กระทู้ล่าสุดของ: หนุ่มน้อยคอยรัก007

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 6
16  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / น้ำมันนวดสามารถช่วยรักษาอาการปวดตามกล้ามเนื้อได้ดีอย่างไร เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2018, 11:52:54 am
[/b]
น้ำมันนวดสมุนไพร
โรคนี้จะไม่สามารถที่จะหายไปได้เอง!
โรคต่างๆเกี่ยวกับข้อจะไม่สามารถที่จะหายขาดได้เอง ถึงแม้ว่าอาการที่แสดงออกมาจะรุนแรงน้อยลงก็ตาม และในที่สุดก็จะกลายเป็นโรคเรื้อรังรวมทั้งก่อให้เกิดความยากแค้นสำหรับการดำเนินชีวิตเยอะขึ้นเรื่อยๆ
1.น้ำมันนวด จะเข้าไปช่วยกระตุ้นลักษณะการทำงานของระบบประสาท ให้ปฏิบัติงานได้ดีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ลดอาการตึงเครียดให้พวกเราผ่อนคลายจากการความอ่อนแรงรวมทั้งความเหนื่อยอ่อนสะสม
2.การนวดน้ำมัน จะเข้าช่วยการกระตุ้นลักษณะการทำงานของเลือด ให้ปฏิบัติงานเจริญมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและก็สามารถหล่อเลี้ยงออกสิเจนรวมทั้งสารอาหารต่างๆไปทั่วร่างกายอย่างครบถ้วน ปกป้องโรคต่างๆและก็ลดความดันโลหิตเจริญด้วย
3.เพิ่มความยืดหยุ่นให้ร่างกาย ด้วยการเข้าไปซ่อมแซมและฟื้นฟูระบบกล้าม ข้อต่อต่างๆในร่างกายให้ดำเนินงานเจริญและก็มีคุณภาพมากขึ้น
4.เพิ่มความชื้นให้กับผิว ด้วยเข้าไปกำจัดพิษ ในร่างกายรวมทั้งภาวะผิว ช่วยผลัดเซลล์ที่ตายแล้วให้หลุดออกมาส่งให้ผิวของคุณเรียบเนียนเปียกชื้น ดูมีน้ำมีนวลและชีวิตชีวาเยอะขึ้นเรื่อยๆ
5.น้ำมันนวดช่วยในเรื่องการนอนให้ดีกว่าเดิม บรรเทาสมองและก็ร่างกายต่างๆส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้นอนหลับสนิทได้ดียิ่งไปกว่ากว่า ลดอาการนอนไม่หลับได้อย่างยอดเยี่ยม
นอกจากนั้นการนวดน้ำมันยังเป็นประโยชน์อีกหลายประเภทต่อสภาพทางด้านร่างกาย ซึ่งถือได้ว่าช่องทางแก่คนรักสุขภาพได้อย่างยอดเยี่ยม
ลดลักษณะของการปวดหัวไมเกรน
     สำหรับเคยทรมานจากลักษณะของการปวดหัวไมเกรนอยู่บ่อย แพทย์ก็ได้ชี้แนะให้ทดลองไปนวดบรรเทาสุขภาพดูบ้าง เนื่องจากจากผลวิจัยของมหาวิทยาลัยโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ พบว่า คนที่มีลักษณะอาการปวดหัวไมเกรนที่ได้รับบริการนวดตัวติดต่อกัน 2-3 อาทิตย์ จะสามารถทุเลาอาการข้างเคียงของโรคไมเกรน รวมทั้งนอนได้อย่างสนิทขึ้นด้วยจ้ะ
น้ำมันนวด สมารถเเก้ลักษณะของการปวดข้างหลัง เป็นอาการที่ทุกคนต้องเคยเผชิญ ซึ่งเพียงพอปวดหลังขึ้นมาทีไรพวกเราก็อยากจะนอนพัก หรือไม่ก็ไปนวดผ่อนคลายลักษณะของการปวดเมื่อย ทั้งที่จริงแล้วอาการปวดข้างหลังอาจจะไม่ได้มีต้นเหตุมาจากลักษณะของการปวดเมื่อยล้ากล้ามเพียงเท่านั้น แต่ว่ายังอาจเกิดขึ้นเนื่องจากปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพอื่นๆได้อีกเยอะแยะ อย่างเช่นที่พวกเราจะพาทุกคนไปเรียนรู้สาเหตุของอาการปวดข้างหลังด้านขวา ว่าเกิดจากอะไรและอันตรายไหม เพื่อจะได้รู้เท่าทันลักษณะการเจ็บป่วยไข้ของร่างกาย
ปวดหลังขวาบน
          อาการปวดข้างหลังข้างขวาด้านบน เป็นอาการปวดข้างหลังที่อยู่บริเวณตั้งแต่บริเวณด้านหลังไหล่ไปจนกระทั่งใต้สะบัก เกิดขึ้นได้จากหลายกรณีร่วมกัน โดยต้นเหตุที่มักนำไปสู่อาการปวดข้างหลังด้านบนขวา มีดังนี้
ปวดหลังข้างขวา


การนั่งดำเนินการเป็นระยะเวลาที่ยาวนานๆหรือชูของหนักไม่ถูกท่า


          น้ำมันนวดสามารถช่วยการชูของหนักหรือการนั่งปฏิบัติงานในอิริยาบถที่ไม่ถูกจำเป็นต้องติดต่อกันนานๆก็เป็นต้นเหตุที่นำไปสู่ลักษณะของการปวดกล้ามบริเวณข้างหลังส่วนบนทางขวาได้  โดยรอบๆหลังส่วนบน เว้นเสียแต่กล้ามข้างหลังแล้ว ก็ยังเชื่อมต่อกับกล้ามเนื้อไหล่รวมทั้งกล้ามคอ เพราะฉะนั้นถ้าเกิดมีลักษณะอาการปวดหลังด้านขวาที่อยู่ข้างบนจากการใช้แรงงานหนักก็ชอบมีอาการปวดคอรวมทั้งไหล่ในด้านเดียวกันร่วมด้วย รู้อย่างงี้แล้วถ้าเกิดคนไหนกันที่ยังนั่งดำเนินงานในท่าเดิมนานๆก็ลุกขึ้นยืนมายืดเส้นยืดสายบ้างนะคะ และควรจะนั่งให้ถูกท่าด้วย โดยท่านั่งปฏิบัติงานที่ถูกต้องก็คือควรจะให้หน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่ในระดับสายตาจ้ะ


ความไม่ปกติของกระดูกรวมทั้งข้อ


          ม้ำมันนวดกระดูกรอบๆข้างหลังส่วนบนนั้นประกอบไปด้วยกระดูกไหปลาร้า กระดูกไหล่ กระดูกสันหลัง รวมทั้งกระดูกต้นแขน ซึ่งถ้าเกิดเกิดความแตกต่างจากปกติกับกระดูกกลุ่มนี้ก็อาจส่งผลให้รอบๆหลังด้านขวาทางด้านบนเกิดอาการปวดได้ โดยมูลเหตุที่ทำให้กระดูกเปลี่ยนไปจากปกติก็ได้แก่ การเกิดอุบัติเหตุ หรือข้อต่อของกระดูกที่หลังส่วนบนขวาเกิดการอักเสบ นอกจากนี้ภาวการณ์กระดูกพรุนก็สามารถกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการปวดที่กระดูกบริเวณด้านขวาทางด้านบนได้ ในตอนที่ผู้เจ็บป่วยโรคมะเร็งบางชนิดในระยะแพร่กระจาย อย่างมะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งต่อมลูกหมาก โรคมะเร็งที่ต่อมไทรอยด์ และโรคมะเร็งไต ก็จะมีลักษณะอาการปวดกระดูกบริเวณข้างหลังส่วนบนด้วยเหมือนกัน


ความผิดปกติของอวัยวะภายใน


          อาการปวดหลังส่วนบนขวาไม่ได้เกิดขึ้นจากกล้ามและก็กระดูกรอบๆหลังส่วนบนเท่านั้น แต่ยังอาจเกิดจากอาการเจ็บป่วยไข้ของอวัยวะต่างๆในร่างกายได้ เช่น โรคตับ นิ่วในไตรวมทั้งในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น โรคในถุงน้ำดี หรือแม้แต่อาการติดเชื้อในไต หรืออาจจะเกิดจากอาการไส้ติ่งอักเสบที่ทำให้ปวดแผ่ขยายขึ้นบริเวณหลังทางขวาก็ได้ ส่วนคุณสุภาพสตรี แม้มีอาการปวดที่หลังส่วนบนขวา นั่นอาจเป็นสัญญาณของซีสต์ในรังไข่ การติดเชื้อของท่อรังไข่ หรือการตั้งท้องนอกมดลูกที่บริเวณท่อรังไข่ได้อีกด้วยจ้ะ


โรคที่เกี่ยวกับปอด


          น้ำมันนวด ปอดเป็นอวัยวะที่อยู่ส่วนบนของร่างกายซึ่งตรงกับข้างหลังส่วนบนพอดีเป๊ะ โดยเหตุนี้เมื่อปอดมีความผิดปกติก็สามารถนำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการปวดข้างหลังส่วนบนได้ โดยอาการที่จะส่งผลให้เกิดอาการปวดข้างหลังข้างบนขวาก็ตัวอย่างเช่น โรคปอดบวม โรคมะเร็ง อาการติดเชื้อของเยื่อห่อหุ้มปอดหรือช่องอก ยิ่งไปกว่านี้อาการน้ำหลากปอด หรือแม้แต่หัวใจล้มเหลว ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดข้างหลังขวาบนได้ โดยเหตุนี้แม้มีอาการปวดที่หลังด้านบนขวาแบบเรื้อรังแล้วก็รุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุดค่ะ
17  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / เห็ดหลินจือมีประโยชน์เเละสรรพคุณดีจริงเหมือนตามคำบอกเล่าจริงหรือ....? เมื่อ: มิถุนายน 29, 2018, 06:11:39 pm
[/b]
เห็ดหลินจื[/size][/b]
[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจือ
ในตอนนี้มีผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือขายมากตามท้องตลาด มีทั้งที่ผลิตในไทยแล้วก็นำเข้าจากเมืองนอก ถ้าเกิดเพื่อนพ้องๆอยากเลือกซื้อ จำเป็นต้องดูให้ดี ว่าผลิตภัณฑ์ตัวนั้นมีที่มาและแหล่งผลิตน่าเชื่อถือหรือเปล่า มีการยืนยันจาก อย. หรือไม่ และผลิตภัณฑ์ที่สามารถกันความชื้นเจริญหรือป่าว
สรรพคุณสมุนไพร เห็ดหลินจือที่มีงานศึกษาเรียนรู้วิจัยยืนยัน....มีอะไรบ้าง
มีความคิดกันมานานแล้วว่าเห็ดหลินจือแดงสามารถทำให้หัวใจแข็งแรง เลือดลมดี ผิวพรรณแจ่มใส ช่วยให้แก่ช้าลง ความจำดีขึ้น แล้วก็ช่วยอายุยืนนาน
ส่วนสรรพคุณในทางการรักษาโรคถูกกล่าวไว้อย่างมากมายด้วยเหมือนกัน เป็นต้นว่า แก้โรคตับแข็ง รักษาโรคมะเร็ง รักษาโรคความดัน และก็ภูมิแพ้ฯลฯ
แต่ทีเด็ดคือ......
มีงานศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับเห็ดหลินจือรักษาโรคจากคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งในการทดสอบศึกษาเล่าเรียนทางคลีนิครวมทั้งยืนยันว่าเห็ดหลินจือมีคุณประโยชน์ดังต่อไปนี้จริง ไม่ใช่แค่ความเชื่ออีกต่อไป อันดังเช่น
-กระตุ้นภูมิต้านทาน
-ต้านเนื้องอกและโรคมะเร็ง
-รักษาโรคทางเท้าปัสสาวะ
-รักษาโรคหัวใจ
-ช่วยทำให้การนอน
-ลดไขมันในเลือด
-ต่อต้านอนุมูลอิสระ
-ต่อต้านการอักเสบ
ในเห็ดหลินจือมีสารอาหารที่บางทีอาจเป็นผลดีต่อร่างกายมาก จำพวกเส้นใยต่างๆโปรตีนคาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามินแล้วก็ธาตุบางประเภท เชเนแคลเซียม โพแทสเซียม ธาตุฟอสฟอรัสแมกนีเซียม เซเลเนียม ธาตุเหล็ก สังกะสี มองดูแดง สารโมเลกุลชีวภาพที่สำคัญ เย่างสเตียรอยด์(Steroids) เทอร์ป่ายปีนอยด์ (Terpenoide) นิวคลีโอไทด์ (Nucleotides) ไกลโคโปรตีน (Glycoproteins)พอลิแซ็กคาไรค์ (Polrsacchayides) แล้วก็สารอนุพันธ์อื่นๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรดอะมิโนไลซีน (Lysine) และก็ลิวซีน (Leucine)ด้วยประการฉะนี้ มีบางคนหรือในบางวัฒนธรรมนำเห็ดหลินจือมาประกอบอาหารและดัดแปลงเพื่อการบริโภคอย่างนานัปการ นักวิทยาศาสตร์ก็เลยสนใจรวมทั้งนำเห็ดหลินจือมาทดลองหาประสิทธิผลทางการรักษาและก็การบำรุงสุขภาพ เพื่อพิสูจน์ว่าเห็ดประเภทนี้มีสาระต่อร่างกายของมนุษย์ใช่หรือไม่
[/b]
เห็ดหลินมีผลดีต่อสุขภาพที่บางทีอาจเป็นไปได้ใช่หรือ?
แม้มีการค้นคว้าทดสอบมากไม่น้อยเลยทีเดียวเกี่ยวกับคุณลักษณะรวมทั้งคุณประโยชน์ที่บางทีอาจเป็นได้ของเห็ดหลินจื[/b]
แต่ว่าในตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานหรือข้อรับรองทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์ที่เด่นชัดถึงคุณลักษณะและก็คุณประโยชน์ที่บางทีอาจเป็นไปได้ของเห็ดหลินจือแต่ว่า ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานหรือข้อยืนยันทางด้านวิทยาศาสตร์รวมทั้งการแพทย์ที่ชัดเจนถึงคุณลักษณะรวมทั้งประสิทธิผลด้านใดๆก็ตามโดยเหตุนั้น ผู้บริโภคควรทำการศึกษาเรียนรู้และทำการค้นคว้าข้อมูลของเห็ดหลินจือ ปริมาณและก็กรรมวิธีการบริโภคที่เหมาะสม และข้อจำกัดต่างๆแล้วก็ต้นเหตุทางสุขภาพของตนให้ดีก่อนจะมีการบริโภค
เพิ่มความสามารถร่างกาย
[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
มีการทดลองที่ทดลองสมรรถนะของเห็ดหลินจือในด้านการเพิ่มสรรถยนต์ภาพของร่างกาย โดยได้ ทดลองในคนไข้โรคปวดกล้ามไฟโปรไมอัลเจีย (Fibromyalgia)ผู้หญิงปริมาณ 64 ราย ตลอดระยะเวลาการทดลอง 6 อาทิตย์ คนป่วยบริโภเห็ดหลินจือ[/url]ปริมาณ 6 กรัม/วัน จากนั้นก็เลยทดสอบความสามารถร่างกายของคนเจ็บ ผลการทดสอบและวางแผนการรักษาผู้ป่วยโรคนี้ต่อไป แม้กระนั้นยังคงขาดหลักฐานสนับสนุนที่แจ่มชัด จึงควรมีการทำการศึกษาในด้าน เพื่อหาหลักฐานและก็ข้อรับรองที่เด่นชัดถึงประสิทธิผลของเห็ดหลินจือต่อไป
ปกติในกระแสเลือดเราจะมีไขมันอยู่แล้วทุกคน จากมากน้อยสุดแล้วแต่คนไป แต่ถ้าในกระแสเลือดของเรามีจำนวนไขมันมากเกินไปนี่มีปัญหาแน่จ้ะ เรียกภาวการณ์นี้ว่า โรคไขมันในเส้นเลือดสูง ซึ่งโรคนี้มีต้นเหตุจากหลายสาเหตุ อีกทั้งจากของกิน ภาวะจิตใจ เห็ดหลินจือสภาพแวดล้อม พันธุรวมถึงบางทีอาจเกิดจาผลกระทบของยาบางประเภทอีกด้วย(ไขมันที่เอ่ยถึงหมายถึงไตรกลีเซอไรค์และคอลเรสเตอคอยล โรคไขมันในเลือดสูงสามารถนำมาซึ่งโรคภัยต่างๆตามมาอีก ดังเช่นว่า โรคเบาหวาน โรคความดันเลือดสูง เส้นโลหิตหัวใจตีบ หัวใจขาดเลือด และก็เส้นโลหิตสมองตีบ ฯลฯ
เมื่อวิเคราะห์เปรียบจากการรวบงานวิจัยที่เรียนรู้ประสิทธิผลของเห็ดหลินจือเพื่อรักษาโรคโรคมะเร็งในมนุษย์ 373 คน แม้ว่าจะพบว่าคนป่วยสนองตอบต่อการดูแลและรักษาด้วยเคมีบรรเทาหรือรังสีบรรเทาเจริญขึ้นเมื่อรักษาร่วมกับการใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือ แต่ว่าเมื่อตรวจสอบและลองใช้เห็ดหลินจือเพียงอย่างเดียวกลับไม่มีประสิทธิผลในสำหรับในการทำให้โรคมะเร็งลดขนาดลงอย่างใด
ยิ่งไปกว่านี้ สมุนไพร จาการทบทวนงานค้นคว้าวิจัยพบว่ามีงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัย 4 ชิ้นที่ส่งผลลัพธ์สนับสนุนว่าเห็ดหลินจืออาจสโมสรต่อการแก้ไขคุณภาพชีวิตของคนไข้ให้ดียิ่งขึ้น และก็ในขณะเดียวกัน ก็มีผลลัพธ์จากงานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยหนึ่งที่แสดงถึงผลข้างคียงของเห็ดหลินจือ เป็นอาการคลื่นใส้และนอนไม่หดังนั้นควรต้องมีการค้นคว้าทดสอบถึงความสามารถของ สมุนไพ[/b] เห็ดหลินจือสำหรับเพื่อการลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆพวกนี้เพื่อคุ้มครองปกป้องและการรักษาโรคเส้นโลหิตหัวใจต่อไป รวมถึงให้ได้เรื่องแจ่มชัดชัดดเจนในด้านดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นเยอะขึ้น อันเป็นผลดีต่อกรรมวิธีรักษาป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจรวมทั้งอาการต่างๆที่เกี่ยวข้องต่อไปในอนาคต
ปริมาณที่เหมาะสมในการบริโรคเห็ดหลินจืออย่างแจ่มชัด เนื่องประสิทธิผลและก็ผลกระทบจากการบริโภค ด้วยเหตุนี้ ผู้ใช้ ควรศึกษาค้นคว้าเนื้อหาเกี่ยวกับ[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจือ
และก็หารือแพทย์หรือเภสัชกรก่อนที่จะมีการบริโรค เพราะแม้เห็ดหลินจือในแต่ละแบบจะเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ แต่สารเคมีและส่วนประต่างบางทีอาจส่งผลข้างเคียงที่มีอันตรายต่อร่างกายได้เหมือนกันลับด้วย

Tags : สมุนไพรเห็ดหลินจือ
18  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / การเลือกซื้อเห็ดหลินจือ พร้อมทั้งสรรพคุณเเละโยชน์ดีๆของท่านเอง เมื่อ: มิถุนายน 26, 2018, 03:47:06 pm
[/b]
เห็ดหลินจื[/size][/b]
สปอร์เห็ดหลินจือแดง-ส่วนที่ทรงคุณค่าที่สุดของเห็ดหลินจือ
เมื่อ ค.ศ 2005 บริษัทของเรามีจุดเริ่มขึ้นจากสิ่งที่ต้องการหา[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
ประสิทธิภาพสูงจากในหลายประเทศ จนตราบเท่าเราเจอรวมทั้งมีส่วนร่วมกับบริษัทยยาของรัฐบาลจีน และได้ นำเข้าสปอร์เห็ดหลินจือคุณภาพสูงจากนั้นมา
นับ 10 กว่าปี ที่พวกเราเป็นผู้ก่อกำเนิด รวมทั้งเป็นผู้นำในด้านสปอร์เห็ดหลินจือแดงคุณภาพสูง ประสิทธิภาพเป็นหัวใจสำคุณของเรา สปอร์เห็ดหลินจือของเรา จะถูกคัดสรรอย่างดีก่อนถึงมือบริโภค เห็ดหลินจือแดงที่พวกเรานำเข้ามา ถูกเพาะด้วยแนวทางละเอียดลออ ทำให้ได้ตัวดอกเห็ดที่มีขนาดใหญ่มากกว่า
พวกเราเอาใจใส่แล้วก็สำรวจคุณภาพในทุกกระบวนการผลิตอย่างใกล้ชิด และก็ด้วยกระบวนการผลิตที่ดูแลอย่างดี ทำให้พวกเราได้รับการรับรองมาตฐาน GMP (GOOD Manufacturing Practice) ทุกล็อตที่เราผลิตออกมา จะได้รับการตรวจประสิทธิภาพจากห้องแล็ปในโรงพยาบาล
เพื่อผลดีสูงสุดของท่านผู้ที่กำลังหาผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือมากิน
งานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยยืนยันว่าการกินสปอร์เห็ดหลินจือจะได้ผลลัพธ์ที่ดีมากกว่าการทานดอก เนื่องจากสปอร์มีสารออกฤทธิ์สำคัญมากกว่าและก็สปอร์ที่ถูกกระเทาะนั้น เปลือกหุ้มจะต่อต้านโรคมะเร็ง รวมทั้งเสริมภูมิคุ้มกันได้ดีกว่า เทียบกับแบบไม่ได้กระเทาะเปลือก
ที่พลาดมิได้ที่สุดเป็น.....
ท่านๆสามารถบริโภคเห็ดหลินจือได้ต่อเนื่องกันเป็นเวลานานโดยไม่เป็นอันตรายใด อีกกด้วย เห็ดหลินจือมีมากว่า 100 สายพันธุ์แต่ว่าสายพันธุ์ที่มีคุณประโยชน์ทางยาดีที่สุดคือเห็ดหลินจือแดง ด้วยเหตุว่าสายพันธุ์นี้จะมีสารออกฤทธิ์กลุ่ม Polysaccharide อยู่อย่างยิ่งที่สุด
ส่วนท่านที่กำลังเลือกซื้อเห็ดหลินจือออกมาขายในท้องตลาดแบบต่างๆเยอะแยะ ทั้งยังในต้นแบบดอกอบแห้ง แคปซูล น้ำเห็ดหลินจือ กาแฟเห็ดหลินจืออื่นๆอีกเยอะมาก
โดยเหตุนั้นการจะเลือกซื้อเห็ดหลินจือให้ได้แบบที่มีคุณภาพดี ต้อง......
มองตั้งแต่แนวทางการผลิต ว่าตัวเห็ดหลินจือนั้นได้รับการเลี้ยงที่สมควรหรือปล่าว เพราะการควบคุมอณหภูไม่ ความชุ่มชื้น สารอาหาร รวมทั้งขั้นตอนการแปลรูปล้วนมีผลต่อปริมาณสาระสำคัญในตัวเห็ดหลินจือ บรรจุภัณฑ์ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะว่าเห็ดหลินจือจะขึ้นราได้ง่ายเมื่อโดนความชื้อ ด้วยเหตุดังกล่าวตัวบรรจุภัณฑ์ควรต้องเลือกเป็นขวดที่กันความชื้อเจริญอีกด้วย
เห็ดหลินจือกับประโยชน์ต่อร่างกาย
เห็ดหลินจือ (Lingzihi หรือ  REISHI)มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า กาโนเดอร์ มา ลูซิดัม (Ganoderma Lucidum) เป็นเห็ดที่มีขนาดใหญ่ มีสีแก่มีผิวมันวาว มีลักษณะเหมือนไม้ และมีรสขม มีประวัตศาสตร์ยาวนานสำหรับเพื่อการใช้เห็ดหลินจือ เพื่อรักษาหรือบำรุงสุขภาพในประเทศแถบเอเซีย โดย เฉพาะจีนและก็ประเทศญี่ปุ่น เพราะว่าเชื่อว่าสารประกอบด้านในเหลืดหลินจือมีคุณค่าต่อสุขภาพ
สมุนไพร ในเห็ดหลินจือมีสารอาหารที่อาจเกิดผลดีต่อร่างกายล้นหลาม ประเภทเส้นใยต่างๆโปรตีนคาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามินและแร่ธาตุบางประเภท เชเนแคลเซียม โพแทสเซียม ธาตุฟอสฟอรัสแมกนีเซียม เซเลเนียม ธาตุเหล็ก สังกะสี มองแดง สารโมเลกุลชีวภาพที่สำคัญ เย่างสเตียรอยด์(Steroids) เทอร์ป่ายปีนอยด์ (Terpenoide) นิวคลีโอไทด์ (Nucleotides) ไกลวัวโปรตีน (Glycoproteins)พอลิแซ็กคาไรค์ (Polrsacchayides) รวมทั้งสารอนุพันธ์อื่นๆโดยเฉพาะกรดอะมิโนไลซีน (Lysine) และลิวซีน (Leucine)ด้วยเหตุนี้ มีบางบุคคลหรือในบางวัฒนธรรมนำเห็ดหลินจือมาทำครัวแล้วก็แปรรูปเพื่อการบริโภคอย่างมากมาย นักวิทยาศาสตร์ก็เลยสนใจแล้วก็นำเห็ดหลินจือมาทดลองหาประสิทธิผลทางการรักษาแล้วก็การบำรุงสุขภาพ เพื่อพิสูจน์ว่าเห็ดประเภทนี้มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของผู้คนใช่หรือไม่
เห็ดหลินมีประโยชน์ต่อร่างกายที่บางทีอาจเป็นได้จริงหรือ?
ถึงแม้มีการค้นคว้าทดสอบเยอะแยะเกี่ยวกับคุณสมบัติรวมทั้งคุณค่าที่อาจเป็นได้ของเห็ดหลินจือ
แต่ว่าในตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานหรือหลักฐานด้านวิทยาศาสตร์และก็การแพทย์ที่ชัดเจนถึงคุณสมบัติและก็คุณประโยชน์ที่บางทีอาจเป็นไปได้ของ[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจือ[/url]แม้กระนั้น ในขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานหรือหลักฐานด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์ที่เด่นชัดถึงคุณสมบัติรวมทั้งประสิทธิผลด้านใดๆก็ตามด้วยเหตุผลดังกล่าว ผู้ซื้อควรศึกษาเรียนรู้ข้อมูลของเห็ดหลินจือ จำนวนแล้วก็กรรมวิธีบริโภคที่สมควร และข้อจำกัดต่างๆรวมทั้งเหตุทางสุขภาพของตัวเองให้ดีก่อนจะมีการบริโภค
แบบอย่างงานศึกษาเรียนรู้วิจัยที่เรียนเกี่ยวกับเห็ดหลินจือที่อาจมีผลต่อสุขภาพ
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
งานศึกษาเรียนรู้หนึ่งได้ทดลองหาประสิทธิผลแล้วก็ความปลอดภัยของการบริโภคอาหารเสริมเห็ดหลืนจือในผู้ป่วย โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ จำนวน 32 ราย  คำตอบคือ เห็ดหลินจืออาจมีสรรพคุณในด้านการห้ามอาการปวด ไม่มีอันตรายต่อการกินเข้าสู่ร่างกายและไม่มีผลใกล้กัน อย่างไรก็ตาม กลับไม่ปรากฏผลที่มีนัยสำคัญสำหรับการต่อต้านปฎิกิริยาออกซิเดชัน การต้านการอักเสบ หรือผลของการปรับระบบภูมิต้านทานอะไร
[/b]
เพิ่มสมรรถภาพร่างกาย
เห็ดหลินจือ มีการทดลองที่ทดสอบสมรรถนะของเห็ดหลินจือในด้านการเพิ่มสรรถภาพของร่างกาย โดยได้ ทดสอบในผู้ป่วยโรคปวดกล้ามเนื้อไฟโปรไมอัลเจีย (Fibromyalgia)เพศหญิงปริมาณ 64 ราย ตลอดเวลาการทดลอง 6 สัปดาห์ คนป่วยบริโภคเห็ดหลินจือจำนวน 6 กรัม/วัน หลังจากนั้นจึงทดลองสมรรถภาพร่างกายของคนป่วย ผลการทดสอบและก็กำหนดแผนการรักษาผู้เจ็บป่วยโรคนี้ต่อไป แต่ว่ายังคงขาดหลักฐานสนับสนุนที่แจ่มชัด จึงควรมีการทำการค้นคว้าในด้าน เพื่อหาหลักฐานรวมทั้งข้อรับรองที่แนชัดถึงประสิทธิผลของเห็ดหลินจือต่อไป
ต้านการเกิดปฎิกิริยาขบวนการออกซิเดชัน และคุ้มครองป้องกันการทำลายเซลล์ตับ
สมุนไพร จากการทดสอบหาสมรรถนะของสารตรีเทอร์พีนอยด์ (Trirpenoids)แล้วก็โพลีแซ็กคาไรด์(Polysaccharide)ในเห็ดหลินจือในด้านการต้านการเกิดปฎิกิริยาออกซิเดชัน และก็การคุ้มครองป้องกันการทำลายเซลล์ตับในกรุ๊ปผู้ทดลองที่มีร่างกายแข็งแรง 42 คน ผลคราวแสดงถึงประสิทธิภาพของเห็ดหลินจือในการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ แล้วก็ยั้งการเกิดอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบของตับ
อย่างไรก็ดี หากแม้เห็ดหลินจืออาจช่วยต้านทานปริกิรริยาขบวนการออกซิเดชันได้ แม้กระนั้นการทดสอบดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วเป็นเพียงแค่การวิจัยขนาดเล็ก ควรศึกษาเรียนรู้ต่อไปเพื่อหาหลักฐานและข้อพสจน์ที่แจ่มชัดที่กระจ่างแจ้งถึงประสิทธิผลของเห็ดหลินจือ
19  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ข้อมูลสรรพคุณเเละประโยชน์ดีๆของถั่งเช่าที่น่าทึ่ง ... เมื่อ: มิถุนายน 26, 2018, 10:34:50 am
[/b]
ถั่งเช่[/size][/b]
เราจะมาดูกันว่าถั่งเช่าที่ว่าดีกันมากยิ่งนี่ดีจังตามคำกล่าวอ้างหรือประกาศ ? มีงานศึกษาเรียนรู้วิจัยหรือยัง? แล้วก็ยังแพงแบบที่ทุกคนเชื่อใช่หรือป่าวร้อง? รวมทั้งบอกแนวทางจะหาถั่งเช่าราคาถูกมารับประทานได้จากที่ไหน
[url=http://www.disthai.com/16484912/%E0%B8%96%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%B2]ถั่งเช่า
นับว่าเป็นสมุนไพรอันดับหนึ่งของโลกยุคปัจจุบัน ด้วยสรรพคุณเยอะแยะที่ได้จากถั่งเช่า ก็เลยทำให้ไม่ว่าใครก็ต่างเชิดชูให้ ถั่งเช่านั้นเป็นสมุนไพรที่ดีเยี่ยมที่สุด แต่ก่อนถ้าเกิดเอ๋ยถึง ถั่งเช่าอาจจะมีไม่ค่อยดังสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทยอย่างเราๆแต่ว่าลองถามในตอนนี้สิจะมีผู้ใดกันแน่บ้างที่ไม่รู้จักสุดยอดสมุนไพรชนิดนี้ เพราะว่าในตอนนี้ถั่งเช่านั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง และก็แพร่หลายด้วยสรรพคุณมากตัวอย่างเช่น ช่วยบำรุงรักษาร่ากาย บำรุงเกี่ยวกับทางเดินหายใจรวมถึงยังสามารถช่วยเพิ่มสามารถทางเพศได้อีกด้วย ไม่หนำซ้าผู้คนล้นหลามยังมั่นใจว่าเจ้าตัว ถั่งเช่านั้นสามารถรักษามะเร็งเจริญอีกด้วย
เพราะอะไรถั่งเช่าถึงแพง
ด้วยความที่ถั่งเช่านั้นได้รับความนิยมมากมายในปัจจุบันทำให้ราคาของสมุนไพรชนิดนี้สูงมากอย่างน้อยเกรดธรรมดาๆก็ตกอยู่ที่กิโลละ 2-3 แสนบาท แต่ว่าถ้าเป็นแบบอย่างดีราคาสูงสุดอยู่ที่2-3 ล้านบาทอย่างยิ่งจริงๆ ต้นสายปลายเหตุที่ทำให้ราคาของ ถั่งเช่าแพงได้ขนาดนี้ก็เพราะถั่งเช่าไม่ได้หากันกล้วยๆมีเฉพาะบางพื้นที่แค่นั้น แตกต่างจากสมุนไพรจำพวกอื่นๆซึ่งสามารถหากันง่ายดายเสียยิ่งกว่านี้ ถั่งเช่าจะหาได้จากพื้นที่สูงเข้าถึงยาก แล้วก็มีสภาพภูมิอากาศที่คนปกติทั่วไปไม่สามารถเข้าไปหาถึงได้ง่ายๆจำต้องให้คนทื้นที่เป็นผู้เข้าไปหาในป่าเพียงแค่นั้น ทั้งยังถั่งเช่ายังมีคุณประโยชน์ยังมีสรรพคุณต่างๆอีกเพียบเลย ทั้งช่วยรักษโรคภัยไข้เจ็บต่างๆได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นโรคเกี่ยวกับฟุตบาทหายใจ โรคภูมิแพ้ หรือช่วยทำนุบำรุงของกินลดน้าตาลในเลือด ฯลฯ แถมยังช่วยชะลอความแก่ และช่วยเพิ่มสามารถทางเพศ เจริญอีกด้วย ด้วยเหตุผลที่กล่าวมานั้นก็เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้ถั่งเช่ามีราคาแพง แม้กระนั้นเวลานี้มีโรงงานในไทยสามารถเพาะถั่งเช่าได้ โดยไม่ต้องเดินไปเก็บตามแนวเขาทำให้ราคาต้นทุนถั่งเช่าลดลดน้อยลงไปมากกว่าเมื่อก่อน สามารถควบคุมปริมาณสาระสำคัญได้เป็นเพาะในสภาพควบคุม และยังขจัดปัญหาสารโลหะหนักเจือปนที่ไม่สามารถที่จะควบคุมได้ในธรรมชาติได้อีกด้วย
การศึกษา
คุณรู้หรือไม่?......จากที่มีการศึกษามามากกว่า 20 ปี ไม่เจอผลข้างเคียงหรือสารตกค้างอะไรก็ตามเลย ในกลุ่มคนที่กินถั่งเช่า หากแม้ในปริมาณมากติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ รวมทั้งในคนแก่
จะเป็นอะไรไหม? ถ้าเกิดทานถั่งเช่าติดต่อกันนานๆ
-ถั่งเช่าจัดเป็นเห็ดทางการแพทย์ที่มีผลเยอะแยะในเชิงการดูแลและรักษาและก็มีความปลอดัยสูง ถึงขนาดจัดว่าเป็นเห็ดที่ไม่มีความเป็นพิษเลย ไม่มีรายงานความเป็นพิษในคนเลย
-ได้มีการใช้ถั่งเช่าในการรักษาผู้เจ็บป่วยไตวายเรื้อรังในขนาดมากถึง 3-6 กรัมต่อวัน โดยไม่เกิดอันตรายใดๆก็ตาม
-แม้ว่าการทดลองในหนูเพื่อหาค่า LD50 ก็ไม่สามารถที่จะหาค่าได้ (เนื่องจากว่าไม่มีความเป็นพิษเลย)ถึงขนาดทดสอบให้ถั่งเช่ากับตัวทดลองใน dose ที่สูงมากมายๆขนาด 80 g/น้ำหนักตัว 1 kg (หรือเทียบเคียงได้กับคนแก่หนัก 50 kg ทานถั่งเช่าวันละราวๆ 1000 แคปซูล ติดต่อกันมานา 3 เดือน ผลการตรวจไม่เจอความแตกต่างจากปกติใดๆก็ตามเลยในเลือด ไต หรือ ตับ
[/b]
การเรียนพบอีกว่าถั่งเช่าสกัดน้ำ ไม่มีความเป็นพิษอะไรก็ตามต่อเซลล์เม็ดเลือขาว
-นอกนั้น แพทย์สุริยง ธีรธรรมากุล แพทย์จากศูนย์เวชศาสตร์ชะรอวัย โรงหมอกรุงเทพ ได้พูดว่า กว่า 20 ปีให้หลังยังไม่เคยมีการศึกษาและทำการค้นพบผลข้างเคียงหรือผลทางด้านลบที่เป็นอันตรายของถั่งเช่าเลย
“มีหลักฐานการเล่าเรียนจำนวนมาก ยืนยันความปลอดภัยจากการให้ถั่งเช่า”
คุณควรจะทานถั่งเช่าเยอะแค่ไหน?
คำเสนอแนะสำหรับในการบริโภคถั่งเช่า
สำหรับผู้ทานถั่งเช่าเพื่อ........
-สมุนไพ[/b] ลดน้ำตาลในเลือด (รวมถึงผู้ป่วยโรคเบาหวาน)
-ลดโคเลสเตอรรอคอยล และไขมัน
-ลดระดับความดัน
-[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
ถั่งเช่า แก้เมื่อยล้า หรือเพื่อดำเนินงานได้มีคุณภาพมากขึ้นเรื่อยๆ
-บรรเทาหอบหืด/ไซนัส
-บรรเทาภูมิแพ้
-ทุเลาหวัด/ไอ
-ช่วยการนอน
-บำรุงร่างกาย/บำรุงสุขภาพทั้วไป
-บำรุงสมรรถนะ
“ทราบหรือยัง....คนไทยขั้นต่ำนับแสนกำลังค้นหาถั่งเช่ามาทาน”
คนใดกันบ้างที่ไม่สมควรทานถั่งเช่า?
ถั่งเช่า ถึงแม้ถั่งเช่าจะเป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัยสูงมากมาย แต่ก็ควรมีข้อยกเว้นในบางบุคคลที่ไม่เสนอแนะให้กินถั่งเช่า ดังต่อไปนี้
-คนที่แพ้เห็ด
-ผู้ที่ทานยาต้านการจับกุมของเกล็อดเลือด ด้วยเหตุว่าถั่งเช่ามีฤทธิ์ลดการยึดตัวกันของลิ่มเลือด กระตุ้นให้เกิดการเสริมฤทธิ์กันได้
-คนที่กำลังรับยาลดน้ำตาลในเลือด ด้วยเหตุว่าถังเช่าลดน้ำตาลในเลือดก้าวหน้ามากมาย ถ้าเกิดทานคู่กับยาลดน้ำตาลอีก อาจจะส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงมากเกินความจำเป็น
ผู้ที่กำลังรับยากดภูมิต้านทาน หรือผู้ที่เป็นโรคภูมิต้านทานต่อต้านตนเองเนื่องจากว่าถั่งเช่ามีฤทธิ์กระตุ้นภูมิต้านทาน
-เด็ก ผู้ให้นมบุตร แล้วก็สตรีตั้งครรภ์ (เป็นคำเตือนมาตรฐานของอาเสริมทุกประเภท
ถ้าเกิดทานถั่งเช่าแล้วมีอาการกลุ่มนี้หล่ะ จะต้องทำยังไง
-ปวดหัว วิงเวียน ลายตา-ไม่ใช่อาการแพ้ แต่ว่าเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากทีถั่งเช่า[/url]เข้าไปขับพิษและก็ปรับสมดุลร่างการตามนี้ให้
-ลดปริมาณการทานถั่งเช่าชั่วคราว เหลือครึ่งถึงหนึ่งแคปซูลต่อวัน เป็นเวลา 1-3 สัปดาห์ เพื่อร่างกายปรับพฤติกรรม
-กินน้ำให้มากๆ
-ออกกำลังกาย
เมื่อร่างกายสมดุล ซึ่งธรรมดาจะใช้เวลาราว 1 สัปดาห์ อารเหล่านี้จะหายไปแล้วก็ค่อยเพิ่มขนาดรับประทาน
-ถ้าทานแล้วหายใจไม่ออก หรือเกิดอาการแพ้อื่นๆให้งดเว้นทานโดยทันที
20  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ถั่งเช่าที่ว่านั้นสุดยอดสมุนไพรเเห่งเทือกเขาหิมาลัยนั้นเป็นยังไง เมื่อ: มิถุนายน 23, 2018, 10:47:29 am
[/b]
ถั่งเช่[/size][/b]
‘ถั่งเช่า’ เป็นยังไง? 
[url=http://www.disthai.com/16484912/%E0%B8%96%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%B2]ถั่งเช่า
’ นั้นเจอได้รอบๆแถบทุ่งหญ้าบนเทือกเขาสูงของจีน (ธิเบต) เนปาล และก็ภูฏาน ซึ่ง ‘ถั่งเช่า’ ที่มาจากแนวเขาหิมาลัยมีความน่าดึงดูดใจเป็นอย่างยิ่ง ได้มีคำอธิบายสมุนไพรประเภทนี้ว่า
“หน้าหนาวเป็นหนอน ฤดูร้อนเป็นหญ้า” สมุนไพร มีความหมายบ่งบอกพัฒนาการของมันว่า ตลอดหน้าหนาวจะมีหนอนฝังตัวอยู่ในหิมะ เมื่ออากาศเปลี่ยนน้ำแข็งเริ่มละลาย ก็จะมีเห็ดอีกชนิดหนึ่งปลดปล่อยสปอร์ออกมาเพื่อการขยายพันธุ์ โดยจะถูกพัดพาไปตกอยู่ตามพื้นดิน แล้วตัวหนอนที่เคยฝังตัวในหิมะเหล่านี้หลุดออกจากจำศีลขึ้นมาหาอาหารก็จะกินสปอร์เข้าไป เมื่อเวลาผ่านไปถึงฤดูร้อนสปอร์ก็จะเริ่มเจริญเติบโตโดยอาศัยการดูดสารอาหารและแร่จากตัวหนอน จากนั้นเห็ดก็จะเริ่มแตกหน่อออกจากตัวหนอน เนื่องจากเห็ดพวกนี้อยากแสงตะวันมันก็เลยผลิออกพุ่งขึ้นสู่พื้นดินโดยแตกหน่อออกมาจากปากของตัวหนอน ส่วนตัวหนอนเองก็จะค่อยๆอ่อนแรงลง โดยเหตุนี้ถั่งเช่าที่ประยุกต์ใช้ทำเป็นยาก็คือ ส่วนผสมของตัวหนอนรวมทั้งเห็ดที่แห้งแล้วนั่นเอง
‘ถั่งเช่า’ ราชาที่สมุนไพรจีน
สมุนไพร ถั่งเช่า นับเป็นเรื่องน่าพิศวงที่วงจรของหนอนชนิดนี้ได้กลายมาเป็นต้นเกิดของสมุนไพรที่เป็นประโยชน์หลายประการ สำหรับการนำมารับประทานนั้น มีกินใหม่ๆเอามาต้ม ต้ม หรือบดเป็นผุยผงแล้วบรรจุในแคปซูลเพื่อความสะดวกยิ่งขึ้นเช่าถือเป็นสมุนไพรอันดับแรกๆของโลกช่วงปัจจุบัน ด้วยสรรพคุณจำนวนมากที่ได้จาก[url=http://www.disthai.com/16484912/%E0%B8%96%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%B2]ถั่งเช่า[/url] ก็เลยทำให้ไม่ว่าใครก็ต่างสรรเสริญให้ ถั่งเช่านั้นเป็นสมุนไพรที่เหมาะสมที่สุด เมื่อก่อนหากเอ๋ยถึง ถั่งเช่าอาจจะมีไม่ค่อยเป็นที่รู้จักสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนประเทศไทยอย่างเราๆแต่ลองถามขณะนี้สิจะมีผู้ใดบ้างที่ไม่เคยทราบสุดยอดสมุนไพรประเภทนี้ เพราะในขณะนี้ถั่งเช่านั้นเป็นที่นิยมเป็นอันมาก แล้วก็แพร่หลายด้วยสรรพคุณมากมายก่ายกองอาทิเช่น ช่วยบำรุงร่ากาย บำรุงเกี่ยวกับฟุตบาทหายใจรวมไปถึงยังสามารถช่วยเพิ่มสามารถทางเพศได้อีกด้วย มิหนำซ้าผู้คนมากไม่น้อยเลยทีเดียวยังมั่นใจว่าเจ้าตัว ถั่งเช่านั้นสามารถรักษามะเร็งได้ดีอีกด้วย
การศึกษาสมุนไพรถั่งเช่า
คุณรู้หรือเปล่า?......จากที่มีการเรียนสมุนไพร มามากกว่า 20 ปี ไม่พบผลกระทบหรือสารตกค้างใดๆเลย ในกรุ๊ปคนที่กินถั่งเช่า แม้ในปริมาณมากติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ รวมทั้งในคนวัยชรา
จากการศึกษางานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยจำนวนหลายชิ้นเกี่ยวกับผลทางชีวภาพแล้วก็ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของถั่งเช่ามีมากมาย ก็เลยทำให้ ‘ถั่งเช่า’ เป็นสมุนไพรที่ให้ประโยชน์สำหรับเพื่อการกระตุ้นระบบภูมิต้านทานต่างๆของร่างกายให้ปฏิบัติงานดีขึ้น ซึ่ง นพ.พระอาทิตย์ ธีรธรรมากุล หมอผู้ชำนาญเฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย ศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัยกรุงเทวดา โรงพยาบาลกรุงเทพ ได้พูดว่ากว่า 20 ปี ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยมีผู้ใดกันค้นพบด้านลบหรือผลข้างเคียงใดๆก็ตามที่เป็นโทษของ ‘ถั่งเช่า’  เลย เว้นเสียจะเกิดขึ้นบ้างครั้งของมีภูมิต้านทานผิดพลาดของตัวเองอยู่แล้วเท่านั้น
คุณประโยชน์ของถั่งเช่า
ถั่งเช่[/b] ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด สำหรับผู้เจ็บป่วยที่เป็นเบาหวาน รวมทั้งลดคอเลสเตอรอล
ช่วยหลักการทำงานของตับในเรื่องของดีท็อกซ์ เพิ่มประสิทธิภาพแนวทางการทำงานของไตให้
สร้างโปรตีนชนิดสำคัญ ที่ช่วยเพิ่มกระตุ้น สมรรถภาพทางเพศทั้งหญิงและชาย ซึ่งได้รับฉายาอีกอย่างหนึ่งว่า ไวอกร้าแห่งแนวเขาหิมาลัย
ต้านอาการเมื่อยล้า แล้วก็ทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นการทำงานของร่างกาย
[url=http://www.disthai.com/16484912/%E0%B8%96%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%B2]ถั่งเช่า
ช่วยกระตุ้นลักษณะการทำงานของเม็ดเลือดขาว ลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง
ความนิยมบำรุงสุขภาพด้วยการกินสมุนไพรจีนเพื่อบำรุงร่างกายมีมากขึ้น ซึ่ง ‘ถั่งเช่า’ เองนั้นเป็นอีกหนึ่งประเภทของอาหารเสริมสำหรับผู้ที่ต้องการบำรุงร่างกายให้แข็งแรง เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่คนวัยหนุ่มวัยสาวกระทั่งผู้สูงวัยหรือผู้ที่อยากได้ปรับสมดุลในช่วงวัยทอง
โดยคุณหมอเสนอแนะหัวข้อการเลือกซื้อ ‘ถั่งเช่า’ ว่า “เดี๋ยวนี้ในตลาดจะมีทั้งยังแบบธรรมชาติหรือการเพาะเลี้ยงเองเป็นโอกาส มีสายพันธุ์มากยิ่งกว่า 600 สายพันธุ์ ซึ่งจากการทดสอบนั้น ‘ถั่งเช่า’ สายพันธุ์ Cordyceps Sinesis จะออกฤทธิ์ก้าวหน้าที่สุด และก็มีผลวิจัยรับรองแน่นอน การเลือกกินสมุนไพร ‘ถั่งเช่า’ เป็นอาหารเสริมนั้น จำเป็นที่จะต้องเลือกจากแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้ผ่านกรรมวิธีที่ถูก
[/b]
ทำไม....ทานถั่งเช่าแล้วบางเจ้าไม่เห็นผล
เพราะอะไรถั่งเช่าถึงแพง
เนื่องจากว่าสมุนไพร ถั่งเช่[/color]นั้นได้รับความนิยมมากในตอนนี้ทำให้ราคาของสมุนไพรประเภทนี้สูงมากขั้นต่ำเกรดธรรมดาๆก็ตกอยู่ที่กิโลละ 2-3 แสนบาท แต่ถ้าเกิดเป็นตัวอย่างดีราคาแพงสุดอยู่ที่2-3 ล้านบาทเลยทีเดียว ต้นเหตุที่ทำให้ราคาของ [url=http://www.disthai.com/16484912/%E0%B8%96%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%B2]ถั่งเช่าแพงได้ขนาดนี้เพราะถั่งเช่ามิได้หากันกล้วยๆมีเฉพาะบางพื้นที่เพียงแค่นั้น แตกต่างจากสมุนไพรจำพวกอื่นๆซึ่งสามารถหากันง่ายดายเสียยิ่งกว่านี้ ถั่งเช่าจะหาได้จากพื้นที่สูงเข้าถึงยาก แล้วก็มีลักษณะอากาศที่คนปกติทั่วๆไปไม่สามารถที่จะเข้าไปหาถึงได้อย่างง่ายดายจะต้องให้คนทื้นที่เป็นผู้เข้าไปหาในป่าเพียงแค่นั้น ทั้งยังถั่งเช่ายังมีสรรพคุณยังมีสรรพคุณต่างๆอีกเยอะแยะ ทั้งยังช่วยรักษโรคภัยไข้เจ็บต่างๆได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นโรคเกี่ยวกับทางเท้าหายใจ โรคภูมิแพ้ หรือช่วยทำนุบำรุงอาหารลดน้าตาลในเลือด ฯลฯ แถมยังช่วยชะลอความแก่ รวมทั้งช่วยเพิ่มสามารถทางเพศ ได้ดิบได้ดีอีกด้วย ด้วยเหตุผลที่กล่าวมานั้นจึงเป็นต้นเหตุที่ทำให้ถั่งเช่าราคาแพงแพง แต่ว่าในตอนนี้มีโรงงานในไทยสามารถเพาะถั่งเช่าได้ โดยไม่ต้องเดินไปเก็บตามแนวเขาทำให้ราคาต้นทุนถั่งเช่าลดต่ำลงไปมากกว่าคราวก่อน สามารถควบคุมจำนวนสาระสำคัญได้เป็นเพาะในสภาพควบคุม รวมทั้งยังแก้ไขปัญหาสารโลหะหนักเจือปนที่ไม่อาจจะควบคุมได้ในธรรมชาติได้อีกด้วย

Tags : สมุนไพรถั่งเช่า
21  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: คุณประโยชน์ที่เราน่ากิน เมื่อ: มิถุนายน 21, 2018, 03:31:03 pm
สมุนไพร เห็ดหลินจือ ประโยชน์หลินจือ ขายหลินจือ
22  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: สรรพคุณเห็ดหลินจือ เมื่อ: มิถุนายน 20, 2018, 08:44:10 am
สรรพคุณเห็ดหลินจือ ประโยชน์เห็ดหลินจือ หลินจือ ขายหลินจือ
23  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: ขายถั่งเช่าราคาเเห่งสมุนไพรที่คุณจำต้องทดลอง เมื่อ: มิถุนายน 09, 2018, 12:16:13 pm
ถั่งเช่า ช่วยเพิ่มสมรรถภาพ ประโยชน์ถั่งเช่า ขายถั่งเช่า
24  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรพิมเสน มีวิธีรักษาโรคพร้อมทั้งสรรพคุณ-ประโยชน์ดีๆ เมื่อ: มิถุนายน 07, 2018, 02:33:54 pm

พิมเสน (Bomed Camphor)
พิมเสนเป็นยังไง พิมเสนมีชื่อเรียกหลายชื่อ ดังเช่นว่า ภิมเสน น่ากลัวเสน พิมเสนเกล็ด พิมเสนจังหวัดตรังกานู พรมแสน มีชื่อสามัญว่า “Borneo Camphor” แขกอินเดียในบอมเบย์เรียก “Bhimseni” หรือ “Boras” แขกฮินดูเรียก “Bhimsaini-kapur” หรือ “Barus kapur”  โดยปกติพิมเสนแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดเป็นพิมเสนที่ได้จากธรรมชาติหรือพิมเสนแท้ ชื่อสามัญ Borneol camphorและก็พิมเสนสังเคราะห์ หรือพิมเสนเทียม ชื่อสามัญ Borneolum Syntheticum (Borneol) ซึ่งพิมเสนจะมีลักษณะเป็นเกล็ดเล็กๆแบนๆมีสีขาวขุ่นหรือออกแดงเรื่อๆ(หากเป็นพิมเสนบริสุทธิ์จะเป็นผลึกรูปแผ่นหกเหลี่ยม) มีเนื้อแน่นกว่าการบูร ระเหิดได้ช้ากว่าการบูร ติดไฟให้แสงสว่างจ้าแล้วก็มีควันมาก ไม่มีเถ้า ละลายได้ยากในน้ำ ละลายได้ดีในตัวทำละลายประเภทขั้วต่ำ พิมเสนมีกลิ่นหอมเย็น ฉุน รสหอม เย็นปากเย็นคอ สมัยเก่าคนไทยนิยมใช้ใส่ไว้ในหมากพลูเคี้ยว
สูตรทางเคมีแล้วก็สูตรโครงสร้าง พิมเสนแท้ (Borneo Camphor) เป็นสารประกอบอินทรีย์ประเภทไบไซคิก  แล้วก็เป็นสารกรุ๊ปเทอร์พีน มีสูตรเคมีเป็น C10H18O มีชื่อทางเคมีว่า(+)-borneol หรือ endo-2-camphanol หรือ endo-2-hydroxycamphane  มีลักษณะเป็นเกล็ดสีขาว 6 เหลี่ยม มีกลิ่นหอมสดชื่นฉุนเหมือนการบูร ติดไฟให้แสงแรงรวมทั้งมีควันมาก ไม่มีขี้เถ้า มีมวลโมเลกุล 154.25                gmd -1 รวมทั้งมีความถ่วงจำเพาะเท่ากับ 1.011 มีจุดหลอมตัว 208 องศาเซลเซียส เกือบไม่ละลายน้ำ ละลายได้ในตัวทำละลายประเภทขั้วต่ำ ได้แก่ น้ำมันปิโตรเลียมอีเธอ(1:6) ในเบนซีน (1:5)
 
ที่มา : Wikiperdia
แหล่งที่มา พิมเสนธรรมชาติ หรือ พิมเสนแท้หมายถึงพิมเสนที่ได้มาจากการระเหิด (ผู้กระทำลั่นของเนื้อไม้โดยธรรมชาติ) ของยางจากต้นไม้ประเภท (รู้เรื่องว่าตัวต้นไม้ที่ให้พิมเสนนี้มิได้ถูกข้อกำหนดชื่อไทยไว้ ซึ่งในตำรายาแผนโบราณส่วนใหญ่ก็จะพูดถึงแม้กระนั้นสิ่งที่สกัดได้จากเจ้าพืชต้นใหญ่นี้ว่า พิมเสน เนื่องจากว่าแม้เรียกว่าต้นพิมเสนอาจเกิดความสับสน เพราะว่าต้นพิมเสน นั้นยังเป็นพืชอีกประเภท เป็นไม้เนื้ออ่อน มีชื่อวิทยาศาสตร์ Pogostemon cablin (Blanco) Benth. เครือญาติ Labiatae ซึ่งเจ้าต้นนี้ สกัดได้น้ำมันหอมระเหย ที่ฝรั่งเรียกว่า Patchouli) ซึ่งมีชื่อด้านวิทยาศาสตร์ว่า Dryobalanops aromatica Gaertn. จัดอยู่ในสกุลยางท้องนา (DIPTEROCARPACEAE) (ภาษาจีนกลางเรียกว่า “หลงเหน่าเซียงสู้”) ซึ่งพบมากในเมืองตรังกานู ประเทศมาเลเซีย ซึ่งพืชชนิดนี้(Dryobalanops aromatic Gaertn.) มีชื่อเรียกหลายชื่อ ตัวอย่างเช่น Borneo Camphor Tree, Pokok Kapur Barus (มลายู), Pokok Kapurum (อินโดนีเซีย-สุมาตรา), Mahoborn Teak(อินโดนีเซีย-บอร์เนียว) เป็นไม้ขนาดใหญ่ อาจสูงได้ถึง 70 เมตร มีพูพอนใหญ่มาก วัดโดยรอบลำต้นได้ 2-10 เมตร เปลาตรง เรือนยอดเป็นรูปฉัตร มีกิ่งก้านสาขาใหญ่ ปลายกิ่งตก ยอดทรงแหลม ใบเป็นใบผู้เดียว ใบที่อยู่ตอนบนของต้นเรียงสลับกัน ส่วนใบที่อยู่ตอนล่างของต้นออกตรงกันข้าม รูปไข่ เบาๆเรียวแหลมสู่ปลายใบ ขนาดกว้าง 2.5-5 ซม. ยาว 7.5-17.8 ซม. ขอบใบเรียบ ผิวใบเรียบ ก้านใบสั้น ใบอ่อนสีแดงรวมทั้งห้อย ดอกเป็นดอกช่อ ออกที่ปลายกิ่งหรือที่ซอกใบ ดอกย่อยมีขนาดเล็ก มีกลิ่นหอมสดชื่น กลีบชั้นนอกมี 5 กลีบ ขนาดเท่าๆกัน แข็ง กลีบชั้นในห่อตามแนวยาว เกสรตัวผู้มีเป็นจำนวนมาก ก้านเกสรติดกันเป็น 2 แถว รวมกันเป็นหลอดยาวกว่าเกสรตัวเมีย เกสรตัวเมียมีรังไข่อยู่เหนือกลีบดอก มี 3 ห้อง ผลเป็นผลแห้ง ไม่แตก กลีบนอกจะแผ่ออกเป็นปีก มี 1 เม็ด
พิมเสนสังเคราะห์ หรือ พิมเสนเทียมเป็นพิมเสนที่ได้จากสารสกัดจากต้นการบูร (ชื่อวิทยาศาสตร์ Cinnamomum camphora (L.) Presl. จัดอยู่ในจัดอยู่ในวงศ์อบเชย (LAURACEAE), และต้นหนาด (หนาดหลวง หนาดใหญ่ หรือพิมเสนหนาด ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Blumea balsamifera (L.) DC. จัดอยู่ในตระกูลทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE) โดยผ่านวิธีทางเคมีวิทยา  ซึ่งพิมเสนที่ได้จากผู้กระทำลั่นพืชชนิดนี้ จีน(แต้จิ๋ว) เรียก “ไหง่เผี่ยง” ก็เลยเรียกกันว่า “Ngai Camphor” หรือ “Blumea Camphor” นิยมใช้กันมากมายในเกาะไหหลำ
ประโยชน์/สรรพคุณ ถึงแม้ว่าพิมเสนจะสกัดได้มาจากต้นไม้แม้กระนั้น ตามตำรายาแผนโบราณ จัดพิมเสน เป็นชนิดธาตุวัตถุ ไม่ใข่พืชวัตถุ แพทย์แผนโบราณใช้พิมเสนเป็นยาขับเหงื่อ ขับเสมหะ กระตุ้นการหายใจ กระตุ้นสมองบำรุงหัวใจ ใช้เป็นยายับยั้งความกระวายกระวน ทำให้ง่วงซึมแก้กลยุทธ์ขัดยอกคลายเส้นการอบสมุนไพรมีพิมเสนเป็นส่วนประกอบในตัวยา พิมเสนซึ่งระเหิดเมื่อถูกความร้อน มีกลิ่นหอมหวน ใช้แต่งกลิ่น บำรุงหัวใจ แก้โรคผิวหนัง ผสมในลูกประคบ เพื่อช่วยแต่งกลิ่น มีฤทธิ์แก้พุพอง แก้หวัดนอกเหนือจากนี้ยังผสมอยู่ในยาหม่อง น้ำอบไทย
                ในหนังสือเรียนพระยารักษาโรคพระนารายณ์: ระบุ “ตำรับยาทรงจมูก”  เข้าเครื่องยา 17 สิ่ง ใช้จำนวนเท่าๆกัน และ พิมเสนด้วย ผสมกัน บดเป็นผุยผงละเอียด ใช้นัตถุ์แก้ลมทั้งหลาย ตลอดจนโรคที่เกิดในศีรษะ ตา แล้วก็จมูก อีกขนานหนึ่งเข้าเครื่องยา 15 สิ่ง รวมถึงพิมเสนด้วย บดเป็นผงละเอียด ห่อผ้าบาง ทำเป็นยาดม แก้ปวดศรีษะ เวียนหัว แก้สลบ แก้ริดสีดวงจมูก คอ และตา นอกเหนือจากนั้นพิมเสนยังใช้เป็นส่วนประกอบใน “ตำรับยาขี้ผึ้งบี้พระเส้น” ใช้ถูนวดเส้นที่แข็งให้หย่อนได้ และก็ในตำรับ “สีปากขาวแก้พิษแสบร้อนให้เย็น”
การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา ถึงแม้ชาวไทยเราจะรู้จักพิมเสนกันมานาน แม้กระนั้นข้อมูลเกี่ยวกับพิมเสนกลับไม่มีให้ค้นคว้ามากสักเท่าไรนัก เพราะเหตุว่าต้นไม้ที่ให้พิมเสนนี้ เป็นพืชที่มีเฉพาะถิ่นที่ขึ้นอยู่เฉพาะในเขตป่าของ เกาะเกะสุมาตรา บอร์เนียว และก็คาบสมุทรมลายู จึงทำให้การศึกษาวิจัยในต้นไม้ประเภทนี้เป็นไปแบบแคบๆไม่กว้างใหญ่แต่ว่าก็ยังมีตัวอปิ้งข้อมูลทางเภสัชวิทยาของพิมเสนบางฉบับที่มีการเผยแพร่กัน เช่น

  • สารที่เจอในพิเสนแท้ เป็นต้นว่า d-Borneol, Humulene, Caryophyllene, Asiatic acid, Dryobalanon Erythrodiol, Dipterocarpol, Hydroxydammarenone2
  • จากการศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยทางเภสัชวิทยาฉบับหนึ่งระบุว่า พิมเสนมีฤทธิ์สำหรับเพื่อการทำลายเชื้อได้หลายอย่าง ตัวอย่างเช่น เชื้อในลำไส้ใหญ่, เชื้อราบนผิวหนัง, Staphelo coccus, Steptro coccus และก็ยังคงใช้สำหรับการรักษาลักษณะของการปวดเส้นประสาทหรืออาการอักเสบได้อย่างดีเยี่ยม
  • กลไกสำหรับการออกฤทธิ์ของพิมเสนสำหรับการลดการอักเสบเป็น กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตรอบๆใต้ผิวหนังรอบๆที่ทา ยับยั้งสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบจากกลไกของร่างกาย ดังเช่นว่า prostaglandin E2,interleukin เป็นต้น ซึ่งการเพิ่มการไหลเวียนของเลือดนี้ จะช่วยให้ลดอาการปวดได้เร็วขึ้น

การเรียนทางพิษวิทยา เช่นเดียวกับการศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยาพิมเสนกับการเรียนรู้ทางพิษวิทยานี้ก็การศึกษาต่ำกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งบางทีก็อาจจะเนื่องจากการที่ต้นไม้ที่ให้พิมเสนนี้เป็นต้นไม้เฉพาะถิ่น แม้กระนั้นก็มีการระบุข้อจำกัดในการใช้พิมเสนไว้ว่า ถ้าหากสูดดมติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆอาจเป็นอันตรายได้ ด้วยเหตุว่าสารนี้กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการระคายเคืองรอบๆทางเดินหายใจ ยิ่งกว่านั้นสารนี้ยังมีฤทธิ์กระตุ้นรวมทั้งสงบระบบประสาทศูนย์กลาง ซึ่งรวมไปถึงการใช้กำเนิดขนาดด้วย
ขนาด/ปริมาณที่ควรจะใช้ ในแบบเรียนยาไทยเจาะจงไว้ว่า วิธีใช้พิมเสนสำหรับรับประทาน ให้ใช้ครั้งละ 0.15-0.3 กรัมนำมาบดเป็นผงกับหนังสือเรียนยาอื่น หรือใช้ทำเป็นยาเม็ด และไม่ควรปรุงยาด้วยวิธีการต้ม แม้ใช้ข้างนอกให้นำมาบดเป็นผงใช้โรยแผลตามที่อยากได้ ส่วนขนาด/จำนวนของพิมเสนที่กระทรวงสาธารณสุขของไทยอนุญาตให้ใช้เป็นองค์ประกอบกับตัวยาอื่นๆนั้น ทางกระทรวงสาธารณสุขจะกำหนดให้ใช้เป็นตำรับๆไป

ข้อแนะนำ/สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวัง

  • ห้ามดมพิมเสนตอดต่อกันเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเพราะว่าจะก่อให้กำเนิดอาการเคืองบริเวณทางเดินหายใจ
  • พิมเสนมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทศูนย์กลางก็เลยไม่สมควรใช้เกินขนาดที่กำหนด
  • สตรีท้องห้ามรับประทานพิมเสน
  • การเก็บพิมเสนต้องเก็บไว้ภายในภาชนะที่มีฝาปิดอย่างมิดชิด ควรที่จะนำไปเก็บเอาไว้ด้านในที่แห้งและก็มีอุณหภูมิต่ำ

อนึ่งในตอนนี้พิมเสนแท้เกือบจะไม่มีแล้ว ด้วยเหตุว่ามีราคาแพง ส่วนใหญ่จึงใช้พิมเสนสังเคราะห์ ซึ่งได้มาจากปฏิกิริยารีดักชันของการบูร (dl-camphor) ได้เป็น (dl-borneol) ก็คือ พิมเสนเกล็ดขาวๆที่มองเห็นกันโดยปกติ ก็เลยเรียก พิมเสนเทียมนี้ ว่า "พิมเสนเกล็ด" Borneolum Syntheticum (Borneol) ซึ่งพิมเสนสังเคราะห์ (หรือพิมเสนเทียม)นี้มักจะมีรสเผ็ดกัดลิ้น ถ้าหากเป็นของถึงแม้จากธรรมชาติจะไม่กัดลิ้นแต่จะทำให้เย็นปากเย็นคอ จะต้องต้องระวังสำหรับในการใชพิมเสน[/url]สังเคราะห์นี้ด้วย
เอกสารอ้างอิง

  • ชยันต์ พิเชียรสุนทร และคณะ, ตำราพระโอสถพระนารายณ์, หน้า 499, พ.ศ. 2544, สำนักพิมพ์อมรินทร์ กรุงเทพฯ
  • ผศ.สุปรียา ยืนยงสวัสดิ์.พิมเสน.ภาควิชา เภสัชเวทและเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.หน้า1-3
  • หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.  “พิมเสน”.  (วิทยา บุญวรพัฒน์).  หน้า 386.
  • ชัยนต์ พิเชียรสุนทร และวิเชียร จีรวงส์ 2545 คู่มือเภสัชกรรมแผนไทยเล่ม 2 เครื่องยาพฤกษวัตถุ บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) http://www.disthai.com/[/b]
  • พิมเสน.ฐานข้อมูลเครื่องยาคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก.
  • เภสัชจุลศาสตร์ของยาหม่องน้ำ.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • นันทวัน กลิ่นจำปา 2545 เครื่องหอมไทย ภูมิปัญญาไทย บริษัท ซีเอ็ดยูเคชัน จำกัด (มหาชน)
  • รศ.ยุวดี วงษ์กระจ่าง.ยาดม อันตรายหรือไม่.จุลสารคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.คอลัมน์ Drug Tips.ฉบับที่5กรกฎาคม-กันยายน 2555.หน้า6-7


Tags : พิมเสน
25  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรพิมเสน มีวิธีรักษาโรคพร้อมทั้งสรรพคุณ-ประโยชน์ดีๆ เมื่อ: มิถุนายน 02, 2018, 03:35:12 pm

พิมเสน (Bomed Camphor)
พิมเสนเป็นยังไง พิมเสนมีชื่อเรียกหลายชื่อ อาทิเช่น ภิมเสน ภีมเสน พิมเสนเกล็ด พิมเสนตรังกานู พรมแสน มีชื่อสามัญว่า “Borneo Camphor” แขกประเทศอินเดียในบอมเบย์เรียก “Bhimseni” หรือ “Boras” ชาวฮินดูเรียก “Bhimsaini-kapur” หรือ “Barus kapur”  โดยทั่วไปแล้วพิมเสนแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดเป็นพิมเสนที่ได้จากธรรมชาติหรือพิมเสนแท้ ชื่อสามัญ Borneol camphorและพิมเสนสังเคราะห์ หรือพิมเสนเทียม ชื่อสามัญ Borneolum Syntheticum (Borneol) ซึ่งพิมเสนจะมีลักษณะเป็นเกล็ดเล็กๆแบนๆมีสีขาวขุ่นหรือออกแดงอ่อนๆ(ถ้าเป็นพิมเสนบริสุทธิ์จะเป็นผลึกรูปแผ่นทรงหกเหลี่ยม) มีเนื้อแน่นกว่าการบูร ระเหิดได้ช้ากว่าการบูร ติดไฟให้แสงจ้าแล้วก็มีควันมากมาย ไม่มีเถ้าถ่าน ละลายได้ยากในน้ำ ละลายได้ดิบได้ดีในตัวทำละลายชนิดขั้วต่ำ พิมเสนมีกลิ่นหอมยวนใจเย็น ฉุน รสหอม เย็นปากเย็นคอ อดีตสมัยคนประเทศไทยนิยมใช้ใส่ไว้ภายในหมากพลูบด
สูตรทางเคมีรวมทั้งสูตรโครงสร้าง พิมเสนแท้ (Borneo Camphor) เป็นสารประกอบอินทรีย์ชนิดไบไซคิก  แล้วก็เป็นสารกรุ๊ปเทอร์พีน มีสูตรเคมีเป็น C10H18O มีชื่อทางเคมีว่า(+)-borneol หรือ endo-2-camphanol หรือ endo-2-hydroxycamphane  มีลักษณะเป็นเกล็ดสีขาว 6 เหลี่ยม มีกลิ่นหอมหวนฉุนเหมือนการบูร ติดไฟให้แสงจ้าแล้วก็มีควันมากมาย ไม่มีขี้เถ้า มีมวลโมเลกุล 154.25                gmd -1 และมีความถ่วงจำเพาะเท่ากับ 1.011 มีจุดหลอมตัว 208 องศาเซลเซียส เกือบไม่ละลายน้ำ ละลายได้ในตัวทำละลายจำพวกขั้วต่ำ เช่น ปิโตรเลียมอีเธอ(1:6) ในเบนซีน (1:5)
 
ที่มา : Wikiperdia
แหล่งที่มา พิมเสนธรรมชาติ หรือ พิมเสนแท้ คือ พิมเสนที่ได้มาจากการระเหิด (ผู้กระทำลั่นของแก่นไม้โดยธรรมชาติ) ของยางจากต้นไม้ประเภท (รู้เรื่องว่าตัวต้นไม้ที่ให้พิมเสนนี้มิได้ถูกข้อบังคับชื่อไทยไว้ ซึ่งในหนังสือเรียนยาแผนโบราณส่วนมากก็จะกล่าวถึงแม้กระนั้นสิ่งที่สกัดได้จากเจ้าพืชต้นใหญ่นี้ว่า พิมเสน เนื่องจากว่าหากเรียกว่าต้นพิมเสนบางทีอาจกำเนิดความสับสน เนื่องจากว่าต้นพิมเสน นั้นยังหมายถึงพืชอีกชนิด เป็นไม้เนื้ออ่อน มีชื่อวิทยาศาสตร์ Pogostemon cablin (Blanco) Benth. เครือญาติ Labiatae ซึ่งเจ้าต้นนี้ สกัดได้น้ำมันหอมระเหย ที่ฝรั่งเรียกว่า Patchouli) ซึ่งมีชื่อทางด้านวิทยาศาสตร์ว่า Dryobalanops aromatica Gaertn. จัดอยู่ในสกุลยางทุ่งนา (DIPTEROCARPACEAE) (ภาษาจีนกลางเรียกว่า “หลงเหน่าเซียงสู้”) ซึ่งพบได้ทั่วไปในเมืองจังหวัดตรังกานู ประเทศมาเลเซีย ซึ่งพืชประเภทนี้(Dryobalanops aromatic Gaertn.) มีชื่อเรียกหลายชื่อ อย่างเช่น Borneo Camphor Tree, Pokok Kapur Barus (มลายู), Pokok Kapurum (อินโดนีเซีย-เกะสุมาตรา), Mahoborn Teak(อินโดนีเซีย-บอร์เนียว) เป็นไม้ขนาดใหญ่ อาจสูงได้ถึง 70 เมตร มีพูพอนใหญ่มาก วัดรอบๆลำต้นได้ 2-10 เมตร เปลาตรง เรือนยอดเป็นรูปฉัตร มีกิ่งก้านใหญ่ ปลายกิ่งตก ยอดทรงแหลม ใบเป็นใบโดดเดี่ยว ใบที่อยู่ตอนบนของต้นเรียงสลับกัน ส่วนใบที่อยู่ตอนล่างของต้นออกตรงกันข้าม รูปไข่ เบาๆเรียวแหลมสู่ปลายใบ ขนาดกว้าง 2.5-5 ซม. ยาว 7.5-17.8 เซนติเมตร ขอบใบเรียบ ผิวใบเรียบ ก้านใบสั้น ใบอ่อนสีแดงรวมทั้งแขวน ดอกเป็นดอกช่อ ออกที่ปลายกิ่งหรือที่ซอกใบ ดอกย่อยมีขนาดเล็ก มีกลิ่นหอมยวนใจ กลีบชั้นนอกมี 5 กลีบ ขนาดเท่าๆกัน แข็ง กลีบชั้นในห่อตามยาว เกสรตัวผู้มีจำนวนไม่น้อย ก้านเกสรชิดกันเป็น 2 แถว รวมกันเป็นหลอดยาวกว่าเกสรตัวเมีย เกสรตัวเมียมีรังไข่อยู่เหนือกลีบดอก มี 3 ห้อง ผลเป็นผลแห้ง ไม่แตก กลีบนอกจะแผ่ออกเป็นปีก มี 1 เมล็ด
พิมเสนสังเคราะห์ หรือ พิมเสนเทียมเป็นพิมเสนที่ได้จากสารสกัดจากต้นการบูร (ชื่อวิทยาศาสตร์ Cinnamomum camphora (L.) Presl. จัดอยู่ในจัดอยู่ในวงศ์อบเชย (LAURACEAE), และก็ต้นหนาด (หนาดหลวง หนาดใหญ่ หรือพิมเสนหนาด ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Blumea balsamifera (L.) DC. จัดอยู่ในวงศ์ทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE) โดยผ่านวิธีทางเคมีวิทยา  ซึ่งพิมเสนที่ได้จากการกลั่นพืชจำพวกนี้ จีน(แต้จิ๋ว) เรียก “ไหง่เผี่ยง” จึงเรียกกันว่า “Ngai Camphor” หรือ “Blumea Camphor” นิยมใช้กันมากมายในเกาะไหหลำ
ประโยชน์/สรรพคุณ แม้พิมเสนจะสกัดได้มาจากต้นไม้แต่ว่า ตามตำรายาแผนโบราณ จัดพิมเสน เป็นจำพวกธาตุวัตถุ ไม่ใข่พืชวัตถุ หมอแผนโบราณใช้พิมเสนเป็นยาขับเหงื่อ ขับเสลด กระตุ้นการหายใจ กระตุ้นสมองบำรุงหัวใจ ใช้เป็นยาระงับความกระวายกระวน ทำให้ง่วงซึมแก้กลยุทธ์ปวดเมื่อยคลายเส้นการอบสมุนไพรมีพิมเสนเป็นองค์ประกอบในตัวยา พิมเสนซึ่งระเหิดเมื่อถูกความร้อน มีกลิ่นหอมยวนใจ ใช้แต่งกลิ่น บำรุงหัวใจ แก้โรคผิวหนัง ผสมในลูกประคบ เพื่อช่วยแต่งกลิ่น มีฤทธิ์แก้พุพอง แก้หวัดนอกนั้นยังผสมอยู่ในยาหม่อง น้ำอบไทย
                ในหนังสือเรียนพระโอสถพระนารายณ์: เจาะจง “ตำรับยาทรงนัตถุ์”  เข้าเครื่องยา 17 สิ่ง ใช้จำนวนเท่าๆกัน แล้วก็ พิมเสนด้วย ผสมกัน บดเป็นผุยผงละเอียด ใช้นัตถุ์แก้ลมทั้งหลาย ตลอดจนโรคที่เกิดในหัว ตา แล้วก็จมูก อีกขนานหนึ่งเข้าเครื่องยา 15 สิ่ง และพิมเสนด้วย บดเป็นผงละเอียด ห่อผ้าบาง ทำเป็นยาดม แก้ปวดหัว เวียนหัว แก้สลบ แก้ริดสีดวงจมูก คอ รวมทั้งตา ยิ่งกว่านั้นพิมเสนยังใช้เป็นส่วนประกอบใน “ตำรับยาขี้ผึ้งบี้พระเส้น” ใช้ถูนวดเส้นที่แข็งให้หย่อนได้ และในตำรับ “ขี้ผึ้งขาวแก้พิษแสบร้อนให้เย็น”
การเรียนทางเภสัชวิทยา หากแม้คนประเทศไทยพวกเราจะรู้จักพิมเสนกันมานาน แม้กระนั้นเนื้อหาเกี่ยวกับพิมเสนกลับไม่มีให้ค้นคว้ามากเท่าไรนัก เพราะว่าต้นไม้ที่ให้พิมเสนนี้ เป็นพืชที่มีเฉพาะถิ่นที่ขึ้นกับเฉพาะในเขตป่าของ เกาะเกะสุมาตรา บอร์เนียว และก็คาบสมุทรมลายู จึงทำให้การค้นคว้าวิจัยในต้นไม้ชนิดนี้เป็นไปแบบแคบๆไม่กว้างใหญ่แต่ก็ยังมีตัวอปิ้งข้อมูลทางเภสัชวิทยาของพิมเสนบางฉบับที่มีการเผยแพร่กัน เช่น

  • สารที่พบในพิเสนแท้ อย่างเช่น d-Borneol, Humulene, Caryophyllene, Asiatic acid, Dryobalanon Erythrodiol, Dipterocarpol, Hydroxydammarenone2
  • จากการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาฉบับหนึ่งระบุว่า พิมเสนมีฤทธิ์ในการทำลายเชื้อได้หลายประเภท ดังเช่นว่า เชื้อในลำไส้ใหญ่, เชื้อราบนผิวหนัง, Staphelo coccus, Steptro coccus รวมทั้งยังใช้สำหรับเพื่อการรักษาอาการปวดเส้นประสาทหรืออาการอักเสบได้อย่างดีเยี่ยม
  • กลไกในการออกฤทธิ์ของพิมเสนสำหรับเพื่อการลดการอักเสบเป็น กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบริเวณใต้ผิวหนังรอบๆที่ทา ยั้งสารที่นำมาซึ่งการอักเสบจากกลไกของร่างกาย ได้แก่ prostaglandin E2,interleukin เป็นต้น ซึ่งการเพิ่มการไหลเวียนของเลือดนี้ จะช่วยให้ลดลักษณะของการปวดได้เร็วขึ้น

การเรียนรู้ทางพิษวิทยา เหมือนกับการศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยาพิมเสนกับการเรียนรู้ทางพิษวิทยานี้ก็ไม่มีคุณวุฒิกันอย่างมากมาย ซึ่งบางครั้งอาจจะเพราะว่าการที่ต้นไม้ที่ให้พิมเสนนี้ฯลฯไม้เฉพาะถิ่น แต่ว่าก็มีการกำหนดข้อกำหนดสำหรับการใช้พิมเสนไว้ว่า แม้สูดต่อเนื่องกันเป็นเวลานานอาจมีอันตรายได้ เพราะสารนี้ส่งผลให้เกิดอาการระคายเคืองบริเวณฟุตบาทหายใจ นอกเหนือจากนั้นสารนี้ยังมีฤทธิ์กระตุ้นแล้วก็สงบระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งรวมไปถึงการใช้กำเนิดขนาดด้วย
ขนาด/ปริมาณที่ควรใช้ ในตำราเรียนยาไทยระบุไว้ว่า การใช้พิมเสนสำหรับกิน ให้ใช้ครั้งละ 0.15-0.3 กรัมเอามาบดเป็นผุยผงกับหนังสือเรียนยาอื่น หรือใช้ทำเป็นยาเม็ด และไม่ควรจะปรุงยาด้วยแนวทางต้ม ถ้าใช้ภายนอกให้เอามาบดเป็นผุยผงใช้โรยแผลตามที่ต้องการ ส่วนขนาด/ปริมาณของพิมเสนที่กระทรวงสาธารณสุขของไทยอนุญาตให้ใช้เป็นองค์ประกอบกับตัวยาอื่นๆนั้น ทางกระทรวงสาธารณสุขจะกำหนดให้ใช้เป็นตำรับๆไป

คำแนะนำ/ข้อควรพิจารณา

  • ห้ามดมพิมเสนตอดต่อกันเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเพราะจะมีผลให้กำเนิดอาการระคายเคืองรอบๆทางเดินหายใจ
  • พิมเสนมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทศูนย์กลางจึงไม่ควรใช้เกินขนาดที่กำหนด
  • สตรีท้องห้ามรับประทานพิมเสน
  • การเก็บพิมเสนจำเป็นต้องเก็บไว้ในภาชนะที่มีฝาปิดอย่างมิดชิด ควรที่จะนำไปเก็บเอาไว้ด้านในที่แห้งรวมทั้งมีอุณหภูมิต่ำ

อนึ่งในตอนนี้พิมเสนแท้เกือบจะไม่มีแล้ว เพราะเหตุว่ามีราคาแพง โดยมากก็เลยใช้พิมเสนสังเคราะห์ ซึ่งได้มาจากปฏิกิริยารีดักชันของการบูร (dl-camphor) ได้เป็น (dl-borneol) ก็คือ พิมเสนเกล็ดขาวๆที่เห็นกันโดยธรรมดา ก็เลยเรียก พิมเสนเทียมนี้ ว่า "พิมเสนเกล็ด" Borneolum Syntheticum (Borneol) ซึ่งพิมเสนสังเคราะห์ (หรือพิมเสนเทียม)นี้ชอบมีรสเผ็ดกัดลิ้น ถ้าเกิดเป็นของถึงแม้จากธรรมชาติจะไม่กัดลิ้นแต่จะก่อให้เย็นปากเย็นคอ ควรต้องต้องระวังสำหรับการใช้พิมเสนสังเคราะห์นี้ด้วย
เอกสารอ้างอิง

  • ชยันต์ พิเชียรสุนทร และคณะ, ตำราพระโอสถพระนารายณ์, หน้า 499, พ.ศ. 2544, สำนักพิมพ์อมรินทร์ กรุงเทพฯ
  • ผศ.สุปรียา ยืนยงสวัสดิ์.พิมเสน.ภาควิชา เภสัชเวทและเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.หน้า1-3
  • หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.  “พิมเสน”.  (วิทยา บุญวรพัฒน์).  หน้า 386.
  • ชัยนต์ พิเชียรสุนทร และวิเชียร จีรวงส์ 2545 คู่มือเภสัชกรรมแผนไทยเล่ม 2 เครื่องยาพฤกษวัตถุ บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) http://www.disthai.com/[/b]
  • พิมเสน.ฐานข้อมูลเครื่องยาคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก.
  • เภสัชจุลศาสตร์ของยาหม่องน้ำ.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • นันทวัน กลิ่นจำปา 2545 เครื่องหอมไทย ภูมิปัญญาไทย บริษัท ซีเอ็ดยูเคชัน จำกัด (มหาชน)
  • รศ.ยุวดี วงษ์กระจ่าง.ยาดม อันตรายหรือไม่.จุลสารคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.คอลัมน์ Drug Tips.ฉบับที่5กรกฎาคม-กันยายน 2555.หน้า6-7


Tags : พิมเสน
26  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคสะเก็ดเงินมีวิธีรักษาอย่างไร เเละมีสมุนไพรอะไรที่สามารถช่วยรักษาได้บ้าง เมื่อ: มิถุนายน 01, 2018, 11:11:26 am

โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)
รคสะเก็ดเงิ คืออะไร โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) โรคเกล็ดเงิน หรือโรคเรื้อนกวาง เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังชนิดหนึ่งที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อและไม่ใช่โรคติดต่อ รอยโรคมีลักษณะขึ้นเป็นผื่นหรือปื้นแดง หนา เจ็บ คัน และตกสะเก็ดเป็นเกล็ดสีเงินปกคลุม จึงได้ชื่อว่าโรคสะเก็ดเงิน โดยเกิดจากการแบ่งตัวผิดปกติของเซลล์ผิวหนังอย่างรวดเร็วกว่าปกติโดยการกระตุ้นของสารเคมีจากเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เรียกว่า ลิมโฟไซต์ (Lymphocytes) ชนิดเซลล์ที (T-cell) ทำให้เกิดการอักเสบจนเกิดเป็นผื่นหรือปื้นหนาขนาดใหญ่ และโรคสะเก็ดเงินนี้สามารถเกิดกับผิวหนังได้ทุกส่วน แต่ที่พบได้บ่อยคือ ผิวหนังส่วนข้อศอก (ด้านนอก) เข่า (ด้านนอก) ผิวหนังส่วนด้านหลัง หลังมือ หลังเท้า หนังศีรษะ และใบหน้า โรคสะเก็ดเงินจัดเป็นโรคผิวหนังที่พบได้เรื่อยๆไม่ถึงกับบ่อยมาก(ประมาณ 3% ของคนทั่วไปเกิดได้ในทุกอายุตั้ง แต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ แต่พบได้บ่อยกว่าเมื่ออายุ 25 ปีขึ้นไป เพราะปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรคในเด็กยังมีไม่มาก เช่น ความเครียด การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน ส่วนโอกาสที่พบในผู้หญิงและในผู้ชายมีใกล้เคียงกัน ผู้ป่วยมักจะเริ่มมีอาการครั้งแรกในช่วงอายุ 10-40 ปี ผู้ป่วยประมาณ 30% พบว่ามีประวัติโรคนี้ในครอบครัว
ในปัจจุบัน โรคสะเก็ดเงินไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะทางผิวหนัง แต่อาจพบมีสัมพันธ์กับโรคอื่นๆได้แก่  โรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน และกลุ่ม metabolic syndrome ได้แก่   โรคอ้วน   
                     ที่มา : Wikipedia                       ภาวะไขมันในเลือดสูง และเบาหวาน เป็นต้น
สาเหตุของโรคสะเก็ดเงิน ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคสะเก็ดเงิน แต่จากการศึกษาเชื่อว่า เกิดจากหลายปัจจัยร่วมกันเช่น อาจเกิดมาจากเซลล์เม็ดเลือดขาวในระบบภูมิคุ้มกันเกิดความผิดปกติ จึงได้ทำลายเซลล์ผิวหนังแทนสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย หรืออาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางพันธุกรรม คือ โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคทางพันธุกรรม ที่มีแบบแผนการถ่ายทอดทางพันธุกรรมไม่ชัดเจน โดยพบว่าถ้าบิดาและมารดาเป็นโรคนี้ บุตรที่เกิดมาจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูงถึง 65-83% ถ้าบิดาหรือมารดาคนใดคนหนึ่งเป็นโรค บุตรที่เกิดมาจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ลดลงเหลือ 28-50% หรือถ้ามีพี่น้องในครอบครัวเป็นโรคนี้โดยที่บิดาและมารดาไม่ได้เป็นโรค บุตรคนถัดไปที่เกิดมาก็มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูงถึง 24% แต่ถ้าทั้งบิดาและมารดาไม่เป็นโรคนี้เลย บุตรที่เกิดมาจะมีโอกาสเป็นโรคนี้น้อยลงไปเหลือเพียง 4%  และยังพบว่ายังเกี่ยวข้องกับความผิดปกติอื่นๆ เช่น ความผิดปกติใน metabolism ของ Arachidonic acid และความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของผิวหนัง บริเวณรอยโรคของ Psoriasis เซลล์ผิวหนังในชั้น epidermis มีการแบ่งตัวเร็วกว่าปกติหลายเท่า และเคลื่อนตัวมาที่ผิวนอกภายในเวลา 4วัน (ปกติใช้เวลา 28วัน) ทำให้ผิวหนังหนาเป็นปื้น แต่เซลล์ผิวหนังขาดแรงยึดเหนี่ยวกันตามปกติ ทำให้ keratin หลุดลอกออกเป็นแผ่นๆได้ง่าย มักพบมีอาการกำเริบเวลามีภาวะเครียดทางกาย และจิตใจที่มากเกินไป การติดเชื้อ การได้รับบาดเจ็บ การขูดข่วนผิวหนัง การแพ้แดด การแพ้ยา (เช่น Chloroquin, Beta-Blocker, Contraceptive, NSAIDs)
อาการของโรคสะเก็ดเงิน  อาการของโรคสะเก็ดเงินนี้มีหลายชนิด ซึ่งผู้ป่วยอาจเป็นชนิดเดียวหรือหลายชนิดก็ได้ โดยโรคสะเก็ดเงินจำแนกเป็นชนิดต่างๆตามลักษณะทางคลินิกดังต่อไปนี้

  • ชนิดผื่นหนา (Plaque psoriasis) เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด (ประมาณ 80%) รอยโรคเป็นผื่นแดงหนา ขอบเขตชัด ขุยหนาสีขาวหรือสีเงินจึงได้ชื่อว่า”โรคสะเก็ดเงิน” พบบ่อยบริเวณหนังศีรษะ ลำตัว แขนขา โดยเฉพาะบริเวณ ข้อศอก และหัวเข่าซึ่งเป็นบริเวณที่มีการเสียดสี
  • ชนิดผื่นขนาดเล็ก (Guttate psoriasis) พบได้ประมาณ 10% มีรอยโรคเป็นตุ่มแดงเล็กคล้ายหยดน้ำขนาดเล็กไม่เกิน 1 เซนติเมตร มีขุย ผู้ป่วยมักมีอายุน้อยกว่า 30 ปี และอาจมีประวัติการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนนำมาก่อน
  • ชนิดที่มีตุ่มหนอง (Pustular Psoriasis) เป็นชนิดที่เกิดได้มากในวัยผู้ใหญ่ บริเวณผิวหนังมีตุ่มหนองสีขาวกระจายเป็นวงกว้างและเกิดการอักเสบจนแดง มักพบมากตามแขนขา อาจเกิดการแพร่กระจายไปทั่วลำตัวได้ บางรายอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ไข้ขึ้น รู้สึกคันตามผิวหนัง ไม่อยากอาหาร
  • ชนิดผื่นแดงลอกทั่วตัว (Erythrodermic psoriasis) เป็นสะเก็ดเงินชนิดรุนแรงพบได้น้อย (ประมาณ 3%) โดนผิวหนังมีลักษณะแดงและมีขุยลอกเกือบทั่วพื้นที่ผิวทั้งหมดของร่างกาย อาจเกิดจากการขาดยาหรือมีปัจจัยกระตุ้น
  • สะเก็ดเงินบริเวณซอกพับ (Inverse psoriasis) เป็นโรคสะเก็ดเงินที่มีรอยโรคในบริเวณซอกพับของร่างกาย ได้แก่ รักแร้ ขาหนีบ และใต้ราวนม รอบอวัยวะเพศ เป็นต้น ลักษณะเป็นผื่นแดงเรื้อรังและมักไม่ค่อยมีขุย
  • สะเก็ดเงินบริเวณมือเท้า (Palmoplantar psoriasis) เป็นโรคสะเก็ดเงินบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า ลักษณะเป็นผื่นแดงขอบเขตชัดเจน ขุยลอก ผื่นอาจพบลามมาบริเวณหลังมือ หลังเท้าได้
  • เล็บสะเก็ดเงิน (Psoriatic nails) ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินมักพบมีความผิดปกติของเล็บร่วมด้วย ที่พบบ่อยได้แก่ เล็บเป็นหลุม, เล็บร่อน, เล็บหนาตัวขึ้นและเล็บผิดรูป
  • ข้ออักเสบสะเก็ดเงิน (Psoriatic arthritis) ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินอาจพบมีความผิดปกติการอักเสบของข้อร่วมด้วย ซึ่งพบได้ทั้งข้อใหญ่ ข้อเล็ก อาจเป็นข้อเดียว หรือ หลายข้อ ส่วนใหญ่การอักเสบของมือจะเกิดที่ข้อนิ้วมือซึ่งหากเป็นเรื้อรังและทำให้เกิดการผิดรูปได้
แนวทางการรักษาโรคสะเก็ดเงิน การวินิจฉัย อาศัยประวัติและการตรวจร่างกายเป็นหลัก คือ

ลักษณะทางคลินิก

ซักประวัติอาการ

  • เป็นผื่นเรื้อรัง
  • มีหรือไม่มีอาการคัน
  • มีประวัติครอบครัวที่เป็นโรคสะเก็ดเงินหรือไม่
  • ผื่นกำเริบภายหลังภาวะติดเชื้อ ความเครียด หรือหลังได้รับยาบางชนิด เช่น lithium, antimalarial , beta-blocker, NSAID และ alcohol


การตรวจร่างกาย

  • ผิวหนัง มีผื่นหนาสีแดง ขอบชัดเจนคลุมด้วยขุยหนาขาวคล้ายสีเงิน ซึ่งสามารถขูดออกได้ง่าย และเมื่อขูดขุยหมาดจะมีจุดเลือดออกบนรอยผื่น (Auspitz’s sign) บนรอยแผลถลอกหรือรอยแผลผ่าตัด (Koebner phenomenon)





โดยผื่นผิวหนังพบได้หลายลักษณะ เช่น ผื่นหนาเฉพาะที่  (Chronic plaque type) ผื่นขนาดหยดน้ำ (Guttate psoriasis)  ผิวหนังแดงลอกทั่วตัว (Erythroderma) ตุ่มหนอง (Pustular psoriasis)

  • เล็บ พบมีหลุม (pitting) เล็บร่อน (onycholysis) ปลายเล็บหนามีขุยใต้เล็บ (subungual hyperkeratosis) หรือจุดสีน้ำตาลใต้เล็บ (oil spot)
  • ข้อ มีการอักเสบของข้อซึ่งอาจเป็นได้ทั้งข้อใหญ่ ข้อเล็ก เป็นข้อเดียว หรือหลายข้อ และอาจจะมีข้อพิการตามหลังการอักเสบเรื้อรัง
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

  • การตรวจทางพยาธิ พยาธิสภาพของผื่นสะเก็ดเงินจะมีลักษณะเฉพาะ แต่ไม่จำเป็นต้องทำทุกราย อาจทำเพื่อช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคเพื่อยืนยันการวินิจฉัยและช่วยวินิจฉัยโรคในกรณีที่มีปัญหา เช่น การตรวจ KOH เพื่อแยกโรคเชื้อรา และการทำ Patch Test เพื่อแยกโรค Contact dermatitis เป็นต้น



โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาได้หายขาด แต่การรักษาทำได้เพียงบรรเทาอาการให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้น ลดการอักเสบและผิวหนังที่ตกสะเก็ด ชะลอการเติบโตของเซลล์ผิวหนัง และขจัดผิวหนังที่เป็นแผ่นแข็ง ซึ่งการรักษาสามารถทำได้หลายวิธี
โดยแนวทางการรักษาโรคสะเก็ดเงิน ขึ้นกับความรุนแรงของโรคดังนี้
     - สะเก็ดเงินความรุนแรงน้อย หมายถึง ผื่นน้อยกว่า10% ของพื้นที่ผิวทั่วร่างกาย (ผื่นขนาดประมาณ 1 ฝ่ามือเท่ากับพื้นที่ประมาณ1%) ให้การรักษาโดยใช้ยาทาเป็นอันดับแรก
     - สะเก็ดเงินความรุนแรงมากหมายถึง ผื่นมากกว่า10% ของพื้นที่ผิวทั่วร่างกาย พิจารณาให้การรักษาโดยใช้ยารับประทานหรือฉายแสงอาทิตย์เทียม หรืออาจใช้ร่วมกันระหว่างยารับประทานหรือฉายแสงอาทิตย์เทียมและยาทารวมถึงอาจต้องพิจารณาใช้ยาฉีด
การรักษาโรคสะเก็ดเงินในปัจจุบันมีการรักษาอยู่ 4 ประเภท ได้แก่
ยาทาภายนอก ยาทารักษาโรคสะเก็ดเงิน มีหลายชนิด ได้แก่
     1.ยาทาคอติโคสเตียรอยด์ (topical corticosteroids) ส่วนใหญ่นิยมใช้เนื่องจากเป็นครีมขาวใช้ง่าย และตอบสนองต่อการรักษาดีแต่หากใช้ยาที่แรงเกินไปร่วมกับทาเป็นระยะเวลานานจะทำให้เกิดผิวหนังบางและเกิดรอยแตกของผิวหนังได้ รวมถึงอาจเกิดการดื้อยาและอาจกดการทำงานของต่อมหมวกไตได้

  • น้ำมันดิน (tar)มีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลผิวหนังที่ผิดปกติ ประสิทธิภาพดี แต่น้ำมันดินมีสีน้ำตาล กลิ่นเหม็น เวลาทาอาจทำให้เปรอะเปื้อนเสื้อผ้าอาจพบผลข้างเคียงคือเกิดรูขุมขนอักเสบ หรือระคายเคืองผิวหนังบริเวณที่ทายาได้
  • แอนทราลิน (anthralin, dithranol)มีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลผิวหนังที่ผิดปกติ แต่อาจทำให้ระคายเคืองผิวหนังรวมถึงผิวหนังบริเวณที่ทายามีสีคล้ำขึ้นได้
  • อนุพันธ์วิตามิน ดี (calipotriol)มีฤทธิ์ทำให้การแบ่งตัวของเซลผิวหนังกลับสู่ปกติข้อเสียของยานี้คือหากทาบริเวณผิวหนังที่บาง อาจมีการระคายเคืองได้ และยามีราคาแพงปัจจุบันมียาทาที่ผสมระหว่างอนุพันธ์วิตามิน ดี และยาทาคอติโคสเตียรอยด์เข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดผลข้างเคียง
  • ยาทากลุ่ม calcineurin inhibitor (tacrolimus,pimecrolimus) เป็นยากลุ่มใหม่แพทย์บางรายนำมาใช้ในการรักษาผื่นโรคสะเก็ดเงินบริเวณหน้าหรือตามซอกพับเพื่อต้องการหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงจากยาทาคอติโคสเตียรอยด์แต่ยังไม่แพร่หลายเนื่องจากยามีราคาแพง
ยารับประทานรักษ
พิจารณาให้กรณีสะเก็ดเงินรุนแรงปานกลางถึงมาก ที่ใช้บ่อยในประเทศไทยมี 3 ชนิด[/size][/b]

  • เมทโทเทรกเสท (methotrexate) เป็นยาที่ได้ผลดีกับสะเก็ดเงินเกือบทุกชนิด ออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลผิวหนังที่ผิดปกติ รวมถึงมีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันของร่างกาย ผลข้างเคียงของเมทโทเทรกเสทที่อาจพบ ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน หากรับประทานยาติดต่อกันนานหลายปีจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดตับแข็งได้ แพทย์จึงต้องทำการตรวจเลือดผู้ป่วยเพื่อดูการทำงานของเม็ดเลือด ตับละไตเป็นระยะ
  • อาซิเทรติน (acitretin) เป็นยารับประทานในกลุ่ม vitamin A ได้ผลดีมากสำหรับสะเก็ดเงินชนิดตุ่มหนอง ผลข้างเคียงที่อาจพบ ได้แก่ ปากแห้งลอก ผิวแห้ง มือเท้าตึงลอก รอบเล็บอักเสบ ระดับไขมันในเลือดสูง และอาจทำให้เกิดตับอักเสบได้ ข้อควรระวังสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับยานี้คือ ห้ามตั้งครรภ์เนื่องจากทารกในครรภ์อาจพิการได้ โดยต้องคุมกำเนิดขณะรับประทานและต้องคุมกำเนิดต่อไปอีกอย่างน้อย 2 ปีหลังหยุดยา
  • ไซโคลสปอริน (cyclosporin) มีฤทธิ์ลดการอักเสบและยับยั้งภูมิคุ้มกันของร่างกาย ประสิทธิภาพในการรักษาดีใช้กรณีสะเก็ดเงินรุนแรงปานกลางถึงมาก ผลข้างเคียง ได้แก่ ขนยาว เหงือกบวม เป็นพิษต่อไต และความดันโลหิตสูง ดังนั้นจึงต้องเจาะเลือดติดตามการทำงานของไตและวัดความดันโลหิตเป็นระยะ
การฉายแสงอาทิตย์เทียม (Phototherapy)
     เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลดีในการรักษาสะเก็ดเงิน โดยจะใช้รังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งปัจจุบันที่ใช้ในการรักษาโรคสะเก็ดเงินมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ รังสีอัลตราไวโอเลต A (320-400nm) และรังสีอัลตราไวโอเลต B (290-320nm) ซึ่งผู้ป่วยต้องมารับการรักษา 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 เดือนติดต่อกัน โดยจะให้ผลดีประมาณ 70 - 80% ขึ้นไป พบผลข้างเคียงน้อย  ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคันและแดงบริเวณผิวหนังที่ฉายแสงหลังทำการรักษา ข้อดีคือส่วนใหญ่การกลับเป็นซ้ำของโรคจะน้อยกว่าการรักษาโดยใช้ยาทาหรือยารับประทาน
ยาฉีดกลุ่มชีวภาพ (Biological agents)
     เป็นยาใหม่ที่มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย อยู่ในรูปยาฉีดเข้าเส้นหรือเข้าใต้ชั้นไขมัน ซึ่งยาบางชนิดฉีดสัปดาห์ละ  2 ครั้ง บางชนิดอาจฉีดห่างกันทุก 3 เดือน ซึ่งยาฉีดประเภทที่กล่าวมานี้ เช่น อะเลฟเซ็บ (Alefacept) อีทาเนอร์เซ็บ (Etanercept) อีฟาลิซูแม็บ (Efalizumab) อินฟลิกซิแมบ (Infliximab)  ข้อเสียคือ ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่เนื่องจากยาในกลุ่มนี้เป็นยาใหม่ จึงต้องติดตามผลข้างเคียงระยะยาว นอกจากการรักษาข้างต้นที่กล่าวมาแล้วนั้น การให้ความรู้ผู้ป่วยและญาติมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน การเข้าใจความจริงที่ว่าสะเก็ดเงินเป็นโรคไม่ติดต่อ ผู้ป่วยจะไม่ถูกรังเกียจจากคนรอบข้าง ญาติและคนใกล้ชิดควรเข้าใจและให้กำลังใจผู้ป่วย
ปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคสะเก็ดเงิน

  • พันธุกรรม เพราะพบโรคได้สูงในคนมีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้
  • อาจติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียบางชนิดบ่อยๆเช่น โรคต่อมทอนซิลอักเสบจากเชื้อ สเตร็ปโตคอกคัส
  • ภาวะมีความเครียด เพราะความเครียดส่งผลให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำหรือ ผิดปกติได้
  • มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคผิดปกติหรือบกพร่อง เพราะพบโรคได้สูงขึ้นในคนกลุ่มนี้เช่น ผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) หรือโรคเอดส์
  • กินยาบางชนิดเช่น ยาลดความดันโลหิตบางชนิด หรือยาทางด้านจิตเวชบางชนิด หรือ ยาที่มีผลกดภูมิคุ้มกันต้านทานโรคเช่น ยาในกลุ่มสเตียรอยด์
  • ในคนสูบบุหรี่ ซึ่งอาจจากสารพิษต่างๆในควันบุหรี่ส่งผลต่อภูมิคุ้มกันต้านทานโรค หรือ เพราะมีความเครียดจึงสูบบุหรี่
  • ในคนอ้วนหรือโรคอ้วน
การติดต่อของโรคสะเก็ดเงิน เนื่องจากโรคสะเก็ดเงินเป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่นอนแต่เชื่อกันว่าเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน เช่น พันธุกรรม ภูมิต้านทาน/ภูมิคุ้มกัน ที่ผิดปกติ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ที่ทำให้เกิดโรคสะเก็ดเงินขึ้นมาและโรคสะเก็ดเงินไม่ใช่โรคติดต่อ ดังนั้นคนที่สัมผัสคนเป็นโรคสะเก็ดเงินหรือผิวหนังส่วนเกิดโรคหรือแม้แต่สะเก็ดของผิวหนังส่วนเกิดโรคจึงไม่เกิดเป็นโรคสะเก็ดเงินแต่อย่างใด อีกทั้งยังไม่มีรายงานว่าโรคสะเก็ดเงินมีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คน
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคสะเก็ดเงิน

  • ปฏิบัติตามแพทย์/พยาบาลแนะนำ
  • ทายา กินยาตามแพทย์แนะนำอย่างถูกต้อง อย่าขาดยา
  • หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยต่อความรุนแรงของโรคดังกล่าวแล้ว โดยเฉพาะบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • อาบน้ำโดยใช้สบู่เด็กอ่อน อาจใช้สบู่สำหรับผิวแห้งมาก (สบู่ผสมน้ำมัน) ในบริเวณผิว หนังส่วนเกิดโรค
  • กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายแข็ง แรงลดโอกาสติดเชื้อ
  • ตากแดดอ่อนๆทุกวันตามแพทย์/พยาบาลแนะนำ
  • หลีกเลี่ยงภาวะที่จะทำให้เครียดเพราะความเครียดเป็นตัวเร็งให้อาการของโรคกำเริบ
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและมีสุขภาพจิตที่ดี
  • พบแพทย์ตามนัดเสมอ และรีบพบก่อนนัดเมื่ออาการต่างๆเลวลง หรือมีอาการผิดปกติไปจากเดิม หรือเมื่อกังวลกับอาการ
การป้องกันตนเองจากโรคสะเก็ดเงิน เนื่องจากโรคสะเก็ดเงินยังไม่พบสาเหตุการเกิดที่แน่ชัดดังนั้น การป้องกันโรคจึงยังไม่สามารถทำได้เต็มประสิทธิภาพ แต่ทางที่ดีที่สุดในการป้องกันโรค คือ ต้องพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นของการเกิดโรค เช่น พยายามหลีกเลี่ยงความเครียดในชีวิตประจำวันให้มากที่สุด การรับประทานยาบางชนิดควรมีการปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยา เช่น ยาลิเทียม ยาต่อต้านมาลาเรีย (Chlroquine)  ยาลดความดันโลหิต (Bota-Blocker) ยาในกลุ่มลดการอักเสบ (NSAIDs) พยายามดูแลผิวหนังไม่ให้บาดเจ็บจากสิ่งแวดล้อมภายนอก หากเกิดอาการผิดปกติบริเวณผิวหนังควรมีการพบแพทย์โดยด่วน
สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/รักษาโรคสะเก็ดเงิน
มีรายงานการศึกษาวิจัยในปัจจุบัน สมุนไพรที่ใช้รักษาโรคสะเก็ดเงินในคนยังมีการศึกษาไม่มาก สมุนไพรที่มีการวิจัยในคนของโรคสะเก็ดเงิน ได้แก่ ว่านหางจระเข้ โดยทดสอบในผู้ที่เป็นโรคเรื้อนกวาง 60 คน ใช้สารสกัดว่านหางจระเข้ (0.5%) ในรูปครีมทาบริเวณที่เป็นวันละ 3 ครั้ง นาน 16 สัปดาห์ และติดตามผลทุกเดือนอีก 12 เดือน พบว่าสารสกัดว่านหางจระเข้สามารถรักษาโรคเรื้อนกวางได้ 83.3% เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอกที่รักษาได้เพียง 6.6% นอกจากนี้มีตำรับยาทาที่มีส่วนประกอบคือ dimethicone 6 ออนซ์ cyclomethicone 2 ออนซ์ mineral oil 7.5 ซีซี. เจลว่านหางจระเข้ 7.5 ซีซี. วิตามินอี 7.5 ซีซี. วิตามินเอ 3.75 ซีซี. สังกะสี 3.75 ซีซี. และน้ำ 0.625 ซีซี. ว่าสามารถรักษาโรคสะเก็ดเงินได้  และสารสกัดน้ำจากบัวบก สามารถต้านการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังชั้น keratin ที่ทดสอบในหลอดทดลองซึ่งในโรคเรื้อนกวางเป็นโรคที่มีการแบ่งตัวของผิวหนังชั้น keratin ที่เร็วกว่าปกติ ซึ่งผู้วิจัยคิดว่าบัวบกมีศักยภาพในการนำมาพัฒนาเป็นยาทาภายนอก
ว่านหางจระเข้ ชื่อวิทยาศาสตร์ Aloe vera (L.) Burm.f. จัดอยู่ในวงศ์ XANTHORRHOEACEAE และอยู่ในวงศ์ย่อย ASPHODELOIDEAE

สรรพคุณของว่านหางจระเข้

  • วุ้นว่านหางจระเข้มีสรรพคุณช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ช่วยป้องกันและลดการเกิดแผลในกระเพาะขณะท้องว่าง ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารต่าง ๆ
  • ใช้เป็นถ่าย ยาระบาย ที่เปลือกของว่านหางจระเข้จะมีน้ำยางสีเหลือง ในน้ำยางจะมีสารแอนทราควิโนน (Anthraquinone) ที่มีฤทธิ์เป็นยาระบาย หากนำน้ำยางไปเคี่ยวให้น้ำระเหยออกแล้วทิ้งไว้ให้เย็น ก็จะได้สารสีน้ำตาลเกือบดำ หรือเรียกว่า “ยาดำ” ซึ่งยาดำนี้เองใช้เป็นส่วนผสมในตำรับยาแผนโบราณที่ต้องการให้มีฤทธิ์เป็นยาระบายอยู่หลายตำรับ
  • ช่วยรักษาแผลสด แผลจากของมีคม แผลที่ริมฝีปาก แก้ฝี แก้ตะมอย ด้วยการใช้วุ้นจากใบนำมาแปะบริเวณแผลให้มิดชิดและใช้ผ้าปิดไว้ แล้วหยอดน้ำเมือกลงตรงแผลให้ชุ่มอยู่เสมอ หรือจะเตรียมเป็นขี้ผึ้งก็ได้
  • ช่วยรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ช่วยดับพิษร้อนบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนจากแผล ด้วยการใช้วุ้นจากใบสดที่ล้างน้ำสะอาด แล้วฝานบาง ๆ นำมาทาหรือแปะไว้บริเวณแผลตลอดเวลา จะช่วยทำให้แผลหายเร็วมากขึ้นและอาจไม่เกิดรอยแผลเป็นด้วย
  • ช่วยรักษาโรคสะเก็ดเงิน ช่วยลดการตกสะเก็ดและลดอาการคันของโรคเรื้อนกวาง ทำให้แผลดูดีขึ้น
บัวบก ชื่อสามัญ Gotu kola ชื่อวิทยาศาสตร์ Centella asiatica (L.) Urb. จัดอยู่ในวงศ์ผักชี (APIACEAE หรือ UMBELLIFERAE)
สรรพคุณของใบบัวบก

  • ช่วยรักษาอาการมีหนองออกจากปัสสาวะ
  • ช่วยแก้อาการน้ำดีในร่างกายมากเกินไป
  • ช่วยแก้อาการฟกช้ำ ด้วยการใช้ใบบัวบกมาทุบให้แหลกแล้วนำมาโปะบริเวณที่ฟกช้ำ หรือจะใช้ใบบัวบกประมาณ 40 กรัม ต้มกับเหล้าแดงประมาณ 250 ประมาณ 1 ชั่วโมงแล้วนำมาดื่ม
  • ใช้บัวบกตำนำมาพอกรักษาความร้อนบวมของโรคไฟลามทุ่ง หรือใช้รักษาอาการด้วยการใช้น้ำคั้นบัวบกนำมาผสมกับแป้งข้าวเหนียวทำเป็นแป้งเหลว พอกบริเวณที่เป็น
  • ช่วยรักษาพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย
  • ช่วยรักษาโรคผิวหนังต่าง ๆ เช่น โรคเรื้อน โรคสะเก็ดเงิน หิด หัด เป็นต้น
  • บัวบกมีการนำมาผลิตเป็นแคปซูลวางจำหน่าย มีสรรพคุณในการช่วยบำรุงสมองเป็นหลัก (Brain tonic)
  • น้ำใบบัวบกเป็นเครื่องดื่มที่เหมาะสำหรับหน้าร้อนเป็นอย่างมาก เพราะมีฤทธิ์เป็นยาเย็นดับร้อนในร่างกายได้สารพัด
เอกสารอ้างอิง

  • ผศ.พญ.ชนิษฏา วงษ์ประภารัตน์.โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) .ภาควิชาอาจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล.
  • นายแพทย์สุรเกียรติ อาชานานุภาพ. สิงหาคม 2544 . Psoriasis. ตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป. ครั้งที่ สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน กรุงเทพฯ 10400. พิมพ์ดี กรุงเทพฯ. หน้า 664-666
  • แนวทางเวชปฏิบัติโรคสะเก็ดเงิน Psoriasis . สถาบันโรคผิวหนัง.กรมการแพทย์.กระทรวงสาธารณสุข.หน้า14-26
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป “โซริอาซิส/โรคเกล็ดเงิน (Psoriasis)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 1019-1024.
  • โรคสะเก็ดเงิน-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม. http://www.disthai.com/[/b]
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  • Roger C. Cornell, M.D.,Richard B. Stoughton, M.D. Topical Corticosteroid. 1985 Hoechst Aktiengesellscsast. West Germany. Page 17,28-31
  • Luba, K., and Stulberg, D. (2006). Chronic plaque psoriasis. Am Fam Physician, 73, 636-644.
  • อภิชาติ ศิวยาธร. กรกฎาคม Psoriasis. คลินิกโรคผิวหนังต้องรู้. ครั้งที่ 4. สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน กรุงเทพฯ 10400. พิมพ์ดี กรุงเทพฯ. หน้า 102-108
  • สมุนไพรรักษาโรคสะเก็ดเงิน.หัวข้อถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัย.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
27  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / มะกรูดเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณเเละประโยชน์เป็นอย่างมาก เมื่อ: พฤษภาคม 31, 2018, 06:08:42 pm
มะกรูด
ชื่อสมุนไพร  มะกรูด
ชื่ออื่นๆ/ชื่อแคว้น มะขูด , มะขุน (ภาคเหนือ) , ส้มมั่วผี , ส้มกรูด (ภาคใต้) , โกร้ยเชีด (เขมร) , มะขู (แม่ฮ่องสอน)
ชื่อสามัญ    Kaffir lime , Mauritius papeda , Leech lime
ชื่อวิทยาศาสตร์  Citrus hystrix DC.
วงศ์  RUTACEAE
ถิ่นเกิด เป็นพืชเครือญาติส้ม และมะนาว เป็นพืชท้องถิ่นในเขตร้อนชื้นแถบประเทศเอเซียอาคเนย์ ยกตัวอย่างเช่น ไทย เมียนมาร์ ลาว กัมพูชา อื่นๆอีกมากมาย  ซึ่งถูกจัดเป็นไม้ผล สำหรับมะกรูดในประเทศไทยนั้น  ชาวไทยคงเคยชินกันเป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นสมุนไพรคู่ห้องครัวไทยมาอย่างนาน เนื่องจากว่านิยมใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องแกงที่จำเป็นจะต้องอย่างต้องมีให้ได้เลย (ซึ่งโดยทั่วไปแล้วพวกเรามักจะนิยมใช้ใบมะกรูดและก็ผิวมะกรูดมาเป็นส่วนผสมของพริกแกง) นอกนั้นมะกรูดก็ยังมีคุณประโยชน์ในด้านฯลฯ ไม่ว่าจะเป็นในด้านของความสวยสดงดงามรวมทั้งในด้านของยาสมุนไพร ทั้งยังถือว่าเป็นพืชที่มีความมงคลที่นิยมปลูกไว้บริเวณบ้านอีกด้วย เพราะเชื่อว่าจะก่อให้ผู้อาศัยสุขสบาย โดยชอบปลูกไว้ทางทิศตะวันตกเฉเหนือของตัวบ้าน
ลักษณะทั่วไป
มะกรูด เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก แก่นไม้เป็นเนื้อแข็ง เปลือกเรียบมีสีน้ำตาลอ่อน ลำต้นแตกกิ่งก้านเยอะมากๆตั้งแต่ระดับล่างของลำต้นทำให้มีลักษณะเป็นพุ่มไม้ ตามลำต้น รวมทั้งกิ่งมีหนามแหลมยาว ใมะกรูด[/url] เป็นใบประกอบ ออกเป็นใบผู้เดียว มีก้านใบแบออกเป็นครีบเหมือนแผ่นใบ ใบมีลักษณะหนา เรียบ มีผิวมัน สีเขียว และก็เขียวเข้มตามอายุของใบ ใบมีคอดกิ่วที่กึ่งกลางใบทำให้ใบแบ่งออกเป็น 2 ตอน หรือ คล้ายใบไม้ 2 ใบ ต่อกัน ขนาดใบกว้างโดยประมาณ 2.5-5 ซม. ยาวโดยประมาณ 5-12 ซม. ใบมีกลิ่นหอมยวนใจมากเนื่องจากว่ามีต่อมน้ำมันอยู่  ดอกมะกรูดเป็นดอกบริบูรณ์เพศ ดอกออกเป็นช่อมีสีขาว แทงออกบริเวณส่วนยอดหรือตามซอกใบ แต่ละช่อมีดอกประมาณ 1-5 ดอก หลีบดอกมีสีขาวครีม 5 กลีบ มีขนปกคลุม ด้านในดอกมีเกสรมีสีเหลือง ดอกมีกลิ่นหอมยวนใจน้อย แล้วก็เมื่อแก่จะหล่นง่าย  ผลมะกรูดหรือลูกมะกรูด มีลักษณะค่อนข้างกลม มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 5-7 เซนติเมตร ผลเหมือนผลส้มซ่า ผลมีขนาดใหญ่กว่าลูกมะนาวน้อย ลักษณะของผลมีรูปร่างนาๆประการแล้วแต่พันธุ์ เปลือกผลออกจะดก ผิวเปลือกมีสีเขียวเข้ม ผิวขรุขระเป็นคลื่นหรือเป็นปุ่มนูน ข้างในเปลือกมีต่อมน้ำมันหอมระเหยเยอะๆ มีจุกที่ศีรษะ และก็ท้ายของผล เมื่อสุก ผลจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง  ด้านในผลประกอบด้วยเนื้อชุ่มฉ่ำน้ำ มีเมล็ดแทรกบริเวณกึ่งกลางผล 5-10 เมล็ด เนื้อผลมีรสเปรี้ยวผสมขมเล็กน้อย
การขยายพันธุ์   การขยายพันธุ์มะกรูดสามารถทำได้ด้วยหลายแนวทาง อาทิเช่น การตอนกิ่ง การทาบกิ่ง การตำหนิดตา การต่อยอด และก็การเพาะเม็ด แต่ว่าวิธีที่เป็นที่ชื่นชอบ ยกตัวอย่างเช่น การตอนกิ่ง การต่อยอด และการเพาะด้วยเมล็ด เมื่อได้ต้นกล้าที่จะนำไปปลูกแล้ว ขั้นตอนต่อไป ให้ขุดหลุม ให้ขนาดหลุมกว้าง x ยาว x ลึก โดยประมาณ 50 x 50 x 50 ซม. รองตูดหลุมด้วยขี้วัวผสมดิน กรีดถุงดำออก น้ำต้นกล้าลงปลูก กลบดิน รดน้ำ ปกคลุมฟาง และก็ทำหลักปักกับต้นเพื่อกันโยกเวลาลมพัด  โดยทั่วไปนิยมนำมาปลูกมะกรูดระยะติด คือ 2×2 เมตร 1 ไร่จะได้มะกรูด 400 ต้น ถ้าหากปลูกระยะ 1.5 x 1.5 เมตร 1 ไร่จะได้ 1067 ต้น สำหรับการปลูกระยะใกล้นี้จะเป็นการปลูกมะกรูดเพื่อขายใบ เนื่องด้วยมีการตัดใบทุกๆ3 – 4 เดือน พุ่มมะกรูดก็จะไม่ชิดกันมากมาย  แม้อยากได้ปลูกเพื่อจัดจำหน่ายเป็นลูกมะกรูด ผู้ปลูกบางทีอาจปลูกระยะห่าง 4 x 4 เมตร 1 ไร่จะได้ 200 ต้น หรือ 5 x 5 เมตร 1 ไร่จะได้ 65 ต้น ฯลฯ
สำหรับมะกรูดปลูกได้ดีในดินทุกชนิดและระยะปลูกมะกรูดนั้น ปลูกได้หลายระยะขึ้นอยู่กับเป้าหมายรวมทั้งพื้นที่ของผู้ปลูกดังที่กล่าวมาข้างต้น
องค์ประกอบทางเคมี นํ้ามันหอมระเหยมะกรูดประกอบด้วย 2 จำนวนมากๆเป็น สารในกรุ๊ปเทอร์พีน ( terpenes) รวมทั้งสารที่ไม่ใช่กรุ๊ปเทอร์พีน ( non-terpene) หรือ oxygenated compounds ดังเช่นว่า ในผิวมะกรูดมีน้ำมันระเหยง่ายร้อยละ 4 มีองค์ประกอบหลักเป็น “เบตาไพนีน” (beta-pinene) โดยประมาณจำนวนร้อยละ 30 , “ลิโมนีน” (limonene)  โดยประมาณจำนวนร้อยละ 29 , beta-phellandrene, citronellal ยิ่งไปกว่านี้ยังพบ linalool, borneol, camphor, sabinene, germacrene D, aviprin   
ที่มา :  Wikipedia
       สารกลุ่มคูมาริน เช่น umbelliferone, bergamottin,  oxypeucedanin, psoralen, N-(iminoethyl)-L-ornithine (L-NIO)       น้ำจากผลพบกรด citric
ส่วนในใบมะกรูดเมื่อกลั่นด้วยไอน้ำ จะได้น้ำมันระเหยง่ายราวๆร้อยละ 0.08 มีองค์ประกอบหลักเป็น “แอล-ซิโตรเนลลาล”(l-citronellal) ราวๆร้อยละ 65, citronellol, citronellol acetate นอกนั้นยังพบ sabinene, alpha-pinene, beta-pinene, alpha –phellandrene, limonene, terpinene, cymene, linalool และสารอื่นที่พบได้แก่ indole alkaloids, rutin, hesperidin, diosmin, alpha-tocopherol ส่วนคุณประโยชน์ทางโภชนาการของมะกรูดนั้นสามารถแยกได้ดังนี้
คุณประโยชน์ทางโภชนาการของใบมะกรูด (100 กรัม)

  • พลังงาน 171 กิโลแคลอรี่
  • โปรตีน 6.8 กรัม
  • ไขมัน 3.1 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 29.0 กรัม
  • เส้นใย 8.2 กรัม
  • แคลเซียม 1672 มิลลิกรัม
  • ฟอสฟอรัส 20 มก.
  • เหล็ก 3.8 มิลลิกรัม
  • วิตามินเอ 303 ไมโครกรัม
  • ไทอามีน 0.20 มก.
  • ไรโบฟลาวิน 0.35 มก.
  • ไนอาสิน 1.0 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 20 มก.
  • ขี้เถ้า 4.0 กรัม

ค่าทางโภชนาการของผิวลูกมะกรูด (100 กรัม)

  • คาร์โบไฮเดรต 21.3 กรัม
  • โปรตีน 2.8 กรัม
  • ไขมัน 1.1 กรัม
  • ใยอาหาร 3.4 กรัม
  • แคลเซียม 322 มก.
  • ธาตุฟอสฟอรัส 62 มิลลิกรัม
  • เหล็ก 1.7 มก.
  • วิตามินบี 1 0 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 2 0.13 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 115 มิลลิกรัม

คุณประโยชน์ทางโภชนาการของน้ำมะกรูด (100 กรัม)

  • คาร์โบไฮเดรต 10.8 กรัม
  • โปรตีน 0.6 กรัม
  • ไขมัน 0 กรัม
  • ใยอาหาร 0 กรัม
  • แคลเซียม 20 มิลลิกรัม
  • ธาตุฟอสฟอรัส 20 มก.
  • เหล็ก 0.6 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 1 0.02 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 2 58 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 55 มิลลิกรัม
ประโยชน์/คุณประโยชน์
ใบมะกรูดแล้วก็น้ำมะกรูดสามารถใช้ดับกลิ่นคาวในอาหารและก็ใช้สำหรับการทำอาหารแล้วก็แต่งเหม็นคาวหวานของของกิน เป็นต้นว่า ต้มยำ แกงเผ็ด ผัดเผ็ด ฉู่ฉี่ ห่อหมก อื่นๆอีกมากมาย มีการนำเปลือกของมะกรูดมาใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องแต่งตัวบางประเภท ตัวอย่างเช่น สบู่ ยาสระผมมะกรูดหรือยาสระผมมะกรูด สินค้าคุ้มครองป้องกันยุงแล้วก็แมลง เป็นต้น ส่วนคุณประโยชน์ทางยาของมะกรูดนั้นมีดังนี้
หนังสือเรียนยาไทย: ใบมะกรูด มีรสปร่า หอม แก้ไอ แก้อาเจียนเป็นเลือด แก้บอบช้ำใน กัดเสลดในคอ แก้น้ำลายเหนียว กัดเถาดานในท้อง แก้ระดูเสียฟอกเลือดประจำเดือน ขับประจำเดือน ขับลมในไส้ แก้จุกเสียด ผิว มีรสปร่าหอม ร้อน เป็นยาขับลมในลำไส้ แก้แน่น ขับระดู ขับผายลม เป็นยาบำรุงหัวใจ ผล ดองเป็นยาฟอกเลือดในสตรี ช่วยขับเมนส์ ขับลมในไส้ แก้จุกเสียด ลักปิดลักเปิด น้ำมันจากผิวช่วยคุ้มครองป้องกันรังแค และทำให้เส้นผมดกดำเป็นเงาสวย ผล รสเปรี้ยว กัดเสมหะ แก้น้ำลายเหนียว กัดเถาดานในท้อง แก้รอบเดือนเสีย ฟอกเลือดรอบเดือน ขับเมนส์ ขับลมในลำไส้ ถอนพิษผิดสำแดง ผล ปิ้งไฟให้สุก ผ่าครึ่งลูก เอาเช็ดฟอกสระผม ทำให้ผมดกดำเป็นเงางาม นิ่มสลวย แก้คัน แก้รังแค แก้ชันนะตุ ทำให้ผมสะอาดแพทย์ตามต่างจังหวัดใช้ผลเอาไส้ออก ใส่มหาหิงคุ์แทน สุมไฟให้ไหม้เกรียม บดกวาดปากลิ้นเด็กอ่อน ขับขี้เทา ขับลม แก้เจ็บท้องในเด็ก หรือใช้ผลสดเอามาผิงไฟให้ไหม้เกรียม แล้วละลายให้เข้ากับน้ำผึ้ง ใช้ทาลิ้นให้เด็กที่เกิดใหม่ ยาท้องถิ่นบางถิ่นใช้น้ำมันมะกรูดดองยาที่เรียกว่า “ยาดองเปรี้ยวเค็ม” ที่ใช้กินเป็นยาฟอกเลือดในสตรี น้ำผลมะกรูด มีรสเปรี้ยว แก้เสลดในคอ แก้เลือดออกตามไรฟัน ฟอกโลหิตระดู ขับลมในไส้ แล้วก็ใช้ถนอมยาไม่ให้บูดเน่า แก้อาการท้องอืด ช่วยเจริญอาหาร ใช้สระผมกันรังแค  เนื้อของผล แก้ปวดศีรษะ
หนังสือเรียนยาไทย: ผิวมะกรูดจัดอยู่ใน “เปลือกส้ม 8 ประการ” ประกอบด้วย ผิวส้มเขียวหวาน ผิวส้มจีน ผิวส้มซ่า ผิวส้มโอ ผิวส้มตรังกานู ผิวมะงั่ว ผิวมะนาว หรือผิวส้มโอมือ และก็ผิวมะกรูด มีสรรพคุณแก้ลมกองละเอียด กองหยาบ แก้เสมหะโลหะ ใช้ปรุงยาหอม แก้ทางลม
           ในหนังสือเรียนพระยาพระนารายณ์: ระบุตำรับ “น้ำมันมหาจักร” เตรียมได้ง่าย ใช้เครื่องยาน้อยสิ่ง หาซื้อได้ง่าย ในตำรับให้ใช้น้ำมันงา 1 ทะนาน (ขนาดทะนาน 600) มะกรูดสด 30 ลูก ปอกเอาแต่ผิว จัดเตรียมโดยเอาน้ำมันงาตั้งไฟให้ร้อน เอาผิวมะกรูดใส่ลง ทอดจนกระทั่งเหลืองเกรียมดีแล้วให้ยกน้ำมันลง กรองเอากากออก ทิ้งเอาไว้ให้เย็น แล้วเอาเครื่องยาอีก 7 สิ่ง บดให้เป็นผงละเอียด ใส่ลงในน้ำมันที่ได้ เครื่องยาที่ใช้มี เทียน 5 (เทียนตาตั๊กแตน เทียนขาว เทียนข้าวเปลือก เทียนแดง และก็เทียนดำ) หนักสิ่งละ 2 สลึง ดีปลีหนัก 1 บาท และการบูรหนัก 2 บาท คุณประโยชน์ ใช้ยอนหู แก้ลม แก้ริดสีดวง แก้ยุ่ยคันก็ได้ ทาแก้เมื่อยขบ แล้วก็ใส่รอยแผล ที่มีอาการปวด ที่เกิดขึ้นจากเศษไม้ จากหนาม จากหอกกระบี่ ระวังไม่ให้แผลถูกน้ำ จะไม่เป็นหนอง
           นอกนั้นบัญชียาจากสมุนไพร ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศ คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา ปรากฏการใช้ผิวมะกรูด ในยารักษาอาการโรคในระบบต่างๆของร่างกาย เป็นต้นว่า ตำรับ”ยาหอมเทพจิตร” มีส่วนประกอบของผิวมะกรูด อยู่ใน ”เปลือกส้ม 8 ประการ” ร่วมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆในตำรับ มีคุณประโยชน์ในการแก้ลมตาลาย แก้อาการหน้ามืด ตาลาย ใจสั่น คลื่นเหียน คลื่นไส้ แก้ลมจุกแน่นในท้อง  ตำรับ “ยาประสะไพล” มีส่วนประกอบของผิวมะกรูด ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆในตำรับ ใช้ในสตรีที่เมนส์มาไม่บ่อยนัก หรือมาน้อยกว่าธรรมดา และก็ขับน้ำคร่ำในสตรีข้างหลังคลอด
ต้นแบบ/ขนาดวิธีใช้ ใช้ขับลมในลำไส้ แก้แน่น แก้เสมหะ ฝานผิวมะกรูดสดเป็นชิ้นเล็กๆ1 ช้อนแกง เพิ่มการบูร หรือพิมเสน 1 ถือมือ ชงด้วยน้ำเดือดแช่ทิ้งเอาไว้ ดื่มแต่น้ำกิน 1-2 ครั้ง ถ้าหากยังไม่ทุเลารับประทานติดต่อกัน 2-3 วัน ใช้สระผม ให้ดกดำ เงาสวย รักษาชันนะตุ  ให้ผ่ามะกรูดเป็น 2 ชิ้น เมื่อสระผมเสร็จแล้ว เอามะกรูดมาสระซ้ำโดยยีไปบนผม น้ำมะกรูดเป็นกรดจะทำให้ผมสะอาด แล้วล้างเอาสมุนไพรออกให้หมด หรือใช้ผลเผาไฟ เอามาผ่าซีกใช้สระผม  ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ด้วยการใช้ผิวมะกรูด รากชะเอม ไพล เฉียงมีดพร้า ขมิ้นอ้อย ในจำนวนเสมอกัน เอามาบดเป็นผง นำมาชงละลายน้ำร้อนหรือต้มเป็นน้ำดื่ม  ช่วยฟอกโลหิต ด้วยการนำผลมะกรูดสดมาผ่าเป็น 2 ส่วนแล้วค่อยนำไปดองกับเกลือหรือน้ำผึ้งโดยประมาณ 1 เดือน แล้วรินมัวแต่น้ำดื่ม จะช่วยฟอกเลือดได้อย่างดีเยี่ยม
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ สาร coumarins 2 ประเภทที่ได้จากผลมะกรูด อาทิเช่น bergamottin และ N-(iminoethyl)-L-ornithine (L-NIO) มีฤทธิ์ยั้งการหลั่งไนตริกออกไซด์ (NO) ในหลอดทดลอง ซึ่งเป็นสารที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการอักเสบ ซึ่งหลั่งจาก macrophage ของหนูที่ถูกกระตุ้นด้วย lipopolysaccharide (LPS) รวมทั้ง interferon-g (IFN- g)  โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 14.0 µM และ 7.9 µM เป็นลำดับ
      สารคูมาริน 3 ชนิด ได้แก่ bergamottin, oxypeucedanin และ psoralen สามารถยับยั้งการสร้างไนตริกออกไซด์ เมื่อทดลองในเซลล์แมคโครฟาจ RAW 264.7 ของหนู ที่ถูกกระตุ้นด้วยลิโปพอลิแซ็กคาร์ไรด์ (LPS) แล้วก็อินเตอร์เฟอรอน (interferon)
ฤทธิ์คุ้มครองป้องกันตับ    เรียนฤทธิ์ปกป้องรักษาตับของใบมะกรูดในหนูขาว โดยให้สารสกัด 80% เมทานอล จากใบมะกรูด ขนาด 200 mg/kg ตรงเวลา 7 วัน ก่อนให้ยา paracetamol ขนาด 2 g/kg เป็นเวลา 5 วัน เพื่อทำให้เกิดพิษต่อตับ ซึ่งยา paracetamol จะทำการกระตุ้นให้ตับของหนูกำเนิดพิษในวันที่ 5 ใช้สาร Silymarin ขนาด 100 mg/kg เป็นสารมาตรฐาน ในวันที่ 7 จะมีการตรวจประเมินรูปแบบการทำงานของตับ เช่น ระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับ (ALT, AST, ALP), total bilirubin, total protein,blood serums รวมทั้ง hepatic antioxidants (SOD, CAT, GSH and GPx) จากการทดลองพบว่าสารสกัดใบมะกรูดจะช่วยฟื้นฟูตับ โดยการทำให้ระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับ และโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีต่อต้านอนุมูลอิสระของตับกลับมาอยู่ในระดับธรรมดาได้อย่งมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) ซึ่งการค้นคว้านี้สรุปได้ว่าสารสกัดใบมะกรูดมีฤทธิ์ปกป้องตับไม่ให้เกิดพิษจากยา paracetamol ได้
การทดลองพิษเฉียบพลันของสารสกัดใบด้วยเอทานอล 50% โดยให้หนูกินในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 โล (คิดเป็น 357 เท่า เปรียบเทียบกับขนาดรักษาในคน) และให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนู ในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ตรวจไม่พบอาการเป็นพิษ
มีการทดลองความเป็นพิษอีกฉบับหนึ่งบอกว่า สารสกัดผิวมะกรูดด้วยเอทานอล (95%) เมื่อป้อนให้หนูกินเพื่อเรียนความเป็นพิษเฉียบพลัน พบว่าขนาดที่ทำให้สัตว์ทดสอบตายเป็นจำนวนกึ่งหนึ่ง (LD50) มีค่ามากยิ่งกว่า 100  กรัม/กก.
ฤทธิ์เสริมการเกิดโรคมะเร็งตับ    จากการทบทวนงานวิจัยพบว่ามะกรูดมีฤทธิ์ต้านฤทธิ์ของสารเสริมการเกิดโรคมะเร็ง (tumor promoter) ในการทดลองแบบ tumor promoter-induced Epstein-Barr virus activation ได้ งานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยนี้มีเป้าประสงค์ที่จะเรียนฤทธิ์ของมะกรูดต่อการเกิดมะเร็งตับของหนูขาว สายพันธุ์ F344 ที่ได้รับสารก่อโรคมะเร็ง 2-amino-3,8-dimethylimidazo 4,5-ƒ quinoxaline (MeIQx) ในการทดลองแบบ medium-term bioassay ผลการวิเคาะห์พบว่ามะกรูดมีฤทธิ์เสริมฤทธิ์ของ MelQx สำหรับในการทําให้กำเนิดโรคมะเร็งตับ (preneoplastic liver foci) อย่างมีความนัยสําคัญทางสถิติ
พิษต่อระบบขยายพันธุ์   เมื่อป้อนสารสกัดผิวมะกรูดด้วยเอทานอล (95%) ให้กับหนูขาวที่ตั้งครรภ์ขนาด 1 และ 2.5 ก./กิโลกรัม ทางสายยางให้อาหารวันละ 2 ครั้ง พบว่าสามารถต้านทานการฝังตัวของตัวอ่อนได้ 42.5 ±14.8 และ 86.1±8.1% เป็นลำดับ รวมทั้งมีผลทำให้แท้งได้ 86.3±9.6 และ 96.9±3.1% ตามลำดับ รวมทั้งสารสกัดผิวมะกรูดด้วยคลอโรฟอร์มเมื่อป้อนให้กับหนูที่ตั้งครรภ์ในขนาด 0.5 และ 1.0 ก./กก. ทางสายยางให้อาหารวันละ 2 ครั้ง เหมือนกัน พบว่าสามารถต่อต้านการฝังตัวของตัวอ่อนได้ 34.4±14.3 และ 62.2±14.5% ตามลำดับ รวมทั้งส่งผลทำให้แท้งได้ 62.2±14.5 แล้วก็ 91.9± 5.5%
พิษต่อเซลล์สารสกัดใบด้วยเมทานอล กระทำการทดสอบกับเซลล์ ด้วยความเข้มข้น 20 มคกรัม/มิลลิลิตร พบว่าเป็นพิษต่อ Cells-Raji (9) น้ำมันหอมระเหย (ไม่เจาะจงส่วนที่ใช้และก็ขนาด) เป็นพิษต่อเซลล์ CEM-SS
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์     สารสกัดใบด้วยน้ำ และน้ำร้อน ทำทดสอบในจานเพาะเลี้ยงเชื้อ ด้วยความเข้มข้น 0.5 มิลลิลิตร/จาน พบว่าไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ต่อเชื้อ Bacillus subtilis H-17 (Rec+) รวมทั้ง B. subtilis M-45 (Rec-)
ข้อแนะนำ/ข้อควรคำนึง การใช้น้ำมันหอมระเหยกับผิวหนังในปริมาณที่มาก  จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงสว่างเนื่องจากว่าน้ำมันที่ได้จากการบีบผิวผล อาจจะทำให้กำเนิดพิษเมื่อสัมผัสกับแสงสว่างได้ แล้วก็เกิดมีสารสีเกินที่ผิวหนัง ใบหน้า รวมทั้งลำคอ เนื่องจากว่ามีสารกลุ่มคูมาริน แม้กระนั้นน้ำมันจากผิวผลที่ได้จากผู้กระทำลั่นจะไม่มีสารนี้  น้ำมะกรูดมีความเป็นกรดสูง จึงควรระมัดระวังการกินขณะท้องว่าง เนื่องจากว่าอาจจะส่งผลให้มีการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหารได้
เอกสารอ้างอิง

  • ดนัย ทิวาเวช, Hirose M, Futakuchi M, วิทยา ธรรมวิทย์, Ito N, Shirai T.  ฤทธิ์เสริมการเกิดมะเร็งตับของข่า กระชาย และมะกรูด ในหนูที่ได้รับสารก่อมะเร็ง 2-amino-3,8-dimethylimidazo(4,5-ƒ)quinoxaline (MeIQx).  การประชุมวิชาการ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ครั้งที่ 11 “ วิทยาศาสตร์การแพทย์ไทยกับกติกาใหม่ของโลก ” กรุงเทพฯ, 9-11 ตุลาคม 2543:33
  • มะกรูด (ผิวผล).ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
  • กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข.2546.ประมวลผลผลงานวิจัยด้านพิษวิทยา ของสถาบันวิจัยสมุนไพร เล่ม 1.โรงพิมพ์การศาสนา:กรุงเทพมหานคร. http://www.disthai.com/[/color]
  • Murakami A, Gao G, Kim OK, Omura M, Yano M, Ito C, et al. Identification of coumarins from the fruit of Citrus hystrix DC as inhibitors of nitric oxide generation in mouse macrophage RAW 264.7 cells. J Agric food chem. 1999;47:333-339.
  • กอบกุล เฉลิมพันธ์ชัย ดวงชัย บำเพ็ญบุญ ธิดา โตจิราการ และคณะ.  ตำรับยาสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำลายจุลินทรีย์.  รวมบทคัดย่องานวิจัยการแพทย์แผนไทยและทิศทางการวิจัยในอนาคต สถาบันการแพทย์แผนไทย, 2543.
  • คุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย.กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข.2544.
  • มะกรูด/ใบมะกรูดประโยชน์และสรรพคุณมะกรูด.พืชเกษตรดอทคอม
  • Tangyuenyongwatana P, Gritsanapan W. Prasaplai: An essential Thai traditional formulation for primary dysmenorrhea treatment. TANG. 2014;4(2):10-11.
  • ชนิพรรณ บุตรยี่. การศึกษาชีวภาพความพร้อมและคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระของฟลาโวนอยด์จากใบมะกรูดในหลอดทดลองและศักยภาพในการป้องกันการแตกหักของโครโมโซมในหนูเม้าส์โดยวิธีการตรวจไมโครนิวเคลียสในเม็ดเลือดแดง [วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต]. กรุงเทพฯ. มหาวิทยาลัยมหิดล;2551.
  • มะกรูด(ใบ).ฐานข้อมูลเครื่องยาคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
28  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคคางทูม มีวิธีรักษาด้วยสมุนไพร เเละยังมีสรรพคุณ-ประโยชน์อีกมากมาย เมื่อ: พฤษภาคม 30, 2018, 09:32:56 am

โรคคางทูม (Mumps)
โรคคางทูมคืออะไร  โรคคางทูม (mumps) เป็นโรคที่เกิดจากการต่อว่าดเชื้อไวรัสซึ่งนับได้ว่าเป็นโรคติดต่อฉับพลันทางระบบหายใจ อีกโรคหนึ่ง มักพบในเด็กนักเรียนและวัยรุ่น คนป่วยส่วนมากมักมีลักษณะบวมรวมทั้งกดเจ็บบริเวณต่อมน้ำลาย เพราะว่าเกิดการอักเสบของต่อมน้ำลายขนาดใหญ่ซึ่งอยู่บริเวณแก้มหน้าหู เหนือขากรรไกร ที่เรียกว่า ต่อมพาโรติด (Parotid glands) ซึ่งคือต่อมคู่ มีทั้งข้างซ้ายแล้วก็ข้างขวา ซึ่งโรคอาจกำเนิดกับต่อมน้ำลายเพียงฝ่ายเดียวหรือทั้งสองข้างได้ นอกเหนือจากนี้อาจเกิดกับต่อมน้ำ ลายอื่นได้ อาทิเช่น ต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกร หรือต่อมน้ำลายใต้คาง ซึ่งมักจะต้องเกิดร่วมกับการอักเสบของต่อมพาโรติดด้วยเสมอ เป็นโรคที่มีลักษณะอาการไม่ร้ายแรงแล้วก็สามารถหายเองได้
คางทูมเป็นโรคที่พบมากในเด็กอายุ 6-10 ปี พบได้ทั้งเพศหญิงและผู้ชายใกล้เคียงกัน  แต่ว่าในเด็กโต วัยเจริญพันธุ์รวมทั้งผู้ใหญ่ชอบพบความร้ายแรงขอโรคคางทูม[/url]มากกว่าและเกิดอาการนอกต่อมน้ำลายมากยิ่งกว่าวัยเด็ก มักไม่ค่อยพบในเด็กอายุต่ำลงยิ่งกว่า 3 ปี และในคนแก่ที่แก่มากกว่า 40 ปี โรคนี้มีอุบัติการณ์การเกิดสูงในตอนม.ค.ถึงเมษายน แล้วก็ในตอนเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน แล้วก็บางทีอาจพบการระบาดได้เป็นครั้งคราว ในแต่ก่อนจัดว่าเป็นโรคติดต่อที่มักพบในเด็ก แม้กระนั้นในขณะนี้มีลักษณะท่าทางต่ำลงจากการฉีดยาคุ้มครองปกป้องโรคนี้กันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ประวัติแล้วก็ภูมิหลังของโรคคางทูม ศตวรรษที่ห้าก่อนคริสต์ศักราช  Hippocrates ได้ชี้แจงโรคคางทูมว่าเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ ถัดมาปลายคริสต์ศักราชที่ 1700  Hamilton เน้นย้ำว่าการเกิดอัณฑะอักเสบเป็นอาการสำคัญของโรคคางทูม ในปี คริสต์ศักราช1934 Johnson รวมทั้ง Goodpasture สามารถทดลองเอาอย่างการเกิดโรคคางทูมในลิงได้สำเร็จ เป็นหลักฐานแสดงการพบเชื้อไวรัสคางทูมผ่านมาสู่น้ำลายของผู้เจ็บป่วยโรคคางทูมได้ ในปี คริสต์ศักราช1945 Habel รายงานการเพาะเลี้ยงเชื้อไวรัสคางทูมในตัวอ่อนลูกไก่ได้สำเร็จ Enders แล้วก็คณะ ชี้แจงการทดสอบทางผิวหนังและการวิวัฒนาการของการเสริมตรึงแอนติบอดี  (complement-fixing antibodies) ตามหลังโรคคางทูมในมนุษย์ได้สำเร็จ
                รากศัพท์คำว่า  mumps มาจากภาษาใดไม่ทราบแจ้งชัด อาจมาจากคำนามในภาษาอังกฤษ  mump ที่หมายความว่าก้อนเนื้อ หรือมาจากคำกิริยาในภาษาอังกฤษ  to mump ที่หมายความว่า อารมณ์ไม่ดี ซึ่งเป็นลักษณะการแสดงออกทางสีหน้า  mumps ยังสื่อความหมายถึงลักษณะการพูดอู้อี้ ซึ่งเจอได้ในผู้เจ็บป่วยโรคคางทูม ในรายงานแต่ก่อนโรคคางทูมมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า  epidemic parotitis
สาเหตุของโรคคางทูม สิ่งที่ทำให้เกิดโรคคางทูมมีต้นเหตุจากการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า มัมส์ (mumps Virus) เป็นไวรัสที่อยู่ในอากาศสามารถแพร่ไปได้โดยการไอ จาม เช่นเดียวกับหวัด ซึ่งเชื้อไวรัสจำพวกนี้เป็น
เชื้อไวรัสในกรุ๊ปพาราไม่กโซเชื้อไวรัส  (paramyxovirus) (มี mumps virus, New Castle disease virus, human parainfluenza virus types 2, 4a, and 4b) เชื้อไวรัสคางทูมเป็น enveloped negative singlestranded RNA มีลักษณะรูปร่างทรงกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 90-300 นาโนเมตร ขนาดเฉลี่ยราวๆ 200 นาโนเมตร nucelocapsid ถูกห่อด้วย envelope 3 ชั้น
อาการโรคคางทูม อาการของโรคคางทูม กำเนิดข้างหลังสัมผัสโรค               
ที่มา :  WIKIPEDIA
ซึ่งระยะฟักตัวทั่วไปราวๆ 14 - 18 วัน แม้กระนั้นอาจเร็วได้ถึง 7 วันหรือนานได้ถึง 25 วัน โดยจะทำให้เกิดการอักเสบของต่อมน้ำลายพาโรติด อาการ คนป่วยจะเริ่มมีอาการเป็นไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวเรียกตัว ไม่อยากอาหาร  บางบุคคลอาจมีลักษณะของการปวดในช่องหูหรือข้างหลังหูขณะเคี้ยวหรือกลืน ๑-๓ วันถัดมา พบว่าบริเวณข้าง
                      ที่มา :  Googleหรือขากรรไกร มีลักษณะบวมและปวด  ลักษณะของการปวดจะเป็นมากขึ้นเมื่อรับประทานของเปรี้ยว น้ำส้มคั้น น้ำมะนาว คนเจ็บชอบรู้สึกปวดร้าวไปที่หู ขณะอ้าปากเคี้ยวหรือกลืนของกิน บางคนอาจมีอาการบวมที่ใต้คางร่วมด้วย (ถ้าหากมีการอักเสบของต่อมน้ำลายใต้คาง) ประมาณ ๒ ใน ๓ ของผู้ที่เป็นคางทูม จะเกิดอาการคางบวม ๒ ข้าง โดยเริ่มขึ้นข้างหนึ่งก่อนแล้วอีก ๔-๕ วัน ต่อมาค่อยขึ้นตามมาอีกข้างอาการคางบวมจะเป็นมากในช่วง ๓ วันแรกแล้วจะเบาๆยุบหายไปใน ๔-๘ วัน ในช่วงที่บวมมากมาย คนเจ็บจะมีอาการบอกแล้วก็กลืนตรากตรำ บางคนอาจมีอาการคางบวม โดยไม่มีอาการอื่นๆนำมาก่อน หรือมีเพียงอาการไข้ โดยไม่มีอาการคางบวมให้เห็นก็ได้ นอกจากนั้น พบว่าโดยประมาณร้อยละ ๓๐ ของคนที่ติดโรคคางทูม อาจไม่มีอาการแสดงของโรคคางทูมก็ได้
ส่วนภาวะแทรกซ้อน) ของโรคคางทูม ชอบพบได้สูงมากขึ้นเมื่อเกิดโรคในวัยรุ่น ผู้ใหญ่ หรือในคนมีภูมิคุ้มกันต่อต้านโรคต่ำ เช่น

  • โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เจอได้ราว 10% ของคนไข้ แล้วก็มักมีลักษณะอาการไม่ร้ายแรง
  • โรคสมองอักเสบ เจอได้แต่น้อยมาก แต่ว่าถ้าหากรุนแรงอาจจะเป็นผลให้เสียชีวิต ได้ เจอได้ประมาณ 1% และเจอกำเนิดในผู้ชายมากยิ่งกว่าผู้หญิง
  • ในผู้ชาย อาจเจอการอักเสบของอัณฑะ โดยช่องทางกำเนิดสูงมากขึ้นหากคางทูมกำเนิดในวัยรุ่นหรือวัยผู้ ใหญ่เจอได้ 20 - 30% ของคนเจ็บ อาการอัณฑะอักเสบมักกำเนิดประมาณ 1 - 2 สัปดาห์หลังจากต่อมน้ำลายอักเสบ โดยอัณฑะจะบวม เจ็บ และบางทีอาจกลับมาจับไข้ได้อีก อาการต่างๆจะเป็นอยู่โดยประมาณ 3 - 4 วัน หรืออาจนานได้ถึง 2 - 3 อาทิตย์ อัณฑะจะยุบบวม รวมทั้งขนาดอัณฑะจะเล็กลง ทั่วๆไปการอักเสบมักกำเนิดกับอัณฑะด้านเดียว ซ้ายหรือขวาได้โอกาสเกิดใกล้เคียงกัน แม้กระนั้นเจอกำเนิด 2 ข้างได้ 10 - 30% ข้างหลังเกิดอัณฑะอักเสบโดยประมาณ 13% ของผู้มีอัณฑะอักเสบด้านเดียว และก็ 30 - 87% ของผู้มีอัณฑะอักเสบ 2 ข้างจะมีลูกยาก (Impaired fertility) บางคนบางทีอาจเป็นหมันได้
  • ในหญิง อาจมีการอักเสบของรังไข่ได้โดยประมาณ 5% แต่มักไม่เป็นผลให้มีลูกยาก หรือเป็นหมัน
  • อื่นๆที่อาจพบได้บ้างแต่น้อยหมายถึงข้ออักเสบ ตับอ่อนอักเสบ รวมทั้ง หูอักเสบ

กรรมวิธีรักษาโรคคางทูม หมอสามารถวินิจฉัยโรคคางทูมได้จากเรื่องราวอาการรวมทั้งการตรวจร่างกายของผู้เจ็บป่วยดังต่อไปนี้

  • ตรวจเช็คเรื่องราวเจ็บไข้ได้ป่วยของคนไข้
  • ตรวจการบวมของต่อมน้ำลายที่ข้างหู แล้วก็ต่อมทอนซิลในปาก
  • ตรวจวัดอุณหภูมิของผู้เจ็บป่วยว่าอยู่ในระดับที่สูงเปลี่ยนไปจากปกติหรือเปล่า
  • ตรวจสารก่อภูมิคุ้มกัน (Antigen) ในเลือด
  • แม้กระนั้นเมื่อกระทำสอบความเป็นมาแล้วพบว่ามีประวัตสัมผัสกับคนเจ็บโรคคางทูมด้านใน 2-3 อาทิตย์ ด้วยกันมีอาการต่อมพาโรติดอักเสบก็สามารถวินิจฉัยโรคได้ทันที

ส่วนการตรวจทางห้องทดลองเพื่อยืนยันการติดเชื้อไวรัสคางทูมนั้น มีความสำคัญต่อการวินิจฉัยในเรื่องที่คนเจ็บไม่มีต่อมน้ำลายพาโรติดอักเสบ ต่อมน้ำลายพาโรติดอักเสบเป็นซ้ำหลายคราว หรือเพื่อยืนยันการไต่สวนการระบาดของโรคคางทูม การตรวจทางห้องทดลองเพื่อยืนยันการวิเคราะห์โรคคางทูม โดยการตรวจทางภูเขามิคุ้นกันวิทยา (serologic studies) มีหลายวิธี อย่างเช่น

  • ตรวจเลือดหาแทนติเตียนบอดีต่อเชื้อไวรัสคางทูม lgM โดยแนวทาง enzyme-linked immunosorbent assay (ELISA)
  • การตรวจค้นเชื้อไวรัสคางทูมจากน้ำลาย ปัสสาวะ น้ำไขสันหลัง เลือด แล้วก็สมอง โดยแนวทาง Reverse transcriptase (RT)–PCR assays แล้วก็
  • กรรมวิธีการแยกเชื้อไวรัสคางทูมในเซลล์เพาะเลี้ยง

เนื่องด้วยโรคคางทูมเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจากเชื้อไวรัส การดูแลรักษาโรคคางทูมก็เลยยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะ แต่ว่าสามารถทำได้โดยทุเลาอาการและก็ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงขึ้น โดยหมอจะรักษาตามอาการ อาทิเช่น เมื่อมีลักษณะปวดก็จะให้กินพาราเซตามอลเพื่อบรรเทาปวด ยิ่งไปกว่านั้นก็จะแนะนำขั้นตอนการกระทำตัวแล้วก็ให้พักฟื้นที่บ้าน
การดำเนินโรค  ทั้งนี้ส่วนใหญ่โรคคางทูมจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนและสามารถหายได้เองตามธรรมชาติ รวมทั้งอาการไข้จะเป็นอยู่เพียง ๑-๖ วัน ส่วนอาการคางทูมจะยุบได้เองใน ๔-๘ วัน (ไม่เกิน ๑๐ วัน) รวมทั้งอาการโดยรวมจะหายสนิทด้านใน ๒ สัปดาห์
ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่ไม่ร้ายแรงที่เกิดกับอวัยวะต่างๆส่วนใหญ่ก็มักจะหายได้เป็นปกติส่วนน้อยมากมายที่อาจมีสภาวะเป็นหมัน (จากรังไข่อักเสบและก็อัณฑะอักเสบ) หูหนวก (จากประสาทหูอักเสบ)
การติดต่อของโรคคางทูม เชื้อไวรัสคางทูมสามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสโดยตรง (direct contact) กับสารคัดเลือกหลั่งของทางเท้าหายใจ (droplet nuclei) หรือ fomites ผ่านทางจมูกหรือปาก ดังเช่นการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสลดที่ผู้เจ็บป่วยไอหรือจามรด การสัมผัสน้ำลายของผู้ป่วย หรือโดยการสัมผัสถูกมือ ข้าวของ
ของใช้ ตัวอย่างเช่น ผ้าที่มีไว้เพื่อเช็ดหน้า ผ้าสำหรับเช็ดตัว แก้วน้ำ จาน จานชาม เป็นต้น รวมถึงสิ่งแวดล้อมอื่นๆที่แปดเปื้อนเชื้อ ซึ่งจำต้องใช้การสัมผัสที่ใกล้ชิดในการกระจายเชื้อเชื้อไวรัสคางทูมมากกว่าเชื้อฝึกหัด หรือเชื้ออีสุกอีใส ระยะที่กระจายเชื้อได้มากที่สุดเป็น1-2 วันก่อนเริ่มมีอาการต่อมน้ำลายพาโรติดบวม จนกระทั่ง 5 วันหลังจากต่อมน้ำลายพาโรติดเริ่มบวม (แม้กระนั้นมีกล่าวว่าสามารถแยกเชื้อไวรัสคางทูมจากน้ำลายของผู้เจ็บป่วยตั้งแต่ 7 วันก่อนมีลักษณะอาการจนกระทั่ง 9 คราวหลังจากเริ่มมีลักษณะอาการต่อมน้ำลายพาโรติดบวม) ส่วนระยะฟักตัวของเชื้อไวรัสคางทูมจำนวนมาก 16-18 วัน (วิสัย 12-25 วัน)
การแยกโรคอื่นๆที่มีลักษณะอาการคางบวมคล้ายกับโรคคางทูม การแยกโรค อาการคางบวม อาจเกิดขึ้นเนื่องจากโรครวมทั้งสาเหตุอื่น ได้อีกอย่างเช่น

  • การบาดเจ็บ ตัวอย่างเช่น ถูกต่อย
  • ต่อมทอนซิลอักเสบ คนไข้จะมีไข้ เจ็บคอ ต่อมทอนซิลบวมแดง รวมทั้งอาจพบมีต่อมน้ำเหลืองใต้คางบวมร่วมด้วยข้างหนึ่ง
  • เหงือกอักเสบหรือรากฟันอักเสบ คนเจ็บจะมีลักษณะปวดฟัน  หรือเหงือกบวม  แล้วก็อาจมีอาการคางบวมร่วมด้วยข้างหนึ่ง
  • ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ คนป่วยจะมีลักษณะอาการต่อมน้ำเหลืองที่ข้างคอหรือใต้คางบวมและปวด รวมทั้งอาจมีไข้ร่วมด้วย
  • เนื้องอกต่อมน้ำลายหรือท่อน้ำลายอุดตัน (จากการตีบหรือมีก้อนนิ่วน้ำลาย) คนเจ็บจะมีก้อนบวมที่คางข้างหนึ่ง ซึ่งชอบเป็นเรื้อรัง
  • ต่อมน้ำลายอักเสบเป็นหนอง จากการติดเชื้อแบคทีเรีย คนไข้มีลักษณะคล้ายคางทูม แต่ผิวหนังบริเวณคางทูมจะมีลักษณะแดงและเจ็บมากมาย
  • โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (อาจเกิดที่ต่อมน้ำเหลืองโดยตรง หรือแพร่กระจายจากกล่องเสียงหรือโพรงข้างหลังจมูก) ผู้เจ็บป่วยจะมีก้อนบวมที่ข้างคอ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า ๑ เซนติเมตร และไม่มีอาการเจ็บปวด อาจมีอาการเสียงแหบ (ถ้าหากเป็นมะเร็งกล่องเสียง) หรือคัดจมูกหรือเลือดกำเดาไหล (ถ้าหากเป็นโรคมะเร็งโพรงข้างหลังจมูก)
การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคคางทูม เมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคคางทูมหมอมักจะให้คำแนะนำสำหรับการปฏิบัติตนเพื่อบรรเทาอาการโรคมากยิ่งกว่าการให้ยา ซึ่งแพทย์ชอบชี้แนะดังต่อไปนี้

  • เช็ดตัวเวลาจับไข้รวมทั้งให้ยาลดไข้ (พาราเซตามอล) และให้ซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมงเฉพาะเวลาเป็นไข้สูง ห้ามใช้แอสไพริน สำหรับคนอายุต่ำยิ่งกว่า 18 ปี เพราะบางทีอาจเสี่ยงที่จะทำให้เป็นโรคเรย์ซินโดรม (Reye’s syndrome) ซึ่งมีการอักเสบของสมองและตับอย่างหนัก               เป็นโทษได้
  • ใช้น้ำอุ่นจัดๆประคบตรงรอบๆที่เป็นคางทูมวันละ 2 ครั้ง แม้กระนั้นหากปวด ให้ใช้ความเย็น (อาทิเช่น น้ำเย็น น้ำแข็ง) ประคบทุเลาปวด
  • หลีกเลี่ยงการกินของกินที่บดยาก ในระยะเริ่มต้นๆควรกินอาหารอ่อน อาทิเช่น ข้าวต้ม ซุป
  • เลี่ยงการกินอาหารรสเปรี้ยว น้ำส้มคั้น น้ำมะนาวคั้น เพราะอาจทำให้ปวดเยอะขึ้น
  • ควรจะหยุดเรียนหรือหยุดงาน พักรักษาตัวที่บ้านจนกระทั่งจะหาย เพื่อคุ้มครองป้องกันการแพร่ระบาดให้คนอื่นๆ
  • พักผ่อนให้พอเพียง
  • ดื่มน้ำมากมายๆเมื่อไม่ได้เป็นโรคที่จำเป็นต้องจำกัดน้ำ
  • บ้วนปากด้วยน้ำเกลือเป็นประจำ
  • ควรรีบไปพบหมอเมื่อมีลักษณะอาการดังต่อไปนี้

o             ไข้สูง ตั้งแต่ 38 องศาเซลเซียส ขึ้นไป รวมทั้งไข้ไม่ลงด้านใน 2-3 ครั้งหน้าดูแลตัวเองในเบื้อง ต้น
o             ปวดต่อมน้ำลายมาก แล้วก็อาการปวดไม่ดีขึ้นหลังกินยาที่ช่วยบรรเทาอาการ
o             กินอาหาร และ/หรือกินน้ำได้น้อยหรือรับประทานมิได้เลย
o             ไข้สูงร่วมกับปวดศีรษะมาก คอแข็ง หรือเจ็บท้องมากมาย เพราะเป็นอาการเกิดจาผลกระทบ สอดแทรกดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว
การป้องกันตนเองจากโรคคางทูม

  • วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการเกิดโรคคางทูมนั้นในชุมชนและในโรงพยาบาล ได้แก่ การส่งเสริมให้มีระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสคางทูมสูงโดยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคางทูม (MMR) เด็กทุกคนต้องได้รับวัคซีน 2 โด๊ส โด๊สแรกที่อายุ 9-12 เดือน และโด๊สที่สองอายุ 4-6 ปี หากไม่มีประวัติการได้รับวัคซีนมาก่อนในกลุ่มเด็กโต นักศึกษา นักท่องเที่ยว บุคลากรทางการแพทย์ ควรได้รับวัคซีน 2 โด๊ส ในผู้ใหญ่ควรได้รับวัคซีนมาก่อน ควรได้รับวัคซีน 1 โด๊ส
  • หลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่ที่มีผู้คนแออัด ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคคางทูม ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ หรือชโลมมือด้วยแอลกอฮอล์เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่อาจติดมาจากการสัมผัส และอย่าใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะจมูก
  • ไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้ เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ โทรศัพท์ จานชาม ของเล่น ฯลฯ ร่วมกับผู้ป่วย และควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสมือโดยตรงกับผู้ป่วยที่เป็นโรคคางทูม
  • ไม่เข้าใกล้หรือนอนรวมกับผู้ป่วยที่เป็นโรคคางทูม แต่ถ้าจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดก็ควรสวมหน้ากากอนามัยและหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ให้สะอาดอยู่เสมอ
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน เพื่อให้มีสุขภาพแข็งแรง และเพื่อลดโอกาสติดเชื้อต่างๆ รวมทั้งเชื้อไวรัสคางทูม
สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/รักษาโรคคางทูม

  • พิษนาศน์ ชื่ออื่น  แผ่นดินเย็น นมราชสีห์ น้ำนมราชสีห์ ปันสะเมา พิษหนาด สิบสองราศี  ชื่อวิทยาศาสตร์ Sophora exigua Craib , Fabaceae  สรรพคุณ:   ตำรายาไทย ราก รสจืดเฝื่อนซ่า ต้มเอาน้ำดื่ม ขับพิษภายใน ขับน้ำ แก้คางทูม
  • ตะลิงปลิง ชื่อวิทยาศาสตร์ : Averrhoa bilimbi L. ชื่อสามัญ : Bilimbing  วงศ์ :   OXALIDACEAE สรรพคุณ : ยารักษาคางทูม วิธีและปริมาณที่ใช้ : ใช้ใบสด 1 กำมือ ตำให้ละเอียด ผสมน้ำเล็กน้อย พอกบริเวณที่บวม พอกวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เปลี่ยนยาใหม่ทุกครั้ง ชาวอินโดนีเซียนิยมใช้ยานี้มาก

    เอกสารอ้างอิง

  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.คางทูม.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 321.คอลัมน์ สารานุภาพทันโรค.มกราคม .2549
  • Enders JF, Cohen S, Kane LW. Immunity in mumps. The development of complement fixing antibody and dermal hypersensitivity in human beings following mumps. J Exp Med. 1945;81:119-35.
  • พญ.ฐิติอร ฤาชาฤทธิ์.พอ.วีระชัย วัฒนวีราเดช.วัคซีนป้องกันโรคางทุม.ตำราวัคซีน.สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศทไย.หน้า173-183
  • สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.สรุปรายงานการเฝ้าระวังโรค ปี พ.ศ.2552.นนทบุรี:สำนักฯ;
  • Kleiman MB. Mumps virus. In: Lennette EH, editor. Laboratory Diagnosis of Viral Infections, 2nd ed. New York: Marcel Dekker;1992. p. 549-66. http://www.disthai.com/[/b]
  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ “คางทูม (Mumps/Epidemic parotitis)”.หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป หน้า 407-410.
  • American Academy of Pediatrics. Mumps. In: Pickering LK, Baker CJ, Kimberlin DW, Long SS, editors. Red book.2009 Report of the Committee on Infectious Diseases. 28th ed. Elk Grove Village, IL: American Acedemy of Pediatric; 2009. p. 468-472.
  • Centers for Disease Control and Prevention(CDC). Updated recommendations for isolation of persons with mumps. MMWR Morb Mortal Wkly Rep. 2008;57:1103-5.
  • Johnson CD, Goodpasture EW. An investigation of the etiology of mumps. J Exp Med. 1934;59:1-19.
  • คางทูม-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม.(ออนไลน์)เข้าถึงได้
  • กลุ่มเฝ้าระวังสอบสวนทางระบาดวิทยา สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.สรุปสถานการณ์และองค์ความรู้จากการเฝ้าระวังและสอบสวนโรค MMR ปี พ.ศ.2552. นนทบุรี : สำนักฯ ;
  • พิษนาศน์.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
  • Habel K. Cultivation of mumps virus in the developing chick embryo and its application to the studies of immunity to mumps in man. Public Health Rep. 1945;60:201-12.
  • Baum SG, Litman N. Mumps virus. In Mandell GL. Bennett JE, Dolin R, editors. Mandell, Douglas and Bennett’s principles and practice of infectious disease. 7th ed. New York: Churchill Livingstone; 2010. p. 2201-6.
  • ตะลิงปลิง.กลุ่มยารักษาตา คางทูม แก้ปวดหู.สรรพคุณสมุนไพร200ชนิด.โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี.
  • Travis LW, Hecht DW. Acute and chronic inflammatory diseases of the salivary glands, diagnosis and management. Otolaryng Clin North Am. 1977;10:329-88.
  • Gershon, A. (2001). Mumps. In Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, D., Hausen, S., Longo, D.,andJamesson, J. Harrrison’s: Principles of internal medicine. (p 1147-1148). New York. McGraw-Hill.
29  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคกระดูกพรุน มีวิธีรักษาอย่างไรเเละมีสรรพคุณ-ประโยชน์อะไรบ้าง เมื่อ: พฤษภาคม 28, 2018, 05:08:27 pm

โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)
โรคกระดูกรุน เป็นอย่างไร โรคกระดูกพรุนโดยทั่วไปแล้ว คือสภาวะที่จำนวนธาตุ (ที่สำคัญคือแคลเซียม) ในกระดูกต่ำลง ร่วมกับความเสื่อมของเนื้อเยื่อที่ประกอบเป็นส่วนประกอบข้างในกระดูก ทำให้เนื้อหรือมวลกระดูกลดความหนาแน่น ก็เลยเปราะบางแตกหักง่าย บริเวณที่พบการหักของกระดูกได้บ่อยมาก ตัวอย่างเช่น ข้อมือ บั้นท้าย และก็สันหลัง  ส่วนคำจำกัดความของภาวะกระดูกพรุนหรือโรคกระดูกพรุน คือ สภาวะที่ความหนาแน่นของมวลกระดูก (bone mineral density : BMD) ต่ำลงซึ่งส่งผลให้กระดูกบอบบาง แล้วก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดกระดูกหักได้ง่าย โดยใช้ความหนาแน่นของมวลกระดูก เป็นมาตรฐานสำหรับในการวิเคราะห์สภาวะกระดูกพรุนที่องค์การอนามัยโลกได้ประกาศใช้ตั้งแต่ปี คริสต์ศักราช1994 โดยเปรียบเทียงค่า BMD ของคนเจ็บกับของวัยหนุ่มสาวที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงโดยใช้ค่า T-score เป็นมาตรฐาน คนที่มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation : SD) น้อยกว่า -2.5 วิเคราะห์ว่ามีสภาวะกระดูกพรุน ในตอนที่ค่า -1.0 ถึง -2.5 จัดว่ามีภาวะกระดูกบาง (osteopenia) แล้วก็ ค่ามากกว่า -1.0 จัดว่ากระดูกธรรมดา
โรคกระดูกพรุนเป็นโรคเรื้อรังที่มักพบในคนชรา โดยเฉพาะในเพศหญิงวัยหมดระดู (มักไม่ค่อยพบในเด็กรวมทั้งคนวัยหนุ่มวัยสาว ยกเว้นในเรื่องที่มีสภาวะปัจจัยเสี่ยง) โดยเพศหญิงมีโอกาสกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนสูงถึงปริมาณร้อยละ 30-40 ขณะที่ผู้ชายมีโอกาสจำนวนร้อยละ 13 โดย เพศหญิงช่วงอายุ 10 ปีแรกข้างหลังหมดรอบเดือน กระดูกจะบางลงเร็วมาก อธิบายได้ว่ามีต้นเหตุมาจากการที่ขาดฮอร์โมนเพศหญิงที่มีชื่อว่าเอสโตรเจน นอกจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนแล้ว ยังเป็นผลมาจากความเสื่อมตามวัยซึ่งพบได้อีกทั้งในผู้ชายและก็เพศหญิง  รวมทั้งเป็นโรคที่คนโดยมากมักละเลยเนื่องจากว่าจะไม่ออกอาการจนกระทั่งจะเกิดภาวะแทรก(การหักของกระดูกต่างๆได้แก่ กระดูกข้อมือ กระดูกบั้นท้าย กระดูกสันหลัง) ทำให้คนส่วนใหญ่มิได้รับการตรวจหรือรักษา อย่างทันทีทันควันจนกระทั่งเป็นเหตุให้เกิดการหักของกระดูกตามอวัยวะต่างๆตามที่กล่าวมา (โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดูกสะโพก)
                จากการคาดโดยประมาณขององค์การอนามัยโลก คาดว่าใน ค.ศ.2050 จะมีผู้ป่วยเนื่องด้วยกระดูกสะโพกหักมากถึง 6.25 ล้านคน ซึ่งมากขึ้นจากการรายงานในปี ค.ศ. 1990 ที่มีปริมาณผู้ป่วยเพียงแค่ 1.33 ล้านคน เนื่องจากภาวการณ์กระดูกพรุนมีความเกี่ยวเนื่องกับกระดูกสันหลังสถิติดังกล่าวก็เลยสะท้อนถึงจำนวนคนที่มีสภาวะกระดูกพรุนที่จะเพิ่มขึ้นอย่างเร็วในตอนศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในกรุ๊ปเอเชียซึ่งพบว่าในปริมาณพลเมือง
กระดูกบั้นท้ายหักทั่วโลกในปี ค.ศ.1990 จำนวนร้อยละ 30 เป็นชาวเอเชียรวมทั้งในปี 2050 คาดว่าชาวเอเชียจะราษฎรผู้ป่วยกระดูกสะโพกหักถึงจำนวนร้อยละ 50 ของประชากรโลกทั้งสิ้น
สำหรับประเทศไทย (ข้อมูลเมื่อปี 2555) ยังไม่มีการศึกษาถึงสถิติโรคกระดูกพรุนเป็นทุกปี แต่จากสถิติปริมาณสามัญชนผู้สูงวัยของประเทศไทยที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างเร็ว ก็เลยทำให้ความชุกของโรคกระดูกพรุนมากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น โดยยิ่งไปกว่านั้นในผู้ที่แก่ตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไปจะเจอโรคกระดูกพรุนได้มากกว่า 50% โดยพบสภาวะกระดูกพรุนรอบๆสันหลังส่วนเอว 15.7-24.7% รอบๆกระดูกบั้นท้าย 9.5-19.3% อุบัติการณ์ของกระดูกสะโพกหักในสตรีวัยหมดระดูที่แก่ตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปได้ปริมาณ 289 ครั้งต่อพลเมือง 1 แสนรายต่อปี
ต้นเหตุของโรคกระดูกพรุน เนื่องจากกระดูกประกอบด้วย โปรตีน คอลลาเจน และแคลเซียม โดยมีแคลเซียมฟอสเฟตเป็นตัวทำให้กระดูกแข็งแรง ทนต่อแรงดึงรั้ง กระดูกมีการสร้างและสลายตัวอยู่ตลอดระยะเวลา กล่าวคือ เวลาที่มีการสร้างกระดูกใหม่โดยใช้แคลเซียมจากอาหารที่รับประทานเข้าไป ก็มีการสลายแคลเซียมในเนื้อกระดูกเก่าออกมาในเลือดและก็ถูกขับออกมาทางฉี่รวมทั้งอุจจาระ ธรรมดาในเด็กจะมีการสร้างกระดูกมากกว่าการสลาย ทำให้กระดูกมีการเจริญวัย มวลกระดูกจะเบาๆเพิ่มขึ้นจนถึงมีความหนาแน่นสูงสุด เมื่ออายุราวๆ ๓๐-๓๕ ปี จากนั้นจะเริ่มมีการสลายกระดูกมากกว่าการผลิต ทำให้กระดูกค่อยๆบางตัวลงตามอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะ ในเพศหญิงระยะหลังวัยหมดประจำเดือน ซึ่งมีการลดน้อยลงของฮอร์โมนเอสโทรเจนอย่างรวดเร็ว ฮอร์โมนประเภทนี้ช่วยการดูดซึมแคลเซียมไปสู่ร่างกายแล้วก็ชะลอการสลายของแคลเซียมในเนื้อกระดูก เมื่อพร่องฮอร์โมนประเภทนี้ก็จะก่อให้กระดูกบางตัวลงอย่างรวดเร็ว กระทั่งเกิดภาวะกระดูกพรุน
ส่วนกลไกการเกิดกระดูกพรุนที่แน่นอนยังไม่รู้จัก แต่ในเบื้องต้นพบว่ามีเหตุมาจากการเสียสมดุลระหว่างเซลล์สร้างกระดูก (Osteoblast) และก็เซลล์ซับทำลายกระดูก (Osteoclast) ซึ่งการมีกระดูกที่แข็งแรงควรมีสมดุลระหว่างเซลล์ทั้งสองชนิดนี้เสมอ ซึ่งการเสียสมดุลเกิดได้จากหลายกรณีคือ

  • อายุ: อายุที่มากขึ้น เซลล์ต่างๆจึงเสื่อมลงและก็เซลล์สร้างกระดูก การสร้างกระดูกก็เลยน้อยลง แต่เซลล์ทำลายกระดูกยังทำงานได้ตามธรรมดาหรือบางทีอาจทำงานมากขึ้น
  • ฮอร์โมน - การลดระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ในผู้หญิง อย่างการเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ก็เป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้กระดูกพรุนรวมทั้งบอบบางลง ส่วนในเพศชายจะมีความเสี่ยงเกิดโรคกระดูกพรุนเมื่อมีการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (Testosterone) ลดลง
  • พันธุกรรม - คนที่มีเครือญาติสนิทสนมทางสายโลหิตที่มีประวัติมีอาการป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน ก็มีความเสี่ยงที่กำลังจะได้รับกรรมพันธุ์โรคดังที่กล่าวผ่านมาแล้วไปด้วย
  • ความผิดปกติในการทำงานของต่อมและอวัยวะต่างๆ- ตัวอย่างเช่น ต่อมไทรอยด์ ต่อมพาราไทรอยด์ ต่อมหมวกไต ไตและก็ตับดำเนินการเปลี่ยนไปจากปกติ
  • โรคและการเจ็บป่วย - ผู้เจ็บป่วยที่มีภาวการณ์กระดูกพรุนอาจเป็นเพราะเนื่องจากการเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆดังเช่น โรคที่เกี่ยวพันกับตับ ไต กระเพาะ ลำไส้อักเสบ โรคทางเดินอาหาร กรดไหลย้อน โรคความผิดปกติทางการกิน โรคภูมิแพ้ตัวเอง โรคแพ้กลูเตน โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคมะเร็งเม็ดเลือด โรคมะเร็งกระดูก
  • การบริโภค - ทานอาหารที่มีแคลเซียมไม่เพียงพอต่อสิ่งที่จำเป็นของร่างกายในการสร้างกระดูกแล้วก็การเติบโต ทานอาหารที่ทำให้แคลเซียมเสียสมดุล อย่างอาหารชนิดโปรตีนซึ่งได้มาจากเนื้อสัตว์ซึ่งมีความเป็นกรดสูง น้ำอัดลม ชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ รวมทั้งสูบบุหรี่
  • การใช้ยา - คนที่เจ็บไข้รวมทั้งจำเป็นต้องรักษาโดยใช้ยาบางชนิดต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาที่นานๆ ดังเช่น กลุ่มยาสเตียรอยด์ ก็มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนเหมือนกัน เนื่องจากตัวยาบางจำพวกจะออกฤทธิ์ไปรบกวนกรรมวิธีสร้างกระดูก ตัวอย่างเช่น ยาเพรดนิโซโลน (Prednisolone)
  • การใช้ชีวิตประจำวัน - การนั่งหรืออยู่ในอิริยาบถท่าใดท่าเดิมเป็นระยะเวลานาน หรือการขาดการบริหารร่างกายอย่างเพียงพอ

ลักษณะของโรคกระดูกพรุน จำนวนมากมักจะไม่มีอาการแสดง กระทั่งกำเนิดเปลี่ยนไปจากปกติของส่วนประกอบกระดูก ได้แก่ ปวดข้อมือ สะโพก หรือข้างหลัง (เหตุเพราะกระดูกข้อมือ บั้นท้าย หรือสันหลังแตกหัก) ความสูงต่ำลงจากเดิม (เนื่องมาจากการหักรวมทั้งยุบตัวของกระดูกสันหลัง ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้สึกตัว เป็นต้น) ถ้าเป็นโรคกระดูกพรุนจำพวกทุติยภูมิก็อาจมีอาการแสดงของโรคที่เป็นสาเหตุ
อีกทั้งคนที่เป็นโรคกระดูกพรุนจะเสี่ยงต่อการหักของกระดูกซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยชองสภาวะกระดูกพรุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง รวมทั้งกระดูกข้อมือ ซึ่งมีผลกระทบต่อการ
สูญเสียทั้งยังเศรษฐกิจของประเทศรวมทั้งคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย รวมทั้งโดยส่วนใหญ่จะมีเหตุมาจากอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรงหรือมีแรงชนต่ำ ได้แก่ กระดูกหักจากการเปลี่ยนท่ายืนหรือนั่ง, กระดูกหักขณะก้มจับของหรือยกของหนัก, กระดูกซี่โครงหักเพียงแค่ไอหรือจาม, กระดูกข้อมือหักจากการใช้มือกระทั่งถึงตัวเอาไว้จากการลื่นหรือหกล้ม, กระดูกสะโพกหักจากก้นกระแทกกับพื้น เป็นต้น
กระบวนการรักษาของโรคกระดูกพรุน เพราะภาวะกระดูกพรุนส่วนมากไม่ปรากฏอาการแสดงที่เปลี่ยนไปจากปกติจวบจนกระทั่งจะเกิดการหักของกระดูก และมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆเป็นต้นว่า ลักษณะของการปวดเกิดขึ้น การตรวจและก็วินิจฉัยการสูญเสียมวลกระดูกให้ได้ก่อนจะมีการหักของกระดูกจึงเป็นประเด็นสำคัญ โดยหมอจะวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน จากประวัติอาการ ประวัติป่วยไข้ต่างๆประวัติการออกกำ ลังกาย อายุ การตรวจร่างกาย แล้วก็จะกระทำการวินิจฉัยด้วยการเอกซเรย์กระดูก ตรวจความหนาแน่นของกระดูก (bone mineral density)  แล้วนำค่าที่ได้ไปเปรียบเทียบกับค่าธรรมดาในเพศและอายุช่วงเดียวกัน หากกระดูกมีค่ามวลกระดูกน้อยกว่า 1.00 gm/cm2 จะได้โอกาสกระดูกหักได้ง่าย ซึ่งการแบ่งกระดูกตามค่ามวลกระดูกจะแบ่งได้เป็น 4 ประเภท ดังต่อไปนี้

  • กระดูกปกติ (Normal bone) คือ กระดูกมีค่ามวลกระดูกอยู่ในช่วง 1 ความเบี่ยงเบนมาตรฐานจากค่าเฉลี่ย (-1 SD)
  • กระดูกบาง (Osteopenia)หมายถึงกระดูกมีค่ามวลกระดูกอยู่ระหว่างตอน -2.5 ความเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ต่ำกว่าค่าถัวเฉลี่ย (-1 ถึง -2.5 SD )
  • กระดูกพรุน (Osteoporosis)หมายถึงกระดูกที่มีค่ามวลกระดูกอยู่ต่ำลงยิ่งกว่าค่าถัวเฉลี่ยเกินกว่า 2.5 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (ต่ำยิ่งกว่า -2.5 SD)
  • กระดูกพรุนอย่างหนัก (Severe or Established osteoporosis)เป็นกระดูกที่มีค่ามวลกระดูกอยู่น้อยกว่าค่าถัวเฉลี่ยมากยิ่งกว่า 2.5 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานร่วมกับการมีกระดูกหัก

การตรวจด้วย dual-energy x-ray absorptiometry (DEXA) ได้รับการยินยอมรับว่าเป็นขั้นตอนการตรวจที่เป็นมาตรฐาน (gold standard) มีความถูกต้องแน่ใจแม่นยำที่สุดสำหรับเพื่อการวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกแม้จะสูญเสียมวลกระดูกไปเพียงแค่ร้อยละ  1 ก็ตาม กระบวนการรักษาโรคกระดูกพรุนเป็น เพิ่มหลักการทำงานของเซลล์สร้างกระดูกแล้วก็หยุดหรือลดรูปแบบการทำงานของเซลล์ทำลายกระดูก
โดยแพทย์จะมีแนวทางการดูแลรักษาคนที่มีภาวะกระดุพรุน ดังนี้

  • สำหรับคนเจ็บที่มีกระดูกพรุน โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะให้รับประทานแคลเซียม ยกตัวอย่างเช่น แคลเซียมคาร์บอเนต ครั้งละ ๖๐๐-๑,๒๕๐ มิลลิกรัม วันละ ๒ ครั้ง แล้วก็บางทีอาจให้วิตามินดีวันละ ๔๐๐-๘๐๐ มิลลิกรัม ร่วมด้วยในรายที่อยู่แต่ว่าในร่ม (มิได้รับแสงแดด) ตลอดระยะเวลา
  • สำหรับหญิงหลังวัยหมดประจำเดือน หมอบางทีอาจพิเคราะห์ให้ฮอร์โมนเอสโทรเจนทดแทน ตัวอย่างเช่น conjugated equine estrogen (ชื่อทางการค้า เช่น Premalin) ๐.๓-๐.๖๒๕ มก. หรือ micronized estradiol ๐.๕-๑ มิลลิกรัม วันละครั้ง ในรายที่มีข้อบังคับใช้หรือมีผลใกล้กันมากมาย บางทีอาจให้ราล็อกสิฟิน (raloxifene) แทนในขนาดวันละ ๖๐-๑๒๐ มก. ยานี้ออกฤทธิ์เหมือนเอสโทรเจน แต่ส่งผลใกล้กันน้อยกว่า
  • สำหรับเพศชายชราที่มีภาวการณ์ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนร่วมด้วย อาจจะต้องให้ฮอร์โมนจำพวกนี้เสริม
นอกเหนือจากนี้ บางทีอาจพิเคราะห์ให้ยากระตุ้นการดูดซึมแคลเซียม และ/หรือยาลดการสลายกระดูกเสริมเติมแก่คนป่วยบางราย อย่างเช่น

  • ยากลุ่มบิสฟอสโฟเนต (bisphosphonate) ที่นิยมใช้ได้แก่ อะเลนโดรเนต (alendronate) ๑๐ มิลลิกรัม ให้กินวันละ ๑ ครั้ง หรือ ๗๐ มก. สัปดาห์ละ ๑ ครั้ง ยานี้ช่วยลดการสลายกระดูก และก็เพิ่มความหนาแน่นของกระดูก คุ้มครองปกป้องการแตกหักของกระดูกสันหลังรวมทั้งบั้นท้าย เหมาะกับคนไข้ชาย คนเจ็บหญิงที่มิได้รับฮอร์โมนชดเชย และใช้ป้องกันภาวการณ์กระดูกพรุนในผู้ที่จำเป็นต้องรับประทานยาสตีรอยด์นานๆ
  • แคลสิโทนิน (calcitonin) มีอีกทั้งจำพวกพ่นจมูกแล้วก็ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ยานี้ช่วยลดการสลายกระดูก และก็มีประโยชน์สำหรับเพื่อการใช้ลดอาการปวด เนื่องจากการแตกหักและก็ยุบของกระดูกสันหลังอีกด้วย

คนไข้จำเป็นต้องใช้ยาเป็นประจำ หมอจะนัดมาตรวจเป็นระยะ อาจจำต้องทำการตรวจกรองมะเร็งเต้านมแล้วก็ปากมดลูก (สำหรับคนที่กินเอสโทรเจน) ปีละ ๑ ครั้ง ตรวจความหนาแน่นของกระดูกทุก ๒-๓ ปี เอกซเรย์ในรายที่สงสัยมีกระดูกหัก ฯลฯ
ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน เป็นต้นว่า กระดูกหัก ก็ให้การรักษา ดังเช่นว่า การเข้าเฝือก การผ่าตัด การทำกายภาพบำบัด เป็นต้น
ในรายที่มีโรคหรือสภาวะที่เป็นต้นเหตุของโรคกระดูกพรุนจำพวกทุติยภูมิ ก็ให้การรักษาไปพร้อมๆกัน
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะก่อเกิดโรคกระดูกพรุน ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อเกิดโรคกระดูกพรุนนั้น ปัจจัยเสี่ยงอยู่ 2 ประเภทเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงได้ และก็ ปัจจัยเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงมิได้ (ตารางที่ 1) ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงหลายเหตุก็จะมีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุน และก็จะได้โอกาสสูงที่จะกำเนิดกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดภาวะกระดูกพรุน
ปัจจัยที่แก้ไขไม่ได้            ต้นสายปลายเหตุที่ปรับแต่งได้

  • อายุ(คนวัยชรา 65 ปีขึ้นไป)
  • เพศ (หญิง)
  • เชื้อชาติ (ชาวผิวขาวหรือชาวเอเชีย)
  • พันธุกรรม (ประวัติคนภายในครอบคัวโดยเฉพาะแม่)
  • รูปร่างเล็ก ผอม บาง
  • หมดประจำเดือน ก่อนอายุ 45
  • มีพยาธิสภาพที่ต้องผ่าตัดเอารับไขทั้ง 2 ข้างออกก่อนหมดประจำเดือน
  • เคยกระดูกหักจากภาวะกระดูกเปราะบาง •             ขาดฮอร์โมนเพศ : estrogen
  • หมดประจำเดือน
  • กินแคลเซียมน้อย บริโภคโซเดียมคลอไรด์รวมทั้งเนื้อสัตว์สูง
  • สูบบุหรี่ กินเหล้า ดื่มกาแฟ
  • ขาดการออกกำลังกาย
  • ได้รับยาบางประเภท เช่น glucocorticosteroids และ thyroid hormone ฯลฯ
  • เป็นโรคบางจำพวก ยกตัวอย่างเช่น chronic illness, kidney disease , hyperthyroidism , แล้วก็ Cushing’s syndrome เป็นต้น
  • มี BMI (ดรรชนีมวลกาย)ต่ำลงยิ่งกว่า 19 กก./ตารางเมตร

การติดต่อของโรคกระดูกพรุน โรคกระดูกพรุนเป็นโรคที่ร่างกายมีสภาวะที่ความหนาแน่นของมวลกระดูกลดต่ำยิ่งกว่าค่ามาตรฐาน ซึ่งเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากกลไกการสลายตัวของเซลล์สร้างกระดูก ส่งผลให้ความสมดุลของเซลล์สร้างกระดูกและเซลล์ซับทำลายกระดูกสูญเสียไป ซึ่งมีมากไม่น้อยเลยทีเดียวหลายสาเหตุ แม้กระนั้นโรคกระดูกพรุนนี้ไม่ใช่โรคติดต่อเพราะเหตุว่าไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนอะไร
การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน

  • รับประทานวิตามินเกลือแร่เสริมอาหาร หรือยาต่างๆตามแพทย์แนะนำ
  • การกินของกินมีคุณประโยชน์ 5 หมู่ครบถ้วนวันแล้ววันเล่าในปริมาณเหมาะเจาะที่
  • บริหารร่างกายสม่ำเสมอพอควรกับสุขภาพ
  • เลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่เลี่ยงได้
  • ไปพบหมอจากที่แพทย์นัดเป็นประจำ
  • หมั่นดูแลความมีระเบียบเรียบร้อยในบ้าน รวมถึงไม่วางของขวางตามทางเดินที่อาจก่อให้ลื่นล้มหรือเกิดการชนจนทำให้กระดูกหักได้
การป้องกันตนเองจากโรคกระดูกพรุน

  • ผู้ที่อยู่ในกรุ๊ปเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุนตามที่กล่าวมา ควรขอความเห็นแพทย์เพื่อตรวจกรองโรคกระดูกพรุน ได้แก่ หญิงวัยหมดประจำเดือน, ผู้สูงวัย, คนที่ใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานานๆ, ผู้ที่มีโรคที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวการณ์กระดูกพรุน ฯลฯ
  • กินแคลเซียมให้พอเพียงทุกวี่วันให้พอเพียงต่อความต้องการของร่างกาย(ดังตารางดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว)

อายุจำนวนแคลเซียมที่อยาก (mg/day)
ทารก – 6 เดือน
6 เดือน – 1 ปี
1 ปี – 5 ปี
6 ปี – 10 ปี
11 ปี – 24 ปี
ผู้ชาย
25 ปี – 65 ปี
มากกว่า 65 ปี
เพศหญิง
25 ปี – 50 ปี
มากกว่า 50 ปี (หลังวัยหมดประจำเดือน)
 
อายุ        400
600
800
800-1200
1200-1500
1000
1500 
1000
 
 
จำนวนแคลเซียมที่อยากได้ (mg/day)
  -ได้รับการดูแลและรักษาด้วย estrogen
  - ไม่ได้รับการดูแลและรักษาด้วย estrogen
อายุมากกว่า 65 ปี
ระหว่าตั้งท้อง หรือให้นมบุตร            1000
1500
1500
1200-1500
โดยของกินที่มีแคลเซียมสูง เป็นต้นว่า นม เนยแข็ง ปลาที่กินได้อีกทั้งกระดูก (ยกตัวอย่างเช่น ปลาไส้ตัน) กุ้งแห้ง เต้าหู้แข็ง ถั่วแดง ผักสีเขียวเข้ม (ดังเช่น คะน้า ใบชะพู) งาดำคั่ว
ทางปฏิบัติ สำหรับเด็กและก็วัยรุ่นควรดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว คนแก่รวมทั้งผู้สูงอายุดื่มนมวันละ 1-2 แก้วเสมอๆ จะมีผลให้ได้รับแคลเซียมร้อยละ 50 ของปริมาณที่อยาก ส่วนแคลเซียมที่ยังขาดให้กินจากอาหารแหล่งอื่นๆประกอบ
ผู้ใหญ่บางบุคคลที่มีข้อจำกัดสำหรับการดื่มนม (เช่น มีสภาวะไขมันในเลือดสูง อ้วน เป็นโรคเบาหวาน ความดันเลือดสูง โรคหัวใจขาดเลือด) ให้เลือกกินเนยแข็ง นมเปรี้ยว นมพร่องมันเนย แทน หรือบริโภคของกินที่มีแคลเซียมสูงในแต่ละมื้อให้มากขึ้นเรื่อยๆ

  • บริหารร่างกายเสมอๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกกำลังที่มีการถ่วงหรือต่อต้านน้ำหนัก (weight bearing) อย่างเช่น การเดิน การวิ่ง เต้นแอโรบิก กระโดดเชือก รำมวยจีน เต้นรำ เป็นต้น ร่วมกับการกีฬายกน้ำหนัก จะช่วยให้มีมวลกระดูกเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งกระดูกมีความแข็งแรง แขน ขา และก็กระดูกสันหลัง
  • รักษาน้ำหนักตัวอย่าให้น้อยกว่าเกณฑ์ (ซูบผอมเหลือเกิน) เพราะเหตุว่าคนซูบผอมจะมีมวลกระดูกน้อย มีความเสี่ยงต่อกระดูกพรุนได้
  • รับแสงอาทิตย์ ช่วยทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดี ซึ่งเป็นฮอร็ความนิ่งกระตุ้นการสร้างกระดูก ในบ้านพวกเราคนส่วนมากจะได้รับแสงแดดเพียงพออยู่แล้ว เว้นแต่ในรายที่อยู่แต่ในบ้านตลอดเวลา ก็ควรจะออกไปรับแสงแดดอ่อนๆตอนเช้าหรือยามเย็น วันละ 10-15 นาที สัปดาห์ละ 3 วัน ถ้าอยู่แม้กระนั้นในที่ร่ม ไม่ถูกแดด บางทีอาจจะต้องรับประทานวิตามินดีเสริมวันละ 400-800 มก.
  • หลบหลีกพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะกระดูกพรุน ยกตัวอย่างเช่น
  • ไม่กินอาหารชนิดโปรตีนหรือเนื้อสัตว์มากเกินความจำเป็น เพราะเหตุว่าอาหารเหล่านี้จะกระตุ้นให้ไตขับแคลเซียมออกทางเยี่ยวมากเกินปกติ
  • อดอาหารเค็มจัดหรืออาหารที่มีโซเดียมสูง เนื่องจากเกลือโซเดียมจะมีผลให้ลำไส้ดูดซับแคลเซียมได้น้อยลง รวมทั้งเพิ่มการขับแคลเซียมทางไตมากยิ่งขึ้น
  • ไม่ดื่มน้ำอัดลมปริมาณมาก เพราะเหตุว่ากรดฟอสฟอริกในน้ำอัดลมส่งผลให้เกิดการสลายแคลเซียมออกมาจากกระดูกมากเพิ่มขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ ช็อกโกแลต ในจำนวนมาก เนื่องจากว่าแอลกอฮอล์และก็คาเฟอีนในเครื่องดื่มเหล่านี้จะกีดกันการดูดซึมแคลเซียมของลำไส้เล็ก (กาแฟไม่สมควรดื่มเกินวันละ ๓ แก้ว แอลกอฮอล์ไม่เกินวันละ ๒ หน่วยดื่ม ซึ่งเทียบเท่าแอลกอฮอล์สุทธิ ๓๐ มิลลิลิตร)
  • งดเว้นการสูบยาสูบ เพราะว่าบุหรี่ทำให้มีการเกิดการสลายแคลเซียมออกจากกระดูกเยอะขึ้น (เพราะเหตุว่าลดระดับเอสโทรเจนในเลือด)
  • ระวังการใช้ยาบางประเภท ได้แก่ ยาสตีรอยด์ ซึ่งจะเร่งการขับแคลเซียมออกมาจากร่างกาย
  • รักษาโรคหรือภาวะที่ทำให้เป็นโรคกระดูกพรุน ตัวอย่างเช่น ต่อมไทรอยด์ปฏิบัติงานเกิน โรคระอุชชิง
สมุนไพรที่ช่วยปกป้อง / รักษาโรคกระดูกพรุน
เพชรสังฆาต ชื่อวิทยาศาสตร์ Cissus guadrangu laris L. วงศ์ Vitaceae "เพชรสังฆาต" เป็นสมุนไพรที่ใช้บำรุงกระดูกมาตั้งแต่อดีตกาล ในพระคัมภีร์สรรพลักษณะ เอ๋ยถึงสรรพคุณของ "เพชรสังฆาต" ไว้ว่า "เพชรสังฆาต แก้จุกเสียด แก้บิด แก้ปวดในข้อในกระดูก ชอบแก้ลมทั้งสิ้นแล" ในตำราเรียนหมอแผนโบราณทั่วๆไป สาขาเภสัชกรรม ของกองประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า "เพชรสังฆาต" มีคุณประโยชน์ แก้กระดูกแตก หัก ซ้น ขับลมในลำไส้ แก้ริดสีดวงทวารหนัก ส่วนแพทย์ประจำถิ่นนั้นใช้เถาตำละเอียดเป็นยาพอกรอบๆกระดูกหักช่วยลดอาการบวม อักเสบได้
ปัจจุบันนี้ได้มีงานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยพบว่า "เพชรสังฆาต" มีวิตามินซีสูงมากซึ่งรับรองคุณประโยชน์รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน อุดมด้วยแคโรทีนซึ่งเป็นสารเริ่มต้นของวิตามินเอ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ที่สำคัญมีองค์ประกอบของแคลเซียมสูงมาก รวมถึงสารอที่นาโบลิก สเตียรอยด์ (Anabolic  Steroids) มีฤทธิ์เร่งปฏิกิริยาการสมานกระดูกที่แตกหักโดยกระตุ้นการสร้างเซลล์ออสเตโอบลาสต์ (Osteoblast) ซึ่งทำหน้าที่สร้างกระดูกและก็ยังช่วยให้มีการสร้างสารไม่ววัวโพลีแซกค้างไรด์ (Mucopolysaccharides) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในขั้นตอนการสมานกระดูก นอกจากนี้สารคอลลาเจน (Collagen) ในเพชรสังฆาตยังเป็นสารอินทรีย์โปรตีนที่มาจับกุมตัวกับผลึกแคลเซียมฟอสเฟตกระทั่งเปลี่ยนเป็นกระดูกแข็งที่สามารถรับน้ำหนักและมีความยืดหยุ่นในตนเอง
ผลของการตรวจสอบและลองใช้เถาเพชรสังฆาตในสตรีวัยทองซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดภาวะกระดูกพรุน พบว่าช่วยเพิ่มมวลกระดูกและรักษากระดูกแตก กระดูกหักได้
ฝอยทอง ชื่อวิทยาศาสตร์ Cuscuta chinensis Lam. ตระกูล Convlvulaceae ในประเทศจีนแล้วก็บางประเทศในแถบเอเชีย ได้มีการใช้เมล็ดฝอยทองในการรักษโรคกระดูกพรุน[/url] จากการวิเคราะห์ทางเคมีพบว่า สารประกอบที่แยกได้จากสารสกัดเอทานอลเป็นสารในกลุ่ม astragalin, flavonoids, quercetin, hyperoside isorhamnetin และ kaempferol เมื่อนำมาทดลองฤทธิ์พบว่าสาร kaempferol แล้วก็ hyperoside สามารถเพิ่มฤทธิ์ของ alkaline phosphatase (ALP) ในเซลล์ osteoblast-like UMR-106 โดยที่ ALP เป็นตัวบ่งชี้สำหรับในการเพิ่มการผลิตเซลล์กระดูกของเซลล์ขึ้นต้น และสาร astragalin ยังกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ UMR-106
ด้วย ส่วนสารอื่นๆไม่พบว่ามีฤทธิ์ดังกล่าว นอกเหนือจากนี้ยังพบว่าสารที่แยกได้มีฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจน โดยสาร quercetin, kaempferol รวมทั้ง isorhamnetin ออกฤทธิ์กระตุ้น ERβ (estrogen receptor agonist) แม้กระนั้นเมื่อเปรียบเทียบกันในทางของการกระตุ้น ER จะมีเพียงแต่สาร quercetin แล้วก็ kaempferol ที่ออกฤทธิ์แรงในการยับยั้งตัวรับ estrogen จำพวก ERα/β โดยที่กลไกดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นคาดว่าจะเปรียบเทียบกับยา raloxifene ที่ออกฤทธิ์กระตุ้น ER ที่รอบๆกระดูก ไขมัน หัวใจแล้วก็เส้นโลหิต แต่ว่าออกฤทธิ์ยับยั้ง ER ที่บริเวณเต้านมรวมทั้งมดลูก
ยิ่งไปกว่านี้สาร quercetin รวมทั้ง kaempferol ยังกระตุ้นการแสดงออกของ ERα/β-mediated AP-1 reporter (activator protein) ซึ่งเป็นโปรตีนที่เกี่ยวกับการผลิตกระดูก เหมือนกันกับยา raloxifene จากการทดลองทั้งหมดทั้งปวงทำให้สรุปได้ว่าเม็ดฝอยทองคำมีประสิทธิภาพสำหรับเพื่อการรักษาโรคกระดูกพรุน และก็สารสำคัญที่มีฤทธิ์สำหรับในการสร้างเซลล์กระดูกคือ kaempferol และก็ hyperoside
เอกสารอ้างอิง

  • สุภาพ อารีเอื้อ,สินจง โปธิบาล .ภาวะกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ : ทำไมต้องรอจนกระดูกหัก? .รามาธิบดีพยาบาลสาร.ปีที่7.ฉบับที่3.กันยายน-ธันวาคม.2544 หน้า 208-218
  • Liscum B. Osteoprosis : The silent disease. Orthopaedic Nursing 1992; 11:21-5.
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  • Gaisworthy TD & Wilson PL. Osteoporosis it steais more than bone, AJN 1996;
30  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรตกรดไหลย้อนที่เราเจอกันบ่อยๆ มีสรรพคุณเเละประโยชน์เเละวิธีรักษาดังนี้ เมื่อ: พฤษภาคม 28, 2018, 04:31:18 pm

โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal reflux disease : GERD)
โรคกรดไหลย้อนคืออะไร 
โรคกรดไหลย้อน” (Gastroesophageal reflux disease ,GERD) เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการไหลย้อนของกรด (น้ำย่อย) ในกระเพาะกลับไปที่หลอดของกิน ซึ่งปกติร่างกายของพวกเราจะมีการไหลย้อนของกรดในกระเพาะอาหารขึ้นไปในหลอดอาหารอยู่บ้าง โดยยิ่งไปกว่านั้นหลังรับประทานอาหารแต่ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีจำนวนกรดที่ย้อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆหรือย้อนบ่อยครั้งกว่าผู้ที่ไม่เป็นโรค หรือหลอดของกินมีความไวประมือดมากขึ้นแม้ว่าจะมีปริมาณกรดที่ย้อนขึ้นไปไม่มากกว่าธรรมดา นำมาซึ่งการทำให้มีลักษณะอาการระคายบริเวณคอ แล้วก็แสบอกหรือจุกเสียดรอบๆใต้ลิ้นปี่ แล้วก็มีลักษณะอาการท้องอืดท้องเฟ้อร่วมด้วย คล้ายๆกับลักษณะโรคกระเพาะอาหาร ทำให้คนส่วนมากเข้าใจผิดว่าเป็นโรคกระเพาะ รวมทั้งไปซื้อยาลดกรด (antacids)  ที่มีจัดจำหน่ายตามตลาดมารับประทานเพื่อทุเลาอาการ ซึ่งเป็นการรักษาที่ไม่ตรงจุด จึงพบว่าในขณะนี้มีผู้ป่วยมาเจอแพทย์ด้วยโรคกรดไหลย้อนเพิ่มสูงมากขึ้น  รวมทั้งถ้าเกิดปล่อยให้เกิดอาการเรื้อรังแล้วก็รักษาด้วยการใช้วิธีที่ผิดต้อง อาจทำให้เกิดการเกิดหลอดของกินอักเสบ แผลที่หลอดอาหาร หรือหลอดอาหารตีบ ซึ่งบางทีอาจเพิ่มการเสี่ยงสำหรับการเกิดโรคมะเร็งหลอดอาหารได้
นอกจากนั้นยังสามารถจัดชนิดและประเภทของโรคกรดไหลย้อนได้เป็น 2 จำพวก คือ

  • โรคกรดไหลย้อนธรรมดา หรือ CLASSIC GERD ซึ่งกรดที่ไหลย้อนขึ้นมาจะอยู่ข้างในหลอดอาหาร ไม่ไหลย้อนเกินกล้ามหูรูดของหลอดอาหารส่วนบน ส่วนมากจะมีลักษณะของหลอดอาหารเพียงแค่นั้น
  • โรคกรดไหลย้อนขึ้นมาที่คอและก็กล่องเสียง (Laryngopharyngeal Reflux : LPR) หมายความว่าโรคที่มีลักษณะทางคอและกล่องเสียง ซึ่งเกิดจากการไหลถอยกลับของกรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะขึ้นมาเหนือกล้ามหูรูดของหลอดของกินส่วนบนอย่างไม่ปกติ ทำให้มีการเกิดลักษณะของคอแล้วก็กล่องเสียง จากการระคายเคืองของกรด

ซึ่งโรคกรดไหลย้อนนี้ เป็นโรคที่พบได้โดยประมาณ 10-15% ของผู้ที่มีลักษณะของกินไม่ย่อย (Syspepsia) แล้วก็มักพบในผู้หญิงแล้วก็ในผู้ชาย โดยพบได้ใกล้เคียงกัน เป็นโรคที่พบได้ในทุกช่วงอายุ ตั้งแต่ทารกไปจนถึงผู้สูงวัย แต่เจออัตราเกิดสูงขึ้นในอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป รวมทั้งเจอได้สูงสุดในช่วงอายุ 60 - 70 ปีขึ้นไป มีกล่าวว่าประเทศแถมตะวันตกพบโรคนี้ได้ราว 10 - 20% ของราษฎรเลยทีเดียว
สาเหตุของโรคกรดไหลย้อน
โรคกรดไหลย้อนมีต้นเหตุที่เกี่ยวข้องกับความไม่ปกติ ของการทำหน้าที่ของกล้ามหูรูดที่อยู่ตรงข้างล่างของหลอดของกิน (lower esophageal sphincter, LES) ในคนปกติขณะกลืนอาหารหูรูดนี้จะคลายตัวเพื่อเปิดช่องให้อาหารไหลผ่านเข้าสู่กระเพาะของกิน เมื่ออาหารผ่านลงกระเพาะอาหารจนหมดแล้วหูรูดนี้จะหดรัดเพื่อขัดขวางไม่ให้น้ำย่อย (ซึ่งเป็นกรดเกลือ) ที่อยู่ในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดของกิน
แต่ว่าคนที่เป็นโรคกรดไหลย้อน พบว่ากล้ามเนื้อหูรูดตรงข้างล่างของหลอด อาหารนี้หย่อนสมรรถนะ ทำให้มีน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดอาหารมากยิ่งกว่าธรรมดา (คนทั่วๆไปหลังรับประทานข้าวอาจมีน้ำย่อยไหลย้อนได้ 1-4 ครั้ง ซึ่งไม่นำไปสู่อาการ) ก่อให้เกิดอาการผิดปกติ และการอักเสบของเยื่อบุหลอด อาหารได้
ส่วนต้นสายปลายเหตุที่ทำให้หูรูดดังที่กล่าวถึงแล้วดำเนินการแตกต่างจากปกติยังไม่เคยทราบแจ่มชัด แต่ว่าเชื่อว่าอาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากความเสื่อมถอยตามอายุ (พบในคนอายุมากกว่า 40 ปี) หรือหูรูดยังเจริญไม่เต็มกำลัง (พบในทารก) หรือมีความผิดปกติที่เป็นมาโดยกำเนิด
ยิ่งไปกว่านี้การกระทำในชีวิตประจำวัน หรือโรคบางชนิดมีส่วนกระตุ้นการทำงานของหลอดของกินให้เกิดความแตกต่างจากปกติได้ หรือทำให้กระเพาะหลั่งกรดในจำนวนมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น นอนหลังรับประทานอาหารโดยทันที รับประทานอาหารปริมาณมากภายในมื้อเดียว อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ การกระทำต่างๆดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นเหล่านี้ล้วนนำมาซึ่งสภาวะกรดไหลย้อนได้ง่ายมากยิ่งขึ้นด้วยเหมือนกัน
อาการของโรคกรดไหลย้อน  ลักษณะของคนไข้นั้นขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ถูกเคืองโดยกรด ดังเช่น

  • อาการทางคอหอยและก็หลอดของกิน
  • อาการปวดแสบร้อนรอบๆทรวงอก แล้วก็ลิ้นปี่ (Heartburn) ข้างหลังรับประทานอาหาร 30-60 นาที หรือข้างหลังรับประทานอาหารแล้วล้มตัวลงนอนราบ นั่งขดตัว โค้งตัวลงต่ำ คาดเข็มขัดแน่น หรือใส่กางเกงคับเอว มักมีอาการมากยิ่งกว่า 2 ครั้งต่ออาทิตย์และก็อาการเป็นๆหายๆเรื้อรัง แต่ละครั้งมักปวดอยู่นาน 2 ชั่วโมงแล้วก็บางคราวอาจเจ็บปวดรวดร้าวไปที่บริเวณคอได้
  • รู้สึกคล้ายมีก้อนอยู่ในคอ หรือแน่นคอ
  • กลืนลำบาก กลืนเจ็บ หรือกลืนติดขัดคล้ายสะดุดสิ่งแปลกปลอมในคอ
  • เจ็บคอ แสบคอหรือปาก หรือแสบลิ้นเรื้อรัง โดยยิ่งไปกว่านั้นในรุ่งอรุณ
  • รู้สึกราวกับมีรสขมของน้ำดี หรือรสเปรี้ยวของกรดในคอหรือปาก (bile or acid regurgitation)
  • มีเสมหะอยู่ในลำคอ หรือระคายคอตลอดเวลา
  • เรอบ่อยครั้ง อ้วก เหมือนมีของกิน หรือน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นมาในอก หรือคอ
  • รู้สึกจุกแน่นอยู่ในทรวงอก คล้ายของกินไม่ย่อย (dyspepsia)
  • มีน้ำลายมากมายเปลี่ยนไปจากปกติ มีกลิ่นปาก เสียวฟัน หรือมีฟันผุได้
  • อาการทางกล่องเสียง แล้วก็หลอดลม
  • เสียงแหบเรื้อรัง หรือ แหบเฉพาะตอนรุ่งเช้า หรือมีเสียงไม่ดีเหมือนปกติไปจากเดิม
  • ไอเรื้อรัง โดยยิ่งไปกว่านั้นหลังรับประทานอาหารหรือขณะนอน
  • ไอ หรือ รู้สึกสำลักน้ำลาย หรือหายใจไม่ออกในค่ำคืน
  • กระแอมไอบ่อย
  • อาการหอบหืดที่เคยเป็นอยู่ (ถ้าเกิดมี) แย่ลง หรือเปล่าดียิ่งขึ้นจากการใช้ยา
  • เจ็บหน้าอก (non – cardiac chest pain)
  • เป็นโรคปอดอักเสบ เป็นๆหายๆ
  • อาการทางจมูก รวมทั้งหู
  • คัน จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล หรือมีน้ำมูก หรือเสลดไหลลงคอ
  • หูอื้อเป็นๆหายๆหรือปวดหู
  • บางรายอาจมาพบแพทย์ด้วยภาวะแทรกซ้อน ดังเช่นว่า มีลักษณะกลืนของกินแข็งลำบาก ด้วยเหตุว่าปล่อยให้เกิดภาวะหลอดอาหารอักเสบเรื้อรังจนกระทั่งตีบตัน
  • ส่วนในทารกบางทีอาจเป็นโรคกรดไหลย้อนตั้งแต่ต้นกำเนิดได้ เพราะหูรูดส่วนล่างของหลอดอาหารยังรุ่งเรืองไม่เต็มกำลัง เด็กแบเบาะก็เลยมักมีลักษณะอาการงอแง ร้องกวน อาเจียนหลายครั้ง ไอบ่อยมากกลางคืน เสียงแหบ หรือหายใจมีเสียงวี้ด ไม่อยากอาหาร น้ำหนักตัวไม่ขึ้น เด็กแรกเกิดบางรายบางทีอาจสำลักน้ำย่อยเข้าปอดทำให้ปอดอักเสบ ซึ่งบางทีอาจกำเริบเสิบสานได้หลายครั้ง แต่อาการชอบหายไปเมื่ออายุได้ราวๆ 6-12 เดือน แต่ว่าบางรายก็อาจรอคอยจนกระทั่งเข้าสู่วัยรุ่นอาการจึงจะดียิ่งขึ้น
ขั้นตอนการรักษาโรคกรดไหลย้อน
แพทย์วินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนได้จาก เรื่องราวอาการ การตรวจคอ การตรวจร่างกาย การตรวจภาพปอดด้วยเอกซเรย์แยกจากโรคปอดต่างๆการส่องกล้องตรวจกล่องเสียง หลอดของกิน กระเพาะ แล้วก็ลำไส้ รวมทั้งอาจตัดชิ้นเนื้อในรอบๆที่ไม่ดีเหมือนปกติเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา เพื่อแยกจากโรคมะเร็งหลอดของกิน รวมทั้งอาจมีการตรวจวิธีเฉพาะอื่นๆเสริมเติม ตัวอย่างเช่น ตรวจวัดสภาวะความเป็นกรดของหลอดของกินในขณะส่องกล้อง ดังนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของหมอ ดังเช่นว่า การเอกซเรย์กลืนสารทึบแสง, การตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์, การตรวจการบีบตัวของหลอดของกิน ฯลฯ
แต่โดยส่วนมากแล้ว แพทย์ชอบวินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนจากอาการแสดงก็เพียงพอต่อการวินิจฉัยโรคแล้ว ซึ่งอาการแสดงที่พบบ่อย อย่างเช่น อาการแสบลิ้นปี่ จุกแน่นยอดอก แล้วก็เรอเปรี้ยวหลังทานอาหารที่เป็นตัวกระตุ้น หรือมีความประพฤติปฏิบัติที่เป็นเหตุกำเริบเสิบสาน แม้กระนั้นในรายที่ไม่แน่ชัดบางทีอาจจำเป็นต้องทำการตรวจพิเศษ (ซึ่งพบได้ไม่บ่อย)
กรรมวิธีการรักษาโรคกรดไหลย้อน

  • การเปลี่ยนแปลงนิสัย รวมทั้งการดำนงชีพทุกวัน (lifestyle modification) การดูแลรักษาแนวทางนี้มีความสำคัญที่สุดสำหรับเพื่อการทำให้ผู้ป่วยมีลักษณะน้อยลง คุ้มครองป้องกันไม่ให้กำเนิดอาการ และก็ลดการกลับเป็นซ้ำ โดยลดปริมาณกรดในกระเพาะ และก็คุ้มครองป้องกันไม่ให้กรดไหลย้อนไปขึ้นไปที่ หลอดของกิน คอแล้วก็กล่องเสียงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะโรคนี้ไม่อาจจะรักษาให้หายขาด (เว้นเสียแต่จะผ่าตัดปรับปรุง) การดูแลรักษาวิธีนี้ควรปฏิบัติไปตลอดชีวิต เนื่องจากเป็นการรักษาที่มูลเหตุ ถึงแม้ผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะดียิ่งขึ้น หรือหายก็ดีแล้วโดยไม่ต้องรับประทานยารวมทั้งตาม ผู้เจ็บป่วยควรปฏิบัติตนดังต่อไปนี้

             ควรจะมานะลดน้ำหนัก
             บากบั่นหลีกเลี่ยงความเครียด
             หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าที่คับหรือรัดแน่นเกินความจำเป็น
             ถ้าหากมีอาการท้องผูก ควรจะรักษา รวมทั้งหลบหลีกการเบ่ง
             ควรจะบริหารร่างกายบ่อย
             ภายหลังทานอาหารโดยทันที พากเพียรหลบหลีกการนอนราบ
             หลบหลีกการรับประทานอาหารมื้อดึก
             รับประทานอาหารจำนวนพอดิบพอดีในแต่ละมื้อ
             หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มบางประเภท ตัวอย่างเช่น กาแฟ น้ำอัดลม
             ถ้าจะนอนหลังรับประทานอาหาร ควรจะรอราว 3 ชั่วโมง

  • การดูแลรักษาด้วยยา กรณีที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น จำเป็นที่จะต้องใช้ยาร่วมด้วย ควรจะรับประทานยาตามที่มีการกำหนดอย่างเคร่งครัด แล้วก็ถ้าหากมีข้อสงสัยควรจะขอความเห็นหมอหรือเภสัชกร

             เดี๋ยวนี้ยาที่ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด เป็นยาลดกรดในกรุ๊ปยับยั้งโปรตอนปั๊ม (Proton pump inhibitors) ดังเช่นว่า โอเมพราโซล (omeprazole)ขนาด 20 มิลลิกรัม วันละ 1-2 ครั้ง ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงมากมายในการคุ้มครองป้องกันลักษณะของโรคกรดไหลย้อน โดยให้รับประทานยาต่อเนื่องกันเป็นเวลา 6 - 8อาทิตย์ หรืออาจจำต้องใช้ยาเป็นระยะเวลานานนับเป็นเวลาหลายเดือนขึ้นอยู่กับผู้ป่วยแต่ละราย อาทิเช่นในกรณีที่เป็นมากหรือมีอาการมานาน ซึ่งอาจจะมีการปรับการรับประทานยาเป็นระยะๆตามอาการที่มี  หรือกินโดยตลอดเป็นเวลานาน
             ในบางครั้งบางคราวอาจใช้ยาเพิ่มการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหารร่วมด้วย อาทิเช่น เมโทโคลพราไมด์ (metoclo-pramide) ขนาด 10 มิลลิกรัม 1 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง ซึ่งยานี้ควรจะกินก่อนรับประทานอาหารประมาณ 30 นาที

  • การผ่าตัด เพื่อป้องกันไม่ให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปที่ หลอดของกิน คอแล้วก็กล่องเสียง การดูแลรักษาแนวทางลักษณะนี้จะทำใน

             ผู้เจ็บป่วยที่มีลักษณะอาการร้ายแรง ซึ่งให้การรักษาโดยการใช้ยาอย่างมากแล้วไม่ดีขึ้น
             คนไข้ที่ไม่อาจจะรับประทานยาที่ใช้สำหรับในการรักษาภาวการณ์นี้ได้
             คนเจ็บที่ดีขึ้นภายหลังจากการใช้ยา แต่ไม่อยากที่จะกินยาต่อ
             คนป่วยที่กลับกลายซ้ำบ่อยครั้งข้างหลังหยุดยา
ดังนี้คนเจ็บที่จะต้องได้รับการผ่าตัดมีเพียงปริมาณร้อยละ 10 เพียงแค่นั้น การดูแลรักษาโดยการผ่าตัดมีหลายวิธี อาทิเช่น endoscopic fundoplication, radiofrequency therapy, injection / implantation therapy ฯลฯ

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อน

  • อายุ ยิ่งสูงขึ้น ช่องทางกำเนิดโรคนี้ยิ่งสูงขึ้น
  • การกินอาหารแต่ละมื้อในปริมาณสูง โดยเฉพาะกินมื้อเย็นก่อนนอน เพราะปริมาณของกินยังค้างอยู่ในกระเพาะ รวมทั้งการนอนราบยังเพิ่มแรงกดดันในกระเพาะ ของกินรวมทั้งกรดจึงไหลย้อนกลับเข้าหลอดของกินได้ง่าย
  • การกินอิ่มมากมายไป (กินอาหารมื้อใหญ่หรือจำนวนมาก)กระตุ้นให้มีน้ำย่อยหลั่งออกมามาก ประกอบกับการขยายตัวของกระเพาะอาหารทำให้หูรูดคลายตัวเยอะขึ้นเรื่อยๆ
  • การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือกาเฟอีน (เป็นต้นว่า กาแฟ ยาชูกำลัง) นอกจากกระตุ้นให้หลั่งกรดในกระเพาะเพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังเสริมให้หูรูดคลายตัวอีกด้วย
  • การกินของกินที่ไขมันสูง ข้าวผัด ของทอดและก็อาหารผัดน้ำมัน ทำให้กระเพาะเคลื่อนช้าลง ทำให้ได้โอกาสกำเนิดกรดไหลย้อนได้มากขึ้น
  • โรคหืด มั่นใจว่าเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการไอแล้วก็หอบ ทำให้เพิ่มแรงกดดันในช่องท้อง ทำให้กรดไหลย้อน
  • การสูบยาสูบ การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาร์บอเนต (น้ำอัดลม) การกินของกินเผ็ดจัด หัวหอม กระเทียม ซอสมะเขือเทศ น้ำมะเขือเทศ น้ำองุ่น น้ำผลไม้เปรี้ยว (เช่น น้ำส้มคั้น) ผลไม้เปรี้ยว ช็อกโกแลต หรือสะระแหน่ การใช้ยาบางจำพวก (ตัวอย่างเช่น ยาขยายหลอดลม ยาแอนติโคลิเนอร์จิก ยาลดความดันกลุ่มปิดกั้นเบตาและก็กลุ่มต้านทานแคลเซียม ยาทางจิตประสาท ฮอร์โมนโพรเจสเตอโรน ฯลฯ) จะเสริมให้หูรูดคลายตัว หรือมีกรดหลั่งเพิ่มมากขึ้น
  • แผลเพ็ปติก และการใช้ยากลุ่มอนุพันธ์ฝิ่น ทำให้ของกินขับเคลื่อนลงสู่ลำไส้ช้าลง ทำให้มีกรดไหลย้อนได้
  • โรคอ้วน เพราะว่าจะก่อให้มีความดันในท้องสูงขึ้น ความดันในกระเพาะก็เลยสูงมากขึ้นตามไปด้วย
  • การตั้งครรภ์ เพราะเหตุว่าจะเป็นการเพิ่มระดับความดันในกระเพาะจากครรภ์ที่ใหญ่ขึ้น
  • เบาหวาน เมื่อเป็นโรคนี้นานๆจะมีการเสื่อมของประสาทกระเพาะ ทำให้กระเพาะอาหารเคลื่อนช้า จึงทำให้มีการเกิดกรดไหลย้อนได้
  • ความเคร่งเครียด ด้วยเหตุว่าความเคร่งเครียดมีส่วนทำให้หลั่งกรดในกระเพาะมากเพิ่มขึ้น
  • การมีไส้เลื่อนกะบังลม (Hiatal hernia, Diaphragmatic hernia ซึ่งมีกระเพาะเล็กน้อยไหลเลื่อนลงไปที่กะบังลม) ขนาดใหญ่ ทำให้หูรูดอ่อนแอเยอะขึ้น

การติดต่อของโรคกรดไหลย้อน โรคกรดไหลย้อนมีต้นเหตุมาจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อหูรูดด้านล่างของหลอดอาหาร ทำให้มีกรด (น้ำย่อย) จากกระเพาะไหลถอยกลับขึ้นไปที่หลอดอาหารและมีการอักเสบและก็อาการต่างๆตามมา ซึ่งโรคกรดไหลย้อนนี้มิได้เป็นโรคติดต่อ เนื่องจากไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนอะไร
การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคกรดไหลย้อน

  • รับประทานยาให้ครบถ้วนสมบูรณ์รวมทั้งสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์
  • สังเกตว่าบริโภคสิ่งใดบ้างที่ทำให้อาการแย่ลง แล้วเพียรพยายามเลี่ยง ได้แก่ อาหารมัน (รวมถึงข้าวผัด ของทอด ของผัดที่อมน้ำมัน) อาหารเผ็ดจัด หัวหอม กระเทียม แอลกอฮอล์ ยาสูบ ชา กาแฟ เครื่องดื่มผสมคาเฟอีน น้ำอัดลม     น้ำผลไม้เปรี้ยว ผลไม้เปรี้ยว ซอสมะเขือเทศ น้ำมะเขือเทศ ช็อกโกแลต ยาบางจำพวก
  • เลี่ยงการกินของกินจำนวนมาก (หรืออิ่มจัด) รวมทั้งหลบหลีกการกินน้ำมากๆระหว่างกินอาหาร ควรจะกินอาหารมื้อเย็นในปริมาณ น้อย และก็ขาดช่วงห่างจากเวลาเข้านอนอย่างต่ำ 3 ชั่วโมง
  • หลังกินอาหารควรจะปลดเข็มขัดและตาขอกางเกงให้หละหลวม ไม่ควรนอนราบหรือนั่งงอตัว โค้งตัวลงต่ำ ควรจะนั่งหลังตรง ยืน หรือให้รู้สึกสบายท้อง หลบหลีกการยกของหนักรวมทั้งการบริหารร่างกายหลังอาหารใหม่ๆ
  • หมั่นบริหารร่างกายและก็คลายเครียด เนื่องเพราะความเครียดมีส่วนทำให้หลั่งกรดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้อาการเกิดขึ้นอีกได้
  • ถ้าหากน้ำหนักเกินหรืออ้วน ควรจะหาทางลดน้ำหนัก
  • ถ้าเกิดมีลักษณะกำเริบเสิบสานตอนเข้านอน หรือตื่นนอนรุ่งอรุณ มีลักษณะเจ็บคอ เจ็บลิ้น เสียงแหบ ไอ ควรหนุนศีรษะสูง 6-10 นิ้ว โดยการหนุนขาเตียงด้านศีรษะให้สูง หรือใช้เครื่องมือพิเศษ (bed wedge pillow) สอดใต้ที่พักผ่อนให้เอียงลาดจากหัวลงมาถึงระดับเอว หรือใช้เตียงที่มีกลไกปรับหัวเตียงให้สูงได้ ไม่เสนอแนะให้ใช้แนวทางหนุนหมอนหลายใบให้สูง เพราะอาจส่งผลให้ท้องโค้งงอ ทำให้ความดันในท้องมากเพิ่มขึ้น ดันให้น้ำย่อยไหลย้อนได้
  • งดเว้น/เลิก ไม่ดูดบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์
  • ควบคุมรักษาโรคที่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง
  • เจอหมอตามนัดหมายเสมอ แล้วก็รีบพบหมอก่อนนัดเมื่ออาการต่างๆต่ำทรามลงหรือผิดไปจากเดิม

การปกป้องตัวเองจาโรคกรดไหลย้อน[/url] การคุ้มครองโรคกรดไหลย้อนนั้นตัวเราเองเป็นข้อสำคัญที่จะสามารถป้องกันการเกิดโรคได้ โดยการเปลี่ยนแปลงความประพฤติปฏิบัติการดำเนินชีวิตของพวกเรา เป็นต้นว่า

  • เลือกทานอาหารและเสี่ยงรับประทานอาหารโดยของกินที่ควรเลี่ยง ยกตัวอย่างเช่น

             ชา กาแฟ และก็น้ำอัดลมทุกชนิด
             ของกินทอด ของกินไขมันสูง
             ของกินรสจัด รสเผ็ด
             ผลไม้รสเปรี้ยว ส้ม มะนาว มะเขือเทศ
             หอมหัวใหญ่ สะระแหน่ เปปเปอร์มิ้นต์
             ช็อกโกแลต

  • ทานอาหารมื้อเล็กๆพออิ่ม การรับประทานอิ่มเกินความจำเป็นจะก่อให้หูรูดหลอดอาหารเปิดง่ายดายมากยิ่งขึ้นและส่งผลให้เกิดการย้อนของกรดง่ายขึ้น
  • ไม่ควรไปนอนหรือนอนหลังอาหารโดยทันที หลังรับประทานอาหารเสร็จควรรอคอยอย่างน้อย 3 ชั่วโมงก็เลยเอนตัวนอน เพื่อให้ของกินขับเคลื่อนออกจากกระเพาะอาหารซะก่อน
  • งดบุหรี่รวมทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สารนิโคตินในยาสูบเพิ่มความเป็นกรดในกระเพาะอาหารรวมทั้งทำให้หูรูดอ่อนแด ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮล์ทำให้หูรูดเปิดออกได้เหมือนกัน
  • ลดแรงกดต่อกระเพาะอาหาร เสื้อผ้าแล้วก็เข็มขัดที่รัดแน่นรอบๆฝาผนังหน้าท้อง การก้มตัวไปข้างหน้า น้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐาน ล้วนเป็นสาเหตุที่เพิ่มแรงกดต่อกระเพาะของกินและก็ทำให้กรดไหลถอยกลับ
  • เครียดลดลง ความเคร่งเครียดที่มากเกินความจำเป็นจะมีผลให้อาการกำเริบ จำเป็นที่จะต้องหาเวลาพักผ่อนรวมทั้งบริหารร่างกายให้สมดุลกับตารางชีวิต
  • รักษาโรคประจำตัวที่เป็นต้นสายปลายเหตุที่จะกระตุ้นให้เกิดโรคกรดไหลย้อน ดังเช่นว่า เบาหวาน โรคหืด โรคอ้วน แผลเท็ปว่ากล่าวก ฯลฯ
สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองป้องกัน / รักษาโรคกรดไหลย้อน
ยอ  ชื่อวิทยาศาสตร์ Morinda citrifolia ตระกูล Rubiaceae มีรายงานการศึกษาค้นคว้าวิจัยในหนู พบว่า “ยอ” ซึ่งมีสารสำคัญเป็นสวัวโปเลติเตียนน (scopoletin) เป็นส่วนประกอบอยู่ด้วยนั้น สามารถลดการอักเสบของหลอดของกินจากการไหลย้อนของกรดได้ผลดี พอๆกับยามาตรฐานที่ใช้สำหรับในการรักษากรดไหลย้อนหมายถึงรานิติดีน (ranitidine) รวมทั้งแลนโสพราโซล (lansoprazole) เพราะว่ามีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ ต้านทานการหลั่งของกรด ต้านการเกิดแผล แล้วก็ทำให้การบีบตัวของระบบทางเดินอาหาร โดยมีผลต่อระบบประสาทที่เกี่ยวเนื่องโดยตรง และก็ยังมีกล่าวว่าสามารถเพิ่มการดูดซึมของรานิติดีน “ยอ” จึงเหมาะสำหรับในการเป็นสมุนไพรสำหรับรักษาอาการกรดไหลย้อนเป็นอย่างยิ่ง ทั้งจากการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยข้างต้น และก็การที่ “ยอ” มีรสร้อน ช่วยย่อยของกิน ทำให้ของกินไม่ตกค้าง ไม่กำเนิดลมในกระเพาะอาหาร ลดการเกิดแรงดันที่ทำให้กรดไหลย้อน “ยอ” ยังช่วยให้กระเพาะบีบขับเคลื่อนก้าวหน้าขึ้น ทำให้ของกินเขยื้อนจากกระเพาะไปสู่ลำไส้เล็กได้ดีขึ้น
ทั้งนี้สมุนไพรที่บางทีอาจใช้ด้วยกันหมายถึงขมิ้นชัน เพราะว่าขมิ้นชันมีสรรพคุณสำหรับเพื่อการรักษาอาการท้องอืด และช่วยขับน้ำดีเพื่อย่อยไขมัน ทำให้ของกินไม่ตกค้างในกระเพาะอาหาร รวมทั้งลำไส้เล็กนานเกินความจำเป็น ช่วยรักษาแผลในกระเพาะได้อีกด้วย มีผู้แนะนำให้กินขมิ้นชันก่อนที่จะกินอาหาร 1-2 ชั่วโมง รุ่งเช้า ช่วงเวลากลางวัน เย็น และก่อนนอน ขนาดกินเป็น ทีละ 1 ช้อนชาสำหรับแบบผง หรือ 3 เม็ดๆละ 500 มก.
ขมิ้น ชื่อวิทยาศาสตร์     Curcuma longa L. ตระกูล     Zingiberaceae ชื่อพ้อง  C. domestica Valeton  ชื่ออื่นๆ   ขมิ้นแกง ขมิ้นหยอก ขมิ้นหัว ขมิ้นชัน ขี้มิ้น หมิ้น ตายอ สะยอ Turmeric สารออกฤทธิ์                curcumin, ar-turmerone curcumin จากขมิ้นลดการอักเสบจากรอยแผลก้าวหน้า การทดสอบในหลอดทดลอง โดยใช้สารสกัดขมิ้น 160 มิลลิกรัม/กิโลกรัม กรอกเข้าทางกระเพาะ (intragastric) ของหนูขาว ยับยั้งการอักเสบคิดเป็น 29.5% curcumin มีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบที่เกิดขึ้นมาจากการเหนี่ยวนำด้วยคาราจีแนน การทดสอบเปรียบระหว่าง phenylbutazone กับ sodium curcuminate 30 มิลลิกรัม/กก. พบว่าได้ประสิทธิภาพที่ดี แม้กระนั้นถ้าหากสูงมากขึ้นเป็น 60 มก./กก. ฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบจะต่ำลง แล้วก็ sodium curcuminate ยังสามารถยับยั้งการบีบตัวของลำไส้หนูในหลอดทดสอบที่เหนี่ยวนำจากนิโคติน อะซีตำหนิลโคลีน 5-hydroxy-tryptamine ฮีสตามีนรวมทั้งแบเรียมคลอไรด์ ยิ่งกว่านั้น sodium curcuminate ยังลดจังหวะการบีบรัดตัวของลำไส้เล็กของกระต่าย โดยไปลดระยะห่างของจังหวะการบีบรัดตัวของไส้
ขมิ้นสามารถต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร โดยกระตุ้นการหลั่งมิวสินมาฉาบแล้วก็ยั้งการหลั่งน้ำย่อยต่างๆสารสำคัญสำหรับเพื่อการออกฤทธิ์คือ curcumin ในขนาด 50 มก./กิโลกรัม สามารถกระตุ้นการหลั่งไม่วซินออกมาฉาบกระเพาะอาหาร แต่ถ้าเกิดใช้ในขนาดสูงอาจส่งผลให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้
มีการทดลองในกระต่ายเปรียบเทียบกับกลุ่มที่มีการหลั่งกรดมากมาย พบว่าผงขมิ้นไม่เปลี่ยนแปลงจำนวนน้ำย่อยและก็กรดในกระเพาะอาหาร แต่ว่าเพิ่มองค์ประกอบของมิวสิน
ย่านาง หรือใบย่านาง มีชื่อด้านวิทยาศาสตร์ว่า Tiliacora triandra (Colebr.) Diels มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Bamboo grass อยู่ในวงศ์ Menispermaceae ใบของย่านาง คือเป็นส่วนที่มีสาระรวมทั้งถูกประยุกต์ใช้ในการรักษาโรคมากที่สุด ด้วยเหตุว่าเป็นพืชที่มีฤทธิ์เย็น รวมทั้งมีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง ยิ่งไปกว่านี้ถูกจัดเอาไว้ภายในตำราเรียนสมุนไพรว่าเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย ซึ่งประโยชน์ซึ่งมาจากใบย่านางสำหรับการรักษาโรคมีดังนี้
ระบบทางเดินอาหาร -ช่วยรักษาโรคกระเพาะ ลำไส้อักเสบ   -ช่วยลดอาการหดเกร็งตามไส้          -ช่วยรักษาลักษณะของกรดไหลย้อน
รักษารวมทั้งคุ้มครองโรคภัยต่างๆ-ช่วยรักษาโรคความดันเลือดสูง  -ช่วยคุ้มครองป้องกันแล้วก็บำบัดรักษาการเกิดโรคหัวใจ  -ช่วยคุ้มครองปกป้องและก็ลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งได้  -ช่วยรักษาลักษณะของโรคเบาหวาน โดยไปลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ต่ำลง
ระบบผิวหนัง  -ช่วยในการรักษาโรคเริม งูสวัด   -ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย
ระบบขยายพันธุ์และก็ฟุตบาทปัสสาวะ  -ช่วยรักษาโรคนิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในถุงน้ำดี   -ช่วยรักษาอาการปัสสาวะแสบขัด ออกร้อนในฟุตบาทเยี่ยว
ขึ้นฉ่าย (Apium graveolens L.) ช่วยบำรุงระบบที่ทำหน้าที่ย่อยอาหารในร่างกายรวมทั้งช่วยลดลักษณะโรคที่เกี่ยวกับกระเพาะ ซึ่งรวมทั้งโรคกรดไหลย้อน
เอกสารอ้างอิง

  • Rao TS, Basu N, Siddiqui HH.  Anti-inflammatory activity of curcumin analogs.  Indian J Med Res 1982;75:574-8.
  • รศ.ดร.สุจิตรา ทองประดิษฐ์โชติ.เกิร์ด (GERD)-โรคกรดไหลย้อน.ภาควิชาสรีรวิทยา คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
[*
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 6
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย