื่อม (Senile dementia), คนไข้จำอะไรไม่ค่อยได้ (Alzheimer’s diseases), โรคพาร์กินสันที่มีภาวะโรคสมองเสื่อมร่วมด้วย (Parkinson’s disease with dementia, PDD) อาการเซ หรือ ภาวการณ์กล้ามเสียสหการ (Ataxia) รวมทั้งโรคกล้ามอ่อนแรง (myasthenia gravis)

               ผลของการรักษาด้วยการใช้บอระเพ็ดในผู้ป่วยพาร์กินสัน สอดคล้องกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่มีการค้นพบในงานศึกษาเรียนรู้วิจัย โดยเห็นผลสำหรับเพื่อการรักษากระจ่างแจ้งในด้านภาวการณ์รู้คิด     การกระทำโดยรวมรวมทั้ง อาการทางประสาทดียิ่งขึ้นในสภาวะโรคสมองเสื่อมที่เจอในคนไข้พาร์กินสัน เหตุเพราะโรคพาร์กินสันเมื่อมีการดำเนินของโรคมานาน 5-10 ปี จะเกิดความเสื่อมของสมองในส่วนอื่นๆตามมา นำมาซึ่งความแตกต่างจากปกตินอกเหนือจากการขยับเขยื้อน ดังเช่นว่า การนอน ความแตกต่างจากปกติทางด้านอารมณ์และจิตใจ ภาวการณ์ย้ำคิดย้ำทำ อาการเศร้าใจ ตื่นตระหนก ฯลฯ
                แม้กระนั้นยังไม่มีข้อมูลในทางสถานพยาบาล หรือการศึกษาในคนเจ็บกรุ๊ปโรคดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วอย่างเป็นระบบ เสนอแนะหากสนใจใช้บอระเพ็ด ควรที่จะใช้ในทางเสริมการรักษาควบคู่กับยาแผนปัจจุบันเป็นหลัก และก็ควรมีช่วงที่หยุดยาขยันง เช่น แนะนำใช้ยาเดือนเว้นเดือน หรือ 2-3 เดือน เว้น 1 เดือน
ยิ่งกว่านั้นข้อควรปฏิบัติตามเป็นห้ามใช้บอระเพ็ดในคนที่มีภาวการณ์โปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับผิดพลาด หรือผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคตับ หรือโรคไตรุนแรง ผู้ที่มีทิศทางความดันเลือดต่ำเกินไป หรือน้ำตาลในเลือดต่ำ สตรีตั้งครรภ์ สตรีให้นมบุตร
[url=http://www.disthai.com/16662691/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A2]หมามุ่ย
ประเทศอินเดีย เป็นสมุนไพรที่ศาสตร์อายรุเวทของอินเดีย ใช้รักษาโรคพาร์กินสันมาเป็นระยะเวลานาน ผลการค้นคว้าพบว่าเม็ดหมามุ่ยอินเดีย เป็นแหล่งธรรมชาติของสาร แอล-โดปา (L-dopa)เจอ 3.1-6.1% และก็อาจเจอสูงถึง 12.5% ซึ่งสารแอล-โดปานี้จะเป็นสารขึ้นต้นของโดพามีน โดยพบว่าสารแอล-โดขว้างในหมามุ่ยอินเดียมีจุดเด่นกว่ายาสังเคราะห์ Levodapa ตรงที่มีความแรงสำหรับการออกฤทธิ์มากกว่า Levodopa 2-3 เท่า เมื่อเปรียบในขนาดเทียบเท่ากับ Levodapa เดี่ยว
โดยมีการตั้งสมมติฐานว่าในสารสกัดเม็ดหมามุ่ยประเทศอินเดียอาจมีสารสำคัญบางตัวที่ทำหน้าเหมือน Dopamine Decarboxylase Inhibitors ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่จำต้องให้ร่วมกับ Levodopa เสมอ เพื่อยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี Dopamine Decarboxylase ที่จะทำลาย Levodopa อันจะทำให้การออกฤทธิ์ของ Levodopa ลดลง ยิ่งไปกว่านี้ยังพบว่าเมล็ดหมามุ่ยประเทศอินเดียยังออกฤทธิ์ได้เร็วกว่า และมีช่วงเวลาการออกฤทธิ์นานกว่า  Levodopa/Carbidopa
อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อมูลในการค้นคว้าทางสถานพยาบาลและการเรียนในคนไข้โรคพาร์กินสัน ดังนั้นจำเป็นต้องรอให้มีการทำการค้นคว้าเพิ่มเติม แล้วก็มีผลการศึกษาวิจัยยืนยันว่าไม่มีอันตรายก่อนที่จะใช้
เอกสารอ้างอิง

  • นพ.อัครวุฒิ วิริยเวชกุล.โรคพาร์กินสัน.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่382.คอลัมน์ โรคน่ารู้.กุมภาพันธ์.2554
  • ศ.นพ.นิพนธ์ พวงวรินทร์.โรคพาร์กินสันกับผู้สูงอายุ.ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล
  • Kedar, NP. (2003). Can we prevent Parkinson,s and Alzheimer,s disease?. Journal of Postgraduate Medicine. 49, 236-245.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 641-645.
  • Parkinson’s disease, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 17th edition, Braunwald , Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2008 (electronic book). http://www.disthai.com/[/b]
  • โรคพาร์กินสัน.วิกิพีเดียสารานุกรม
  • โรคพาร์กินสัน-โรคสั่นสันนิบาต.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่219.คอลัมน์โรคน่ารู้.กรกฎาคม.2540
  • พญ.สลิล ศิริอุดมภาส.โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) .หาหมอ.com
  • รศ.
140  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคกล้ามเนื้ออ่อนเเรง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: มีนาคม 28, 2018, 08:25:45 am

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง MG (Myasthenia gravis)

  • โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เป็นยังไง โรคกล้ามเนื้ออ่อนล้า (Myasthenia gravis) โรคกล้ามอ่อนเพลีย (myasthenia gravis) หรือ โรคเอ็มจี เป็นชื่อภาษากรีกและละติน แสดงว่า "grave muscular weakness" เป็นโรคกล้ามอ่อนแรง ประเภทหนึ่งที่เป็นโรค ออโตอิมมูน (Autoimmune) ประเภทเรื้อรัง ที่นำมาซึ่งการทำให้กล้ามเนื้อลาย (กล้ามที่อยู่ในการควบคุมของสมอง ซึ่งคือ กล้ามเนื้อด้านนอกร่างกาย ที่ร่างกายใช้เพื่อการเคลื่อนไหวต่างๆเช่น กล้ามเนื้อ แขน ขา ดวงตา บริเวณใบหน้า โพรงปาก กล่องเสียง และกล้ามซี่โครงที่ใช้ในการหายใจ มีการอ่อนกำลังจนไม่สามารถที่จะดำเนินการหดตัวได้ตามเดิม หรืออีกความหมายหนึ่งเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรง (Myasthenia Gravis; MG) เป็นโรคภูมิต้านทานของร่างกายทำงานไม่ปกติ ซึ่งไปทำลายตัวรับสัญญาณประสาท (receptor) ที่อยู่บนกล้ามเนื้อของตนเองทำให้มีการเกิดอาการกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อย เพราะไม่สามารถที่จะรับสัญญาณประสาทที่กระตุ้นให้กล้ามหดตัวได้ โดยคนเจ็บจะมีลักษณะอาการหนังตาตก ยิ้มได้ลดน้อยลง หายใจลำบาก มีปัญหาการพูด การบด การกลืน รวมถึงการเคลื่อนไหวของร่างกาย โรคกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรงเกิดขึ้นได้ในคนเจ็บทุกเพศทุกวัย ปัจจุบันนี้ อีกทั้งการดูแลรักษาทำได้เพียงแค่เพื่อบรรเทาอาการเพียงแค่นั้น

    ดังนี้ โรคกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อย MG  ไม่ใช่โรคใหม่ แต่ว่าเป็นโรคที่มีการบันทึกว่าเจอคนเจ็บ มาตั้งแต่ 300 ปีกลาย  แล้วก็โรคกล้ามเหน็ดเหนื่อย MG เป็นโรคเจอได้ไม่บ่อยนัก ประมาณ 10 ราย ต่อประชาชน 100,000 คน เจอได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนกระทั่งคนวัยชรา โดยพบในหญิงมากกว่าในเพศชายราวๆ 3:2 เท่า ดังนี้เจอโรคนี้ในเด็กได้โดยประมาณ 10%ของผู้ที่เจ็บป่วยจากโรคชนิดนี้ทั้งปวง ในคนแก่สตรี พบบ่อยโรคได้สูงในช่วงอายุ 30-40 ปี แต่ในผู้ใหญ่เพศชาย พบได้บ่อยโรคได้สูงในช่วงอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป

  • ต้นเหตุของโรคกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย (MG) สำหรับเพื่อการขยับเขยื้อนกล้ามแต่ละมัด สมองจะต้องส่งสัญญาณประสาทไปตามเส้นประสาท แล้วก็จะมีการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาทที่รอบๆรอยต่อระหว่างเส้นประสาทแล้วก็กล้ามเนื้อสารสื่อประสาทนี้จะไปส่งสัญญาณที่ตัวรับสัญญาณรอบๆกล้ามเนื้อแต่ละมัดเพื่อให้กล้ามมีการหดตัว คนป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนล้า (MG) เมื่อปลายประสาทเกิดการหลั่งสารสื่อประสาทออกมาจะไม่อาจจะส่งสัญญาณสู่ตัวรับบนกล้ามเนื้อได้ เนื่องจากร่างกายได้สร้างแอนติบอดีมากีดกันรวมทั้งทำลายตัวรับสัญญาณบนกล้ามเนื้อไป ซึ่งเมื่อการเช็ดกทำลายขึ้นแล้วนั้น ถึงแม้ว่าเซลล์ประสาทจะหลั่งสารเคมีให้กำเนิดไฟฟ้าส่งมายังเซลล์กล้ามเช่นไรก็ตาม เซลล์กล้ามก็ไม่ทำงานเนื่องจากถูกทำลายไปแล้วอย่างสิ้นเชิง

ส่วนสาเหตุของโรคกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อยนั้น มักเกิดขึ้นจากปัญหาเกี่ยวกับการแพ้ภูไม่ตัวเอง (Autoimmune Disorder) โดยมีรายละเอียดสาเหตุของอาการกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ดังต่อไปนี้  สารภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี้ (Antibodies) และการส่งสัญญาณประสาท ธรรมดาระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะผลิตแอนติบอดี้ออกมาเพื่อทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งปลอมปนที่เข้ามาในร่างกาย แต่ว่าในคนไข้กล้ามเนื้อเมื่อยล้า แอนติบอดี้จะไปทำลายหรือกีดกันลักษณะการทำงานของสารสื่อประสาทแอสิตำหนิลโคลีน (Acetylcholine) โดยถูกส่งไปที่ตัวรับ (Receptor) ซึ่งอยู่ที่ปลายระบบประสาทบนกล้ามเนื้อแต่ละผูก ทำให้กล้ามเนื้อไม่อาจจะหดตัวได้  ดังนี้ อวัยวะที่แพทย์เชื่อว่าเป็นตัวนำไปสู่การสร้างสารภูมิคุ้มกันไม่ดีเหมือนปกติตัวนี้เป็นต่อมไทมัส (Thymus gland) ต่อมไทมัส คือต่อมที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการผลิตภูมิคุ้มกันต้นทานโรคของร่างกาย (Immune system) คือต่อมที่อยู่ในช่องอกตอนบน ต่อมอยู่ใต้กระดูกอก (Sternum) โดยวางอยู่บนด้านหน้าของหัวใจโดยต่อมไทมัสจะผลิตสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ไปกัดกันลักษณะการทำงานของสารสื่อประสาทแอซิตำหนิลโคลีน (Acetylcholine) จึงกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการกล้ามอ่อนแรงดังที่กล่าวถึงมาแล้ว ซึ่งปกติแล้วเด็กจะมีต่อมไทมัสขนาดใหญ่และจะค่อยๆเล็กลงเรื่อยๆเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ว่าผู้ป่วยกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจะมีขนาดของต่อมไทมัสที่ใหญ่แตกต่างจากปกติ หรือผู้ป่วยบางรายมีภาวการณ์กล้ามเมื่อยล้าที่มีเหตุที่เกิดจากเนื้องอกของต่อมไทมัส ซึ่งเจอประมาณร้อยละ 10 ในคนเจ็บสูงอายุ

  • อาการของโรคกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรง (MG) อาการสำคัญของโรคกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อย (MG) คือจะมีอาการเหนื่อย เพลีย กล้ามอ่อนล้า แล้วก็จะอ่อนแรงเพิ่มมากขึ้นเมื่อออกแรงมากยิ่งขึ้น แม้กระนั้นอาการจะดียิ่งขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อพักผ่อนการออกแรง

ยิ่งกว่านั้น อาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วย โดยจะสังกัดว่า โรคเกิดกับกล้ามเนื้อส่วนไหนของร่างกาย ทั้งนี้ ราว 85% ของคนไข้จะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรงในทุกมัดของกล้ามลายส่วนอาการที่มักพบที่สุดของโรคกล้ามเมื่อยล้า (MG)เป็นอาการเหน็ดเหนื่อยของกล้ามที่ช่วยยกเปลือกตารวมทั้งกล้ามเนื้อตา ทำให้มีการเกิดหนังตาตกและเห็นภาพซ้อน ซึ่งอาจจะมีการเกิดขึ้นข้างใดข้างหนึ่งหรืออีกทั้ง 2 ข้างก็ได้ รวมทั้งพบบ่อยอาการแตกต่างจากปกติอื่นๆของกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆได้อีกได้แก่
ใบหน้า หากกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับการแสดงออกบนบริเวณใบหน้าได้รับผลกระทบ จะก่อให้การแสดงออกทางสีหน้าท่าทางถูกจำกัด ดังเช่น ยิ้มได้ลดลง หรือเปลี่ยนเป็นยิ้มแยกเขี้ยวเพราะไม่สามารถที่จะควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้
การหายใจ ผู้เจ็บป่วยกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจำนวนหนึ่งมีลักษณะอาการหายใจลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนอนราบอยู่บนเตียงหรือภายหลังจากการบริหารร่างกาย
การพูด การเคี้ยวแล้วก็การกลืน มีต้นเหตุที่เกิดจากกล้ามเนื้อรอบปาก เพดานอ่อน หรือลิ้นอ่อนเพลีย ทำให้เกิดอาการผิดปกติ ตัวอย่างเช่น พูดเสียงเบาแหบ พูดเสียงขึ้นจมูก บดมิได้ กลืนลำบาก ไอ สำลักของกิน บางกรณีบางทีอาจเป็นสาเหตุไปสู่การตำหนิดเชื้อที่ปอด
ลำคอ แขนรวมทั้งขา บางทีอาจเกิดขึ้นร่วมกับอาการเมื่อยล้าของกล้ามส่วนอื่นๆมักเกิดขึ้นที่แขนมากกว่าที่ขา ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย ดังเช่น เดินกระเตาะกระแตะ เดินตัวตรงได้ยาก กล้ามเนื้อรอบๆคอเหน็ดเหนื่อย ทำให้ตั้งศีรษะหรือชูคอทุกข์ยากลำบาก นำไปสู่อุปสรรคต่อการทำกิจกรรมต่างๆ

  • ปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง (MG) ในตอนนี้ยังไม่สามารถอธิบายสาเหตุของความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่ไปทำลายตัวรับสัญญาณบนกล้ามได้อย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็แล้วแต่ พบว่าโรคกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย (MG) มักมีความสัมพันธ์กับโรคของต่อมไทมัส โดย ราว 85%พบเกิดร่วมกับมีโรคเซลล์ต่อมไทมัสรุ่งเรืองเกินธรรมดา (Thymus hyperplasia) และก็ประมาณ 10-15% เกิดร่วมกับโรคเนื้องอกต่อมไทมัส (Thymoma)

นอกจากนี้ มีแถลงการณ์ว่า เจอโรคกล้ามเหน็ดเหนื่อย (MG) กำเนิดร่วมกับโรคมะเร็งปอดประเภทเซลล์ตัวเล็ก และโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์รับประทาน ทั้งคนเจ็บบางทีอาจพบความผิดปกติและโรคที่มีต้นเหตุมากจากภูมิคุ้มกันตัวเองประเภทอื่นๆร่วมด้วยได้ ดังเช่น โรคตาจากไทรอยด์ (Thyroidorbitopathy) โรคกล้ามอ่อนเพลีย (MG)จะสามารถดีขึ้นได้เองแล้วอาจกลับเป็นซ้ำได้อีกคล้ายกับโรคภูมิคุ้มกันตนเองจำพวกอื่นๆ

  • กรรมวิธีรักษาโรคกล้ามอ่อนเพลีย (MG)

การวิเคราะห์ MG เป็นโรคที่มีลักษณะสำคัญคือ fatigue รวมทั้งfluctuation ของกล้ามเนื้อบริเวณตาแขนขาแล้วก็การพูดรวมทั้งกลืนอาหาร คนไข้จะมีลักษณะเยอะขึ้นเมื่อได้ใช้งานหน้าที่นั้นๆไประยะหนึ่ง และอาการรุนแรงขณะที่ต่างกันโดยมีลักษณะมากมายตอนบ่ายๆบางครั้งบางคราวคนป่วยมาพบแพทย์ช่วงที่ไม่มีอาการ แพทย์ก็ตรวจไม่เจอความแตกต่างจากปกติ จึงไม่อาจจะให้การวินิจฉัยโรคได้ แล้วก็บางทีอาจวิเคราะห์บกพร่องว่าเป็น anxiety แต่การให้การวินิจฉัยโรคMG ทำ ได้ง่ายๆในผู้เจ็บป่วยจำนวนมากเพราะมีลักษณะจำ เพาะทางสถานพยาบาลที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ว การตรวจเสริมเติมเพื่อได้เรื่องวิเคราะห์ที่แน่นอนและในรายที่อาการไม่กระจ่างอาทิเช่น

  • การตรวจ ระบบประสาท อย่างเช่นการให้คนป่วยได้ทำกิจกรรมต่อเนื่องที่ทำ     ให้คนไข้มีลักษณะอาการ

อ่อนเพลียได้เช่นการมองขึ้นนาน1นาทีแล้วตรวจว่าคนเจ็บมีสภาวะหนังตาตก มากขึ้นหรือเปล่า โดยวัดความกว้างของ palpablefissure ที่ตาทั้งยัง 2 ข้างการให้ผู้ป่วยเดินขึ้นบันไดหรือลุก-นั่ง สลับกันเป็นระยะเวลาหนึ่งผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะอ่อนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและก็อาการเมื่อยล้าเมื่อพักสักครู่การให้คนเจ็บบอกหรืออ่านออกเสียงดังๆผู้ป่วยจะมีลักษณะอาการเสียงแหบหรือหายไปเมื่อพักแล้ว

  • Ice test โดยการนำนํ้าแข็งห่อใส่วัสดุตัวอย่างเช่น นิ้วของถุงมือยาง แล้วนำ ไปวางที่กลีบตาของผู้ป่วยนาน2นาทีประเมินอาการptosisว่าไหมคนเจ็บ MG จะได้ผลบวก
  • Prostigmintest โดยการฉีด prostigmin ขนาด 1-1.5 มก. ฉีดเข้าทางกล้าม แล้วประเมินที่ 15, 20, 25 แล้วก็ 30 นาทีโดยประเมินอาการสภาวะหนังตาตกอาการเมื่อยล้าหรือเสียงแหบให้ผลบวกราวๆจำนวนร้อยละ90 คือคนไข้จะมีลักษณะอย่างเห็นได้ชัด คนป่วยบางทีอาจกำเนิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง หรือหัวใจเต้นช้าลงจากฤทธิ์ของยาวิธีปรับแต่งคือฉีดยา atropine 0.6 มิลลิกรัมทางหลอดเลือดดำ ซึ่งแพทย์บางคนเสนอแนะ ให้ฉีดยาatropineก่อนที่จะกระทำทดลอง
  • การวิเคราะห์เลือด หมอจะตรวจนับจำนวนของแอนติบอดี้ ผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามอ่อนกำลังนั้นจะมีปริมาณของแอนติบอดี้ที่ไปยับยั้งรูปแบบการทำงานของกล้ามเนื้อมากผิดปกติ โดยมากจะตรวจพบแอนติบอดี้ชนิด Anti-MuSK
  • การตรวจการชักชวนประสาท (Nerve Conduction Test) ทำเป็น 2 แนวทางเป็นRepetitive Nerve Stimulation Test เป็นการทดลองด้วยการกระตุ้นเส้นประสาทซ้ำๆเพื่อมองลักษณะการทำงานของมัดกล้าม โดยการต่อว่าดขั้วไฟฟ้าที่ผิวหนังรอบๆที่พบอาการเมื่อยล้า และส่งกระแสไฟจำนวนน้อยเข้าไปเพื่อตรวจทานความสามารถของเส้นประสาทสำหรับในการส่งสัญญาณไปที่ผูกกล้ามเนื้อ และก็การตรวจด้วยกระแสไฟฟ้า (Electromyography) เป็นการวัดกระแสไฟจากสมองที่ส่งไปยังกล้ามเนื้อเพื่อดูแนวทางการทำงานของเส้นใยกล้ามเพียงแต่เส้นเดียว (Single-fiber Electromyography หรือ EMG)

การดูแลและรักษา จุดหมายสำหรับในการรักษาคนป่วย MG ของแพทย์เป็นการที่คนเจ็บหายจากอาการโดยไม่ต้องรับประทานยาซึ่งมีกลไกสำหรับในการรักษา 2 ประการคือ เพิ่มการทำ งานของ neuromusculartransmissionลดผลของ autoimmunity ต่อโรค
การดูแลและรักษาจะแบ่งคนเจ็บเป็น 2 กลุ่มซึ่งมีแนวทางการรักษาไม่เหมือนกัน

  • ผู้ป่วยที่มีภาวการณ์กล้ามเหน็ดเหนื่อยที่รอบๆกล้ามเนื้อตา ( Ocula MG ) ควรจะเริ่มด้วยยา ace-tylcholinesteraseinhibitors ยกตัวอย่างเช่น pyridostigmine (mestinon) ขนาดเม็ดละ 60 มก. ครึ่งถึง 1 เม็ด 3 เวลาหลังรับประทานอาหาร แล้วดูการโต้ตอบว่าอาการหนังตาตกลืมตาตรากตรำดียิ่งขึ้นมากมายน้อยเท่าใด ส่งผลแทรกซ้อนจากยาหรือไม่ ถ้าหากอาการยังไม่ดีขึ้นควรจะเพิ่มยา prednisoloneขนาดประมาณ 15-30มิลลิกรัมต่อวันแล้วก็ร่วมกับการปรับขนาดยา mestinon ตามอาการ ซึ่งโดยมากคนเจ็บจะใช้ยาขนาดไม่สูงประมาณ 180-240มก.ต่อวัน(3-4 เม็ดต่อวัน) จำนวนมากจะสนองตอบดีต่อยา mestinonและก็ prednisoloneเมื่ออาการจนถึงเป็นปกติระยะเวลาหนึ่งประมาณ 3-6 เดือนเบาๆลดยา prednisoloneลงอย่างช้าๆราวๆ 5มก.ทุกๆเดือนจนหยุดยาพร้อมๆกับ mestinon การลดผลแทรกซ้อนของยา prednisolone โดยการให้ยาวันเว้นวันในคนเจ็บ MG ได้ผลดีเช่นกันแต่ว่าในวันที่คนเจ็บมิได้ยาprednisolone อาจมีลักษณะโรคMG ได้หากกำเนิดกรณีดังที่กล่าวผ่านมาแล้วบางทีอาจจำต้องให้ยาprednisolone5มิลลิกรัม 1 เม็ดในวันดังที่กล่าวมาแล้วคนเจ็บบางรายอาจมีการดำเนินโรคเป็นgeneralized MG โดยมักเกิดขึ้นในปีแรกก็ต้องให้การรักษาแบบ generalizedMG ถัดไป
  • ผู้ป่วยที่มีภาวการณ์กล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรงรอบๆอื่นๆ(Generalized MG) การดูแลและรักษาประกอบด้วยยาmestinon,ยากดภูมิต้านทานแล้วก็การผ่าตัดthymectomyมีแนวทางการปฏิบัติดังต่อไปนี้

o  คนป่วยทุกคนจำเป็นต้องได้รับยา mestinon ขนาดเริ่มต้น 1 เม็ด 3 เวลาหลังรับประทานอาหารแล้วประเมินผลการโต้ตอบว่าดีหรือเปล่า โดยการประเมินตอนยาออกฤทธิ์สูงสุดชั่วโมงที่ 1 รวมทั้ง 2 ข้างหลังกินยารวมทั้งประเมินช่วงก่อนรับประทานยาเม็ดถัดไปเพื่อจะได้รับรู้ว่าขนาดของยาและก็ความถี่ของการกินยาเหมาะสมหรือเปล่าเป็นลำดับสิ่งที่ประเมินเป็นลักษณะของคนไข้ อย่างเช่น อาการลืมตาลำบาก อาการอ่อนกำลัง กล่าวแล้วเสียงแหบควรปรับขนาดยาและก็ความถี่ทุก2-4อาทิตย์  ปริมาณยาจำนวนมากราว 6-8 เม็ดต่อวัน ปริมาณยาสูงสุดไม่ควรเกิน16 เม็ดต่อวัน
o  การผ่าตัด thymectomy คนป่วยgeneralized MG ที่มีอายุน้อยกว่า 45ปีทุกรายควรชี้แนะ ให้ผ่าตัด thymectomy ร้อยละ 90 ของผู้เจ็บป่วยได้ประสิทธิภาพที่ดีโดยประมาณร้อยละ 40 สามารถหยุดยา mestinon ข้างหลังผ่าตัดได้ร้อยละ 50 ลดยา mestinon ลงได้เพียงจำนวนร้อยละ 10 เท่านั้นที่ไม่ได้เรื่อง ตอนที่ผ่าตัดควรทำ ในทีแรกๆของการรักษา
o    การให้ยากดภูมิคุ้มกัน ที่ใช้หลายครั้ง ดังเช่นว่า prednisolone รวมทั้ง azathioprine (immuran)การให้ยาดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วมีข้อบ่งชี้ในกรณี
   การผ่าตัด thymectomyแล้วไม่ได้เรื่อง ช่วงเวลาที่ประเมินว่าการผ่าตัดไม่ได้เรื่องเป็นราว 1 ปี
  ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการผ่าตัดโดยใช้ร่วมกับยา mestinon
   คนเจ็บทีมีภาวะการหายใจล้มเหลวจากการดำเนินโรคที่ร้ายแรง

  • การติดต่อของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เป็นโรคที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติจึงไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนและจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
  • การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)


  • กินยาตามแพทย์แนะนำให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่ขาดยา
  • ใช้ชีวิตประจำวันในการออกแรงให้สม่ำเสมอ เหมือนๆกันในทุกๆวันเพื่อแพทย์จะได้จัดปริมาณยา (Dose) ที่กินได้อย่างถูกต้อง
  • กินอาหารคำละน้อยๆ เป็นอาหารอ่อน เพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อช่องปาก และจะได้ไม่สำลัก ระหว่างกิน
  • มีที่ยึดจับในบ้าน เพื่อช่วยในการลุก นั่ง ยืน เดิน ร่วมกับจัดบ้านให้ปลอดภัย ง่ายแก่การใช้ชีวิตที่ไม่ต้องออกแรงมาก รวมทั้งเพื่อการใช้ชีวิตประจำวัน
  • เมื่อออกนอกบ้านต้องวางแผนล่วงหน้า ไม่รีบร้อน ไม่ออกแรงมากเกินปกติ
  • เมื่อเห็นภาพซ้อน ควรปิดตาข้างที่เกิดอาการ จะช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น
  • มีป้ายติดตัวเสมอว่าเป็นโรคอะไร กินยาอะไร รักษาโรงพยาบาลไหน เพื่อมีอาการฉุกเฉิน คนจะได้ช่วยได้ถูกต้องรวดเร็ว
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน
  • กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน ในปริมาณที่ไม่ทำให้เกิดโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน เพื่อลดการแบกน้ำหนักของกล้ามเนื้อและเพื่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
  • พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัดเสมอ
  • รีบไปโรงพยาบาลฉุกเฉินเมื่อมีอาการทางการหายใจ เช่น หายใจไม่ออก/หายใจลำบาก
  • การป้องกันตนเองจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงยังเป็นโรคที่ไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด และโรคที่มีความสัมพันธ์กันก็ยังเป็นโรคที่ส่วนใหญ่ไม่รู้สาเหตุเช่นกันอาทิ เช่น โรคของต่อมไทมัส และโรคของต่อมไทรอยด์ ดังนั้น ปัจจุบัน จึงยังไม่มีวิธีป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)

    ดังนั้นเมื่อมีอาการดังที่ได้กล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะเมื่อมีหนังตาตกหรือแขนขาอ่อนแรงเฉียบพลัน จึงควรรีบพบแพทย์เสมอ เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่รวดเร็วเหมาะสม ซึ่งจะส่งผลให้การรักษาโรคได้ผลดีจนสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ

  • สมุนไพรที่ช่วยป้องกั[/url] [/i](MG)

    พืชสมุนไพรที่จะช่วยป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) ได้นั้นควรที่จะต้องมี “สารปรับสมดุล” (adaptogens) เพราะโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) นั้นเกิดขึ้นจากภาวะภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติดังนั้น สารปรับสมดุลจึงจำเป็นสำหรับใช้ป้องกันโรคนี้ มีผู้ให้คำจำกัดความของสารปรับสมดุลไว้หลายประการเช่น หมายถึงสารที่เพิ่มความสามารถของร่างกายในการปรับตัวให้เข้ากับความเครียด โดยการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ระบบประสาทสารสื่อประสาท และการทำงานของต่อมต่างๆภายในร่างกาย เพิ่มความทนทานของอวัยวะต่างๆต่อความเครียด พยาธิสภาพและสิ่งแวดล้อม รวมถึงรักษาการทำงานของระบบเมตาบอไลท์ของร่างกายให้ปกติและมีประสิทธิภาพ มีฤทธิ์ในการนำสมดุลกลับคืนสู่ร่างกาย (balancing) และบำรุงร่างกาย (tonic) นอกจากนี้ยังช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของคนเราโดยลดผลที่เกิดจากการถูกกระตุ้นโดยปัจจัยต่างๆโดยเฉพาะความเครียด การอักเสบ และการเกิดออกซิเดชั่น (oxidation)
    พืชสมุนไพรที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในการปรับสมดุลมีหลายชนิดโดยเฉพาะรากของพืชในวงศ์โสม (Araliaceae) ได้แก่ โสมเกาหลี (Panax ginseng) โสมอเมริกัน (Panax quinquefolius) รวมทั้งพืชสมุนไพรอื่นๆ เช่น ผลมะขามป้อม (Emblica officinalis) ต้นปัญจขันธ์ (Gynostemma pentaphyllum) เห็ดหลินจือ (Ganoderma lucidum) รากชะเอมเทศ (Glycyrrhiza glabra) ผลเก๋ากี้ (Lycium chinensis) และถั่งเช่า (Cordyceps sinensis) เป็นต้น สารสำคัญต่างๆในพืชเหล่านี้ที่แสดงฤทธิ์ปรับสมดุลที่มีรายงานนั้นมีหลายกลุ่ม ได้แก่ สารกลุ่มฟีโนลิก (phenolics) เช่น eleutheroside B ในรากของโสม และ ellagic acid ในผลมะขามป้อม สารกลุ่มเทอร์พีนอยด์ (terpenoids) เช่น zeaxanthin ในผลเก๋ากี้ และไตรเทอร์พีนอยด์ซาโปนิน (triterpenoid saponin) เช่น ginsenosides ในรากโสมเกาหลีและโสมอเมริกัน และ glycyrrhizin ในรากชะเอมเทศเป็นต้น
    เอกสารอ้างอิง

  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์
  • รศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า.Common Pittalls in Myasthenia Gravis.วารสารสมาคมประสาทวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.ปีที่6.ฉบับที่3(กรกฎาคม-กันยายน2554).159-168
  • นพ.เกษมสิน ภาวะกุล (2552). Generalized myasthenia gravis. วารสารอายุรศาสตร์อีสาน.ปีที่ 8. 84-91.
  • สมศักดิ์เทียมเก่า, ศิริพร เทียมเก่า, วีรจิตต์โชติมงคล, สุทธิพันธ์จิตพิมลมาศ.ความชุกและลักษณะทางคลินิกของผู้ป่วยmyasthenia gravis อย่างเดียว และ myasthenia gravisที่มี Srinagarind MedJ 1994;9:8-13. http://www.disthai.com/[/b]
  • Anesthesia issues in the perioperative management of myasthenia gravis.Semin Neurol 2004;24:83-94.
  • Drachman, D. (1994). Myasthenia gravis. N Engl J Med. 330,1797-1810.
  • ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอมจี (Myasthenia gravis หรือ MG).หาหมอ.
  • Hughes BW, Moro De Casillas ML,KaminskiHJ.Pathophysiology of myasthenia gravis. Semin Neurol2004;24:21-30
  • Meriggioli MN,Sanders DB. Myasthenia gravis: diagnosis. Semin Neurol 2004;24:31-9.
  • ดร.ปองทิพย์ สิทธิสาร.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน ผักแปม สมุนไพรปรับสมดุล.ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาบัยมหิดล
  • Juel VC. Myasthenia gravis: management of myasthenic crisis and perioperativeSemin Neurol 2004;24:75- 81.
  • Alsheklee, A. et al.(2009) Incidence and mortality rates of myasthenia gravis and myasthenic crisis in US hospitals.Neurology.72, 1548-1554.
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  • Saguil, A. (2005). Evaluation of the patient with muscle weakness. Am Fam Physician. 71, 1327-1336.
141  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคของกินเป็นพิษ - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: มีนาคม 27, 2018, 05:28:52 pm

โรคของกินเป็นพิษ (Food poisoning)

  • โรคอาหารเป็นพิษ เป็นยังไง โรคอาหารเป็นพิษเป็นคำกว้างๆที่ใช้ชี้แจงถึงอาการป่วยที่เกิดขึ้นมาจากการกินอาหาร หรือน้ำที่มีการปนเปื้อน ต้นเหตุอาจเกิดขึ้นเนื่องจากการแปดเปื้อนเชื้อโรคสารเคมี หรือโลหะหนัก อาทิเช่น ตะกั่ว เป็นต้น   ส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง เจ็บท้อง ซึ่งอาการส่วนใหญ่มักไม่ร้ายแรง แต่ว่าแม้เกิดอาการร้ายแรงขึ้นอาจส่งผลให้ร่างกายเกิดภาวะเสียน้ำรวมทั้งเกลือแร่กระทั่งเป็นอันตรายได้ ของกินเป็นพิษเป็นเรื่องใกล้ตัวซึ่งสามารถเกิดขึ้นกับทุกเพศ ทุกวัย ตั้งแต่เด็กจนถึงคนวัยชรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเขตร้อน  โรคของกินเป็นพิษ เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในประเทศที่กำลังพัฒนา แต่ว่าพบได้เรี่ยรายในประเทศที่ปรับปรุงแล้ว โอกาสการเกิดโรคในเพศหญิงและเพศชายเท่ากัน แม้กระนั้นบางทีอาจเจอในเด็กได้สูงยิ่งกว่าวัยอื่นๆเพราะว่าแหล่งอาหารเป็นพิษที่สำคัญเป็นของกินในสถานศึกษา ดังนี้ในประเทศที่กำลังพัฒนาบางประเทศ มีรายงานเด็กกำเนิดอาหารเป็นพิษได้มากถึงราวๆ 5 ครั้งต่อปีเลยที่เดียว
  • สาเหตุของโรคของกินเป็นพิษ โรคของกินเป็นพิษจำนวนมากมีสาเหตุมาจากทานอาหาร แล้วก็/หรือ ดื่มน้ำ/เครื่องดื่มที่ปนเปื้อน แบคทีเรีย รองลงไปหมายถึงไวรัส ยิ่งไปกว่านั้นที่เจอได้บ้างหมายถึงการปนเปื้อนปรสิต (Parasite) ดังเช่น บิดมีตัว(Amoeba) ส่วนการปนเปื้อนของพิษ ที่พบบ่อยหมายถึงจากเห็ดพิษ สารพิษปนเปื้อนในอาหารทะเล สารหนู และก็สารโลหะหนัก มีเชื้อโรคหลายแบบที่สามารถปล่อยสารพิษ (toxin) ออกมาแปดเปื้อนในของกินต่างๆดังเช่น น้ำกิน เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ไข่ นม อาหารทะเล และสินค้าจากนม เนยแข็ง ข้าว ขนมปัง สลัด ผัก ผลไม้ ฯลฯ  เมื่อคนเรารับประทานอาหารที่แปดเปื้อนสารพิษดังที่กล่าวถึงแล้ว ก็จะมีผลให้เกิดอาการปวดท้อง อาเจียน ท้องเสีย  พิษหลายอย่างทนต่อความร้อน แม้จะทำกับข้าวให้สุกแล้ว สารพิษก็ยังคงอยู่แล้วก็นำมาซึ่งโรคได้  ระยะฟักตัวขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อโรค บางชนิดมีระยะฟักตัว 1-8 ชั่วโมง บางจำพวก 8-16 ชั่วโมง บางประเภท 8-48 ชั่วโมง  โดยเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของโรคของกินเป็นพิษที่พบได้ทั่วไปในของกินหมายถึง
Clostridium botulinum เป็นแบคทีเรีย anaerobic ที่เป็น gram positive ที่พบได้ในดินแล้วก็น้ำในสภาพแวดล้อมทั่วไป ประเภทซึ่งสามารถก่อโรคในคนแบ่งได้เป็น

  • Proteolytic strain ประกอบด้วย type A ทั้งหมดทั้งปวง และนิดหน่อยของ type B และ F แบคทีเรียกลุ่มนี้ย่อยอาหารได้ และทำให้ของกินมีลักษณะถูกแปดเปื้อน
  • Non-proteolytic strain มี type E ทั้งผอง และเล็กน้อยของ type B แล้วก็ F แบคทีเรียกลุ่มนี้ไม่ทำให้อาหารมีลักษณะเปลี่ยนแปลง

เชื้อนี้เจริญเติบโตก้าวหน้าในสภาพการณ์โอบล้อมที่มีออกสิเจนน้อย ก็เลยพบบ่อยในอาหารบรรจุในภาชนะที่ปิดสนิท โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์บรรจุกระป๋องที่ผ่านขั้นตอนการผลิตผิดถูกหลักอนามัย ได้แก่ หน่อไม้ปี๊บ หน่อไม้ดอง ผักกาดดอง รวมทั้งผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ดัดแปลง พิษที่สร้างขึ้นมาจากเชื้อประเภทนี้กระตุ้นให้เกิดอาการอ้วก ถ่ายท้อง ตาฟางมัว มองเห็นภาพซ้อน กล้ามอ่อนเพลีย รวมทั้งครั้งคราวรุนแรงจนถึงบางทีอาจเกิดภาวะหายใจล้มเหลวรวมทั้งเสียชีวิตได้
Vibrio parahaemolyticus ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ถูกใจเกลือเข้มข้นสูงสำหรับเพื่อการเจริญวัย (halophilic vibrio) มีแอนติเจนโอ ("O" antigen) แตกต่างกัน 12 ชนิด และมีแอนติเจนเค ("K" antigen) ที่ตรวจได้แล้วเวลานี้มี 60 จำพวก พบได้บ่อยในอาหารทะเลที่ดิบหรือปรุงไม่สุกพอเพียง
Bacillus cereus เป็นเชื้อที่ไม่ได้อยากต้องการออกซิเจน สร้างสปอร์ได้ มีสารพิษ 2 จำพวกเป็น ชนิดที่ทนต่อความร้อนได้ ทำให้มีการเกิดอ้วก รวมทั้งชนิดที่ทนไฟไม่ได้กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการ อุจจาระตกส่วนใหญ่พบเกี่ยวเนื่องกับข้าว (อย่างเช่น ข้าวผัดในร้านแบบบริการตัวเอง) ผักและของกินและเนื้อที่รักษาผิดจำต้อง ณ.อุณหภูมิห้องหลังจากปรุงแล้ว
S.aureus หลายชนิดที่สร้างสารพิษ (enterotoxin) ซึ่งคงทนต่ออุณหภูมิที่จุดเดือด เชื้อชอบแบ่งตัวเพิ่มในอาหารรวมทั้งสร้าง toxin ขึ้น ของกินที่มี enterotoxin ส่วนมากเป็นอาหารที่ปรุงและก็สัมผัสกับมือของผู้ปรุงอาหาร และไม่ได้กระทำการอุ่นของกินด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสมก่อนกินอาหาร หรือแช่ตู้เย็น อย่างเช่น ขนมจีน ของหวานเอ แคลร์ เนื้อ เมื่อของกินกลุ่มนี้ถูกทิ้งในอุณหภูมิปกติหลายชั่วโมงติดต่อกันก่อนนำไปบริโภค ทำให้เชื้อสามารถแบ่งตัวแล้วก็สร้างพิษที่ทนต่อความร้อนออกมา
ซาลโมเนลลา (Salmonella) พบบ่อยในเนื้อสัตว์ดิบ ไข่ดิบ นม และก็สินค้าที่ทำมาจากนม ทำให้เกิดอาการท้องเสีย ถ่ายมีมูก อ้วก อาเจียน จับไข้ ข้างใน 4-7 วัน
เอสเชอริเชีย โคไล (Escherichia coli) หรือเรียกสั้นๆว่า อีโคไล (E. coli) อี.โคไลเป็นแบคทีเรียรูปแท่งย้อมติดสีกรัมลบ มันมีพิษกระตุ้นให้เกิดอาการท้องร่วง  อี.โคไลมีสารพิษ 2 ประเภท ประเภทหนึ่งเป็นสารที่มีโมเลกุลใหญ่แล้วก็ถูกทำลายให้หมดไปด้วยกระบวนการทำให้อาหารสุก แม้กระนั้นอีกชนิดหนึ่งที่มันผลิตออกมาพร้อมเพียงกันนั้น มีโมเลกุลที่เล็กมากยิ่งกว่า และก็เป็นสารทนไฟที่ไม่อาจจะทำลายได้ด้วยความร้อน พิษทั้งสองประเภทมีผลทำให้ท้องเสียสิ่งเดียวกัน เพราะฉะนั้นถ้าเกิดอาหารปนเปื้อนสารพิษนี้แล้วไม่ว่าจะทำให้สุกก่อนหรือเปล่า ก็จะไม่มีทางทำลายสารพิษของมันให้หมดไปได้ มีทางเดียวที่จะปกป้องได้ก็คือทิ้งอาหารนั้นไปเสีย
ชิเกลล่า (Shigella) เจอการแปดเปื้อนอีกทั้งในผลิตภัณฑ์อาหารสดและน้ำกินที่ไม่สะอาด รวมถึงอาหารสดที่สัมผัสกับบุคคลที่มีเชื้อโดยตรง เพราะเชื้อประเภทนี้สามารถกระจัดกระจายจากบุคคลหนึ่งไปสู่บุคคลหนึ่งได้ กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการคลื่นไส้ คลื่นไส้ ปวดมวนท้อง ตอนหลังการรับประทานอาหารภายใน 7 วัน
ไวรัสก่อโรคผ่านทางเดินอาหาร (Enteric Viruses) ประกอบด้วยไวรัสหลายประเภท ดังเช่น เชื้อไวรัสโนโร (Norovirus) ที่มักจะปนเปื้อนทั้งยังในผลิตภัณฑ์อาหารสด สัตว์น้ำชนิดมีเปลือก แล้วก็น้ำที่ไม่สะอาด ออกอาการด้านใน 1-2 วัน หรือเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ (Hepatitis A) ซึ่งสามารถติดต่อด้วยการได้รับเชื้อจากอาหารสดที่สัมผัสกับบุคคลที่มีเชื้อโดยตรง ภายใน 2-3 สัปดาห์

  • ลักษณะของโรคอาหารเป็นพิษ ของกินเป็นพิษจากเชื้อโรคต่างๆจะมีลักษณะอาการคล้ายๆกันเป็นปวดท้องในลักษณะปวดบิดเป็นตอนๆอ้วก (ซึ่งมักมีเศษอาหารที่เป็นสาเหตุออกมาด้วย) แล้วก็ถ่ายเป็นน้ำบ่อยครั้ง บางรายอาจมีไข้รวมทั้งอ่อนแรงร่วมด้วย โดยธรรมดา 80 – 90 % ของโรคของกินเป็นพิษมักจะไม่รุนแรง อาการต่างๆชอบหายได้เองข้างใน ๒๔-๔๘ ชั่วโมง บางจำพวกอาจนานถึงอาทิตย์ ในรายที่เป็นร้ายแรง บางทีอาจอาเจียนแล้วก็ท้องเดินร้ายแรง จนถึงร่างกายขาดน้ำรวมทั้งเกลือแร่อย่างหนักได้  อาจพบว่า ผู้ที่รับประทานอาหารด้วยกันกับคนป่วย (เป็นต้นว่า งานเลี้ยง คนภายในบ้านที่กินอาหารชุดเดียวกัน) ก็มีลักษณะแบบเดียวกับผู้ป่วยในเวลาไล่เลี่ยกัน

ซึ่งเมื่อเชื้อโรค หรือ สารพิษไปสู่ร่างกาย จะก่ออาการ เร็ว หรือ ช้า  ขึ้นกับชนิด และปริมาณของเชื้อ หรือ ของสารพิษ ซึ่งพบเกิดอาการได้ตั้งแต่ 2-6 ชั่วโมงหลังกินอาหาร/ดื่มน้ำ ไปจนถึงเป็นวัน หรือ อาทิตย์ หรือ เป็นเดือน (ได้แก่ ในไวรัสตับอักเสบ เอ) แม้กระนั้นโดยทั่วไป มักพบเกิดอาการภายใน 2-6 ชั่วโมง หรือ 2-3วัน  อาการโดยธรรมดาที่พบได้มาก จากโรคของกินเป็นพิษ ได้แก่ ท้องเดิน อาจเป็นน้ำ มูก หรือ มูกเลือด ปวดท้อง อาจมาก หรือ น้อย ขึ้นกับความรุนแรงของโรค มักเป็นการปวดบิด เนื่องจากว่าการบีบตัวของลำไส้ อ้วก อ้วก ในบางรายอาจมีอ้วกเป็นเลือดได้  เป็นไข้สูง บางทีอาจหนาวสั่น แม้กระนั้นบางคราวเป็นไข้ต่ำได้  ปวดศีรษะ เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวเนื้อตัว อาจปวดข้อ ขึ้นอยู่กับจำพวกของเชื้อหรือ สารพิษดังที่กล่าวถึงแล้วแล้ว  อาจมีผื่นขึ้นตามเนื้อตัว  อาจมีกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นแล้วเหมือนกัน  มีอาการของการสูญเสียน้ำในร่างกาย  ตัวอย่างเช่น เหน็ดเหนื่อย  เหนื่อยง่าย  ปากแห้ง ตาโบ๋  เยี่ยวบ่อย

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่นำมาซึ่งโรคอาหารเป็นพิษ
  • มีพฤติกรรมการดูแลรักษาสุขลักษณะผิดจำเป็นต้อง เป็นต้นว่า ก่อนที่จะกินอาหารให้ล้างมือให้สะอาด
  • การบริโภคของกินที่ไม่ถูกความถูกอนามัย ได้แก่ บริโภคของกินดิบๆสุกๆบริโภคอาหารที่ไม่มีการปิดบังจากแมลงต่างๆให้มิดชิดการรับประทานอาหารที่ค้างและไม่มีการอุ่นโดยผ่านความร้อนที่สมควร
  • การจัดเก็บรวมทั้งเตรียมอาหารเพื่อปรุงไม่สะอาด อาทิเช่นการเก็บเนื้อสัตว์รวมทั้งผักไว้ในที่เดียวกันโดยไม่แยกเก็บ ล้างทำความสะอาดผักไม่สะอาดทำให้มีสารเคมีหรือยาฆ่าแมลงคงเหลืออยู่ที่ผัก
  • การรักษาของกินที่บูดเสียง่ายไม่ดีพอเพียง ดังเช่นว่า อาหารประเภทแกงน้ำกะทิ อาหารทะเล  อาหารสด  ควรเก็บรักษาไว้ในตู้แช่เย็นที่มีอุณหภูมิที่สมควร มีความเย็นทั่วถึงฯลฯ
  • การเลือดซื้ออาหารกระป๋องที่มิได้มาตรฐาน เป็นต้นว่า อาหารบรรจุกระป๋องที่มีรอยบุบ รอยบุบ  อาหารบรรจุกระป๋องที่มีคราบเปื้อนสนิมรอบๆฝาเปิดหรือขอบกระป๋อง ฯลฯ
  • กรรมวิธีการรักษาโรคของกินเป็นพิษ หมอจะวินิจฉัยจากอาการแสดงของคนป่วยเป็นหลัก ดังเช่นว่า อาการปวดท้อง อาเจียน ถ่ายเป็นน้ำ ซึ่งเกิดขึ้นฉับพลัน อาจมีประวัติว่าผู้ที่กินอาหารร่วมกันบางคนหรือหลายท่าน (ดังเช่น งานสังสรรค์ คนในบ้าน) มีอาการท้องร่วงในเวลาไล่เลี่ยกัน  ในรายที่มีลักษณะอาการร้ายแรง เป็นไข้สูง หรือสงสัยว่าเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากมูลเหตุอื่น แพทย์บางทีอาจกระทำการตรวจพิเศษเพิ่มอีกดังเช่นว่า  การวิเคราะห์เลือด ใช้ในเรื่องที่คนป่วยมีอาการร้ายแรงมากยิ่งกว่าอาการอ้วกและท้องร่วง หรือมีภาวะการขาดน้ำและเกลือแร่ เพื่อตรวจค้นปริมาณเกลือแร่ (หรืออิเล็กโทรไลต์) ในเลือดและลักษณะการทำงานของไต หรือในกรณีเสี่ยงต่อการติดต่อของเชื้อไวรัสตับอักเสบ อาจมีการตรวจการดำเนินการของตับเพิ่ม  การตรวจอุจจาระเพื่อค้นหาประเภทของเชื้อโรคด้วยการส่องกล้องกล้องจุลทรรศน์เมื่อคนไข้มีการติดเชื้อโรคในระบบทางเดินอาหาร ยกตัวอย่างเช่น แบคทีเรีย เชื้อไวรัส เชื้อรา หรือเชื้อปรสิตที่ส่งผลให้เกิดอาการถ่ายเป็นเลือด

ทั้งนี้การตรวจในห้องปฏิบัติการเพื่อค้นหาสิ่งที่ทำให้เกิดของกินเป็นพิษยังทำได้ด้วยกรรมวิธีการตรวจจำนวนแอนติบอดีในเลือด (Immunological tests) หรือวิธีอื่นๆได้อีก ซึ่งขึ้นอยู่กับอาการของผู้เจ็บป่วยและก็ดุลยพินิจของหมอ เพื่อดำเนินการรักษาอย่างถูกต้องในลำดับต่อไป   
กระบวนการรักษาโรคของกินเป็นพิษ ที่สำคัญที่สุด คือ รักษาประคับ ประคับประคองตามอาการ อย่างเช่น คุ้มครองภาวการณ์ขาดน้ำและขาดสมดุลของเกลือแร่ซึ่งการดูแลและรักษาโดยให้น้ำเกลือทางเส้นเลือดเมื่อท้องเสียมาก ยาแก้ปวด ยาที่ช่วยบรรเทาอาการอ้วก อ้วก และยาลดไข้ ยิ่งไปกว่านั้น คือ การรักษาตามต้นเหตุ ดังเช่นว่าพินิจพิเคราะห์ให้ยาปฏิชีวนะ เมื่อเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากติดเชื้อแบคทีเรีย หรือ ให้ยาต้านพิษถ้าเป็นจำพวกมียาต่อต้าน แต่ว่าคนเจ็บส่วนมากมักมีลักษณะที่ดียิ่งขึ้นได้ด้วยการดูแลตัวเองที่บ้าน สิ่งจำเป็นที่สุดหมายถึงจำเป็นต้องพยายามอย่าให้ร่างกายขาดน้ำ ควรจะดื่มน้ำไม่มากๆหรือจิบน้ำเสมอๆเพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำจากอาการท้องเดินแล้วก็อาเจียนมากเกินไป

  • การติดต่อของโรคของกินเป็นพิษ โรคอาหารเป็นพิษ เป็นโรคที่มีการรับเชื่อมาจากการรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อนของเชื้อโรคหรือ สารเคมี หรือโลหะหนัก ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีเชื้อไวรัสบางชนิดเพียงแค่นั้น ซึ่งสามารถเป็นสาเหตุของการติดต่อของโรคอาหารเป็นพิษได้ ดังเช่นว่า เชื้อไวรัสตับอักเสบ A (Hepatitis A)  ซึ่งสามารถติดต่อด้วยการได้รับเชื้อจากอาหารสดที่มีการสัมผัสโดยตรงกับบุคคลที่มีเชื้อ ซึ่งมีระยะฟักตัว โดยประมาณ 2 – 3 อาทิตย์ แล้วลักษณะโรคจะปรากฏขึ้น
  • การปฏิบัติตนเมื่อป่วยด้วยโรคของกินเป็นพิษในคนแก่และก็เด็กโต
  • ถ้าหากปวดท้องร้ายแรง ถ่ายท้องร้ายแรง (อุจจาระเป็นน้ำครั้งละมากมายๆ) อ้วกรุนแรง (จนกระทั่งดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่หรือน้ำข้าวต้มมิได้) เมื่อยืนขึ้นนั่งมีลักษณะอาการหน้ามืดเป็นลมเป็นแล้ง หรือมีภาวการณ์ขาดน้ำรุนแรง (ปากแห้ง คอแห้ง ตาโบ๋ ฉี่ออกน้อย ชีพจรเต้นเร็ว) จำต้องไปพบหมอโดยเร็วที่สุด
  • ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ บางทีอาจใช้ผงน้ำตาลเกลือแร่ ประเภทสำเร็จรูปที่มีขายในตลาด หรืออาจผสมเองโดยใช้น้ำสุก 1 ขวดกลมใหญ่ (750 มิลลิลิตร) ใส่น้ำตาลทราย 30 มล. (เท่ากับช้อนยาเด็ก 6 ช้อน หรือช้อนกินข้าวประเภทสั้น 3 ช้อน) รวมทั้งเกลือป่น 2.5 มล. (พอๆกับช้อนยาครึ่งช้อน หรือช้อนยาวที่ใช้คู่กับซ่อมแซมครึ่งช้อน)อุตสาหะดื่มบ่อยๆทีละ 1 ใน 3 หรือครึ่งแก้ว (อย่าดื่มมากกระทั่งอ้วก) ให้ได้มากเท่ากับที่ถ่ายออกไป โดยพินิจปัสสาวะให้ออกมากมายรวมทั้งใส
  • ถ้าเกิดจับไข้ ให้ยาลดไข้-พาราเซตามอล
  • ให้รับประทานอาหารอ่อน ยกตัวอย่างเช่น ข้าวต้ม โจ๊ก งดเว้นอาหารรสเผ็ดรวมทั้งย่อยยาก งดผักแล้วก็ผลไม้ ตราบจนกระทั่งอาการจะหายดีแล้ว
  • ห้ามกินยาเพื่อหยุดอึ เนื่องจากว่าอาการท้องเดินจะช่วยขับเชื้อหรือพิษออกมาจากร่างกาย

ในขณะปวดท้อง หรือ คลื่นไส้อ้วก ไม่สมควรกินอาหาร หรือ กินน้ำด้วยเหตุว่าอาการจะร้ายแรงขึ้น   ดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละมากมายๆอย่างน้อย 8-10 แก้ว เมื่อแพทย์ไม่สั่งให้ จำกัดน้ำดื่ม  พักให้มากมายๆรักษาสุขอนามัยฐานราก เพื่อคุ้มครองปกป้องการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น ที่สำคัญเป็นการล้างมือให้สะอาดเสมอ โดยเฉพาะหลังการขับ ถ่าย แล้วก็ก่อนที่จะรับประทานอาหาร

  • ควรจะรีบไปหาหมอ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งต่อแต่นี้ไป                คลื่นไส้มาก ถ่ายท้องมากมาย รับประทานไม่ได้ หรือดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ไม่ได้ หรือได้น้อย จนมีสภาวะขาดน้ำค่อนข้างรุนแรง                มีอาการถ่ายเป็นมูก หรือมูกปนเลือดตามมา             มีอาการหนังตาตก ชารอบปาก แขนขาเหน็ดเหนื่อย หรือหายใจลำบาก          อาการไม่ทุเลาภายใน ๔๘ ชั่วโมง   มีลักษณะเรื้อรัง หรือน้ำหนักลดฮวบฮาบ                สงสัยเป็นผลมาจากสารพิษ เช่น สารเคมี พืชพิษ สัตว์พิษ        สงสัยมีต้นเหตุจากอหิวาตกโรค ได้แก่ สัมผัสผู้ที่เป็นอหิวาต์ หรืออยู่ในถิ่นที่กำลังมีการระบาดของโรคนี้ ในเด็กตัวเล็กๆ (อายุน้อยกว่า ๕ ขวบ)
  • ถ้าเกิดดื่มนมแม่อยู่ ให้ดื่มนมแม่ต่อไป (ถ้าดื่มนมผสมอยู่ ให้ชงเจือจางเท่าตัวรวมทั้งดื่มต่อไป) และก็ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ หรือน้ำข้าวต้มใส่เกลือเพิ่มอีก เมื่อมีลักษณะอาการดียิ่งขึ้น ให้ทานอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย (ยกตัวอย่างเช่น ข่าวสารต้ม) ไม่ต้องให้ยาที่ใช้แก้ท้องเดินประเภทใดทั้งนั้น
  • หากถ่ายท้องรุนแรง อาเจียนรุนแรง ดื่มนมหรือน้ำมิได้ ซึม กระวนกระวาย ตาโบ๋ กระหม่อมบุบมากมาย (ในเด็กเล็ก) หายใจหอบแรง หรืออาการกำเริบใน ๒๔ ชั่วโมง จะต้องไปพบหมอโดยด่วน
  • การปกป้องคุ้มครองตนเองจากโรคอาการเป็นพิษ วิธีการป้องกัน การปกป้องและควบคุมโรคอาหารเป็นพิษทุกต้นสายปลายเหตุมีมาตรการป้องกันโดยใช้กฎหลัก 10 ประการในการเตรียมอาหารที่ปลอดภัย ดังต่อไปนี้
  • เลือกอาหารที่ผ่านการเตรียมเป็นอย่างดี
  • ปรุงอาหารที่สุก
  • ควรจะกินอาหารที่สุกใหม่ๆ
  • ระแวดระวังอาหารที่ปรุงสุกแล้วอย่าให้มีการปนเปื้อน
  • ของกินที่ค้างมื้อจำเป็นต้องทำให้สุกใหม่ก่อนกิน
  • แยกอาหารดิบรวมทั้งของกินสุก ให้ระมัดระวังการปนเปื้อน
  • ล้างมือก่อนแตะต้องของกินเข้าสู่ปาก
  • ให้ประณีตบรรจงเรื่องความสะอาดของห้องครัว
  • เก็บอาหารให้ปลอดภัยจากแมลง หนู หรือสัตว์อื่นๆ
  • ใช้น้ำสะอาด
  • ไม่รับประทานกึ่งสุกกึ่งดิบระวังการกินเห็ดต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งจำพวกที่ไม่เคยรู้ รอบคอบการกินอาหารทะเลเสมอ ระวังความสะอาดของน้ำแข็ง
  • เมื่อกินอาหารนอกบ้าน เลือกร้านค้าที่สะอาด เชื่อใจได้
  • เนื้อสัตว์ ปลาสด ในตู้แช่เย็น จำเป็นต้องเก็บแยกจากของกินอื่นๆทุกชนิด และต้องอยู่ในภาชนะปิดมิดชิด เพราะเชื้อแบคทีเรียส่วนมาก จะอยู่ในอาหารสดเหล่านี้
  • ไม่ละลายอาหารสดแช่แข็งด้วยการตั้งทิ้งเอาไว้ หรือ แช่น้ำ เนื่องจากเป็นการเพิ่มปริมาณเชื้อโรคจากอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรค ควรจะละลายด้วยไมโครเวฟ
  • รักษาความสะอาดของผักสด เป็นต้นว่า ถั่วงอก สลัด และอาหารสำเร็จรูปต่างๆ
  • การถนอมอาหารอย่างแม่นยำ ทำให้ของกินเป็นกรดที่มี pH < 4.5 หรือให้ความร้อนสูงแล้วก็นานพอเพียงเพื่อทำลาย toxin และการแช่แข็งเพื่อรักษาอาหารเป็นระยะเวลานาน
  • หากของกินมีลักษณะแตกต่างจากปกติดังเช่น กระป๋องโป่ง หรือเสียหาย หรือมีรสไม่ดีเหมือนปกติ อาจมี fermentation เป็นความเสี่ยงต่อการนำโรค
  • บริโภคอาหารกระป๋องที่ผ่านความร้อนพอเพียงที่จะทำลาย toxin ทุกหน
  • สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองป้องกัน/ทุเลาลักษณะโรคอาหารเป็นพิษ
ขิง  ในขิงนั้นจะมีสาระสำคัญที่ออกฤทธิ์ ชื่อ “Gingerol” (จิงเจอรอล) มีคุณประโยชน์ช่วยทุเลาลักษณะของการปวดท้อง ท้องขึ้น ท้องอืด สามารถใช้ได้โดยสวัสดิภาพในมารดาที่ให้นมบุตรได้ดิบได้ดีและก็ปลอดภัยกว่ายาขับลมอื่นๆอีก    นอกเหนือจากนั้นในกรณีที่ท้องเสีย การกินน้ำขิงจะช่วยให้การอักเสบที่เกิดจากพิษของเชื้อโรคลดลง รวมทั้งยังช่วยขับเชื้อโรคอีกด้วย แต่อย่างไรก็ดี แม้ว่าอาการท้องเสียมีความร้ายแรงก็ควรรีบไปพบหมอ
กระชา[/b]  สรรพคุณ  เหง้าใต้ดิน – มีรสเผ็ดร้อนขม แก้ปวดท้อง  เหง้าและราก – แก้บิดมูกเลือด เป็นยาขับฉี่ แก้เยี่ยวทุพพลภาพ
มังคุด  คุณประโยชน์  รักษาโรคท้องร่วงเรื้อรัง และก็โรคไส้  ยาแก้ท้องเดิน ท้องร่วงยาแก้บิด (ปวดเบ่งและมีมูก และอาจมีเลือดด้วย) เป็นยาคุมธาตุ  ยาแก้อาการท้องเดิน ท้องเสีย  ใช้เปลือกผลมังคุดตากแห้งต้มกับน้ำปูนใส หรือฝนกับน้ำกิน ใช้เปลือกต้มน้ำให้เด็กกินทีละ 1-2 ช้อนชา ทุก 4 ชั่วโมง ผู้ใหญ่ทีละ 1 ช้อนโต๊ะ ทุก 4 ชั่วโมง  ยาแก้บิด (ปวดเบ่งและมีมูกและก็อาจมีเลือดด้วย)
ใช้เปลือกผลแห้งราว ½ ผล (4 กรัม) ปิ้งไฟให้เกรียม ฝนกับน้ำปูนใสโดยประมาณครึ่งแก้ว หรือบดเป็นผุยผง ละลายน้ำสุก รับประทานทุก 2 ชั่วโมง
เอกสารอ้างอิง



Tags : โรคอาหารเป็นพิษ
142  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคบาดทะยัก- อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: มีนาคม 27, 2018, 01:38:10 pm

โรคบาดทะยัก (Tetanus)

  • โรคบาดทะยักเป็นอย่างไร โรคบาดทะยักเป็นโรคติดโรคที่จัดอยู่ในกรุ๊ปของโรคทางประสาทแล้วก็กล้าม เป็นโรคติดเชื้อโรคแบคทีเรียที่มีอันตรายร้ายแรง สามารถเจอได้ในคนทุกวัย โดยมากคนป่วยจะมีประวัติมีบาดแผลตามร่างกาย ที่มีบาดแผลสกปรก หรือขาดการดูแลแผลอย่างแม่นยำ ซึ่งความสำคัญของโรคนี้คือ ผู้เจ็บป่วยจะมีโอกาสเสียชีวิต ส่วนเคยเป็นโรคนี้กาลครั้งหนึ่งและจากนั้นก็ยังสามารถเป็นซ้ำได้อีก แต่ว่าตอนนี้โรคนี้สามารถปกป้องได้ด้วยการฉีดยา

    โรคบาดทะยัก (Tetanus) คำว่า Tetanus มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกคือ Teinein ซึ่งแปลว่า ‘ยืดออก’ ที่เรียกแบบนี้ เพราะเหตุว่าคนป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีการหดตัวแล้วก็แข็งเกร็งตัวของกล้ามเนื้อเกิดขึ้นทั่วตัว โดยที่ทำให้แผ่นหลังมีการยืดตัวออก ซึ่งเป็นลีลาที่เป็นแบบอย่างเฉพาะโรค   ผู้เจ็บป่วยจะมีอาการเด่นเป็นอาการกล้ามเกร็ง โดยมากการเกร็งจะเริ่มต้นที่กล้ามเนื้อกราม และก็ลุกลามไปยังกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆการเกร็งแต่ละครั้งมักเป็นอยู่ไม่กี่นาที และเกิดขึ้นบ่อยๆเป็นเวลา 3-4 สัปดาห์ รวมทั้งอาจมีอาการอื่นที่อาจเจอร่วม ดังเช่น ไข้ เหงื่อออก ปวดหัว กลืนทุกข์ยากลำบาก ความดันโลหิตสูง และหัวใจเต้นเร็ว  บาดทะยักเป็นโรคที่เจอได้ทั่วทั้งโลก แม้กระนั้นพบได้บ่อยบ่อยมากในพื้นที่ที่มีภูมิอากาศแบบร้อนเปียกชื้น ซึ่งมีดินและก็สารอินทรีย์อยู่มากในปี พุทธศักราช 2558 มีรายงานว่ามีคนป่วยโรคบาดทะยักประมาณ 209,000 คนรวมทั้งเสียชีวิตราว 59,000 คนทั่วโลก  การบรรยายถึงโรคนี้เอาไว้โบราณตั้งแต่ยุคหมอกรีกชื่อฮิปโปกราเตสเมื่อ 500 ปีกลายคริสตกาล ที่มาของโรคถูกค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2427 โดย Antonio Carle แล้วก็ Giorgio Rattone แห่งมหาวิทยาลัยทูริน ส่วนวัคซีนถูกทำขึ้นทีแรกเมื่อ พ.ศ. 2467

  • ที่มาของโรคบาดทะยัก มีต้นเหตุจากเชื้อ Clostridium tetani  ตัวเชื้อมีลักษณะเป็นรูปแท่งที่ปลายมีสปอร์ (Spore) ซึ่งเป็น anaerobic bacteria ย้อมติดสีแกรมบวก มีคุณสมบัติที่จะอยู่ในรูปแบบของสปอร์ (spore) ที่คงทนต่อความร้อนและยาฆ่าเชื้อหลายแบบสามารถสามารถสร้าง exotoxin ที่ไปจับรวมทั้งเป็นพิษต่อระบบประสาท  ที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้มีการหดเกร็งตัวอยู่ตลอดเวลา เริ่มต้นกล้ามขากรรไกรจะเกร็ง ทำให้อ้าปากไม่ได้โรคนี้ก็เลยมีชื่อเรียกหนึ่งว่า โรคขากรรไกรแข็ง (lockjaw) ผู้ป่วยจะมีคอแข็ง ข้างหลังแข็ง ถัดไปจะมีลักษณะอาการเกร็งของกล้ามทั่วตัว และก็มีลักษณะชักได้  เชื้อนี้จะอยู่ตามดินทรายและมูลสัตว์ สามารถมีชีวิตอยู่แรมปีและรุ่งโรจน์ได้ดีในที่ที่ไม่มีออกสิเจน โดยจะสร้างสปอร์หุ้มตนเอง มีความคงทนต่อน้ำเดือด 100 องศา ได้นานถึง 1 ชั่วโมง อยู่ในสภาพที่ไม่มีแสงสว่างได้นานถึง 10 ปี เมื่อมนุษย์เราเกิดบาดแผลที่ปนเปื้อนถูกเชื้อโรคนี้ เช่น เลอะเทอะถูกดินปนทรายหรือมูลสัตว์ โดยเฉพาะบาดแผลที่ปากแผลแคบแม้กระนั้นลึก เช่น ตะปูตำ ลวดหรือหนามตำเกี่ยว ไม้ทิ่มแทง ฯลฯ (ซึ่งมีออกสิเจนน้อย เหมาะกับการเจริญของเชื้อบากทะยัก) เชื้อโรคก็จะกระจัดกระจายไปสู่ร่างกายแล้วปลดปล่อยสารพิษที่มีชื่อว่า เตตาโนสปาสมิน (Tetanospasmin) ออกมาทำลายระบบประสาท นำมาซึ่งอาการของโรคที่กล้ามเนื้อทั่วร่างกาย
  • ลักษณะโรคบาดทะยัก ภายหลังได้รับเชื้อ Clostridium tetani สปอร์ที่เข้าไปตามรอยแผลจะกระจายตัวออกเป็น vegetative form ซึ่งจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนรวมทั้งผลิต exotoxin ซึ่งจะกระจายจากแผลไปยังปลายประสาทที่แผ่กระจายอยู่ในกล้าม นำไปสู่ความผิดแปลกสำหรับการควบคุมการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ระยะจากที่เชื้อไปสู่ร่างกายจนถึงกำเนิดอาการเริ่มต้น คือ มีอาการขากรรไกรแข็ง ที่เรียกว่าระยะฟักตัวของโรคประมาณ 3-28 วัน แต่ว่าโดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ราวๆ 8 วัน โดยสามารถแบ่งได้ 2 กลุ่มเป็น
  • บาดทะยักในทารกแรกเกิดอาการชอบเริ่มเมื่อทารกอายุราว 3-10 วัน อาการแรกที่จะสังเกตได้คือ เด็กดูดนมตรากตรำ ไหมค่อยดูดนม ทั้งนี้เพราะมีขากรรไกรแข็ง อ้าปากมิได้ ถัดมาเด็กจะดูดมิได้เลย หน้ายิ้มแสยะ (Risus sardonicus หรือ Sardonic grin) เด็กบางทีอาจร้องครวญคร่ำถัดมาจะมีมือ แขน และก็ขาเกร็ง ข้างหลังแข็งรวมทั้งแอ่น ถ้าเกิดเป็นมากจะมีลักษณะชักกระดุกแล้วก็หน้าเขียวอาการเกร็งหลังแข็งและหลังแอ่นนี้จะเป็นมากขึ้น หากมีเสียงดังหรือเมื่อสัมผัสตัวเด็ก อาการเกร็งชักกระดุกถ้าเกิดเป็นถี่ๆเยอะขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้เด็กหน้าเขียวมากเพิ่มขึ้น เกิดอันตรายถึงตายได้น่าฟังขาดออกซิเจน
  • โรคบาดทะยักในเด็กโตหรือคนแก่ เมื่อเชื้อเข้าทางบาดแผล ระยะฟักตัวของโรคก่อนที่จะมีอาการโดยประมาณ 5-14 วัน บางรายบางทีอาจนานถึง 1 เดือน หรือนานกว่านั้นได้ กระทั่งบางโอกาสบาดแผลที่เป็นปากทางเข้าของเชื้อโรคบาดทะยักหายไปแล้ว อาการเริ่มแรกที่จะพินิจพบเป็น ขากรรไกรแข็ง อ้าปากมิได้ มีคอแข็ง ต่อจากนี้ 1-2 วัน ก็จะเริ่มมีลักษณะเกร็งแข็งในส่วนอื่นๆของร่างกายคือ หลัง แขน ขา เด็กจะยืนรวมทั้งเดินข้างหลังแข็ง แขนเหยียดเกร็งให้ก้มข้างหลังจะทำไม่ได้ หน้าจะมีลักษณะเฉพาะคล้ายยิ้มแสยะและก็ระยะถัดไปก็อาจจะมีอาการกระตุกเหมือนกันกับในทารกแรกคลอด ถ้ามีเสียงดังหรือจับต้องตัวจะเกร็ง และกระดุกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีหลังแอ่น และหน้าเขียว บางทีมีลักษณะร้ายแรงมากอาจจะก่อให้มีการหายใจลำบากถึงตายได้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคบาดทะยัก  อาการชักของกล้ามเนื้ออย่างหนักของโรคบาดทะยักที่เกิดขึ้นอาจจะก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงต่อแต่นี้ไปตามมา

  • จังหวะการเต้นของหัวใจไม่ดีเหมือนปกติ
  • สมองเสียหายจากการขาดออกสิเจน
  • กระดูกสันหลังรวมทั้งกระดูกส่วนอื่นๆหักจากกล้ามที่เกร็งมากมายแตกต่างจากปกติ
  • มีการติดเชื้อที่ปอดจนกระทั่งเกิดปอดบวม
  • ไม่สามารถหายใจได้ เนื่องด้วยการชักเกร็งของเส้นเสียงรวมทั้งกล้ามเนื้อที่ใช้หายใจ
  • การต่อว่าดเชื้ออื่นๆแทรกซ้อนที่บางทีอาจเกิดขึ้นระหว่างการพักฟื้นหรือรักษาตัวจากโรคบาดทะยักในโรงหมอตรงเวลาหลายสัปดาห์ถึงนับเป็นเวลาหลายเดือน

การตำหนิดเชื้อโรคโรคบาดทะยักบางทีอาจรุนแรงถึงกับตาย โดยสาเหตุของการเสียชีวิตจากโรคนี้โดยมากเป็นผลมาจากสภาวะหายใจล้มเหลว ส่วนสาเหตุอื่นที่นำไปสู่การตายได้เช่นเดียวกัน เช่น ภาวการณ์ปอดอักเสบ การขาดออกสิเจน และสภาวะหัวใจหยุดเต้น

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคบาดทะยัก โรคบาดทะยักมีต้นเหตุมาจากการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรีย Clostridium tetani ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่เข้าไปสู่บาดแผล โดยยิ่งไปกว่านั้นรอยแผลที่ไม่สะอาดหรือบาดแผลที่ขาดการดูแลที่ถูก ซึ่งบาดแผลที่เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะก่อโรคบาดทะยักได้ เป็นต้นว่า แผลถลอกปอกเปิก รอยขูด หรือแผลจากการโดนบาด แผลจากการถูกสัตว์กัด เช่น หมา ฯลฯ  แผลที่มีการฉีกขาดของผิวหนังเกิดขึ้น แผลไฟไหม้ แผลถูกทิ่มจากตะปูหรือสิ่งของอื่นๆแผลจากการเจาะร่างกาย การสัก หรือการใช้เข็มฉีดยาที่ปนเปื้อนสิ่งสกปรก แผลจากลูกกระสุนปืน กระดูกหักที่ทิ่มแทงผิวหนังออกมาภายนอก  แผลติดเชื้อโรคที่เท้าในผู้เจ็บป่วยเบาหวาน  แผลบาดเจ็บที่ดวงตา  แผลจากการผ่าตัดที่แปดเปื้อนเชื้อ  การต่อว่าดเชื้อที่ฟัน  การติดเชื้อทางสายสะดือในเด็กแรกเกิด เพราะเหตุว่าแนวทางการทำคลอดที่ใช้ของมีคมที่ไม่สะอาดตัดสายสะดือ และก็ยิ่งมีความเสี่ยงสูงเมื่อมารดามิได้ฉีดวัคซีนปกป้องโรคบาดทะยักอย่างครบถ้วน  แผลเรื้อรัง  ดังเช่นว่า  แผลโรคเบาหวาน  แล้วก็แผลเป็นฝี  แผลจาการเป็นโรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบ
  • กรรมวิธีรักษาโรคโรคบาดทะยัก แพทย์จะวินิจฉัยโรคบาดทะยักได้จากอาการเป็นหลัก และเรื่องราวมีรอยแผลตามร่าง กาย การตรวจร่างกาย และประวัติการได้รับวัคซีนบาดทะยัก ซึ่งในบุคคลที่เคยได้รับวัคซีนครบรวมทั้งได้รับวัคซีนกระตุ้นตามที่ได้มีการกำหนด ก็จะไม่มีโอกาสเป็โรคบาดทะยัก[/url]ในการตรวจทางห้อง ดำเนินการ ไม่มีการตรวจที่เฉพาะเจาะจงกับโรคนี้ การตรวจจะเป็นเพียงแต่เพื่อแยกโรคอื่นๆที่อาจมีอา การคล้ายคลึงกัน แค่นั้น ดังเช่น การตรวจหาสารพิษสตริกนีน (Strychnine) ผู้ป่วยที่ได้รับพิษ Strychnine ซึ่งอยู่ในยากำจัดแมลง จะมีลักษณะหดตัวและก็แข็งเกร็งของกล้ามคล้ายกับผู้เจ็บป่วยที่เป็นโรคบาดทะยัก หากเรื่องราวได้รับสารพิษของคนเจ็บไม่ชัดเจน ก็จำต้องเจาะตรวจค้นพิษจำพวกนี้ด้วย การตรวจเม็ดเลือดขาวจากเลือด (การตรวจCBC) ส่วนใหญ่จะพบว่าเข้าขั้นธรรมดา ไม่ราวกับโรคติดเชื้อแบคทีเรียอื่นๆที่มักมีจำนวนเม็ดเลือดขาวขึ้นสูง การตรวจน้ำไขสันหลังจะพบว่าปกติ ซึ่งไม่เหมือนกับโรคติดเชื้ออื่นๆที่ทำให้มีไขสันหลังและก็สมองอักเสบ ที่ทำให้มีลักษณะอาการชักเกร็งคล้ายคลึงกัน

    ข้างหลังการตรวจวินิจฉัย แม้หมอพินิจว่ามีการเสี่ยงหรือแนวโน้มที่จะติดเชื้อโรคบาดทะยักแม้กระนั้นผู้เจ็บป่วยยังไม่มีอาการอะไรก็แล้วแต่ปรากฏให้มองเห็น กรณีนี้จะรักษาโดยทำความสะอาดแผลและก็ฉีด Tetanus Immunoglobulin ซึ่งเป็นยาที่มีแอนติบอดี้ ช่วยฆ่าแบคทีเรียจากโรคบาดทะยักและก็สามารถปกป้องโรคบาดทะยักได้ในช่วงระยะสั้นๆถึงปานกลาง นอกจากนี้อาจฉีดยาปกป้องบาดทะยักร่วมด้วยถ้าคนป่วยยังไม่ได้รับวัคซีนจำพวกนี้ถึงกำหนด สำหรับผู้ป่วยที่เริ่มแสดงอาการของโรคบาดทะยักแล้ว  หมอจะรับตัวไว้รักษาในโรงหมอโดยชอบรับไว้ในห้องบรรเทาพิเศษหรือห้องดูแลผู้ป่วยหนักในโรงพยาบาล เพื่อหมอดูแลเอาใจใส่ด้วยความใกล้ชิด รวมทั้งคนป่วยมักจะจำเป็นต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงหมอนานเป็นอาทิตย์ๆหรือเป็นนานนับเดือน   ซึ่งหลักของการดูแลและรักษาคนเจ็บโรคบาดทะยักที่ปรากฏลักษณะโรคแล้วเป็นเพื่อกำจัดเชื้อโรคบาดทะยักที่ผลิตสารพิษ เพื่อทำลายสารพิษที่เชื้อโรคผลิตแล้ว รวมทั้งการดูแลรักษาทะนุถนอมตามอาการ และการให้วัคซีนเพื่อปกป้องการเกิดโรคอีกโดยมีเนื้อหาดังนี้

  • การกำจัดเชื้อบาดทะยักที่ผลิตสารพิษ โดยการให้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อโรคแล้วก็สปอร์ของเชื้อที่กำลังผลิออก ดังเช่นว่า เพนิซิลิน ยาต้านพิษบาดทะยัก (human tetanus immune globulin ) ถ้าหากคนไข้มีรอยแผลที่ยังไม่หายดี ก็จะเปิดปากแผลให้กว้าง ล้างชำระล้างแผลให้สะอาด และก็ตัดเนื้อเยื่อที่ตายแล้วออก เพื่อเป็นการลดจำนวนเชื้อโรคที่อยู่ในบาดแผล
  • การทำลายสารพิษที่เชื้อโรคผลิตแล้ว ซึ่งจะช่วยลดอัตราการตายได้มาก โดยการให้สารภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี (Antibody) ไปทำลายพิษ ซึ่งสารภูมิคุ้มกัน บางทีอาจได้จากน้ำเหลืองของม้าหรือของคน (Equine tetanus antitoxin หรือ Human tetanus immunoglobulin) ซึ่งแอนติบอดีที่ไปทำลายสารพิษนี้จะทำลายเฉพาะสารพิษที่อยู่ในกระแสโลหิตเท่านั้น ไม่สามารถที่จะทำลายสารพิษที่ไปสู่เส้นประสาทไปแล้วได้
  • การรักษาเกื้อหนุนตามอาการ ได้แก่ การให้ยาเพื่อลดการยุบตัวและก็แข็งเกร็งของกล้าม ซึ่งมียาอยู่หลายกลุ่ม ในเรื่องที่ใช้ยาไม่เป็นผล คนป่วยยังมีลักษณะหดเกร็งมากมาย มีความเสี่ยงต่อภาวะหายใจล้มเหลว บางทีอาจจะตรึกตรองให้ยาที่ทำให้เป็นอัมพาตทั้งตัว แล้วใส่เครื่องที่ใช้สำหรับในการช่วยหายใจไว้หายใจแทน
  • ผู้เจ็บป่วยที่มีอาการแตกต่างจากปกติจากระบบประสาทอัตโนมัติ อย่างเช่น ความดันเลือดขึ้นสูงมากมายก็ให้ยาควบคุมความดันโลหิต ถ้าเกิดมีลักษณะอาการหัวใจเต้นช้าหรือหยุดเต้นก็อาจจำต้องใส่ตัวกระตุ้นหัวใจ
  • การให้วัคซีน ผู้ป่วยทุกรายที่หายจากโรคแล้ว จำต้องให้วัคซีนตามกำหนดทุกราย เนื่องจากว่าการตำหนิดเชื้อโรคบาดทะยักไม่สามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาได้
  • การติดต่อของโรคบาดทะยัก โรคบาดทะยักเป็นโรคที่เกิดจากการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรียที่บริเวณบาดแผลต่างๆโดยยิ่งไปกว่านั้นรอยแผลที่แคบและลึกที่ไม่สามารถล้างทำความสะอาดบาดแผลได้หรือเป็นบาดแผลที่ไม่สะอาด ดังนั้นโรคบาดทะยักนี้ก็เลยไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนอะไร
  • การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคบาดทะยัก แม้หมอวิเคราะห์แล้วว่ามีความเสี่ยงหรือแนวโน้มที่จะติดโรคบาดทะยักแต่ยังไม่มีอาการปรากฏ แพทย์จะกระทำรักษาและก็ฉีดยาคุ้มครองโรคบาดทะยักให้ แล้วให้กลับไปอยู่ที่บ้าน ด้วยเหตุนั้นข้อควรปฏิบัติตนเมื่ออยู่ที่บ้านเป็น
  • รักษาความสะอาดของบาดแผล
  • รักษาสุขลักษณะของร่างกายตามสุขข้อบังคับ
  • ทานอาหารที่เป็นประโยชน์และก็ครบ 5 หมู่
  • รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
  • มาตรวจดังที่แพทย์นัดหมาย

ส่วนในกรณีคนไข้ที่มีลักษณะอาการของโรคปรากฏแล้วนั้น แพทย์ก็จะรับเข้ารักษาในโรงพยาบาลห้องห้องดูแลผู้ป่วยหนักในโรงพยาบาล เพื่อดูแลอย่างใกล้ชิดต่อไป

  • การคุ้มครองป้องกันตนเองจากโรคบาดทะยัก โรคบาดทะยักเป็นโรคที่มีอันตรายรุนแรง และอาจตายด้านในไม่กี่วันแต่ว่าสามารถคุ้มครองได้ ดังนั้นการคุ้มครองป้องกันจึงเป็นหัวใจของการดูแลรักษาโรคบาดทะยัก ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ โรคบาดทะยักมีวัคซีนป้องกัน วัคซีนปกป้องโรคบาดทะยักถูกทำและก็ใช้สำเร็จสำเร็จในทหารตั้งแต่การรบโรคครั้งที่ 2 ต่อมาวัคซีนประเภทนี้ได้ถูกพัฒนาให้อยู่ในรูปของวัคซีนรวม คอตีบ ไอกรน โรคบาดทะยัก (DTP) และก็บางทีอาจเป็นแบบวัคซีนรวมอื่นๆการฉีดวัคซีน วัคซีนคุ้มครองโรคบาดทะยักมักนิยมให้ดังต่อไปนี้

เข็มแรก อายุ 2 เดือน  เข็มที่ 2 อายุ 4 เดือน  เข็มที่ 3 อายุ 6 เดือน  เข็มที่ 4 อายุ 1 ปี 6 เดือนเข็มที่ 5 อายุ 4-6 ปีอีกรอบหนึ่ง  ต่อไปจะต้องมีการฉีดกระตุ้นทุก 10 ปี  ในกรณีที่มีบาดแผลเกิดขึ้น ถ้าเกิดเคยฉีดยาครบ 3 ครั้ง มาข้างใน 5 ปี ไม่ต้องฉีดกระตุ้น แม้กระนั้นถ้าเกินกว่า 5 ปี ต้องฉีดกระตุ้น 1 ครั้ง หญิงมีท้องที่ไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักมาก่อน ควรฉีดวัคซีนคุ้มครองโรคนี้รวม 3 ครั้ง โดยเริ่มฉีดเข็มแรกเมื่อฝากครรภ์คราวแรก เข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรกขั้นต่ำ 1 เดือน แล้วก็เข็มที่ 3 ห่างจากเข็มที่ 2 ขั้นต่ำ 6 เดือน (ถ้าเกิดฉีดไม่ทันขณะมีครรภ์ ก็ฉีดข้างหลังคลอด)  ถ้าเกิดหญิงตั้งท้องเคยได้รับวัคซีนปกป้องโรคนี้มาแล้ว 1 ครั้ง ควรจะให้อีก 2 ครั้ง ห่างกันอย่างต่ำ 1 เดือน ในระหว่างมีครรภ์  ถ้าหากหญิงมีท้องเคยได้รับวัคซีนคุ้มครองโรคนี้ครบชุด (3 ครั้ง) มาแล้วเกิน 5 ปี ให้ฉีดกระตุ้นอีกเพียงแต่ 1 ครั้ง แต่ว่าถ้าเกิดเคยฉีดครบชุดมาแล้วไม่เกิน 5 ปี ก็ไม่ต้องฉีดกระตุ้น  สำหรับในเด็กที่อายุมากกว่า 7 ปีขึ้นไปและก็ในผู้ใหญ่ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน หรือได้รับวัคซีนในวัยเด็กไม่ครบ หรือได้รับมาเกิน 10 ปีแล้ว ให้ฉีดยาบาดทะยัก - คอตีบ 3 เข็ม โดยฉีดเข็มที่ 2 ให้ห่างจากเข็มแรก 4 สัปดาห์ เข็มที่ 3 ให้ห่างจากเข็มที่ 2 โดยประมาณ 6 -12 เดือน และฉีดกระตุ้นๆทุกๆ10 ปีตลอดกาล
เมื่อมีบาดแผลจำต้องทำแผลให้สะอาดในทันที โดยการขัดด้วยสบู่ล้างด้วยน้ำที่สะอาดเช็ดถูด้วยยาฆ่าเชื้อ เช่น แอลกอฮอล์ 70% หรือทิงเจอร์ใส่แผลสด พร้อมทั้งให้ยารักษาการติดโรคหากแผลลึกต้องใส่ drain ด้วย
ใช้ผ้าปิดรอยแผลเพื่อให้แผลสะอาดและก็คุ้มครองปกป้องจากการสัมผัสเชื้อแบคทีเรียของแผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผลพุพองที่กำลังแห้งจะยิ่งมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ จะต้องปิดแผลไว้ตราบจนกระทั่งแผลเริ่มก่อตัวเป็นสะเก็ด นอกจากนั้นควรเปลี่ยนผ้าทำแผลวันแล้ววันเล่า อย่างต่ำวันละ 1 ครั้งหรือเมื่อใดก็ตามที่ผ้าปิดแผลเปียกน้ำหรือเริ่มสกปรก เพื่อเลี่ยงจากการตำหนิดเชื้อ

  • สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองปกป้อง/รักษาโรคบาดทะยัก เนื่องมาจากโรคบาดทะยักเป็นโรคที่เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียที่ร้ายแรงรวมทั้งมีระยะฟักตัวของโรคที่ออกจะสั้น แม้กระนั้นมีลักษณะแสดงของโรคที่ร้ายแรงและมีความอันตรายถึงชีวิต ซึ่งวิธีการใช้สมุนไพรนั้นได้กล่าวเอาไว้ดังต่อไปนี้
  • หากเป็นโรคที่ยังพิสูจน์ไม่ได้แน่ชัดว่ารักษาด้วยสมุนไพรได้ประสิทธิภาพที่ดี ก็ไม่สมควรรักษาด้วยการใช้สมุนไพร ยกตัวอย่างเช่น งูมีพิษกัด หมาบ้ากัด โรคบาดทะยัก กระดูกหัก เป็นต้น
  • กรุ๊ปอาการบางสิ่งที่ระบุว่า อาจจะเป็นโรครุนแรงที่ต้องรักษาอย่างรีบเร่งอาทิเช่น ไข้สูง ซึม  ไม่มีสติ ปวดอย่างหนัก  คลื่นไส้เป็นเลือด  แท้งลูกจากช่องคลอด  ท้องเสียอย่างรุนแรง  หรือผู้ป่วยเป็นเด็กรวมทั้งสตรีตั้งครรภ์ ควรรีบนำขอคำแนะนำแพทย์  แทนที่จะรักษาด้วยการใช้สมุนไพร
  • การใช้ยาสมุนไพรนั้น ควรค้นคว้าจากแบบเรียน หรือขอคำแนะนำท่านพหูสูตร  โดยใช้ให้สมส่วน ใช้ให้ถูกแนวทาง  ใช้ให้ถูกโรค  ใช้ให้ถูกคน
  • ไม่ควรใช้สมุนไพรติดต่อกันนานๆด้วยเหตุว่าพิษบางทีอาจจะสะสมได้
เอกสารอ้างอิง

  • โรคบาดทะยัก (Tetanus). สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.บาดทะยัก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 294.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.ตุลาคม.2547
  • บุญเยี่ยม เกียรติวุฒิ และคณะ. (2527). โรคบาดทะยัก.ใน บุญเยี่ยม เกียรติวุฒิ และคนอื่นๆ (บรรณาธิการ), โรคติดต่อระหว่างคนและสัตว์ (หน้า 80-82). บัณฑิตการพิมพ์ : กรุงเทพมหานคร.
  • พญ.สลิล ศิริอุดมภาส.บาดทะยัก (Tetanus).หาหมอ.com.( ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.”บาดทะยัก (Tetanus).(นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).หน้า 590-593.
  • Elias Abrutyn, tetanus, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 15th edition, Braunwald , Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2001
  • "Tetanus Symptoms and Complications". cdc.gov. January 9, http://www.disthai.com/[/b]
  • สมจิต หนุเจริญกุล. (2535). การพยาบาลผู้ป่วยบาดทะยัก.ในการพยาบาลอายุรศาสตร์ เล่ม 1 (หน้า 57-59). วี.เจ.พริ้นติ้ง : กรุงเทพมหานคร.
  • Atkinson, William (May 2012). Tetanus Epidemiology and Prevention of Vaccine-Preventable Diseases (12 ). Public Health Foundation. pp. 291–300. ISBN 9780983263135. สืบค้นเมื่อ 12 February 2015.
  • สุรเกียรติ อาชานานุภาพ. บาดทะยัก หมอชาวบ้าน ปีที่ 17 ฉบับที่ 194 มิถุนายน 2538. หน้า 25-27
  • บาดทะยัก-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์.com(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • สมุนไพร.ศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี.คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี.มหาวิทยาลัยมหิดล.
143  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคพาร์กินสัน- อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: มีนาคม 27, 2018, 11:07:43 am

โรคพาร์กินสัน (Parkinson ‘s disease)


นอกจากนี้ยังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคอีกเช่น   คนไข้อาจมีอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย (เช่น ขา หลัง) โดยเฉพาะเวลานอน หรือช่วงกลางคืน อาจปวดจนนอนไม่หลับ บางรายอาจมีอาการซึมเศร้า ความดันตก ในท่ายืน ท้องผูก มีภาวะความจำเสื่อม หรืออาจมีปัญหากินอาหารและดื่มน้ำได้น้อย น้ำหนักลด ในรายที่เดินลำบาก อาจหกล้ม กระดูกหักหรือศีรษะแตก ในรายที่เป็นมาก อาจนอนบนเตียงมากจนเป็นแผลกดทับ อาจมีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก และมีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะได้ง่าย คนไข้ที่ปล่อยไว้ไม่รักษาจนมีอาการรุนแรง (กินเวลา ๓-๑๐ ปี) มักจะตายด้วยโรคปอดอักเสบแทรกซ้อนหรือภาวะเลือดเป็นพิษจากการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ก่อกำเนิดโรคพาร์กินสัน
  • อายุ แม้แก่เพิ่มมากขึ้นก็จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเพิ่มมากขึ้นโดยยิ่งไปกว่านั้นคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
  • กรรมพันธุ์ โดยพบว่าผู้เจ็บป่วยราว 15-20% จะมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคพาร์กินสัน (ถ้าหากมีญาติสายตรงเป็นโรคนี้ 1 คนจะเพิ่มช่องทางเสี่ยงต่อโรคนี้ 3 เท่า แล้วก็ถ้าเกิดมี 2 คนก็จะเพิ่มการเสี่ยงเป็น 10 เท่าตามลำดับ)
  • เป็นคนที่สัมผัสกับสารกำจัดแมลงหรือยาฆ่าวัชพืช ดื่มน้ำจากบ่อและอาศัยอยู่ในเขตทุรกันดาร เพราะมีแถลงการณ์ว่าเจอโรคนี้ได้มากในเกษตรกรที่กินน้ำจากบ่อ
  • เป็นคนที่มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ ดังเช่น ในหญิงที่ตัดรังไข่รวมทั้งมดลูก หญิงวัยทองยังไม่ครบกำหนด ซึ่งคนพวกนี้จะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูง แต่หากได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนตอบแทนก็อาจจะช่วยลดการเกิดโรคนี้ได้
  • เคยได้รับอุบัติเหตุที่กระทบกระเทือนทางสมอง
  • นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า คนที่ขาดกรดโฟลิกจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสันเหมือนกัน
  • กรรมวิธีการรักษาโรคพาร์กินสัน โดยทั่วไปแม้คนไข้ปรากฏอาการชัดแจ้ง สามารถวินิจฉัยได้จากลักษณะของอาการและการตรวจร่างกายทางระบบประสาทให้รอบคอบ ช่วงแรกเริ่ม อาจวิเคราะห์ยาก จำเป็นต้องวิเคราะห์แยกโรคก่อนเสมอคนที่สงสัยว่าจะป่วยเป็นโรคพาร์คินสัน ควรจะได้รับการตรวจวินิจฉัยจากอายุรเวชผู้เชี่ยวชาญทางด้านประสาทวิทยา หรือที่เรียกว่าประสาทหมอ

การวินิจฉัยโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) จึงจำต้องแยกโรคอื่นๆที่มีลักษณะอาการของพาร์กินสัน รวมถึงแยกอาการ หรือสภาวะพาร์กินสันทุติยภูมิ (Secondary parkinsonism) ออก ไปด้วย เนื่องด้วยการดูแลและรักษาจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าจะมีลักษณะบางอย่างคล้ายคลึงกันก็ตาม
การวินิจฉัยโรคพาร์กินสันจะอาศัยอาการคนเจ็บ รวมทั้งความไม่ดีเหมือนปกติที่แพทย์ตรวจพบเป็นหลัก และก็ลักษณะของการเกิดอาการที่ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป อายุที่เริ่มเป็น และความเป็นมาในครอบครัว ไม่มีการตรวจพิเศษทางห้องทดลองใดที่ตรวจแล้วบอกได้ว่าผู้เจ็บป่วยกำลังเป็นโรคพาร์กินสันอยู่ การตรวจทางห้องทดลองจะใช้เพื่อยืนยันการวิเคราะห์โรคอื่นๆบางโรคที่มีลักษณะของโรคพาร์กินสันและมีอาการเฉพาะของโรคนั้นๆร่วมด้วย เพื่อซึ่งต้องได้รับการดูแลและรักษาที่แตกต่างกันออกไปแค่นั้น ดังเช่น การตรวจหาระดับสารพิษในกระแสเลือด การตรวจหาระดับสาร Ceruloplasmin ในเลือดเพื่อวินิจฉัยโรค Wilson’s disease การเอกซเรย์สมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (เอมอาร์ไอ/MRI) เพื่อวิเคราะห์ โรค Normal pressure hydrocephalus ฯลฯ
ในอดีตแพทย์เข้าใจว่าโรคพาร์กินสันนี้มีความผิดธรรมดาที่ไขสันหลัง แต่ในขณะนี้เป็นที่ทราบกันแน่นอนแล้วว่า พยาธิภาวะของโรคนี้เกิดที่บริเวณตัวสมองเองในส่วนลึกๆรอบๆก้านสมอง ซึ่งมีกลุ่มเซลล์ประสาทที่มีสีดำมีปริมาณเซลล์ลดน้อยลง หรือขาดตกบกพร่องในหน้าที่สำหรับในการปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า โดพามีน (dopamine) ก็เลยส่งผลให้เกิดอาการเคลื่อนไหวช้า เกร็งและสั่นเกิดขึ้นตามลำดับ ด้วยเหตุนี้ในปัจจุบันการดูแลและรักษาโรคนี้ก็เลยหวังมุ่งให้สมองมีระดับสารโดพามีนกลับสู่ค่าปกติ ซึ่งอาจทำได้โดยการกินยาการทำกายภาพบำบัด หรือผ่าตัดสมอง
การดูแลและรักษาโรคพาร์กินสันมี 3 วิธี เป็น

  • รักษาโดยใช้ยา ซึ่งถึงแม้ยาจะไม่สามารถที่จะทำให้เซลล์สมองที่ตายไปแล้วฟื้นตัวหรือกลับมางอกชดเชยเซลล์เดิมได้ แต่ก็จะมีผลให้สารเคมีโดปามีนในสมองมีจำนวนพอเพียงกับความอยากได้ของร่างกายได้ สำหรับยาที่ใช้ในปัจจุบัน คือ ยากลุ่ม LEVODOPA และก็ยากลุ่ม DOPAMINE AGONIST เป็นหลัก (การใช้ยาแต่ละจำพวกขึ้นกับการวิเคราะห์จากแพทย์ ตามสมควร)
  • ทำกายภาพบำบัด เป้าหมายของการดูแลและรักษาก็คือ ให้คนป่วยคืนสู่สภาพชีวิตที่ใกล้เคียงคนปกติที่สุด สามารถเข้าสังคมได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นสุขพร้อมด้วยกายและก็จิตใจ ซึ่งมีหลักแนวทางปฏิบัติง่ายๆคือ

ก) ฝึกหัดการเดินให้เบาๆก้าวขาแต่ว่าพอดิบพอดี โดยการเอาส้นตีนลงเต็มฝ่าเท้า และแกว่งแขนไปด้วยขณะเดินเพื่อช่วยสำหรับเพื่อการทรงตัวดี นอกนั้นควรหมั่นจัดท่าทางในท่าทางต่างๆให้ถูกสุขลักษณะ รองเท้าที่ใช้ควรเป็นแบบส้นเตี้ย แล้วก็พื้นจำเป็นต้องไม่ทำมาจากยาง หรือสิ่งของที่เหนียวติดพื้นง่าย
ข) เมื่อถึงเวลานอน ไม่สมควรให้นอนเตียงที่สูงเหลือเกิน เวลาจะขึ้นเตียงจำเป็นต้องค่อยๆเอนตัวนอนลงเอียงข้างโดยใช้ศอกจนกระทั่งก่อนชูเท้าขึ้นเตียง
ค) ฝึกการพูด โดยพี่น้องต้องให้ความเข้าอกเข้าใจค่อยๆฝึกหัดคนไข้ แล้วก็ควรจะทำในสถานที่ที่เงียบสงบ

  • การผ่าตัด ส่วนมากจะได้ผลดีในคนป่วยที่แก่น้อย และมีลักษณะอาการไม่มากนัก หรือในผู้ที่มีอาการสอดแทรกจากยาที่ใช้มาเป็นระยะเวลานานๆอาทิเช่น อาการสั่นที่ร้ายแรง หรือมีการขยับเขยื้อนแขน ขา มากไม่ดีเหมือนปกติจากยา ปัจจุบันนี้มีการใช้วิธีกระตุ้นไฟฟ้าที่สมองส่วนลึกโดยผ่าตัดฝังเอาไว้ในร่างกาย พบว่าส่งผลดี แต่ว่ารายจ่ายสูงมากมาย ผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน จำเป็นจะต้องได้รับการดูแลใส่ใจจากคนรอบข้างในการพัฒนาฟื้นฟูด้านร่างกาย รวมทั้งจิตใจ ดังนั้นแม้ท่านมีคนใกล้ชิดที่เป็นโรคประเภทนี้ จำเป็นที่จะต้องรีบเอามาเจอหมอเพื่อรับการวิเคราะห์โรคอันจะนำมาซึ่งการดูแลรักษาที่ถูกต้องแล้วก็เหมาะสมถัดไป
  • การติดต่อของโรคพาร์กินสัน เนื่องจากโรคพาร์กินสันเป็นโรคที่เกิดจากเซลล์สมองมีการตาย แล้วก็ทำให้สารสื่อประสาทที่ปฏิบัติภารกิจควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายมีจำนวนลดน้อยลง ก็เลยนำมาซึ่งอาการต่างๆของโรค ซึ่งไม่อาจจะติดต่อจากคนสู่คน หรือ จากสัตว์สู่คนได้ (แต่สามารถถ่ายทอดทางประเภทกรรมไปสู่บุตรหลานได้)
  • การปฏิบัติตนเมื่อป่วยด้วยโรคพาร์กินสัน คนไข้แล้วก็ญาติสามารถดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอรวมทั้งสม่ำเสมอ ดังต่อไปนี้
  • ติดตามรักษากับแพทย์เป็นประจำ
  • รับประทานยาควบคุมอาการดังที่แพทย์แนะนำให้ใช้
  • ทานอาหารชนิดที่มีกากใยเพื่อช่วยลดอาการท้องผูก
  • หมั่นฝึกออกกำลังกาย โดยการเคลื่อนไหวร่างกายให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่านอนหรือนั่งนิ่งๆและวิธีการทำกิจวัตรประจำวัน บริหารร่างกาย เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและก็ความยืดหยุ่นของกล้าม ลดเกร็งและก็ปรับการทรงตัวให้ดีขึ้น ได้แก่ การเดิน วิ่งเหยาะๆรำไท้วางมาด หรือเต้นแอโรบิก    ฝึกหัดเดิน ยืนยืดตัวตรง วางเท้าห่างกัน ๘-๑๐ นิ้ว นับจังหวะก้าวเท้าแกว่งไกวแขน เสมือนเดินสวนสนามหรือเดินก้าวผ่านเส้นที่ขีดไว้ เมื่อใดที่ก้าวไม่ออกให้จังหวะกับตนเองกระดกข้อเท้าแล้วก้าวเดิน    ฝึกหัดพูดโดยให้ผู้ป่วยเป็นข้างกล่าวก่อน หายใจลึกๆแล้วเปล่งเสียงให้ดังกว่าที่ตั้งจิตใจไว้
  • บริเวณทางเดินหรือในห้องสุขาควรมีราวเกาะและไม่วางของเกะกะฟุตบาท
  • การแต่งตัว ควรจะสวมเสื้อผ้าที่ถอดใส่ง่าย อาทิเช่น กางเกงเอวยางยืด เสื้อติดแถบกาวแทนกระดุม
  • ญาติโกโหติกา ควรใส่ใจดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิด ระแวดระวังการเกิดอุบัติเหตุ อย่างเช่น การเดินหกล้ม เป็นต้น

สิ่งจำเป็นก็คือ คนสนิทของผู้ป่วยและก็ญาติ ควรเรียนรู้และก็ทำความเข้าใจคนเจ็บพาร์กินสัน  แม้จะมีข้อมูลว่าการดื่มกาแฟ การสูบยาสูบ การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน(ในผู้หญิงวัยหมดระดู) จะช่วยลดการเกิดโรคพาร์กินสันได้ แต่ว่าก็ไม่แนะนำ เพราะว่ามีโทษทำให้เกิดโรคอื่นๆที่น่ากลัวก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตได้มากกว่า

  • การปกป้องตัวเองจากโรคพาร์กินสัน ด้วยเหตุว่าต้นเหตุที่จริงจริงของการเกิดโรคพาร์กินสันยังไม่เคยรู้ชัดแจ้ง ดังนั้นการปกป้องเต็มเปี่ยมก็เลยเป็นไปไม่ได้ แม้กระนั้นบางการเรียนรู้พบว่า การกินของกินมีคุณประโยชน์ 5 กลุ่มในปริมาณที่สมควร โดยจำกัดของกินกลุ่มไขมันและเนื้อแดง (เนื้อของสัตว์กินนม) จำกัดอาหารในกลุ่มผลิตภัณฑ์จากนม รับประทานผัก ผลไม้มากขึ้นให้มากมายๆเนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง บางทีอาจช่วยลดจังหวะเกิดอาการ หรือ ลดความรุนแรงจากอาการของโรคนี้ลงได้บ้าง นักค้นคว้าที่ภาควิชาแพทยศาสตร์ Chapel Hill มหาวิทยาลัยนอร์ธแคโลไรที่นาได้คิดแนวทางทดสอบแบบง่ายๆที่ใครๆก็ทำเป็น รวมทั้งทำเสร็จภายในช่วงระยะเวลาเพียงแต่ ๑ นาที

วิธีทดลองดังกล่าวมาแล้วข้างต้นมี 3 ขั้นตอนง่ายๆคือ

  • ให้คนไข้ยิ้มให้ดู
  • ให้ยกแขนขึ้น 2 ข้างและก็ให้ค้างเอาไว้
  • ในที่สุดให้คนไข้กล่าวประโยคกล้วยๆให้ฟังสักประโยค

นักวิจัยทดสอบ ด้วยการให้ผู้ที่เคยมีลักษณะสมองขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นตัวแสดงร่วมกับคนธรรมดาคนอื่นๆรวมแล้ว ๑๐๐ คน แล้วให้อาสาสมัครสมมติตัวเป็นคนผ่านมาเจอเหตุที่มีผู้ป่วยกำเนิดอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ให้อาสาสมัครลองทดสอบด้วยคำบัญชาข้างต้นกับตัวละครอีกทั้ง ๓ ข้อ ช่วงเวลาเดียวกันก็โทรศัพท์บอกผลของการทดสอบให้ผู้วิจัยทราบ โดยผู้ศึกษาวิจัยอยู่ในอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งไม่เห็นท่าทีหรือการแสดงออกของคนที่สงสัยจะมีลักษณะสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ผลที่ออกมาพบว่า นักค้นคว้าสามารถแยกคนป่วยออกมาจากคนปกติได้อย่างเที่ยงตรงถึงจำนวนร้อยละ ๙๖ ทีเดียว โดยแยกอาการกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าอ่อนเปลี้ยเพลียแรง (facial weakness) ได้ปริมาณร้อยละ ๗๑ แยกกล้ามเนื้อแขนอ่อนแรงได้ถึง ปริมาณร้อยละ ๙๕ และก็แยก  ประสาทกลางสถานที่สำหรับทำงานผิดปกติทางคำกล่าวได้ปริมาณร้อยละ ๘๘ ซึ่งนับได้ว่าถูกต้องแม่นยำมากด้านในสถานการณ์ที่ผู้รักษาไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ

  • สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครอง/รักษาโรคพาร์กินสัน สารสกัดจากบอระเพ็ด ชื่อ columbamine เป็นสารกลุ่มอัลคาลอยด์ ที่มีงานศึกษาเรียนรู้พบว่า สามารถยั้งฤทธิ์ของเอ็นไซม์ชื่อ acetyl cholinesterase ได้สูงมากมาย ซึ่งการขัดขวางเอนไซม์ acetyl cholinesterase เป็นวัตถุประสงค์สำคัญของการเป็นยารักษาคนป่วยสมองเสื่อม (Senile dementia), คนไข้สูญเสียความทรงจำ (Alzheimer’s diseases), โรคพาร์กินสันที่มีสภาวะโรคสมองเสื่อมร่วมด้วย (Parkinson’s disease with dementia, PDD) อาการเซ หรือ สภาวะกล้ามเสียการร่วมมือ (Ataxia) รวมทั้งโรคกล้ามอ่อนแรง (myasthenia gravis)

               ผลของการรักษาด้วยการใช้บอระเพ็ดในคนเจ็บพาร์กินสัน สอดคล้องกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่มีการค้นพบในการค้นคว้าวิจัย โดยได้ผลสำหรับเพื่อการรักษาแจ่มชัดในด้านภาวการณ์รู้คิด     พฤติกรรมโดยรวมรวมทั้ง อาการทางประสาทดีขึ้นในสภาวะโรคสมองเสื่อมที่พบในคนไข้พาร์กินสัน เพราะเหตุว่าโรคพาร์กินสันเมื่อมีการดำเนินของโรคมานาน 5-10 ปี จะเกิดความเสื่อมโทรมของสมองในส่วนอื่นๆตามมา กระตุ้นให้เกิดความไม่ปกตินอกเหนือจากการเคลื่อน อย่างเช่น การนอน ความแตกต่างจากปกติทางด้านอารมณ์แล้วก็จิตใจ ภาวการณ์ย้ำคิดย้ำทำ อาการหม่นหมอง ไม่สบายใจ ฯลฯ
                แต่ยังไม่มีข้อมูลในทางสถานพยาบาล หรือการเล่าเรียนในคนไข้กลุ่มโรคดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นอย่างเป็นระบบ เสนอแนะถ้าเกิดสนใจใช้บอระเพ็ด ควรจะใช้ในแง่เสริมการรักษาพร้อมกันกับยาแผนปัจจุบันเป็นหลัก และควรจะมีตอนที่หยุดยาบ้าง อย่างเช่น ชี้แนะใช้ยาเดือนเว้นเดือน หรือ 2-3 เดือน เว้น 1 เดือน
นอกเหนือจากนั้นข้อควรคำนึงเป็นห้ามใช้บอระเพ็ดในผู้ที่มีสภาวะเอนไซม์ตับบกพร่อง หรือผู้เจ็บป่วยที่มีประวัติเป็นโรคตับ หรือโรคไตรุนแรง คนที่มีแนวโน้มความดันเลือดต่ำเกินไป หรือน้ำตาลในเลือดต่ำ สตรีท้อง สตรีให้นมลูก
[url=http://www.disthai.com/16662691/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A2]หมามุ่ย
ประเทศอินเดีย เป็นสมุนไพรที่ศาสตร์อายรุเวทของอินเดีย ใช้รักษาโรคพาร์กินสันมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยพบว่าเมล็ดหมามุ่ยประเทศอินเดีย เป็นแหล่งธรรมชาติของสาร แอล-โดขว้าง (L-dopa)เจอ 3.1-6.1% รวมทั้งอาจพบสูงถึง 12.5% ซึ่งสารแอล-โดปานี้จะเป็นสารขึ้นต้นของโดพามีน โดยพบว่าสารแอล-โดปาในหมามุ่ยอินเดียมีข้อดีกว่ายาสังเคราะห์ Levodapa ตรงที่มีความแรงสำหรับเพื่อการออกฤทธิ์มากยิ่งกว่า Levodopa 2-3 เท่า เมื่อเปรียบเทียบในขนาดเสมอกันกับ Levodapa ผู้เดียว
โดยมีการตั้งสมมุติฐานว่าในสารสกัดเม็ดหมามุ่ยอินเดียอาจมีสารสำคัญบางตัวที่ทำหน้าเสมือน Dopamine Decarboxylase Inhibitors ซึ่งเป็นกรุ๊ปยาที่จำเป็นต้องให้ร่วมกับ Levodopa เสมอ เพื่อยั้งเอนไซม์ Dopamine Decarboxylase ที่จะทำลาย Levodopa อันจะก่อให้การออกฤทธิ์ของ Levodopa ลดลง นอกนั้นยังพบว่าเม็ดหมามุ่ยประเทศอินเดียยังออกฤทธิ์ได้เร็วกว่า แล้วก็มีระยะเวลาการออกฤทธิ์เป็นเวลายาวนานกว่า  Levodopa/Carbidopa
อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อมูลในการค้นคว้าทางคลินิกรวมทั้งการเรียนรู้ในผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน ดังนั้นควรต้องรอคอยให้มีการทำการศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมอีก แล้วก็มีผลการศึกษาเรียนรู้วิจัยยืนยันว่าปลอดภัยก่อนจะใช้
เอกสารอ้างอิง

  • นพ.อัครวุฒิ วิริยเวชกุล.โรคพาร์กินสัน.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่382.คอลัมน์ โรคน่ารู้.กุมภาพันธ์.2554
  • ศ.นพ.นิพนธ์ พวงวรินทร์.โรคพาร์กินสันกับผู้สูงอายุ.ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล
  • Kedar, NP. (2003). Can we prevent Parkinson,s and Alzheimer,s disease?. Journal of Postgraduate Medicine. 49, 236-245.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 641-645.
  • Parkinson’s disease, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 17th edition, Braunwald , Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2008 (electronic book). http://www.disthai.com/[/b]
  • โรคพาร์กินสัน.วิกิพีเดียสารานุกรม
  • โรคพาร์กินสัน-โรคสั่นสันนิบาต.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่219.คอลัมน์โรคน่ารู้.กรกฎาคม.2540
  • พญ.สลิล ศิริอุดมภาส.โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) .หาหมอ.com
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ .โรคพาร์กินสัน.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่292.คอลัมน์ สารานุกรมทันโรค.สิงหาคม.2546
  • รุ่งโรจน์ พิทยศิริ,กัมมันต์ พันชุมจินดา และศรีจิตรา  บุนนาค.โรคพาร์กินสันรักษาได้.พิมพ
144  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคกล้ามเนื้ออ่อนเเรง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: มีนาคม 27, 2018, 08:48:23 am

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง MG (Myasthenia gravis)

  • โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เป็นอย่างไร โรคกล้ามเมื่อยล้า (Myasthenia gravis) โรคกล้ามอ่อนล้า (myasthenia gravis) หรือ โรคเอ็มจี เป็นชื่อภาษากรีกและก็ภาษาละติน หมายความว่า "grave muscular weakness" เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนล้า ประเภทหนึ่งที่เป็นโรค ออโตอิมมูน (Autoimmune) ประเภทเรื้อรังประเภทหนึ่ง ที่นำมาซึ่งการทำให้กล้ามเนื้อลาย (กล้ามเนื้อที่อยู่สำหรับเพื่อการควบคุมของสมอง ซึ่งคือ กล้ามภายนอกร่างกาย ที่ร่างกายใช้สำหรับการเคลื่อนต่างๆตัวอย่างเช่น กล้ามเนื้อ แขน ขา ดวงตา ใบหน้า โพรงปาก กล่องเสียง และกล้ามซี่โครงที่ใช้ในการหายใจ เกิดการเมื่อยล้ากระทั่งไม่สามารถทำงานหดตัวได้ตามเดิม หรืออีกความหมายหนึ่งคือโรคกล้ามเนื้อเมื่อยล้า (Myasthenia Gravis; MG) เป็นโรคภูมิต้านทานของร่างกายดำเนินการเปลี่ยนไปจากปกติ ซึ่งไปทำลายตัวรับสัญญาณประสาท (receptor) ที่อยู่บนกล้ามเนื้อของตนเองกระตุ้นให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง เนื่องจากว่าไม่อาจจะรับสัญญาณประสาทที่กระตุ้นให้กล้ามเนื้อหดตัวได้ โดยผู้เจ็บป่วยจะมีอาการหนังตาตก ยิ้มได้ลดน้อยลง หายใจติดขัด มีปัญหาการพูด การบด การกลืน รวมไปถึงการเคลื่อนไหวของร่างกาย โรคกล้ามเหน็ดเหนื่อยเกิดขึ้นได้ในผู้เจ็บป่วยทุกเพศทุกวัย ตอนนี้ อีกทั้งการดูแลรักษาทำได้เพียงแค่เพื่อทุเลาอาการแค่นั้น

    ทั้งนี้ โรคกล้ามอ่อนล้า MG  ไม่ใช่โรคใหม่ แต่ว่าเป็นโรคที่มีการบันทึกว่าพบคนป่วย มาตั้งแต่ 300 ปีกลาย  และก็โรคกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย MG เป็นโรคเจอได้ไม่บ่อยนัก ราว 10 ราย ต่อราษฎร 100,000 คน เจอได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็กอ่อนจนถึงคนวัยแก่ โดยพบในเพศหญิงมากยิ่งกว่าในผู้ชายราวๆ 3:2 เท่า ดังนี้พบโรคนี้ในเด็กได้ราวๆ 10%ของผู้ที่เจ็บป่วยซึ่งเป็นผลมาจากการเป็นโรคชนิดนี้ทั้งหมดทั้งปวง ในผู้ใหญ่สตรี พบมากโรคได้สูงในช่วงอายุ 30-40 ปี แต่ว่าในผู้ใหญ่ผู้ชาย พบได้มากโรคได้สูงในช่วงอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป

  • สิ่งที่ทำให้เกิดโรคกล้ามอ่อนแรง (MG) ในการขยับเขยื้อนกล้ามเนื้อแต่ละมัด สมองต้องส่งสัญญาณประสาทไปตามเส้นประสาท และก็จะเกิดการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาทที่บริเวณรอยต่อระหว่างเส้นประสาทแล้วก็กล้ามเนื้อสารสื่อประสาทนี้จะไปส่งสัญญาณที่ตัวรับสัญญาณบริเวณกล้ามเนื้อแต่ละผูกเพื่อให้กล้ามเนื้อมีการหดตัว คนไข้โรคกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย (MG) เมื่อปลายประสาทเกิดการหลั่งสารสื่อประสาทออกมาจะไม่สามารถส่งสัญญาณสู่ตัวรับบนกล้ามได้ เพราะว่าร่างกายได้สร้างแอนติบอดีมากีดกั้นแล้วก็ทำลายตัวรับสัญญาณบนกล้ามไป ซึ่งเมื่อการเช็ดกทำลายขึ้นแล้วนั้น ถึงแม้เซลล์ประสาทจะหลั่งสารเคมีให้กำเนิดกระแสไฟฟ้าส่งมายังเซลล์กล้ามเนื้ออย่างไรก็ตาม เซลล์กล้ามก็ไม่ทำงานเพราะว่าถูกทำลายไปแล้วอย่างสิ้นเชิง

ส่วนสิ่งที่ทำให้เกิดโรคกล้ามเนื้ออ่อนเพลียนั้น มักมีต้นเหตุที่เกิดจากปัญหาที่เกิดขึ้นกับการแพ้ภูเขาไม่ตัวเอง (Autoimmune Disorder) โดยมีเนื้อหาสิ่งที่ทำให้เกิดอาการกล้ามอ่อนกำลัง ดังต่อไปนี้  สารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ (Antibodies) แล้วก็การส่งสัญญาณประสาท ปกติระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะผลิตแอนติบอดี้ออกมาเพื่อทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งปลอมปนที่เข้ามาในร่างกาย แต่ว่าในผู้เจ็บป่วยกล้ามเนื้ออ่อนล้า แอนติบอดี้จะไปทำลายหรือกัดกันหลักการทำงานของสารสื่อประสาทแอซิติลโคลีน (Acetylcholine) โดยถูกส่งไปที่ตัวรับ (Receptor) ซึ่งอยู่ที่ปลายระบบประสาทบนกล้ามเนื้อแต่ละผูก ทำให้กล้ามไม่อาจจะหดตัวได้  ทั้งนี้ อวัยวะที่หมอมั่นใจว่าเป็นตัวนำไปสู่การผลิตสารภูมิต้านทานแตกต่างจากปกติตัวนี้หมายถึงต่อมไทมัส (Thymus gland) ต่อมไทมัส เป็นต่อมที่มีหน้าที่เกี่ยวโยงกับการผลิตภูมิคุ้มกันต้นทานโรคของร่างกาย (Immune system) คือต่อมที่อยู่ในช่องอกตอนบน ต่อมอยู่ใต้กระดูกอก (Sternum) โดยวางอยู่บนข้างหน้าของหัวใจโดยต่อมไทมัสจะผลิตสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ไปกีดกั้นหลักการทำงานของสารสื่อประสาทแอสิตำหนิลโคลีน (Acetylcholine) จึงนำไปสู่อาการกล้ามอ่อนล้าดังที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งปกติแล้วเด็กจะมีต่อมไทมัสขนาดใหญ่และจะเบาๆเล็กลงเรื่อยเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ผู้ป่วยกล้ามเนื้ออ่อนล้าจะมีขนาดของต่อมไทมัสที่ใหญ่เปลี่ยนไปจากปกติ หรือคนเจ็บบางรายมีสภาวะกล้ามเนื้อเมื่อยล้าที่มีสาเหตุมาจากเนื้องอกของต่อมไทมัส ซึ่งเจอราวร้อยละ 10 ในคนป่วยสูงอายุ

  • อาการโรคกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง (MG) อาการสำคัญของโรคกล้ามเหน็ดเหนื่อย (MG) เป็นจะมีลักษณะอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า กล้ามเนื้ออ่อนล้า รวมทั้งจะเหน็ดเหนื่อยเพิ่มมากขึ้นเมื่อออกแรงเพิ่มมากขึ้น แม้กระนั้นอาการจะดียิ่งขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อหยุดพักการออกแรง

นอกจาก อาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วย โดยจะขึ้นกับว่า โรคเกิดกับกล้ามเนื้อส่วนไหนของร่างกาย ทั้งนี้ ประมาณ 85% ของคนไข้จะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรงในทุกมัดของกล้ามลายส่วนอาการที่พบได้บ่อยที่สุดของโรคกล้ามอ่อนเพลีย (MG)หมายถึงอาการอ่อนกำลังของกล้ามที่ช่วยยกกลีบตาแล้วก็กล้ามเนื้อตา ทำให้เกิดหนังตาตกและเห็นภาพซ้อน ซึ่งอาจจะมีการเกิดขึ้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือ 2 ข้างก็ได้ และมักพบอาการผิดปกติอื่นๆของกล้ามส่วนอื่นๆได้อีกดังเช่น
บริเวณใบหน้า ถ้าหากกล้ามที่เกี่ยวเนื่องกับการแสดงออกบนใบหน้าได้รับผลพวง จะก่อให้การแสดงออกทางสีหน้าถูกจำกัด ดังเช่นว่า ยิ้มได้น้อยลง หรือเปลี่ยนเป็นยิ้มแยกเขี้ยวเพราะว่าไม่อาจจะควบคุมกล้ามบนใบหน้าได้
การหายใจ คนไข้กล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจำนวนหนึ่งมีลักษณะอาการหายใจลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนอนราบอยู่บนเตียงหรือภายหลังการออกกำลังกาย
การพูด การบดรวมทั้งการกลืน มีเหตุที่เกิดจากกล้ามรอบปาก เพดานอ่อน หรือลิ้นเมื่อยล้า นำไปสู่อาการไม่ดีเหมือนปกติ ตัวอย่างเช่น พูดค่อยแหบ พูดเสียงขึ้นจมูก เคี้ยวมิได้ กลืนทุกข์ยากลำบาก ไอ สำลักอาหาร บางกรณีบางทีอาจเป็นสาเหตุไปสู่การตำหนิดเชื้อที่ปอด
ลำคอ แขนและขา บางทีอาจเกิดขึ้นร่วมกับอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงของกล้ามส่วนอื่นๆมักเกิดขึ้นที่แขนมากยิ่งกว่าที่ขา ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย เป็นต้นว่า เดินกระเตาะกระแตะ เดินตัวตรงได้ยาก กล้ามเนื้อบริเวณคออ่อนล้า ทำให้ตั้งศีรษะหรือชันคอทุกข์ยากลำบาก นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการทำกิจกรรมต่างๆ

  • ปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคกล้ามอ่อนเพลีย (MG) ในปัจจุบันยังไม่สามารถชี้แจงสาเหตุของความผิดปกติของระบบภูมิต้านทานที่ไปทำลายตัวรับสัญญาณบนกล้ามเนื้อได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ดี พบว่าโรคกล้ามเมื่อยล้า (MG) มักมีความเชื่อมโยงกับโรคของต่อมไทมัส โดย ประมาณ 85%พบเกิดร่วมกับมีโรคเซลล์ต่อมไทมัสเจริญรุ่งเรืองเกินธรรมดา (Thymus hyperplasia) และประมาณ 10-15% เกิดร่วมกับโรคเนื้องอกต่อมไทมัส (Thymoma)

นอกนั้น มีแถลงการณ์ว่า พบโรคกล้ามเหน็ดเหนื่อย (MG) กำเนิดร่วมกับโรคมะเร็งปอดประเภทเซลล์ตัวเล็ก และก็โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์กิน ทั้งผู้เจ็บป่วยอาจเจอความผิดปกติและโรคที่เกิดขึ้นจากภูมิต้านทานตนเองประเภทอื่นๆร่วมด้วยได้ ยกตัวอย่างเช่น โรคตาจากไทรอยด์ (Thyroidorbitopathy) โรคกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง (MG)จะสามารถดียิ่งขึ้นได้เองแล้วอาจกลายเป็นซ้ำได้อีกคล้ายกับโรคภูมิต้านทานตนเองชนิดอื่นๆ

  • กรรมวิธีการรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรง (MG)

การวินิจฉัย MG เป็นโรคที่มีลักษณะสำคัญคือ fatigue แล้วก็fluctuation ของกล้ามเนื้อรอบๆตาแขนขารวมถึงการพูดและกลืนของกิน คนไข้จะมีอาการเยอะขึ้นเมื่อได้ใช้งานหน้าที่นั้นๆไประยะหนึ่ง รวมทั้งอาการร้ายแรงในช่วงเวลาที่แตกต่างโดยมีลักษณะอาการมากเวลาบ่ายๆบางครั้งบางคราวผู้เจ็บป่วยมาเจอหมอช่วงที่ไม่มีอาการ หมอก็ตรวจไม่เจอความผิดแปลก จึงไม่สามารถที่จะให้การวินิจฉัยโรคได้ และบางทีอาจวินิจฉัยบกพร่องว่าเป็น anxiety แต่ว่าการให้การวินิจฉัยโรคMG ทำ ได้อย่างง่ายๆในคนเจ็บโดยมากด้วยเหตุว่ามีลักษณะจำ เพาะทางคลินิกที่กล่าวมาแล้วข้างต้น การตรวจเพิ่มเติมเพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่แน่นอนรวมทั้งในรายที่อาการไม่กระจ่างยกตัวอย่างเช่น

  • การตรวจ ระบบประสาท เป็นต้นว่าการให้ผู้ป่วยได้ทำกิจกรรมต่อเนื่องที่ทำ     ให้คนเจ็บมีลักษณะ

อ่อนเพลียได้ได้แก่การมองขึ้นนาน1นาทีแล้วตรวจว่าคนเจ็บมีภาวการณ์หนังตาตก มากขึ้นไหม โดยวัดความกว้างของ palpablefissure ที่ตา 2 ข้างการให้ผู้ป่วยเดินขึ้นบันไดหรือลุก-นั่ง สลับกันเป็นระยะเวลาหนึ่งคนไข้จะมีลักษณะอาการอ่อนเพลียขึ้นอย่างชัดเจนรวมทั้งอาการอ่อนแรงดียิ่งขึ้นเมื่อพักสักประเดี๋ยวการให้ผู้ป่วยบอกหรืออ่านออกเสียงดังๆผู้ป่วยจะมีลักษณะเสียงแหบหรือหายไปเมื่อพักแล้วดียิ่งขึ้น

  • Ice test โดยการนำนํ้าแข็งห่อใส่วัสดุดังเช่น นิ้วของถุงมือยาง แล้วนำ ไปวางที่กลีบตาของคนไข้นาน2นาทีประเมินอาการptosisว่าดียิ่งขึ้นหรือเปล่าผู้ป่วย MG จะให้ผลบวก
  • Prostigmintest โดยการฉีด prostigmin ขนาด 1-1.5 มก. ฉีดเข้าทางกล้าม แล้วประเมินที่ 15, 20, 25 และ 30 นาทีโดยประเมินอาการภาวะหนังตาตกอาการเหน็ดเหนื่อยหรือเสียงแหบได้ผลบวกราวจำนวนร้อยละ90 เป็นคนป่วยจะมีอาการดีขึ้นอย่างชัดเจน คนเจ็บบางทีอาจเกิดลักษณะของการปวดท้องอย่างรุนแรง หรือหัวใจเต้นช้าลงจากฤทธิ์ของยาวิธีปรับแก้เป็นฉีดยา atropine 0.6 มก.ทางหลอดโลหิตดำ ซึ่งหมอบางท่านเสนอแนะ ให้ฉีดยาatropineก่อนจะกระทำการทดลอง
  • การวิเคราะห์เลือด หมอจะตรวจนับปริมาณของแอนติบอดี้ ผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามอ่อนล้านั้นจะมีจำนวนของแอนติบอดี้ที่ไปยับยั้งรูปแบบการทำงานของกล้ามมากมายแตกต่างจากปกติ ส่วนใหญ่จะตรวจเจอแอนติบอดี้ชนิด Anti-MuSK
  • การตรวจการชักนำประสาท (Nerve Conduction Test) ทำได้ 2 แนวทาง คือ Repetitive Nerve Stimulation Test เป็นการทดสอบด้วยการกระตุ้นเส้นประสาทซ้ำๆเพื่อมองการทำงานของมัดกล้าม โดยการต่อว่าดขั้วไฟฟ้าที่ผิวหนังบริเวณที่เจออาการเหน็ดเหนื่อย รวมทั้งส่งกระแสไฟฟ้าปริมาณเล็กน้อยเข้าไปเพื่อตรวจทานความสามารถของเส้นประสาทในการส่งสัญญาณไปที่มัดกล้าม รวมทั้งการตรวจด้วยกระแสไฟฟ้า (Electromyography) เป็นการวัดกระแสไฟฟ้าจากสมองที่ส่งไปยังกล้ามเพื่อมองลักษณะการทำงานของเส้นใยกล้ามเนื้อเพียงแต่เส้นเดียว (Single-fiber Electromyography หรือ EMG)

การรักษา วัตถุประสงค์สำหรับการรักษาคนเจ็บ MG ของหมอคือการที่คนเจ็บหายจากอาการโดยไม่ต้องกินยาซึ่งมีกลไกในการรักษา 2 ประการเป็น เพิ่มแนวทางการทำ งานของ neuromusculartransmissionลดผลของ autoimmunity ต่อโรค
การดูแลและรักษาจะแบ่งคนป่วยเป็น 2 กรุ๊ปซึ่งมีแนวทางการรักษาต่างกัน

  • คนป่วยที่มีสภาวะกล้ามอ่อนล้าที่บริเวณกล้ามเนื้อตา ( Ocula MG ) ควรจะเริ่มต้นด้วยยา ace-tylcholinesteraseinhibitors ดังเช่นว่า pyridostigmine (mestinon) ขนาดเม็ดละ 60 มก. ครึ่งถึง 1 เม็ด 3 เวลาหลังอาหาร แล้วดูการโต้ตอบว่าอาการหนังตาตกลืมตาตรากตรำมากมายน้อยเพียงใด มีผลแทรกจากยาหรือเปล่า ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นควรเพิ่มยา prednisoloneขนาดโดยประมาณ 15-30มิลลิกรัมต่อวันและร่วมกับการปรับปริมาณยา mestinon ตามอาการ ซึ่งจำนวนมากคนไข้จะใช้ยาขนาดไม่สูงประมาณ 180-240มิลลิกรัมต่อวัน(3-4 เม็ดต่อวัน) ส่วนมากจะตอบสนองดีต่อยา mestinonรวมทั้ง prednisoloneเมื่ออาการดีขึ้นจนปกติระยะเวลาหนึ่งราว 3-6 เดือนค่อยๆลดยา prednisoloneลงอย่างช้าๆประมาณ 5มิลลิกรัมทุกๆเดือนจนกระทั่งหยุดยาพร้อมๆกับ mestinon การลดผลเข้าแทรกของยา prednisolone โดยการให้ยาวันเว้นวันในคนเจ็บ MG ให้ผลดีด้วยเหมือนกันแต่ว่าในวันที่ผู้เจ็บป่วยมิได้ยาprednisolone อาจมีลักษณะโรคMG ได้หากกำเนิดกรณีดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นบางทีอาจต้องให้ยาprednisolone5มิลลิกรัม 1 เม็ดในวันดังที่กล่าวผ่านมาแล้วคนไข้บางรายอาจมีการดำเนินโรคเป็นgeneralized MG โดยมักเกิดขึ้นในปีแรกก็จะต้องให้การรักษาแบบ generalizedMG ถัดไป
  • คนป่วยที่มีสภาวะกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรงบริเวณอื่นๆ(Generalized MG) การดูแลรักษาประกอบด้วยยาmestinon,ยากดภูมิต้านทานแล้วก็การผ่าตัดthymectomyมีแนวทางการกระทำดังนี้

o  คนป่วยทุกคนจำต้องได้รับยา mestinon ขนาดเริ่มต้น 1 เม็ด 3 เวลาหลังอาหารแล้ววัดผลการโต้ตอบว่าดีหรือไม่ โดยการคาดคะเนตอนยาออกฤทธิ์สูงสุดชั่วโมงที่ 1 รวมทั้ง 2 ข้างหลังรับประทานยาและก็ประเมินตอนก่อนกินยาเม็ดถัดไปเพื่อที่จะได้รู้ว่าขนาดของยารวมทั้งความถี่ของการกินยาสมควรหรือเปล่าตามลำดับสิ่งที่ประเมินเป็นอาการของคนป่วย อาทิเช่น อาการลืมตาลำบาก อาการเหน็ดเหนื่อย พูดแล้วเสียงแหบควรปรับขนาดยาและความถี่ทุก2-4สัปดาห์  ปริมาณยาโดยมากราวๆ 6-8 เม็ดต่อวัน ปริมาณยาสูงสุดไม่สมควรเกิน16 เม็ดต่อวัน
o  การผ่าตัด thymectomy คนป่วยgeneralized MG ที่มีอายุน้อยกว่า 45ปีทุกรายควรเสนอแนะ ให้ผ่าตัด thymectomy ร้อยละ 90 ของคนไข้ได้ผลดีโดยประมาณร้อยละ 40 สามารถหยุดยา mestinon หลังผ่าตัดได้ร้อยละ 50 ลดยา mestinon ลงได้เพียงแค่ปริมาณร้อยละ 10 เท่านั้นที่ไม่ได้เรื่อง ตอนที่ผ่าตัดควรจะทำ ในช่วงแรกของการรักษา
o    การให้ยากดภูมิต้านทาน ที่ใช้บ่อยมาก เป็นต้นว่า prednisolone และ azathioprine (immuran)การให้ยาดังที่กล่าวมาแล้วมีข้อบ่งชี้ในกรณี
   การผ่าตัด thymectomyแล้วไม่เป็นผล ช่วงเวลาที่ประเมินว่าการผ่าตัดไม่เป็นผลเป็นราวๆ 1 ปี
  คนไข้ที่มิได้รับการผ่าตัดโดยใช้ร่วมกับยา mestinon
   คนเจ็บทีมีภาวการณ์การหายใจล้มเหลวจากการดำเนินโรคที่รุนแรง

  • การติดต่อขอ[/url] [/i](MG) เนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เป็นโรคที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติจึงไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนและจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
  • การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)


  • กินยาตามแพทย์แนะนำให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่ขาดยา
  • ใช้ชีวิตประจำวันในการออกแรงให้สม่ำเสมอ เหมือนๆกันในทุกๆวันเพื่อแพทย์จะได้จัดปริมาณยา (Dose) ที่กินได้อย่างถูกต้อง
  • กินอาหารคำละน้อยๆ เป็นอาหารอ่อน เพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อช่องปาก และจะได้ไม่สำลัก ระหว่างกิน
  • มีที่ยึดจับในบ้าน เพื่อช่วยในการลุก นั่ง ยืน เดิน ร่วมกับจัดบ้านให้ปลอดภัย ง่ายแก่การใช้ชีวิตที่ไม่ต้องออกแรงมาก รวมทั้งเพื่อการใช้ชีวิตประจำวัน
  • เมื่อออกนอกบ้านต้องวางแผนล่วงหน้า ไม่รีบร้อน ไม่ออกแรงมากเกินปกติ
  • เมื่อเห็นภาพซ้อน ควรปิดตาข้างที่เกิดอาการ จะช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น
  • มีป้ายติดตัวเสมอว่าเป็นโรคอะไร กินยาอะไร รักษาโรงพยาบาลไหน เพื่อมีอาการฉุกเฉิน คนจะได้ช่วยได้ถูกต้องรวดเร็ว
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน
  • กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน ในปริมาณที่ไม่ทำให้เกิดโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน เพื่อลดการแบกน้ำหนักของกล้ามเนื้อและเพื่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
  • พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัดเสมอ
  • รีบไปโรงพยาบาลฉุกเฉินเมื่อมีอาการทางการหายใจ เช่น หายใจไม่ออก/หายใจลำบาก
  • การป้องกันตนเองจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงยังเป็นโรคที่ไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด และโรคที่มีความสัมพันธ์กันก็ยังเป็นโรคที่ส่วนใหญ่ไม่รู้สาเหตุเช่นกันอาทิ เช่น โรคของต่อมไทมัส และโรคของต่อมไทรอยด์ ดังนั้น ปัจจุบัน จึงยังไม่มีวิธีป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)

    ดังนั้นเมื่อมีอาการดังที่ได้กล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะเมื่อมีหนังตาตกหรือแขนขาอ่อนแรงเฉียบพลัน จึงควรรีบพบแพทย์เสมอ เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่รวดเร็วเหมาะสม ซึ่งจะส่งผลให้การรักษาโรคได้ผลดีจนสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ

  • สมุนไพรที่ช่วยป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)

    พืชสมุนไพรที่จะช่วยป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) ได้นั้นควรที่จะต้องมี “สารปรับสมดุล” (adaptogens) เพราะโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) นั้นเกิดขึ้นจากภาวะภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติดังนั้น สารปรับสมดุลจึงจำเป็นสำหรับใช้ป้องกันโรคนี้ มีผู้ให้คำจำกัดความของสารปรับสมดุลไว้หลายประการเช่น หมายถึงสารที่เพิ่มความสามารถของร่างกายในการปรับตัวให้เข้ากับความเครียด โดยการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ระบบประสาทสารสื่อประสาท และการทำงานของต่อมต่างๆภายในร่างกาย เพิ่มความทนทานของอวัยวะต่างๆต่อความเครียด พยาธิสภาพและสิ่งแวดล้อม รวมถึงรักษาการทำงานของระบบเมตาบอไลท์ของร่างกายให้ปกติและมีประสิทธิภาพ มีฤทธิ์ในการนำสมดุลกลับคืนสู่ร่างกาย (balancing) และบำรุงร่างกาย (tonic) นอกจากนี้ยังช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของคนเราโดยลดผลที่เกิดจากการถูกกระตุ้นโดยปัจจัยต่างๆโดยเฉพาะความเครียด การอักเสบ และการเกิดออกซิเดชั่น (oxidation)
    พืชสมุนไพรที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในการปรับสมดุลมีหลายชนิดโดยเฉพาะรากของพืชในวงศ์โสม (Araliaceae) ได้แก่ โสมเกาหลี (Panax ginseng) โสมอเมริกัน (Panax quinquefolius) รวมทั้งพืชสมุนไพรอื่นๆ เช่น ผลมะขามป้อม (Emblica officinalis) ต้นปัญจขันธ์ (Gynostemma pentaphyllum) เห็ดหลินจือ (Ganoderma lucidum) รากชะเอมเทศ (Glycyrrhiza glabra) ผลเก๋ากี้ (Lycium chinensis) และถั่งเช่า (Cordyceps sinensis) เป็นต้น สารสำคัญต่างๆในพืชเหล่านี้ที่แสดงฤทธิ์ปรับสมดุลที่มีรายงานนั้นมีหลายกลุ่ม ได้แก่ สารกลุ่มฟีโนลิก (phenolics) เช่น eleutheroside B ในรากของโสม และ ellagic acid ในผลมะขามป้อม สารกลุ่มเทอร์พีนอยด์ (terpenoids) เช่น zeaxanthin ในผลเก๋ากี้ และไตรเทอร์พีนอยด์ซาโปนิน (triterpenoid saponin) เช่น ginsenosides ในรากโสมเกาหลีและโสมอเมริกัน และ glycyrrhizin ในรากชะเอมเทศเป็นต้น
    เอกสารอ้างอิง

  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์
  • รศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า.Common Pittalls in Myasthenia Gravis.วารสารสมาคมประสาทวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.ปีที่6.ฉบับที่3(กรกฎาคม-กันยายน2554).159-168
  • นพ.เกษมสิน ภาวะกุล (2552). Generalized myasthenia gravis. วารสารอายุรศาสตร์อีสาน.ปีที่ 8. 84-91.
  • สมศักดิ์เทียมเก่า, ศิริพร เทียมเก่า, วีรจิตต์โชติมงคล, สุทธิพันธ์จิตพิมลมาศ.ความชุกและลักษณะทางคลินิกของผู้ป่วยmyasthenia gravis อย่างเดียว และ myasthenia gravisที่มี Srinagarind MedJ 1994;9:8-13. http://www.disthai.com/[/b]
  • Anesthesia issues in the perioperative management of myasthenia gravis.Semin Neurol 2004;24:83-94.
  • Drachman, D. (1994). Myasthenia gravis. N Engl J Med. 330,1797-1810.
  • ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอมจี (Myasthenia gravis หรือ MG).หาหมอ.
  • Hughes BW, Moro De Casillas ML,KaminskiHJ.Pathophysiology of myasthenia gravis. Semin Neurol2004;24:21-30
  • Meriggioli MN,Sanders DB. Myasthenia gravis: diagnosis. Semin Neurol 2004;24:31-9.
  • ดร.ปองทิพย์ สิทธิสาร.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน ผักแปม สมุนไพรปรับสมดุล.ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาบัยมหิดล
  • Juel VC. Myasthenia gravis: management of myasthenic crisis and perioperativeSemin Neurol 2004;24:75- 81.
  • Alsheklee, A. et al.(2009) Incidence and mortality rates of myasthenia gravis and myasthenic crisis in US hospitals.Neurology.72, 1548-1554.
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  • Saguil, A. (2005). Evaluation of the patient with muscle weakness. Am Fam Physician. 71, 1327-1336.
145  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคของกินเป็นพิษ - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: มีนาคม 26, 2018, 06:19:16 pm

โรคอาหารเป็นพิษ (Food poisoning)

  • โรคอาหารเป็นพิษ เป็นยังไง โรคอาหารเป็นพิษเป็นคำกว้างๆที่ใช้อธิบายถึงลักษณะการป่วยที่เกิดขึ้นมาจากการรับประทานอาหาร หรือน้ำที่มีการปนเปื้อน ต้นเหตุอาจเกิดขึ้นจากการแปดเปื้อนเชื้อโรคสารเคมี หรือโลหะหนัก อาทิเช่น ตะกั่ว เป็นต้น   ก่อให้เกิดอาการอ้วก อ้วก ท้องเดิน เจ็บท้อง ซึ่งอาการจำนวนมากมักไม่ร้ายแรง แต่ถ้าเกิดอาการรุนแรงขึ้นอาจทำให้ร่างกายเกิดภาวะเสียน้ำรวมทั้งเกลือแร่จนถึงเป็นอันตรายได้ ของกินเป็นพิษเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สามารถเกิดขึ้นกับทุกเพศ ทุกวัย ตั้งแต่เด็กจนถึงคนชรา โดยยิ่งไปกว่านั้นในประเทศเขตร้อน  โรคของกินเป็นพิษ เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในประเทศที่กำลังปรับปรุง แต่เจอได้เรี่ยรายในประเทศที่ปรับปรุงแล้ว จังหวะการเกิดโรคในเพศหญิงและก็เพศชายเท่ากัน แต่บางทีอาจเจอในเด็กได้สูงขึ้นยิ่งกว่าวัยอื่นๆเพราะว่าแหล่งอาหารเป็นพิษที่สำคัญ คือ อาหารในสถานศึกษา ดังนี้ในประเทศที่กำลังปรับปรุงบางประเทศ มีรายงานเด็กเกิดของกินเป็นพิษได้มากถึงประมาณ 5 ครั้งต่อปีเลยที่เดียว
  • ที่มาของโรคอาหารเป็นพิษ โรคของกินเป็นพิษส่วนมากมีสาเหตุจากทานอาหาร รวมทั้ง/หรือ ดื่มน้ำ/เครื่องดื่มที่แปดเปื้อน แบคทีเรีย รองลงไปเป็นไวรัส นอกจากที่เจอได้บ้างเป็นการแปดเปื้อนปรสิต (Parasite) ดังเช่น บิดมีตัว(Amoeba) ส่วนการแปดเปื้อนของสารพิษ ที่พบได้มาก คือ จากเห็ดพิษ สารพิษแปดเปื้อนในอาหารทะเล สารหนู แล้วก็สารโลหะหนัก มีเชื้อโรคหลายประเภทที่สามารถปล่อยสารพิษ (toxin) ออกมาแปดเปื้อนในอาหารต่างๆยกตัวอย่างเช่น น้ำกิน เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ไข่ นม อาหารทะเล แล้วก็สินค้าจากนม เนยแข็ง ข้าว ขนมปัง สลัด ผัก ผลไม้ ฯลฯ  เมื่อมนุษย์เราทานอาหารที่แปดเปื้อนสารพิษดังที่กล่าวมาแล้ว ก็จะทำให้กำเนิดลักษณะของการปวดท้อง อาเจียน ท้องเสีย  พิษหลายชนิดทนต่อความร้อน หากแม้จะปรุงอาหารให้สุกแล้ว สารพิษก็ยังคงอยู่รวมทั้งนำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคได้  ระยะฟักตัวขึ้นกับจำพวกของเชื้อโรค บางจำพวกมีระยะฟักตัว 1-8 ชั่วโมง บางจำพวก 8-16 ชั่วโมง บางจำพวก 8-48 ชั่วโมง  โดยเชื้อโรคที่เป็นต้นเหตุของโรคของกินเป็นพิษที่พบได้มากในอาหาร คือ
Clostridium botulinum เป็นแบคทีเรีย anaerobic ที่เป็น gram positive ที่เจอได้ในดินแล้วก็น้ำในสิ่งแวดล้อมทั่วไป ชนิดซึ่งสามารถก่อโรคในคนแบ่งได้

  • Proteolytic strain มี type A ทั้งผอง และก็บางส่วนของ type B และ F แบคทีเรียกลุ่มนี้ย่อยอาหารได้ และทำให้ของกินมีลักษณะถูกแปดเปื้อน
  • Non-proteolytic strain ประกอบด้วย type E ทั้งหมดทั้งปวง รวมทั้งเล็กน้อยของ type B และ F แบคทีเรียกลุ่มนี้ไม่ทำให้ของกินมีลักษณะเปลี่ยน

เชื้อนี้เติบโตได้ดีในสภาวะโอบล้อมที่มีออกซิเจนน้อย ก็เลยพบบ่อยในอาหารบรรจุในภาชนะที่ปิดสนิท โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าบรรจุกระป๋องที่ผ่านแนวทางการผลิตผิดสุขลักษณะ ยกตัวอย่างเช่น หน่อไม้ปีบ หน่อไม้ดอง ผักกาดดอง รวมทั้งผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูป พิษที่สร้างจากเชื้อจำพวกนี้นำมาซึ่งอาการอาเจียน ถ่ายท้อง ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน กล้ามเนื้อเมื่อยล้า รวมทั้งบางโอกาสร้ายแรงจนอาจเกิดภาวะหายใจล้มเหลวรวมทั้งเสียชีวิตได้
Vibrio parahaemolyticus ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ชอบเกลือเข้มข้นสูงในการเจริญเติบโต (halophilic vibrio) มีแอนติเจนโอ ("O" antigen) แตกต่าง 12 จำพวก และมีแอนติเจนเค ("K" antigen) ที่ตรวจได้แล้วขณะนี้มี 60 จำพวก พบได้ทั่วไปในอาหารทะเลที่ดิบหรือปรุงไม่สุกพอ
Bacillus cereus เป็นเชื้อที่ไม่ต้องการออกซิเจน สร้างสปอร์ได้ มีพิษ 2 ชนิดคือ จำพวกที่ทนต่อความร้อนได้ ก่อให้เกิดอาเจียน แล้วก็จำพวกที่ทนความร้อนมิได้ส่งผลให้เกิดอาการ อุจจาระร่วงส่วนใหญ่เจอเกี่ยวพันกับข้าว (ยกตัวอย่างเช่น ข้าวผัดในร้านแบบบริการตัวเอง) ผักและก็ของกินแล้วก็เนื้อที่เก็บรักษาผิดจำเป็นต้อง ณ.อุณหภูมิห้องภายหลังจากปรุงแล้ว
S.aureus หลายประเภทที่สร้างพิษ (enterotoxin) ซึ่งคงทนต่ออุณหภูมิที่จุดเดือด เชื้อมักจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนในของกินและก็สร้าง toxin ขึ้น ของกินที่มี enterotoxin ส่วนใหญ่เป็นของกินที่ปรุงและก็สัมผัสกับมือของผู้ทำอาหาร และไม่ได้ทำการอุ่นอาหารด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสมก่อนรับประทานอาหาร หรือแช่ตู้เย็น ดังเช่นว่า ขนมจีน ขนมเอ แคลร์ เนื้อ เมื่ออาหารกลุ่มนี้ถูกทิ้งในอุณหภูมิห้องหลายชั่วโมงต่อเนื่องกันก่อนนำไปบริโภค ทำให้เชื้อสามารถแบ่งตัวและก็สร้างสารพิษที่ทนต่อความร้อนออกมา
ซาลโมเนลลา (Salmonella) พบมากในเนื้อสัตว์ดิบ ไข่ดิบ นม แล้วก็ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนม กระตุ้นให้เกิดอาการท้องร่วง ถ่ายมีมูก อ้วก อาเจียน มีไข้ ด้านใน 4-7 วัน
เอสเชอริเชีย วัวไล (Escherichia coli) หรือเรียกสั้นๆว่า อีโคไล (E. coli) อี.โคไลเป็นแบคทีเรียรูปแท่งย้อมติดสีกรัมลบ มันมีสารพิษนำมาซึ่งอาการท้องเดิน  อี.โคไลมีสารพิษ 2 ชนิด ชนิดหนึ่งเป็นสารที่มีโมเลกุลใหญ่รวมทั้งถูกทำลายให้หมดไปด้วยแนวทางการทำให้อาหารสุก แต่ว่าอีกชนิดหนึ่งที่มันผลิตออกมาพร้อมๆกันนั้น มีโมเลกุลที่เล็กกว่า และเป็นสารทนไฟที่ไม่สามารถที่จะทำลายได้ด้วยความร้อน พิษทั้งสองชนิดมีผลทำให้ท้องเดินเหมือนกัน โดยเหตุนั้นแม้ของกินปนเปื้อนสารพิษนี้แล้วไม่ว่าจะทำให้สุกก่อนไหม ก็จะไม่มีทางทำลายพิษของมันให้หมดไปได้ มีทางเดียวที่จะคุ้มครองป้องกันได้ก็คือทิ้งของกินนั้นไปเสีย
ชิเกลล่า (Shigella) เจอการแปดเปื้อนในสินค้าอาหารสดแล้วก็น้ำดื่มที่ไม่สะอาด รวมถึงอาหารสดที่สัมผัสกับบุคคลที่มีเชื้อโดยตรง เพราะว่าเชื้อจำพวกนี้สามารถกระจายจากบุคคลหนึ่งไปสู่บุคคลหนึ่งได้ นำมาซึ่งอาการอาเจียน คลื่นไส้ ปวดมวนท้อง วันหลังการรับประทานอาหารข้างใน 7 วัน
ไวรัสก่อโรคผ่านทางเดินอาหาร (Enteric Viruses) มีไวรัสหลากหลายชนิด ดังเช่น ไวรัสโนโร (Norovirus) ที่ชอบปนเปื้อนทั้งในผลิตภัณฑ์อาหารสด สัตว์น้ำประเภทมีเปลือก รวมทั้งน้ำที่ไม่สะอาด แสดงอาการภายใน 1-2 วัน หรือเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ (Hepatitis A) ซึ่งสามารถติดต่อด้วยการได้รับเชื้อจากอาหารสดที่สัมผัสกับบุคคลที่มีเชื้อโดยตรง ข้างใน 2-3 อาทิตย์

  • อาการโรคของกินเป็นพิษ อาหารเป็นพิษจากเชื้อโรคต่างๆจะมีลักษณะอาการคล้ายๆกันเป็นปวดท้องในลักษณะปวดบิดเป็นช่วงๆอาเจียน (ซึ่งมักมีเศษอาหารที่เป็นสาเหตุออกมาด้วย) รวมทั้งถ่ายเป็นน้ำบ่อยมาก บางรายอาจมีไข้แล้วก็อ่อนล้าร่วมด้วย โดยปกติ 80 – 90 % ของโรคของกินเป็นพิษมักจะไม่รุนแรง อาการต่างๆมักจะหายได้เองด้านใน ๒๔-๔๘ ชั่วโมง บางประเภทบางทีอาจนานถึงอาทิตย์ ในรายที่เป็นรุนแรง อาจอาเจียนและก็ท้องเดินร้ายแรง กระทั่งร่างกายขาดน้ำและก็เกลือแร่อย่างหนักได้  อาจพบว่า คนที่กินอาหารร่วมกันกับผู้เจ็บป่วย (เป็นต้นว่า งานสังสรรค์ คนในบ้านที่รับประทานอาหารชุดเดียวกัน) ก็มีลักษณะลักษณะเดียวกันกับผู้ป่วยในเวลาไล่เลี่ยกัน

ซึ่งเมื่อเชื้อโรค หรือ สารพิษไปสู่ร่างกาย จะก่ออาการ เร็ว หรือ ช้า  ขึ้นอยู่กับประเภท และปริมาณของเชื้อ หรือ ของสารพิษ ซึ่งเจอกำเนิดอาการได้ตั้งแต่ 2-6 ชั่วโมงข้างหลังรับประทานอาหาร/ดื่มน้ำ ไปจนถึงเป็นวัน หรือ สัปดาห์ หรือ เป็นเดือน (อย่างเช่น ในไวรัสตับอักเสบ เอ) แต่โดยธรรมดา พบบ่อยกำเนิดอาการด้านใน 2-6 ชั่วโมง หรือ 2-3วัน  อาการโดยธรรมดาที่มักพบ จากโรคอาหารเป็นพิษ ยกตัวอย่างเช่น ท้องเดิน อาจเป็นน้ำ มูก หรือ มูกเลือด ปวดท้อง อาจมาก หรือ น้อย ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค มักเป็นการปวดบิด เหตุเพราะการบีบตัวของไส้ คลื่นไส้ อ้วก ในบางรายอาจมีอาเจียนเป็นเลือดได้  เป็นไข้สูง อาจหนาวสั่น แม้กระนั้นบางโอกาสมีไข้ต่ำได้  ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตัว อาจปวดข้อ ขึ้นอยู่กับประเภทของเชื้อหรือ สารพิษดังกล่าวแล้ว  อาจมีผื่นขึ้นตามร่างกาย  อาจมีกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง ดังที่กล่าวถึงแล้วแล้วเช่นเดียวกัน  มีอาการของการสูญเสียน้ำในร่างกาย  เป็นต้นว่า เหน็ดเหนื่อย  เหน็ดเหนื่อยง่าย  ปากแห้ง ตาโบ๋  ฉี่หลายครั้ง

  • ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อกำเนิดโรคอาหารเป็นพิษ
  • มีการกระทำการดูแลรักษาสุขลักษณะไม่ถูกจะต้อง อย่างเช่น ก่อนรับประทานอาหารให้ล้างมือให้สะอาด
  • การบริโภคของกินที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ดังเช่นว่า บริโภคอาหารครึ่งดิบครึ่งสุกบริโภคอาหารที่ไม่มีการปิดบังจากแมลงต่างๆให้มิดชิดการทานอาหารที่ค้างคืนและไม่มีการอุ่นโดยผ่านความร้อนที่เหมาะสม
  • การจัดเก็บรวมทั้งเตรียมอาหารเพื่อปรุงไม่สะอาด เป็นต้นว่าการเก็บเนื้อสัตว์และผักไว้ในที่เดียวกันโดยไม่แยกเก็บ ล้างชำระล้างผักไม่สะอาดทำให้มีสารเคมีหรือยาฆ่าแมลงเหลืออยู่ที่ผัก
  • การเก็บรักษาอาหารที่บูดเสียง่ายไม่ดีพอเพียง อย่างเช่น อาหารพวกที่ทำมาจากการแกงกะทิ อาหารทะเล  อาหารสด  ควรจะเก็บรักษาไว้ในตู้แช่เย็นที่มีอุณหภูมิที่สมควร มีความเย็นทั่วถึงเป็นต้น
  • การเลือดซื้ออาหารบรรจุกระป๋องที่ไม่ได้มาตรฐาน เป็นต้นว่า อาหารบรรจุกระป๋องที่มีรอยบุบ รอยบุ๋ม  อาหารบรรจุกระป๋องที่มีคราบสนิมบริเวณฝาเปิดหรือขอบกระป๋อง ฯลฯ
  • กรรมวิธีรักษาโรคของกินเป็นพิษ แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการแสดงของคนเจ็บเป็นหลัก เป็นต้นว่า อาการปวดท้อง อาเจียน ถ่ายเป็นน้ำ ซึ่งเกิดขึ้นกระทันหัน อาจมีประวัติว่าผู้ที่รับประทานอาหารด้วยกันบางบุคคลหรือผู้คนจำนวนมาก (ได้แก่ ปาร์ตี้ คนในบ้าน) มีอาการท้องเดินในเวลาไล่เลี่ยกัน  ในรายที่มีลักษณะอาการร้ายแรง เป็นไข้สูง หรือสงสัยว่ามีเหตุมาจากปัจจัยอื่น หมออาจทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติมอาทิเช่น  การตรวจเลือด ใช้ในกรณีที่คนเจ็บมีอาการรุนแรงมากกว่าอาการอาเจียนรวมทั้งท้องร่วง หรือมีภาวะการขาดน้ำรวมทั้งเกลือแร่ เพื่อตรวจค้นจำนวนเกลือแร่ (หรืออิเล็กโทรไลต์) ในเลือดและหลักการทำงานของไต หรือในกรณีเสี่ยงต่อการติดต่อของไวรัสตับอักเสบ อาจมีการตรวจการทำงานของตับเพิ่ม  การตรวจอุจจาระเพื่อค้นหาจำพวกของเชื้อโรคด้วยการส่องกล้องกล้องจุลทรรศน์เมื่อผู้เจ็บป่วยมีการติดเชื้อโรคในระบบทางเดินอาหาร อย่างเช่น แบคทีเรีย เชื้อไวรัส เชื้อรา หรือเชื้อปรสิตที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการถ่ายเป็นเลือด

ทั้งนี้การตรวจในห้องปฏิบัติการเพื่อค้นหาสิ่งที่ทำให้เกิดของกินเป็นพิษยังทำได้ด้วยแนวทางการตรวจจำนวนแอนติบอดีในเลือด (Immunological tests) หรือแนวทางอื่นๆได้อีก ซึ่งขึ้นกับลักษณะของผู้เจ็บป่วยแล้วก็ดุลยพินิจของหมอ เพื่อดำเนินงานรักษาอย่างถูกต้องในลำดับต่อไป   
วิธีการรักษาโรคอาหารเป็นพิษ ที่สำคัญที่สุด คือ รักษาประคับ ประคับประคองตามอาการ ดังเช่นว่า คุ้มครองป้องกันภาวการณ์ขาดน้ำและขาดสมดุลของเกลือแร่ซึ่งการดูแลและรักษาโดยให้น้ำเกลือทางเส้นเลือดเมื่อท้องร่วงมาก ยาพารา ยาบรรเทาอาการคลื่นไส้ คลื่นไส้ และก็ยาลดไข้ ยิ่งไปกว่านั้นเป็นการดูแลและรักษาตามต้นสายปลายเหตุ ตัวอย่างเช่นใคร่ครวญให้ยายาปฏิชีวนะ เมื่อมีสาเหตุมาจากติดเชื้อแบคทีเรีย หรือ ให้ยาต้านพิษถ้าเป็นชนิดมียาต้าน แม้กระนั้นคนเจ็บส่วนใหญ่มักมีอาการที่ดียิ่งขึ้นได้ด้วยการดูแลตนเองที่บ้าน สิ่งจำเป็นที่สุดเป็นต้องมานะอย่าให้ร่างกายขาดน้ำ ควรจะกินน้ำเปล่ามากมายๆหรือจิบน้ำเป็นประจำเพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำจากอาการท้องร่วงแล้วก็อ้วกมากจนเกินความจำเป็น

  • การติดต่อของโรคของกินเป็นพิษ โรคอาหารเป็นพิษ เป็นโรคที่มีการรับเชื่อมาจากการรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อนของเชื้อโรคหรือ สารเคมี หรือโลหะหนัก ซึ่งอาจจะมีไวรัสบางชนิดเพียงแค่นั้น ที่สามารถเป็นต้นเหตุของการติดต่อของโรคของกินเป็นพิษได้ อาทิเช่น ไวรัสตับอักเสบ A (Hepatitis A)  ซึ่งสามารถติดต่อด้วยการได้รับเชื้อจากอาหารสดที่มีการสัมผัสโดยตรงกับบุคคลที่มีเชื้อ ซึ่งมีระยะฟักตัว ราวๆ 2 – 3 สัปดาห์ แล้วอาการของโรคจะปรากฏขึ้น
  • การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคอาหารเป็นพิษในผู้ใหญ่แล้วก็เด็กโต
  • หากปวดท้องร้ายแรง ถ่ายท้องร้ายแรง (อุจจาระเป็นน้ำครั้งละมากมายๆ) คลื่นไส้ร้ายแรง (จนดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่หรือน้ำข้าวต้มมิได้) เมื่อลุกขึ้นยืนนั่งมีลักษณะอาการหน้ามืดเป็นลม หรือมีภาวะขาดน้ำร้ายแรง (ปากแห้ง คอแห้ง ตาโบ๋ ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นเร็ว) ต้องไปพบแพทย์อย่างรวดเร็วที่สุด
  • ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ อาจใช้ผงน้ำตาลเกลือแร่ จำพวกสำเร็จรูปที่มีขายในท้องตลาด หรือบางทีอาจผสมเองโดยใช้น้ำสุก 1 ขวดกลมใหญ่ (750 มิลลิลิตร) ใส่น้ำตาลทราย 30 มิลลิลิตร (เท่ากับช้อนยาเด็ก 6 ช้อน หรือช้อนกินข้าวชนิดสั้น 3 ช้อน) รวมทั้งเกลือป่น 2.5 มิลลิลิตร (เท่ากับช้อนยาครึ่งช้อน หรือช้อนยาวที่ใช้คู่กับซ่อมแซมครึ่งช้อน)อุตสาหะดื่มเสมอๆครั้งละ 1 ใน 3 หรือครึ่งแก้ว (อย่าดื่มมากจนถึงคลื่นไส้) ให้ได้มากเท่ากับที่ถ่ายออกไป โดยสังเกตฉี่ให้ออกมากมายและก็ใส
  • ถ้าหากเป็นไข้ ให้ยาลดไข้-พาราเซตามอล
  • ให้กินอาหารอ่อน ตัวอย่างเช่น ข้าวต้ม โจ๊ก งดอาหารรสเผ็ดแล้วก็ย่อยยาก งดผักรวมทั้งผลไม้ ตราบจนกระทั่งอาการจะหายก็ดีแล้ว
  • ห้ามกินยาเพื่อหยุดอึ ด้วยเหตุว่าอาการท้องร่วงจะช่วยขับเชื้อหรือพิษออกมาจากร่างกาย

ในขณะเจ็บท้อง หรือ คลื่นไส้อ้วก ไม่ควรทานอาหาร หรือ กินน้ำเพราะอาการจะรุนแรงขึ้น   กินน้ำสะอาดให้ได้วันละมากมายๆอย่างต่ำ 8-10 แก้ว เมื่อแพทย์ไม่สั่งให้ จำกัดน้ำ  พักผ่อนให้มากๆรักษาสุขอนามัยเบื้องต้น เพื่อคุ้มครองการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น ที่สำคัญ คือ การล้างมือให้สะอาดเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้างหลังการขับ ถ่าย และก่อนกินอาหาร

  • ควรจะรีบไปหาแพทย์ ถ้าหากมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้                คลื่นไส้มาก ถ่ายท้องมากมาย กินไม่ได้ หรือดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ไม่ได้ หรือได้น้อย จนถึงมีภาวการณ์ขาดน้ำออกจะรุนแรง                มีลักษณะอาการถ่ายเป็นมูก หรือมูกปนเลือดตามมา             มีลักษณะหนังตาตก ชารอบปาก แขนขาอ่อนเปลี้ยเพลียแรง หรือหายใจไม่สะดวก          อาการไม่ดีขึ้นข้างใน ๔๘ ชั่วโมง   มีลักษณะอาการเรื้อรัง หรือน้ำหนักลดฮวบฮาบ                สงสัยมีต้นเหตุมาจากสารพิษ ตัวอย่างเช่น สารเคมี พืชพิษ สัตว์พิษ        สงสัยเกิดขึ้นจากอหิวาตกโรค ดังเช่น สัมผัสผู้ที่เป็นอหิวาตกโรค หรืออยู่ในถิ่นที่กำลังจะมีการระบาดของโรคนี้ ในเด็กตัวเล็กๆ (อายุต่ำลงยิ่งกว่า ๕ ขวบ)
  • หากดื่มนมแม่อยู่ ให้ดื่มนมแม่ต่อไป (ถ้าเกิดดื่มนมผสมอยู่ ให้ชงเจือจางเท่าตัวและก็ดื่มต่อไป) และก็ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ หรือน้ำข้าวต้มใส่เกลือเพิ่มเติม เมื่อมีลักษณะดียิ่งขึ้น ให้ทานอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย (ดังเช่นว่า ข่าวต้ม) ไม่ต้องให้ยาที่ใช้แก้ท้องร่วงประเภทใดทั้งหมด
  • ถ้าหากถ่ายท้องรุนแรง อ้วกร้ายแรง ดื่มนมหรือน้ำมิได้ ซึม กระสับกระส่าย ตาโบ๋ กระหม่อมบุบมาก (ในเด็กตัวเล็กๆ) หายใจหอบแรง หรืออาการเกิดขึ้นอีกใน ๒๔ ชั่วโมง จำต้องไปพบหมออย่างรวดเร็ว
  • การป้องกันตนเองจากโรคอาการเป็นพิษ วิธีการป้องกัน การคุ้มครองและก็ควบคุมโรคอาหารเป็นพิษทุกปัจจัยมีวิธีการป้องกันโดยใช้กฎหลัก 10 ประการสำหรับการเตรียมอาหารที่ปลอดภัย ดังนี้
  • เลือกอาหารที่ผ่านการเตรียมอย่างดีเยี่ยม
  • ทำอาหารที่สุก
  • ควรทานอาหารที่สุกใหม่ๆ
  • ระมัดระวังของกินที่ปรุงสุกแล้วอย่าให้มีการแปดเปื้อน
  • ของกินที่ค้างมื้อต้องทำให้สุกใหม่ก่อนรับประทาน
  • แยกของกินดิบและอาหารสุก ให้รอบคอบการแปดเปื้อน
  • ล้างมือก่อนสัมผัสอาหารไปสู่ปาก
  • ให้ประณีตบรรจงเรื่องความสะอาดของห้องครัว
  • เก็บอาหารให้ปลอดภัยจากแมลง หนู หรือสัตว์อื่นๆ
  • ใช้น้ำที่สะอาด
  • ไม่กินสุกๆดิบๆระวังการกินเห็ดต่างๆโดยเฉพาะจำพวกที่ไม่เคยทราบ ระมัดระวังการกินอาหารทะเลเสมอ ระวังความสะอาดของน้ำแข็ง
  • เมื่อทานอาหารนอกบ้าน เลือกร้านค้าที่สะอาด เชื่อใจได้
  • เนื้อสัตว์ ปลาสด ในตู้เย็น จำต้องเก็บแยกจากอาหารอื่นๆทุกประเภท และจะต้องอยู่ในภาชนะปิดมิดชิด เพราะเชื้อแบคทีเรียส่วนใหญ่ จะอยู่ในอาหารสดเหล่านี้
  • ไม่ละลายอาหารสดแช่แข็งด้วยการตั้งทิ้งไว้ หรือ แช่น้ำ เนื่องจากว่าเป็นการเพิ่มปริมาณเชื้อโรคจากอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรค ควรจะละลายด้วยไมโครเวฟ
  • รักษาความสะอาดของผักสด อย่างเช่น ถั่วงอก สลัด และอาหารสำเร็จรูปต่างๆ
  • การถนอมของกินอย่างแม่นยำ ทำให้ของกินเป็นกรดที่มี pH < 4.5 หรือให้ความร้อนสูงแล้วก็นานพอเพียงเพื่อทำลาย toxin และการแช่แข็งเพื่อถนอมอาหารเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
  • ถ้าอาหารมีลักษณะผิดปกติอย่างเช่น กระป๋องโป่ง หรือเสียหาย หรือมีรสผิดปกติ อาจมี fermentation เป็นความมีความเสี่ยงต่อการนำโรค
  • บริโภคอาหารกระป๋องที่ผ่านความร้อนเพียงพอที่จะทำลาย toxin ทุกคราว
  • สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/บรรเทาอาการของโรคของกินเป็นพิษ
ขิง  ในขิงนั้นจะมีประโยชน์สำคัญที่ออกฤทธิ์ ชื่อ “Gingerol” (จิงเจอรอล) มีคุณประโยชน์ช่วยบรรเทาลักษณะของการปวดท้อง ท้องขึ้น ท้องอืด สามารถใช้ได้โดยสวัสดิภาพในคุณแม่ที่ให้นมลูกเจริญและไม่มีอันตรายกว่ายาขับลมอื่นๆอีก    นอกเหนือจากนี้ในกรณีที่ท้องเสีย การกินน้ำขิงจะช่วยทำให้การอักเสบที่เกิดขึ้นจากพิษของเชื้อโรคลดน้อยลง และยังช่วยขับเชื้อโรคอีกด้วย แต่แต่ แม้ว่าอาการท้องเสียมีความร้ายแรงก็ควรจะรีบไปพบแพทย์
กระชา[/b]  คุณประโยชน์  เหง้าใต้ดิน – มีรสเผ็ดร้อนขม แก้เจ็บท้อง  เหง้าและก็ราก – แก้บิดมูกเลือด เป็นยาขับฉี่ แก้เยี่ยวทุพพลภาพ
มังคุด  สรรพคุณ  รักษาโรคท้องเดินเรื้อรัง และโรคไส้  ยาแก้ท้องเสีย ท้องเดินยาแก้บิด (ปวดเบ่งและมีมูก และก็อาจมีเลือดด้วย) เป็นยาคุมธาตุ  ยาแก้อาการท้องเสีย ท้องร่วง  ใช้เปลือกผลมังคุดตากแห้งต้มกับน้ำปูนใส หรือฝนกับน้ำกิน ใช้เปลือกต้มน้ำให้เด็กรับประทานทีละ 1-2 ช้อนชา ทุก 4 ชั่วโมง คนแก่ทีละ 1 ช้อนโต๊ะ ทุก 4 ชั่วโมง  ยาแก้บิด (ปวดเบ่งรวมทั้งมีมูกรวมทั้งอาจมีเลือดด้วย)
ใช้เปลือกผลแห้งราวๆ ½ ผล (4 กรัม) ปิ้งไฟให้ไหม้เกรียม ฝนกับน้ำปูนใสราวๆครึ่งแก้ว หรือบดเป็นผง ละลายน้ำสุก รับประทานทุก 2 ชั่วโมง
เอกสารอ้างอิง

146  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคบาดทะยัก- อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: มีนาคม 26, 2018, 02:58:53 pm

โรคบาดทะยัก (Tetanus)

  • โรคบาดทะยักเป็นอย่างไร โรคบาดทะยักเป็นโรคติดเชื้อที่จัดอยู่ในกลุ่มของโรคทางประสาทและกล้าม เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่เป็นอันตรายร้ายแรง สามารถเจอได้ในคนทุกวัย ส่วนมากคนไข้จะมีประวัติมีรอยแผลตามร่างกาย ที่มีบาดแผลเลอะเทอะ หรือขาดการดูแลแผลอย่างแม่นยำ ซึ่งความสำคัญของโรคนี้คือ ผู้เจ็บป่วยจะมีโอกาสเสียชีวิต ส่วนเคยเป็นโรคนี้กาลครั้งหนึ่งและจากนั้นก็ยังสามารถเป็นซ้ำได้อีก แม้กระนั้นปัจจุบันโรคนี้สามารถปกป้องได้ด้วยการฉีดยา

    โรคบาดทะยัก (Tetanus) คำว่า Tetanus มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกเป็น Teinein ซึ่งแปลว่า ‘ยืดออก’ ที่เรียกแบบนี้ เนื่องจากคนไข้ที่เป็นโรคนี้จะมีการหดตัวรวมทั้งแข็งเกร็งตัวของกล้ามเนื้อเกิดขึ้นทั่วตัว โดยที่ทำให้แผ่นหลังมีการยืดตัวออก ซึ่งเป็นอิริยาบถที่เป็นแบบอย่างเฉพาะโรค   คนไข้จะมีอาการเด่นคืออาการกล้ามเกร็ง จำนวนมากการเกร็งจะเริ่มที่กล้ามกราม รวมทั้งแพร่กระจายไปยังกล้ามส่วนอื่นๆการเกร็งแต่ละครั้งมักเป็นอยู่ไม่กี่นาที และเกิดขึ้นบ่อยๆเป็นเวลา 3-4 สัปดาห์ รวมถึงอาจมีอาการอื่นที่บางทีอาจพบร่วม เช่น ไข้ เหงื่อออก ปวดหัว กลืนลำบาก ความดันโลหิตสูง และก็หัวใจเต้นเร็ว  บาดทะยักเป็นโรคที่เจอได้ทั้งโลก แม้กระนั้นพบได้บ่อยหลายครั้งในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศแบบร้อนเปียกชื้น ซึ่งมีดินและสารอินทรีย์อยู่มากมายในปี พ.ศ. 2558 มีกล่าวว่ามีคนไข้โรคบาดทะยักราวๆ 209,000 คนรวมทั้งเสียชีวิตประมาณ 59,000 คนทั่วโลก  การบรรยายถึงโรคนี้เอาไว้เก่าแก่ตั้งแต่สมัยแพทย์ภาษากรีกชื่อฮิปโปกราเตสเมื่อ 500 ปีกลายคริสตกาล สาเหตุของโรคถูกศึกษาและทำการค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2427 โดย Antonio Carle รวมทั้ง Giorgio Rattone แห่งมหาวิทยาลัยทูริน ส่วนวัคซีนถูกสร้างขึ้นคราวแรกเมื่อ พุทธศักราช 2467

  • สิ่งที่ทำให้เกิดโรคบาดทะยัก มีสาเหตุจากเชื้อ Clostridium tetani  ตัวเชื้อมีลักษณะเป็นรูปแท่งที่ปลายมีสปอร์ (Spore) ซึ่งเป็น anaerobic bacteria ย้อมติดสีมึงรมบวก มีคุณลักษณะที่จะอยู่ในรูปแบบของสปอร์ (spore) ที่ทนทานต่อความร้อนและก็ยาฆ่าเชื้อหลายอย่างสามารถสามารถสร้าง exotoxin ที่ไปจับและก็เป็นพิษต่อระบบประสาท  ที่ควบคุมรูปแบบการทำงานของกล้าม ทำให้มีการหดเกร็งตัวอยู่ตลอดระยะเวลา เริ่มต้นกล้ามขากรรไกรจะเกร็ง ทำให้อ้าปากไม่ได้โรคนี้ก็เลยมีชื่อเรียกหนึ่งว่า โรคขากรรไกรแข็ง (lockjaw) คนป่วยจะมีคอแข็ง ข้างหลังแข็ง ถัดไปจะมีลักษณะอาการเกร็งของกล้ามทั่วตัว และก็มีอาการชักได้  เชื้อนี้จะอยู่ตามดินปนทรายแล้วก็มูลสัตว์ สามารถมีชีวิตอยู่นานนับปีรวมทั้งเจริญก้าวหน้าได้ดิบได้ดีในที่ที่ไม่มีออกสิเจน โดยจะสร้างสปอร์ห่อหุ้มตนเอง มีคงทนถาวรต่อน้ำเดือด 100 องศา ได้นานถึง 1 ชั่วโมง อยู่ในภาวะที่ไร้แสงได้นานถึง 10 ปี เมื่อคนเรากำเนิดรอยแผลที่มัวหมองถูกเชื้อโรคนี้ ดังเช่นว่า เลอะถูกดินทรายหรือมูลสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอยแผลที่ปากแผลแคบแม้กระนั้นลึก ยกตัวอย่างเช่น ตะปูตำ ลวดหรือหนามตำเกี่ยว ไม้แทงแทง ฯลฯ (ซึ่งมีออกซิเจนน้อย เหมาะกับการเจริญของเชื้อบากทะยัก) เชื้อโรคก็จะกระจัดกระจายเข้าสู่ร่างกายแล้วปล่อยพิษที่มีชื่อว่า เตตาโนสปาสมิน (Tetanospasmin) ออกมาทำลายระบบประสาท ส่งผลให้เกิดลักษณะของโรคที่กล้ามเนื้อทั่วร่างกาย
  • ลักษณะของโรคบาดทะยัก หลังจากได้รับเชื้อ Clostridium tetani สปอร์ที่เข้าไปตามรอยแผลจะกระจายตัวออกเป็น vegetative form ซึ่งจะแบ่งตัวเพิ่มและก็ผลิต exotoxin ซึ่งจะกระจายจากแผลไปยังปลายประสาทที่แผ่กระจายอยู่ในกล้ามเนื้อ นำมาซึ่งการก่อให้เกิดความผิดแปลกในการควบคุมการเกร็งตัวของกล้าม ระยะจากที่เชื้อไปสู่ร่างกายจนกระทั่งกำเนิดอาการเริ่มต้น คือ มีลักษณะขากรรไกรแข็ง ที่เรียกว่าระยะฟักตัวของโรคราว 3-28 วัน แต่ว่าโดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ราว 8 วัน โดยสามารถแบ่งได้ 2 กรุ๊ปเป็น
  • บาดทะยักในทารกแรกเกิดอาการมักจะเริ่มเมื่อเด็กอ่อนอายุราวๆ 3-10 วัน อาการแรกที่จะสังเกตได้คือ เด็กดูดนมตรากตรำ ไหมค่อยดูดนม เพราะมีขากรรไกรแข็ง อ้าปากมิได้ ถัดมาเด็กจะดูดไม่ได้เลย หน้ายิ้มแสยะ (Risus sardonicus หรือ Sardonic grin) เด็กอาจร้องครวญต่อมาจะมีมือ แขน แล้วก็ขาเกร็ง ข้างหลังแข็งและแอ่น หากเป็นมากจะมีลักษณะอาการชักกระดุกและหน้าเขียวอาการเกร็งข้างหลังแข็งและหลังแอ่นนี้จะเป็นมากขึ้น ถ้ามีเสียงดังหรือเมื่อแตะต้องตัวเด็ก อาการเกร็งชักกระดุกถ้าเกิดเป็นถี่ๆเยอะขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้เด็กหน้าเขียวมากยิ่งขึ้น ทำให้เป็นอันตรายถึงตายได้ไพเราะขาดออกซิเจน
  • บาดทะยักในเด็กโตหรือคนแก่ เมื่อเชื้อเข้าทางบาดแผล ระยะฟักตัวของโรคก่อนจะมีอาการประมาณ 5-14 วัน บางรายอาจนานถึง 1 เดือน หรือยาวนานกว่านั้นได้ กระทั่งครั้งคราวบาดแผลที่เป็นปากทางเข้าของเชื้อบาดทะยักหายไปแล้ว อาการเริ่มแรกที่จะพินิจพบเป็น ขากรรไกรแข็ง อ้าปากมิได้ มีคอแข็ง ต่อจากนี้ 1-2 วัน ก็จะเริ่มมีลักษณะอาการเกร็งแข็งในส่วนอื่นๆของร่างกายเป็น ข้างหลัง แขน ขา เด็กจะยืนแล้วก็เดินข้างหลังแข็ง แขนดูหมิ่นเหยียดหยามเกร็งให้ก้มหลังจะทำไม่ได้ หน้าจะมีลักษณะเฉพาะคล้ายยิ้มแสยะแล้วก็ระยะถัดไปก็อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีอาการกระตุกเหมือนกันกับในทารกแรกคลอด หากมีเสียงดังหรือสัมผัสตัวจะเกร็ง แล้วก็กระดุกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีหลังแอ่น แล้วก็หน้าเขียว บางโอกาสมีลักษณะอาการรุนแรงมากอาจจะทำให้มีการหายใจไม่สะดวกถึงตายได้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคบาดทะยัก  อาการชักกระตุกของกล้ามอย่างรุนแรงของโรคบาดทะยักที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงตั้งแต่นี้ต่อไปตามมา

  • จังหวะการเต้นของหัวใจไม่ดีเหมือนปกติ
  • สมองเสียหายจากการขาดออกสิเจน
  • กระดูกสันหลังและก็กระดูกส่วนอื่นๆหักจากกล้ามที่เกร็งมากมายแตกต่างจากปกติ
  • มีการติดโรคที่ปอดกระทั่งเกิดปอดบวม
  • ไม่อาจจะหายใจได้ ด้วยเหตุว่าการชักเกร็งของเส้นเสียงและก็กล้ามที่ใช้หายใจ
  • การตำหนิดเชื้ออื่นๆเข้าแทรกที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการพักฟื้นหรือรักษาตัวจากโรคบาดทะยักในโรงหมอเป็นเวลานับเป็นเวลาหลายสัปดาห์ถึงนับเป็นเวลาหลายเดือน

การตำหนิดเชื้อโรคบาดทะยักอาจรุนแรงถึงกับตาย โดยที่มาของการตายจากโรคนี้ส่วนใหญ่มีต้นเหตุจากภาวการณ์หายใจล้มเหลว ส่วนปัจจัยอื่นที่ส่งผลให้เกิดการเสียชีวิตได้เช่นกัน ได้แก่ ภาวะปอดอักเสบ การขาดออกซิเจน รวมทั้งภาวการณ์หัวใจหยุดเต้น

  • ปัจจัยเสี่ยงที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคบาดทะยัก โรคบาดทะยักมีเหตุมาจากการตำหนิดเชื้อแบคทีเรีย Clostridium tetani ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่เข้าไปสู่บาดแผล โดยเฉพาะบาดแผลที่ไม่สะอาดหรือรอยแผลที่ขาดการดูแลที่ถูกต้อง ซึ่งรอยแผลที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะก่โรคบาดทะยัก[/url]ได้ อาทิเช่น แผลถลอกปอกเปิก รอยขูด หรือแผลจากการโดนบาด แผลจากการเช็ดกสัตว์กัด ดังเช่นว่า สุนัข ฯลฯ  แผลที่มีการฉีกจนขาดของผิวหนังเกิดขึ้น แผลไฟเผา แผลถูกทิ่มแทงจากตะปูหรือสิ่งของอื่นๆแผลจากการเจาะร่างกาย การสัก หรือการใช้เข็มฉีดยาที่แปดเปื้อนสิ่งสกปรก แผลจากกระสุนปืน กระดูกหักที่ทิ่มแทงผิวหนังออกมาข้างนอก  แผลติดเชื้อโรคที่เท้าในผู้เจ็บป่วยเบาหวาน  แผลบาดเจ็บที่ดวงตา  แผลจากการผ่าตัดที่ปนเปื้อนเชื้อ  การตำหนิดเชื้อที่ฟัน  การตำหนิดเชื้อทางสายสะดือในทารก เพราะวิธีการทำคลอดที่ใช้ของมีคมที่ไม่สะอาดตัดสายสะดือ และก็ยิ่งมีการเสี่ยงสูงเมื่อคุณแม่ไม่ได้ฉีดยาปกป้องบาดทะยักอย่างครบถ้วน  แผลเรื้อรัง  อย่างเช่น  แผลโรคเบาหวาน  รวมทั้งแผลเป็นฝี  แผลจาการเป็นโรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบ
  • กระบวนการรักษาโรคโรคบาดทะยัก แพทย์จะวินิจฉัยโรคบาดทะยักได้จากอาการเป็นหลัก และก็ประวัติการมีบาดแผลตามร่าง กาย การตรวจร่างกาย และประวัติการได้รับวัคซีนบาดทะยัก ซึ่งในบุคคลที่เคยได้รับวัคซีนครบและก็ได้รับวัคซีนกระตุ้นตามที่ได้กำหนด ก็จะไม่มีจังหวะเป็นโรคบาดทะยักสำหรับในการตรวจทางห้อง ปฏิบัติการ ไม่มีการตรวจที่เจาะจงกับโรคนี้ การตรวจจะเป็นเพียงเพื่อแยกโรคอื่นๆที่อาจมีอา การคล้ายคลึงกัน เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น การตรวจหาสารพิษสตริกนีน (Strychnine) คนป่วยที่ได้รับพิษ Strychnine ซึ่งอยู่ในยากำจัดศัตรูพืช จะมีลักษณะหดตัวและแข็งเกร็งของกล้ามคล้ายกับผู้เจ็บป่วยที่เป็นบาดทะยัก หากประวัติการได้รับสารพิษของผู้ป่วยไม่ชัดเจน ก็จำต้องเจาะตรวจหาสารพิษจำพวกนี้ด้วย การตรวจเม็ดเลือดขาวจากเลือด (การตรวจCBC) ส่วนมากจะพบว่าเข้าขั้นปกติ ไม่เหมือนโรคติดเชื้อแบคทีเรียอื่นๆที่มักมีปริมาณเม็ดเลือดขาวขึ้นสูง การตรวจน้ำไขสันหลังจะพบว่าธรรมดา ซึ่งต่างจากโรคติดเชื้ออื่นๆที่ทำให้มีไขสันหลังและก็สมองอักเสบ ที่ทำให้มีลักษณะชักเกร็งคล้ายคลึงกัน

หลังการตรวจวิเคราะห์ ถ้าเกิดหมอใคร่ครวญว่ามีการเสี่ยงหรือแนวโน้มที่จะติดเชื้อบาดทะยักแม้กระนั้นคนไข้ยังไม่มีอาการอะไรก็แล้วแต่ปรากฏให้เห็น กรณีนี้จะรักษาโดยการทำความสะอาดแผลรวมทั้งฉีด Tetanus Immunoglobulin ซึ่งเป็นยาที่ประกอบด้วยแอนติบอดี้ ช่วยฆ่าแบคทีเรียจากโรคบาดทะยักและก็สามารถคุ้มครองป้องกันโรคบาดทะยักได้ในช่วงระยะสั้นๆถึงปานกลาง ยิ่งไปกว่านี้บางทีอาจฉีดวัคซีนคุ้มครองบาดทะยักร่วมด้วยแม้คนเจ็บยังมิได้รับวัคซีนประเภทนี้ถึงกำหนด สำหรับผู้เจ็บป่วยที่เริ่มแสดงอาการของโรคบาดทะยักแล้ว  แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงหมอโดยชอบรับไว้ภายในห้องบำบัดรักษาพิเศษหรือห้องดูแลผู้ป่วยหนักในโรงพยาบาล เพื่อให้หมอดูแลอย่างใกล้ชิด แล้วก็คนไข้มักจะต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนานเป็นอาทิตย์ๆหรือเป็นนานเป็นเดือนๆ   ซึ่งหลักของการดูแลรักษาคนเจ็บโรคบาดทะยักที่ปรากฏอาการของโรคแล้วหมายถึงเพื่อกำจัดเชื้อโรคบาดทะยักที่ผลิตพิษ เพื่อทำลายสารพิษที่เชื้อโรคผลิตแล้ว และการรักษาเกื้อหนุนตามอาการ และก็การให้วัคซีนเพื่อคุ้มครองปกป้องการเกิดโรคอีกโดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

  • การกำจัดเชื้อบาดทะยักที่ผลิตพิษ โดยการให้ยายาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อโรคและก็สปอร์ของเชื้อที่กำลังแตกหน่อ ดังเช่น เพนิซิลิน ยาต่อต้านพิษโรคบาดทะยัก (human tetanus immune globulin ) ถ้าเกิดผู้เจ็บป่วยมีรอยแผลที่ยังไม่หายดี ก็จะพูดแผลให้กว้าง ล้างทำความสะอาดแผลให้สะอาด และก็ตัดเยื่อที่ตายแล้วออก เพื่อเป็นการลดจำนวนเชื้อโรคที่อยู่ในรอยแผล
  • การทำลายสารพิษที่เชื้อโรคผลิตแล้ว ซึ่งจะช่วยลดอัตราการตายได้มาก โดยการให้สารภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี (Antibody) ไปทำลายพิษ ซึ่งสารภูมิต้านทาน อาจได้จากน้ำเหลืองของม้าหรือของคน (Equine tetanus antitoxin หรือ Human tetanus immunoglobulin) ซึ่งแอนติบอดีที่ไปทำลายสารพิษนี้จะทำลายเฉพาะสารพิษที่อยู่ในกระแสโลหิตเท่านั้น ไม่สามารถที่จะทำลายสารพิษที่เข้าสู่เส้นประสาทไปแล้วได้
  • การรักษาจุนเจือตามอาการ ได้แก่ การให้ยาเพื่อลดการยุบตัวและแข็งเกร็งของกล้าม ซึ่งมียาอยู่หลายกลุ่ม ในกรณีที่ใช้ยาไม่ได้ผล ผู้ป่วยยังมีอาการหดเกร็งมากมาย มีความเสี่ยงต่อภาวการณ์หายใจล้มเหลว บางครั้งอาจจะใคร่ครวญให้ยาที่ทำให้เป็นอัมพาตหมดทั้งตัว แล้วใส่เครื่องที่ใช้สำหรับในการช่วยหายใจไว้หายใจแทน
  • คนป่วยที่มีอาการแตกต่างจากปกติจากระบบประสาทอัตโนมัติ ดังเช่นว่า ความดันเลือดขึ้นสูงมากมายก็ให้ยาควบคุมความดันโลหิต หากมีลักษณะอาการหัวใจเต้นช้าหรือหยุดเต้นก็อาจจำเป็นต้องใส่ตัวกระตุ้นหัวใจ
  • การให้วัคซีน ผู้ป่วยทุกรายที่หายจากโรคแล้ว จะต้องให้วัคซีนตามที่ได้กำหนดทุกราย เพราะการต่อว่าดเชื้อโรคบาดทะยักไม่อาจจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาได้
  • การติดต่อของโรคบาดทะยัก โรคบาดทะยักเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจากการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรียที่รอบๆรอยแผลต่างๆโดยเฉพาะรอยแผลที่แคบและก็ลึกที่ไม่สามารถที่จะล้างชำระล้างบาดแผลได้หรือเป็นรอยแผลที่ไม่สะอาด โดยเหตุนี้โรคบาดทะยักนี้ก็เลยไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนอะไร
  • การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคโรคบาดทะยัก หากแพทย์วิเคราะห์แล้วว่ามีการเสี่ยงหรือแนวโน้มที่จะติดเชื้อบาดทะยักแม้กระนั้นยังไม่มีอาการปรากฏ หมอจะทำการรักษาและฉีดวัคซีนปกป้องโรคบาดทะยักให้ แล้วให้กลับไปอยู่บ้าน ดังนั้นข้อควรปฏิบัติตนเมื่ออยู่ที่บ้านคือ
  • รักษาความสะอาดของบาดแผล
  • รักษาสุขลักษณะของร่างกายตามสุขข้อบังคับ
  • รับประทานอาหารที่มีสาระแล้วก็ครบอีกทั้ง 5 หมู่
  • กินยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
  • มาตรวจดังที่หมอนัด

ส่วนในกรณีผู้เจ็บป่วยที่มีลักษณะของโรคปรากฏแล้วนั้น แพทย์ก็จะรับเข้ารักษาในโรงพยาบาลห้องไอซียู เพื่อดูแลเอาใจใส่ด้วยความใกล้ชิดถัดไป

  • การปกป้องคุ้มครองตนเองจากโรคบาดทะยัก บาดทะยักเป็นโรคที่ทำให้เป็นอันตรายร้ายแรง รวมทั้งอาจเสียชีวิตด้านในไม่กี่วันแต่สามารถคุ้มครองปกป้องได้ โดยเหตุนั้นการป้องกันก็เลยเป็นหัวใจของการดูแลรักษาโรคบาดทะยัก ซึ่งมีเนื้อหาดังต่อไปนี้ โรคบาดทะยักมีวัคซีนป้องกัน วัคซีนคุ้มครองโรคบาดทะยักถูกทำแล้วก็ใช้ได้ผลเสร็จในทหารตั้งแต่การทำศึกโรคครั้งที่ 2 ต่อมาวัคซีนชนิดนี้ได้ถูกพัฒนาให้อยู่ในรูปของวัคซีนรวม คอตีบ ไอกรน โรคบาดทะยัก (DTP) และอาจเป็นแบบวัคซีนรวมอื่นๆการฉีดยา วัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักมักนิยมให้ดังต่อไปนี้

เข็มแรก อายุ 2 เดือน  เข็มที่ 2 อายุ 4 เดือน  เข็มที่ 3 อายุ 6 เดือน  เข็มที่ 4 อายุ 1 ปี 6 เดือนเข็มที่ 5 อายุ 4-6 ปีอีกรอบหนึ่ง  ต่อไปควรมีการฉีดกระตุ้นทุก 10 ปี  ในกรณีที่มีบาดแผลเกิดขึ้น หากว่าเคยฉีดวัคซีนครบ 3 ครั้ง มาข้างใน 5 ปี ไม่ต้องฉีดกระตุ้น แต่ว่าหากเกินกว่า 5 ปี จำเป็นต้องฉีดกระตุ้น 1 ครั้ง หญิงมีครรภ์ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนคุ้มครองบาดทะยักมาก่อน ควรจะฉีดวัคซีนปกป้องโรคนี้รวม 3 ครั้ง โดยเริ่มฉีดเข็มแรกเมื่อฝากครรภ์ครั้งแรก เข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรกอย่างต่ำ 1 เดือน และก็เข็มที่ 3 ห่างจากเข็มที่ 2 อย่างต่ำ 6 เดือน (ถ้าฉีดไม่ทันขณะตั้งครรภ์ ก็ฉีดหลังคลอด)  ถ้าหากหญิงตั้งท้องเคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคนี้มาแล้ว 1 ครั้ง ควรให้อีก 2 ครั้ง ห่างกันอย่างต่ำ 1 เดือน ในระหว่างมีครรภ์  หากหญิงตั้งครรภ์เคยได้รับวัคซีนปกป้องโรคนี้ครบชุด (3 ครั้ง) มาแล้วเกิน 5 ปี ให้ฉีดกระตุ้นอีกเพียง 1 ครั้ง แม้กระนั้นถ้าเกิดเคยฉีดครบชุดมาแล้วไม่เกิน 5 ปี ก็ไม่ต้องฉีดกระตุ้น  สำหรับในเด็กที่แก่กว่า 7 ปีขึ้นไปและในผู้ใหญ่ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน หรือได้รับวัคซีนในวัยเด็กไม่ครบ หรือได้รับมาเกิน 10 ปีแล้ว ให้ฉีดวัคซีนโรคบาดทะยัก - คอตีบ 3 เข็ม โดยฉีดเข็มที่ 2 ให้ห่างจากเข็มแรก 4 อาทิตย์ เข็มที่ 3 ให้ห่างจากเข็มที่ 2 โดยประมาณ 6 -12 เดือน และฉีดกระตุ้นๆทุกๆ10 ปีตลอดกาล
เมื่อมีบาดแผลจำเป็นต้องทำแผลให้สะอาดโดยทันที โดยการฟอกด้วยสบู่ล้างด้วยน้ำที่สะอาดเช็ดด้วยยาฆ่าเชื้อ ยกตัวอย่างเช่น แอลกอฮอล์ 70% หรือทิงเจอร์ใส่แผลสด พร้อมทั้งให้ยารักษาการติดเชื้อโรคหากแผลลึกจะต้องใส่ drain ด้วย
ใช้ผ้าปิดรอยแผลเพื่อแผลสะอาดแล้วก็ปกป้องจากการสัมผัสเชื้อแบคทีเรียของแผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผลพุพองที่กำลังแห้งจะยิ่งมีความเสี่ยงต่อการตำหนิดเชื้อ จำเป็นต้องปิดแผลไว้จนกระทั่งแผลเริ่มก่อตัวเป็นสะเก็ด นอกจากนี้ควรจะเปลี่ยนผ้าทำแผลแต่ละวัน อย่างน้อยวันละ 1 ครั้งหรือเมื่อใดก็ตามที่ผ้าปิดแผลเปียกน้ำหรือเริ่มสกปรก เพื่อหลีกเลี่ยงจากการต่อว่าดเชื้อ

  • สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/รักษาโรคบาดทะยัก เนื่องด้วยโรคบาดทะยักเป็นโรคที่เป็นการติดโรคแบคทีเรียที่ร้ายแรงแล้วก็มีระยะฟักตัวของโรคที่ค่อนข้างสั้น แม้กระนั้นมีลักษณะอาการแสดงของโรคที่ร้ายแรงรวมทั้งมีความอันตรายถึงชีวิต ซึ่งหลักการใช้สมุนไพรนั้นได้กล่าวเอาไว้ดังนี้
  • ถ้าเกิดเป็นโรคที่ยังพิสูจน์มิได้แจ้งชัดว่ารักษาโดยใช้สมุนไพรได้ผลลัพธ์ที่ดี ก็ไม่สมควรรักษาโดยใช้สมุนไพร ยกตัวอย่างเช่น งูพิษกัด สุนัขบ้ากัด โรคบาดทะยัก กระดูกหัก เป็นต้น
  • กลุ่มอาการบางสิ่งที่ระบุว่า อาจจะเป็นโรคร้ายแรงที่จำต้องรักษาอย่างรีบเร่งอย่างเช่น ไข้สูง ซึม  ไม่มีสติ ปวดอย่างหนัก  อ้วกเป็นเลือด  ตกเลือดจากช่องคลอด  ท้องเดินอย่างรุนแรง  หรือผู้เจ็บป่วยเป็นเด็กรวมทั้งสตรีตั้งท้อง ควรจะรีบนำหารือแพทย์  แทนที่จะรักษาด้วยสมุนไพร
  • การใช้ยาสมุนไพรนั้น ควรจะค้นคว้าจากหนังสือเรียน หรือปรึกษาท่านผู้รอบรู้  โดยใช้ให้ถูกส่วน ใช้ให้ถูกแนวทาง  ใช้ให้ถูกโรค  ใช้ให้ถูกคน
  • ไม่สมควรใช้สมุนไพรต่อเนื่องกันเป็นเวลานานๆด้วยเหตุว่าพิษอาจจะสะสมได้
เอกสารอ้างอิง

  • โรคบาดทะยัก (Tetanus). สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.บาดทะยัก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 294.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.ตุลาคม.2547
  • บุญเยี่ยม เกียรติวุฒิ และคณะ. (2527). โรคบาดทะยัก.ใน บุญเยี่ยม เกียรติวุฒิ และคนอื่นๆ (บรรณาธิการ), โรคติดต่อระหว่างคนและสัตว์ (หน้า 80-82). บัณฑิตการพิมพ์ : กรุงเทพมหานคร.
  • พญ.สลิล ศิริอุดมภาส.บาดทะยัก (Tetanus).หาหมอ.com.( ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.”บาดทะยัก (Tetanus).(นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).หน้า 590-593.
  • Elias Abrutyn, tetanus, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 15th edition, Braunwald , Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2001
  • "Tetanus Symptoms and Complications". cdc.gov. January 9, http://www.disthai.com/[/b]
  • สมจิต หนุเจริญกุล. (2535). การพยาบาลผู้ป่วยบาดทะยัก.ในการพยาบาลอายุรศาสตร์ เล่ม 1 (หน้า 57-59). วี.เจ.พริ้นติ้ง : กรุงเทพมหานคร.
  • Atkinson, William (May 2012). Tetanus Epidemiology and Prevention of Vaccine-Preventable Diseases (12 ). Public Health Foundation. pp. 291–300. ISBN 9780983263135. สืบค้นเมื่อ 12 February 2015.
  • สุรเกียรติ อาชานานุภาพ. บาดทะยัก หมอชาวบ้าน ปีที่ 17 ฉบับที่ 194 มิถุนายน 2538. หน้า 25-27
  • บาดทะยัก-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์.com(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • สมุนไพร.ศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี.คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี.มหาวิทยาลัยมหิดล.


Tags : โรคบาดทะยัก
147  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคเชื้อไวรัสตับอักเสบ - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: มีนาคม 26, 2018, 09:44:34 am

โรคเชื้อไวรัสตับอักเสบ (Viral hepatitis)

  • โรคไวรัสตับอักเสบคืออะไร ตับนับเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย ซึ่งปกติแล้วจะมีน้ำหนักประมาณ 1.5 กิโลกรัม อยู่หลังกระบังลมรวมทั้งมีหน้าที่ที่สำคัญต่างๆดังต่อไปนี้ เป็นคลังเก็บของสะสมของกิน อาทิเช่น แป้ง ไขมัน โปรตีน เอาไว้ใช้ และปล่อยเมื่อร่างกายอยากได้ สังเคราะห์สารต่างๆยกตัวอย่างเช่น น้ำดี สารควบคุมการแข็งตัวของเลือด ฮอร์โมน กำจัดพิษ แล้วก็สิ่งปลอมปน เป็นต้นว่าเชื้อโรค หรือยา แต่ในขณะนี้คนประเทศไทยมีอัตราการตายด้วยโรคที่เกี่ยวกับตับสูงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคโรคตับแข็ง โรคมะเร็งตับ สภาวะไขมันสะสมในตับ และโรคตับอักเสบ ผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยซึ่งเกิดจากโรคตับอักเสบพบได้ทุกวัย ทั้งชายและหญิง โดยมากเป็นโรคตับอักเสบรุนแรง ส่วนน้อยเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังและอาจมีภาวะแทรกซ้อนของโรคตับแข็ง ตับวาย มะเร็งตับ

    ตับอักเสบ เป็นสภาวะด้านการแพทย์ที่มีการอักเสบของตับแล้วก็เกิดการทำลายของเซลล์ตับ ทำให้แนวทางการทำหน้าที่ต่างๆของตับเปลี่ยนไปจากปกติ ร่างกายบางทีอาจออกอาการป่วยไข้บางส่วนหรือเปล่าออกอาการเลยแต่ว่าชอบนำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการโรคตับเหลือง อาการเบื่ออาหาร และลักษณะของการมีไข้ 
    ต้นเหตุของโรคตับอักเสบ ที่มักพบที่สุดคือ การตำหนิซนเชื้อไวรัส รองลงมามีสาเหตุจาก พิษสุรา เชื้อแบคทีเรีย เชื้อโปรโตซัวเลปโตสไปโสสิส พยาธิ ยาบางจำพวก สารเคมี โดยส่วนมากจะมีต้นเหตุมาจากการตำหนิดเชื้อไวรัสจำพวกต่างๆซึ่งมีอยู่หลายประเภทร่วมกันหมายถึงไวรัสตับอักเสบประเภท อี ซึ่งแต่ละชนิดมีความต่างกันในเนื้อหาโดยทั่วไปเมื่อร่างกายได้รับเชื้อไวรัสตับอับเสบ ระบบภูมิคุ้มกันจะสามารถกำจัดเชื้อรวมทั้งจะหายเองได้ แม้กระนั้นมีบางรายร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อได้หมด กลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง แล้วก็นำไปสู่ภาวการณ์โรคตับแข็งและก็มะเร็งตับต่อไป
    นอกเหนือจากนั้นโรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัส (Viral Hepatitis) เป็นโรคติดเชื้อที่มีความรุ่นแรงสูงและเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญปัญหาหนึ่ง หน่วยงานอนามันโลก หรือ WHO นับว่าโรคนี้คือปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของโลกทีเดียว เพื่อพลเมืองโลกตระหนักถึงภัยจากโรคตับอักเสบ องค์การอนามัยโลกก็เลยประกาศให้วัน ที่ 28 เดือนกรกฎาคมของทุกปีเป็น “วันโรคตับอักเสบโลก (World hepatitis day)”

  • ที่มาของโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบ โรคไวรัสตับอักเสบนั้นนับยอดเยี่ยมในกลุ่มโรคตับอักเสบ ที่มีต้นสายปลายเหตุมมาจากการต่อว่าดเชื้อไวรัส ซึ่งมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส 5 ประเภทหมายถึงHepatitis A virus (HAV), Hepatitis B virus (HBV), Hepatitis C virus (HCV), Hepatitis D virus (HDV) Hepatitis E virus (HEV) นอกนั้นอาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากปัจจัยอื่นหรือเชื้อไวรัสตัวอื่นอีก ซึ่งยังไม่สามารถตรวจเจอได้ เชื้อไวรัสตับอักเสบ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นสามารถแบ่งออกเป็น 2 กรุ๊ป คือ
  • กรุ๊ปที่ติดต่อทางการกิน เป็นต้นว่า HAV รวมทั้ง HEV โดยทั่วไปอาการไม่รุนแรงมากนัก และไม่มีผลข้างๆตามมา คนป่วยที่หายจากการต่อว่าดเชื้อกลุ่มนี้ในระยะเฉียบพลันแล้วจะไม่มีอาการตับอักเสบเรื้อรัง โรคตับแข็ง และก็โรคมะเร็ง
  • กลุ่มที่ติดต่อทางเลือด และก็เซ็กซ์ ดังเช่น HBV รวมทั้ง HCV ไวรัสกลุ่มนี้มีลักษณะเข้าแทรกตามมาได้สูง เพราะว่าผู้เจ็บป่วยเป็นจำนวนมากมีอาการติดโรคเรื้อรัง และก็บางทีอาจเปลี่ยนเป็นโรคตับแข็ง หรือ โรคมะเร็งตับได้
  • ลักษณะของโรคไวรัสตับอักเสบ อาการ ที่แจ้งชัดเป็นอ่อนแรง โรคดีซ่าน (ตาเหลือง ตัวเหลือง เยี่ยวเหลืองราวกับขมิ้น) โดยมักไม่มีอาการไข้ (ตัวร้อน) ร่วมด้วย บางคนอาจมีอาการปวดเสียด หรือจุกแน่น แถวลิ้นปี่ หรือชายโครงขวา (ซึ่งเป็นตำแหน่งของตับ) ในบางคนอาจพินิจได้ว่า ก่อนมีลักษณะโรคดีซ่าน จะมีลักษณะอาการดีซ่าน จะมีอาการจับไข้ อ่อนแรง ไม่อยากกินอาหาร เหมือนไข้หวัดใหญ่ อาจมีอาการอ้วก อาเจียน ถ่าย เหลว หรือท้องเดินร่วมด้วย เมื่อไข้ลด (อาจมีไข้อยู่ 4-5วัน) ก็สังเกตเห็นฉี่เป็นสีเหลืองเข้ม แล้วมองเห็นอาการตาเหลือง ตัวเหลืองตามมา

ยิ่งกว่านั้น หากคนเจ็บได้รับการเจาะเลือดตรวจจะพบว่า ระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีทรานซามิเนส อาทิเช่น เอสจีโอที (SGOT) รวมทั้งเอสจีพีที (SGPT) ขึ้นสูงยิ่งกว่าคนปกติ ทำให้วิเคราะห์ได้แน่นอนว่า อาการโรคตับเหลืองที่เกิดจากโรคตับนั้น เป็นโรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัส ผู้ป่วยจะรู้สึกสบายขึ้น หายเหน็ดเหนื่อย หายไม่อยากกินอาหาร คนที่เป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง จะมีอาการอ่อนล้า เมื่อยล้าง่าย ครั้งคราวมีอาการตาเหลืองนิดหน่อย นานเป็นปีฯ ถึงสิบๆปี ก่อนจะเกิดภาวะเข้าแทรกอื่นๆตามมา ส่วนผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอับเสบบีหรือซี จะไม่มีอาการไม่ดีเหมือนปกติอะไรก็ตามให้เห็นจะรู้ต่อเมื่อตรวจเลือดพบเชื้อเท่านั้น ซึ่งถ้าหากจะแยกอาการตามจำพวกของเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคตับอักเสบนั้นสามารถแยกได้ดังต่อไปนี้
เชื้อไวรัสตับอักเสบเอ จะเกิดอาการตับอักเสบกระทันหันเป็น หมดแรง ไม่อยากอาหาร โรคตับเหลือง โดยในคนแก่จะมีลักษณะมากยิ่งกว่าในเด็ก ไวรัสตับอักเสบเอเป็นเชื้อไวรัสที่เป็นฉับพลัน หายแล้วหายสนิทในมีภูมิคุ้มกันแล้วจะไม่เป็นซ้ำอีก
เชื้อไวรัสตับอักเสบบี การติดเชื้อจากไวรัสจำพวกนี้ชอบทำให้มีการแฝงตัวเป็นเชื้อไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง โดยผลที่เกิดในระยะยาวของการต่อว่าดเชื้อไวรัสบีนั้นคือ ผู้เจ็บป่วยมีการเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะตับแข็ง แล้วก็มะเร็งตับได้ในระยะยาว ถ้าหากมิได้รับการตำหนิดตามรักษาที่เหมาะสม
ไวรัสตับอักเสบ ซี ไวรัสจำพวกนี้มักไม่ก่อให้เกิดอาการผิดปกติอะไรก็ตามจากภาวการณ์ตับอักเสบกระทันหัน แม้กระนั้นจะมีผลให้มีการอักเสบเรื้อรังของตับ เมื่อมีการอักเสบไปนานๆก็จะเกิดพังผืดสะสมในตับจนถึงเปลี่ยนเป็นตับแข็งสุดท้าย
เชื้อไวรัสตับอักเสบ ดี อาการของเชื้อไวรัสประเภทนี้จะมีผลให้เกิดตับอักเสบซ้ำซ้อนขึ้นมา เหมือนกับผู้ป่วยเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
ไวรัสตับอักเสบ อี การเกิดโรคของเชื้อไวรัสจำพวกนี้จะทำให้เกิดตับอักเสบรุนแรง ตัวเหลืองตาเหลือง คนป่วยหลายๆรายอาจมีอาการเหลืองนานเป็นต้นตย์ หรือ สองสามเดือนได้

  • กรุ๊ปบุคคลที่เสี่ยงจะเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ

ไวรัสตับอักเสบจำพวกเอ กลุ่มคนที่เสี่ยงต่อการได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอสูงเป็น กลุ่มที่มีสุขลักษณะหรือการสุขาภิบาลไม่ดี ยกตัวอย่างเช่น ทานอาหารสุกๆดิบๆรับประทานอาการหรือน้ำกินที่ไม่สะอาดและก็ผู้ที่อยู่ในสถานที่แออัด
ไวรัสตับอักเสบชนิดบี เพราะว่า ไวรัสจำพวกนี้มักพบในสารคัดเลือกหลั่งของคนเรา อย่างเช่น เลือด น้ำนม สเปิร์ม น้ำลาย ด้วยเหตุผลดังกล่าวกรุ๊ปเสี่ยงในการติดเชื้อโรคไวรัสชนิดนี้ จึงได้แก้ผู้ที่จำต้องสัมผัสกับสารคัดเลือกหลั่งเหล่านี้ นอกจากนั้นยังสามารถติดโรคจากแม่สู่ลูกได้อีกด้วย
ไวรัสตับอักเสบชนิดซี กรุ๊ปบุคคลที่มีความเสี่ยงสำหรับในการติดโรค ดังเช่นว่า บุคคลที่ใช้เข็มหรือของมีคมร่วมกัน ยกตัวอย่างเช่น ผู้ติดผงขาว กรุ๊ปคนที่ถูกใจสักตามร่างกาย ฯลฯ
ไวรัสตับอักเสบชนิดดี ไวรัสจำพวกนี้เป็นไวรัสที่ชอบพบว่าเกิดขึ้นพร้อมกับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี โดยเหตุนี้กลุ่มเสี่ยงที่จะติดเชื้อโรคไวรัสตับอักเสบดีจึงเป็นกลุ่มที่มีความประพฤติปฏิบัติเสี่ยง เหมือนกับผู้ที่เสี่ยงจะติดเชื้อโรคไวรัสตับอักเสบบี
ไวรัสตับอักเสบประเภทอี ไวรัสประเภทนี้สามารถเจอได้ในคนแล้วก็สัตว์ อย่างเช่น หมูแล้วก็สัตว์อื่นๆรวมทั้งกลุ่มบุคคลที่เสี่ยงตายดเชื้อไวรัสชนิดนี้ดังเช่นบุคคลที่กินอาหารสุบๆดิบๆหรือผู้ที่สีสุขภาวะไม่สะอาดฯลฯ

  • กระบวนการรักษาโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบ หมอวินิจฉัยโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบได้จาก ประวัติความเป็นมาอาการของคนไข้ เรื่องราวสัมผัสโรค (เช่น การกินอาหาร การได้รับเลือด การระบาดของโรคในสถานที่ทำงาน การมีเพศสัมพันธ์สำส่อน หรือการใช้สิ่งเสพติด) การตรวจร่างกาย ถ้ามีลักษณะเด่นชัดหมายถึงมีลักษณะหมดแรง ดีซ่าน โดยมีลักษณะคล้ายไข้หวัดใหญ่นำมาก่อน ไม่มีเรื่องราวดื่มสุราจัด น้ำหนักลดเล็กน้อย (เพียงแค่ 1-2 กก.) ยังกินอาหารได้ กินน้ำได้ ไม่คลื่นไส้ แพทย์จะวิเคราะห์โดยการตรวจร่างกายเพิ่มเติมอีก ตัวอย่างเช่น ตรวจพบตับโตน้อย ลักษณะนุ่ม ไม่เจ็บมากมาย โดยไม่เจอสิ่งผิดปกติอื่นๆรวมทั้งไม่เจอลักษณะของการมีไข้ (ตัวร้อน) ก็บางทีอาจวิเคราะห์ว่าเป็นโรคตับอักเสบจากไวรัส และให้การดูแลช่วงต้นได้ แม้กระนั้นถ้าหากมีอาการไม่แน่ชัด หรือเป็นเรื้อรัง หรือสงสัยมีต้นเหตุที่เกิดจากมูลเหตุอื่น แพทย์จะทำตรวจการทำงานของตับ โดยการหาระดับ SGOTAST,SGPT ALTค่าธรรมดาน้อยกว่า 40 IU/L ถ้าค่ามากยิ่งกว่า 1.5-2 เท่าให้สงสัยว่าตับอักเสบ ถ้าเกิดพบว่าไม่ปกติหมอจะขอตรวจเดือนละครั้งต่อเนื่องกันอย่างต่ำ 3 เดือน การตรวจหาตัวเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ ตรวจค้น Ig M Anti HAV เชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ตรวจหา HBsAg หากบวกแสดงว่ามีเชื้ออยู่   Anti HBs หากบวกแสดงว่ามีภูเขามิต่อเชื้อ  HBeAg ถ้าเกิดบวกหมายความว่าเชื้อมีการแบ่งตัว HBV-DNA เป็นการตรวจเพื่อหาจำนวนเชื้อ เชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี Anti-HCV เป็นการพูดว่ามีภูเขาไม่ต่อเชื้อ  HCV-RNA มองปริมาณของเชื้อ การตรวจดูส่วนประกอบของตับ เป็นต้นว่าการตรวจคลื่นเสียงเพื่อมองว่ามีตับแข็งหรือมะเร็งตับไหม การตรวจชิ้นเนื้อตับ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะนำชิ้นเนื้อตับเพื่อวินิจฉัยความร้ายแรงของโรค    เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคตับอักเสบจากไวรัส แพทย์จะชี้แนะการกระทำตัวต่างๆหากว่าไม่มีอาการอะไรล้นหลามก็จะไม่ให้ยา เนื่องเพราะโรคนี้ไม่มียารักษาเฉพาะเจาะจง รวมทั้งนัดหมายคนป่วยมาตรวจสอบอาการทุก 1-2สัปดาห์ ตราบจนกระทั่งจะมั่นใจว่าหายดี  ผู้เจ็บป่วยโรคตับอักเสบเชื้อไวรัสโดยมากมักมีลักษณะอาการไม่รุนแรง ไม่ได้รับการดูแลรักษาเป็นพิเศษก็หายได้เอง คนเจ็บที่จะต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษเป็นคนที่มีลักษณะอ่อนเพลียมากมาย รับประทานอาหารไม่ได้ อ้วกอาเจียนมาก เจ็บท้องมากมาย ตัวเหลืองจัด ปวดมึนศีรษะรุนแรง พูดไม่เข้าใจ หรือเปล่ารู้สึกตัว และก็หญิงตั้งท้องรวมทั้งผู้เจ็บป่วยที่เป็นโรคอื่นอยู่เดิม  บางคราวอาจให้ยาทุเลาตามอาการ ดังเช่น ยาแก้อ้วก วิตามินบำรุง (ถ้าไม่อยากอาหารมาก) ฉีดกลูโคสหรือให้น้ำเกลือ (หากกินได้น้อย หรือคลื่นไส้มากมาย) ฯลฯ หากว่าตรวจพบว่าเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง (ซึ่ง มักเป็นผลมาจากเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี) ซึ่งจะมีลักษณะอักเสบนานเกิน 6 เดือน หมออาจจะต้องกระทำการตรวจพิเศษ อย่างเช่น เจาะเนื้อตับออกมาพิสูจน์ ตรวจเลือดเพื่อดูสาเหตุของความร้ายแรงรวมทั้งภาวะแทรกซ้อนเป็นระยะการรักษาบางทีอาจฉีดยาอินเตอร์เฟียรอน (interferon) สัปดาห์ละ 3 ครั้ง นาน 4-6 เดือน ยานี้จะช่วยลดปริมาณเชื้อไวรัส รวมทั้งลดการอักเสบของตับ ส่วนผู้ที่ตรวจเจอว่าเป็นพาหะ ของไวรัสตับอักเสบบีหรือซี แพทย์จะแนะนำการกระทำตัว รวมทั้งนัดหมายตรวจทุก 3-6 เดือน ไปเรื่อยเพื่อเฝ้าอาการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด
  • การติดต่อของโรคไวรัสตับอักเสบ


  • เชื้อไวรัสตับอักเสบเอ (hepatitis A virus ย่อว่า HAV) สามารถติดต่อทางระบบทางเดินอาหาร โดยการกินของกิน ดื่มนมหรือน้ำที่แปดเปื้อนอุจจาระของผู้ที่มีเชื้อโรคนี้ (เหมือนกับโรคบิด อหิวาตกโรค ไข้รากสาดน้อย) ดังนั้นจึงสามารถแพร่ได้ง่าย บางทีบางทีอาจพบการระบาดในค่ายทหาร สถานที่เรียน หรือ หมู่บ้าน

ระยะฟักตัวของโรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัสเอ 15-45 วัน (เฉลี่ย 30 วัน)

  • เชื้อไวรัสตับอักเสบบี (hepatitis B virus ย่อว่า HBV) เชื้อนี้จะมีอยู่ในเลือด รวมทั้งยังอาจพบมีอยู่ในน้ำลาย น้ำตา น้ำนม เยี่ยว น้ำกาม น้ำเมือกในช่องคลอด เชื้อสามารถเข้าสู่ร่างกายโดยทางเพศสโมสร หรือถ่ายทอดจากแม่ที่มีเชื้อนี้ไปยังเด็กทารกขณะคลอด นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อโดยทางเลือด ได้แก่ การให้เลือด การฉีดยา การฝังเข็ม การสักตามร่างกาย กระบวนการทำฟัน การใช้เครื่องมือหมอที่มัวหมองเลือดของคนที่มีเชื้อโรคประเภทนี้ เป็นต้น
ระยะฟักตัวของโรคตับอักเสบชนิดบี 30-180 วัน (เฉลี่ย 60-90 วัน)

  • เชื้อไวรัสตับอักเสบซี (hepatitis C virus ย่อว่า HCV) เชื้อนี้สามารถติดต่อชนิดเดียวกันกับเชื้อไวรัสตับอักเสบบีทุกประการ และก็มีการดำเนินของโรคแบบเดียวกับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี กล่าวอีกนัยหนึ่ง อาจทำให้เป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง หรือคนที่ติดเชื้อบางทีอาจไม่มีอาการเปลี่ยนไปจากปกติ แต่ว่ามีเชื้ออยู่ภายในร่างกายสามารถแพร่โรคให้คนอื่นได้ เรียกว่าเป็นพาหะของโรค (carrier) ในที่สุดบางทีอาจกำเนิดโรคแทรกรุนแรงเป็นตับแข็งกับโรคมะเร็งตับ ลักษณะของการเกิดอาการพวกนี้มักจะไม่เจอในคนที่ติดโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ
  • ไวรัสตับอักเสบ ดี เป็นเชื้อไวรัสที่ซ่อนเร้นมาพร้อมกับไวรัสตับอักเสบ บี พบมากในกลุ่มประเทศยุโรป โดยไวรัสตัวนี้ จำเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบของไวรัสตับอักเสบบี สำหรับในการแบ่งตัว โดยเหตุนั้นการติดเชื้อจะเกิดขึ้นพร้อมทั้งเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือกำเนิดในผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีซ่อนเร้นอยู่ ภายในร่างกาย ด้วยเหตุนี้การติดต่อก็เลยมีลักษณะดังไวรัสตับอักเสบประเภทบี
  • เชื้อไวรัสตับอักเสบอี การเกิดโรคในคนนั้นคนป่วยหลายๆรายมีประวัติสัมผัสหรือทานอาหารครึ่งดิบครึ่งสุกซึ่งเป็นเหตุของการติดเชื้อได้ ฉะนั้นการติดต่อของเชื้อไวรัสชนิดนี้ก็เลยมีลักษณะเหมือนกับไวรัสตับอักเสบชนิดเอ
  • การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบ
  • ประพฤติตามแพทย์แล้วก็พยาบาลที่ดูแลรักษาเสนอแนะ
  • พักเต็มกำลัง ควรหยุดงาน หยุดสถานศึกษาตามแพทย์เสนอแนะ
  • ดื่มน้ำสะอาดให้มากๆอย่างน้อยวันละ 8 - 10 แก้วเมื่อไม่มีโรคจำต้องจำกัดน้ำกิน
  • รับประทานอาหารมีประโยชน์ 5 กลุ่ม แม้กระนั้นควรเป็นอาหารอ่อนย่อยง่าย เพิ่มผัก ผลไม้ให้มากมายๆ
  • กินยาบรรเทาอาการต่างๆตามหมอแนะนำ
  • ไม่ซื้อยารับประทานเองเพราะอาจจะเป็นผลให้ตับอักเสบมากขึ้น หรืออาจมีผลกระทบจากยามากขึ้น เนื่องจากว่าตับไม่อาจจะกำจัดยาส่วนเกินออกมาจากร่างกายได้ตามปกติ
  • งดเว้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดเพราะจะเพิ่มการทำลายเซลล์ตับ
  • รักษาสุขลักษณะรากฐาน (สุขข้อบังคับแห่งชาติ) เพื่อให้มีร่างกายแข็งแรง ลดความร้ายแรงของโรค แล้วก็ลดการกระจายเชื้อสู่คนอื่น
  • ล้างมือให้สะอาดเป็นประจำโดยเฉพาะก่อนกินอาหารแล้วก็ข้างหลังการขับถ่าย
  • แยกเครื่องใช้ ของใช้ส่วนตัว โดยยิ่งไปกว่านั้นแก้วน้ำและก็ช้อน
  • เจอหมอตามนัดหมายเสมอ และรีบเจอหมอก่อนนัดหมายเมื่อมีลักษณะแตกต่างจากปกติไปจากเดิม แล้วก็/หรือ เมื่ออาการต่างๆสารเลวลง และ/หรือเมื่อกังวลในอาการ
  • ควรรีบพบแพทย์ก่อนนัดหมายหรือเป็นการฉุกเฉินเมื่อรับประทาน/ดื่มมิได้ หรือเกิดอาการงวยงง รวมทั้ง/หรือซึมลง เพราะบางทีอาจเป็นอาการของตับวาย
  • การป้องกันตัวเองจากโรคไวรัสตับอักเสบ
  • รักษาสุขลักษณะรากฐาน (สุขข้อกำหนดแห่งชาติ) เพื่อลดโอกาสติดเชื้อโรคต่างๆ
  • ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่เสมอโดยยิ่งไปกว่านั้นก่อนอาหารและข้างหลังการขับถ่าย
  • รับประทานแต่อาหารที่ปรุงสุกอย่างทั่วถึง สะอาด ดื่มแต่น้ำสะอาด ระวังการกินน้ำแข็ง รวมทั้งของกินสุกๆดิบๆ
  • รักษาความสะอาดแก้วน้ำรวมทั้งช้อนเสมอ
  • รอบคอบการสัมผัสเลือดรวมทั้งสารคัดเลือกหลั่งของบุคคลอื่น โดยยิ่งไปกว่านั้นการใช้งานเครื่องมือบาง อย่างร่วมกันยกตัวอย่างเช่น เข็มฉีดยา เครื่องมือสักตามร่างกาย รวมทั้งกรรไกรตัดเล็บ
  • ใช้ถุงยางอนามัยชายเสมอเมื่อมีเพศสัมพันธ์
  • ฉีดยาคุ้มครองปกป้องโรคไวรัสตับอักเสบจำพวกมีวัคซีน
  • การฉีดวัคซีนป้องกัน เชื้อไวรัสตับอักเสบบเอ

o          ทารกแรกคลอดทุกราย โดยยิ่งไปกว่านั้นถ้าแม่เป็นพาหะของเชื้อ
o          เด็กทั่วไป เพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทาน
o          เด็กโต วัยรุ่น คนแก่ บางทีอาจเคยติดโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ แล้ว
o         จะเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงต่อโรค

  • การฉีดวัคซีนปกป้อง เชื้อไวรัสตับอักเสบบี

o       ทารกแรกคลอดทุกราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเกิดคุณแม่เป็นพาหะของเชื้อ
o         เด็กทั่วไป เพื่อสร้างเสริมภูมิต้านทาน
o         เด็กโต วัยรุ่น ผู้ใหญ่ อาจเคยติดเชื้อเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี แล้ว ให้ตรวจเลือดก่อนพินิจพิเคราะห์ฉีด วัคซีน

  • สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/รักษาโรคไวรัสตับอักเสบ

    ลูกใต้ใบ หรือ จูเกี๋ยเช่า เป็นหนึ่งสมุนไพรบำบัดตับ ต้นของลูกใต้ใบสามารถแก้ตับอักเสบ ต้นลูกใต้ใบประกอบด้วย สารไกลโคไซด์( Glycosides) ซาโพนิน (Saponin) แทนนิน (tannins) สารฟลาโวนอยด์ (flavonoid) ซึ่งเป็นกลุ่มสารพฤกษเคมี เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพืชนั้น ลูกใต้ใบช่วยบำรุงตับ ลดอาการตับอักเสบ มีผลการวิจัยในสัตว์พบว่า สามารถป้องกันความเป็นพิษของยาพาราเซตตามอลต่อตับได้ และยังมีผลการวิจัยพบสารสกัดจากลูกใต้ใบสามารถป้องกันไม่ให้ตับถูกทำลายจากสารพิษ อย่าง เหล้า ช่วยรักษาการอักเสบของตับทั้งแบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง เช่น โรคไวรัสตับอักเสบบี และยังพบว่าทำให้การตับฟื้นตัวและยับยั้งเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ( HBV) ได้อีกด้วย
    โดยมีการทดลองและศึกษาวิจัยระหว่างคณะแพทย์จากสถาบันวิจัยมะเร็งแห่งฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา และคณะแพทย์อินเดียแห่งเมืองมีคราสได้ศึกษาวิจัยพืชสมุนไพรชนิดต่างๆ ที่มีการใช้รักษาอาการดีซ่านมาตั้งแต่โบราณ โดยได้นำพืชสมุนไพรกว่า 1,000 ชนิดที่ใช้กันทั่วโลกมาทดสอบ
    จากการทดลองพบว่า พืชสมุนไพรหลายชนิดมีฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์ดีเอ็นเอของไวรัสชนิดนี้ และสารสกัดของ ลูกใต้ใบ มีฤทธิ์สูงสุด การทดลองทางคลินิกในเมืองมีคราสทำโดยให้แคปซูลยาสมุนไพร 200 มิลลิกรัมน้ำหนักแห้งแก่ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ บี 37 คน วันละครั้ง 30 วันติดต่อกันพร้อมกับให้ยาหลอกซึ่งภายในแคปซูลบรรจุน้ำตาลแล็กโทสแทน 23 คน หลังจากนั้นเจาะเลือดผู้ป่วยมาตรวจหาเชื้อไวรัส พบว่าผู้ป่วย 22 คน (ร้อยละ 59) ไม่มีเชื้อไวรัสในกระแสเลือด ในขณะที่ผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอกเพียง 1 คนที่ไม่พบเชื้อไวรัสในกระแสเลือด และภายหลังการติดตามผลการรักษาต่อไปอีก 9 เดือน พบว่า ผู้ป่วยทั้ง 22 คน ยังคงตรวจไม่พบเชื้อไวรัสในกระแสเลือดต่อไป
    เห็ดหลินจือ มีสารโพลีแซกคาไรด์ (polysaccharides) ออกฤทธิ์ยับยั้งสารพิษต่อตับ ไม่ให้ทำลายเซลล์ตับ เช่นสาร คาร์บอนเตตราคลอไรด์ ปรับปรุงการทำงานของตับ และยังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีสารกลุ่มไตรเทอร์ปินนอยด์ (triterpenoids) ซึ่งมีสรรพคุณยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งตับ และสารเยอร์มาเนียม(germanium )ที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายและยังมีกรดกาโนเดอลิก (ganoderic acid) กรดลูซิเดนิก (luci denic acid) เป็นสารต่อต้านสารพิษที่มีต่อตับ ยังช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ผิดปกติในตับ
    เอกสารอ้างอิง

  • โรคตับอักเสบ สรุปรายงานการเฝ้าระวังโรคประจำปี 2555.สำนักระบาดวิทยา.กรมควบคุมโรค.กระทรวงสาธารณสุข.
  • ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.ไวรัสตับอักเสบ(Viral hepatitis) .หาหมอดอทคอม.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • รศ.พญ.จันทพงษ์ วะสี. โรคตับอักเสบ จากเชื้อไวรัส.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่81.คอลัมน์โรคน่ารู้.มกราคม.2529
  • มารู้จักไวรัสตับอักเสบกันเถอะ.โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน.คณะเวชศาสตร์เขตร้อน.มหาวิทยาลัยมหิดล.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • รศ.นพ.สุรเกียรต์ อาชานานุภาพ.ตับอักเสบจากไวรัส.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่291.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.กรกฏาคม.2546
  • รศ.จันทร์เพ็ญ วิวัฒน์.การทดลองใช้ยาสมุนไพรรักษาไวรัสตับอักเสบ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่121.คอลัมน์โลกกว้างและการแพทย์.พฤษภาคม.2541 http://www.disthai.com/[/b]
  • ศูนย์ข้อมูลโรคติดเชื้อและพาหนะนำโรค กรมวิทยาศาสตร์ การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
  • Dienstag,J., and Isselbacher, K. (2001). Acute viral hepatitis. In Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, D., Hausen, S., Longo, D., and Jamesson, J. Harrrison’s: Principles of internal medicine. (p1721-1737). New York. McGraw-Hill.
  • สมพนธ์ บุณยคุปต์.(2538).ตับอักเสบ. งานการพยาบาลป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ ภาควิชาพยาบาลศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี.แผ่นพับ.
  • ทวีศักดิ์ แทนวันดี.(ม.ป.ป.).โรคตับอักเสบจากไวรัสซี. เชอริง-พราว จำกัด.
  • ชมรมตับอักเสบแห่งประเทศไทย (ม.ป.ป.).ไวรัสตับอักเสบมฤตยูเงียบ.เชอริง-พราว จำกัด.
  • ยง ภู่วรรณ.(2539).ไวรัสตับอักเสบและการป้องกัน. กรุงเทพฯ : ชัยเจริญ.
148  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคไข้เลือดออก - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: มีนาคม 24, 2018, 04:36:18 pm

โรคไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever)

  • โรคไข้เลือดออกคืออะไร โรคไข้เลือดออก คือ โรคติดเชื้อซึ่งมีเหตุที่เกิดจาก เชื้อไวรัสเดงกี่ (Dengue virus) โดยมียุงลายเป็นพาหนะนำโรคลักษณะโรคนี้มีความคล้ายคลึงกับโรคไข้หวัดในทีแรกๆ (แต่ว่าจะไม่มีอาการน้ำมูลไหล คัดจมูก หรือไอ) จึงทำให้ผู้เจ็บป่วยเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ว่าตนเป็นเพียงแต่โรคไข้หวัด รวมทั้งทำให้ไม่ได้รับการดูแลและรักษาที่ถูกในทันที โรคไข้เลือดออกมีอาการและความรุนแรงของโรคหลายระดับตั้งแต่ไม่มีอาการหรือมีลักษณะนิดหน่อยไปจนถึงเกิดภาวะช็อกซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผู้เจ็บป่วยเสียชีวิต สถิติในปี พ.ศ. 2554 รายงานโดย กรุ๊ปโรคไข้เลือดออก สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า มีอัตราเจ็บไข้ 107.02 และก็อัตราเจ็บป่วยตาย 0.10 ซึ่งแปลว่า ในพลเมืองทุก 100,000 คน จะมีบุคคลที่ป่วยเป็นไข้เลือดออกได้ถึง 107.02 คน แล้วก็มีผู้ตายจากโรคนี้ 0.1 คน เลยทีเดียว ดังนี้โรคไข้เลือดออกยังเป็นโรคระบาดที่พบได้บ่อยแถบบ้านเราและประเทศใกล้เคียง มีการระบาดเป็นระยะๆทั่วในจังหวัดกรุงเทพ และบ้านนอก พบบ่อยการระบาดในช่วงฤดูฝนซึ่งเป็นช่วงที่มียุงลายมาก จากสถิติในปี พุทธศักราช 2556 ของสำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่ามีคนเจ็บปริมาณ 154,444 ราย (คิดเป็นอัตราเจ็บไข้ 241.03 ต่อมวลชน 100,000 ราย) และก็มีจำนวนผู้ป่วยเสียชีวิตปริมาณ 136 ราย (คิดเป็นอัตราเสียชีวิต 0.21 ต่อประชาชน 100,000 ราย)
  • ต้นเหตุของโรคไข้เลือดออก โรคไข้เลือดออกเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่าไวรัสเดงกี Dengue 4 จำพวกคือ Dengue 1, 2, 3 แล้วก็ 4 โดยทั่วไปไข้เลือดออกที่เจอกันธรรมดาทุกปีมักจะเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากเชื้อไวรัสDengue ประเภทที่ 3 หรือ 4 แต่ที่มีข่าวมาในระยะนี้จะเป็นการติดโรคในสายพันธ์2เป็นสายพันธ์ที่พบได้ห่างๆแต่อาการชอบรุนแรงกว่าสายพันธ์ที่ 3, 4 รวมทั้งควรเป็นการต่อว่าดเชื้อซ้ำครั้งที่ 2 (Secondaryinfection) เชื้อไวรัสเดงกี่ เป็น single strandcd RNA เชื้อไวรัส อยู่ใน familyflavivirida มี4 serotypes (DEN1, DEN2, DEN3, DEN4) ซึ่งมีantigen ของกรุ๊ปบางชนิดด้วยกัน ก็เลยทำให้มีcross reaction พูดอีกนัยหนึ่ง เมื่อมีการติดโรคชนิดใดแล้ว จะมีภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสจำพวกนั้นอย่างถาวรชั่วชีวิต รวมทั้งจะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสเดงกี่อีก 3 จำพวก ในตอนระยะสั้นๆราว 6 - 12 เดือน (หรืออาจสั้นกว่านี้) โดยเหตุนี้ผู้ที่อยู่ในเขตพื้นที่ที่มีเชื้อไวรัสเดงกี่มากอาจมีการติดเชื้อ 3หรือ 4 ครั้งได้  การติดเชื้อไวรัสเดงกีมีลักษณะอาการแสดงได้ 3 แบบ คือ ไข้เดงกี (Denque Fever – DF),ชอบกำเนิดกับเด็กโตหรือคนแก่อาจจะมีอาการไม่รุนแรงและไม่สามารถจะวินัจฉัยได้เรื่องอาการทางสถานพยาบาลได้แน่นอนต้องอาศัยการตรวจทางทะเลเหลืองและแยกเชื้อไวรัส ไข้เลือดออก หรือ ไข้เลือดออกเดงกี (Dengue hemorrhagic fever – DHF) แล้วก็ไข้เลือดออกเดงกีที่ช็อก (Denque Shock Syndrome – DSS) เป็นกลุ่มอาการที่เกิดขึ้นต่อจากระยะ DHF เป็นมีการรั่วของพลาสมาออกไปๆมาๆกทำให้คนเจ็บเกิดภาวะช็อก และสามารถตรวจพบรระดับอีมาโตคริต    (Hct)  สูงขึ้นรวมทั้งมีน้ำในเยื่อห่อหุ้มช่วงปอดและก็ท้องอีกด้วย
  • อาการโรคไข้เลือดออก ระยะที่ 1 (ระยะไข้สูง) คนไข้จะจับไข้สูงลอย (กินยาลดไข้ไข้ก็จะไม่ลด) ไข้39 - 41 องศาเซลเซียส โดยประมาณ 2 - 7 วัน ทุกรายจะจับไข้สูงเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ส่วนใหญ่ไข้จะสูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส ไข้บางทีอาจมากถึง 40 - 41 องศาเซลเซียสได้ซึ่งบางรายอาจมี อาการชักเกิดขึ้น ผู้เจ็บป่วยมักจะมีหน้าแดง (Flushed face) บางทีอาจตรวจ เจอคอแดง (Injected pharynx) ได้แต่ส่วนมากผู้เจ็บป่วยจะไม่มีอาการ น้ำมูกไหล หรืออาการไอ ซึ่งช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคที่มีต้นเหตุมากจากฝึกหัดใน ระยะต้น รวมทั้งโรคระบบทางเดินหายใจได้ เด็กโตบางทีอาจบ่นปวดศีรษะ ปวดรอบกระบอกตา ในระยะไข้นี้อาการทางระบบทางเดินอาหารที่มักพบเป็นไม่อยากกินอาหาร คลื่นไส้ บางรายอาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย ซึ่งใน ระยะแรกจะปวดโดยปกติ แล้วก็อาจปวดที่ชายโครงขวาในระยะ ที่มีตับโต ปวดศีรษะ เมื่อยตามตัว อยากดื่มน้ำ ซึม ในบางรายอาจมีอาการปวดท้องในรอบๆใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงด้านขวา หรืออาจมีท้องผูกหรือถ่ายเหลว ส่วนในเด็กอายุต่ำลงยิ่งกว่า 1 ปี บางทีอาจพบอาการไข้สูงร่วมกับอาการชักได้ ระยะที่ 2 (ระยะช็อกและมีเลือดออก หรือ ระยะวิกฤติ) ชอบเจอในไข้เลือดออกที่เกิดขึ้นมาจากเชื้อเดงกีที่มีความรุนแรงขั้นที่ 3 แล้วก็ 4 อาการจะเกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 3-7 ของโรค ซึ่งถือได้ว่าตอนที่วิกฤติของโรค โดยอาการไข้จะเริ่มลดลง แม้กระนั้นคนไข้กลับมีลักษณะอาการทรุดหนัก มีลักษณะอาการเลือดออก : อาการเลือดออกที่พบได้ทั่วไปที่สุดที่ผิวหนัง โดยจะตรวจพบว่าเส้นโลหิตเปราะ แตกง่าย การทำ torniquet test ให้ผลบวกได้ตั้งแต่ 2 - 3 วันแรกของโรค ร่วมกับมีจุดเลือดออกเล็กๆกระจายอยู่ตามแขน ขาลำตัว รักแร้อาจมีเลือดกำเดา หรือเลือดออก ตามไรฟัน ในรายที่ร้ายแรงอาจมีอาเจียน ปวดท้อง และขี้เป็นเลือด ซึ่งชอบเป็นสีดำ (Malena) อาการเลือดออกในทางเดินของกิน มีความผิดปกติของระบบไหลเวียนเลือด หรือช็อก:มักจะกำเนิด ช่วงไข้จะลดเป็นระยะที่มีการรั่วของพลาสมาซึ่งจะพบทุกรายในผู้เจ็บป่วย ไข้เลือดออกเดงกี่ โดยระยะรั่วจะมีโดยประมาณ 24 - 28 ชั่วโมง โดยประมาณ 1 ใน 3 ของคนเจ็บจะมีลักษณะรุนแรงมีภาวะการไหล เวียนล้มเหลวเกิดขึ้น ด้วยเหตุว่ามีการรั่วของพลาสมาออกไปยังช่องปอด/ ช่องท้องมากมาย เกิด hypovolemic shock ผู้ป่วยจะเริ่มมีลักษณะ กระวนกระวาย มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเบาเร็ว(อาจมากกว่า 120 ครั้ง/นาที) ปัสสาวะน้อย ความดันเลือดเปลี่ยน ตรวจเจอ pulse pressure แคบ เท่ากับหรือน้อยกว่า 20 มม.ปรอท (ค่าปกติ30-40มม.ปรอท) สภาวะช็อกที่เกิดขึ้นนี้จะมีการเปลี่ยน อย่างเร็วถ้าเกิดไม่ได้รับการดูแลรักษาคนไข้จะมีลักษณะชั่วโคตรลงรอบปากเขียว ผิวสีม่วงๆตัวเย็นชืด เช็คชีพจรและก็/หรือวัดความดันมิได้ (Profound shock) สภาวะทราบสติเปลี่ยนไป และก็จะเสียชีวิตภายใน 12-24ชั่วโมงหลังเริ่มมีภาวะช็อกหากว่าคนป่วยได้รับการรักษาอาการช็อก อย่างทันทีทันควันแล้วก็ถูกต้องก่อนจะเข้าสู่ระยะ profound shock ส่วนมากก็จะฟื้นได้อย่างเร็ว ระยะที่ 3 (ระยะฟื้นตัว) ในรายที่มีภาวการณ์ช็อกไม่รุนแรง เมื่อผ่านวิกฤติช่วงระยะที่ 2 ไปแล้ว อาการก็จะอย่างเร็ว หรือแม้แต่ผู้เจ็บป่วยที่มีภาวะช็อกรุนแรง เมื่อได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันทีทันควันก็จะฟื้นไปสู่สภาพธรรมดา โดยอาการที่แสดงว่านั้นหมายถึงผู้ป่วยจะเริ่มอยากทานอาหาร แล้วอาการต่างๆก็จะคืนสู่สภาพปกติ ชีพจรเต้นช้าลง ความดันโลหิตกลับมาสู่ธรรมดา เยี่ยวออกมากขึ้น
  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคไข้เลือดออก เพราะโรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่มียุงลายเป็นพาหนะนำโรคดังนั้น ปัจจัยเสี่ยงที่จะกระตุ้นให้เกิดโรคไข้เลือดออกนั้น บางครั้งอาจจะแบ่งได้เป็น 2 กรณี 1.การเช็ดกยุงลายกัด ด้วยความที่เราไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่ายุงตัวไหนมีเชื้อไหมมีเชื้อด้วยเหตุนั้น เมื่อถูกยุงลายกัด ก็เลยมีความเป็นไปได้เสมอว่าพวกเราบางครั้งก็อาจจะได้รับเชื้อไวรัสเดงกีที่นำมาซึ่งโรคไข้เลือดออก โดยยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพวกเราถูกยุงลายกัดในพื้นที่ที่การระบายของโรคไข้เลือดออก หรือ อยู่ในเขตพื้นที่ที่มีความชุกชุมของยุงลายสูง 2.แหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลาย ในเมื่อยุงลายเป็นพาหนะนโรคไข้เลือดออก[/url]แล้วนั้น จึงพอๆกับว่าถ้าหากยุงลายมีจำนวนหลายชิ้นก็จะทำให้เกิดการเสี่ยงในการกำเนิดโรคไข้เลือดออกมากตามมา และก็ถ้าเกิดยุงลายมีปริมาณน้องลง การเสี่ยงที่จะเกิดโรคไข้เลือดออกก็น่าจะต่ำลงตามไปด้วย ด้วยเหตุผลดังกล่าวการควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ก็เลยน่าจะเป็นการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคไข้เลือดออกได้ และหากชุมชนสามารถช่วยเหลือกันกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายได้ก็จะก่อให้ชุมชมนั้น ปลอดจากโรคไข้เลือดออกได้
  • ขั้นตอนการรักษาโรคไข้เลือดออก การวิเคราะห์โรคไข้เลือดออก หมอสามารถวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกได้จากอาการทางสถานพยาบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งลักษณะของการมีไข้สูง 39-41 องศาเซลเซียส หน้าแดง กลีบตาแดง อาจคลำได้ตับโต กดเจ็บ มีผื่นแดง หรือจุดแดงจ้ำเขียว โดยไม่มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ หรือเจ็บคอ ร่วมกับการมีประวัติโรคไข้เลือดออกของอาศัยอยู่บริเวณเดียวกัน หรือมีการระบาดของโรคในช่วงนั้นๆและก็การทดลองทูร์นิเคต์ได้ผลบวก ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการวินิจฉัยโรคนี้ได้ ยิ่งกว่านั้น การส่งไปทำการตรวจเลือด ซีบีซี (CBC) จะตรวจพบเกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวค่อนข้างต่ำรวมทั้งความเข้มข้นของเลือดสูง เพียงเท่านี้ก็สามารถวินิจฉัยโรคได้เป็นส่วนใหญ่แล้ว แต่ว่าในบางราย ถ้าหากอาการ ผลของการตรวจร่างกาย แล้วก็ผลเลือดในพื้นฐานยังไม่อาจจะวินิจฉัยโรคได้ ในขณะนี้ก็มีวิธีการส่งเลือดไปตรวจหาภูมิต้านทานต่อต้านต่อเชื้อไวรัสเดงกี ซึ่งจะช่วยให้การวินิจฉัยโรคนี้ได้อย่างเที่ยงตรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ด้วยเหตุว่ายังไม่มีการพัฒนายาฆ่าเชื้อไวรัสเดงกี่การดูแลรักษาโรคนี้ จึงเป็นการรักษาตามอาการเป็นหลัก พูดอีกนัยหนึ่ง มีการใช้ยาลดไข้ เช็ดตัว แล้วก็การปกป้องภาวการณ์ช็อก ยาลดไข้ที่ใช้มีเพียงแต่ชนิดเดียวหมายถึงยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ปริมาณยาที่ใช้ในผู้ใหญ่เป็น พาราเซตามอลแบบเป็นเม็ดละ500มิลลิกรัมรับประทานครั้งละ1-2เม็ด ทุก 4 - 6 ชั่วโมง โดยไม่ควรกินเกินวันละ 8 เม็ด (4 กรัม) ส่วนขนาดยาที่ใช้ในเด็กเป็น พาราเซตามอลแบบเป็นน้ำ 10-15มก.ต่อ น้ำหนักตัว 1 โลต่อครั้ง ทุก 4 - 6 ชั่วโมง โดยไม่สมควรกิน เกินวันละ5ครั้ง หรือ2.6กรัม ผลิตภัณฑ์พาราเซตามอลแบบเป็นน้ำสำหรับเด็กมีจัดจำหน่ายในหลายความแรงอาทิเช่น 120 มก.ต่อ 1 ช้อนชา (1 ช้อนชา เท่ากับ 5 มล.), 250 มก.ต่อ 1 ช้อนชา, รวมทั้ง 60 มิลลิกรัมต่อ 0.6 มล. ส่วนใหญ่เป็นยาน้ำเชื่อมที่จำเป็นต้องรินใส่ช้อนเพื่อป้อนเด็ก ในกรณีเด็กแรกเกิด การป้อนยาทำได้ค่อนข้างยากก็เลยมีผลิตภัณฑ์ยาที่ทำขายโดยบรรจุในขวดพร้อมหลอดหยด เวลาใช้ก็เพียงแต่ใช้หลอดหยดดูดยาออกจากขวดรวมทั้งนำไปป้อนเด็กได้เลย โดยสาเหตุมาจากที่สินค้าพาราเซตามอลรูปแบบน้ำสำหรับเด็กมีหลายความแรง จะต้องอ่านฉลากและก็การใช้ให้ดีก่อนนำไปป้อนเด็ก กล่าวคือ แม้เด็กหนัก 10 โล รวมทั้งมียาน้ำความแรง 120 มิลลิกรัมต่อ 1 ช้อนชา ก็ควรป้อนยาเด็กทีละ 1 ช้อนชาหรือ 5 มิลลิลิตร และป้อนซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมงแต่ว่าไม่ควรป้อนยาเกินวันละ 5 ครั้ง หากว่าไม่มีไข้ก็สามารถหยุดยาได้ทันที ยาพาราเซตามอลนี้เป็นยารับประทาน ตามอาการ ดังนั้นหากไม่มีไข้ก็สามารถหยุดยาได้ทันทีส่วนยา แอสไพรินรวมทั้งไอบูโปรเฟนเป็นยาลดไข้เช่นกัน แต่ยาทั้งสองประเภทนี้ ห้ามประยุกต์ใช้ในโรคไข้เลือดออก เนื่องจากจะยิ่งสนับสนุนการเกิดสภาวะ เลือดออกไม่ดีเหมือนปกติกระทั่งอาจได้รับอันตรายต่อคนไข้ได้ ในส่วนการคุ้มครองป้องกันภาวะช็อกนั้น ทำได้โดยการชดเชยน้ำ ให้ร่างกายเพื่อไม่ให้ขนาดเลือดลดลดลงจนกระทั่งทำให้ความดันเลือดตก แพทย์จะพินิจพิเคราะห์ให้สารน้ำตามความรุนแรงของอาการ โดยบางทีอาจให้ คนเจ็บดื่มเพียงแค่สารละลายเกลือแร่ โออาร์เอส หรือผู้เจ็บป่วยบางราย บางทีอาจได้รับน้ำเกลือเข้าทางเส้นเลือดดำ  ในกรณีที่ผู้ป่วยเกิดภาวะเลือด ออกแตกต่างจากปกติจนเกิดภาวะเสียเลือดอาจจำต้องได้รับเลือดเสริมเติม แม้กระนั้น จะต้องเฝ้าระวังภาวการณ์ช็อกตามที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น เพราะว่าสภาวะนี้มีความอันตรายต่อชีวิตของผู้ป่วยมหาศาล

  • การติดต่อของโรคไข้เลือดออก การติดต่อของโรคไข้เลือดออก โรคไข้เลือดออก มักติดต่อจากคนไปสู่คน ซึ่งมียุงลายตัวเมีย (Aedes aegypt)  เป็นตัวพาหะที่สำคัญ โดยยุงตัวเมียจะกัดและดูดเลือดของคนไข้ที่มีเชื้อไวรัสเดงกี แล้วต่อจากนั้นเชื้อจะเข้าไปฟักตัวรวมทั้งเพิ่มในตัวยุงลาย ทำให้มีเชื้อไวรัสอยู่ในตัวของยุงตลอดเวลาอายุขัยของมันราว 1 - 2 เดือน แล้วถ่ายทอดเชื้อไปสู่คนที่ถูกกัดได้ในรัศมี 100 เมตร ยุงลายเป็นยุงที่อาศัยอยู่ในบริเวณบ้าน มักออกกัดเวลากลางวัน มีแหล่งเพาะพันธุ์เป็นน้ำนิ่งที่ขังอยู่ในภาชนะเก็บน้ำต่างๆเป็นต้นว่า โอ่งน้ำ แจกันดอกไม้ ถ้วยรองขาตู้ จาน จานชาม กระป๋อง หม้อ ยางรถยนต์ หรือกระถาง ฯลฯ  โรคไข้เลือดออก เจอส่วนมากในช่วงฤดูฝน เหตุเพราะในช่วงฤดูนี้เด็กๆมักจะอยู่กับบ้านมากยิ่งกว่าฤดูอื่นๆอีกทั้งยุงลายยังมีการแพร่พันธุ์มากมายในฤดูฝน ซึ่งในเมืองใหญ่ๆที่มีมวลชนหนาแน่น แล้วก็มีปัญหาทางด้านกายภาพเกี่ยวกับขยะ อย่าง จังหวัดกรุงเทพมหานคร อาจเจอโรคไข้เลือดออกนี้ได้ตลอดทั้งปี

ทราบได้อย่างไรว่าเราไม่สบายเลือดออก ข้อคิดเห็นบางประการที่บางทีก็อาจจะช่วยทำให้สงสัยว่าบางครั้งอาจจะเจ็บป่วยเลือดออก ดังเช่น  เป็นไข้สูง อ่อนเพลียเป็นเกิน 2 วัน  หากมีปวดศีรษะมากมายหรืออ้วกมากร่วมด้วย  ข้างหลังไม่สบาย 2 ถึง 7 วัน แล้วไข้ลดลงเอง เมื่อไข้ลดแล้วมีอาการพวกนี้อย่างใดอย่างหนึ่งอาจจะจับไข้เลือดออกได้ ปวดศีรษะมากมาย เมื่อยล้ามาก อ้วกมาก ทานอาหารมิได้ ปวดท้อง มีจ้ำเลือดเล็กๆบริเวณแขน ขา หรือลำตัว มีเลือดออกตามอวัยวะได้แก่ เลือดกำเดา ถ่ายเป็นเลือด เมนส์มาก่อนกำหนด ฯลฯ

  • การกระทำตนเมื่อเป็นไข้เลือดออก ในระยะ 2 - 3 วันแรกของการเจ็บป่วยถ้าเกิดยังทานอาหารแล้วก็ดื่มน้ำได้ ไม่คลื่นไส้ ไม่ปวดท้อง ไม่มีจ้ำเลือดขึ้นแล้วก็ยังไม่มีอาการเลือดออกหรือภาวการณ์ช็อกเกิดขึ้น ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้ ให้ผู้เจ็บป่วยพักผ่อนมากๆหากจับไข้สูงให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวบ่อยๆรวมทั้งให้ยาลดไข้พาราเซตามอล คนแก่กิน 1-2 เม็ด เด็กโต ½ - 1 เม็ด เด็กเล็กใช้ชนิดน้ำเชื่อม 1- 2 ช้อนชา ถ้าหากยังเป็นไข้กินซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมง ห้ามให้ยาแอสไพริน โดยเด็ดขาด เพราะอาจจะเป็นผลให้มีเลือดออกได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ถ้าเกิดเป็นคนไข้เด็กแล้วก็เคยชัก ควรจะให้รับประทานยากันชักไว้ก่อน รับประทานอาหารอ่อนๆอาทิเช่น ข้าวต้ม โจ๊ก รวมทั้งดื่มน้ำมากมายๆเฝ้าพิจารณาอาการคนไข้อย่างใกล้ชิด หมั่นกินน้ำ หรือเกลือแร โออาร์เอส ให้มากมายๆเพื่อคุ้มครองการช็อกจากการขาดน้ำ และก็แม้มีอาการดังนี้ควรไปพบหมอโดยด่วน  ซึมลงอย่างรวดเร็ว อ่อนเพลียอย่างยิ่ง มีจ้ำเลือดตามร่างกายมาก อาเจียนมาก รับประทานอาหารและก็กินน้ำไม่ได้ มีเลือดออกตามร่างกายยกตัวอย่างเช่น เลือดกำเดา คลื่นไส้เป็นเลือดอึเป็นเลือด หรือเลือดออก ช่องคลอด ปวดท้องมากมาย
  • การป้องกันตนเองจากโรคไข้เลือดออก แม้ว่าในขณะนี้กำลังมีการพัฒนาวัคซีนปกป้องการตำหนิดเชื้อไวรัสเดงกี่ แม้กระนั้นก็ยังไม่มียาที่สามารถทำลายเชื้อเชื้อไวรัสเดงกี่ได้ เพราะฉะนั้นคำตอบที่เหมาะสมที่สุดของโรคไข้เลือดออกในตอนนี้ คือ การคุ้มครองไม่ให้เป็นโรคโดยการควบคุมยุงลายให้มีปริมาณลดน้อยลงซึ่งทำเป็นโดยการควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายและการกำจัดยุงลายอีกทั้งลูกน้ำและตัวเต็มวัย และก็คุ้มครองปกป้องไม่ให้ยุงลายกัด ดังนี้การปกป้องทำเป็น 3 ลักษณะ คือ

การปกป้องคุ้มครองทางกายภาพ ดังเช่น ปิดภาชนะเก็บน้ำด้วยฝาปิด ยกตัวอย่างเช่น มีเขาหินปิดปากโอ่งน้ำ ตุ่มน้ำ ถังเก็บน้ำ หรือถ้าไม่มีฝาปิด ก็วางคว่ำลงถ้าเกิดยังไม่ได้อยากต้องการใช้ เพื่อเป็นการป้องกันและยังเป็นการไม่ให้แปลงเป็นที่ออกไข่ของยุงลาย เปลี่ยนแปลงน้ำในแจกันดอกไม้สดบ่อยๆอย่างน้อยทุกๆ7 วัน ปล่อยปลารับประทานลูกน้ำลงในภาชนะเก็บน้ำ อย่างเช่น โอ่ง ตุ่ม ภาชนะละ 2-4 ตัว รวมทั้งอ่างบัวแล้วก็ตู้ที่เอาไว้เลี้ยงปลาก็จะต้องมีปลารับประทานลูกน้ำเพื่อคอยควบคุมปริมาณลูกน้ำยุงลายด้วยเหมือนกัน ใส่เกลือลงน้ำในจานที่เอาไว้สำหรับรองขาตู้อาหาร เพื่อควบคุมรวมทั้งกำจัดลูกน้ำยุงลาย โดยใส่เกลือ 2 ช้อนชา ต่อความจุ 250 มิลลิลิตร พบว่าสามารถควบคุมลูกน้ำได้เป็นเวลายาวนานกว่า 7 วัน
การปกป้องคุ้มครองทางเคมี อย่างเช่น เพิ่มเติมทรายทีมีฟอส ซึ่งเป็นสารเคมีที่องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ใช้รวมทั้งยืนยันความปลอดภัย เหมาะสมกับภาชนะที่ไม่อาจจะใส่ปลากินลูกน้ำได้  การพ่นสารเคมีหรือยากันยุงเพื่อกำจัดยุงตัวเต็มวัย มีจุดแข็งคือ สมรรถนะสูง แม้กระนั้นข้อผิดพลาดคือ แพงแพง แล้วก็เป็นพิษต่อคนแล้วก็สัตว์เลี้ยง จึงจำเป็นต้องอาศัยผู้ชำนาญสำหรับการฉีดพ่นรวมทั้งฉีดเฉพาะเมื่อต้องเพียงแค่นั้น เพื่อคุ้มครองความเป็นพิษต่อคนรวมทั้งสัตว์เลี้ยง ควรจะเลือกฉีดในเวลาที่มีคนอยู่น้อยที่สุดแล้วก็ฉีดพ่นลงในแหล่งที่คาดว่าเป็นแหล่งเกาะพักของ ดังเช่น ท่อที่มีไว้สำหรับระบายน้ำ เป็นต้น การใช้สารเคมีเพื่อกำจัดยุงในบ้านเรือน ที่ใช้กันมี 2 ประเภทหมายถึงยาจุดกันยุง แล้วก็สเปรย์ฉีดไล่ยุง โดยสารออกฤทธิ์บางทีอาจเป็นยาในกรุ๊ปไพรีทรอยด์ (Pyrethroids), ดีท (DEET, diethyltoluamide) ฯลฯ ก่อนหน้ามียาฆ่ายุงด้วย มีชื่อว่า สารฆ่าแมลงดีดีที แต่สารนี้ถูกยกเลิกการใช้ไปแล้วเหตุเพราะเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตรวมทั้งตกค้างในสภาพแวดล้อมเป็นเวลานานมากมาย อย่างไรก็แล้วแต่ สารเคมีไม่ว่าจากยาจุดกันยุงหรือสเปรย์ฉีดไล่ยุง ก็มีความเป็นพิษต่อคนรวมทั้งสัตว์ ด้วยเหตุนี้เพื่อลดความเป็นพิษดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นควรจะจุดยากันยุงในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ล้างมือทุกหนหลังจากสัมผัส ส่วนยาฉีดไล่ยุงจะมีความเป็นพิษมากยิ่งกว่า ดังนั้นห้ามฉีดลงบนผิวหนัง รวมทั้งควรปฏิบัติตามวิธีใช้ที่ระบุข้างกระป๋องอย่างเคร่งครัด
การกระทำตัว ยกตัวอย่างเช่น นอนในมุ้ง หรือนอนในห้องที่มีมุ้งลวดเพื่อเป็นการป้องกันและยังเป็นการไม่ให้ถูกยุงกัด โดยจะต้องปฏิบัติแบบเดียวกันอีกทั้งช่วงเวลากลางวันและกลางคืน หากไม่อาจจะนอนในมุ้งหรือนอนในห้องที่มีมุ้งลวดได้ ควรจะใช้ยากันยุงชนิดทาผิวซึ่งมีสารสำคัญที่สกัดจากธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น น้ำมันตะไคร้หอม (oil of citronella), น้ำมันยูคาลิปตัส (oil of eucalyptus) ซึ่งมีความปลอดภัยสูงขึ้นยิ่งกว่ามาทาหรือหยดใส่ผิวหนังใช้เป็นยากันยุง แต่ความสามารถจะน้อยกว่า DEET

  • สมุนไพรประเภทไหนที่ช่วยรักษาคุ้มครองปกป้องโรคไข้เลือดออกได้ โดยจากการศึกษาเล่าเรียนข้อมูล พบว่า สามารำใช้ใบมะละกอสดมาคันน้ำดื่มพร้อมกันกับการรักษาแผนปัจจุบัน จะมีผลให้เกล็ดเลือดของคนเจ็บโรคไข้เลือดออกมากขึ้นได้ด้านใน 24 – 48 ชม. ช่วยลดอัตราการตายลงได้ มีงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยรอบรับในหลายประเทศ มีการทดลองในคนรับใช้แล้วได้ผล ดังเช่นว่า อินเดีย ปากีสถาน มาเลเซีย นอกเหนือจากนี้ยังมีการจดสิทธิบัตรน้ำใบมะละกอในต่างถิ่นด้วย ไม่ได้ใช้เฉพาะผู้เจ็บป่วยเกล็ดเลือดต่ำจากไข้เลือดออกเพียงอย่างเดียว แต่ใช้ในกรณีอื่นด้วย ขั้นตอนการรักษาโรคไข้เลือดออกด้วยใบมะละกอสดหมายถึงใช้ใบมะละกอสดประเภทใดก็ได้ราว 50 กรัม จากต้นมะละกอ หลังจากนั้นล้างให้สะอาด และก็กระทำบทให้รอบคอบ ไม่ต้องเพิ่มน้ำ กรองเอากากออก ดื่มน้ำใบมะละกอสดแยกกาก วันละ ครั้งแก้ว หรือ 30 ซีซี ต่อเนื่องกัน 3 วัน โดยแนวทางแบบนี้มีการวิจัยมาแล้วว่าปลอดภัย

สมุนไพรซึ่งสามารถไล่ยุงได้ ตะไคร้หอม ช่วยสำหรับการไล่ยุงเพราะว่ากลิ่นแรงๆของมันไม่เป็นมิตรกับยุงร้าย ในปัจจุบันมีการทำออกมาในรูปของสารสกัดชนิดต่างๆไว้สำหรับคุ้มครองป้องกันยุงโดยยิ่งไปกว่านั้น แต่หากอยากให้ได้ผลดีสุดๆควรที่จะใช้ตะไคร้หอมไล่ยุงจำพวกที่สกัดน้ำมันเพียวๆจากต้นตะไคร้หอมจะดีที่สุด นอกจากกลิ่นจะช่วยขับไล่ยุงแล้ว ยังช่วยไล่แมลงอื่นๆได้อีกด้วยล่ะ เปลือกส้ม ยังมีคุณประโยชน์เป็นสมุนไพรไล่ยุงได้อีกด้วย กรรมวิธีไล่ยุงด้วยเปลือกส้มนั้น เพียงใช้เปลือกส้มที่แกะออกมาจากผลส้มแล้วมาผึ่งให้แห้ง ต่อจากนั้นเอามาเผาไฟ ควันที่เกิดขึ้นรวมทั้งน้ำมันหอมระเหยที่อยู่ในเปลือกส้มมีสรรพคุณอย่างดีเยี่ยมสำหรับในการไล่ยุง  มะกรูด ถือได้ว่าเป็นสมุนไพรที่มากมายไปด้วยผลดี และก็ยังสามารถนำมาเป็นสมุนไพรไล่ยุงได้เป็นอย่างดี กระบวนการเป็น นำผิวมะกรูดสดมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆมาตำกับน้ำเท่าตัวจนกระทั่งแหลกละเอียด จากนั้นให้กรองเอาเฉพาะน้ำ สามารถเอามาทาผิวหรือใส่กระบอกฉีดเพื่อฉีดตามจุดต่างๆของบ้านได้ โหระพา กลิ่นหอมยวนใจแรงของโหระพายังเป็นเอกลักษณ์เฉพาะบุคคลที่ช่วยในการไล่ยุงและก็แมลง ทำให้มันไม่สามารถที่จะทนกับกลิ่นฉุนของโหระพาได้ สะระแหน่ ถือเป็นอีกหนึ่งสมุนไพรที่ให้กลิ่นหอมสดชื่น แม้กระนั้นกลิ่นหอมๆของมันไม่ค่อยถูกกันกับยุงนัก ขั้นตอนการไล่ยุงเพียงนำใบสะระแหน่มาบดขยี้ให้กลิ่นออกมา ต่อจากนั้นนำไปวางตามจุดต่างๆที่มียุงเป็นจำนวนมากหรือสามารถนำใบสะระแหน่มาบดแล้วทาลงบนผิวหนังจะก่อให้ผิวหนังชุ่มชื่นแล้วก็ยังช่วยกันยุงได้อีกด้วย
เอกสารอ้างอิง

  • กลุ่มโรคไข้เลือดออก สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. คู่มือการประเมินผลตามตัวชิ้วัดงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกระดับจังหวัด ปี 2553. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร: 2543.1-12.
  • (ภกญ.วิภารักษ์ บุญมาก).”โรคไข้เลือดออก”ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • สิวิกา แสงธาราทิพย์ ศิริชัย พรรณธนะ(2543).โรคไข้เลือดออก.(พิมพ์ครั้งที่2).พิมพ์ที่บริษัท เรดิเอชั่น จำกัด สำนักงานควบคุมโรคไข้เลือดออก กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข http://www.disthai.com/[/b]
  • สำนักพัฒนาวิชาการแพทย์ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการวินิจฉัยและรักษาไข้เลือดออกในระดับโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด; 2548.8-33.
  • แนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคไข้เลือดออกเดงกี กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวจสาธารณสุข.(2544).กระทรวจสาธารณสุข
  • Sunthornsaj N, Fun LW, Evangelista LF, et al. MIMS Thailand. 105th ed. Bangkok: TIMS Thailand Ltd; 2006.118-33.
  • นพ.สมชาญ เจียรนัยศิลป์.ไข้เลือดออก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่267.คอลัมน์โรคน่ารู้.กรกฎาคม.2544
  • คู่มือวิชาการโรคติดเชื้อเดงกีและโรคไข้เลือดออกเดงกีด้านการแพทย์และสาธารณสุข.สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลงกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข.2558
  • กันยา ห่านณรงค์.โรคไข้เลือดออก.จดหมายข่าว R&D NEWSLETTER.ปีที่23.ฉบับที่1 ประจำเดือนมกราคม-มีนาคม2559.หน้า 14-16
  • รักษา”ไข้เลือดออก”แนวใหม่ใช้ใบมะละกอคั้นน้ำกินเพิ่มเกล็ดเลือด.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://www.dailinews.co.th*politics/232509
  • World Health Organization Regional Office for South-East Asia. Guidelines for treatment of Dengue Fever/Dengue Hemorrhagic Fever in Small Hospitals,1999:28. Available from: http://www.searo.who.int/linkfiles/dengue_guideline-dengue.pdf Accessed May 10, 2012.
  • (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.”ไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever/DHF)” หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.
  • สถานการณ์โรคไข้เลือดออก พ.ศ.2554.กลุ่มโรคไข้เลือดออก สำนักงานโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
[*
149  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza) - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: มีนาคม 24, 2018, 09:26:52 am

โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza)
1.[url=http://www.disthai.com/16816633/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88]โรคไข้หวัดใหญ่[/url] เป็นยังไง  ไข้หวัดใหญ่ หรือ ฟลู (Influenza , Flu) เป็นโรคติดต่อจากเชื้อไวรัสที่ระบบฟุตบาทหายใจเหมือนกันกับหวัด แต่ว่ามีเหตุมาจากไวรัสคนละชนิดและก็มีความรุนแรงสูงขึ้นมากยิ่งกว่าโรคหวัดธรรมดามากมาย และก็เป็นอีกโรคหนึ่งพบมากในทุกกลุ่มวัยทั้งในเด็กจนกระทั่ง ถึงคนชรา และก็ได้โอกาสกำเนิดโรคใกล้เคียงกันอีกทั้งในหญิงและก็ในผู้ชาย  โดยมีลักษณะทางคลินิกที่สำคัญคือ เป็นไข้สูงแบบทันทีทันใด ปวดหัว เมื่อยกล้าม อ่อนเพลีย ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่สำคัญที่สุดโรคหนึ่งในกลุ่มโรคติดเชื้ออุบัติใหม่และโรคติดเชื้อเกิดซ้ำ เพราะว่าเกิดการระบาดใหญ่ทั่วโลก (pandemic) มาแล้วบ่อยครั้ง แต่ละครั้งเกิดขึ้นอย่างมากมายดูเหมือนจะทุกทวีป ทำให้มีผู้เจ็บป่วยและก็เสียชีวิตนับล้านคน

  • ต้นเหตุของไข้หวัดใหญ่ โรคไข้หวัดใหญ่มีเหตุที่เกิดจากการติดเชื้อ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ ที่มีชื่อเรียกว่า อินฟลูเอนซาเชื้อไวรัส (Influenza virus) เป็น RNA เชื้อไวรัส อยู่ในเครือญาติ Orthomyxoviridae ที่พบอยู่ในสารคัดหลั่งของคนเจ็บ ดังเช่น น้ำมูก น้ำลาย และเสลด ฯลฯ เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ มีทั้งหมดทั้งปวง 3 ชนิด คือ เชื้อ influenza A, B รวมทั้ง C รวมทั้ง เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A เป็นจำพวกที่ท้าให้มีการระบาดอย่าง กว้างใหญ่ทั่วโลก ประเภท B ท้าทายให้เกิดการระบาดในพื้นที่ระดับภูมิภาค ส่วนจำพวก C มักเป็นการติดเชื้อที่ออกอาการ น้อยไหมออกอาการ และไม่ท้าทายให้เกิดการระบาด เชื้อไวรัสประเภท A แบ่งเป็นจำพวกย่อย (subtype) ตามความแตกต่างของโปรตีนของเชื้อไวรัสที่เรียกว่า hemagglutinin (H) รวมทั้ง neuraminidase (N) ชนิดย่อยของไวรัส A ที่ศึกษาค้นพบว่าเป็นสาเหตุของการต่อว่าดเชื้อในคนที่เจอในขณะนี้ตัวอย่างเช่น A(H1N1), A(H1N2), A(H3N2), A(H5N1) และก็ A(H9N2) ส่วนเชื้อไวรัสจำพวก B แล้วก็ C ไม่มีแบ่งเป็นจำพวกย่อย
  • อาการโรคไข้หวัดใหญ่ อาการจะเริ่มข้างหลังได้รับเชื้อ 1-4 วัน คนป่วยจะมีไข้สูงแบบทันทีทันควัน ( 38 ซ ในผู้ใหญ่ ส่วนในเด็กชอบสูงกว่านี้) ปวดศีรษะ หนาวสั่น เมื่อยกล้าม อ่อนแรงมาก ปวดกระบอกตาเวลาตาขยับเขยื้อน มีน้ำตาไหลเมื่อมีแสงสว่าง และก็บางทีอาจเจออาการคัดจมูก เจ็บคอ ถ้าหากมีอาการป่วยด้วยระยะเวลานานอาจจะมีอาการไอจากหลอดลมอักเสบ (post viral bronchitis) อาการจะรุนแรงแล้วก็ป่วยเป็นเวลานานกว่าไข้หวัดธรรมดา (common cold) ผู้ป่วยจำนวนมากจะหายปกติด้านใน 1-2 อาทิตย์ แม้กระนั้นมีบางรายที่มีอาการร้ายแรง เพราะมีภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญเป็น ปอดบวม ซึ่งอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้


  • กลุ่มบุคคลแผนการที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคไข้หวัดใหญ่

           เจ้าหน้าที่ทางด้านการแพทย์ และก็ข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับผู้เจ็บป่วยไข้หวัดใหญ่
           คนที่มีโรคเรื้อรัง คือ ปอดอุดกันเรื้อรัง อาการหอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย โรคมะเร็งที่กำลังให้เคมี บรรเทา โรคเบาหวาน ธาลัสซีภรรยา ภูมิต้านทานขาดตกบกพร่อง (รวมทั้งผู้ติดเชื้อโรคไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องที่มีลักษณะอาการ)
           บุคคลที่แก่ 65 ปีขึ้นไป
           หญิงมีท้อง อายุครรภ์ 4 ข้างขึ้นไป
           ผู้ที่มีน้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัมขึ้นไป
           ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตัวเองมิได้
           เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี

  • แนวทางอาการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ การวิเคราะห์โรคโดยอาการทางสถานพยาบาลยังมีข้อจำกัด เพราะว่าอาการเหมือนโรคติดเชื้อทางเดิน หายใจจากเชื้อไวรัสชนิดอื่น การวินิจฉัยควรที่จะใช้ การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อรับรองการวินิจฉัยโรค อย่างเช่นตรวจพบเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในเสลดที่ป้ายหรือดูดจากจมูกหรือคอ หรือ ตรวจเจอแอนติเจนของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ใน epithelial cell จาก nasopharyngeal secretion โดยวิธี fluorescent antibody หรือ ตรวจเจอว่ามีการเพิ่มขึ้นของระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อในซีรั่มอย่างน้อย 4 เท่าในระยะกระทันหันรวมทั้งระยะพักฟื้น โดยวิธี haemaglutination inhibition (HI) ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐาน หรือ complement fixation (CF) หรือ Enzyme - linked immunosorbent assay (ELISA)แล้วก็การใช้ข้อมูลทางระบาดวิทยาช่วย ได้แก่ ขณะที่มีการแพร่ระบาดของโรค ไข้หวัดใหญ่ คนเจ็บที่มีลักษณะอาการน้อย ให้การรักษาตามอาการ อาทิเช่น ยาลดไข้พาราเซตามอล ยาละลายเสลด ฯลฯ การให้ยาต้านทานเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในทันทีภายหลังที่มีอาการช่วยลดความร้ายแรงรวมทั้งอัตราตายในผู้ป่วย ยาต้านไวรัส ไข้หวัดใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น ยาโอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) รวมทั้งซานามิเวียร์ (Zanamivir) การพิเคราะห์เลือกใช้ตัวไหน ขึ้นกับข้อมูลความไวของยาต่อเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในแต่ละประเทศส่วนการให้ยาต้านทานเชื้อไวรัส amantadine hydrochloride หรือยา rimantidine hydrochloride ด้านใน 48 ชั่วโมง นาน 3-5 วัน จะช่วยลดอาการแล้วก็ปริมาณเชื้อไวรัสจำพวก A ในสารคัดเลือกหลั่งที่ทางเดินหายใจได้ ขนาดยาที่ใช้ในเด็กอายุ 1-9 ปี ให้ขนาด 5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน แบ่งให้ 2 ครั้ง สำหรับผู้ป่วยอายุ 9 ปีขึ้นไปให้ขนาด 100 มก. วันละ 2 ครั้ง (แต่ถ้าหากคนไข้น้ำหนักน้อยกว่า 45 กิโลกรัม ให้ใช้ขนาดเดียวกับเด็กอายุ 1-9 ปี) นาน 2-5 วัน สำหรับคนป่วยอายุ 65 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่หลักการทำงานของตับรวมทั้งไตไม่ปกติ จำต้องลดขนาดยาลง ในพักหลังๆของการรักษาด้วยยาต้านเชื้อไวรัส บางทีอาจเจอการดื้อยาตามด้วยการแพร่โรคไปยังคนอื่นๆได้ กรณีนี้อาจจำเป็นต้องให้ยาต้านเชื้อไวรัสแก่ผู้เสี่ยงโรคสูงที่อยู่รวมกันเป็นกรุ๊ป ถ้ามีอาการแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรียจำเป็นต้องให้ยายาปฏิชีวนะด้วย รวมทั้งควรเลี่ยงยาลดไข้พวก salicylates เพื่อลดการเสี่ยงต่อการเกิดโรค Reye's syndrome

6.การติดต่อของไข้หวัดใหญ่ ระยะฟักตัวของโรค ระยะฟักตัวของโรคชอบสั้น 1 - 4 วัน แต่ว่าโดยเฉลี่ยแล้วราว เฉลี่ย 2 วัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับจำนวนของไวรัสที่ ได้รับ การติดต่อ เชื้อไวรัสที่อยู่ในเสลด น้ำมูก น้ำลายของคนป่วยแพร่ติดต่อไปยังคนอื่นโดยการไอจามรดกันโดยตรง หรือหายใจเอาฝอยละอองเข้าไปถ้าเกิดอยู่ใกล้ผู้ป่วยในระยะ 1 เมตร บางรายได้รับเชื้อทางอ้อมผ่านทางมือหรือ สิ่งของเครื่องใช้ที่แปดเปื้อนเชื้อ เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูก ตา ปาก  รวมทั้งคนป่วยสามารถแพร่ระบาดไวรัสไข้หวัดใหญ่ตั้งแต่ 1 วันก่อนมีลักษณะรวมทั้งจะแพร่ระบาดต่อไปอีก 3-5 คราวหน้ามีอาการในผู้ใหญ่ ส่วนในเด็กบางทีอาจกระจายเชื้อได้เป็นเวลายาวนานกว่า 7 วัน ผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่แต่ไม่มีอาการก็สามารถแพร่ระบาดตอนนั้นได้เช่นเดียวกัน ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมามีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ทั้งโลก 4 ครั้งคือ

  • พุทธศักราช 2461 - 2462 Spanish flu จากไวรัส A(H1N1) เป็นครั้งที่รุนแรงที่สุด สามัญชนทั่วโลกเจ็บป่วยร้อยละ 50 แล้วก็ตายมากถึง 20 ล้านคน
  • พุทธศักราช 2500 - 2501 Asian flu จากไวรัส A(H2N2) โดยเริ่มตรวจพบในประเทศจีน
  • พุทธศักราช 2511 - 2512 Hong Kong flu จากไวรัส A(H3N2) เริ่มตรวจเจอในฮ่องกง
  • พ.ศ. 2520 - 2521 Influenza A (H1N1) กลับมาระบาดใหญ่อีกครั้ง แยกได้จากผู้ป่วยในโซเวียต จึงเรียก Russian flu แต่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน

7.การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยไข้หวัดใหญ่ การดูแลตนเอง เมื่อป่วยหวัดใหญ่ คือ เมื่อมีไข้ ควรจะหยุดโรงเรียนหรือหยุดงาน แยกตัวและก็ของใช้จากคนอื่น เพื่อพักและก็ปกป้องการกระจายเชื้อสู่คนอื่น พักให้มากๆรักษาสุขลักษณะพื้นฐาน  เพื่อสุขภาพแข็งแรง ลดโอกาสกำเนิดโรคข้างๆหรือเข้าแทรก บากบั่นรับประทานอาหารเป็นประโยชน์ห้ากลุ่มในแต่ละวันดื่มน้ำสะอาดให้มากมายๆอย่างต่ำวันละ 6 - 8 แก้วเมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม กินยาลดไข้พาราเซตามอล หรือตามแพทย์แนะนำ ไม่สมควรกินยาแอสไพรินเนื่องจากว่าบางทีอาจมีการแพ้ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ล้างมือให้สะอาดเสมอๆและก็ทุกหนก่อนกินอาหารและข้างหลังเข้าห้องอาบน้ำ  ใช้ทิชชู่สำหรับในการสั่งน้ำมูกหรือเช็ดปาก ไม่สมควรใช้ผ้าที่เอาไว้เช็ดหน้า จากนั้นทิ้งทิชชู่ให้ถูกสุขอนามัย  รู้จักใช้หน้ากากอนามัย งดบุหรี่ หลีกเลี่ยงควันที่เกิดจากบุหรี่ เพราะเหตุว่าเป็นต้นเหตุให้อาการร้ายแรงขึ้น ควรจะรีบพบหมอเมื่อ ไข้สูงเกิน 39 - 40 องศาเซียลเซียส แล้วก็ไข้ไม่ลดลงข้างหลังได้ยาลดไข้ด้านใน 1 - 2 วัน  กินน้ำได้น้อยหรือทานอาหารได้น้อย ไอมากมาย มีเสมหะ รวมทั้ง/หรือ เสลดมีสีเหลืองหรือเขียว ซึ่งมีความหมายว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เป็นโรคโรคหืด เนื่องจากว่าโรคหืดมักกำเริบและก็ควบคุมเองมิได้ อาการต่างๆชั่วช้าลง หอบเมื่อยล้าร่วมกับไอมากมาย บางทีอาจร่วมกับนอนราบไม่ได้ ด้วยเหตุว่าเป็นอาการสอดแทรกจากปอดอักเสบ เจ็บทรวงอกมากร่วมกับหายใจขัด เหน็ดเหนื่อย เพราะเหตุว่าเป็นอาการจากอาการแทรกซ้อนจากเยื่อห่อหัวใจ หรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ชัก ซึม งงเต็ก แขน/ขาอ่อนแรง บางทีอาจร่วมกับปวดศีรษะรุนแรง รวมทั้งคอแข็ง เพราะเหตุว่าเป็นอาการแทรกซ้อนจากเยื่อหุ้มสมองอักเสบ  หรือ สมองอักเสบ

  • การคุ้มครองเองจากไข้หวัดใหญ่ รักษาร่างกายให้แข็งแรง เพื่อให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้ดิบได้ดี โดยการบริหารร่างกาย บ่อยและก็พักผ่อนให้เพียงพอ อยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก เลี่ยงความตึงเครียด บุหรี่ สุราและสารเสพติด และระวังรักษาร่างกายให้อบอุ่นในตอนอากาศหนาวเย็น หรืออากาศเปลี่ยน ทานอาหารที่มีคุณประโยชน์ ผัก รวมทั้งผลไม้ เพื่อร่างกายได้รับสารอาหารและวิตามินเพียงพอ ในตอนที่มีการระบาดของโรค ควรจะหลบหลีกการเข้าไปในที่ที่มีผู้คนยัดเยียด อาทิเช่น ห้าง สถานเริงรมย์ งานมหรสพ รวมถึงการใช้โทรศัพท์สาธารณะหรือลูกบิดประตู เป็นต้น แต่ว่าถ้าเกิดเลี่ยงมิได้ ควรสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่หรือชโลมมือด้วยแอลกอฮอล์เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่อาจติดมาจากการสัมผัสถูกเสมหะของคนเจ็บ แล้วก็อย่าใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูกถ้ายังไม่ได้ล้างมือให้สะอาด คนเจ็บควรปลีกตัวออกห่างจากคนอื่น อย่านอนปะปนหรือคลุกคลีใกล้ชิดกับคนอื่น เวลาไอหรือจามควรใช้ผ้าปิดปากและก็จมูกเสมอ เวลาเข้าไปในที่ที่มีคนอยู่กันมากๆควรจะใส่หน้ากากอนามัยด้วยทุกครั้ง ส่วนการฉีดวัคซีนคุ้มครองปกป้องไข้หวัดใหญ่นั้น โดยธรรมดาหากไม่มีการระบาดโรค แพทย์จะไม่เสนอแนะให้ฉีดยาแก่พลเมืองทั่วๆไป ยกเว้นในผู้ที่อยู่ในกรุ๊ปมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงดังกล่าวข้างต้น คนสูงอายุ (แก่กว่า 65 ปี) คนที่มีอายุต่ำยิ่งกว่า 19 ปีที่จำต้องกินยาแอสไพรินบ่อยๆ สตรีมีท้องที่คาดว่าอายุท้องปิ้งเข้าไตรมาสที่ 2 ขึ้นไปในช่วงที่มีการระบาดของโรค คนที่เป็นบุคลากรทางด้านการแพทย์ ผู้ที่ต้องเดินไปในถิ่นที่มีการระบาดของโรค คนที่มีกิจกรรมจำเป็นจะต้องที่ไม่อาจจะหยุดงานได้ (ดังเช่นว่า ดารา นักกีฬา นักทัศนาจร ตำรวจ เจ้าหน้าที่บริการสังคม นักเรียนหรือนักศึกษาที่อยู่รวมกัน รวมทั้งผู้ที่อาศัยอยู่ในที่พักฟื้น สถานสงเคราะห์คนแก่) ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เป็นต้นว่า คนป่วยเอดส์ คนป่วยที่ได้รับยาสเตียรอยด์ ผู้ป่วยรังสีรักษาหรือเคมีบรรเทา) คนไข้ที่เป็นโรคเรื้อรัง (ตัวอย่างเช่น เบาหวาน โรคหัวใจ โรคปอด โรคหอบหืด โรคตับ โรคไต โรคเลือด) ซึ่งบุคคลกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ควรจะได้รับการฉีดยาป้องกันไข้หวัดใหญ่
  • สมุนไพรจำพวกไหนที่สามารถช่วยบรรเทา/รักษาโรคไข้หวัดใหญ่ได้
สมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Herbs with anti-influenza activity) มีสมุนไพร        
                พลูคาว / ผักคาวตอง (Houttuynia cordata) จากการเรียนรู้ในหลอดทดสอบ น้ำมันระเหยผู้กระทำลั่นพลูคาวสดมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัส ไข้หวัดใหญ่ เริม (Herpes simplex virus type 1) เอชไอวี (HIV-1) ขึ้นรถสำคัญในน้ำมันระเหยจากพลูคาวที่มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัสดังกล่าว ดังเช่นว่า methyl n-nonyl ketone, laurly aldehyde, capryl aldehyde
                Epigallocatechin (EGCG) ในชาเขียว EGCG เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีมากที่สุดในชาเขียว EGCG ขนาดต่ำในหลอดทดสอบมีฤทธิ์ ยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ทั้งยังประเภท A แล้วก็ B เข้าเซลล์& ลดการตำหนิดเชื้อของเซลล์เพาะเลี้ยงจากไตสุนัขได้อย่างมีนัยสำคัญ
                ใบเตย (Pandanus amaryllifolius) ใบเตยมีสารพวกเลกติเตียนน (lectin) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นโปรตีน ชื่อ Pandanin ที่มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อ ไข้หวัดใหญ่ประเภท A (H1N1) อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีค่าความเข้มข้นที่ยั้งเชื้อได้ 50% (EC50) เท่ากับ15.63 microM
                สาร Aloe emodin Aloe emodin = สารแอนทราควิโนน (anthraquinone) ที่พบได้ในยางว่านหางจระเข้ เมื่อนำสาร Aloe emodin มาผสมกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ในหลอดทดสอบนาน 15 นาที ที่ 37 องศาเซลเซียส สามารถยั้งเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ ยิ่งไปกว่านี้ สาร aloe emodin ยังยั้งไวรัสที่ก่อโรคเริม แล้วก็งูสวัดได้อีกด้วย
สมุนไพรกระตุ้นภูมิต้านทาน (Immunomodulator / Immunostimulant)
                กระเทียม  Aged Garlic Extract (AGE) มีฤทธิ์กระตุ้นภูมิต้านทาน AGEเป็นผลิตภัณฑ์กระเทียมตระเตรียมโดยการแช่กระเทียมที่หั่นหรือสับใน 15-20% แอลกอฮอล์แล้วทิ้งเอาไว้ยาวนานมากกว่า 10 เดือน ที่อุณหภูมิปกติแล้วนำมาทำให้เข้มข้น เมื่อให้ AGE ทางปากแก่หนูถีบจักร 10 วันก่อนให้เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่แก่หนูโดยการหยอดทางจมูก มีประสิทธิผลสำหรับในการคุ้มครองปกป้องไข้หวัดใหญ่ได้ดิบได้ดีเท่าการให้วัคซีน
                สินค้าเสริมอาหารกระเทียมที่มีสาร allicin มีการศึกษาวิจัยในอาสาสมัคร 146 คน โดยให้กลุ่มควบคุมได้รับยาหลอก แล้วก็กลุ่มทดลองได้รับกระเทียมรับประทานวันละ 1 แคปซูล นาน 12 อาทิตย์ ระหว่างหน้าหนาว (เดือนพฤศจิกายน - ก.พ.) แล้วก็ให้คะแนนสุขภาพ และอาการหวัดทุกวัน พบว่า กลุ่มที่ได้รับกระเทียมมีโอกาสเป็นหวัดน้อยกว่ากลุ่มยาหลอก และเมื่อเป็นหวัดแล้วหายเร็วกว่า
                โสม (Ginseng)    สารสกัดโสมอเมริกันที่จดสิทธิบัตรแล้ว (CVT-E002) โดยทดลองให้สารสกัดนี้ ขนาด 200 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้งหรือยาหลอกแก่ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่รวมกันหลายๆคน (institutional setting) ปริมาณรวม 198 คน ระหว่างฤดูการระบาดของไข้หวัดใหญ่ (หน้าหนาวปี 2543 -44) เพื่อศึกษาประสิทธิผลสำหรับการปกป้องการป่วยด้วยโรคทางเท้าหายใจอย่างเฉียบพลัน (Acute Respiratory Illness, ARI) พบว่า อุบัติการณ์ของไข้หวัดใหญ่ที่ได้รับการตรวจยืนยันทางห้องทดลองของกลุ่ม ยาหลอกสูงขึ้นมากยิ่งกว่ากรุ๊ปที่ได้รับสารสกัดโสมอย่างเป็นจริงเป็นจัง (7/101 และ 1/97) แล้วก็การต่ำลงของการเสี่ยงจากการป่วยด้วยโรค ARI ในกรุ๊ปที่ได้รับยา CVT-E002 เท่ากับ 89%
เอกสารอ้างอิง

  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, D., Hausen, S., Longo, D., and Jamesson, J.(2001). Harrrison’ s:Principles of internal medicine. New York. McGraw-Hill. http://www.disthai.com/[/b]
  • ”สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่-H1n1 (1 มกราคม – 26 ธันวาคม 2558)” สำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข
  • ดร.ภก.อัญชลี จูฑะพุทธิ.สรุปการบรรยายประชุมวิชาการกรมพัฒน์เรื่อง”สมุนไพร:ไข้หวัดใหญ่-ไข้หวัดนก.”ณ.ห้องประชุมเบญจกูล กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก.วันที่ 28 ธันวาคม 2548
  • (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).”ไข้หวัดใหญ่(lnfluenza/Flu).หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป2.หน้า 393-396
  • “ไข้หวัดใหญ่”คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล.(ออนไลน์).เข้าถึงได้จาก
  • ไข้หวัดใหญ่.กลุ่มระบาดวิทยา/โรคติดต่อ.สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข
  • โรคไข้หวัดใหญ่แนวทางการดำเนินการให้บริการวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลปี2559.แนวทางการเฝ้าระวังโรคติดต่อในสถานศึกษา 2559 กองควบคุมโรคติดต่อ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร
150  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคไตเรื้อรัง - อาการ, สาเหตุ, วิธีการรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: มีนาคม 23, 2018, 04:15:21 pm

โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease)

  • โรคไตเป็นยังไง "ไต" มีรูปร่างเหมือนเม็ดถั่ว ขนาดเท่ากำปั้น ๒ ข้าง อยู่ข้างหลังท้องข้างละ ๑ อัน ไตปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการขับถ่ายของเสียออกมาจากร่างกาย ผ่านทางเยี่ยว ข้างละราวๆ 1 ล้านหน่วย แล้วก็ยังช่วยรักษาสมดุลของน้ำ เกลือแร่ แล้วก็สมดุลกรด-ด่างในร่างกาย สร้างฮอร์โมน ดังเช่น ฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมสมดุล แคลเซียม และฟอสเฟต (คือ วิตามินดี นั่นเอง) และก็ฮอร์โมนกระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเม็ดเลือดแดง การที่ไตมี 2 ข้างนับเป็นความฉลาดหลักแหลมของธรรมชาติอย่างหนึ่ง คนเราบางครั้งอาจจะเสียไตไปข้างหนึ่ง แล้วก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตามธรรมดา เพราะเหตุว่าไตข้างที่เหลือจะดำเนินงานแทนได้แทบร้อยเปอร์เซ็นต์ และหากไตที่เหลืออีกข้างหนึ่งมีการเริ่มเสียไปอีกอย่างช้าๆร่างกายก็จะปรับพฤติกรรมไปได้เรื่อยๆก็ยังไม่เกิดอาการอะไรเช่นเดียวกัน จนเมื่อไตเสียไปมาก ดำเนินการได้เพียงแค่ราวๆ 10 เปอร์เซ็นต์แล้วนั่นแหละ ก็เลยจะกำเนิดมีลักษณะของโรคไต

    โรคไตเรื้อรังเป็นปัญหาทางด้านสาธารณสุขที่สำคัญของคนทั่วไป ก่อให้เกิดผลเสียต่อราษฎรทุกอายุ เชื้อชาติ รวมทั้งทุกสถานะทางด้านเศรษฐกิจ ความชุกแล้วก็อุบัติการณ์ของโรคที่มากขึ้นเนื่องมาจากโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง รวมทั้งโรคอ้วน ในประเทศสหรัฐอเมริกามีประชากรมากยิ่งกว่า 20 ล้านคน หรือ 1 ใน 9 เป็นโรคไตเรื้อรัง และก็มีประชาชนกว่า 20 ล้านผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไตเรื้อรัง เพราะผู้ป่วนปั่นจะไม่มีอาการในระยะต้น อาการไตวายจะปรากฏเมื่อไตเสียหน้าที่สำหรับเพื่อการดำเนินการไปมากกว่าปริมาณร้อยละ 70 – 80  โรคไตเรื้อรัง เป็นภาวการณ์ที่มีการเสื่อมการทำงานของไตอย่างสม่ำเสมอเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเป็นเดือนหรือปี หรือมีตัวระบุว่าไตถูกทำลายจากความผิดแปลกของเลือดหรือปัสสาวะหรือการตรวจทางรังสี หรืออัตราการกรองของไตต่ำลงน้อยกว่า 60 มล./นาที/พื้นผิวร่างกาย 1.73 ตารางเมตร ตรงเวลา 3 เดือน หรือมากยิ่งกว่า 3 เดือน ซึ่งโรคโดยมากชอบทำให้ไตเสื่อมลงอย่างยั่งยืน ไม่สมารถยนต์กลับมาดำเนินการอย่างปกติได้ รวมทั้งตอนนี้พบได้บ่อยขึ้นในมวลชนไทยและก็บางครั้งอาจจะร้ายแรงไปจนกระทั่งการเกิดภาวการณ์ไตวายรวมทั้งเสียชีวิตได้ในที่สุด
    การแบ่งระยะของโรคไตเรื้อรัง  โรคไตเรื้อรังแบ่งเป็น 5 ระยะ ตามระดับความรุนแรงดังนี้
    ระยะที่ 1 พบมีการทำลายไตเกิดขึ้น โดยเจอความแตกต่างจากปกติจากการวิเคราะห์เลือดปัสสาวะเอกซเรย์ หรือพยาธิสภาพของชิ้นเนื้อไต โดยที่อัตราการกรองของไตยังอยู่ในมาตรฐานธรรมดา พูดอีกนัยหนึ่ง มากกว่าหรือเท่ากับ 90 มิลลิลิตรต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตำรวจมัธยม
    ระยะที่ 2 เจอมีการทำลายไตร่วมกับเริ่มมีการต่ำลงของอัตราการกรองของไตน้อยเป็นอยู่ในช่วย 60 – 89 มิลลิลิตร ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตร.ม.
    ระยะที่ 3 มีการลดน้อยลงของอัตราการกรองของไตรุนแรง เป็นอยู่ในตอน 30 – 59 มล. ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตำรวจม.
    ระยะที่ 4 มีการลดน้อยลงของอัตราการกรองของไตรุนแรง คืออยู่ในตอน 15 – 29 มล. ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตร.มัธยม
    ระยะที่ 5 มีภาวะไตวายเรื้อรังระยะในที่สุด (อัตราการกรองของไตน้อยกว่า 15 มิลลิลิตรต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตำรวจม.)

  • ต้นเหตุของโรคไตเรื้อรังคือ โรคไตเรื้อรังมีต้นเหตุการเกิดโรคได้หลายสาเหตุ ซึ่งแบ่งต้นเหตุการเกิดได้ดังต่อไปนี้ สาเหตุนอกไต ตัวอย่างเช่น เบาหวาน พบว่ามีผู้เจ็บป่วยที่เป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 1 ที่พึ่งพิงอินสุลิน 20-50% ที่ก่อให้เกิดไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายภายในเวลา 20-30 ปี ที่เริ่มรักษาด้วยการใช้การให้อินสุลิน รวมทั้งโรคเบาหวานยังทำให้เกิดโรคไตเรื้อรังได้ถึงปริมาณร้อยละ 30-40 รวมทั้งส่งผลให้เกิดไตวายเรื้อรังระยะท้ายที่สุดได้ถึงร้อยละ 45 นอกเหนือจากนั้นเบาหวานยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคหัวใจแล้วก็เส้นโลหิต ความดันเลือดสูง แล้วก็ไขมันในเลือดสูงได้ เบาหวานทำให้มีความผิดธรรมดาของหลอดเลือดหลอดฝอยไต ทำให้เส้นโลหิตแข็งเพิ่มแรงต่อต้านของเส้นโลหิตที่ไต และก็ระบบความดันเลือดสูงขึ้น ไตได้รับเลือดลดลง แล้วก็ขาดเลือด จึงนำมาซึ่งไตล้มเหลวตามมา  โรคความดันเลือดสูง พบว่าความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุที่ส่งผลให้เกิดโรคไตเรื้องรังได้ถึงร้อยละ 28 เหตุเพราะไตจึงควรได้รับเลือดมาเลี้ยงไม่น้อยเลยทีเดียวจากการบีบตัวของหัวใจ ซึ่งส่งผลต่ออัตราการกรองแล้วก็กระบวนการทำหน้าที่ของไต ความดันดลหิตสูงทำให้เลือดมาเลี้ยง ไตลดน้อยลงก็เลยทำให้วิธีการทำหน้าที่ของไตไม่ปกติเช่นกัน ความดันดลหิตสูงเกิดเนื่องด้วยเส้นโลหิตแดงที่ไตตีบแข็ง หรือขาดเลือด ทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ไตน้อยลง รวมทั้งกระตุ้นระบบเรนินแองจิโอเทนสิน อัลโดสเตอโรน ทำให้เพิ่มความดันดลหิต ยิ่งกว่านั้น ความดันโลหิตสูงยังเกี่ยวกับโรคของเนื้อไต ตัวอย่างเช่น Glomerulonephritis, Polycystic Disease, Pyelonephritis ฯลฯ ทำให้ไตขับน้ำ และเกลือได้น้อยลง มีการคั่งของน้ำรวมทั้งเกลือเพิ่มขึ้น ความดันเลือดต่ำ ภาวะช็อคจากหัวใจรวมทั้งเส้นโลหิต หรือความดันโลหิตต่ำมีผลต่อกระบวนการทำหน้าที่ของไต ทำให้เส้นโลหิตที่ไตหดตัว เลือดไปเลี้ยงที่ไตลดน้อยลง  โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด มีผลต่อปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจ และระบบไหลเวียนเลือด ซึ่งส่งผลต่อกระบวนการทำหน้าที่ไต ทำให้ไตลดการขับน้ำรวมทั้งโซเดียม มีการคั่งของน้ำในหลอดเลือด ทำให้เกิดอาการบวม โรคของหลอดเลือดส่วนปลาย เช่น การเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด (Thromboembolic) ภาวะ Disseminated Intravascular Coagulopathy ส่งผลต่อระบบการไหลเวียนของเลือดที่ไต เป็นต้นเหตุให้ไตขาดเลือด การตำหนิดเชื้อในกระแสเลือด อาจมีผลต่อการทำหน้าที่ของไต มีผลต่อระบบไหลเวียนเลือด ทำให้ความดันเลือดต่ำแล้วก็จะกระตุ้นระบบภูมิต้านทานของร่างกายกระตุ้นให้เกิดGlomerulonepritis การท้อง ส่งผลต่อการทำหน้าที่ขอบงไต การมีท้องในไตรมาสแรก ทำให้ไตมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งอาจจะดำรงอยู่ 9 -1 2 อาทิตย์ ทำให้อัตราการกรองของไตมากขึ้น 30 – 50 % ระหว่างตั้งท้อง ทำให้ Creatinine Clearance มากขึ้น การขับกรดยูริกลดน้อยลง การตั้งครรภ์อาจทำให้โปรตีนในฉี่เพิ่มขึ้น ปัสสาวะเยอะขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งฉี่บ่อยครั้งในตอนการคืน

สารที่เป็นพิษต่อไต จะทำลายเซลล์ของไต ทำให้ไตได้รับบาดเจ็บ กำเนิด  Acute Tubular Necrosis  Aminoglycosides, Tetacyclines, Amphoteracin B, Cephalosporin, Sulfonamide โลหะหนัก ดังเช่น ตะกั่ว ปรอท สารหนู ทองแดง แคดเมียม ทองคำลิเทียม พิษต่างๆเป็นต้นว่า เห็ดพิษ แลงกัดต่อย สมุนไพรที่เป็นพิษ พิษจากงู ยาชา สารทึบแสงสว่าง ยาแก้ปวด ดังเช่นว่า Salicylates, Acitaminophen, Phenacetin, NSAID เป็นต้น
โรคที่มีสาเหตุเนื่องมาจากไตเอง นิ่ว ทำให้มีการเคลื่อนที่มาอุดตันได้ในระบบฟุตบาทปัสสาวะ แล้วก็มีการทำลายเนื้อไต การอักเสบที่กรวยไต ทำให้มีการตอบสนองต่อการอักเสบ ทำให้เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น วิธีการอักเสบกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการบวมของเนื้อเยื่อ เมื่อการอักเสบได้รับการดูแลและรักษาก็จะมีผลให้กำเนิด fibrosis ทำให้มีการดูดกลับรวมทั้งการขับสิ่งต่างๆเปลี่ยนแปลงไป ทำให้วิธีการทำหน้าที่ของไตลดลง ภาวะไตบวมน้ำ ทำให้มีการขยายของกรวยไต แล้วก็ Calices ทำให้มีการอุดกั้นของเยี่ยว การสะสมของน้ำปัสสาวะ นำมาซึ่งการก่อให้เกิดแรงกดดันในกรวยไตเพิ่มขึ้น รวมทั้งเป็นสาเหตุให้หน่วยไตถูกทำลาย โรคมะเร็งในไต เนื้องอกที่โตขึ้นอย่างรวดเร็วนำมาซึ่งการอุดกันของระบบฟุตบาทปัสสาวะ และก็กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดไตบวมน้ำตามมา

  • ลักษณะของโรคไตเรื้อรัง โรคไตเรื้องรังส่วนมากทำให้ไตเปลี่ยนไปจากปกติทั้งสองข้าง ในระยะแรกผู้ป่วยมักไม่มีอาการ เมื่อโรคดำเนินไปๆมาๆกขึ้น อาจมีอาการต่างๆเหตุเพราะไตดำเนินงานผิดปกตินำไปสู่การคั่งของเกลือแร่น้ำส่วนเกินรวมทั้งของเสียในเลือด เช่น จำนวนปัสสาวะน้อยลง ความดันเลือดสูงขึ้น ซีด เหน็ดเหนื่อยง่ายดายมากยิ่งขึ้น เบื่ออาหาร อ้วกคลื่นไส้ นอนไม่หลับ คันเรียกตัว มีลักษณะบวมที่หน้า ขา และก็ลำตัว ความรู้สึกตัวลดน้อยลง หรือมีลักษณะชัก เป็นต้น

ซึ่งอาการของโรคไตเรื้อรัง สามารถแบ่งออกเป็น 5 ระยะตามระดับของค่าประเมินอัตราการกรองของไต (Epidermal growth factor receptor : eGFR) ซึ่งเป็นค่าที่ประมาณว่าในแต่ละนาทีไตสามารถกรองของเสียออกจากเลือดได้เท่าไร โดยในคนทั่วๆไปจะมีค่านี้อยู่ราว 90-100 มล./นาที โดยระยะของโรคไตเรื้อรังนั้นมีดังนี้
ระยะที่ 1 เป็นระยะที่ยังไม่มีอาการบ่งบอกถึงแจ่มกระจ่าง แต่ว่ารู้ได้จากการตรวจทางพยาธิวิทยา อย่างเช่น การตรวจเลือด การตรวจค่าประเมินอัตราการกรองของไต (eGFR) ซึ่งในระยะเริ่มต้นนี้ค่า eGFR จะอยู่ที่ประมาณ 90 มิลลิลิตร/นาที ขึ้นไป แต่บางทีอาจพบอาการไตอักเสบหรือสภาวะโปรตีนรั่วออกมาปะปนในเลือดหรือในเยี่ยว ระยะที่ 2 เป็นระยะที่อัตราการกรองของไตต่ำลง แต่ว่ายังไม่มีอาการใดๆชี้ให้เห็นนอกจากการตรวจทางพยาธิวิทยาดังที่กล่าวถึงมาแล้ว ซึ่งค่า eGFR จะเหลือเพียง 60-89 มิลลิลิตร/นาที ระยะที่ 3 เป็นระยะที่ยังไม่มีอาการใดๆแสดงออกมาให้เห็น นอกเหนือจากค่า eGFR ที่ลดลงโดยตลอด โดยในตอนนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ระยะย่อยหมายถึงระยะย่อย 3A ซึ่งจะมีค่า eGFR อยู่ที่ 45-59 มล./นาที และก็ระยะย่อย 3B ซึ่งจะมีค่า eGFR อยู่ที่ 30-44 มิลลิลิตร/นาที ระยะที่ 4 อาการต่างๆของผู้ป่วยจะค่อยแสดงในตอนนี้ นอกเหนือจากค่า eGFR จะลดลงเหลือเพียงแค่ 15-29 มล./นาทีแล้ว จะสังเกตว่ามีปัสสาวะออกมากรวมทั้งเยี่ยวหลายครั้งยามค่ำคืน ผู้ป่วยจะมีอาการเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้าง่าย ไม่อยากกินอาหาร น้ำหนักตัวลดน้อยลง อาเจียน อาเจียน นอนไม่หลับ ขาดสมาธิ ความจำไม่ดี ปวดหัว ตามัว ท้องร่วงหลายครั้ง ชาตามปลายมือปลายเท้า ผิวหนังแห้งและก็มีสีคล้ำ (จากของเสียเป็นต้นเหตุนำไปสู่สารให้สีของผิวหนังเปลี่ยน) คันตามผิวหนัง (จากของเสียที่คั่งก่อเกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง) บางรายอาจมีอาการหอบเหน็ดเหนื่อย สะอึก กล้ามเป็นตะคิวบ่อย ใจสั่นหวิว ใจสั่น เจ็บทรวงอก มีอาการบวมตามตัว (โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบดวงตา ขา และก็เท้า) หรือมีเลือดออกตามผิวหนังเป็นจุดแดงจ้ำเขียว หรือคลื่นไส้เป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด โลหิตจาง หรือรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวตลอดเวลา ระยะที่ 5 เป็นระยะในที่สุดของภาวะไตวาย ค่า eGFR เหลือไม่ถึง 15 มล./นาที นอกเหนือจากผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะอาการคล้ายกับระยะที่ 4 แล้ว ยังอาจมีภาวะโลหิตจางที่ร้ายแรงขึ้น และก็อาจตรวจพบการเสียสมดุลของแคลเซียม ฟอสเฟต หรือสารอื่นๆที่อยู่ในเลือด นำมาสู่ภาวการณ์กระดูกบางและก็เปราะหักง่าย ถ้าเกิดมิได้รับการดูแลรักษาอย่างทันเวลาก็บางทีอาจจะเสียชีวิตได้

  • กรุ๊ปบุคคลที่เสี่ยงที่จะกำเนิดโรคไตเรื้อรัง
  • คนที่มีสภาวะเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน
  • ผู้ที่มีภาวการณ์เสี่ยงเป็นโรคความดันเลือดสูง
  • คนที่มีสภาวะเสี่ยงเป็นโรคเส้นโลหิตหัวใจ
  • ผู้ที่รับประทานยาบางชนิดต่อเนื่องกันเป็นเวลานานเหลือเกิน ดังเช่นว่า ยาปฏิชีวนะบางชนิด ยกตัวอย่างเช่น Tetacyclines, Amphoteracin B ฯลฯ และยาพารา อย่างเช่น ยากลุ่ม NSAIDs, Acitaminophen Salieylates ฯลฯ
  • แนวทางการรักษาโรคไตเรื้อรัง การวิเคราะห์โรคไตเรื้อรังประกอบด้วยดังต่อไปนี้  การประมาณอัตราการกรองของไตโดยใช้สูตร  Cockcroft-gault หรือสูตร Modification  of Diet in Renal Disease (MDRD) การคาดการณ์จำนวนโปรตีนในปัสสาวะ โดยใช้แถบตรวจเยี่ยว  (Dipstick  Test) เมื่อแถบตรวจวัดผลตอบแทน 1 บวกขึ้นไป ควรตรวจเยี่ยวยืนยันจำนวนโปรตีนด้วยการประมาณค่ารูปทรงของโปรตีนต่อครีเอติเตียนนิน  การตรวจอื่นๆด้วยการตรวจขี้ตะกอนเยี่ยว  (Urine Sediment)

หรือใช้แถบ ตรวจวัดหาเม็ดเลือดแดง และเม็ดเลือดขาว การตรวจทางรังสี การตรวจทางรังสี การตรวจอัลตราซาวด์ เพื่อมองว่ามีการอุดตัน มีนิ่ว รวมทั้งมี Polycystic Kidney Disease รวมทั้งยังมีการวินิจฉัยแยกโรคที่ทำเป็นทางคลินิกจากอาการรวมทั้งอาการแสดงของโรค รวมทั้งตรวจเลือดหาระดับ BUN, creatinine และระดับฮอร์โมนต่อมไทรอยด์อื่นๆการทำงานของตับ และก็ X-ray หัวใจ แล้วก็ตรวจคลื่นกระแสไฟฟ้าหัวใจ ฯลฯ
                การรักษาไตวายเรื้อรัง ถ้าหากสงสัยว่าเป็นโรคไตเรื้อรัง ควรจะส่งผู้เจ็บป่วยไปโรงพยาบาลเพื่อกระทำตรวจฉี่ ตรวจเลือด ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรืออัลตราซาวนด์ หรือตรวจพิเศษอื่นๆรวมทั้งบางรายอาจจะต้องทำการเจาะเก็บเนื้อเยื่อจากไตเพื่อส่งไปตรวจด้วย โดยการดูแลและรักษานั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ตอนใหญ่ๆตามระยะของโรคด้วย คือ โรคไตเรื้อรังระยะที่ 1-3 (เป็นระยะที่ยังไม่ต้องกระทำการรักษา แต่ว่าจึงควรมาพบแพทย์เพื่อตรวจดูค่าประเมินอัตราการกรองของไต ซึ่งแพทย์อาจนัดมาตรวจทุก 3 เดือน หรือบางทีอาจนัดมาตรวจถี่ขึ้นเพื่อติดตามอาการอย่างใกล้ชิดถ้าเกิดค่าประเมินอัตราการกรองของไตต่ำลงมากเพิ่มขึ้น) รวมทั้งโรคไตเรื้อรังระยะที่ 4-5 (เป็นระยะที่ไตทำงานน้อยลงอย่างมาก คนเจ็บควรต้องได้รับการรักษาหลายๆวิธีร่วมกันเพื่อเกื้อหนุนอาการให้อยู่ในระดับคงเดิมเพื่อรอการเปลี่ยนถ่ายไต และการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนต่างๆร่วมด้วย) สำหรับวิธีการดูแลรักษาต่างๆนั้นจะแบ่งออกเป็น
การดูแลและรักษาที่ต้นสายปลายเหตุ ถ้าคนไข้มีต้นสายปลายเหตุแจ้งชัด หมอจะให้การรักษาโรคที่เป็นต้นเหตุ ตัวอย่างเช่น ให้ยาควบคุมโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคเกาต์ ผ่าตัดนิ่วในไต ฯลฯ นอกเหนือจากนี้ยังจำเป็นต้องรักษาภาวะเปลี่ยนไปจากปกติต่างๆที่เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากภาวะไตวายด้วย
การล้างไต (Dialysis) สำหรับผู้ป่วยไตวายเรื้อระยะด้านหลัง (มักมีระดับยูเรียไนโตรเจนและก็ระดับครีอะตินีนในเลือดสูงเกิน 100 แล้วก็ 10 มิลลิกรัม/ดล. ตามลำดับ) การดูแลและรักษาด้วยยาจะไม่ได้เรื่อง คนไข้จะต้องได้รับการดูแลและรักษาด้วยถูล้างของเสียหรือล้างไต ซึ่งจะมีอยู่ร่วมกันหลายวิธี ซึ่งจะสามารถช่วยทำให้คนไข้มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ซึ่งบางรายบางทีอาจอยู่ได้นานเกิน 10 ปีขึ้นไป แม้กระนั้นก็ยังมีค่าใช้จ่ายที่ออกจะแพงอยู่ ทั้งนี้การจะเลือกล้างไตด้วยวิธีใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์เป็นหลัก เพราะการล้างไตจะมีผลใกล้กันหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นความดันโลหิตต่ำ เวียนหัว หน้ามืด อ้วก ทั้งยังการล้างไตบางแนวทางอาจไม่เหมาะกับสภาพร่างกายของคนป่วยอีกด้วย ด้วยเหตุนั้น จึงจะต้องให้หมอเป็นผู้วินิจฉัยรวมทั้งตกลงใจว่าการล้างไตแบบใดจะเหมาะกับคนไข้เยอะที่สุด)
การเปลี่ยนถ่ายไต (Kidney transplantation หรือ Renal transplantation) คนเจ็บโรคไตเรื้อรังระยะท้ายบางราย หมออาจตรึกตรองให้การรักษาด้วยการผ่าตัดปลูกถ่ายไต ซึ่งวิธีนี้นับว่าเป็นแนวทางที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในขณะนี้ เพราะเหตุว่าถ้าหากการปลูกถ่ายไตได้ผลดีก็จะสามารถช่วยให้คนเจ็บมีคุณภาพชีวิตที่ดีราวกับคนธรรมดาและแก่ได้ยืนยาวขึ้นนานเกิน 10-20 ปีขึ้นไป แต่ การเปลี่ยนถ่ายไตก็เป็นแนวทางการรักษาที่มีความยุ่งยากสลับซับซ้อนหลายประการ มีราคาแพง และต้องหาไตจากญาติสายตรงหรือผู้ให้ที่มีไตเข้ากับเนื้อเยื่อของคนเจ็บได้ ซึ่งไม่ใช้ว่าจะง่าย ทั้งยังจำนวนของไตที่ได้รับการบริจาคก็ยังมีน้อยกว่าผู้ที่คอยรับการให้ทาน คนไข้จึงอาจจำเป็นต้องทำความสะอาดโดยการล้างไตถัดไปเรื่อยจวบจนกระทั่งจะหาไตที่เข้ากันได้ (แม้จะได้รับการล้างไตแล้ว แต่อาการของไตวายเรื้อรังจะยังไม่หายไป ซึ่งผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดปลูกถ่ายไตเท่านั้น) ยิ่งกว่านั้น ตอนหลังการปลูกถ่ายไต คนเจ็บต้องรับประทานยากดภูมิต้านทานทุกวี่ทุกวันไปตลอดเพื่อเป็นการป้องกันและไม่ให้ร่างกายมีปฏิกิริยาต้านทานไตใหม่

  • การติดต่อขอโรคไตเรื้อรัง[/url] โรคไตเรื้อรังเป็นโรคที่เกิดจากภาวะที่ไตดำเนินงานไม่ดีเหมือนปกติและก็เป็นโรคที่ไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนรวมทั้งจากสัตว์สู่คน
  • การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคไตเรื้อรัง คนเจ็บที่เป็นโรคไตเรื้อรัง ควรจะติดตามการดูแลรักษากับหมออย่าได้ขาด ควรรับประทานยาแล้วก็ประพฤติตนตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่สมควรปรับปริมาณยาเอง หรือซื้อยารับประทานเอง เพราะเหตุว่ายาบางอปิ้งอาจมีพิษต่อไตได้ นอกเหนือจากนี้ คนเจ็บควรปฏิบัติตัว ดังต่อไปนี้
  • จำกัดปริมาณโปรตีนที่รับประทานไม่เกินวันละ ๔๐ กรัม โดยลดจำนวนของ ไข่ นม แล้วก็เนื้อสัตว์ลง (ไข่ไก่ ๑ ฟอง มีโปรตีน ๖-๘ กรัม นมสด ๑ ถ้วยมีโปรตีน ๘ กรัม เนื้อสัตว์ ๑ ขีด มีโปรตีน ๒๓ กรัม) และก็รับประทานข้าว เมล็ดธัญพืช ผักแล้วก็ผลไม้ให้มากขึ้น
  • จำกัดจำนวนน้ำที่ดื่ม โดยคำนวณจากปริมาณฉี่ต่อวันบวกกับน้ำที่เสียไปทางอื่น (ประมาณ ๘๐๐ มล./วัน) ตัวอย่างเช่น หากคนป่วยมีปัสสาวะ ๖๐๐ มิลลิลิตร/วัน น้ำที่ควรจะได้รับพอๆกับ ๖๐๐ มิลลิลิตร + ๘๐๐ มิลลิลิตร (รวมเป็น ๑,๔๐๐ มิลลิลิตร/วัน)
  • จำกัดจำนวนโซเดียมที่รับประทาน ถ้าเกิดมีอาการบวมหรือมีเยี่ยวน้อยกว่า ๘๐๐ มล./วัน ควรงดเว้นอาหารเค็ม งดใช้เครื่องปรุง (ดังเช่นว่า น้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสทุกประเภท) ผงชูรส สารกันบูด อาหารที่ใส่ผงฟู (อาทิเช่น ขนมปังข้าวสาลี) อาหารกระป๋อง น้ำพริก กะปิ ปลาแดก ของดอง หนำเลี๊ยบ)
  • จำกัดปริมาณโพแทสเซียมที่กิน ถ้ามีเยี่ยวน้อยกว่า ๘๐๐ มิลลิลิตร/วัน ควรจะหลีกเลี่ยงอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง ยกตัวอย่างเช่น ผลไม้แห้ง กล้วย ส้ม มะละกอ มะขาม มะเขือเทศ น้ำมะพร้าว ถั่ว สะโคน มันทอด หอย เครื่องในสัตว์ ฯลฯ

ในรายที่มีระดับความดันเลือดสูง ควรจะลดความดันเลือดให้อยู่ในเกณฑ์น้อยกว่า 130/80 มม.ปรอท โดยการกินอาหารที่ไม่เค็ม บริหารร่างกาย รวมทั้งรับประทานยาจากที่หมอแนะนำอย่างสม่ำเสมอ ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน ร่วมด้วยควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เข้าขั้นใกล้เคียงปกติ โดยเฉพาะในรายที่ยังเริ่มมีโรคไตเรื้อรังระยะเริ่มต้นๆจึงจะสามารถปกป้องหรือชะลอการเสื่อมของไตได้ คนป่วยควรจะได้รับการดูแลรักษาโรคหรือภาวการณ์ที่เป็นต้นเหตุของโรคไตเรื้อรังร่วมด้วย ได้แก่ รักษาการอักเสบที่ไต กำจัดนิ่วในทางเดินเยี่ยว รักษาโรคเก๊าท์ หยุดยาที่ทำลายไต เป็นต้น นอกนั้นผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังควรได้รับการวิเคราะห์เลือดและก็ฉี่เป็นระยะ เพื่อประเมินลักษณะการทำงานของไต รวมทั้งรักษาผลแทรกฝึกซ้อมที่เกิดขึ้นจากโรคไตเรื้อรัง

  • การปกป้องคุ้มครองตัวเองจากโรคไตเรื้อรัง ตรวจเช็กมองว่า เป็นความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน รวมทั้งโรคเกาต์ หรือไม่ ถ้าเกิดเป็นจะต้องรักษาอย่างเอาจริงเอาจังและก็ต่อเนื่องจนถึงสามารถควบคุมระดับความดันเลือด ระดับน้ำตาลและก็กรดยูริกในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ธรรมดา  เมื่อเป็นโรคติดโรคฟุตบาทเยี่ยว (ดังเช่นว่า) กระเพาะปัสสาวะอักเสบ แขนวมไตอับเสบ) หรือมีภาวะอุดกันทางเท้าเยี่ยว (ดังเช่น นิ่ว ต่อมลูกหมากโต) จะต้องทำการรักษาให้หายขาด ควรรับการตรวจสุขภาพขั้นต่ำปีละครั้ง รวมถึงการตรวจเลือดรวมทั้งปัสสาวะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสเค็ม หลบหลีกการใช้ยาและก็สารที่มีพิษต่อไต ติดต่อกันนาน ไตจะเสื่อมสมรรถนะจนถึงเป็นไตวายได้ ยกตัวอย่างเช่น ยาพาราข้อปวดกระดูก ยาชุด ยาหม้อ และยาปฏิชีวนะบางจำพวก หลบหลีกการกลั้นเยี่ยวนานๆเพราะเหตุว่าทำให้เชื้อโรคลงไปยังกระเพราะฉี่ และเกิดการอักเสบ หลีกเลี่ยงการสูบยาสูบ
  • สมุนไพรที่ช่วยปกป้อง/บำรุงไต กระเจี๊ยบแดง ส่วนที่นำมาใช้เป็นสมุนไพรฟอกเลือดบำรุงไตให้ย้ำไปที่ดอกสีแดงสด ใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ บำรุงเลือด แก้โรคนิ่วในไต ใบบัวบก    ใบบัวบกถือว่ามีสาระโดยตรงสำหรับคนที่เป็นโรคไต เนื่องจากว่ามีสารสำคัญหลายแบบที่เกี่ยวพันกับระบบเลือดโดยตรง อย่างเช่น ตรีเตอพีนอยด์(อะสิเอว่ากล่าววัวไซ) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับในการสร้างคอลลาเจน เพิ่มความแข็งแรงของผนังหลอดเลือด ทำให้ผนังเส้นเลือดมีความหยืดหยุ่นเพื่มเพิ่มมากขึ้น ช่วยลดระดับความดันเลือดสูง       ใบบัวบกจึงมีคุณประโยชน์สำหรับในการช่วยชะลอการเสื่อมของไต ในคนไข้โรคไตได้เป็นอย่างดี คนที่กินน้ำใบบัวบกนอกเหนือจากการที่จะไม่เครียดแล้วยังช่วยขยายหลอดเลือดทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนออกสิเจนในเส้นเลือดฝอยมากเพิ่มขึ้น ร่างกายจะสามารถจับออกสิเจนอิสระได้มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เลือดสะอาด เป็นการฟอกเลือดไปในตัว เห็ดหลินจือ อาจารย์ภาควิชาแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ ได้นำสรรพคุณของเห็ดหลินจือมาทดสอบรักษาผู้ป่วยโรคไต ปรากฏว่าช่วยลดจำนวนไข่ขาวในฉี่ได้ แล้วก็ช่วยชะลออาการไตเสื่อมได้ดิบได้ดี    ปัญหาของคนป่วยโรคไต คือจะมีสารที่ก่อกำเนิดการอักเสบจะลดลดน้อยลง จากการเล่าเรียนพบว่าเห็ดหลินจือ ช่วยลดการอักเสบของเยื้อเยื่อภายในร่างกายได้ น้ำขิงร้อนๆใช้เป็นยากระจายเลือด ขับเลือดเสียได้อย่างยอดเยี่ยม  สำหรับคนที่เป็นโรคไตดื่มบ่อยๆจะดี ดื่มเพื่อบำรุงไต เพราะช่วยลดการอักเสบข้างใน ตลอดจนเป็นยาขับเยี่ยวอ่อนๆช่วยขับเยี่ยวที่คั่งค้างอยู่ด้านใน สลายนิ่วและสิ่งอุดตัน ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ตลอดจนช่วยกำจัดพิษที่ตกค้างได้ เก๋ากี้ฉ่าย    คนที่มีความดันเลือดสูงดื่มเป็นประจำจะช่วยลดระดับความดันโลหิต ทำให้หัวใจแข็งแรง สำหรับคนป่วยโรคไต ชาเก๋ากี้จะช่วยลดภาระให้แก่ไต ไม่ว่าจะเป็นการลดไขมันในกระแสโลหิต ช่วยซับน้ำตาล ช่วยขับเยี่ยว ชะลอการเสื่อมของไต
เอกสารอ้างอิง

  • Porth, C. M. (2009). Disoder ot renal function. In C.M. Porth., G. Matfin, PathophysiologyConcept of Altered Health Status (8th ed., pp. 855-874). Philadelphia: Wolters Kluwer Health Lippincott Williams & Wilkins.
  • K/DOQI clinical practice guidelines on hypertension and antihypertensive agents in chronickidney disease. Am J Kidney Dis 2004; 43:S1.
  • ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ. Patient with chronic kidney diseases. ภาควิชาอายุรศาสตร์.คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ศศิธร ชิดนายี.(2550).การพยาบาลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ไดรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม.กรุงเทพฯ:ธนาเพรส
  • ธนนท์ ศุข.ไตวายเรื้อรังป้องกันได้!.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 295.คอลัมน์เรื่องเด่นจากปก.พฤศจิกายน.2547
  • Ong-Ajyooth L, Vareesangthip K, Khonputsa P, Aekplakorn W.Prevalence of chronic kidney disease in Thai adults: a national health survey. BMC Nephrol 2009;10:35.
  • National Kidney Foundation, (2002). K/DOQI Clinical Practice Guideline for chronic kidney disease: Evaluation, classification, and stratification. Retrieved October 15, 2009, from http://www. kidney.or/kdoqi/guideline-ckd/toc.htm. http://www.disthai.com/[/b]
  • Chobanian AV, Bakris GL, Black HR, Cushman et al. The Seventh Report of the Joint NationalCommittee on Prevention, Detection, Evaluation, and Treatment of High Blood Press
หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11 12 ... 44
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย