กระทู้ล่าสุดของ: ณเดช2499

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6
31  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: โรคต่อมลูกหมากโต - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: เมษายน 30, 2018, 10:07:31 am
โรคต่อมลูหมากโต วิธีรักษา สมุนไพรรักษา
32  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคต้อกระจก - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: เมษายน 21, 2018, 10:59:04 am

โรคต้อกระจก
โรคต้อกระจก คืออะไร  ก่อนจะทราบถึงความหมายของต้อกระจกนั้น พวกเราควรทำความรู้จักกับเลนส์ตาหรือที่เราเรียกกันภาษาชาวบ้านว่า แก้วตา กันก่อน แก้วตาหรือเลนส์ตา (Lens) เป็นเลนส์นูนใสอยู่ข้างหลังม่านตา (มีลักษณะเหมือนเลนส์นูนทั่วไปอีกทั้งด้าน หน้าและข้างหลัง มีความครึ้มโดยประมาณ 5 ม.ม. เส้นผ่าศูนย์ กึ่งกลางราวๆ 9 มัธยมมัธยม มีหน้าที่ทำงานร่วมกับกระจกตาสำหรับเพื่อการหักเหแสงสว่างจากวัตถุให้ตกจุดโฟกัสที่จอประสาทตา ที่ก่อให้เกิดการมองมองเห็น
นอกจากนี้แก้วตายังสามารถเปลี่ยนกำลังการเบี่ยงเบนได้ด้วยตัวเอง เพื่อให้สามารถจุดโฟกัสภาพในระยะต่างๆได้ชัดขึ้น นั่นก็คือ ในคนปกติจะแลเห็นชัดทั้งยังไกลและก็ใกล้ ฉะนั้นธรรมชาติก็เลยสร้างแก้วตาให้อยู่ในที่ปลอดภัย โดยอยู่ในใจกลางของดวงตาเพื่อไม่ให้มีอันตรายอะไรก็ตามแม้กระนั้นแม้ว่าแก้วตาจะไม่ได้รับอันตรายอะไรก็แล้วแต่จากภายนอก แต่ว่าก็ไม่สามารถเลี่ยงความเสื่อมภาวะจากอายุที่เพิ่มขึ้นหรือการเช็ดกเหตุที่จะรีบนำมาซึ่งการก่อให้เกิดความเสื่อมของแก้วตาได้ ซึ่งเป็นสาเหตุนำไปสู่โรคที่เกี่ยวกับเลนส์แก้วตาต่างๆได้ เป็นต้นว่า ต้อกระจก ต้อหิน หน้าจอประสาทตาเสื่อม อื่นๆอีกมากมาย สำหรับต้อกระจกนี้
ประการแรกจะต้องขอให้คำนิยาม หรือความหมายของคำว่า “ต้อกระจก” ซะก่อน ต้อกระจกซึ่งก็คือภาวะที่เลนส์ภายในดวงตาเกิดภาวะขาวขุ่นขึ้นเพราะเหตุว่าสาเหตุอะไรก็ได้ ตามธรรมดาแล้วเลนส์ภายในลูกตามีภาวการณ์ใสโปร่งแสงคล้ายกระจกใส มีหน้าที่ปรับแสงสว่างที่ผ่านเข้าตา ทำให้พวกเราสามารถเห็นภาพวัตถุต่างๆได้ชัดเจน รวมทั้งเมื่อกำเนิด “ต้อกระจก” ก็จะทำให้ตัวเลนส์ตามีลักษณะขาวขุ่นขึ้น ทึบแสง ไม่ยอมให้แสงสว่างผ่านไปสู่ลูกตาไปตกกระทบที่จอประสาทรับภาพ (retina) ได้ชัดเจน ผู้นั้นจึงดูอะไรไม่ชัดเจน ตาฝ้า มัว แล้วสุดท้ายหากขาวขุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ จะมืดและ ดูอะไรมองไม่เห็นจากตาข้างนั้น ต้อกระจก เป็นโรคที่มักพบสำหรับผู้สูงวัย ถ้าเกิดปลดปล่อยไว้ไม่ผ่าตัดก็จะก่อให้ตาบอด ถือว่าเป็นปัจจัยอันดับต้นๆของภาวการณ์สายตาพิการของคนแก่
ที่มาของโรคต้อกระจก โดยส่วนมาก (ราวๆจำนวนร้อยละ 80) เกิดจากภาวการณ์เสื่อมตามวัย คนที่มีอายุมากยิ่งกว่า 60 ปีจะเป็นต้อกระจกดูเหมือนจะทุกราย แม้กระนั้นบางทีอาจเป็นมากน้อยไม่เหมือนกันไป เรียกว่า ต้อกระจกในผู้สูงวัย (senile cataract)  ส่วนน้อย (ราวๆปริมาณร้อยละ 20) อาจเกิดขึ้นเนื่องจากต้นสายปลายเหตุอื่นๆดังเช่น ต้อกระจกโดยกำเนิด (Congenital Cataract) เด็กทารกสามารถเป็นต้อกระจกได้ตั้งแต่ตอนแรกเกิด โดยบางทีอาจกำเนิดได้จากกรรมพันธุ์ การติดเชื้อ การเป็นอันตรายหรือมีความก้าวหน้าระหว่างอยู่ในครรภ์ไม่ดี เด็กแรกเกิดที่ค้นพบว่าเป็นต้อกระจกแต่กำเนิด ตัวอย่างเช่น ภาวการณ์กาแล็กโทซีเมีย โรคหัดเยอรมัน หรือโรคเท้าแสนเงื่อนประเภทที่ 2 ก็บางทีอาจส่งผลให้เกิดการเกิดต้อกระจกชนิดนี้ เด็กเล็กบางบุคคลบางทีอาจแสดงอาการในตอนหลัง โดยมักเป็นทั้งสองข้าง บางทีต้อกระจกนี้เล็กมากกระทั่งไม่ส่งผลต่อการมองเห็น แม้กระนั้นเมื่อพบว่าทำให้เกิดผลเสียต่อการมองมองเห็นก็เลยจะผ่าออก ต้อกระจกทุติยภูมิ (Secondary Cataract) การผ่าตัดรักษาโรคตาชนิดอื่นดังเช่นว่าต้อหิน การป่วยเป็นม่านตาอักเสบ หรือตาอักเสบ อาจเป็นสาเหตุให้กำเนิดโรคต้อกระจกตามมาได้ นอกนั้น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคอ้วน หรือโรคความดันโลหิตสูง การได้รับยาบางชนิด ได้แก่ สเตียรอยด์ ยาขับฉี่บางตัว ก็นับว่าเป็นกรุ๊ปเสี่ยงเป็นโรคต้อกระจกได้ง่ายเช่นกัน เป็นผลมาจากภาวการณ์แรงชนที่ดวงตา ก็ทำให้เลนส์ตาขวาขุ่นได้ โดยเฉพาเมื่อโดนสิ่งมีคมทิ่มทะลุเข้าตา เข้าไปโดนเลนส์ตา เกิดภาวะต้อกระจกได้ทันทีด้านใน 24 ชั่วโมง หรือหากโดนวัตถุไม่มีคมกระแทก ก็อาจจะเกิดต้อกระจกตามมาคราวหน้าได้ หากความแรงนั้นมากพอให้เยื่อเลนส์ตาแตกสามัคคี มีสาเหตุจากโดนรังสีเอกซเรย์ รอบๆดวงตาอยู่เสมอๆเป็นต้นว่า พวกที่มีมะเร็งบริเวณเบ้าตา รวมทั้งรักษาด้วยการใช้รังสี ซึ่งรังสีนี้อาจลึกลงไปโดนเลนส์ตาทำให้ขุ่นได้ และก็กำเนิดต้อกระจกตามมา  เว้นแต่ต้นเหตุต่างๆดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นแล้ว อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีอิทธิพลมาจากอย่างอื่นได้ อย่างเช่น อาหารพวกที่มีสภาพทุโภชนา หรือพวกอาหารการกินไม่ถูกสุขลักษณะ ขาดโปรตีน และก็วิตามินทำให้เกิดต้อกระจกได้เร็วกว่าธรรมดา
ลักษณะโรคต้อกระจก โรคต้อกระจกนั้นยากที่จะดูได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นเริ่ม เพราะจะต้องใช้เวลานานกว่าอาการของต้อกระจกจะเยอะขึ้นจนถึงกระทบต่อการมองเห็น โดยผู้ป่วยมักมีลักษณะดังต่อไปนี้

  • อาการเด่นของต้อกระจกเป็น ตาเบาๆมัวลงอย่างช้าๆโดยไม่มีอาการเจ็บปวด หรือ ตาแดงแต่อย่างใด อาการตามัวจะเป็นมาขึ้นเมื่ออยู่ในที่มีแสงไฟแรง เช่น เมื่อออกแดด กลับเห็นเกือบจะเป็นปกติในที่มืดมัวๆหรือเวลาพลบค่ำ เพราะเหตุว่าเมื่ออยู่ในที่โล่งม่านตาจะหดแคบลง ทำให้แสงไฟที่จะเข้าตาเข้ายากขึ้น ตรงกันข้ามกับเมื่ออยู่ในที่มืด ซึ่งม่านตาจะขยายทำให้แสงเข้าตาได้มากขึ้น ก็เลยเห็นกระจ่างขึ้นในที่มืด
  • ในผู้สูงวัยเวลาอ่านหนังสือจำเป็นต้องใช้แว่นตาช่วยเป็นปกติอยู่แล้ว แม้กระนั้นอยู่ๆกับพบว่าอ่านหนังสือได้โดยไม่ต้องใส่แว่น นั่นเป็นเพราะอาการจากเริ่มมีการเสื่อมของแก้วตาทำให้การเบี่ยงเบนแสงแปลง จึงกลับมาเป็นคนสายตาสั้นเมื่อแก่ (Secondary myopia)
  • ในเด็กๆที่เป็นต้อกระจกบางครั้งก็อาจจะกล่าวหรือบอกไม่ได้ถึงการมองเห็นเพียงแต่จะสังเกตได้ว่าเด็กจะมอง จับหรือเล่นของเล่นเด็กไม่ถนัด ตาอาจแกว่งไปๆมาๆ หรือเฉไปทางไปทางใดทางหนึ่งได้
  • เห็นภาพซ้อน หรือ เห็นแสงไฟกระจาย
  • เห็นภาพเป็นสีเหลืองหรือซีดจางลงกว่าที่สายตาคนธรรมดามองเห็น
  • ต้องใช้แสงไฟมากเพิ่มขึ้นสำหรับการอ่านหนังสือหรือกิจกรรมที่จะต้องใช้สายตา
ภาวะแทรกซ้อนของต้อกระจก

  • เมื่อต้อสุกและไม่ได้รับการผ่าตัดจะก่อให้ตาบอดสนิท
  • ในบางรายแก้วตาอาจบวมหรือหลุดลอยไปอุดกันทางระบายของเหลวในลูกตา ทำให้เกิดความดันด้านในดวงตาสูงขึ้น จนถึงแปลงเป็นต้อหินได้
  • ผู้เจ็บป่วยจะสามารถมีลักษณะอาการปวดตาอย่างหนักได้

แนวทางการรักษาโรคต้อกระจก หมอจะวินิจฉัยพื้นฐานด้วยการตรวจพบแก้วตา (เลนส์ตา) ขุ่นขาว เวลาใช้ไฟส่องตาผู้ป่วยจะรู้สึกตาฟาง การใช้งานเครื่องส่องตา (ophthalmoscope) ตรวจตาจะไม่พบปฏิกิริยาสะท้อนสีแดง (red reflex)
ถ้าเกิดไม่แน่ใจ หมอจำเป็นต้องใช้วัสดุพิเศษตรวจอย่างละเอียดลออ บางทีอาจจำเป็นที่จะต้องตรวจวัดความดันดวงตา (เพื่อแยกออกมาจากโรคต้อหินที่จะพบความดันลูกตาสูงกว่าธรรมดา) รวมทั้งตรวจพิเศษอื่นๆตัวอย่างเช่น

  • การตรวจวัดสายตา (Visual Acuity Test) การวัดความสามารถการมองมองเห็นในระยะต่างๆโดยให้อ่านชุดตัวอักษร เมื่อทดลองตาข้างใดๆอีกข้างจะถูกปิดไว้ แนวทางนี้เป็นการประเมินว่าคนไข้มีความผิดธรรมดาทางสายตาให้มองเห็นหรือไม่
  • การทดลองโดยขยายรูม่านตา (Retinal Eye Exam) ทำได้ด้วยการหยดยาลงที่ตาเพื่อให้รูม่านตาเปิดกว้างขึ้น แล้วก็ใช้เลนส์ขยายแบบพิเศษตรวจสอบจอประสาทตาและก็เส้นประสาทตาเพื่อใส่ความเปลี่ยนไปจากปกติของตา ข้างหลังการตรวจนี้ ดวงตาของผู้เจ็บป่วยมองเห็นในระยะใกล้เลือนลางเป็นเวลาหลายชั่วโมง
  • การตรวจโดยใช้กล้องถ่ายรูปจักษุจุลทรรศน์จำพวกลำแสงแคบ (Slit Lamp Examination) ได้แก่การใช้กล้องที่มีความเข้มของลำแสงสูงรวมทั้งบางพอที่จะดูกระจกตา ม่านตา เลนส์แก้วตา รวมถึงพื้นที่ว่างระหว่างม่านตารวมทั้งกระจกตา ช่วยทำให้แพทย์สามารถแลเห็นส่วนประกอบที่เป็นส่วนเล็กได้อย่างสะดวก

เนื่องมาจาโรคต้อกระจก[/url]ไม่มียาที่ใช้กิน หรือหยอดใดๆที่ช่วยแก้อาการของต้อกระจกได้ ระยะแรกๆของโรคต้อกระจกสามารถทุเลาได้ด้วยการตัดแว่นสายตาใหม่ สวมแว่นดำกันแสงสะท้อน หรือการใช้เลนส์ขยายกระทั่งต้อกระจกจะเริ่มกระทบต่อวิธีการทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน จึงจะทำการผ่าตัด ในอดีตกาลมักรอคอยให้ต้อกระจกสุกจึงทำผ่าตัดแปลงเลนส์ แม้กระนั้นเดี๋ยวนี้มักนิยมรักษาโดยการสลายต้อกระจกแต่เนิ่นๆคือเมื่อปัญหาตามัวนั้นทำให้เป็นอุปสรรคกับการดำนงชีพของผู้เจ็บป่วยก็ควรจะรับการดูแลและรักษา เพราะเหตุว่าการรอคอยต้อกระจกสุก จะทำให้การดูแลรักษาด้วยการสลายต้อทำเป็นยาก รวมทั้งยังอาจส่งผลให้กำเนิดโรคตาอื่นสอดแทรก ได้แก่ ต้อหิน ซึ่งอาจก่อให้ก่อให้เกิดอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆได้
ในขณะนี้การรักษาต้อกระจกมีเพียงแค่แนวทางเดียวเป็นการผ่าตัดเอาเลนส์ตาที่ขุ่นออกรวมทั้งใส่เลนส์ตาเทียมเข้าไปแทนที่ในปัจจุบันการผ่าตัดต้อกระจกมีความปลอดภัยสูงใช้เวลาในการผ่าตัดไม่นาน และไม่ต้องนอนโรงพยาบาลหลังผ่าตัด
วิธีการผ่าตัดที่นิยมในตอนนี้มี 3 วิธี

  • การสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
  • การสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงร่วมกับการใช้เฟมโตเชคเคินเลเซอร์ (Femtosecond Laser assisted Cataract Surgery)
  • การผ่าตัดนำเลนส์ตาออกก้อน (Extracapsular cataract extraction) ซึ่งวิธีนี้ใช้ในเรื่องที่เลนส์ตาค้างมากๆ

สาเหตุที่นำไปสู่โรคต้อกระจก

  • อายุ – เป็นสาเหตุหลักส่วนมากที่ทำให้เกิดโรคต้อกระจกมากยิ่งกว่า 80% โดยเฉพาะในคนอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป เนื่องจากากรเสื่อมตามวัย ด้วยเหตุว่าเลนส์ที่อยู่ในตาพวกเรานั้นต้องถูกใช้งานรับแสงสว่างมานานพอๆกับอายุของตัวเราก็เลยมีการเสื่อมสภาพได้
  • แสง UV – การทำงานบางจำพวกโดยไม่ใส่หน้ากากคุ้มครองปกป้องแสงหรือรังสีเข้าตา เป็นต้นว่าเวลาเชื่อมเหล็ก ก็สามารถทใด้เกิดโรคต้อกระจกได้
  • โรคที่เกิดขึ้นและมีปัญหาเกี่ยวกับตา – การต่อว่าดเชื้อในตา ม่านตาอักเสบ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งของโรคต้อกระจก
  • การถูกกระทบกระแทกบริเวณตาอย่างหนัก
  • โรคประจำตัวบางประเภทดังเช่นว่า โรคเบาหวาน ที่ทำให้เป็นโรคต้อกระจกเร็ววกว่าธรรมดา
  • การทานยาประเภท ateroid
  • ทารกที่ติดเชื้อจาก มีมารดามีการติดโรคโรคเหือดในตอน 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์

การติดต่อของโรคต้อกระจก โรคต้อกระจกเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากเลนส์ตาหรือแก้วตา ย่อยสลายจากนานาประการต้นสายปลายเหตุทำให้มีลักษณะขุ่นขาวทึบแสงเป็นผลให้แสงสว่างผ่านเข้าไปสู่ลูกตาได้น้อย จึงนำมาซึ่งการก่อให้เกิดการมองเห็นภาพพร่ามัวมากเพิ่มขึ้นจนไม่เห็นในที่สุด ซึ่งเป็นโรคที่ไม่ได้มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนอะไร
การกระทำตนเมื่อเป็นโรคต้อกระจก

  • ถนอมสายตาด้วยการใส่ใส่แว่นดำเลี่ยงการโดนแดดจ้า
  • เข้ารับการตรวจรักษาจากจักษุแพทย์แม้กระนั้นเนิ่นๆเพื่อจะได้ทำกรรักษาได้อย่างทันเวลาไม่ให้อาการกำเริบกระทั่งไม่สามารถที่จะรักษาได้
  • ทำตามหมอสั่งและไปตรวจตามนัดหมายอย่างเคร่งครัด
  • รักษาสุขภาพอนามัยให้แข็งแรง หมั่นออกกำลังกาย พักให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ครบอีกทั้ง 5 กลุ่ม
  • หลังจากผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาแล้วคนเจ็บควรจะนอนพักให้มากที่สุด และลุกขึ้นยืนเดินเท่าที่มีความจำเป็นแค่นั้นและควรจะหลีกเลี่ยงการทำงานหนัก การยกของหนักหรือกระเทือนมากมาย การบริหารร่างกายอย่างมาก รวมทั้งการไอหรือจามแรงๆเป็นเวลาโดยประมาณ 2-3 อาทิตย์ หรือตราบจนกระทั่งแผลจะหายดี
การคุ้มครองตนเองจากโรคต้อกระจก

  • ควรจะสวมแว่นตากันแดดเมื่ออยู่ที่โล่งแจ้ง คุ้มครองป้องกันแสงสว่าง UV ที่เป็นปัจจัยกระตุ้น
  • ควรพบจักษุแพทย์เมื่อมีลักษณะอาการไม่ปกติทางตาและไม่ควรซื้อยาหยอดตามาใช้เอง โดยยิ่งไปกว่านั้นยาที่มีส่วนประกอบของ Steroids
  • ตรวจสุขภาพตาเสมอๆทุกปี ในคนที่เป็นโรคโรคเบาหวาน หรือ เมื่อท่านมีอายุ 40 ปีขึ้นไป
  • คนป่วยโรคเบาหวานควรควบคุมระดับน้ำตาลบให้อยู่ในระดับปกติ
  • หลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุกับดวงตา หรือใส่เครื่องคุ้มครองป้องกันเวลาทำงานที่เสี่ยงตอกาเกลื่อนกลาดระทบกระแทกดวงตา
  • เมื่อมีการใช้สายตาติดต่อกันเป็นเวลานาน จะต้องมีการพักสายตา
  • กินอาหารที่เป็นประโยชน์ อุดมไปด้วยค่าทางโภชนาการ มีวิตามิน แล้วก็มีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีในผักและผลไม้หลากสี ดังเช่นว่า มะเขือเทศ แครอท ฟักทอง กล้วย ผลไม้เชื้อสายเบอรี่
  • หลีกเลี่ยงการสูบยาสูบ แล้วก็ดื่มเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์
  • นอนหลับพักผ่อนให้พอเพียง

สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองปกป้องการเกิดโรคต้อกระจก  จากการเล่าเรียนค้นคว้าข้อมูลงานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยพบว่า สมุนไพรไทยหลายประเภทสามารถคุ้มครองปกป้องโรคต้อกระจกได้ โดยเฉพาะในสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ อย่างเช่น ขมิ้นชัน และฟักข้าว โดยในขมิ้นชัน มีสารต้านอนุมูลอิสระสำคัญเป็นเคอร์คิวมินอยด์ (curcuminoid) และก็อุดมไปด้วยวิตามินและก็ธาตุหลายประเภท ดังเช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี วิตามินอี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก รวมทั้งเกลือแร่ต่างๆรวมไปถึงเส้นใย คาร์โบไฮเดรตและก็โปรตีน ฯลฯ เพราะฉะนั้น ขมิ้นชันก็เลยมีสรรพคุณในการช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย รวมทั้งสามารถรักษาอาการและก็โรคต่างๆได้หลายแบบ
ส่วนฟักข้าวนั้น มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสำคัญเป็นไลโคไต่ (lycopene) โดยในเยื่อหุ้มเมล็ดของฟักข้าวมีไลวัวพีนสูงขึ้นมากยิ่งกว่ามะเขือเทศ 12 เท่า ที่สามารถช่วยสำหรับเพื่อการบำรุงรวมทั้งรักษาสายตา ปกป้องโรคเกี่ยวกับดวงตา โรคต้อกระจก แล้วก็ประสาทตาเสื่อม และตาบอดเวลากลางคืนได้ อีกทั้ง ยังมีงานค้นคว้าวิจัยพบว่า ไลโคปีนและก็เคอร์คิวมินอยด์ ยังช่วยป้องกันต้อกระจกที่เกิดขึ้นมาจากเบาหวานได้อีกด้วยนอกจากนี้ยังมีสมุนไพรอีกหลากหลายประเภทซึ่งสามารถป้องกันโรคต้อกระจกได้ ยกตัวอย่างเช่น มะขามป้อม มะขามป้อมจัดคือผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก ซึ่งจากการศึกษาเล่าเรียนพบว่า วิตามินซีมีหน้าที่สำหรับเพื่อการคุ้มครองป้องกันการเกิดต้อกระจก โดยทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แล้วก็กรองรังสียูวีให้เลนส์ตา เว้นแต่มะขามป้อมแล้ว ยังส่งผลไม้อื่นๆที่มีวิตามินซีสูง อาทิเช่น ฝรั่ง มะปราง มะละกอ มะกอก ส้ม มะขาม ลูกหว้า เป็นต้น นอกเหนือจากสมุนไพรพนาลัยแล้ว สมุนไพรต่างถิ่นที่มีการคุณประโยชน์บำรุงและก็คุ้มครองโรคเกี่ยวกับตาได้อย่างดีเยี่ยม อย่างเช่น
Ginseng หรือโสม เป็นรากของ Panax ginseng มี สารสำคัญคือ ginsennosides ซึ่งเป็น steroidal saponin มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายแบบ อย่างเช่น antiapoptotic, anti-inflammatory, antioxidant จากการทดลองทางสถานพยาบาลในคนป่วยที่เป็นต้อหิน พบว่า โสมแดงประเทศเกาหลีสามารถเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังจอตา จึงน่าจะเป็นคุณประโยชน์ในลักษณะการคุ้มครองโรคต้อหิน นอกนั้นสาร Rb1 และ Rg3 ยังมีฤทธิ์ยับยั้ง TNF-alpha ก็เลยน่าจะเป็นคุณประโยชน์สำหรับเพื่อการคุ้มครองโรคหน้าจอประสาทตาเสื่อมด้วย เพราะการอักเสบเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคนี้ การทดสอบในหนูแสดงว่าโสมสามารถลดการเสื่อมของเรตินาในหนูที่ถูกรั้งนำให้เป็นเบาหวานได้ ลดผลที่เกิดขึ้นจากการเหนี่ยวนำหนูให้เป็นต้อกระจกด้วย selenite ได้ เพราะฉะนั้นโสมจึงเป็นสมุนไพรที่น่าดึงดูดสำหรับการปกป้องโรคตาทั้งยัง 4หมายถึงโรคต้อหิน ต้อกระจก หน้าจอประสาทตาเสื่อม และภาวะเบาหวานขึ้นจอตา
Gingko Biloba Extract (GBE) เป็นสารสกัดจากใบของต้นแป๊ะก๊วย (Ginkgo biloba) ในใบมีสารสำคัญสองกลุ่มคือ เฟลโวนอยด์รวมทั้งเทอร์พีนอยด์ GBE เป็นอาหารเสริมที่นิยมสูงที่สุดในยุโรปรวมทั้งอเมริกามีฤทธิ์ปกป้องการทำลายจากอนุมูลอิสระ และคุ้มครอง lipid peroxidation จากการทดลองพบว่า GBE สามารถป้องกันการเสื่อมของ mitochondria คุ้มครองปกป้องการเสื่อมของ optic nerve ก็เลยสามารถป้องกันตาบอดในคนเจ็บโรคต้อหิน และ คนป่วยเรตินาเสื่อมได้ แล้วก็สามารถลดการหลุดของเรตินา (retinal detachment) ได้ GBE ก็เลยมีประโยชน์ในกรณีคุ้มครองแล้วก็รักษาโรคต้อหินรวมทั้งโรคที่เกี่ยวเนื่องกับจอตา
Danshen ชื่อสามัญเป็น Asian Red Sage หรือตังเซียม หรือตานเซิน (Salvia miltiorrhiza) ส่วนที่ใช้เป็นราก ในตำรายาใช้เป็นยากระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ใช้รักษาฝี สารสำคัญคือ salvianoic acid B เป็นสารพอลีฟีนอลิกละลายน้ำแล้วก็เป็น antioxidant ที่มีฤทธิ์แรงและก็ยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบในเป็นเบาหวานจะกำเนิดอาการอักเสบและก็หนาขึ้นของผนังเส้นเลือดฝอยทำให้ อนุมูลอิสระไม่สามารถที่จะถูกกำจัดออกไปได้ก็เลยไปทำลายเซลล์ประสาทตา เมื่อทดลองฉีดตังเซียมเข้าไปที่เนื้อเยื่อเรตินาที่ขาดออกซิเจนในหนูที่เป็นเบาหวานพบว่าสามารถคุ้มครองปกป้องการสูญเสียการมองเห็นได้ การทดสอบทางสถานพยาบาลในผู้ป่วยโรคต้อหินพบว่า ตังเซียมสามารถคงสภาพลานสายตา (visual field) ในผู้เจ็บป่วยระยะกลางและก็ระยะปลายได้ โดยเหตุนั้น ตังเซียมก็เลยมีสาระกับผู้เจ็บป่วยโรคตาที่เกี่ยวพันกับ oxidative stress ดังเช่น หน้าจอประสาทตาเสื่อม ภาวการณ์เบาหวานขึ้นจอตา รวมทั้งต้อกระจก รวมทั้งมีรายงานการศึกษาเรียนรู้วิจัยของ ดร.พอล จาคส์ (Paul Jacques) ผู้ตัดสินเกษตรอเมริกาพบว่า คนอเมริกันที่รับประทานผลไม้และก็รับประทานผักเป็นประจำมีโอกาสเกิดต้อกระจกน้อยกว่าผู้ไม่บริโภคผักรวมทั้งผลไม้ถึง 4 เท่าครึ่ง และผู้ที่ไม่รับประทานผักและผลไม้เลยจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆถึง 6 เท่า ยิ่งไปกว่านี้ยังพบว่าคนที่มีระดับวิตามินซีในเลือดต่ำ จะเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆถึง 11 เท่า ส่วนผู้ ที่มีระดับสารแคโรทีนอยด์ในเลือดต่ำจะมีการเสี่ยงสูงมากขึ้นไปถึง 7 เท่า
เอกสารอ้างอิง

  • โรคต่อกระจก.แผ่นพับประชาสัมพันธ์.หน่วยตรวจโรคจักษุฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลศิริราช.2560.
  • ต้อกระจก (Cataract) . บทความเผยแพร่.ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
  • นพ.สุรพงษ์ ดวงรัตน์.ต้อกระจก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่70.คอลัมน์โรคตา.กุมภาพันธ์2529
  • Sastre J, Lloret A, Borris C et al, Ginkgo biloba extract EGb 761 protects against mitochondrial aging in the brain and in the liver, Cell and Molecular Biology, 2002;48(6):685-692.
  • รศ.ดร.ภญ.อ้อมบุญ วัลลิสุต สมุนไพรและสารธรรมชาติบำรุงตา.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/[/color]
  • ต้อกรระจก-อาการ.สาเหตุ.การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “ต้อกระจก (Cataract)” .(นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).หน้า950-952.
  • Kim NR, KimJH, and Kim CY, Effect of Korean red ginseng supplementation on ocular blood flow in patients with glaucoma, Journal of Ginseng Research, 2010;34(3);237- 245.
  • Janssens D, Delaive E, Remacle J, and Michiels C, Protection by bilobalide of the ischaemia-induced alterations of the mitochondrial respiratory activity, Fundamental and Clinical Pharmacology, 2000;14(3):193-201.
  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.ต้อกระจก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.กุมภาพันธ์2553
  • Cho JY, Yoo ES, Baik KU, Park MH, and Han BH, In vitro inhibitory effect of protopanaxadiol ginsenosides on tumor necrosis factor (TNF)-alpha production and its modulation by known TNF-a antagonists, Planta Medica, 2001;67(3):213-218.
  • ผศ.นพ.ศักดิ์ชัย วงค์กิตติรักษ์.ต้อกระจก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่390.คอลัมน์รักษ์”ดวงตา”.ตุลาคม.2554
  • Sen S, Chen S, Wu Y, Feng B, Lui EK, and Chakrabarti S, Preventive effects of North American ginseng (Panax quinquefolius) on diabetic retinopathy and cardiomyopathy, Phytotherapy Research, 2012;27(2):290-298.
  • Wu ZZ, Jiang JY, Yi YM, and Xia MT, Radix Salvia miltiorrhizae in middle and late stage glaucoma, Chinese Medical Journal, 1983;96(6):445-447.
  • Zhang L, Dai SZ, Nie XD, Zhu L, Xing F, and Wang LY, Effect of Salvia miltiorrhiza on retinopathy, Asian Pacific Journal of Tropical Medicine, 2013;6(2):145-149.
  • Lee SM, Sun JM, Jeong JH et al, Analysis of the effective fraction of sun ginseng extract in selenite induced cataract rat model, Journal of the Korean Ophthalmological Society, 2010;51:733-739.
  • Chen Y, Lin S, Ku H et al, Salvianolic acid B attenuates VCAM-1 and ICAM-1 expression in TNF-alpha-treated human aortic endothelial cells, Journal of Cellular Biochemistry,2001;82(3):512-521.
33  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคอาร์เอสวี/โรคติดเชื้อทางเดินหายใจอาร์เอสวี (Respiratory Syncytial virus infec เมื่อ: เมษายน 19, 2018, 08:24:23 am

โรคอาร์เอสวี/โรคติดเชื้อทางเดินหายใจอาร์เอสวี (Respiratory Syncytial virus infection)[/size]
โรคอาร์เอสวี เป็นยังไง โรคอาร์เอสวี หรือโรคไวรัสอาร์เอสวี หรือ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจอาร์เอสวี(Respiratory syncytial virus infection ย่อว่า RSV infection) เป็นโรคติดโรคระบบทางเท้าหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัสชื่อ Respiratory syncytial virus ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่นำไปสู่อาการต่างๆในระบบทางเดินหายใจ ทำให้ร่างกายผลิตสารคัดเลือกหลั่งเป็นจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น เสมหะ เป็นต้น เชื้อไวรัสนี้แพร่ขยายผ่านการไอหรือจาม โดยคนป่วยชอบมีลักษณะอาการพื้นฐานคล้ายเป็นหวัดเป็นปวดศีรษะ เป็นไข้ ไอ จาม น้ำมูกไหล
                ในการติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี (RSV, Respiratory Syncytial Virus) จะเจอการตำหนิดเชื้อได้ตลอดทั้งปี ซึ่งโรคนี้จัดเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจข้างล่างในเด็กเล็กที่พบได้บ่อยที่สุดโรคหนึ่ง โดยมีการคาดเดาว่าในเด็กอายุสองขวบทุกคนต้องเคยติดเชื้อประเภทนี้อย่างต่ำ 1 ครั้ง  ในความเป็นจริงแล้วเชื้อไวรัส RSV เป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้ทางเท้าหายใจอักเสบในคนไข้ทุกช่วงอายุ แม้กระนั้นชอบพบได้บ่อยในเด็กตัวเล็กๆ
                ดังนี้ เชื้อไวรัสอาร์เอสวี (Respiratory syncytial virus :RSV) พบทีแรกเมื่อปี ค.ศ 1955(พ.ศ.2498) ในลิงชิมแปนซีที่ป่วยเป็นอาการหวัดฝูง ทำให้มีชื่อเรียกว่า Chimpanzee Coryza Agent (CCA) ก่อนจุพบว่าสามารถติดต่อไปสู่คนได้ โดยสามารถแยกเชื้อได้จากเด็กตัวเล็กๆอายุต่ำลงยิ่งกว่า 1 ปีที่มีลักษณะปอดบวมรวมทั้งเมื่อต้นปี พุทธศักราช 2553 นิตยสารแลนเซต อังกฤษ รายงานผลการศึกษาเกี่ยวกับเชื้อไวรัส RSV ว่า ทำให้เด็กเป็นปอดบวม หรือปอดอักเสบ เสียชีวิตปีละ 2 แสนราย ซึ่งร้อยละ 99 อยู่ในประเทศกำลังปรับปรุง โดยมีเด็กอายุต่ำลงยิ่งกว่า 5 ปีทั่วโลก ติดเชื้อโรคเชื้อไวรัสดังที่กล่าวถึงแล้ว 33.8 ล้านคน ไวรัสอาร์เอสวีเป็นต้นเหตุการถึงแก่กรรมของเด็กตัวเล็กๆชั้น 1 เฉพาะในอเมริกาเด็กเสียชีวิตปีละ 2,500 กว่าคน  สำหรับประเทศไทยนั้นมีแถลงการณ์ว่าเฉพาะปี พุทธศักราช 2552 มีเด็กไทยอายุต่ำกว่า 5 ปี ราว 1 ใน 4 ติดไวรัสชนิดนี้ รวมกว่า 1 หมื่นราย
ต้นเหตุของโรคอาร์เอสวี  โรคอาร์เอสวี เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากเชื้อไวรัส Respiratory Syncytial Virus  (RSV) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสในสกุล Pneumovirus แล้วก็อยู่ในสกุล Paramyxoviridae โดยเป็นเชื้อไวรัสที่พบในคน โดยพบได้มากอยู่ในโพรงข้างหลังจมูก และจากการศึกษาพบว่าไวรัสนี้สามารถก่อโรคได้ในสัตว์หลายจำพวก เช่น หนู แกะ ฯลฯ  โดยปกติไวรัสอาร์เอสวีแบ่งเป็น 2 จำพวกย่อย(Subtype)หมายถึงชนิด เอ รวมทั้งจำพวกบี โดยชนิดย่อย A, มักมีความรุนแรงสูงขึ้นมากยิ่งกว่าจำพวกย่อย B   ไวรัสอาร์เอสวี ขณะอยู่ในผู้เจ็บป่วยที่มีภูมิต้านทานปกติ เชื้อไวรัสนี้สามารถแพร่กระจายสู่ผู้อื่นได้นานโดยประมาณ 1 สัปดาห์ ตั้งแต่แมื่อวันที่คนป่วยเริ่มมีลักษณะอาการ แต่ถ้าเกิดอยู่ในผู้ที่มีภูมิต้านทานยับยั้งโรคต่ำจะแพร่ขยายสู่คนอื่นได้นานถึง 4 สัปดาห์
ลักษณะของโรคอาร์เอสวี  เชื้อไวรัส RSV  ชนิดนี้มีระยะฟักตัวราว 1 – 6 วันหลังจากได้รับเชื้อ โดยส่วนมากมักไม่ค่อยแสดงอาการรุนแรงในคนแก่ อาการที่เจอในคนแก่โดยธรรมดามักคล้ายคลึงกับลักษณะของโรคหวัดหมายถึงปวดศีรษะ เป็นไข้ต่ำ เจ็บคอ ไอแบบไม่มีเสมหะ มีลักษณะอาการคัดจมูก โดยอาการพวกนี้มักหายได้เองใน 1–2 อาทิตย์  แต่ในคนป่วยที่มีการเสี่ยงจะมีลักษณะอาการที่รุนแรงเป็นคนป่วยที่มีโรคเรื้อรังเกี่ยวกับหัวใจหรือปอด หรือในผู้เจ็บป่วยที่มีสภาวะภูมิคุ้มกันต่ำมักก่อเกิดอาการรุนแรง นอกเหนือจากนี้คนไข้อีกกรุ๊ปที่พบการต่อว่าดเชื้อโรคนี้ได้บ่อยแล้วก็มีลักษณะรุนแรงเป็น เด็กตัวเล็กๆที่อายุน้อยกว่า 5 ขวบ โดยยิ่งไปกว่านั้นในเด็กอ่อนจะมีอัตราการเสี่ยงที่จะเกิดการติดโรคในทางเดินหายใจข้างล่างและทำให้โรคมีความรุนแรงสูง
ในผู้ป่วยที่มีลักษณะร้ายแรงอาจจะมีอาการเริ่มเช่นเดียวกับอาการติดโรคในทางเดินหายใจส่วนบนเป็น มีลักษณะเหมือนหวัดปกติ แต่ต่อจากนั้น 1–2 วันอาจจะมีอาการแสดงของการตำหนิดเชื้อในทางเดินหายใจข้างล่างอาทิเช่น มีไข้ ไอร้ายแรง หายใจไม่สะดวกโดยอาจมีอาการหายใจเร็ว หรือมีเสียงวี๊ดขณะหายใจ
ในเด็กตัวเล็กๆซึ่งยังติดต่อสื่อสารไม่ได้ต้องบางครั้งอาจจะจำต้องอาศัยการสังเกตอาการ โดยในระยะแรกจะมีลักษณะอาการคัดจมูกน้ำมูกไหล ซึมลง แล้วก็กินอาหารได้น้อย ต่อไป 1–3 วัน จะมีอาการไอ มีไข้ หายใจติดขัด หายใจตื้น สั้นๆเร็วๆรวมทั้งอาจจะมีเสียงตอนหายใจด้วย ในรายที่อาการร้ายแรงมากอาจมีอาการตัวเขียวหรือภาวการณ์ cyanosis เกิดเพราะว่าการขาดออกสิเจนทำให้สีผิวออกม่วงๆโดยชอบเริ่มมองเห็นจากริมฝีปากหรือที่เล็บ นอกนั้นแล้วการต่อว่าดเชื้อไวรัสอาร์เอสวีอาจจะนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนของโรคอื่นๆที่พบได้มากเป็น หูชั้นกึ่งกลางอักเสบ (otitis media) หรือในภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวกับการติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนล่างอื่นๆเช่น หลอดลมอักเสบหรือปวดบวมได้

กรุ๊ปบุคคลที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคอาร์เอสวี

  • คนที่มีภูเขามิคุ้นกันของร่างกายต่ำมากมาย
  • เด็กคลอดก่อนกำหนดโดยยิ่งไปกว่านั้นรายที่อายุครรภ์น้อยกว่า 35 สัปดาห์
  • คนที่มีโรคปอดเรื้อรัง
  • ผู้ที่มีโรคหัวใจ โดยยิ่งไปกว่านั้นประเภทที่มีความผิดธรรมดาสำหรับเพื่อการไหลเวียนของโลหิต ที่เรียกว่า Cyanotic heart disease
  • คนชราที่แก่ตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป
  • เด็กที่น้ำหนักตัวน้อยกว่า 5 กิโล

กรรมวิธีรักษาโรคอาร์เอสวี โดยธรรมดา หมอวินิจฉัยคนเจ็บโรคอาร์เอสวีจากลักษณะทางคลินิก ดังเช่น ใช้เครื่องช่วยฟัง (Stethoscope) เพื่อฟังเสียงกรีดร้องในระบบทางเดินหายใจ เสียงรูปแบบการทำงานของปอด หรือเสียงไม่ปกติจากส่วนอื่นๆในร่างกาย แล้วก็อาศัยวิธีสำหรับซักความเป็นมาผู้ป่วยโดยวิเคราะห์จาก อายุคนเจ็บ ประวัติลักษณะโรค การระบาดในแหล่งที่พักอาศัย การระบาดในโรงเรียน เป็นต้น แต่บางกรณีถ้าเกิดคนไข้มีอาการรุนแรง หมอบางทีอาจจะต้องวินิจฉัยแยกโรคที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อไวรัสประเภทอื่น หรือจากการติดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์จึงจะมีการตรวจสืบค้นเพิ่มเติมอีก ตัวอย่างเช่น

  • วัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (Pulse Oximetry) เพื่อวิเคราะห์ระดับออกสิเจน
  • ตรวจปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาว ตรวจค้นเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือสิ่งเจือปนอื่นๆ
  • เอกซ์เรย์ทรวงอก เพื่อตรวจค้นโรคปอดบวม
  • ตรวจค้นเชื้อไวรัสจากสารคัดเลือกหลั่งในจมูก

ในขณะนี้บางโรงพยาบาลอาจจะมีการตรวจยืนยันหาเชื้อด้วยวิธี RSV Rapid Ag-detection test ซึ่งเห็นผลการทดลองข้างในไม่กี่ชั่วโมง   เพราะว่าโรค อาร์เอสวี เป็นโรคติดโรคที่เกิดขึ้นจากไวรัสก็เลยทำให้ไม่มียารักษาอาการโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โดยเหตุนี้การรักษาก็เลยเป็นการรักษาตามอาการ ยกตัวอย่างเช่น การให้ยาลดไข้ ยาขยายหลอดลม ฯลฯ ส่วนในรายที่เริ่มมีลักษณะรุนแรง อาทิเช่น อ่อนล้า หอบ มีค่าออกสิเจนในเลือดลดน้อยลง อาจมีการให้ยาพ่นขยายหลอดลม ร่วมกับการให้ออกสิเจน ในรายที่มีอาการรุนแรงมาก บางทีอาจจะต้องมีการใส่ท่อช่วยหายใจหรือใช้เครื่องช่วยหายใจ นอกจากนี้บางทีอาจจะควรมีการให้สารน้ำชดเชยเพื่อปกป้องภาวการณ์ขาดน้ำโดยยิ่งไปกว่านั้นในเด็ก ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนจากการต่อว่าดเชื้ออื่นๆมักจะได้รับยาฆ่าเชื้ออื่นๆที่เหมาะสมตามอาการ
การติดต่อของโรคอาร์เอสวี การต่อว่าดเชื้อไวรัสอาร์เอสวีมีต้นเหตุที่เกิดจากการติดต่อผ่านทางสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจยกตัวอย่างเช่น น้ำมูก น้ำลาย เสลด เป็นต้น และก็เชื้อไวรัสประเภทนี้สามารถทนอยู่นอกร่างกายได้หลายชั่วโมง เพราะฉะนั้นนอกจากการได้รับเชื้อผ่านการไอจามใส่กันแล้ว ยังสามารถติดต่อได้จากการสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสแล้วนำเข้าสู่ร่างกายผ่านทางจมูก ปากรวมทั้งเยื่อบุดวงตาได้ วันหลังการได้รับเชื้อคนเจ็บสามารถแพร่ระบาดเชื้อได้ตั้งแต่ข้างหลังติดเชื้อโรค 2–3 วันไปจนกระทั่ง 2–3 สัปดาห์ โดยเหตุนี้ในคนไข้ที่เริ่มมีลักษณะแสดงควรจะลดการแพร่เชื้อไปยังคนอื่นๆโดยการใส่ผ้าปิดปาก ส่วนคนที่ต้องคลุกคลี่กับคนป่วยก็จำต้องหมั่นล้างมือเสมอๆรวมถึงใส่หน้ากากอนามัยทุกคราวเช่นเดียวกัน

การปฏิบัติตนเมื่อป่วยด้วยโรค อาร์เอสวี

  • พักให้เต็มกำลัง หยุดงาน หยุดโรงเรียน จนกระทั่งไข้จะลงปกติแล้ว 48 ชั่วโมง
  • ล้างมือเสมอๆรวมทั้งทุกครั้งก่อนที่จะรับประทานอาหารและก็ข้างหลังเข้าสุขาภ
  • แยกเครื่องใช้ต่างๆจากคนภายในบ้าน
  • ไม่ไปในที่แออัดคับแคบ/ที่ชุมชน
  • รู้จักใช้หน้ากากอนามัย
  • ทานอาหารมีสาระครบอีกทั้ง 5 หมู่
  • ในกรณีที่พบแพทย์แล้ว ให้กินยาต่างๆที่แพทย์สั่งให้ครบ
  • กินน้ำมากมายๆเพราะว่าน้ำจะช่วยให้สารคัดเลือกข้างหลัง ยกตัวอย่างเช่น เสมหะ หรือน้ำมูก ไม่เหนียวจนกระทั่งเกินความจำเป็น และไม่ไปกีดขวางลักษณะการทำงานของระบบทางเดินหายใจ
  • นั่งหรือนอนในตำแหน่งที่หายใจได้สบาย อาทิเช่น นั่งตัวตรง ไม่ห่อตัว ใช้หมอนที่ไม่นุ่มหรือแข็งเกินไป
  • ใช้ยาหยอดจมูก เพื่อช่วยลดอาการบวมของจมูก อาจล้างจมูกด้วยน้ำเกลือรวมทั้งดูดน้ำมูกเพื่อทำให้ฟุตบาทหายใจเตียนโล่งขึ้น
  • ถ้าเกิดอาการต่างๆสารเลวลง ให้รีบไปโรงหมอ เป็นต้นว่า ไข้สูงขึ้น ไอมากขึ้นเรื่อยๆ มีเสลดมากขึ้นเรื่อยๆ เสมหะกลายเป็นสีอื่น ดังเช่น เขียว น้ำตาล เทา

การป้องกันตนเองจากโรคอาร์เอสวี เนื่องจากในประเทศไทยยังไม่มีวัคซีนปกป้องเชื้อไวรัส RSV ก็เลยทำให้มีความเสี่ยงที่จะติดโรคเชื้อไวรัสในช่วงที่แพร่ระบาดได้มาก ก็เลยควรมีการคุ้มครองตนเองดังนี้

  • ล้างมือให้สะอาด ล้างมือบ่อยๆดังเช่น ก่อนมื้ออาหาร หลังเข้าห้องน้ำ ฯลฯ
  • ชำระล้างบ้านอยู่เสมอ เพื่อลดการแพร่ของเชื้อ โดยเฉพาะกระดาษชำระที่ใช้แล้ว ควรจะทิ้งลงถังสำหรับใส่ขยะที่ปิดมิดชิด
  • ไม่สมควรใช้ถ้วยน้ำร่วมกับคนอื่นๆ ควรใช้ถ้วยน้ำของตนเอง และก็เลี่ยงการใช้ถ้วยน้ำที่ผู้เจ็บป่วยใช้แล้ว
  • ไม่สมควรอยู่ใกล้ชิดกับคนไข้ที่เป็นหวัด โดยยิ่งไปกว่านั้นโรงเรียน หรือในที่ชุมชนที่มีคนหนาแน่น ในตอนระบาดของโรค
  • เมื่อต้องอยู่กลางอากาศที่หนาวเย็น ควรจะทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ

สมุนไพรที่ช่วยปกป้อง/รักษาโรคอาร์เอสวี เนื่องมาจากโรคอาร์เอสวี เป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจากเชื้อไวรัสแล้วก็สามารถติดต่อได้ทางสารคัดหลั่งของร่างกายโดยการ ไอ จาม รดกัน ซึ่งจะมีการฟุ้งกระจายของละอองน้ำมูก น้ำลายของคนไข้ซึ่งถ้าหากคนที่อยู่ใกล้ชิด สูดเอาละอองนั้นไปก็จะมีการติดต่อกันรวมทั้งการสัมผัสสารคัดเลือกหลั่งต่างๆที่แปดเปื้อนในข้าวของต่างๆของคนไข้ด้วย ซึ่งเป็นโรคที่มีมูลเหตุ,อาการ รวมทั้งการติดต่อคล้ายกับโรคไข้หวัดมากมาย นอกจากนั้นยังเป็นโรคในระบบฟุตบาทหายใจเช่นเดียวกันอีกด้วย โดยเหตุนั้นสมุนไพรที่จะช่วยป้องกัน/รักษาโรคอาร์เอสวีนั้น ก็เลยเป็นสมุนไพรลักษณะเดียวกันกับโรคหวัด (อ่านหัวข้อสมุนไพรที่ช่วยปกป้อง/รักษาโรคหวัดในเรื่องโรคไข้หวัด)
เอกสารอ้างอิง

  • อาจารย์ ดร.ภก.ปิยทิพย์ ขันตยาภรณ์.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ไวรัสร้ายของลูกน้อย.โรคอาร์เอสวี (RSV).ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ดร.นพ.นพพร อภิวัฒนากุล.ไวรัส RSV เชื้ออันตรายที่คล้ายไข้หวัด. Rama Channal. ภาควิชากุมรเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/[/b]
  • Dawson-Caswell,M., and Muncle, JR, H. Am Fam Physician.2011;83(2):141-146
  • Mayo Foundation for Medical Education and Research. Respiratory syncytial virus (RSV). [Accessed on July 2016]
  • ไวรัสRSV-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์.
  • Krilov L.R. Respiratory Syncytial Virus Infection. [Accessed on July 2016]
  • Falsey,A. et al. NEJM.2005;352(17): 1749-1762


Tags : โรคอาร์เอสวี/โรคติดเชื้อทางเดินหายใจอาร์เอสวี,
34  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรส้มเช้า มีสรรพคุณ-ที่สามารถ รักษาเเก้พิษเเมลงกัดต่อยได้ดี เมื่อ: เมษายน 11, 2018, 08:13:49 am
[b]สมุนไพร[/b].com/wp-content/uploads/2017/09/%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%B2.png" alt="" border="0" />
สมุนไพรส้มเช้[/b]
ส้มเช้าEuphorbia ligularia Roxb.
ชื่อพ้อง E. neriifolia Boiss. ส้มเช้า (กึ่งกลาง)
   ไม้พุ่ม หรือ ไม้ใหญ่ ขนาดเล็ก สูง 5-7  ม. ไม่มีขน ข้อต่อตามกิ่งเป็นห้าเหลี่ยม ที่โคนก้านใบมีหู ใบเป็นหนาม ติดตามปลายๆกิ่ง ออกจากตุ่ม 1-2 อัน. ใบ ตกง่าย รูปไข่กลับ ขอบขนาน หรือ รูปไข่กลับ แกมรูปช้อน กว้าง 3-6 ซม. ยาว 15-30 ซม. ปลายใบแหลม ขอบของใบเรียบ หรือ เป็นคลื่น โคนใบสอบแคบ เส้นแขนงใบมองเห็นได้ไม่ชัดเจน ก้านใบสั้น. ดอก ออกเป็นช่อ มีดอกย่อยรวมกันแน่นเป็นกระจุก ดอกเพศผู้ แล้วก็ดอกเพศเมียอยู่บนช่อเดียวกัน โคนช่อมีกลีบรองกลีบดอกไม้สีเหลือง มีก้านสั้นๆแตกเป็นง่าม ออกช่อจากแอ่งเดียวกัน กลุ่มช่อดอกที่อยู่ข้างๆมีก้านช่อใหญ่ รวมทั้งสั้นมาก ช่อดอกที่อยู่ตามง่าม ชอบไม่มีก้าน และเป็นเพศผู้ล้วน ใบแต่งแต้มออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน รูปไต เล็ก [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
ใบแต่งแต้มรองดอกเป็นรูปครึ่งวงกลม สะอาด ปลายแยกเป็น 5 กลีบ รูปกลมแกมหัวใจ ขอบจักเป็นฟัน ต่อมรูปไตแกมขอบขนาน อยู่ตามขวาง; รังไข่ผิวเรียบ แล้วก็เกลี้ยง ท่อรังไข่ชิดกัน ตั้งชัน ปลายยอดครึ้มกว่าโคน. ผล เป็นประเภทแห้ง ไม่มีเนื้อ มี 3 พู มีผลเล็กๆค่อนข้างจะแบน 3 ผลบวกกัน.

นิเวศน์วิทยา
: กำเนิดตามป่าราบ รวมทั้งป่าเบญจพรรณทั่วๆไป.
คุณประโยชน์ : คุณประโยชน์ต่างๆเหมือนต้นสลัดไดป่า (E. antiquorum) มากมาย แต่ยางต้นมีพิษน้อยกว่า ราก ใช้เบื่อปลา ตำเป็นยาฆ่าเชื้อโรครวมทั้งแก้พิษแมลงกัดต่อย  ต้น น้ำต้มเปลือก กินเป็นยาระบาย ใบ ใช้เบื่อปลา

Tags : สมุนไพร
35  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรเปล้าน้ำเงิน มีสรรพคุณสามารถ ลดอาการมีไข้ได้ เมื่อ: เมษายน 08, 2018, 03:27:12 am

สมุนไพรเปล้าน้ำเงิ[/b]
เปล้าสีน้ำเงิน Croton cascarilloides Raeusch.
ชื่อพ้อง C. cumingii Muell. Arg. C. pierrei Gangnep.
บ้างถิ่นเรียก เปล้าน้ำเงิน (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) เปล้าเงิน (สงขลา) เป้าน้ำเงิน (จังหวัดโคราช สุราษฎร์ธานี) กะโดนหิน (เลย).
  ไม้ใหญ่ ขนาดเล็ก หรือ ไม้พุ่ม สูง 1-4.5 ม. กิ่งไม้เรียวเล็ก. ใบ ติดหนาแน่นเป็นพักๆตามข้อ และที่ปลายกิ่ว แผ่นใบรูปขอบขนานปนรูปหอก ขอบขนานแกมรูปไข่ รูปหอกกลับ หรือ รูปข้าวหลามตัด โคนใบสอบแคบ โคนสุดมน ขอบของใบเรียบ หรือ หยักเพียงนิดหน่อย ปลายใบแหลม หรือ เรียวแหลม; ใบกว้าง 3-7 เซนติเมตร ยาว 5-16 ซึม เส้นแขนงใบ 6-11 คู่ ข้างล่างเห็นกระจ่างกว่าข้างบน ข้างล่างปกคลุมด้วยเกล็ดหนาแน่น เกล็ดสีน้ำเงิน มีสีน้ำตาลสลับบ้างเล็กน้อย; ด้านบนเมื่อยังอ่อนอยู่มีเกล็ด ต่อมาจะหลุดหล่นไปกระทั่งสะอาด; ก้านใบยาว 1-6 ซม มีเกล็ดปกคลุม. ดอก สีขาว ออกเป็นช่อสั้นๆที่ยอด ชอบออกครั้งละ 2 ช่อ ยาว 1.5-7 ซม. ดอกเพศผู้ และดอกเพศภรรยาอยู่บนช่อเดียวกัน.  [url=http://www.disthai.com/][url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
[/u][/url][/color] ดอกเพศผู้ รูปกลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 มม. กลีบรองกลีบ 5 กลีบ รูปไข่ ยาวโดยประมาณ 2 มม. ขอบกลีบมีขน เกสรผู้มี 15 อัน อับเรณูรูปขบขนานแกมรูปไข่ โคนก้านเกสรมีขน. ดอกเพศเมีย ขนาดใหญ่กว่าดอกเพศผู้ มีกลีบรองกลีบดอกไม้ 5 กลีบ รูปไข่ หรือ รูปขอบขนาน ปลายมน โคนเชื่อมติดกัน ยาว 5-6 มม. กลีบดอกไม้ 5 กลีบ ลักษณะก็จะคล้ายเส้นด้าย ยาวราวๆ 2 มม. รังไข่กลม ท่อรังไข่ 3 อัน แต่ละอันแยกเป็น 2 แฉก ยาวโดยประมาณ 3 มม.  ผล กลมแกมสามเหลี่ยม เส้นผ่านศูนย์กลางราวๆ 6-7 มม. สีเขียว. เมล็ด รูปรี ด้านหนึ่งแบน ยาวโดยประมาณ 4 มิลลิเมตร

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นขจัดขจายตามไหล่เขาในป่าดงดิบ รวมทั้งตามที่ราบในป่าโปร่ง เหนือระดับน้ำทะเลไม่เกิน 200 ม.
สรรพคุณ : ราก น้ำสุกราก (หรือรวมกับเปลือกต้น) รับประทานเป็นยาลดไข้ รวมทั้งแก้อ้วก. ใบ ใบแห้ง ใช้ดูดแทนบุหรี่ได้
36  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder) - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: เมษายน 03, 2018, 08:08:15 am

โรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder)
โรคออทิสติกเป็นอย่างไร “ออทิสติก” (Autism Spectrum Disorder) เป็นโรคที่มีชื่อเรียกนานัปการ แล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงการเรียกชื่อเป็นระยะ ดังเช่น ออทิสติก (Autistic Disorder), ออทิสซึม (Autism), ออทิสติก สเปกตรัม (Autism Spectrum Disorder), พีดีดี (Pervasive Developmental Disorders; PDDs), พีดีดี เอ็นโอเอส (PDD, Not Otherwise Specified) และแอสเพอร์เกอร์ (Asperger’s Disorder)  กระทั่งในขณะนี้จึงมีการตกลงใช้คำว่า “Autism Spectrum Disorder” ตามเกณฑ์คู่มือการวิเคราะห์โรคทางจิตใจเวชฉบับล่าสุด DSM-5 ของสัมพันธ์จิตแพทย์อเมริกัน ซึ่งใช้อย่างเป็นทางการในระดับสากลตั้งแต่ปี พุทธศักราช2556 สำหรับในภาษาไทย ใช้ชื่อว่า “ออทิสติก” โรคออทิสติก(Autistic Disorder) หรือ ออทิสซึม(Autism) เป็นความไม่ปกติของวิวัฒนาการเด็กแบบอย่างหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัว  เป็นโรคที่เกิดจากความไม่ดีเหมือนปกติของสมอง ทำให้มีความผิดพลาดของวิวัฒนาการหลายด้านหมายถึงกลุ่มอาการความแตกต่างจากปกติ 3 ด้านหลักคือ

  • ภาษาและก็การสื่อความหมาย
  • การผลิตความเกี่ยวข้องระหว่างบุคคล
  • ความประพฤติปฏิบัติแล้วก็ความสนใจแบบเฉพาะซ้ำเดิมซึ่งมักจะเกี่ยวกับกิจวัตรที่ทำทุกๆวันและก็การเคลื่อนไหว ซึ่งอาการกลุ่มนี้เกิดในตอนต้นของชีวิต มักเริ่มมีลักษณะอาการก่อนอายุ 3 ปี

คำว่า “Autism” มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก ว่า “Auto” ซึ่งมีความหมายว่า Self คือ แยกตัวอยู่ตามลำพังในโลกของตัวเอง เปรียบได้เสมือนดั่งมีกำแพงใส หรือกระจกส่อง กั้นบุคคลพวกนี้ออกมาจากสังคมรอบตัว
ประวัติความเป็นมา ปี พ.ศ.2486 มีการรายงานผู้เจ็บป่วยเป็นครั้งแรก โดยนายแพทย์ลีโอ แคนเนอร์ (Leo Kanner) จิตแพทย์ สถาบันจอห์น ฮอปกินส์ สหรัฐฯ รายงานคนป่วยเด็กจำนวน 11 คน ที่มีอาการแปลกๆอย่างเช่น บอกเลียนเสียง กล่าวช้า ติดต่อไม่รู้เรื่อง ทำซ้ำๆเกลียดการเปลี่ยนแปลง ไม่สนใจคนอื่น เล่นไม่เป็น และก็ได้ติดตามเด็กอยู่นาน 5 ปี พบว่าเด็กกลุ่มนี้ต่างจากเด็กที่ขาดตกบกพร่องทางสติปัญญา จึงเรียกชื่อเด็กที่มีลักษณะเช่นนี้ว่า “Early Infantile Autism”
ปี พ.ศ.2487 นายแพทย์ฮานส์ แอสเพอร์เกอร์ (Hans Asperger) กุมารแพทย์ ชาวออสเตรีย บรรยายถึงเด็กที่มีลักษณะเข้าสังคมลำบาก หมกมุ่นอยู่กับแนวทางการทำอะไรซ้ำๆแปลกๆแต่กลับคุยเก่งมาก และดูเหมือนจะฉลาดมากจริงๆด้วย เรียกชื่อเด็กที่มีลักษณะอาการเช่นนี้ว่า “Autistic Psychopathy” ปี พุทธศักราช2524 Lorna Wing นำมาอ้างอิงถึง ออทิสติกในความหมายของแอสเพอร์เกอร์ คล้ายคลึงกับของแคนเนอร์มากมาย นักวิจัยรุ่นหลังก็เลยสรุปว่า แพทย์ 2 คนนี้กล่าวถึงเรื่องเดียวกัน แต่ในเนื้อหาที่แตกต่าง ซึ่งในขณะนี้จัดอยู่ในกรุ๊ปเดียวกัน คือ “Autism Spectrum Disorder”
                จากการเล่าเรียนช่วงแรกพบอัตราความชุกของโรคออทิสติกโดยประมาณ 4-5 รายต่อ 10000 ราย แต่ว่ากล่าวในพักหลังพบอัตราความชุกเยอะขึ้นในประเทศต่างๆทั้งโลก เป็น 20-60 รายต่อ 10000 ราย ความชุกที่มากเพิ่มขึ้นนี้ ส่วนใดส่วนหนึ่งมาจากความรู้ความเข้าใจเรื่องออทิสติกที่มากยิ่งขึ้น การใช้เครื่องมือสำหรับในการวินิจฉัยที่ต่างกัน รวมถึงจำนวนคนเจ็บที่อาจมีมากเพิ่มขึ้น โรคออทิสติกเจอในเพศชายมากยิ่งกว่าผู้หญิงอัตราส่วนราวๆ 2-4:1 อัตราส่วนนี้สูงมากขึ้นในกลุ่มเด็กที่มีลักษณะน้อยรวมทั้งในทางตรงกันข้ามอัตราส่วนเพศชายต่อผู้หญิงต่ำลงในกรุ๊ปที่มีภาวะปัญญาอ่อนร้ายแรงร่วมด้วย
ต้นเหตุของโรคออทิสติก  มีความเพียรพยายามในการศึกษาถึงสาเหตุของออทิสติก แต่ก็ยังไม่เคยรู้สาเหตุของความเปลี่ยนไปจากปกติที่ชัดแจ้งได้ ในขณะนี้มีหลักฐานช่วยเหลือแจ่มกระจ่างว่าเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากลักษณะการทำงานของสมองที่ไม่ปกติ มากยิ่งกว่าสำเร็จจากสิ่งแวดล้อม
            ในอดีตกาลเคยมั่นใจว่าออทิสติก เกิดขึ้นจากการอุปถัมภ์ค้ำชูในลักษณะที่เย็นชา (Refrigerator Mother) (พ่อแม่ที่ประสบความสำเร็จในเรื่องงาน จนความเกี่ยวพันระหว่างบิดามารดากับลูกมีความห่างเย็นชา ซึ่งมีการเปรียบเทียบว่า เป็นบิดามารดาตู้แช่เย็น) แต่จากหลักฐานข้อมูลในตอนนี้รับรองได้เด่นชัดว่า แบบอย่างการเลี้ยงไม่ใช่มูลเหตุที่ทำให้เป็นออทิสติก แต่ว่าหากชุบเลี้ยงอย่างเหมาะควรก็จะช่วยให้เด็กปรับปรุงได้มาก
           แต่ว่าในตอนนี้นักค้นคว้า/นักวิทยาศาสตร์ พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับต้นเหตุด้านกรรมพันธุ์สูงมากมาย มีความเชื่อมโยงกับโครโมโซมหลายตำแหน่ง ดังเช่นว่า ตำแหน่งที่ 15q 11-13, 7q และ 16p ฯลฯ รวมทั้งจากการศึกษาเล่าเรียนในฝาแฝด พบว่าคู่แฝดเหมือน ซึ่งมีรหัสกรรมพันธุ์เหมือนกัน ได้โอกาสเป็นออทิสติกทั้งสองสูงขึ้นมากยิ่งกว่าแฝดไม่ราวกับอย่างชัดเจน
                และการเล่าเรียนทางด้านกายวิภาคและสารสื่อประสาทในสมองของผู้เจ็บป่วยออทิสติก จากอีกทั้งทางรูปถ่ายรังสี สัญญาณคลื่นสมอง สารเคมีในสมองรวมทั้งชิ้นเนื้อ เจอความไม่ดีเหมือนปกติหลายชนิดในคนไข้ออทิสติกแต่ว่ายังไม่พบแบบที่เฉพาะเจาะจง ในทางกายตอนพบว่าสมองของคนป่วยออทิสติกมีขนาดใหญ่กว่าของคนทั่วไป แล้วก็นิดหน่อยของสมองมีขนาดไม่ดีเหมือนปกติ ตำแหน่งที่มีรายงานพบความแตกต่างจากปกติของเนื้อสมอง เช่น brain stem, cerebellum, limbic system และ บางตำแหน่งของ cerebral cortex
                ยิ่งกว่านั้นการตรวจคลื่นกระแสไฟฟ้าสมอง (EEG) ในคนเจ็บออทิสติก พบความไม่ปกติปริมาณร้อยละ 10-83 เป็นความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าสมองแบบไม่เจาะจง  (non-specific abnormalities) อุบัติการณ์ของโรคลมชักในเด็กออทิสติกสูงขึ้นยิ่งกว่าของคนทั่วๆไปเป็น พบจำนวนร้อยละ 5-38 นอกจากนั้นยังมีการศึกษาเกี่ยวกับสารสื่อประสาทหลายประเภทโดยเฉพาะ  serotonin ที่ค้นพบว่าสูงขึ้นในคนเจ็บบางราย แต่ก็ยังมิได้ข้อสรุปที่เด่นชัดถึงความเชื่อมโยงของความผิดปกติกลุ่มนี้กับการเกิดออทิสติก
                ในตอนนี้สรุปได้ว่า ต้นสายปลายเหตุโดยมากของออทิสติกเป็นผลมาจากกรรมพันธุ์แบบหลายต้นเหตุ (multifactorial inheritance) ซึ่งมียีนที่เกี่ยวเนื่องหลายตำแหน่งแล้วก็มีภูไม่ไวรับ (susceptibility) ต่อการเกิดโรคที่มีต้นเหตุเนื่องมาจากการสัมผัสสิ่งแวดล้อมต่างๆ
อาการโรคออทิสติก การที่จะทราบดีว่าเด็กคนใดกันเป็นไหมเป็นออทิสติกนั้น  เริ่มแรกจะพินิจได้จากความประพฤติปฏิบัติในวัยเด็ก    ซึ่งมองเห็นได้ตั้งแต่ขวบปีแรก       พ่อแม่อาจจะมองเห็นตั้งแต่ปฏิสัมพันธ์ทางด้านสังคมกับผู้อื่น  ด้านการสื่อความหมาย    มีพฤติกรรมที่ทำอะไรซ้ำๆ    ความประพฤติปฏิบัติจะเริ่มแสดงกระจ่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อเด็กอายุราวๆ 2 ขวบครึ่ง หรือ 30  เดือน  โดยมีลักษณะปรากฏเด่นในเรื่องความช้าด้านการพูดและการใช้ภาษา      ด้านปฏิสัมพันธ์กับสังคมดูได้จากการที่เด็กจะไม่สบตา  ไม่แสดงออกทางสีหน้าท่าทางรวมทั้งลีลาเสมือนไม่สนใจ  จะผูกสัมพันธ์หรือเล่นกับผู้ใดกัน  และไม่สามารถแสดงออกทางอารมณ์ให้สมควรได้เมื่ออยู่ในสังคม   สามารถแยกเป็นด้าน อย่างเช่น

  • ความบกพร่องสำหรับการมีความสัมพันธ์ทางสังคม (impairment in social interaction) ความผิดพลาดสำหรับการมีความสัมพันธ์ทางด้านสังคมเป็นอาการสำคัญของออทิสติก ซึ่งมีระดับความร้ายแรงที่ต่างๆนาๆ แม้ว่าเด็กออทิสติกสามารถสร้างความสัมพันธ์โดยมานะที่จะอยู่ใกล้คนเลี้ยงดู แม้กระนั้นสิ่งที่แตกต่างจากเด็กทั่วไปเป็น การขาดความรู้สึกแล้วก็ความพอใจร่วมกับคนอื่นๆ  (attention-sharing behaviours) ไม่อาจจะรู้เรื่องหรือรับทราบว่าผื่อนกำลังคิดหรือรู้สึกอย่างไร ฯลฯ

เด็กออทิสติกที่มีระดับปัญญาปกติ ก็ยังมีความบกพร่องในด้านการเข้าสังคม ได้แก่ ไม่รู้วิธีการเริ่มหรือจบทบพูดคุย บิดามารดาบางบุคคลอาจสังเกตเห็นความแปลกในด้านสังคมตั้งแต่ในขวบปีแรก และเมื่อเด็กเข้าสู่วัยเรียน อาการจะเห็นได้ชัดเจนขึ้น เนื่องมาจากเหตุการณ์ทางด้านสังคมที่สลับซับซ้อนมากเพิ่มขึ้น พูดอีกนัยหนึ่ง เด็กจะไม่อาจจะรู้เรื่องหรือรับรู้ว่าคนอื่นๆกำลังคิดหรือรู้สึกยังไงกับเพื่อนฝูงได้ยาก มักถูกเด็กอื่นคิดว่าแปลกหรือเป็นตัวตลก

  • ความบกพร่องสำหรับในการติดต่อสื่อสาร (impairment in communication) เด็กออทิสติกส่วนใหญ่มีปัญหาบอกช้า ซึ่งเป็นอาการนำสำคัญที่ทำให้ผู้ปกครองพาเด็กมาเจอหมอ การใช้ภาษาของเด็กออทิสติกมักเป็นในลักษณะของการท่องซ้ำๆและไม่สื่อความหมาย อาจมีการพูดซ้ำคำด้านหลังประโยค ใช้คำสรรพนามไม่ถูกจำต้องพูดจาวกวนอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือใช้น้ำเสียงจังหวะเพลงการพูดที่ผิดปกติ

เด็กออทิสติดบางบุคคลเริ่มบอกคำแรกเมื่ออายุ 2-3 ปี การใช้ภาษาในระยะแรกจะเป็นการพูดทวนสิ่งที่ได้ยิน ส่วนในเด็กที่หรูหราปัญญาปกติหรือใกล้เคียงธรรมดาจะมีพัฒนาการทางภาษาที่ค่อนข้างดี รวมทั้งสามารถใช้ประโยคในการติดต่อได้เมื่ออายุราวๆ 5 ปี เมื่อถึงวัยเรียนความบกพร่องด้านภาษายังคงมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูดคุยกันโต้ตอบ อาจพูดจาวกวน พูดเฉพาะในเรื่องที่ตนพึงพอใจ แล้วก็มีปัญหาที่ภาษาที่เป็นนามธรรม หรือพูดไม่ออกกาลเทศะ

  • การกระทำและความพอใจแบบเฉพาะซ้ำเดิมเพียงแต่ไม่กี่ประเภท (restricted, repetitive and stereotypic behaviors and interests) ความประพฤติบ่อยๆเป็นสิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัด ก็เลยช่วยในการวินิจฉัยโรคเจริญ พฤติกรรมต่างๆพวกนี้อาจเป็นความประพฤติปฏิบัติทางกายรวมทั้งการเคลื่อนไหวที่จำกัดอยู่กับความพึงพอใจในกิจกรรมหรือข้าวของไม่กี่จำพวก เช่น การสะบัดมือ หมุนข้อเท้า โยกศีรษะ หมุนวัตถุ เปิดปิดไฟ กดชักโครก และเมื่อมีความตื่นเต้นหรือมีภาวะกดดัน การเคลื่อนไหวซ้ำๆพบได้มากได้มากขึ้น เด็กออทิสติกบางบุคคลพึงพอใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ผู้อื่นมองข้าม

เด็กออทิสติกแบบ  high functioning ที่เป็นเด็กโตมีความสนใจบางเรื่องอย่างจำกัด โดยสิ่งที่สนใจนั้นอาจเกิดเรื่องที่เด็กปกติพอใจ แม้กระนั้นเด็กกลุ่มนี้มีความหมกมุ่นกับหัวข้อนั้นอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น จำเนื้อหาเกี่ยวกับสิ่งนั้นได้ แล้วก็คุยเกี่ยวกับหัวข้อนั้นอยู่เป็นประจำ ในเด็กกลุ่มนี้เมื่อโตขึ้นสิ่งที่พึงพอใจอาจเป็นความทราบทางวิชาการบางสาขา ได้แก่ เลข คอมพิวเตอร์ รวมทั้งวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆซึ่งวิชาความรู้กลุ่มนี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าเมื่อยู่ในสถานที่เรียน จึงช่วยให้เด็กออทิสติกเข้าร่วมสังคมในโรงเรียนก้าวหน้าขึ้น
นอกเหนือจากนี้เด็กออทิสติกบางทีอาจจะดื้อมากและมีสมาธิสั้นต่อสิ่งที่มิได้พึงพอใจเป็นพิเศษ จนกระทั่งบางเวลาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเด็กซนสมาธิสั้น (Attention deficit and hyperactivity disorder หรือ ADHD) โดยเฉพาะเมื่อลักษณะของออทิสติกไม่กระจ่าง ในเด็กที่มีความก้าวหน้าช้าอย่างยิ่งบางทีอาจพบความประพฤติปฏิบัติรังแกตัวเอง อย่างเช่น โขกหัวหรือกัดตนเอง เป็นต้น
ในด้านปัญญา เด็กออทิสติกบางคนมีความรู้พิเศษในด้านความจำหรือคำนวณโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรุ๊ป high functioning บางทีอาจสามารถจำตัวเขียนแล้วก็นับเลขได้ตั้งแต่อายุ 2-3 ปี เด็กบางกรุ๊ปสามารถอ่อนหนังสือได้ก่อนอายุ 5 ปี (hyperlexia)
ขั้นตอนการรักษาโรคออทิสติก สำหรับในการตรวจวิเคราะห์ว่าเด็กเป็นออทิสติกหรือเปล่า  ไม่มีเครื่องตวงที่เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์   แต่อาจมีการตรวจประกอบกิจการวินิจฉัยจากการกระทำ
                โดยมาตรฐานการวินิจฉัยโรคออทิสติกตามระบบ Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders (DSM) เริ่มมีตั้งแม้กระนั้น DSM-III (พุทธศักราช 2523) และก็ได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็น DSM-IIIR (พ.ศ. 2530) ในตอนนี้ใช้เกณฑ์การวินิจฉัยตาม DSM-IV (พ.ศ. 2537) โดยคำว่า pervasive developmental disorder (PDD) หมายถึงความผิดแปลกในด้านวิวัฒนาการหลายด้าน ซึ่งแบ่งการวินิจฉัย PDD เป็น 5 ประเภท ดังเช่น autistic disorder, Rett’s disorder, childhood disintegrative disorder, Asperger’s disorder และก็pervasive developmental disorder not otherwise specified (PDD-NOS ในตอนนี้ได้รวมออทิสติกเป็นกรุ๊ปโรคที่มีความมากมายของลักษณะทางคลินิก (autistic spectrum disorder ASD) และก็มีคำที่เรียกกรุ๊ปออทิสติกที่มีความผิดพลาดน้อยกว่า  high-functioning autism

     โดยแพทย์จะดูอาการเบื้องต้นว่ามีปัญหาด้านพัฒนาการหรือเปล่า ซึ่งอาการของเด็กที่มีความเจริญช้าจะมีลักษณะดังนี้
โรคออทิสติก (Autistic disorder/Autism)  สามารถวิเคราะห์ได้โดยการสังเกตพฤติกรรม ซึ่ง มีลักษณะอาการครบ 6 ข้อ โดยมีลักษณะอาการจากข้อ (1) อย่างน้อย 2 ข้อ และก็มีอาการ จากข้อ (2) และข้อ (3) อย่างต่ำข้อละ 2 อาการ ดังต่อไปนี้


  • ความผิดปกติของปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างน้อย 2 ข้อ ดังต่อไปนี้
  • ไม่สามารถใช้ภาษาท่าทางสื่อสารทางสังคมกับบุคคลอื่น เช่น การสบตา การแสดงอารมณ์ความรู้สึกทางสีหน้า และภาษาท่าทางอื่นๆ เพื่อการสื่อสาร
  • ไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลให้เหมาะสมตามวัย
  • ขาดความสามารถในการแสวงหาการมีกิจกรรม ความสนใจ และความสนุก สนานร่วมกับผู้อื่น
  • ขาดทักษะการสื่อสารทางสังคมและทางอารมณ์กับบุคคลอื่น
  • ความผิดปกติด้านการสื่อสารอย่างน้อย 1 ข้อ ดังต่อไปนี้
  • มีความล่าช้าหรือไม่มีการพัฒนาในด้านภาษาพูด
  • ในรายที่สามารถพูดได้แล้วแต่ไม่สามารถที่จะเริ่มต้นบทสนทนาหรือโต้ตอบบทสนทนากับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม
  • พูดซ้ำๆ หรือมีรูปแบบจำกัดในการใช้ภาษา เพื่อสื่อสารหรือส่งเสียงไม่เป็นภาษา (ภาษาต่างดาว) อย่างไม่เหมาะสม
  • ไม่สามารถเล่นสมมุติหรือเล่นลอกตามจินตนาการได้เหมาะสมกับระดับพัฒนา การ
  • มีพฤติกรรม ความสนใจ และกิจกรรมที่ซ้ำๆ และจำกัด อย่างน้อย 1 ข้อ ดังต่อไปนี้
  • มีความสนใจที่ซ้ำๆ อย่างผิดปกติ
  • มีกิจวัตรประจำวันหรือกฎเกณฑ์ที่ต้องทำโดยไม่สามารถยืดหยุ่นได้ ถึงแม้นว่ากิจวัตรหรือกฎเกณฑ์นั้นจะไม่มีประโยชน์
  • มีการเคลื่อนไหวร่างกายซ้ำๆ เช่น สะบัดมือ เล่นมือ หมุนตัว
  • สนใจเพียงบางส่วนของวัตถุ
  • พบความผิดปกติอย่างน้อย 1 ด้านดังต่อไปนี้ (โดยอาการเกิดก่อนอายุ 3 ขวบ)
  • ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
  • การใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมาย
  • การเล่นสมมติหรือการเล่นตามจินตนาการ
  • ความผิดปกติที่พบไม่เข้าเกณฑ์วินิจฉัยของความผิดปกติจากโรคอื่นๆ เช่น กลุ่มอาการดาวน์ (Down’s syndrome)
การรักษา แม้ว่าในปัจจุบันนี้ยังไม่มียาหรือวิธีการรักษาออทิสติกให้หายขาดได้ แต่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าการได้รับการรักษาก่อนอายุ 3 ปี  (early intervention) โดยการกระตุ้นพัฒนาการปรับพฤติกรรมฝึกพูดและให้การศึกษาที่เหมาะสม ช่วยให้เด็กมีอาการดีขึ้น แต่ไม่มีวิธีใดที่ดีที่สุดหรือเหมาะสมสำหรับเด็กทุกคนดังนั้นจึงต้องเลือดและปรับการรักษาให้เหมาะสมในแต่ละราย  และการรักษาออทิสติกให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานานเท่าไหร่ไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด เพราะการรักษาให้ประสบผลสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยที่แตกต่างกันไปของผู้ป่วย เช่น ความรุนแรงของโรค ความผิดปกติซ้ำซ้อนที่เกิดกับเด็ก อาการเจ็บป่วยทางกายของเด็ก อายุที่เด็กเริ่มเข้ารับการรักษา รูปแบบการเลี้ยงดู  หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก เป็นต้น นอกจากนี้ แพทย์ต้องเฝ้าระวังอาการของเด็กร่วมด้วย เนื่องจากเด็กอาจมีความผิดปกติด้านพฤติกรรมเพิ่มขึ้นมาระหว่างรับการรักษา แพทย์จึงต้องปรับวิธีการรักษาให้เหมาะสมตลอดช่วงอายุของเด็กอยู่เสมอ
อีกทั้งการดูแลรักษาออทิสติก จำเป็นต้องอาศัยทีมงานผู้เชี่ยวชาญจากสหวิชาชีพ (Multidisciplinary Team Approach) ซึ่งประกอบด้วย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น (Child and Adolescent Psychiatrist) นักจิตวิทยา (Psychologist) พยาบาลจิตเวชเด็ก (Child Psychiatric Nurse) นักเวชศาสตร์การสื่อความหมาย (Speech Therapist) นักกิจกรรมบำบัด (Occupational Therapist) ครูการศึกษาพิเศษ (Special Educator) นักสังคมสงเคราะห์ (Social Worker) ฯลฯ
แต่หัวใจสำคัญของการดูแลรักษาไม่ได้อยู่ที่ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แต่อยู่ที่ครอบครัวด้วยว่าจะสามารถนำวิธีการบำบัดรักษาต่างๆ ที่ได้รับ มาประยุกต์ใช้ที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องหรือไม่
โดยวิธีการรักษาที่เหมาะสมคือ บูรณาการ การรักษาด้านต่างๆเข้าด้วยกันตามความจำเป็นของเด็กแต่ละคน วิธีการรักษา ได้แก่

  • การปรับพฤติกรรมและฝึกทักษะทางสังคม เพื่อเพิ่มพฤติกรรมที่เหมาะสมและลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การลดพฤติกรรมซ้ำๆ การลดพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง ซึ่งแนวคิดพื้น ฐานของพฤติกรรมบำบัดคือ ถ้าผลที่ตามมาหลังเกิดพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ชอบก็จะทำให้พฤติกรรมเพิ่มขึ้น แต่ถ้าผลที่เกิดขึ้นหลังพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ไม่ชอบก็จะทำให้พฤติกรรมลดลง โดยมีเทคนิคการปรับพฤติกรรมที่หลากหลาย เช่น การให้รางวัลหรือคำชมเมื่อมีพฤติกรรมที่เหมาะสม การเพิกเฉยเมื่อเด็กงอแง หรือการเบี่ยงเบนความสนใจเด็กไปยังสิ่งอื่นที่เด็กชอบในขณะที่เด็กงอ แง เป็นต้น
  • การฝึกพูด เป็นการรักษาที่สำคัญโดยเฉพาะในรายที่มีพัฒนาการด้านภาษาและการสื่อความหมายล่าช้า การฝึกการสื่อสารได้เร็วเท่าไหร่จะทำให้เด็กเรียนรู้จากการใช้ภาษาได้เร็วเท่า นั้น และช่วยลดพฤติกรรมก้าวร้าวที่เกิดจากการไม่สามารถสื่อสารความต้องการได้
  • การส่งเสริมพัฒนาการ ส่งเสริมพัฒนาการด้านอื่นที่ล่าช้าควบคู่กับการพัฒนาทักษะด้านการสื่อสาร สังคม และการปรับพฤติกรรม
  • การศึกษาพิเศษ มีบทบาทสำคัญในการช่วยพัฒนาทักษะสังคม การสื่อสาร และพัฒนาการด้านอื่นๆ ควรจัดบริการการศึกษาที่มีระบบชัดเจน ไม่มีสิ่งเร้าที่มากเกินไป และมีครูการศึกษาพิเศษดูแลโดยควรวางแผนการศึกษาร่วมกันระหว่างผู้ปกครองและโรงเรียน ควรจัดกิจกรรมและการเรียนการสอนช่วงหยุดเรียนภาคฤดูร้อนเพื่อให้เด็กมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เมื่อเด็กสามารถพัฒนาความสามารถด้านการช่วยเหลือตัวเอง ภาษา สังคม และจัดการกับปัญหาพฤติกรรมที่รบกวนได้แล้ว สามารถเรียนร่วมในชั้นเรียนปกติได้เพื่อพัฒนาความ สามารถทางสังคมต่อไป โดยมีการจัดแผนการสอนเฉพาะบุคคล (Individual Educational Plan; IEP) และนำกระบวนการส่งเสริมพัฒนาการและการปรับพฤติกรรมไปประยุกต์ใช้ร่วมกับการศึกษาด้วย

    หากมีข้อจำกัดด้านพัฒนาการ หรือปัญหาพฤติกรรม ก็จำเป็นต้องเรียนในห้องเรียนพิ เศษเฉพาะเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ชั้นเรียนปกติต่อไป
    นอกจากนี้ยังมีการรักษาด้วยยา เป็นการรักษาเพื่อลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและช่วยให้ฝึกเด็กได้ง่ายขึ้นแต่ควรคำนึงเสมอว่า การรักษาด้วยยานี้ ไม่ได้เป็นการรักษาอาการหลักของโรค
    บรรดายาชนิดต่างๆ ที่ใช้เพื่อบรรเทาอาการบางอย่างของโรคออทิสติกนั้น ส่วนใหญ่เป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบสมอง เช่น ยากระตุ้นประสาทส่วนกลาง ยาต้านอาการซึมเศร้า ยาต้านลมชัก เป็นต้น ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นการสั่งจ่ายให้กับผู้ป่วยโดยที่ยังไม่ได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ให้รักษาโรคนี้ได้
    ปัจจุบันมียาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยา แห่งสหรัฐอเมริกาให้ใช้ในผู้ป่วยออทิสติกได้คือ ยา risperidone (มีชื่อทางการค้าว่า Risperdal®) ซึ่งได้รับอนุมัติให้ใช้บรรเทาอาการหงุดหงิด ฉุนเฉียว ก้าวร้าว หรือการทำร้ายตนเอง ของผู้ป่วยโรคออทิสติกที่มีอายุระหว่าง 5-16 ปี
    ยาชนิดนี้เป็นยารักษาโรคจิตเภทมา 10 กว่าปีแล้ว และพบผลข้างเคียงได้บ้าง ตัวอย่างผลข้างเคียงที่พบได้แก่ ง่วงนอน ท้องผูก อ่อนเพลีย เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เจริญอาหารและน้ำหนักเพิ่ม น้ำลายไหล ปากแห้ง มือสั่น ซึม เป็นต้น
    นอกจากนี้ บางคนอาจพบมีน้ำนมไหลออกมาจากเต้านม ขี้โมโหมากขึ้น หัวใจเต้นผิดปกติ และกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติได้ โดยเฉพาะเรื่องน้ำหนักเพิ่มนี้พบได้บ่อย ทำให้เด็กเจริญอาหาร กินเก่ง น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เด็กส่วนใหญ่เมื่อได้ใช้ยานี้แล้วมักจะช่วยให้นอนง่าย นอนเร็วขึ้น หลับตลอดทั้งคืน สมาธิและอารมณ์ดีขึ้น
    ขนาดยาที่ใช้ เด็กที่มีน้ำหนักตัว 15-19 กิโลกรัม ควรเริ่มต้นด้วยขนาดยาวันละ 0.25 มิลลิกรัม และถ้าน้ำหนักตัวตั้งแต่ 20 กิโลกรัมขึ้นไป ควรใช้ยาวันละ 0.50 มิลลิกรัม โดยให้ใช้วันละ 1 ครั้ง ตอนเย็นหรือก่อนนอน และอาจเพิ่มขนาดยานี้ได้ทุกๆ 2 สัปดาห์ครั้งละ 0.25-0.50 มิลลิกรัม จนกว่าจะได้ผลดีที่สุด ซึ่งขนาดยาที่ได้ผลดี จะอยู่ระหว่าง 0.5-3.0 มิลลิกรัม/วัน
    ประเทศไทยมีทั้งชนิดเม็ด ขนาดเม็ดละ 1 และ 2 มิลลิกรัม/เม็ด และมีชนิดน้ำ ขนาด 30 มิลลิลิตร (โดยมีความเข้มข้นของ 1 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร)
    ภาวะแทรกซ้อนของโรคออทิสติก

  • ปัญญาอ่อน เด็กกลุ่โรคออทิสติก[/url] 70% มีภาวการณ์ปัญญาอ่อนร่วมด้วยเว้นเสียแต่ โรค Asperger’s disorder จะหรูหราเชาวน์ปัญญาธรรมดา
  • ชัก เด็กกรุ๊ปโรคออทิสติก มีโอกาสชักสูงขึ้นยิ่งกว่าประชากรทั่วไป รวมทั้งพบว่าการชักสัมพันธ์กับ IQ ต่ำ โดย 25% ของเด็กกลุ่มที่มี IQ ต่ำจะเจออาการชัก แต่ว่าพบอาการชักในกรุ๊ปมี IQ ปกติเพียงแค่ 5% จำนวนมากอาการชักมักเริ่มในวัยรุ่น โดยช่วงอายุที่ได้โอกาสชักมากที่สุดเป็น 10 -14 ปี
  • ความประพฤติปฏิบัติก้าวร้าวรวมทั้งความประพฤติปฏิบัติรังแกตัวเอง พบบ่อย เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการไม่อาจจะสื่อสารสิ่งที่มีความต้องการได้ และกิจวัตรประจำวันที่ปฏิบัติเป็นประจำไม่อาจจะทำได้ตามปกติ เจอปัญหานี้หลายครั้งขึ้นในตอนวัยรุ่น ส่วนความประพฤติปฏิบัติทำร้ายตนเองพบได้มากในโรคกลุ่มที่มี IQ ต่ำ
  • ความประพฤติดื้อ/อยู่ไม่นิ่ง/ใจร้อน/ขาดสมาธิ พบได้มาก ทำให้เกิดผลกระทบต่อปัญ หาการเรียน แล้วก็กระบวนการทำกิจกรรมอื่นๆ
  • ปัญหาเกี่ยวกับการนอน เจอปัญหาการนอนได้บ่อยครั้งในเด็กกลุ่มโรคออทิสติกโดยยิ่งไปกว่านั้นปัญหานอนยาก นอนน้อย และนอนไม่เป็นเวลา
  • ปัญหาด้านการกิน กินยาก/เลือกกิน หรือทานอาหารเพียงแค่บางประเภท หรือรับประทานสิ่งที่ไม่ใช่ของกิน
  • เนื้องอก ทูเบอรัส สเคลอโรสิส (Tuberous Sclerosis) โรคที่เกี่ยวพันกับความแปลกทางพันธุกรรม นับว่าเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้น้อย โดยทูเบอรัส สเคลอโรสิสส่งผลให้เกิดก้อนเนื้อนิ่มๆงอกขึ้นมาที่อวัยวะแล้วก็สมองของเด็ก แม้จะไม่มีสาเหตุชัดเจนว่าเนื้องอกเกี่ยวข้องกับอาการออทิสติกอย่างไร แต่ว่าจากศูนย์ควบคุมและก็คุ้มครองปกป้องโรค (Centers for Disease Control and Prevention) กล่าวว่าเด็กออทิสติกมีอัตราการเป็นทูเบอรัส สเคลอโรซิสสูง

การติดต่อของโรคออทิสติก โรคออทิสติกเป็นโรคที่ยังไม่เคยรู้มูลเหตุการเกิดโรคที่แจ่มกระจ่างแน่ๆแต่ว่าส่งผลการศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยหลายชิ้นกล่าวว่า เกี่ยวข้องกับต้นเหตุด้านกรรมพันธุ์ แล้วก็ข้อผิดพลาดเปกติของสมอง ซึ่งโรคออทิสติกนี้ มิได้ถูกระบุว่าเป็นโรคติดต่อ เนื่องจากไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
กรรมวิธีการดูแลช่วยเหลือคนเจ็บออทิสติก เนื่องจากว่าโรคออทิสติกพบมากมากในเด็ก ด้วยเหตุนั้นจึงต้ออาศัยการดูแลรักษ
37  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคเบาหวาน-อาการ-สาเหตุ-วิธีรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: มีนาคม 28, 2018, 08:29:29 am

เบาหวาน(Diabetes Mellitus)

  • โรคเบาหวานเป็นยังไง คำอธิบายศัพท์ของเบาหวาน สัมพันธ์เบาหวานที่สหรัฐอเมริกาบอกคำจำกัดความเบาหวานไว้ คือ โรคเบาหวานเป็นกลุ่มโรคทางเมตะบอลิซึมที่ออกอาการ โดยมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งเป็นผสมมาจาก ความแปลกของการหลั่งอินซูลิน หรือการออกฤทธิ์ของอินซูลิน หรือทั้งคู่อย่าง ภาวการณ์ที่น้ำตาลในเลือดสูงอย่างเรื้อรัง จะเป็นผลให้เกิดการเสื่อมของอวัยวะในร่างกาย ในระยะยาวเกิดโรคแทรกซ้อนและทำให้การอับอายที่ ของอวัยวะที่สำคัญหลายอวัยวะที่ทำงานล้มเหลวโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตา ไต ระบบประสาท หัวใจและก็เส้นเลือด

    ประวัติโรคเบาหวาน โรคเบาหวาน มีหลักฐานปรากฏในกระดาษขว้างปิรุสของอียิปต์ ซึ่งเป็นหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่ดั้งเดิมสูงที่สุดชิ้นหนึ่ง จากการตรวจพิสูจน์หลักฐานทางโบราณคดีพบว่ากระดาษที่บันทึกเกี่ยวกับประเด็นนี้นั้นแก่ราวๆ 1500 ปีก่อน คริสตกาล จึงหมายความว่า “โรคเบาหวาน” เป็นโรคที่เก่าแก่มากมาย แล้วก็เมื่อราวๆคริสต์ศตวรรษที่ 1 มีการพบบันทึกของแพทย์ชาวภาษากรีก ชื่อ “อารีอุส” ซึ่งได้บันทึกอาการของโรคที่มีลักษณะของการกัดกินเนื้อหนังแล้วก็มีการปัสสาวะจำนวนไม่ใช่น้อยในแต่ละครั้ง โดย “อารีอุส” ได้ตั้งชื่อโรคนี้ว่า diabetes insipidus ซึ่งปัจจุบันนี้ชื่อเรียกนี้จะคือโรค “ค่อยจืดชืด”
    ผ่านไปอีกเกือบจะ 1700 ปี ได้มีคำว่า mellitus เกิดขึ้น mellitus เป็นภาษาลาติน แสดงว่า น้ำผึ้ง ซึ่งประยุกต์ใช้เรียกโรคที่มีลักษณะอาการแบบเดียวกับ diabetes โดยหมายถึง “โรคเบาหวาน”
    ในขณะนี้โรคเบาหวานคือปัญหาทางสาธารณสุขที่ทวีความร้ายแรงขึ้นทั้งโลก อุบัติการณ์ของเบาหวานมีทิศทางเพิ่มขึ้นทุกปี จากข้อมูลของสหพันธ์ โรคเบาหวานนานาชาติ (International Diabetes Federation) พบว่าคนป่วย โรคเบาหวานทั่วโลก ว่ามีปริมาณ 285 ล้านคน และ ในปี 2553 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 438 ล้านคน ที่สำคัญในปริมาณนี้ 4 ใน 5 เป็นชาวเอเชีย สำหรับเพื่อการคาดราวๆจำนวนพลเมืองที่เป็น เบาหวานในอนาคตของเมืองไทยโดยสำนักควบคุมโรคไม่ติดต่อ พบว่า ระหว่างปี พุทธศักราช 2554-2563 จะมีจำนวนประชากรที่เป็นเบาหวานมากขึ้นอยู่ในช่วง 501,299 -553,941 คน/ปี แล้วก็ในปี พ.ศ. 2563 จะมีปริมาณคนป่วยเบาหวานราย ใหม่สูงถึง 8,200,000 คน ประเทศไทยได้กำหนดเบาหวานเป็นโรควิถีชีวิตที่สำคัญหนึ่งในห้าโรคที่กำหนดไว้ในแผนที่มีความสำคัญในการรบร่างกายแข็งแรงวิถีชีวิตไทย พุทธศักราช 2554 -2563 จากการสำรวจสุขภาพคนไทยครั้งปัจจุบันในปี พ.ศ. 2554 พบว่าอัตราป่วยเป็น โรคเรื้อรัง พ.ศ. 2544 - 2552 มีคนเจ็บเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นจาก 288 คน เป็น 736 คน ต่อสามัญชนแสนคน
    โดยปกติ เบาหวานสามารถ แบ่งได้เป็น 2 จำพวกหลักเป็นโรคเบาหวานประเภท 1 (Diabetes mellitus type 1), เบาหวานประเภท 2 (Diabetes mellitus type 2)
    โรคเบาหวานชนิด 1 โรคเบาหวานประเภทจำต้องพึ่งอินซูลิน (Insulin-dependent diabetes mellitus) และก็เพราะโรคเบาหวานจำพวกนี้พบได้มากในเด็กรวมทั้งวัยรุ่น ก็เลยเรียกได้อีกชื่อว่า เบาหวานในเด็กและก็วัยรุ่น หรือ Juvenile diabetes mellitus
    เบาหวานชนิด 2 โรคเบาหวานในผู้ใหญ่ (Adult onset diabetes mellitus) แล้วก็เป็นโรคเบาหวานที่ไม่มีความจำเป็นที่ต้องพึ่งอินซูลิน (Non- insulin-dependent diabetes mellitus)
    ตารางเทียบโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และก็ชนิดที่ 2
         เบาหวานชนิดที่1   เบาหวานชนิดที่
    กลุ่มอายุมักเกิดกับผู้สูงวัยน้อยกว่า 40ปี     มักเกิดกับผู้สูงวัย 40 ปี ขึ้นไป
    น้ำหนักตัวซูบผอมอ้วน
    แนวทางการทำงานของตับอ่อน ไม่สามารถผลิตอินซูลินได้           
    1.สามารถผลิตอินซูลินได้บ้าง
    2.ผลิตได้ปกติแม้กระนั้นอินซูลินไม่มีคุณภาพ
    3.เซลล์ร่างกายต้านทานอินซูลิน
    การแสดงออกของอาการ    เกิดอาการรุนแรง             
    1.ไม่มีอาการเลย
    2.มีลักษณะอาการน้อย
    3.อาการร้ายแรง กระทั่งช็อกหมดสติได้
    การรักษา              เพิ่มปริมาณอินซูลินในร่างกาย            บางทีอาจใช้การควบคุมด้านการกินอาหารได้

  • สิ่งที่ทำให้เกิดโรคเบาหวาน ในคนธรรมดาในระยะที่ไม่ได้ทานอาหารตับจะมีการสร้างน้ำตาลออกมาตลอดระยะเวลาเพื่อให้เป็นอาหารของสมองแล้วก็อวัยวะอื่นๆในช่วงหลังรับประทานอาหารพวกแป้งจะมีการย่อยเป็นน้ำตาลเดกซ์โทรสไปสู่กระแสเลือด ระดับน้ำตาลที่สูงขึ้นจะกระตุ้นให้มีการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อนเพื่อเพิ่มการนำน้ำตาลไปใช้ทำให้ระดับน้ำตาลน้อยลงมาเป็นปกติ ในคนเจ็บโรคเบาหวานที่อาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะการขาดอินซูลินหรือซนต่อฤทธิ์ของอินซูลินทำให้ไม่อาจจะใช้น้ำตาลได้ เวลาเดียวกันมีการเผาผลาญไขมันรวมทั้งโปรตีนในเยื่อมาสร้างเป็นน้ำตาลเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีน้ำตาลในเลือดสูง จนถึงล้นออกมาทางไตและก็มีน้ำตาลในปัสสาวะ เป็นที่มาของคำว่า”โรคเบาหวาน”

ระดับน้ำตาลในเลือดคนปกติเป็นมากแค่ไหน
ตาราง ค่าน้ำตาลในเลือด (มิลลิกรัมดล.)
                น้ำตาลในเลือดเมื่องดอาหาร            น้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหาร
คนปกติ               60 – น้อยกว่า 100               น้อยกว่า 140
ภาวการณ์เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน       100 – น้อยกว่า 126             140 – น้อยกว่า 200
โรคเบาหวาน   126 ขึ้นไป              200 ขึ้นไป
เพราะฉะนั้นเบาหวาน จึงเป็นผลมาจากความผิดปกติของร่างกายที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินน้อยเกินไป ที่ส่งผลทำให้ระดับ น้ำตาลในกระแสเลือดสูงเกิน เบาหวานจะมีลักษณะเกิดขึ้นเนื่องจากการที่ร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลได้อย่าง สมควร ซึ่งโดยปกติน้ำตาลจะเข้าสู่เซลล์ร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงานภายใต้อำนาจบังคับของฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งผู้ที่เป็นโรคเบาหวานร่างกายจะไม่สามารถที่จะนำน้ำตาลไปใช้งานได้อย่างมีคุณภาพ ผลที่เกิดขึ้นทำให้ระดับน้ำตาลในเลือด สูงมากขึ้น ในระยะยาวจะมีผลสำหรับการทำลายเส้นโลหิต หากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดสภาพการณ์แทรก ซ้อนที่ร้ายแรงได้

  • ลักษณะโรคเบาหวาน ระดับน้ำตาลคนธรรมดาจะอยู่ในตอน 60-99 มิลลิกรัม/ดล. ก่อนอาหารเช้า ผู้เจ็บป่วยเบาหวานที่มีน้ำตาลสูงจากค่าปกติไม่มากอาจไม่มีอาการชัดแจ้ง ต้องกระทำการตรวจเลือดเพื่อการวิเคราะห์ ถ้าหากไม่เคยทราบว่าเป็นเบาหวานมาเป็นระยะเวลานานคนเจ็บอาจมาตรวจพบด้วยภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานได้
กรุ๊ปอาการเด่นของโรคเบาหวานมีดังนี้

  • เยี่ยวมากกว่าปกติ เยี่ยวบ่อยมากกลางคืน เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเมื่อเลือดไหลผ่านไตก็ไม่สามารถเก็บกักน้ำตาลไว้ได้ ก็ถูกขับออกทางฉี่ ทำให้เสียน้ำออกไปทางปัสสาวะ
  • ดื่มน้ำบ่อยและมากยิ่งกว่าผู้ที่ไม่มีอาการ ด้วยเหตุว่าชิ้งฉ่องมากและหลายครั้ง ทำให้ร่างกายขาดน้ำจึงกำเนิดความอยากน้ำ
  • หิวหลายครั้งกินจุแต่ว่าผอมบางลง เนื่องจากว่าอินซูลินไม่พอ หรือไม่สามารถออกฤทธิ์ได้เพียงพอ จึงนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานมิได้ ทำให้รู้สึกหิว กินได้มาก
  • เป็นแผลหรือฝีง่าย แล้วก็หายยากเนื่องด้วยน้ำตาลสูง เนื้อเยื่อรอบๆที่เป็นแผลมีความชื้นสูงทำให้ความต้านทานต่อเชื้อโรคลดลง
  • คันตามตัว ผิวหนังและก็บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ สาเหตุของอาการคันเกิดได้หลายชนิด ตัวอย่างเช่น ผิวหนังแห้งเกินความจำเป็น หรือการอักเสบของผิวหนังซึ่งพบได้มากในผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวาน ส่วนการคันบริเวณอวัยวะเพศมักเกิดจากาความรักดเชื้อรา
  • ตาฝ้ามัวจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงแว่นตาหลายครั้ง การที่ตาพร่ามัวในเบาหวานต้นสายปลายเหตุบางทีอาจกำเนิดได้หลายประการ คือ อาจเกิดจากสายตาเปลี่ยน (ตาสั้นลง) เมื่อน้ำตาลในเลือดสูงแล้วก็น้ำตาลไปคั่งอยู่ในตาหรือตามัว อาจเกิดขึ้นเนื่องจากต้อกระจก หรือเส้นโลหิตในตาอุดตันก็ได้
  • มือชา เท้าชา หมดความรู้สึกทางเพศ เนื่องจากน้ำตาลในเลือดที่สูงนานๆทำให้เส้นประสาทเสื่อม บางบุคคลอาจไม่มีอาการอะไรเลยก็ได้ พบได้มากๆว่าคนป่วยที่ปล่อยทิ้งไม่รับการวิเคราะห์รวมทั้งรับการรักษาเบาหวานตั้งแต่ต้นจะรู้ดีว่าเป็นโรคเบาหวานก็เมื่อมีโรคแทรกขึ้นแล้ว
  • ไม่อยากกินอาหารอ่อนล้า เหน็ดเหนื่อยง่ายไม่มีเรี่ยวแรง
  • น้ำหนักตัวลดโดยไม่รู้จักปัจจัย โดยเฉพาะหากว่าน้ำหนักเคยมากมาก่อน อันเนื่องมาจากร่างกายไม่สามารถที่จะนำน้ำตาลไปสร้างพลังงานได้เต็มกำลัง ก็เลยจำเป็นต้องนำไขมันและโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาใช้ทดแทน

โรคแทรกเรื้อรังที่พบได้บ่อยในผู้เจ็บป่วยเบาหวาน  ไตเสื่อม ไตวาย จากเบาหวาน                   ไตเป็นอวัยวะที่ปฏิบัติหน้าที่กรองสารต่างๆที่อยู่ในกระแสเลือด  มีเส้นเลือดขนาดเล็กเยอะมากบริเวณไต  เมื่อฝาผนังเส้นโลหิตถูกทำลายโดยน้ำตาลในเลือดที่สูงอยู่เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน  วิธีการทำหน้าที่สำหรับเพื่อการกรองของไตจะเริ่มเสื่อมลง  ทำให้โปรตีนรั่วออกมาในเยี่ยว ผู้เจ็บป่วยที่เป็นโรคเบาหวานมานานกว่า  10  ปี มักกำเนิดปัญหาไตเสื่อม  แต่ว่าความร้ายแรงรวมทั้งระยะการเกิดจะมากมายหรือน้อยขึ้นอยู่กับการควบคุมน้ำตาลในเลือด
หน้าจอประสาทตาเสื่อและต้อกระจกจากโรคเบาหวาน มีสาเหตุจากการสั่งสมรวมตัวกันของน้ำตาลรอบๆเลนส์ตา  ทำให้เลนส์ตาบวมรวมทั้งมัวลงไม่เกี่ยวกับการไหลเวียนของโลหิตด้านในดวงตา  ซึ่งสามารถปกป้องได้โดยการควบคุมน้ำตาลในเลือด รอบๆจอตา  เป็นรอบๆที่มีเส้นเลือดฝอยมาเลี้ยงมากมาย  เมื่อเส้นเลือดฝอยถูกทำลายทำให้ผนังเส้นเลือดฝอยโป่งพองกระทั่งแตก มีเลือดไหลออกมาในบริเวณวุ้นตา  เมื่อรอยรั่วหายก็ดีแล้วกำเนิดแผลซึ่งจะกีดกั้นการไหลของเลือดภายในตา  จึงเกิดการงอกใหม่ของเส้นเลือดฝอย เพื่อช่วยสำหรับเพื่อการไหลเวียนของเลือด  แม้กระนั้นเส้นเลือดฝอยที่แตกหน่อใหม่จะเปราะบาง  แตกง่าย  ทำให้มีเลือดออกมาอยู่ในวุ้นตาและจอตา  ระยะนี้จะพบว่าคนเจ็บมีอาการตามัว  เมื่อแผลเกิดขึ้นมากขึ้นจะสร้างเส้นใยเป็นร่างแหในลูกตา  เมื่อรอยแผลเป็นหดรัดตัว  เกิดการดึงรังรวมทั้งฉีกจนขาดของเยื่อบริเวณส่วนหลังของลูกตา  จะมีลักษณะเสมือนมีม่านดำกางผ่านขวางตาหรือเหมือนมีแสงสีดำพาดผ่านตา  ซึ่งเมื่อมีลักษณะอาการแบบนี้ให้พบจักษุแพทย์ในทันทีเนื่องจากอาจจะทำให้ตาบอดได้
ปลายประสาทเสื่อมจากเบาหวาน เป็นโรคเข้าแทรกที่พบบ่อยในคนไข้โรคเบาหวาน  โดยไม่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอันตรายถึงแก่เสียชีวิต แต่ทำให้มีความรู้สึกเบื่อหน่ายรวมทั้งทุกข์ทรมานสาหัส  มีเหตุที่เกิดจากเส้นเลือดฝอยที่มาเลี้ยงเส้นประสาทถูกทำลาย   ไม่สามารถที่จะส่งออกซิเจนมาตามกระแสโลหิตเพื่อไปเลี้ยงเส้นประสาทได้  รวมทั้งการมีน้ำตาลสะสมรวมตัวกันอยู่บริเวณเส้นประสาทเองด้วย จึงทำให้แนวทางการทำงานของเส้นประสาทเสื่อมลง   การรับรู้ความรู้สึกต่างๆลดลง  โดยยิ่งไปกว่านั้นบริเวณปลายมือปลายตีน จะกำเนิดอาการชา  เมื่อกระทบถูกความร้อนหรือเจ็บปวดจะไม่ค่อยรู้สึก  ก็เลยทำให้เป็นอันตรายกับคนเจ็บเบาหวาน  เนื่องจากอาจจะส่งผลให้เกิดแผลได้ง่ายโดยไม่รู้สึกตัว  เมื่อเป็นมากอาจทำให้กล้ามเนื้อลีบเล็กลง  ทำงานกิจวัตรได้น้อยลง
 นับเป็นโรคแทรกซ้อนที่คุกคามต่อชีวิตได้  ผู้ป่วยจะมีลักษณะอาการเจ็บแน่นหน้าอก จากเส้นโลหิตหัวใจตีบ  กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จนกว่ากล้ามเนื้อหัวใจตายท้ายที่สุด โรคเส้นเลือดหัวใจ มักมีสาเหตุจากควบคุมเบาหวานไม่ดี  ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ไม่ออกกำลังกาย อ้วน ดูดบุหรี่ประวัติความเป็นมาโรคหัวใจในครอบครัว  รวมทั้งเป็นคนที่เครียดบ่อยๆ
โรคเส้นเลือดสมองตีบตัน เป็นโรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นมาจากหลอดเลือดที่มาเลี้ยงรอบๆสมองแคบ  กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการทุพพลภาพหรืออาการร้ายแรงถึงเสียชีวิตได้  โอกาสเกิดหลอดเลือดสมองตีบจะสูงขึ้น ในคนไข้เบาหวานที่มีความดันเลือดสูงร่วมด้วย  ทำให้อวัยวะที่สมองส่วนนั้นควบคุมอยู่ เหน็ดเหนื่อยลงไปกำเนิดอัมพฤกษ์  หรืออัมพาต

  • ปัจจัยเสี่ยง/กรุ๊ปเสี่ยงที่นำมาซึ่งเบาหวาน โรคค่อยซาบซ่านมีสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงหลายประการ อาทิเช่น
  • พันธุ์บาป มูลเหตุหลักของผู้ป่วยเบาหวานคือ ประเภทบาป พบว่าราวหนึ่งในสามของคนไข้โรคเบาหวานมีประวัติญาติเป็นโรคเบาหวาน ลักษณะยีนของการเป็นโรคเบาหวานเป็นลักษณะทางจำพวกบาปที่สืบทอดกันผ่านโครโมโซมในนิวเครียสของเซลล์เหมือนกันกับการสืบทองของจำพวกกรรมอื่นๆ
  • ความอ้วน ความอ้วนเป็นอีกต้นสายปลายเหตุหนึ่งของการเกิดโรคเบาหวานเนื่องจากว่าจะก่อให้เซลล์ของร่างกายสนองตอบต่อฮอร์โมนอินซูลินต่ำลง อินซูลินก็เลยไม่สามารถที่จะพาน้ำตาลไปสู่เซลล์ก้าวหน้าดังเดิม กระทั่งกลายมาเป็นสภาวะขาดน้ำตาลในเลือดสูง
  • อายุ เมื่อแก่ขึ้นอวัยวะต่างๆย่อมจะต้องเสื่อมลง รวมถึงตับอ่อนที่มีบทบาทสังเคราะห์แล้วก็ผลิตฮอร์โมนอินซูลิน ก็จะปฏิบัติภารกิจได้น้อยลงก็เลยเป็นต้นเหตุหนึ่งของเบาหวาน
  • ตับอ่อนไม่สมบูรณ์ อีกมูลเหตุหนึ่งของเบาหวานอาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากการที่ตับอ่อนได้รับการกระทบกระเทือนหรือเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้เกิดผลเสียต่อตับอ่อน รวมถึงอาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากโรค ตัวอย่างเช่น ตับอ่อนอักเสบเรื้อรังจากการดื่มสุรามากเกินไป ซึ่งมีความจำเป็นจำเป็นต้องผ่าตัดเอาบางส่วนของตับอ่อนออก หกบุคคลนั้นมีลักษณะท่าทางว่าจะเป็นโรคเบาหวานอยู่แล้ว เมื่อตกอยู่ในสภาวะนี้ก็จะแสดงอาการของเบาหวานได้เร็วขึ้น
  • การติดเชื้อไวรัสบางประเภท เชื้อไวรัสบางชนิด เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วมีผลใกล้กันสำหรับในการกำเนิดโรคเบาหวาน ดังเช่น คางทูม หัดเยอรมัน
  • ยาบางจำพวก ยาบางประเภทก็มีผลต่อการเกิดเบาหวานเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น ยาขับเยี่ยว ยาคุม เพราะเหตุว่าทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้ ควรต้องหารือหมอก่อนใช้ยา โดยยิ่งไปกว่านั้นเมื่อจำเป็นต้องใช้ยาติดต่อกันนานๆ
  • ภาวการณ์ตั้งครรภ์ เนื่องจากฮอร์โมนหลายแบบที่เกลื่อนกลาดสังเคราะห์ขึ้นมานั้น ส่งผลยังยั้งรูปแบบการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน คนที่ท้องจึงเพิ่มความเสี่ยงสำหรับการเกิดโรคเบาหวาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มียีนเบาหวานอนยู่ในร่างกาย แล้วก็ภาวการณ์เบาหวานสอดแทรกในระหว่างมีท้องเป็นโทษเป็นอย่างมาก จึงต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด

กรุ๊ปเสี่ยงที่จะป่วยด้วยเบาหวาน

  • คนที่มีลักษณะต่างๆของโรคเบาหวานดังที่กล่าวมา
  • แก่กว่า 40 ปี
  • มีพี่น้องสายตรงเป็นโรคเบาหวาน
  • เคยหรูหราน้ำตาลอยู่ในระยะก่อนโรคเบาหวาน
  • เคยเป็นเบาหวานขณะมีท้อง
  • คลอดบุตรหนักมากกว่า 4 กก.
  • ความดันโลหิตสูง
  • มีไขมันในเลือดแตกต่างจากปกติ
  • มีโรคเส้นโลหิตตีบแข็ง
  • มีโรคที่บ่งบอกว่ามีภาวการณ์ดื้อรั้นต่ออินซูลินเช่นโรครังไข่มีถุงน้ำหลายถุง

คนที่มีสภาวะดังที่กล่าวผ่านมาแล้วถึงแม้ไม่มีอาการของโรคโรคเบาหวานควรสำรวจ ถ้าหากระดับน้ำตาลอยู่ในข่ายสงสัยควรจะตรวจซ้ำในระยะ 1 ปี

  • กรรมวิธีรักษาโรคเบาหวาน เนื่องจากว่าประมาณครึ่งเดียวของคนเจ็บโรคเบาหวานไม่มีอาการ ผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะกำเนิดโรค โรคเบาหวานจำเป็นต้องตรวจคัดเลือกกรองเบาหวานทุกปี หมอวินิจฉัโรคเบาหวาน[/url]ได้จาก ประวัติอาการ เรื่องราวป่วยต่างๆเรื่องราวเจ็บ ป่วยไข้ของคนในครอบครัว การตรวจร่างกาย และที่สำคัญคือ การพิสูจน์เลือดเพื่อดูปริมาณน้ำตาลในเลือด แล้วก็/หรือ ดูสารที่เรียกว่า ฮีโมโกลบินเอวันซี (HbA1C: Glycated hemoglobin)

    ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดนั้นเป็นแนวทางที่จะทำให้เรารู้ได้อย่างเห็นได้ชัดว่ามีระดับน้ำตาลสูงเท่าใด ซึ่งทำให้รู้ว่าเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ค่อนข้างที่จะแน่ๆ ในคนปกติระดับน้ำตาลในเลือดจะคงที่ คือราวๆ 80-110 มิลลิกรัม/ดล. โดยระดับน้ำตาลก่อนรับประทานอาหารยามเช้าจะมีค่าราว 70-115 มก./เดซิลิตร เมื่อกินอาหาร ของกินจะถูกสลายตัวเป็นน้ำตาลกลูโคสแล้วก็ถูกดูดซึมไปสู่กระแสเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากขึ้นแต่ว่าจะไม่เกิน 140 มิลลิกรัม/ดล. หลังรับประทานอาหารเช้าแล้ว 2 ชั่วโมง แต่หากตรวจเจอระดับน้ำตาลที่สูงเกิน 140 มก./ดล. อย่างน้อย 2 ครั้งขึ้นไปก็จะจัดว่าผู้นั้นเป็น “โรคเบาหวาน”
    ตรวจหา ฮีโมโกบิน เอ วัน ซี (Hb A1 C) เป็นการตรวจปริมาณน้ำตาลด้ามจับอยู่กับฮีโมโกบินซึ่งเป็นสารโปรตีนชนิดหนึ่งในเม็ดเลือดแดงมีหน้าที่นำออกซิเจนไปสู่เซลล์ การตรวจด้วยแนวทางลักษณะนี้จะใช้ข้างหลังการรักษาแล้วเพื่อตรวจผลการควบคุมโรคมากยิ่งกว่าตรวจเพื่อหาโรค  ในกรณีที่มีอาการป่วยเป็นโรคเบาหวานในสภาวะที่ควบคุมได้ยากหรือมีโรคแทรกควรได้รับการตรวจทุกๆ2 อาทิตย์ถ้าอยู่ระหว่างตอนตั้งท้องและเป็นเบาหวานควรตรวจปริมาณฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี (Hb A1 C) ทุกๆ1 – 2 เดือนเพื่อบอกปริมาณน้ำตาลในเลือดว่าอยู่ในสภาวะที่เป็นโทษหรือไม่ ยิ่งไปกว่านี้อาจมีการตรวจอื่นๆมี อย่างเช่น  ตรวจระดับน้ำตาลในเยี่ยว ในกรณีที่วัดระดับน้ำตาลในเยี่ยวและพบว่ามีน้ำตาลผสมออกด้วยนั้น ย่อยแสดงว่าผู้นั้นมีอาการป่วยเป็นเบาหวาน โดยมองประกอบกับการมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงยิ่งกว่า 180-200 มิลลิกรัม/ดล. เหตุที่เป็นแบบนี้เหตุเพราะไตของผู้คนมีความรู้ความเข้าใจกรองน้ำตาลได้โดยประมาณ 180-200 มก./เดซิลิตร  ด้วยเหตุผลดังกล่าวถ้าหากร่างกายมีน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นยิ่งกว่าระดับนี้ ไตก็จะไม่สามารถที่จะกรองน้ำตาลเอาไว้ได้น้ำตาลส่วนที่เกินออกมาพวกนั้นก็จะถูกขับออกมากับฉี่
    Glucose tolerance test (GTT) การตรวจด้วย GTT มักทำในเด็กที่ยังไม่มีอาการโรคเบาหวานแจ่มกระจ่าง ตรวจเลือดหาระดับน้ำตาลข้างหลังงดอาหารกับการตรวจเยี่ยวยังไม่พบความไม่ดีเหมือนปกติ GTT มักทำในเด็กที่แต่งงานที่มีบิดาหรือมารดาเป็นโรคโรคเบาหวานหรือตรวจฝาแฝดราวกับ (identical twins) ที่คนหนึ่งเป็นโรคโรคเบาหวานแล้ว
    การรักษาโรคค่อยหวน ปัจจุบันนี้เบาหวานมีแนวทางการดูแลและรักษา 4 วิถีทางประกอบกันเป็น  การฉีดอินซูลินเข้าสู่ร่างกายโดยตรง  การใช้ยาเม็ดควบคุมน้ำตาลในกระแสโลหิต การควบคุมอาหาร การบริหารร่างกาย
    การดูแลและรักษาโดยการฉีดอินซูลิน การใช้อินซูลินในคนไข้โรคเบาหวานจำพวกที่ 1 โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เกิดขึ้นจากการที่ร่างกายไม่สามารถที่จะสร้างอินซูลินได้อย่างพอเพียง โดยปกติแพทย์มักกำหนดให้ฉีดอินซูลินไปสู่ร่างกายวันละ 2 ครั้ง การใช้อินซูลินในผู้เจ็บป่วยเบาหวานประเภทที่ 2  ในคนไข้เบาหวานชนิดที่ 2 นั้น ตับอ่อนยังคงปฏิบัติหน้าที่ผลิตอินซูลินได้ แต่ร่างกายกลับต่อต้านอินซูลินหรืออินซูลินที่ได้ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอทำให้ไม่อาจจะควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ วัตถุประสงค์ของการรักษาเบาหวานชนิดที่ 2 ในตอนนี้ ก็เลยมุ่งเน้นไปที่การลดระดับน้ำตาบในกระแสเลือดอีกทั้งในตอนก่อนและหลังรับประทานอาหารเพื่อคุ้มครองปกป้องการเกิดภาวะแทรกซ้อนของเส้นโลหิตแดง
    การดูแลและรักษาโดยการใช้ยา ยารักษาเบาหวาน ยาที่ใช้เพื่อการรักษาโรคเบาหวานนั้น แบ่งออกได้เป็น 4 กรุ๊ปเป็น ยาที่มีผลสำหรับการกระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งปริมาณอินซูลินเยอะขึ้น อาทิเช่น Sulfonylureas (Chlorpropamide, Acetazolamide, Tolazamide, Glyburide หรือ Glipizide) โดยทำหน้าที่ลดปริมาณน้ำตาลในเลือด ด้วยการกระตุ้นให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินในปริมาณมากขึ้น ยาที่ส่งผลในการยับยั้งการเผาไหม้คาร์โบไฮเดรตในไส้ ดังเช่นว่า Alpha-Glycosides inhibitors (Acarbose และก็ Meglitol) ชวยชะลอกระบวนการยอยและก็ดูดซมน้ำตาลรวมทั้ง แปงในลําไสซึ่งจะมีผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำข้างหลังมื้อของกิน ยาที่มีผลสำหรับการลดการผลิตเดกซ์โทรสในตับแล้วก็เพิ่มการใช้น้ำตาลเดกซ์โทรส เป็นต้นว่า Biguanide (Metformin) เป็นยาที่ช่วยลดจำนวนการสร้างกลูโคสจากตับแล้วก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอินซูลินซึ่งผลิตโดยตับอ่อน ยาที่ทำหน้าที่ลดสภาวะการต้านอินซูลินในร่างกาย ดังเช่นว่า ยาในกลุ่ม Thiazolidine diones  Thiazolidinediones (Rosiglitazone และ Pioglitazone) ยาจำพวกนี้ไม่มีฤทธิ์ต่อตับอ่อน แต่ว่าปฏิบัติภารกิจเพิ่มประสิทธิภาพหลักการทำงานของอินซูลินที่ตับอ่อนผลิตออกมา การควบคุมอาหาร การควบคุมของกินชนิดแป้ง และก็น้ำตาล เป็นการช่วยลดปริมาณน้ำตาลในเลือดได้อย่างดีเยี่ยม และก็แม้ทำพร้อมกันไปกับการใช้ยาด้วยและจะมีผลให้กำเนิดสมรรถนะ/ประสิทธิผลสำหรับเพื่อการรักษาโรคโรคเบาหวานได้ดิบได้ดีเพิ่มขึ้น
    การรักษาโดยการออกกำลังกาย เมื่อออกกำลังกายจะมีการเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้น 3 ประการ ตัวอย่างเช่น  มีการใช้พลังงานมากเพิ่มขึ้น มีการดำเนินงานของปอดและก็หัวใจเพิ่มขึ้น มีการปรับระดับฮอร์โมนหลายแบบ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะเกิดขึ้นมากน้อยขึ้นอยู่กับต้นสายปลายเหตุหลายสิ่งหลายอย่าง ดังเช่น ระยะเวลาของการออกกำลังกาย ความหนักเบาของการออกกำลังกาย ภาวะโภชนาการรวมทั้งสภาพความสมบูรณ์ของปอดแล้วก็หัวใจ

  • การติดต่อของโรคเบาหวาน เบาหวานเป็นโรคในระบบเมตาบอลิซึมในร่างกายก็เลยไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือสัตว์สู่คน
  • การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคเบาหวาน พฤติกรรมการบริโภค เลือกบริโภคของกินให้ครบ 5หมู่ โดยพิจารณาถึงพลังงานที่ได้จากของกินคร่าวๆจากคาร์โบไฮเดรต(แป้ง)ราวๆ 55 - 60%โปรตีน (เนื้อสัตว์) โดยประมาณ 15-20%ไขมัน โดยประมาณ 25% คนที่มีน้ำหนักตัวมากน่าจะจำต้องลดจำนวนการกินลง โดยบางครั้งอาจจะเบาๆน้อยลงให้เหลือเพียงครึ่งหนึ่งของปริมาณที่เคยกินปกติ รวมทั้งพยายามงดเว้น อาหารมันและทอด กินอาหารที่มีกากใยมากเพื่อช่วยสำหรับเพื่อการขับถ่าย. เลี่ยงการกินเล็กๆน้อยๆและทานอาหารไม่ทันเวลา พยายามทานอาหารในจำนวนที่บ่อยกันในทุกมื้อ ถ้าเกิดมีลักษณะอาการเกี่ยวกับโรคไตหรือความดันโลหิตสูง ควรหลีกเลี่ยงของกินรสเค็ม ควบคุมด้านการกินอาหารหากแม้ระดับน้ำตาลในเลือดจะธรรมดาและตาม งดบริโภคอาหารต่างๆเหล่านี้ น้ำตาลทุกชนิด รวมถึงน้ำผึ้ง ผลไม้กวนชนิดต่างๆของหวานเชื่อม อาหารหวานต่างๆผลไม้ที่มีรสหวานมากๆน้ำหวานจำพวกต่างๆของหวานทอดกรอบหรือชุบแป้งทอด กระทำตามแพทย์ พยาบาลเสนอแนะ รับประทานยาให้ถูกครบสมบูรณ์ ไม่ขาดยา รู้จักผลข้างเคียงจากยาโรคเบาหวาน และการดูแลตัวเองที่สำคัญ คือ สภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ รักษาสุขอนามัยเสมอ เพราะคนป่วยจะติดโรคต่างๆได้ง่าย จากโรคเบาหวานเป็นสาเหตุที่ทำให้มีภูมิต้านทานขัดขวางโรคน้อยลง รักษาสุขภาพเท้าเสมอ เลิกสูบบุหรี่ ไม่สูบบุหรี่ เนื่องจากว่ายาสูบเพิ่มโอกาสเป็นผลข้างเคียงของโรคเบาหวาน เลิกสุรา หรือจำกัดเหล้าให้เหลือต่ำที่สุด เพราะว่าเหล้าอาจมีผลต่อยาที่ควบคุมโรคเบาหวานและก็โรคต่างๆทำให้ควบคุมโรคต่างๆได้ยาก ไม่ซื้อยารับประทานเอง และไม่ใช้สมุนไพรเมื่อกินยาเบาหวาน เนื่องจากบางทีอาจต้านทานหรือเพิ่มฤทธิ์ของยาเบาหวาน จนกระทั่งอาจทำให้เกิดผลข้างๆจากยาเบาหวานที่ร้ายแรงได้ ยกตัวอย่างเช่น ผลต่อไต หรือภาวการณ์น้ำตาลในเลือดต่ำ ฉีดยาคุ้มครองโรคต่างๆตามแพทย์เสนอแนะ เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่เจอหมอรักษาตาบ่อยตามหมอโรคเบาหวานแล้วก็จักษุแพทย์แนะนำ เพื่อการวิเคราะห์ แล้วก็การดูแลและรักษาสภาวะโรคเบาหวานขึ้นตาแต่เนิ่นๆคุ้มครองป้องกันตาบอดจากโรคเบาหวาน เจอหมอตามนัดหมายเสมอ หรือรีบเจอหมอก่อนนัดหมาย เมื่อมีลักษณะต่างๆไม่ปกติไปจากเดิม

    จุดหมายการควบคุมของผู้ป่วยเบาหวาน ตามคำแนะนำของชมรมเบาหวานที่อเมริกา
                    เป้าหมาย
    น้ำตาลก่อนรับประทานอาหาร (มก./
38  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคกล้ามเนื้ออ่อนเเรง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: มีนาคม 24, 2018, 02:13:02 pm

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง MG (Myasthenia gravis)

  • โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เป็นยังไง โรคกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย (Myasthenia gravis) โรคกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรง (myasthenia gravis) หรือ โรคเอ็มจี เป็นชื่อภาษากรีกและก็ภาษาละติน แสดงว่า "grave muscular weakness" เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง ชนิดหนึ่งที่เป็นโรค ออโตอิมมูน (Autoimmune) ชนิดเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่ทำให้กล้ามเนื้อลาย (กล้ามเนื้อที่อยู่สำหรับเพื่อการควบคุมของสมอง ซึ่งคือ กล้ามเนื้อด้านนอกร่างกาย ที่ร่างกายใช้เพื่อการขยับเขยื้อนต่างๆดังเช่น กล้ามเนื้อ แขน ขา ดวงตา ใบหน้า ช่องปาก กล่องเสียง และกล้ามซี่โครงที่ใช้เพื่อการหายใจ มีการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจนถึงไม่สามารถปฏิบัติงานหดตัวได้ตามเดิม หรืออีกแง่หนึ่งคือโรคกล้ามอ่อนแรง (Myasthenia Gravis; MG) เป็นโรคภูมิต้านทานของร่างกายทำงานเปลี่ยนไปจากปกติ ซึ่งไปทำลายตัวรับสัญญาณประสาท (receptor) ที่อยู่บนกล้ามเนื้อของตนเองนำมาซึ่งอาการกล้ามเหน็ดเหนื่อย ด้วยเหตุว่าไม่สามารถรับสัญญาณประสาทที่กระตุ้นให้กล้ามหดตัวได้ โดยผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะหนังตาตก ยิ้มได้ลดลง หายใจติดขัด มีปัญหาการพูด การบด การกลืน รวมถึงการเคลื่อนไหวของร่างกาย โรคกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยทุกเพศทุกวัย ปัจจุบัน ทั้งยังการรักษาทำเป็นเพียงแต่เพื่อทุเลาอาการเท่านั้น

    ทั้งนี้ โรคกล้ามเนื้ออ่อนล้า MG  ไม่ใช่โรคใหม่ แม้กระนั้นเป็นโรคที่มีการบันทึกว่าพบคนเจ็บ มาตั้งแต่ 300 ปีก่อน  และโรคกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อย MG เป็นโรคพบได้ไม่บ่อยนัก ราว 10 ราย ต่อพลเมือง 100,000 คน เจอได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็กอ่อนจนกระทั่งผู้สูงวัย โดยพบในหญิงมากกว่าในเพศชายราวๆ 3:2 เท่า ดังนี้เจอโรคนี้ในเด็กได้ราว 10%ของผู้ที่เจ็บป่วยที่มีสาเหตุมาจากโรคชนิดนี้ทั้งผอง ในผู้ใหญ่เพศหญิง พบมากโรคได้สูงในช่วงอายุ 30-40 ปี แม้กระนั้นในผู้ใหญ่ผู้ชาย พบได้มากโรคได้สูงในช่วงอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป

  • สิ่งที่ทำให้เกิดโรคกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย (MG) สำหรับในการเคลื่อนกล้ามเนื้อแต่ละมัด สมองต้องส่งสัญญาณประสาทไปตามเส้นประสาท และก็จะมีการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาทที่รอบๆรอยต่อระหว่างเส้นประสาทแล้วก็กล้ามสารสื่อประสาทนี้จะไปส่งสัญญาณที่ตัวรับสัญญาณบริเวณกล้ามแต่ละมัดเพื่อให้กล้ามเนื้อเกิดการหดตัว คนไข้โรคกล้ามเหน็ดเหนื่อย (MG) เมื่อปลายประสาทมีการหลั่งสารสื่อประสาทออกมาจะไม่สามารถส่งสัญญาณสู่ตัวรับบนกล้ามเนื้อได้ เนื่องจากว่าร่างกายได้สร้างแอนติบอดีมากัดกันและทำลายตัวรับสัญญาณบนกล้ามเนื้อไป ซึ่งเมื่อการถูกทำลายขึ้นแล้วนั้น แม้ว่าเซลล์ประสาทจะหลั่งสารเคมีให้กำเนิดกระแสไฟส่งมายังเซลล์กล้ามเนื้ออย่างไรก็ตาม เซลล์กล้ามเนื้อก็ไม่ทำงานด้วยเหตุว่าถูกทำลายไปแล้วอย่างสิ้นเชิง

ส่วนต้นเหตุของโรคกล้ามอ่อนล้านั้น มักมีต้นเหตุมาจากปัญหาเรื่องการแพ้ภูมิตนเอง (Autoimmune Disorder) โดยมีเนื้อหาสิ่งที่ทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนล้า ดังนี้  สารภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี้ (Antibodies) รวมทั้งการส่งสัญญาณประสาท ปกติระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะผลิตแอนติบอดี้ออกมาเพื่อทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งเจือปนที่เข้ามาในร่างกาย แม้กระนั้นในคนไข้กล้ามเนื้ออ่อนแรง แอนติบอดี้จะไปทำลายหรือขัดขวางหลักการทำงานของสารสื่อประสาทแอสิตำหนิลโคลีน (Acetylcholine) โดยถูกส่งไปที่ตัวรับ (Receptor) ซึ่งอยู่ที่ปลายระบบประสาทบนกล้ามแต่ละผูก ทำให้กล้ามเนื้อไม่อาจจะหดตัวได้  ทั้งนี้ อวัยวะที่หมอมั่นใจว่าเป็นตัวก่อกำเนิดการผลิตสารภูมิคุ้มกันแตกต่างจากปกติตัวนี้เป็นต่อมไทมัส (Thymus gland) ต่อมไทมัส เป็นต่อมที่มีบทบาทเกี่ยวพันกับการผลิตภูมิคุ้มกันต้นทานโรคของร่างกาย (Immune system) เป็นต่อมที่อยู่ในช่องอกตอนบน ต่อมอยู่ใต้กระดูกอก (Sternum) โดยวางอยู่บนด้านหน้าของหัวใจโดยต่อมไทมัสจะผลิตสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ไปกีดกั้นการทำงานของสารสื่อประสาทแอสิติเตียนลโคลีน (Acetylcholine) จึงทำให้มีการเกิดอาการกล้ามเมื่อยล้าดังกล่าวข้างต้น ซึ่งปกติแล้วเด็กจะมีต่อมไทมัสขนาดใหญ่แล้วก็จะเบาๆเล็กลงเรื่อยเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ แม้กระนั้นผู้เจ็บป่วยกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อยจะมีขนาดของต่อมไทมัสที่ใหญ่ไม่ปกติ หรือผู้เจ็บป่วยบางรายมีสภาวะกล้ามอ่อนล้าที่เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากเนื้องอกของต่อมไทมัส ซึ่งเจอประมาณร้อยละ 10 ในคนไข้สูงอายุ

  • ลักษณะโรคกล้ามอ่อนกำลัง (MG) อาการสำคัญของโรคกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง (MG) คือจะมีอาการเหนื่อย อ่อนล้า กล้ามเนื้อเมื่อยล้า และก็จะอ่อนล้ามากขึ้นเรื่อยๆเมื่อออกแรงเยอะขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าอาการจะดีขึ้นเมื่อกล้ามหยุดพักการออกแรง

นอกจากนั้น อาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วย โดยจะขึ้นกับว่า โรคกำเนิดกับกล้ามส่วนไหนของร่างกาย ดังนี้ ประมาณ 85% ของคนเจ็บจะมีลักษณะอาการกล้ามเนื้ออ่อนเพลียในทุกผูกของกล้ามเนื้อลายส่วนอาการที่พบได้มากที่สุดของโรคกล้ามอ่อนแรง (MG)เป็นอาการอ่อนแรงของกล้ามที่ช่วยชูกลีบตาแล้วก็กล้ามเนื้อตา ส่งผลให้เกิดหนังตาตกรวมทั้งเห็นภาพซ้อน ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งยัง 2 ข้างก็ได้ และมักพบอาการแตกต่างจากปกติอื่นๆของกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆได้อีกตัวอย่างเช่น
บริเวณใบหน้า แม้กล้ามเนื้อที่เกี่ยวพันกับการแสดงออกบนใบหน้าได้รับผลพวง จะก่อให้การแสดงออกทางสีหน้าถูกจำกัด อาทิเช่น ยิ้มได้ลดน้อยลง หรือแปลงเป็นยิ้มแยกเขี้ยวเพราะเหตุว่าไม่สามารถที่จะควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้
การหายใจ ผู้ป่วยกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อยจำนวนหนึ่งมีลักษณะอาการหายใจติดขัด โดยยิ่งไปกว่านั้นเมื่อนอนราบอยู่บนเตียงหรือหลังจากการออกกำลังกาย
การพูด การเคี้ยวแล้วก็การกลืน เป็นผลมาจากกล้ามเนื้อรอบปาก เพดานอ่อน หรือลิ้นอ่อนล้า นำไปสู่อาการผิดปกติ เช่น พูดเสียงเบาแหบ พูดเสียงขึ้นจมูก เคี้ยวไม่ได้ กลืนทุกข์ยากลำบาก ไอ สำลักของกิน บางกรณีอาจเป็นสาเหตุไปสู่การตำหนิดเชื้อที่ปอด
คอ แขนแล้วก็ขา บางทีอาจเกิดขึ้นร่วมกับอาการอ่อนเพลียของกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆมักเกิดขึ้นที่แขนมากยิ่งกว่าที่ขา ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย อย่างเช่น เดินเตาะแตะ เดินตัวตรงได้ยาก กล้ามเนื้อบริเวณคออ่อนแรง ทำให้ตั้งหัวหรือชันหัวลำบาก เป็นเหตุให้เกิดปัญหาในการทำกิจกรรมต่างๆ

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะส่งผลให้เกิดโรคกล้ามอ่อนแรง (MG) ในปัจจุบันยังไม่สามารถชี้แจงสาเหตุของความไม่ปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่ไปทำลายตัวรับสัญญาณบนกล้ามได้อย่างแจ่มแจ้ง อย่างไรก็ดี พบว่าโรคกล้ามเนื้ออ่อนล้า (MG) มักมีความสัมพันธ์กับโรคของต่อมไทมัส โดย โดยประมาณ 85%พบเกิดร่วมกับมีโรคเซลล์ต่อมไทมัสเจริญรุ่งเรืองเกินปกติ (Thymus hyperplasia) และก็ราวๆ 10-15% เกิดร่วมกับโรคเนื้องอกต่อมไทมัส (Thymoma)

นอกเหนือจากนั้น มีแถลงการณ์ว่า พบโรคกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย (MG) เกิดร่วมกับโรคมะเร็งปอดจำพวกเซลล์ตัวเล็ก แล้วก็โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์กิน ทั้งคนเจ็บบางทีอาจเจอความผิดปกติรวมทั้งโรคที่มีต้นเหตุมากจากภูมิต้านทานตนเองประเภทอื่นๆร่วมด้วยได้ อย่างเช่น โรคตาจากไทรอยด์ (Thyroidorbitopathy) โรคกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง (MG)จะสามารถดียิ่งขึ้นได้เองแล้วบางทีอาจกลับเป็นซ้ำได้อีกคล้ายกับโรคภูมิคุ้มกันตัวเองชนิดอื่นๆ

  • กระบวนการรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง (MG)

การวินิจฉัย MG เป็นโรคที่มีลักษณะสำคัญคือ fatigue รวมทั้งfluctuation ของกล้ามรอบๆตาแขนขาและก็การพูดรวมทั้งกลืนอาหาร ผู้เจ็บป่วยจะมีอาการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อได้ใช้งานหน้าที่นั้นๆไประยะหนึ่ง รวมทั้งอาการร้ายแรงในขณะที่แตกต่างกันโดยมีลักษณะมากมายเวลาบ่ายๆบางเวลาผู้เจ็บป่วยมาเจอแพทย์ช่วงที่ไม่มีอาการ แพทย์ก็ตรวจไม่เจอความผิดแปลก ก็เลยไม่สามารถที่จะให้การวินิจฉัยโรคได้ รวมทั้งอาจวินิจฉัยบกพร่องว่าเป็น anxiety แม้กระนั้นการให้การวินิจฉัยโรคMG ทำ ได้อย่างง่ายๆในคนป่วยจำนวนมากเพราะมีลักษณะจำ เพาะทางคลินิกที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ว การตรวจเพิ่มอีกเพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่แน่นอนแล้วก็ในรายที่อาการคลุมเครือยกตัวอย่างเช่น

  • การตรวจ ระบบประสาท ดังเช่นว่าการให้คนเจ็บได้ทำกิจกรรมสม่ำเสมอที่ทำ     ให้ผู้เจ็บป่วยมีลักษณะอาการ

อ่อนล้าได้ยกตัวอย่างเช่นการมองขึ้นนาน1นาทีแล้วตรวจว่าคนไข้มีภาวการณ์หนังตาตก มากขึ้นหรือเปล่า โดยวัดความกว้างของ palpablefissure ที่ตาอีกทั้ง 2 ข้างการให้คนเจ็บเดินขึ้นบันไดหรือลุก-นั่ง สลับกันเป็นระยะเวลาหนึ่งผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะเหน็ดเหนื่อยขึ้นอย่างชัดเจนรวมทั้งอาการอ่อนเพลียดีขึ้นเมื่อพักสักประเดี๋ยวการให้ผู้เจ็บป่วยกล่าวหรืออ่านออกเสียงดังๆคนป่วยจะมีลักษณะเสียงแหบหรือหายไปเมื่อพักแล้ว

  • Ice test โดยการนำนํ้าแข็งห่อใส่อุปกรณ์ตัวอย่างเช่น นิ้วของถุงมือยาง แล้วนำ ไปวางที่เปลือกตาของผู้ป่วยนาน2นาทีประเมินอาการptosisว่าดียิ่งขึ้นหรือไม่ผู้เจ็บป่วย MG จะให้ผลบวก
  • Prostigmintest โดยการฉีด prostigmin ขนาด 1-1.5 มก. ฉีดเข้าทางกล้าม แล้วประเมินที่ 15, 20, 25 รวมทั้ง 30 นาทีโดยประเมินอาการภาวการณ์หนังตาตกอาการอ่อนล้าหรือเสียงแหบให้ผลบวกราวๆร้อยละ90 คือคนไข้จะมีอาการดีขึ้นอย่างแจ่มแจ้ง ผู้ป่วยบางทีอาจกำเนิดลักษณะของการปวดท้องอย่างหนัก หรือหัวใจเต้นช้าลงจากฤทธิ์ของยาวิธีปรับปรุงคือฉีดยา atropine 0.6 มิลลิกรัมทางหลอดเลือดดำ ซึ่งหมอบางท่านแนะนำ ให้ฉีดยาatropineก่อนจะกระทำการทดสอบ
  • การตรวจเลือด แพทย์จะตรวจนับจำนวนของแอนติบอดี้ คนที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนล้านั้นจะมีจำนวนของแอนติบอดี้ที่ไปยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อมากไม่ดีเหมือนปกติ ส่วนใหญ่จะตรวจพบแอนติบอดี้ชนิด Anti-MuSK
  • การตรวจการโน้มน้าวประสาท (Nerve Conduction Test) ทำได้ 2 วิธีเป็นRepetitive Nerve Stimulation Test เป็นการทดสอบด้วยการกระตุ้นเส้นประสาทบ่อยๆเพื่อมองการทำงานของผูกกล้าม โดยการต่อว่าดขั้วกระแสไฟฟ้าที่ผิวหนังบริเวณที่เจออาการอ่อนเพลีย แล้วก็ส่งกระแสไฟฟ้าจำนวนนิดหน่อยเข้าไปเพื่อวิเคราะห์ความรู้ความเข้าใจของเส้นประสาทในการส่งสัญญาณไปที่มัดกล้าม และการตรวจด้วยไฟฟ้า (Electromyography) เป็นการวัดกระแสไฟฟ้าจากสมองที่ส่งไปยังกล้ามเนื้อเพื่อมองรูปแบบการทำงานของเส้นใยกล้ามเนื้อเพียงแต่เส้นเดียว (Single-fiber Electromyography หรือ EMG)

การดูแลและรักษา จุดมุ่งหมายสำหรับการรักษาคนไข้ MG ของแพทย์คือการที่ผู้เจ็บป่วยหายจากอาการโดยไม่ต้องกินยาซึ่งมีกลไกในการรักษา 2 ประการเป็น เพิ่มวิธีการทำ งานของ neuromusculartransmissionลดผลของ autoimmunity ต่อโรค
การดูแลและรักษาจะแบ่งคนป่วยเป็น 2 กลุ่มซึ่งมีแนวทางการดูแลรักษาแตกต่างกัน

  • ผู้ป่วยที่มีสภาวะกล้ามอ่อนเพลียที่รอบๆกล้ามเนื้อตา ( Ocula MG ) ควรเริ่มด้วยยา ace-tylcholinesteraseinhibitors เช่น pyridostigmine (mestinon) ขนาดเม็ดละ 60 มิลลิกรัม ครึ่งถึง 1 เม็ด 3 เวลาหลังอาหาร แล้วมองการโต้ตอบว่าอาการหนังตาตกลืมตาลำบากมากน้อยเพียงใด มีผลแทรกซ้อนจากยาหรือไม่ ถ้าเกิดอาการยังไม่ดีขึ้นควรจะเพิ่มยา prednisoloneขนาดราวๆ 15-30มก.ต่อวันรวมทั้งร่วมกับการปรับขนาดยา mestinon ตามอาการ ซึ่งส่วนมากคนไข้จะใช้ยาขนาดไม่สูงประมาณ 180-240มิลลิกรัมต่อวัน(3-4 เม็ดต่อวัน) ส่วนใหญ่จะตอบสนองดีต่อยา mestinonและก็ prednisoloneเมื่ออาการจนถึงปกติระยะเวลาหนึ่งราว 3-6 เดือนเบาๆลดยา prednisoloneลงอย่างช้าๆราว 5มิลลิกรัมทุกๆเดือนจนถึงหยุดยาพร้อมๆกับ mestinon การลดผลแทรกซ้อนของยา prednisolone โดยการให้ยาวันเว้นวันในผู้เจ็บป่วย MG ให้ผลดีสิ่งเดียวกันแต่ว่าในวันที่คนไข้ไม่ได้ยาprednisolone อาจมีลักษณะโรคMG ได้หากเกิดกรณีดังกล่าวมาแล้วข้างต้นบางทีอาจจำเป็นต้องให้ยาprednisolone5มก. 1 เม็ดในวันดังกล่าวมาแล้วข้างต้นผู้เจ็บป่วยบางรายอาจมีการดำเนินโรคเป็นgeneralized MG โดยมักเกิดขึ้นในปีแรกก็ต้องให้การรักษาแบบ generalizedMG ต่อไป
  • คนไข้ที่มีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนล้าบริเวณอื่นๆ(Generalized MG) การดูแลรักษามียาmestinon,ยากดภูมิต้านทานแล้วก็การผ่าตัดthymectomyมีแนวทางการกระทำดังนี้

o  คนเจ็บทุกคนจำเป็นต้องได้รับยา mestinon ขนาดเริ่ม 1 เม็ด 3 เวลาหลังรับประทานอาหารแล้ววัดผลการโต้ตอบว่าดีหรือไม่ โดยการวัดช่วงยาออกฤทธิ์สูงสุดชั่วโมงที่ 1 รวมทั้ง 2 ข้างหลังรับประทานยาและก็ประเมินช่วงก่อนรับประทานยาเม็ดต่อไปเพื่อได้ทราบว่าขนาดของยาแล้วก็ความถี่ของการกินยาสมควรไหมตามลำดับสิ่งที่ประเมินคือลักษณะของคนป่วย ตัวอย่างเช่น อาการลืมตาตรากตรำ อาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง บอกแล้วเสียงแหบควรปรับปริมาณยาแล้วก็ความถี่ทุก2-4สัปดาห์  ขนาดยาโดยมากประมาณ 6-8 เม็ดต่อวัน ขนาดยาสูงสุดไม่สมควรเกิน16 เม็ดต่อวัน
o  การผ่าตัด thymectomy คนเจ็บgeneralized MG ที่แก่น้อยกว่า 45ปีทุกรายควรจะชี้แนะ ให้ผ่าตัด thymectomy ร้อยละ 90 ของคนเจ็บได้ผลดีประมาณจำนวนร้อยละ 40 สามารถหยุดยา mestinon หลังผ่าตัดได้ปริมาณร้อยละ 50 ลดยา mestinon ลงได้เพียงร้อยละ 10 เท่านั้นที่ไม่ได้ผล ช่วงเวลาที่ผ่าตัดควรจะทำ ในขั้นแรกของการดูแลและรักษา
o    การให้ยากดภูมิต้านทาน ที่ใช้บ่อย ได้แก่ prednisolone และก็ azathioprine (immuran)การให้ยาดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นมีข้อชี้ชัดในกรณี
   การผ่าตัด thymectomyแล้วไม่เป็นผล ช่วงเวลาที่ประเมินว่าการผ่าตัดไม่เป็นผลเป็นราวๆ 1 ปี
  คนเจ็บที่ไม่ได้รับการผ่าตัดโดยใช้ร่วมกับยา mestinon
   ผู้ป่วยทีมีภาวะการหายใจล้มเหลวจากการดำเนินโรคที่ร้ายแรง

  • การติดต่อของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เป็นโรคที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติจึงไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนและจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
  • การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)


  • กินยาตามแพทย์แนะนำให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่ขาดยา
  • ใช้ชีวิตประจำวันในการออกแรงให้สม่ำเสมอ เหมือนๆกันในทุกๆวันเพื่อแพทย์จะได้จัดปริมาณยา (Dose) ที่กินได้อย่างถูกต้อง
  • กินอาหารคำละน้อยๆ เป็นอาหารอ่อน เพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อช่องปาก และจะได้ไม่สำลัก ระหว่างกิน
  • มีที่ยึดจับในบ้าน เพื่อช่วยในการลุก นั่ง ยืน เดิน ร่วมกับจัดบ้านให้ปลอดภัย ง่ายแก่การใช้ชีวิตที่ไม่ต้องออกแรงมาก รวมทั้งเพื่อการใช้ชีวิตประจำวัน
  • เมื่อออกนอกบ้านต้องวางแผนล่วงหน้า ไม่รีบร้อน ไม่ออกแรงมากเกินปกติ
  • เมื่อเห็นภาพซ้อน ควรปิดตาข้างที่เกิดอาการ จะช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น
  • มีป้ายติดตัวเสมอว่าเป็นโรคอะไร กินยาอะไร รักษาโรงพยาบาลไหน เพื่อมีอาการฉุกเฉิน คนจะได้ช่วยได้ถูกต้องรวดเร็ว
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน
  • กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน ในปริมาณที่ไม่ทำให้เกิดโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน เพื่อลดการแบกน้ำหนักของกล้ามเนื้อและเพื่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
  • พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัดเสมอ
  • รีบไปโรงพยาบาลฉุกเฉินเมื่อมีอาการทางการหายใจ เช่น หายใจไม่ออก/หายใจลำบาก
  • การป้องกันตนเองจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงยังเป็นโรคที่ไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด และโรคที่มีความสัมพันธ์กันก็ยังเป็นโรคที่ส่วนใหญ่ไม่รู้สาเหตุเช่นกันอาทิ เช่น โรคของต่อมไทมัส และโรคของต่อมไทรอยด์ ดังนั้น ปัจจุบัน จึงยังไม่มีวิธีป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)

    ดังนั้นเมื่อมีอาการดังที่ได้กล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะเมื่อมีหนังตาตกหรือแขนขาอ่อนแรงเฉียบพลัน จึงควรรีบพบแพทย์เสมอ เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่รวดเร็วเหมาะสม ซึ่งจะส่งผลให้การรักษาโรคได้ผลดีจนสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ

  • สมุนไพรที่ช่วยป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)

    พืชสมุนไพรที่จะช่วยป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) ได้นั้นควรที่จะต้องมี “สารปรับสมดุล” (adaptogens) เพราะโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) นั้นเกิดขึ้นจากภาวะภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติดังนั้น สารปรับสมดุลจึงจำเป็นสำหรับใช้ป้องกันโรคนี้ มีผู้ให้คำจำกัดความของสารปรับสมดุลไว้หลายประการเช่น หมายถึงสารที่เพิ่มความสามารถของร่างกายในการปรับตัวให้เข้ากับความเครียด โดยการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ระบบประสาทสารสื่อประสาท และการทำงานของต่อมต่างๆภายในร่างกาย เพิ่มความทนทานของอวัยวะต่างๆต่อความเครียด พยาธิสภาพและสิ่งแวดล้อม รวมถึงรักษาการทำงานของระบบเมตาบอไลท์ของร่างกายให้ปกติและมีประสิทธิภาพ มีฤทธิ์ในการนำสมดุลกลับคืนสู่ร่างกาย (balancing) และบำรุงร่างกาย (tonic) นอกจากนี้ยังช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของคนเราโดยลดผลที่เกิดจากการถูกกระตุ้นโดยปัจจัยต่างๆโดยเฉพาะความเครียด การอักเสบ และการเกิดออกซิเดชั่น (oxidation)
    พืชสมุนไพรที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในการปรับสมดุลมีหลายชนิดโดยเฉพาะรากของพืชในวงศ์โสม (Araliaceae) ได้แก่ โสมเกาหลี (Panax ginseng) โสมอเมริกัน (Panax quinquefolius) รวมทั้งพืชสมุนไพรอื่นๆ เช่น ผลมะขามป้อม (Emblica officinalis) ต้นปัญจขันธ์ (Gynostemma pentaphyllum) เห็ดหลินจือ (Ganoderma lucidum) รากชะเอมเทศ (Glycyrrhiza glabra) ผลเก๋ากี้ (Lycium chinensis) และถั่งเช่า (Cordyceps sinensis) เป็นต้น สารสำคัญต่างๆในพืชเหล่านี้ที่แสดงฤทธิ์ปรับสมดุลที่มีรายงานนั้นมีหลายกลุ่ม ได้แก่ สารกลุ่มฟีโนลิก (phenolics) เช่น eleutheroside B ในรากของโสม และ ellagic acid ในผลมะขามป้อม สารกลุ่มเทอร์พีนอยด์ (terpenoids) เช่น zeaxanthin ในผลเก๋ากี้ และไตรเทอร์พีนอยด์ซาโปนิน (triterpenoid saponin) เช่น ginsenosides ในรากโสมเกาหลีและโสมอเมริกัน และ glycyrrhizin ในรากชะเอมเทศเป็นต้น
    เอกสารอ้างอิง

  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์
  • รศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า.Common Pittalls in Myasthenia Gravis.วารสารสมาคมประสาทวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.ปีที่6.ฉบับที่3(กรกฎาคม-กันยายน2554).159-168
  • นพ.เกษมสิน ภาวะกุล (2552). Generalized myasthenia gravis. วารสารอายุรศาสตร์อีสาน.ปีที่ 8. 84-91.
  • สมศักดิ์เทียมเก่า, ศิริพร เทียมเก่า, วีรจิตต์โชติมงคล, สุทธิพันธ์จิตพิมลมาศ.ความชุกและลักษณะทางคลินิกของผู้ป่วยmyasthenia gravis อย่างเดียว และ myasthenia gravisที่มี Srinagarind MedJ 1994;9:8-13. http://www.disthai.com/[/b]
  • Anesthesia issues in the perioperative management of myasthenia gravis.Semin Neurol 2004;24:83-94.
  • Drachman, D. (1994). Myasthenia gravis. N Engl J Med. 330,1797-1810.
  • ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอมจี (Myasthenia gravis หรือ MG).หาหมอ.
  • Hughes BW, Moro De Casillas ML,KaminskiHJ.Pathophysiology of myasthenia gravis. Semin Neurol2004;24:21-30
  • Meriggioli MN,Sanders DB. Myasthenia gravis: diagnosis. Semin Neurol 2004;24:31-9.
  • ดร.ปองทิพย์ สิทธิสาร.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน ผักแปม สมุนไพรปรับสมดุล.ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาบัยมหิดล
  • Juel VC. Myasthenia gravis: management of myasthenic crisis and perioperativeSemin Neurol 2004;24:75- 81.
  • Alsheklee, A. et al.(2009) Incidence and mortality rates of myasthenia gravis and myasthenic crisis in US hospitals.Neurology.72, 1548-1554.
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  • Saguil, A. (2005). Evaluation of the patient with muscle weakness. Am Fam Physician. 71, 1327-1336.
39  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) อาการ, สาเหตุ, การรักษา, วิธีป้องกัน-เเละ สมุน เมื่อ: มีนาคม 23, 2018, 04:07:47 pm

โรความดันเลือดสูง (Hypertension)

  • โรคความคันโลหิตสูง เป็นอย่างไร ความดันโลหิตสูง ความดันโลหิต คือ แรงดันเลือด ที่เกิดจากหัวใจ สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย การประมาณความดันเลือดสามารถทำโดยใช้วัสดุหลายแบบ แต่ว่าชนิดที่นิยมใช้กันอยู่ทั่วๆไป เช่น เครื่องตวงความดันเลือดมาตรฐานชนิดปรอท เครื่องตวงความดันเลือดดิจิตอลประเภทอัตโนมัติ ค่าของความดันโลหิตมีหน่วยเป็น มม.ปรอท จะมี ๒ ค่า ๑ ความดันตัวบน (ซีสโตลิก) เป็นแรงกดดันเลือด ขณะหัวใจห้องล่างซ้ายบีบตัว  ๒ ความดันตัวล่าง (ไดแอสโตลิก) เป็นแรงดันเลือดขณะหัวใจห้องด้านล่างซ้ายคลายตัว  ระดับความดันเลือดที่นับว่าสูงนั้น จะมีค่าความดันเลือดตั้งแต่ 140/90 มม.ปรอท

    โดยเหตุนั้นโรคความดันโลหิตสูง ก็เลยหมายความว่าโรคหรือภาวการณ์ที่แรงดันเลือดในเส้นโลหิตแดงมีค่าสูงยิ่งกว่าค่ามาตรฐานขึ้นกับวิธีการวัด โดยถ้าเกิดวัดที่สถานพยาบาล ค่าความดันเลือดตัวบนสูงกว่าหรือพอๆกับ 140 มิลลิเมตร ปรอท(มม.ปรอท, MMhg) และ/หรือความดันเลือดตัวข้างล่างสูงกว่าหรือเท่ากับ 90 มิลลิเมตรปรอท อย่างน้อย 2 ครั้ง แต่หากเป็นการวัดความดันเองที่บ้านค่าความดันโลหิตตัวบนสูงกว่าหรือพอๆกับ 135 มิลลิเมตรปรอทและ/หรือความดันโลหิตตัวล่างสูงขึ้นมากยิ่งกว่าหรือเท่ากับ 85 มม.ปรอทเป็นต้น ดังตารางที่ 1




     


    SBP


    DBP




    Office or clinic
    24-hour
    Day
    Night
    Home


    140
    125-130
    130-135
    120
    130-135


    90
    80
    85
    70
    85




    หมายเหตุ SBP=systolic blood pressure, DBP=diastolic blood pressure
    ปี 2556คนไทยมีอาการป่วยเป็นโรคความดันโลหิตเกือบจะ 11 ล้านคน เสียชีวิต 5,165 คน และก็เจอเจ็บป่วยราย ใหม่เพิ่มเกือบ 1 แสนคน จำนวนร้อยละ 50 ไม่รู้ตัวด้วยเหตุว่าไม่เคยตรวจสุขภาพ ในกรุ๊ปที่เจ็บป่วยแล้วพบว่ามีเพียงแค่ 1 ใน 4 ที่ควบคุมความดันได้ ที่เหลือยังมีการกระทำน่าห่วงองค์การอนามัยโลกรายงานว่า โรคความดันโลหิตสูงเป็น 1 ในต้นเหตุสำคัญ ที่ทำให้ประชากรอายุสั้น ทั้งโลกมีบุคคลที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงถึง 1,000 ล้านคน เสียชีวิตปี ละเกือบ 8 ล้านคน เฉลี่ยราวนาทีละ 15 คน โดย 1 ใน 3 พบในวัย ผู้ใหญ่รวมทั้งคาดว่า ในปีพ.ศ.2568 ประชาชนวัยผู้ใหญ่ทั่วทั้งโลกจะป่วยด้วยโรคนี้เพิ่ม 1,560 ล้านคน

  • สิ่งที่ทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง ความดันเลือดสูงแบ่งตามต้นสายปลายเหตุการเกิด แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
  • ความดันเลือดสูงชนิดไม่เคยรู้ปัจจัย (primary or essential hypertension) พบได้โดยประมาณร้อยละ95 ของจำนวนผู้ใหญ่โรคความดันโลหิตสูงทั้งปวงส่วนใหญ่พบในคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปรวมทั้งเจอในเพศหญิงมากยิ่งกว่าเพศชาย ปัจจุบันนี้ยังไม่รู้จักมูลเหตุที่ชัดแจ้งแต่เช่นไร ตามคณะกรรมการร่วมแห่งชาติด้านการคาดการณ์และรักษาโรคความดันเลือดสูง ของสหรัฐอเมริกา พบว่ามีสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่างๆที่เกี่ยวพันแล้วก็ช่วยเหลือให้เกิดโรคความดันเลือดสูง ดังเช่น พันธุกรรมความอ้วน การมีไขมันในเลือดสูงการกินอาหารที่มีรสเค็มจัดการไม่บริหารร่างกาย การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์การสูบยาสูบความเครียดอายุรวมทั้งมีประวัติครอบครัวเสี่ยงต่อโรคหัวใจรวมทั้งเส้นโลหิตซึ่งความดันเลือดสูงประเภทไม่เคยรู้ต้นเหตุนี้คือปัญหาสำคัญที่จำต้องให้การวิเคราะห์รักษาแล้วก็ควบคุมโรคให้ได้อย่างมีคุณภาพ
  • ความดันโลหิตสูงชนิดรู้ต้นเหตุ(secondary hypertension) ได้น้อยโดยประมาณจำนวนร้อยละ5-10 จำนวนมากมีปัจจัยเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการมีพยาธิสภาพของอวัยวะต่างๆในร่างกายโดยจะส่งผลนำไปสู่แรงดันเลือดสูงจำนวนมาก อาจกำเนิดพยาธิสภาพที่ไตต่อมหมวกไตโรคหรือความไม่ดีเหมือนปกติของระบบประสาทความไม่ดีเหมือนปกติของฮอร์โมนโรคของต่อมไร้ท่อร่วมโรคท้องเป็นพิษการบาดเจ็บของศีรษะยา รวมทั้งสารเคมีฯลฯ ด้วยเหตุดังกล่าวเมื่อได้รับการดูแลรักษาที่ปัจจัยระดับความดันโลหิตจะลดน้อยลงเป็นปกติแล้วก็สามารถรักษาให้หายได้

ฉะนั้นจึงสรุปได้ว่า โรคความดันโลหิตสูงส่วนมากจะไม่มีสาเหตุ การควบคุมระดับความดันโลหิตก้าวหน้า จะสามารถช่วยลดภาวะแทรกซ้อน และการเสียชีวิตจากโรคระบบหัวใจ รวมทั้งเส้นเลือดลงได้

  • ลักษณะของโรคความดันเลือดสูง จุดสำคัญของโรคความดันเลือดสูงคือ เป็นโรคที่มักไม่มีอาการ และก็ที่เป็นโรคเรื้อรังที่ร้ายแรง (หากไม่อาจจะควบคุมโรคได้) แต่ว่ามักไม่มีอาการ หมอบางท่านก็เลยเรียกโรคความดันเลือดสูงว่า “เพชฌฆาตเงียบ (Silent killer)” ทั้งนี้ส่วนมากของอาการจากโรคความดันเลือดสูง เป็นอาการจากผลกระทบ ได้แก่ จากโรคหัวใจ และจากโรคเส้นเลือดในสมอง หรือ เป็นอาการจากโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง เป็นต้นว่า อาการจากเบาหวาน หรือ จากโรคอ้วน หรือเป็นอาการจากโรคที่เป็นสาเหตุ ดังเช่นว่า โรคเนื้องอกต่อมใต้สมอง

อาการรวมทั้งอาการแสดงที่พบได้มาก คนเจ็บที่มีความดันโลหิตสูงเล็กน้อยหรือปานกลางไม่พบอาการแสดงเฉพาะที่บ่งบอกว่ามีภาวะความดันเลือดสูงส่วนมาก การวินิจฉัยพบได้บ่อยได้จากการที่คนไข้มาตรวจตามนัดหรือพบมากร่วมกับต้นเหตุของอาการอื่นซึ่งไม่ใช่ความดันเลือดสูง สำหรับคนไข้ที่มีระดับความดันเลือดสูงมากมายหรือสูงในระดับรุนแรงและเป็นมานานโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่ยังไม่เคยได้รับการรักษาหรือรักษาแต่ไม่สม่ำเสมอไหมได้รับการดูแลและรักษาที่ถูกสมควรพบบ่อยมีลักษณะอาการ ดังนี้

  • ปวดศีรษะพบมากในผู้ป่วยที่มีระดับความดันเลือดสูงร้ายแรง โดยลักษณะของอาการปวดหัวมักปวด ที่บริเวณท้ายทอยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาตื่นนอนในตอนเวลาเช้าถัดมาอาการจะเบาๆจนถึงหายไปเองภายในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงแล้วก็บางทีอาจพบมีลักษณะอาเจียนคลื่นไส้ตาฟางมัวด้วยโดยพบว่าลักษณะของการปวดหัวกำเนิด จากมีการเพิ่มแรงดันในกะโหลกศีรษะมากมายในช่วงระยะเวลาหลังจากที่ตื่นนอนขึ้นมาแล้วด้วยเหตุว่าในยามค่ำคืนขณะที่กำลังนอนหลับศูนย์ควบคุมการหายใจในสมองจะลดการกระตุ้น ก็เลยทำให้มีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์มีผลทำให้เส้นโลหิตทั่ว ร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมองขยายขนาดเพิ่มมากขึ้นจึงเพิ่มแรงกดดันในกะโหลกศีรษะ
  • เวียนหัว (dizziness) พบกำเนิดร่วมกับลักษณะของการปวดหัว
  • เลือดกา เดาไหล(epistaxis)
  • เหนื่อยหอบขณะทา งานหรืออาการหอบนอนราบมิได้แสดงถึงการมีภาวการณ์หัวใจห้องข้างล่างซ้ายล้มเหลว
  • อาการอื่นๆที่อาจเจอร่วมเช่นลักษณะการเจ็บอกสัมพันธ์กับสภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จากการมีเส้นโลหิตหัวใจตีบหรือจากการมีกล้ามเนื้อหัวใจหนามากจากสภาวะความดันโลหิตสูงที่เป็นมานานๆ

ฉะนั้นถ้ามีภาวการณ์ความดันเลือดสูงอยู่เป็นระยะเวลาที่ยาวนานๆก็เลยอาจมีผลต่ออวัยวะที่สำคัญต่างๆของร่างกายนำมาซึ่งการก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมภาวะถูกทำลายแล้วก็อาจเกิดภาวะสอดแทรกตามมาได้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคความดันโลหิตสูง ในผู้เจ็บป่วยโรคความดันโลหิตสูงบางรายอาจไม่เจอมีลักษณะหรืออาการแสดงอะไรก็ตามและก็บางรายบางทีอาจ เจออาการแสดงจากภาวะแทรกซ้อนของโรคความดันโลหิตสูงต่ออวัยวะต่างๆได้ดังนี้

  • สมองความดัน โลหิตสูงจะทา ให้ผนังเส้นโลหิตแดงที่ไปเลี้ยงสมองมีลักษณะดกตัวและแข็งตัวภายในเส้นโลหิตตีบแคบรูของเส้นเลือดแดงแคบลงทา ให้การไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองต่ำลงแล้วก็ขาดเลือดไปเลี้ยง นำมาซึ่งการก่อให้เกิดภาวะสมองขาดเลือดไปเลี้ยงชั่วครั้งชั่วคราวคนไข้ที่มีสภาวะความดันโลหิตสูงก็เลยมีโอกาสกำเนิดโรคหลอดเลือดสมอง (stroke) ได้มากกว่า บุคคลธรรมดา

นอกนั้นยังทำให้มีการเปลี่ยนที่ผนังเซลล์สมองทา ให้เซลล์สมองบวมคนเจ็บจะมีลักษณะไม่ปกติของระบบประสาทการรับรู้ความทรงจำลดลงรวมทั้งอาจร้ายแรงเสียชีวิตได้ ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตถึงจำนวนร้อยละ50 และมีผลทำให้ผู้ที่รอดตายเกิดความพิการตามมา

  • หัวใจ ระดับความดันเลือดสูงเรื้อรังจะส่งผลทา ให้ผนังเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงหัวใจดกตัวขึ้นจำนวนเลือดเลี้ยงหัวใจลดลงหัวใจห้องด้านล่างซ้ายทำงานมากมาขึ้น จำต้องบีบตัวมากขึ้นเพื่อต้านแรงดันเลือดในหลอดเลือดแดงที่มากขึ้นโดยเหตุนั้น ในระยะแรกกล้ามเนื้อหัวใจจะปรับตัวจากภาวะความดันโลหิตสูงโดยหัวใจบีบตัวเพิ่มขึ้น เพื่อสามารถต่อต้านกับแรงต้านทานที่มากขึ้นแล้วก็มีการขยายตัวทำให้เพิ่มความหนาของฝาผนังหัวใจห้องล่างซ้ายกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจห้องข้างล่างซ้ายโต (left ventricular hypertrophy) ถ้าเกิดยังมิได้รับการดูแลและรักษาแล้วก็เมื่อกล้ามเนื้อหัวใจไม่อาจจะขยายตัวได้อีก จะก่อให้แนวทางการทำงานของหัวใจไม่มี
ความสามารถเกิดภาวะหัวใจวายกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวและก็เสียชีวิตได้

  • ไต ระดับความดันเลือดเรื้อรังมีผลกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงไตหนาตัวและแข็งตัวขึ้น หลอดเลือดตีบแคบลงนำมาซึ่งการทำให้หลอดเลือดแดงเสื่อมจากการไหลเวียนของปริมาณเลือดไปเลี้ยงไตลดลงคุณภาพการกรองของเสียต่ำลงและก็ทา ให้มีการคั่งของเสียไตย่อยสลาย แล้วก็ขายหน้าขายตาที่เกิดสภาวะไตวายและได้โอกาสเสียชีวิตได้ มีการเรียนพบว่าผู้เจ็บป่วยโรคความดันเลือดสูงประมาณปริมาณร้อยละ10 มักเสียชีวิตด้วยสภาวะไตวาย
  • ตา ผู้เจ็บป่วยที่มีภาวการณ์ความดันเลือดสูงรุนแรงรวมทั้งเรื้อรังจะก่อให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของผนังเส้นโลหิตที่ตาดกตัวขึ้นมีแรงดัน ในเส้นโลหิตสูงมากขึ้นมีการเปลี่ยนของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงตาตีบลงหลอดเลือดฝอยตีบแคบอย่างเร็วมีการหดเกร็งเฉพาะที่อาจมีเลือดออกที่จอตาทำให้มีการบวมของจอภาพนัตย์ตา หรือหน้าจอประสาทตาบวม (papilledema) ทำให้การมองมองเห็นลดลงมีจุดบอดบางจุดที่ลานสายตา (scotomata) ตามัวและก็มีโอกาสตาบอดได้
  • เส้นเลือดในร่างกาย ความดันเลือดสูงจากแรงต้านเส้นเลือดส่วนปลายมากขึ้นฝาผนังเส้นเลือดครึ้มตัวจากเซลล์กล้ามเรียบถูกกระตุ้น ให้ก้าวหน้ามากขึ้นหรืออาจเกิดจากมีไขมัน ไปเกาะผนังหลอดเลือดทำให้เส้นโลหิตแดงแข็งตัว (artherosclerosis) มีการเปลี่ยนของผนังหลอดเลือดครึ้มแล้วก็ตีบแคบการไหลเวียนของโลหิตไป เลี้ยงสมองหัวใจไตรวมทั้งตาลดลงทา ให้เกิดภาวะสอดแทรกของอวัยวะดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นตามมาไดแก้โรคหัวใจรวมทั้ง
เส้นเลือดโรคเส้นเลือดสมองและไตวายฯลฯ

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะนำมาซึ่งโรคความดันเลือด ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่นำไปสู่โรคความดันเลือดสูง เช่น พันธุกรรม โอกาสมีความดันโลหิตสูง จะสูงมากขึ้นเมื่อมีคนภายในครอบครัวเป็นโรคนี้ โรคเบาหวาน เพราะก่อให้เกิดการอักเสบ ตีบแคบของเส้นโลหิตต่างๆแล้วก็เส้นเลือดไต โรคอ้วน และน้ำหนักตัวเกิน เพราะว่าเป็นสาเหตุสำคัญของเบาหวาน และก็โรคเส้นเลือดต่างๆตีบจากภาวการณ์ไขมันเกาะฝาผนังเส้นเลือด โรคไตเรื้อรัง เพราะว่าจะมีผลถึงการผลิตเอ็นไซม์รวมทั้งฮอร์โมนที่ควบคุมความดันเลือดดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นแล้ว โรคนอนแล้วหยุดหายใจ (Sleep apnea) ดูดบุหรี่ เนื่องจากว่าพิษในควันบุหรี่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการอักเสบ ตีบของเส้นเลือดต่าง แล้วก็เส้นโลหิตไต แล้วก็หลอดเลือดหัวใจ การติดสุรา ซึ่งยังไม่เคยรู้แน่ชัดถึงกลไกว่าทำไมดื่มสุราแล้วจึงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดความดันเลือดสูง แม้กระนั้นการเล่าเรียนต่างๆได้ผลตรงกันว่า ผู้ที่ติดสุรา จะส่งผลให้หัวใจเต้นแรงกว่าธรรมดา และก็มีโอกาสเป็นโรคความดันโลหิตสูง ถึงโดยประมาณ 50%ของผู้ติดสุราทั้งสิ้น รับประทานอาหารเค็มสม่ำเสมอ สม่ำเสมอ ดังเหตุผลดังได้กล่าวแล้ว ขาดการบริหารร่างกาย เพราะเหตุว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคอ้วนแล้วก็เบาหวาน ผลกระทบจากยาบางชนิด อาทิเช่น ยาในกลุ่มสเตียรอยด์
  • ขั้นตอนการรักษาโรคความดันโลหิตสูง การวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูง โรคความดันโลหิตสูงวินิจฉัยจากการที่มีความดันเลือดสูงตลอดระยะเวลา ซึ่งตรวจพบติดต่อกัน 3 ครั้ง โดยแต่ละครั้งควรจะห่างกัน 1 เดือน อย่างไรก็ดีถ้าหากว่าตรวจเจอว่าความดันเลือดสูงมาก (ความดันตัวบนสูงขึ้นมากยิ่งกว่า 180 mmHg หรือ ความดันตัวด้านล่างสูงขึ้นมากยิ่งกว่า 110 mmHg) หรือมีความผิดปกติของหลักการทำงานของอวัยวะจากผลของ   ความดันโลหิตสูงร่วมด้วย ก็นับว่าวิเคราะห์เป็นโรคความดันโลหิตสูง รวมทั้งต้องรีบได้รับการดูแลรักษา หมอวินิจฉัยโรค   ความดันเลือดสูงได้จาก ประวัติความเป็นมาอาการ เรื่องราวเจ็บป่วยทั้งในสมัยก่อนแล้วก็ปัจจุบัน ประวัติการรับประทาน/ใช้ยา การวัดความดันเลือด (ควรจะวัดที่บ้านร่วมด้วยหากว่ามีเครื่องมือ เนื่องจากบางเวลาค่าที่วัดเหมาะโรงหมอสูงยิ่งกว่าค่าที่วัดถึงที่เหมาะบ้าน) เมื่อวิเคราะห์ว่าเป็นความดันโลหิตสูง ควรตรวจร่างกาย และก็ส่งไปทำการตรวจอื่นๆเพิ่มเพื่อหาต้นเหตุ หรือปัจจัยเสี่ยง ยิ่งกว่านั้น ควรต้องตรวจค้นผลกระทบของความดันเลือดสูงต่ออวัยวะต่างๆเช่น หัวใจ ตา และไต ได้แก่ ตรวจเลือดมองค่าน้ำตาลและก็ไขมันในเลือด ดูลักษณะการทำงานของไต แล้วก็ค่าเกลือแร่ภายในร่างกาย ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจดูรูปแบบการทำงานของหัวใจ รวมทั้งเอกซเรย์ปอด ดังนี้การตรวจเพิ่มต่างๆจะขึ้นอยู่กับอาการคนไข้ และก็ดุลยพินิจของหมอเพียงแค่นั้น

    ชมรมความดันโลหิตสูงที่ประเทศไทย ได้แบ่งระดับความร้ายแรงของความดันโลหิตสูง ดังต่อไปนี้




    ระดับความรุนแรง


    ความดันโลหิตตัวบน


    ความดันโลหิตตัวล่าง




    ความดันโลหิตปกติ
    ระยะก่อนความดันโลหิต
    ความดันโลหิตสูงระยะที่ 1
    ความดันโลหิตสูงระยะที่ 2


    น้อยกว่า 120 และ
    120 – 139/หรือ
    140 – 159/หรือ
    มากกว่า 160/หรือ


    น้อยกว่า 80
    80 – 89
    90 – 99
    มากกว่า 100




    หมายเหตุ : หน่วยวัดความดันโลหิตเป็น มิลลิเมตรปรอท
    ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรควบคุมระดับความดันโลหิตให้น้อยกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอทแล้วก็ใน ผู้ที่มีภาวการณ์เสี่ยงควรควบคุมระดับความดันเลือดให้ต่ำลงยิ่งกว่า 130/80 มม.ปรอท และลดปัจจัยเสี่ยงในการกำเนิดโรคหัวใจรวมทั้งหลอดเลือดป้องกันความพิกลพิการและลดการเกิดภาวะแทรกซ้อมต่ออวัยวะเป้าหมายที่สำคัญของร่างกายยกตัวอย่างเช่นสมองหัวใจไตแล้วก็ตารวมถึงอวัยวะสำคัญอื่นๆซึ่งสำหรับในการรักษาและควบคุมระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติมี 2 แนวทางคือการดูแลและรักษาใช้ยาแล้วก็การรักษาโดยไม่ใช้ยาหรือวิธีการปรับเปลี่ยนแบบแผนการดำนงชีพ
    การรักษาโดยวิธีการใช้ยา  (pharmacologic treatment) จุดมุ่งหมายสำหรับการลดระดับความดันโลหิตโดยการใช้ยาคือการควบคุมระดับความดันโลหิตให้ลดต่ำลงมากยิ่งกว่า 140/90 มม.ปรอท โดยลดแรงต้านของเส้นเลือดส่วนปลายและก็เพิ่มปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจการเลือกใช้ยา ในคนป่วยโรคความดันเลือดสูงจึงขึ้นกับความเหมาะสมของคนไข้แต่ละรายแล้วก็ควรจะพิจารณาปัจจัยต่างๆเป็นต้นว่าความร้ายแรงของระดับความดันโลหิตปัจจัยเสี่ยงต่ออวัยวะสำคัญ โรคที่มีอยู่เดิมสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงอื่นๆซึ่งยาที่ใช้เพื่อการรักษาสภาวะความดันเลือดสูงสามารถแบ่งได้ 7 กรุ๊ปดังนี้
    ยาขับเยี่ยว  (diuretics) เป็นกรุ๊ปยาที่นิยมใช้ในผู้ป่วยที่มีการดำเนินการของไตและก็หัวใจแตกต่างจากปกติ ยากลุ่มนี้ดังเช่น ฟูโรซีมายด์ (furosemide) สไปโรโนแลคโตน(spironolactone) มันข้นลาโซน (metolazone)
    ยาต้านทานเบต้า (beta adrenergic receptor blockers) ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์โดยรวมกับเบต้าอดรีเนอร์จิกรีเซฟเตอร์  (beta adrenergic receptors) อยู่ที่หัวดวงใจรวมทั้งหลอดเลือดแดงเพื่อยับยั้งการโต้ตอบต่อประสาทซิมพาธิว่ากล่าวกลดอัตราการเต้นของหัวใจทำให้หัวใจเต้นช้าลงและความดันโลหิตลดลง ยาในกลุ่มนี้ ตัวอย่างเช่น โพรพาโนลอล (propanolol)หรืออะครั้งโนลอล (atenolol)
    ยาที่ออกฤทธิ์ปิดกั้นตัวรับแองจิโอเทนซินทู (angiotensin II receptorblockersARBs) ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ขยายหลอดเลือดโดยไม่ทำให้ระดับของเบรดดีไคนินมากขึ้นยากลุ่มนี้ เป็นต้นว่า แคนเดซาแทน  (candesartan), โลซาแทน (losartan) เป็นต้น
    ยาต้านแคลเซียม (calcium antagonists) ยากลุ่มนี้ยั้งการเขยื้อนเข้าของประจุแคลเซียมในเซลล์ทำให้กล้ามผนังหลอดเลือดคลายตัวอาจจะก่อให้อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง อย่างเช่น ยาเวอราขว้างมิวล์   (verapamil) หรือเนฟเฟดิตะกาย (nifedipine)
    ยาต่อต้านอัลฟาวันอดรีเนอร์จิก (alpha I-adrenergic blockers) ยามีฤทธิ์ต้านทานโพสไซแนปตำหนิกอัลฟาวันรีเซฟเตอร์ (postsynaptic alpha 1-receptors) และออกฤทธิ์ขยายเส้นเลือดส่วนปลายทำให้เส้นเลือดขยายตัว ยาในกลุ่มนี้เช่น พราโซซีน prazosin) หรือดอกซาโซซีน (doxazosin)
    ยาที่ยั้งไม่ให้มีการสร้างแองจิโอเทนสินทู (angiotensin II convertingenzyme ACE inhibitors)ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์โดยการยังยั้งแองจิโอเทนซินสำหรับเพื่อการแปลงแองจิโอเทนสินวันเป็นแองจิโอเทนสินทูซึ่งเป็นเอ็นไซม์ที่ทำให้เส้นเลือดหดตัว ยาในกลุ่มนี้ตัวอย่างเช่นอีท้องนาลาพริล (enalapril)
    ยาขยายเส้นเลือด (vasodilators) ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์โดยตรงต่อกล้ามเนื้อเรียบที่อยู่รอบๆเส้นโลหิตแดงทำให้กล้ามคลายตัวแล้วก็ยาต้านทางในผนังหลอดเลือดส่วนปลาย ยาในกลุ่มนี้ดังเช่นว่าไฮดราลาซีน (hydralazine), ไฮโดรคลอไรด์ (hydrochloride), ลาเบลทาลอล (labetalol)
    การรักษาโดยไม่ใช้ยาหรือการเปลี่ยนแปลงแบบแผนการดำรงชีวิต (lifestylemodification)  เป็นการกระทำสุขภาพที่จะต้องปฏิบัติเสมอๆเป็นประจำเพื่อลดความดันเลือด รวมทั้งคุ้มครองป้องกันภาวะแทรกซ้อนกับอวัยวะสำคัญผู้เจ็บป่วยโรคความดันเลือดสูงทุกราย ควรได้รับข้อเสนอเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนแบบแผนการดำนงชีพพร้อมกันไปกับการรักษาด้วยยา คนป่วยควรจะมีความประพฤติช่วยเหลือสุขภาพที่ดี ดังต่อไปนี้ การควบคุมของกินและก็ควบคุมน้ำหนักตัว  การจำกัดของกินที่มีเกลือโซเดียม  การบริหารร่างกาย การงดสูบบุหรี่ การลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  การจัดการกับความตึงเครียด

  • การติดต่อของโรคความดันเลือดสูง โรคความดันเลือดสูงเป็นโรคที่เกิดจาก ภาวการณ์แรงกดดันเลือดในเส้นโลหิตสูงขึ้นยิ่งกว่าค่ามาตรฐาน ฉะนั้นโรคความดันโลหิตสูงก็เลยเป็นโรคที่ไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คน
  • การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคความดันเลือดสูง เปลี่ยนพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค
  • การลดหุ่นในผู้ที่มีน้ำหนักเกิน องค์การอนามัยโลกแนะนำว่าในตอนแรกควรจะลดความอ้วน อย่างน้อย 5 โล ในผู้เจ็บป่วยความดันโลหิตสูง ที่มีน้ำหนักเกิน
  • การลดจำนวนโซเดียม (เกลือ) ในของกิน ลดโซเดียมในอาหาร เหลือวันละ 0.5 – 2.3 กรัม หรือ เกลือโซเดียมคลอไรด์ 1.2 – 5.8 กรัม
  • ลดจำนวนแอลกอฮอล์ หรือจำกัดจำนวนแอลกอฮอล์ไม่เกิด 20 – 30 กรัมต่อวันในผู้ชาย หรือ 10 – 20 กรัม ในเพศหญิง

จากการเล่าเรียนอาหารสำหรับผู้เป็นโรคความดันโลหิตสูงพวกเรามักจะได้ยินชื่อ DASH (Dietary Approaches to stop Hypertension) เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยผัก ผลไม้ และก็สินค้านมไขมันต่ำ ร่วมกับการลดจำนวนไขมัน และก็ไขมันอิ่มตัวในของกิน
ตารางแสดงตัวอย่างอาหาร DASH diet/ต่อวัน ได้พลังงาน 2100 กิโลแคลอรี่




หมวดอาหาร


ตัวอย่างอาหารในแต่ละส่วน




ผัก


ผักดิบประมาณ 1 ถ้วยตวง
ผักสุกประมาณ ½ ถ้วยตวง




ผลไม้


มะม่วง ½ ผล ส้ม 1 ลูก เงาะ 6 ผล กล้วยน้ำว้า 1 ผล แตงโม 10 ชิ้น
ฝรั่ง 1 ผลเล็ก มังคุด 1 ผลเล็ก




นม

  • นมพร่องมันเนย
  • นมครบส่วน



 
1 กล่อง (240 ซีซี)
1 กล่อง (240 ซีซี)




ไขมัน
ปลาและสัตว์ปีก


น้ำมัน 5 ซีซี เนย/มาการีน 5 กรัม
ปริมาณ 30 กรัม (ปริมาณ 2 ช้อนโต๊ะ)




แป้ง,ข้าว,ธัญพืช


ขนมปัง 1 แผ่น ข้าวสวย 1 ทัพพี




 
 
บริหารร่างกาย การบริหารร่างกายสำหรับคนที่มีความดันโลหิตสูง ควรจะออกกำลังกายแบบแอโรบิค (แบบใช้ออกสิเจน) คือ การบริหารร่างกายที่มีการขยับเขยื้อนอย่างต่อเนื่องในตอนระยะเวลาหนึ่งของกล้ามผูกใหญ่ๆซึ่งได้แก่การใช้ออกสิเจนสำหรับเพื่อการให้พลังงาน จะได้ประโยชน์ต่อระบบหัวใจแบะหลอดเลือด ยกตัวอย่างเช่น เดิน วิ่ง ว่าย ปั่นจักรยาน ฯลฯ ซึ่งการออกกกำลังกายควรปฏิบัติทุกวัน ขั้นต่ำวันละ 30 นาที ถ้าเกิดว่าไม่มีข้อบังคับ
                บริหารระงับความเครียด การจัดการระงับความเครียดในชีวิตประจำวัน ตามหลักเหตุผลรวมทั้งหลักจิตวิทยามีอยู่ 2 วิธี
-              มานะหลบหลีกเรื่องหรือสภาพที่จะกระตุ้นให้เกิดความเคร่งเครียดมาก
-              ควบคุมปฏิกิริยาของตนเอง ต่อสิ่งที่รู้สึกทำให้พวกเราเครียด
รับประทานยาและรับการดูแลรักษาตลอด รับประทานยาตามหมอสั่งสม่ำเสมอไม่ขาดยา และก็พบหมอตามนัดทุกหน ไม่ควรหยุดยาหรือเปลี่ยนแปลงยาด้วยตัวเอง สำหรับคนเจ็บที่ทานยาขับปัสสาวะ ควรจะรับประทานส้มหรือกล้วยบ่อยๆ เพื่อตอบแทนโปตัสเซียมที่สูญเสียไปในปัสสาวะรีบเจอหมอข้างใน 1 วัน หรือ รีบด่วน มีลักษณะดังนี้  ปวดหัวมากมาย อ่อนเพลียเป็นอย่างมากกว่าปกติมากมาย เท้าบวม (ลักษณะของโรคหัวใจล้มเหลว) เจ็บแน่นหน้าอก ใจสั่น เหงื่อออกมาก จะเป็นลมเป็นแล้ง (อาการจากโรคเส้นโลหิตหัวใจ ซึ่งจำต้องเจอแพทย์รีบด่วน) แขน ขาอ่อนแรง พูดไม่ชัดเจน ปากเบี้ยว คลื่นไส้ อ้วก (อาการจากโรคเส้นเลือดสมอง ซึ่งจำเป็นต้องเจอแพทย์เร่งด่วน)

  • การป้องกันตนเองจากโรคความดันเลือดสูง สิ่งจำเป็นที่สุดที่จะคุ้มครองป้องกันการเกิดโรคความดันโลหิตสูง คือการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตอีกทั้งประเด็นการกิน การบริหารร่างกายโดย

-              ควรควบคุมน้ำหนัก
-              รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบทั้งยัง 5 กลุ่ม ในปริมาณที่เหมาะสม เพิ่มผักผลไม้ในมื้ออาหารชนิดไม่หวานมากให้มากๆ
-              บริหารร่างกาย โดยออกยาวนานกว่า 30 นาที แล้วก็ออกเกือบทุกวัน
-              ลดจำนวนเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
-              พักผ่อนให้เพียงพอ
-              รักษาสุขภาพจิต รวมทั้งอารมณ์
-              ตรวจสุขภาพรายปี ซึ่งรวมทั้งวัดความดันเลือด เริ่มได้ตั้งแต่อายุ 18-20 ปี จากนั้นตรวจสุขภาพบ่อยครั้งตามหมอ รวมทั้งพยาบาลแนะนำ
-              ลดของกินเค็ม หรือเกลือทะเล น้อยกว่า 6 กรัม ต่อวัน) ทานอาหารพวกผัก และผลไม้มากเพิ่มขึ้น
ข้อเสนอแนะสำหรับการลดการบริโภคเกลือและโซเดียม :-
เลือกซื้อผัก ผลไม้และก็เนื้อสัตว์ที่สดใหม่แทนวิธีสำหรับการเลือกซื้ออาหารบรรจุกระป๋อง ผักดองและอาหารสำเร็จรูป
ถ้าเกิดจะต้องเลือกซื้ออาหารกระป๋องหรืออาหารสำเร็จรูปควรอ่านฉลากอาหารทุกคราว และเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณโซเดียมต่ำหรือน้อย (สำหรับพลเมืองทั่วไปควรบริโภคเกลือไม่เกินวันละ 1 ช้อนชา หรือน้อยกว่า 6 กรัมต่อวัน) ล้างผักและก็เนื้อสัตว์ที่ใช้ทำอาหารให้สะอาด เพื่อล้างเกลือออก ลดการใช้เกลือและก็เครื่องปรุงรส หันมาใช้เครื่องเทศและสมุนไพรที่มีปริมาณโซเดียมต่ำ ตัวอย่างเช่น หัวหอม กระเทียม ขิง พริกไทย มะนาว ผงกระหยี แทนไม่วางภาชนะหรือขวดใส่เกลือและก็เครื่องปรุงรสต่างๆเช่น ซอส  ซีอิ๊วขาวรวมทั้งน้ำปลาไว้บนโต๊ะอาหารทุกมื้อลองอาหารก่อนรับประทาน ฝึกการทานอาหารที่มีรสชาติเหมาะเจาะ ไม่เค็มจัดหรือหวานจัด ทำกับข้าวทานอาหารเองแทนการทานอาหารนอกบ้าน    หรือการซื้ออาหารสำเร็จรูป
ของกินที่มีเกลือโซเดียมสูง ดังเช่นว่า อาหารที่ใช้เกลือปรุงรส อย่างเช่น  ซอสรสเค็ม (เป็นต้นว่า น้ำปลา ซี้อิ๊ว ซอสหอยนางรม เต้าเจี้ยว), ซอสหลายรส  (เป็นต้นว่า ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ซี้อิ๊วหวาน) อาหารที่ใช้เกลือถนอมอาหาร เป็นต้นว่า อาหารตากแห้ง เป็นต้นว่า กะปิ เต้าหู้ยี้ แหนม, อาหารปรุงต่างๆอาทิเช่น ไส้กรอก หมูยอ
40  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคไข้เลือดออก - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: มีนาคม 21, 2018, 06:14:44 pm

โรคไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever)

  • โรคไข้เลือดออกเป็นยังไง โรคไข้เลือดออกหมายถึงโรคติดเชื้อซึ่งมีต้นเหตุจาก เชื้อไวรัสเดงกี่ (Dengue virus) โดยมียุงลายเป็นยานพาหนะนำโรคอาการของโรคนี้มีความคล้ายคลึงกับโรคไข้หวัดในช่วงแรก (แม้กระนั้นจะไม่มีอาการน้ำมูลไหล คัดจมูก หรือไอ) จึงทำให้คนไข้เข้าใจคลาดเคลื่อนได้ว่าตนเป็นเพียงโรคไข้หวัด และก็ทำให้มิได้รับการดูแลและรักษาที่ถูกต้องในทันทีทันใด โรคไข้เลือดออกมีลักษณะอาการและก็ความรุนแรงของโรคหลายระดับตั้งแต่ไม่มีอาการหรือมีลักษณะอาการนิดหน่อยไปจนถึงเกิดอาการช็อกซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้เจ็บป่วยเสียชีวิต สถิติในปี พุทธศักราช 2554 รายงานโดย กลุ่มโรคไข้เลือดออก สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า มีอัตราป่วยไข้ 107.02 รวมทั้งอัตราเจ็บป่วยตาย 0.10 ซึ่งหมายความว่า ในประชากรทุก 100,000 คน จะมีผู้ที่ป่วยเป็นไข้เลือดออกได้ถึง 107.02 คน และมีคนเสียชีวิตจากโรคนี้ 0.1 คน เลยทีเดียว ทั้งนี้โรคไข้เลือดออกยังเป็นโรคระบาดที่พบได้ทั่วไปแถบบ้านเราและประเทศใกล้เคียง มีการระบาดเป็นช่วงๆทั่วในจังหวัดกรุงเทพมหานคร รวมทั้งบ้านนอก พบได้บ่อยการระบาดในช่วงฤดูฝนซึ่งเป็นช่วงๆที่มียุงลายมากมาย จากสถิติในปี พ.ศ. 2556 ของสำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่ามีผู้ป่วยจำนวน 154,444 ราย (คิดเป็นอัตราป่วย 241.03 ต่อประชากร 100,000 ราย) และก็มีจำนวนผู้ป่วยเสียชีวิตปริมาณ 136 ราย (คิดเป็นอัตราเสียชีวิต 0.21 ต่อพลเมือง 100,000 ราย)
  • สาเหตุของโรคไข้เลือดออก โรคไข้เลือดออกมีเหตุมาจากการตำหนิดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่าไวรัสเดงกี Dengue 4 จำพวกเป็น Dengue 1, 2, 3 และ 4 โดยทั่วไปไข้เลือดออกที่เจอกันธรรมดาทุกปีชอบเป็นผลมาจากเชื้อไวรัสDengue จำพวกที่ 3 หรือ 4 แต่ว่าที่มีข่าวมาในช่วงนี้จะเป็นการติดเชื้อในสายพันธ์2เป็นสายพันธ์ที่เจอได้เล็กน้อยแม้กระนั้นอาการชอบรุนแรงกว่าสายพันธ์ที่ 3, 4 และต้องเป็นการตำหนิดเชื้อซ้ำครั้งที่ 2 (Secondaryinfection) ไวรัสเดงกี่ เป็น single strandcd RNA เชื้อไวรัส อยู่ใน familyflavivirida มี4 serotypes (DEN1, DEN2, DEN3, DEN4) ซึ่งมีantigen ของกรุ๊ปบางประเภทร่วมกัน จึงทำให้มีcross reaction กล่าวคือ เมื่อมีการติดเชื้อจำพวกใดแล้ว จะมีภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสจำพวกนั้นอย่างถาวรตลอดชีพ และก็จะมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสเดงกี่อีก 3 ชนิด ในตอนระยะสั้นๆโดยประมาณ 6 - 12 เดือน (หรือบางทีอาจสั้นกว่านี้) เพราะฉะนั้นผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีเชื้อไวรัสเดงกี่ชุกชุมอาจมีการติดเชื้อ 3หรือ 4 ครั้งได้  การตำหนิดเชื้อไวรัสเดงกีมีอาการแสดงได้ 3 แบบหมายถึงไข้เดงกี (Denque Fever – DF),ชอบกำเนิดกับเด็กโตหรือผู้ใหญ่อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีอาการไม่รุนแรงและไม่สามารถจะวินัจฉัยได้การอาการทางคลินิกได้แน่นอนจำเป็นต้องอาศัยการตรวจทางทะเลเหลืองรวมทั้งแยกเชื้อไวรัส ไข้เลือดออก หรือ ไข้เลือดออกเดงกี (Dengue hemorrhagic fever – DHF) รวมทั้งไข้เลือดออกเดงกีที่ช็อก (Denque Shock Syndrome – DSS) เป็นกลุ่มอาการที่เกิดขึ้นต่อจากระยะ DHF คือมีการรั่วของพลาสมาออกไปมากทำให้คนป่วยเกิดภาวะช็อก และสามารถตรวจเจอรระดับอีมาโตคริต    (Hct)  สูงมากขึ้นรวมถึงมีน้ำในเยื่อห่อตอนปอดและท้องอีกด้วย
  • ลักษณะโรคไข้เลือดออก ระยะที่ 1 (ระยะไข้สูง) คนเจ็บจะมีไข้สูงลอย (รับประทานยาลดไข้ไข้ก็จะไม่ลด) ไข้39 - 41 องศาเซลเซียส ราว 2 - 7 วัน ทุกรายจะเป็นไข้สูงเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน จำนวนมากไข้จะสูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส ไข้บางทีอาจสูงถึง 40 - 41 องศาเซลเซียสได้ซึ่งบางรายอาจมี อาการชักเกิดขึ้น คนป่วยชอบมีหน้าแดง (Flushed face) บางทีอาจตรวจ เจอคอแดง (Injected pharynx) ได้แม้กระนั้นจำนวนมากผู้เจ็บป่วยจะไม่มีอาการ น้ำมูกไหล หรืออาการไอ ซึ่งช่วยสำหรับการวิเคราะห์แยกโรคที่เกิดจากฝึกหัดใน ระยะต้น รวมทั้งโรคระบบทางเท้าหายใจได้ เด็กโตอาจบ่นปวดหัว ปวดรอบกระบอกตา ในระยะไข้นี้อาการทางระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อย คือ เบื่อข้าว อ้วก บางรายอาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย ซึ่งใน ระยะต้นจะปวดโดยธรรมดา รวมทั้งบางทีอาจปวดที่ชายโครงขวาในระยะ ที่มีตับโต ปวดศีรษะ เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวเรียกตัว อยากดื่มน้ำ ซึม ในบางรายอาจมีลักษณะของการปวดท้องในบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงทางด้านขวา หรืออาจมีท้องผูกหรือถ่ายเหลว ส่วนในเด็กอายุต่ำยิ่งกว่า 1 ปี อาจเจอลักษณะของการมีไข้สูงร่วมกับอาการชักได้ ระยะที่ 2 (ระยะช็อกแล้วก็มีเลือดออก หรือ ระยะวิกฤติ) ชอบพบในไข้เลือดออกที่เกิดจากเชื้อเดงกีที่มีความร้ายแรงขั้นที่ 3 แล้วก็ 4 อาการจะเกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 3-7 ของโรค ซึ่งถือได้ว่าตอนที่วิกฤติของโรค โดยอาการไข้จะเริ่มน้อยลง แม้กระนั้นคนเจ็บกลับมีลักษณะทรุดหนัก มีอาการเลือดออก : อาการเลือดออกที่พบมากที่สุดที่ผิวหนัง โดยจะตรวจพบว่าเส้นโลหิตเปราะ แตกง่าย วิธีการทำ torniquet test ได้ผลบวกได้ตั้งแต่ 2 - 3 วันแรกของโรค ร่วมกับมีจุดเลือดออกเล็กๆกระจายอยู่ตามแขน ขาลำตัว จั๊กกะแร้อาจมีเลือดกำเดา หรือเลือดออก ตามไรฟัน ในรายที่ร้ายแรงอาจมีคลื่นไส้ เจ็บท้อง และก็ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ซึ่งชอบเป็นสีดำ (Malena) อาการเลือดออกในทางเดินอาหาร มีความผิดธรรมดาของระบบไหลเวียนเลือด หรือช็อก:มักจะเกิด ช่วงไข้จะลดเป็นระยะที่มีการรั่วของพลาสมาซึ่งจะพบทุกรายในคนไข้ ไข้เลือดออกเดงกี่ โดยระยะรั่วจะมีราว 24 - 28 ชั่วโมง ประมาณ 1 ใน 3 ของคนป่วยจะมีลักษณะอาการรุนแรงมีภาวะการไหล เวียนล้มเหลวเกิดขึ้น เนื่องด้วยมีการรั่วของพลาสมาออกไปยังช่องปอด/ ท้องมาก กำเนิด hypovolemic shock คนไข้จะเริ่มมีอาการ กระวนกระวาย มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเบาเร็ว(อาจมากกว่า 120 ครั้ง/นาที) ฉี่น้อย ความดันเลือดเปลี่ยนแปลง ตรวจเจอ pulse pressure แคบ พอๆกับหรือน้อยกว่า 20 มม.ปรอท (ค่าธรรมดา30-40มม.ปรอท) ภาวการณ์ช็อกที่เกิดขึ้นนี้จะมีการเปลี่ยนแปลง อย่างเร็วหากมิได้รับการดูแลและรักษาคนเจ็บจะมีลักษณะอาการชั่วช้าสารเลวลงรอบปากเขียว ผิวสีม่วงๆตัวเย็นชืด เช็คชีพจรและ/หรือวัดความดันไม่ได้ (Profound shock) ภาวะทราบสติแปรไป แล้วก็จะเสียชีวิตภายใน 12-24ชั่วโมงข้างหลังเริ่มมีสภาวะช็อกแม้ว่าผู้เจ็บป่วยได้รับการดูแลและรักษาอาการช็อก อย่างทันท่วงทีและก็ถูกก่อนที่จะเข้าสู่ระยะ profound shock โดยมากก็จะฟื้นได้อย่างเร็ว ระยะที่ 3 (ระยะฟื้นตัว) ในรายที่มีสภาวะช็อกไม่รุนแรง เมื่อผ่านวิกฤติตอนระยะที่ 2 ไปแล้ว อาการก็จะอย่างรวดเร็ว หรือแม้แต่ผู้ป่วยที่มีสภาวะช็อกร้ายแรง เมื่อได้รับการดูแลรักษาอย่างแม่นยำรวมทั้งทันท่วงทีก็จะฟื้นเข้าสู่ภาวะปกติ โดยอาการที่มีความหมายว่านั้นเป็นผู้เจ็บป่วยจะเริ่มต้องการทานอาหาร แล้วอาการต่างๆก็จะคืนสู่ภาวะปกติ ชีพจรเต้นช้าลง ความดันเลือดกลับมาสู่ธรรมดา เยี่ยวออกมากขึ้น
  • ปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดโรคไข้เลือดออก เนื่องจากโรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่มียุงลายเป็นยานพาหนะนำโรคโดยเหตุนั้น สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะนำมาซึ่งโรคไข้เลือดออกนั้น บางทีก็อาจจะแบ่งออกเป็น 2 กรณี 1.การเช็ดกยุงลายกัด เนื่องจากว่าเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่ายุงตัวไหนมีเชื้อหรือไม่มีเชื้อด้วยเหตุดังกล่าว เมื่อถูกยุงลายกัด ก็เลยมีความเป็นไปได้เสมอว่าพวกเราบางทีก็อาจจะได้รับเชื้อไวรัสเดงกีที่ก่อให้เกิดโรคไข้เลือดออก โดยเฉพาะเมื่อเราถูกยุงลายกัดในพื้นที่ที่การระบายของโรคไข้เลือดออก หรือ อยู่ในพื้นที่ที่มีความมากมายของยุงลายสูง 2.แหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลาย ในเมื่อยุงลายเป็นพาหนะนำโรคไข้เลือดออกแล้วนั้น จึงพอๆกับว่าถ้ายุงลายมีมากมายก็จะก่อให้กำเนิดการเสี่ยงในการเกิดโรคไข้เลือดออกมากตามมา รวมทั้งหากยุงลายมีปริมาณน้องลง ความเสี่ยงที่จะเกิดโรคไข้เลือดออกก็คงจะต่ำลงตามไปด้วย โดยเหตุนั้นการควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย จึงน่าจะเป็นการลดการเสี่ยงสำหรับเพื่อการกำเนิดโรคไข้เลือดออกได้ แล้วก็หากชุมชนสามารถช่วยกันกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายได้ก็จะทำให้ชุมชมนั้น ปราศจากจากโรคไข้เลือดออกได้
  • แนวทางการรักษาโรคไข้เลือดออก การวิเคราะห์โรคไข้เลือดออก แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกได้จากอาการทางคลินิก โดยยิ่งไปกว่านั้นอาการไข้สูง 39-41 องศาเซลเซียส หน้าแดง เปลือกตาแดง บางทีอาจคลำได้ตับโต กดเจ็บ มีผื่นแดง หรือจุดแดงจ้ำเขียว โดยไม่มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ หรือเจ็บคอ ร่วมกับการมีประวัติโรคไข้เลือดออกของคนที่อาศัยอยู่รอบๆเดียวกัน หรือมีการระบาดของโรคในช่วงนั้นๆรวมทั้งการทดสอบทูร์นิเคต์ได้ผลบวก ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการวิเคราะห์โรคนี้ได้ นอกเหนือจากนั้น การส่งไปตรวจเลือด ซีบีซี (CBC) จะตรวจเจอเกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวค่อนข้างต่ำรวมทั้งความเข้มข้นของเลือดสูง เพียงเท่านี้ก็สามารถวินิจฉัยโรคได้เป็นส่วนมากแล้ว แม้กระนั้นในบางราย ถ้าหากอาการ ผลของการตรวจร่างกาย และก็ผลเลือดในเบื้องต้นยังไม่สามารถที่จะวินิจฉัยโรคได้ ในขณะนี้ก็มีวิธีการส่งเลือดไปตรวจหาภูมิคุ้มกันขัดขวางต่อเชื้อไวรัสเดงกี ซึ่งจะช่วยให้การวินิจฉัยโรคนี้ได้อย่างเที่ยงตรงเพิ่มมากขึ้น

เพราะว่ายังไม่มีการพัฒนายาฆ่าเชื้อเชื้อไวรัสเดงกี่การดูแลรักษาโรคนี้ ก็เลยเป็นการรักษาตามอาการเป็นหลัก พูดอีกนัยหนึ่ง มีการใช้ยาลดไข้ เช็ดตัว แล้วก็การปกป้องภาวะช็อก ยาลดไข้ที่ใช้มีเพียงชนิดเดียวเป็นยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ปริมาณยาที่ใช้ในคนแก่เป็น พาราเซตามอลชนิดเม็ดละ500มิลลิกรัมกินทีละ1-2เม็ด ทุก 4 - 6 ชั่วโมง โดยไม่สมควรรับประทานเกินวันละ 8 เม็ด (4 กรัม) ส่วนขนาดยาที่ใช้ในเด็กเป็น พาราเซตามอลชนิดน้ำ 10-15มก.ต่อ น้ำหนักตัว 1 กิโลต่อครั้ง ทุก 4 - 6 ชั่วโมง โดยไม่ควรรับประทาน เกินวันละ5ครั้ง หรือ2.6กรัม ผลิตภัณฑ์พาราเซตามอลแบบเป็นน้ำสำหรับเด็กมีจัดจำหน่ายในหลายความแรงอาทิเช่น 120 มก.ต่อ 1 ช้อนชา (1 ช้อนชา เท่ากับ 5 มล.), 250 มิลลิกรัมต่อ 1 ช้อนชา, รวมทั้ง 60 มิลลิกรัมต่อ 0.6 มล. ส่วนใหญ่เป็นยาน้ำเชื่อมที่จำต้องรินใส่ช้อนเพื่อป้อนเด็ก ในกรณีเด็กทารก การป้อนยาทำได้ค่อนข้างยากก็เลยมีผลิตภัณฑ์ยาที่ทำขายโดยบรรจุในขวดพร้อมหลอดหยด เวลาใช้ก็ก็แค่ใช้หลอดหยดดูดยาออกจากขวดและนำไปป้อนเด็กได้เลย ด้วยสาเหตุอันเกิดจากที่สินค้าพาราเซตามอลรูปแบบน้ำสำหรับเด็กมีหลายความแรง จำเป็นจะต้องอ่านฉลากและวิธีการใช้ให้ดีก่อนนำไปป้อนเด็ก พูดอีกนัยหนึ่ง หากเด็กหนัก 10 กก. รวมทั้งมียาน้ำความแรง 120 มก.ต่อ 1 ช้อนชา ก็ควรจะป้อนยาเด็กทีละ 1 ช้อนชาหรือ 5 มล. แล้วก็ป้อนซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมงแม้กระนั้นไม่สมควรป้อนยาเกินวันละ 5 ครั้ง ถ้าหากว่าไม่มีไข้ก็สามารถหยุดยาได้ในทันที ยาพาราเซตามอลนี้เป็นยารับประทาน ตามอาการ ดังนั้นถ้าหากว่าไม่มีไข้ก็สามารถหยุดยาได้ทันทีส่วนยา แอสไพรินรวมทั้งไอบูโปรเฟนเป็นยาลดไข้เช่นเดียวกัน แต่ว่ายาทั้งสองประเภทนี้ ห้ามประยุกต์ใช้ในโรคไข้เลือดออก เนื่องมาจากจะยิ่งช่วยเหลือการเกิดภาวะ เลือดออกแตกต่างจากปกติจนถึงบางทีอาจเกิดอันตรายต่อคนป่วยได้ ในส่วนการป้องกันสภาวะช็อกนั้น ปฏิบัติได้โดยการชดเชยน้ำ ให้ร่างกายเพื่อไม่ให้ปริมาตรเลือดลดลดน้อยลงจนถึงทำให้ความดันโลหิตตก แพทย์จะใคร่ครวญให้สารน้ำตามความร้ายแรงของอาการ โดยบางทีอาจให้ คนเจ็บดื่มเพียงแต่สารละลายเกลือแร่ โออาร์เอส หรือผู้ป่วยบางราย อาจได้รับน้ำเกลือเข้าทางหลอดเลือดดำ  ในกรณีที่คนเจ็บเกิดภาวะเลือด ออกไม่ดีเหมือนปกติจนกระทั่งเกิดภาวะเสียเลือดบางทีอาจจะต้องได้รับเลือดเพิ่มอีก อย่างไรก็แล้วแต่ ต้องเฝ้าระวังภาวะช็อกตามที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ด้วยเหตุว่าภาวะนี้มีความอันตรายต่อชีวิตของคนป่วยเป็นอย่างยิ่ง

  • การติดต่อของโรคไข้เลือดออก การติดต่อของโรคไข้เลือดออก โรคไข้เลือดออก มักติดต่อจากคนไปสู่คน ซึ่งมียุงลายตัวเมีย (Aedes aegypt)  เป็นตัวพาหะที่สำคัญ โดยยุงตัวเมียจะกัดและดูดเลือดของคนไข้ที่มีเชื้อไวรัสเดงกี แล้วหลังจากนั้นเชื้อจะเข้าไปฟักตัวและก็เพิ่มจำนวนในตัวยุงลาย ทำให้มีเชื้อไวรัสอยู่ในตัวของยุงตลอดระยะเวลาอายุขัยของมันโดยประมาณ 1 - 2 เดือน แล้วถ่ายทอดเชื้อไปสู่ผู้ที่ถูกกัดได้ในรัศมี 100 เมตร ยุงลายเป็นยุงที่อาศัยอยู่ในบริเวณบ้าน มักออกกัดตอนกลางวัน มีแหล่งเพาะพันธุ์หมายถึงน้ำนิ่งที่ขังอยู่ในภาชนะเก็บน้ำต่างๆอาทิ โอ่งน้ำ แจกันดอกไม้ ถ้วยรองขาตู้ จาน ถ้วยชาม กระป๋อง หม้อ ยางรถยนต์ หรือกระถาง เป็นต้น  โรคไข้เลือดออก พบโดยมากในช่วงฤดูฝน เพราะในช่วงฤดูนี้เด็กๆมักจะอยู่กับบ้านมากยิ่งกว่าฤดูอื่นๆทั้งยังยุงลายยังมีการแพร่พันธุ์มากในช่วงฤดูฝน ซึ่งในเมืองใหญ่ๆที่มีพลเมืองหนาแน่น รวมทั้งมีปัญหาด้านกายภาพเกี่ยวกับขยะ อย่าง จังหวัดกรุงเทพมหานคร บางทีอาจพบโรคไข้เลือดออกนี้ได้ตลอดทั้งปี

รู้ได้เช่นไรว่าเราป่วยเลือดออก ข้อคิดเห็นบางประการที่บางครั้งอาจจะช่วยให้สงสัยว่าอาจจะจับไข้เลือดออก ยกตัวอย่างเช่น  เป็นไข้สูง อ่อนเพลียเป็นเกิน 2 วัน  ถ้าหากมีปวดหัวมากมายหรืออาเจียนมากร่วมด้วย  หลังเป็นไข้ 2 ถึง 7 วัน แล้วไข้ต่ำลงเอง เมื่อไข้ลดแล้วมีลักษณะกลุ่มนี้อย่างใดอย่างหนึ่งบางทีอาจจะเป็นไข้เลือดออกได้ ปวดศีรษะมากมาย อ่อนล้ามาก อ้วกมาก รับประทานอาหารไม่ได้ เจ็บท้อง มีจ้ำเลือดเล็กๆบริเวณแขน ขา หรือลำตัว มีเลือดออกตามอวัยวะดังเช่น เลือดกำเดา ถ่ายเป็นเลือด รอบเดือนมาก่อนกำคราวด ฯลฯ

  • การกระทำตนเมื่อเป็นไข้เลือดออก ในระยะ 2 - 3 วันแรกของการจับไข้ถ้าหากยังกินอาหารรวมทั้งกินน้ำได้ ไม่คลื่นไส้ ไม่ปวดท้อง ไม่มีจ้ำเลือดขึ้นและก็ยังไม่มีอาการเลือดออกหรือภาวการณ์ช็อกเกิดขึ้น ควรปฏิบัติดังนี้ ให้คนไข้พักผ่อนมากๆถ้าเป็นไข้สูงให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเสมอๆรวมทั้งให้ยาลดไข้พาราเซตามอล ผู้ใหญ่กิน 1-2 เม็ด เด็กโต ½ - 1 เม็ด เด็กเล็กใช้แบบเป็นน้ำเชื่อม 1- 2 ช้อนชา ถ้าหากยังจับไข้กินซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมง ห้ามให้ยาแอสไพริน โดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจก่อให้มีเลือดออกได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ถ้าเกิดเป็นคนไข้เด็กรวมทั้งเคยชัก ควรจะให้รับประทานยากันชักไว้ก่อน ทานอาหารอ่อนๆได้แก่ ข้าวต้ม โจ๊ก และกินน้ำมากมายๆเฝ้าพินิจอาการผู้เจ็บป่วยอย่างใกล้ชิด หมั่นกินน้ำ หรือเกลือแร โออาร์เอส ให้มากมายๆเพื่อคุ้มครองการช็อกจากการขาดน้ำ รวมทั้งถ้าเกิดมีลักษณะดังนี้ควรไปพบหมอโดยเร็ว  ซึมลงอย่างเร็ว อ่อนเพลียอย่างมาก มีจ้ำเลือดตามร่างกายมาก อาเจียนมากมาย ทานอาหารแล้วก็กินน้ำมิได้ มีเลือดออกตามร่างกายได้แก่ เลือดกำเดา อ้วกเป็นเลือดอุจจาระเป็นเลือด หรือเลือดออก ช่องคลอด ปวดท้องมาก
  • การปกป้องตัวเองจากโรคไข้เลือดออก หากว่าในตอนนี้กำลังมีการพัฒนาวัคซีนปกป้องการตำหนิดเชื้อไวรัสเดงกี่ แต่ก็ยังไม่มียาซึ่งสามารถทำลายเชื้อไวรัสเดงกี่ได้ ด้วยเหตุนี้คำตอบที่ดีเยี่ยมที่สุดของโรคไข้เลือดออกในตอนนี้ คือ การคุ้มครองไม่ให้เป็นโรคโดยการควบคุมยุงลายให้มีปริมาณลดลงซึ่งทำเป็นโดยการควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายและการกำจัดยุงลายทั้งลูกน้ำและตัวสมบูรณ์เต็มวัย และก็ปกป้องไม่ให้ยุงลายกัด ดังนี้การคุ้มครองป้องกันทำเป็น 3 ลักษณะ คือ

    การคุ้มครองป้องกันทางด้านกายภาพ ยกตัวอย่างเช่น ปิดภาชนะเก็บน้ำด้วยฝาปิด ได้แก่ มีผาปิดปากตุ่ม ตุ่มน้ำ ถังเก็บน้ำ หรือถ้าไม่มีฝาปิด ก็วางคว่ำลงถ้ายังไม่ได้อยากต้องการใช้ เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นที่ออกไข่ของยุงลาย เปลี่ยนแปลงน้ำในแจกันดอกไม้สดเสมอๆอย่างต่ำทุกๆ7 วัน ปล่อยปลารับประทานลูกน้ำลงในภาชนะเก็บน้ำ ตัวอย่างเช่น โอ่ง ตุ่ม ภาชนะละ 2-4 ตัว รวมถึงอ่างบัวรวมทั้งตู้ปลาก็ควรจะมีปลากินลูกน้ำเพื่อคอยควบคุมจำนวนลูกน้ำยุงลายเหมือนกัน ใส่เกลือลงน้ำในจานที่เอาไว้สำหรับรองขาตู้กับข้าว เพื่อควบคุมแล้วก็กำจัดลูกน้ำยุงลาย โดยใส่เกลือ 2 ช้อนชา ต่อปริมาตร 250 มล. พบว่าสามารถควบคุมลูกน้ำได้ยาวนานกว่า 7 วัน
    การปกป้องทางเคมี อย่างเช่น เพิ่มเติมทรายทีมีฟอส ซึ่งเป็นสารเคมีที่องค์การอนามัยโลกชี้แนะให้ใช้แล้วก็ยืนยันความปลอดภัย เหมาะสมกับภาชนะที่ไม่สามารถที่จะใส่ปลากินลูกน้ำได้  การพ่นสารเคมีหรือยากันยุงเพื่อกำจัดยุงตัวสมบูรณ์เต็มวัย มีข้อดีคือ สมรรถนะสูง แต่ว่าข้อด้อยคือ มีราคาแพง แล้วก็เป็นพิษต่อคนรวมทั้งสัตว์เลี้ยง จึงจำเป็นต้องอาศัยผู้ชำนาญในการฉีดพ่นและฉีดเฉพาะเมื่อต้องแค่นั้น เพื่อป้องกันความเป็นพิษต่อคนแล้วก็สัตว์เลี้ยง ควรที่จะเลือกฉีดในเวลาที่มีคนอยู่ต่ำที่สุดและฉีดพ่นลงในแหล่งที่คาดว่าเป็นแหล่งเกาะพักของ เช่น ท่อสำหรับเพื่อระบายน้ำ เป็นต้น การใช้สารเคมีเพื่อกำจัดยุงในบ้านเรือน ที่ใช้กันมี 2 ชนิดเป็นยาจุดกันยุง และก็สเปรย์ฉีดไล่ยุง ขึ้นรถออกฤทธิ์อาจเป็นยาในกรุ๊ปผู้จองเวรทรอยด์ (Pyrethroids), ดีท (DEET, diethyltoluamide) เป็นต้น คราวก่อนมียาฆ่ายุงด้วย มีชื่อว่า สารฆ่าแมลงดีดีที แม้กระนั้นสารนี้ถูกยกเลิกการใช้ไปแล้วเนื่องมาจากเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตแล้วก็หลงเหลือในสิ่งแวดล้อมเป็นระยะเวลานานมาก แต่ สารเคมีไม่ว่าจากยาจุดกันยุงหรือสเปรย์ฉีดไล่ยุง ก็มีความเป็นพิษต่อคนแล้วก็สัตว์ ด้วยเหตุนี้เพื่อลดความเป็นพิษดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วควรจุดยากันยุงในรอบๆที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ล้างมือทุกหนภายหลังจากสัมผัส ส่วนยาฉีดไล่ยุงจะมีความเป็นพิษมากกว่า ดังนั้นห้ามฉีดลงบนผิวหนัง รวมทั้งควรปฏิบัติตามการใช้ที่กำหนดข้างกระป๋องอย่างเคร่งครัด
    การกระทำตัว เช่น นอนในมุ้ง หรือนอนในห้องที่มีมุ้งลวดเพื่อเป็นการป้องกันและยังเป็นการไม่ให้ถูกยุงกัด โดยจะต้องปฏิบัติเช่นกันช่วงเวลากลางวันและค่ำคืน ถ้าเกิดไม่สามารถที่จะนอนในมุ้งหรือนอนในห้องที่มีมุ้งลวดได้ ควรที่จะใช้ยากันยุงประเภททาผิวซึ่งมีสารสำคัญที่สกัดจากธรรมชาติ ดังเช่นว่า น้ำมันตะไคร้หอม (oil of citronella), น้ำมันยูคาลิปตัส (oil of eucalyptus) ซึ่งมีความปลอดภัยสูงขึ้นยิ่งกว่ามาทาหรือหยดใส่ผิวหนังใช้เป็นยากันยุง แม้กระนั้นความสามารถจะต่ำยิ่งกว่า DEET

  • สมุนไพรจำพวกไหนที่ช่วยรักษาคุ้มครองปกป้องโรคไข้เลือดออกได้ โดยจากการศึกษาข้อมูล พบว่า สามารำใช้ใบมะละกอสดมาคันน้ำพร้อมกันกับการรักษาแผนปัจจุบัน จะก่อให้เกล็ดเลือดของคนเจ็บโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นได้ข้างใน 24 – 48 ชม. ช่วยลดอัตราการตายลงได้ มีงานค้นคว้ารอบรับในหลายประเทศ มีการทดลองในหญิงรับใช้แล้วได้ผล อย่างเช่น อินเดีย ประเทศปากีสถาน มาเลเซีย นอกเหนือจากนี้ยังมีการจดสิทธิบัตรน้ำใบมะละกอในต่างประเทศด้วย มิได้ใช้เฉพาะคนเจ็บเกล็ดเลือดต่ำจากไข้เลือดออกเพียงอย่างเดียว แต่ว่าใช้ในกรณีอื่นด้วย กรรมวิธีรักษาโรคไข้เลือดออกด้วยใบมะละกอสดหมายถึงใช้ใบมะละกอสดชนิดใดก็ได้ราวๆ 50 กรัม จากต้นมะละกอ ต่อจากนั้นล้างให้สะอาด รวมทั้งทำการบทให้ถี่ถ้วน ไม่ต้องเพิ่มเติมน้ำ กรองเอากากออก ดื่มน้ำใบมะละกอสดแยกกาก วันละ ครั้งแก้ว หรือ 30 ซีซี ติดต่อกัน 3 วัน โดยแนวทางลักษณะนี้มีการศึกษาค้นคว้ามาแล้วว่าปลอดภัย

สมุนไพรที่สามารถไล่ยุงได้ ตะไคร้หอม ช่วยสำหรับในการไล่ยุงเนื่องจากว่ากลิ่นฉุนๆของมันไม่เป็นมิตรกับยุงร้าย ในปัจจุบันมีการทำออกมาในรูปของสารสกัดชนิดต่างๆไว้สำหรับปกป้องยุงโดยเฉพาะ แม้กระนั้นถ้าเกิดอยากให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีสุดๆควรที่จะใช้ตะไคร้หอมไล่ยุงชนิดที่สกัดน้ำมันเพียวๆจากต้นตะไคร้หอมจะดีที่สุด เว้นแต่กลิ่นจะช่วยเฉดหัวไล่ยุงแล้ว ยังช่วยไล่แมลงอื่นๆได้อีกด้วยล่ะ เปลือกส้ม ยังมีคุณประโยชน์เป็นสมุนไพรไล่ยุงได้อีกด้วย แนวทางการไล่ยุงด้วยเปลือกส้มนั้น เพียงแต่ใช้เปลือกส้มที่แกะออกมาจากผลส้มแล้วมาผึ่งไว้จนกว่าจะแห้ง จากนั้นนำมาเผาไฟ ควันที่เกิดขึ้นและน้ำมันหอมระเหยที่อยู่ในเปลือกส้มมีสรรพคุณเป็นอย่างดีสำหรับเพื่อการไล่ยุง  มะกรูด ถือได้ว่าเป็นสมุนไพรที่มากมายไปด้วยผลดี และยังสามารถเอามาเป็นสมุนไพรไล่ยุงได้อย่างดีเยี่ยม กรรมวิธีคือ นำผิวมะกรูดสดมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆมาตำกับน้ำเท่าตัวจนแหลกละเอียด หลังจากนั้นให้กรองเอาเฉพาะน้ำ สามารถเอามาทาผิวหรือใส่กระบอกที่มีไว้ฉีดเพื่อฉีดตามจุดต่างๆของบ้านได้ โหระพา กลิ่นหอมแรงของโหระพายังเป็นเอกลักษณ์เฉพาะบุคคลที่ช่วยสำหรับการไล่ยุงรวมทั้งแมลง ทำให้มันไม่สามารถที่จะทนทานกับกลิ่นฉุนของโหระพาได้ สะระแหน่ นับว่าเป็นอีกหนึ่งสมุนไพรที่ให้กลิ่นหอมหวน แต่ว่ากลิ่นหอมๆของมันไม่ค่อยถูกกันกับยุงนัก ขั้นตอนการไล่ยุงเพียงนำใบสะระแหน่มาบดขยี้ให้กลิ่นออกมา แล้วต่อจากนั้นนำไปวางตามจุดต่างๆที่มียุงจำนวนมากหรือสามารถนำใบสะระแหน่มาบดแล้วทาลงบนผิวหนังจะทำให้ผิวหนังสดชื่นและก็ยังช่วยกันยุงได้อีกด้วย
เอกสารอ้างอิง

  • กลุ่มโรคไข้เลือดออก สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. คู่มือการประเมินผลตามตัวชิ้วัดงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกระดับจังหวัด ปี 2553. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร: 2543.1-12.
  • (ภกญ.วิภารักษ์ บุญมาก).”โรคไข้เลือดออก”ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • สิวิกา แสงธาราทิพย์ ศิริชัย พรรณธนะ(2543).โรคไข้เลือดออก.(พิมพ์ครั้งที่2).พิมพ์ที่บริษัท เรดิเอชั่น จำกัด สำนักงานควบคุมโรคไข้เลือดออก กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข http://www.disthai.com/[/b]
  • สำนักพัฒนาวิชาการแพทย์ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการวินิจฉัยและรักษาไข้เลือดออกในระดับโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด; 2548.8-33.
  • แนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคไข้เลือดออกเดงกี กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวจสาธารณสุข.(2544).กระทรวจสาธารณสุข
  • Sunthornsaj N, Fun LW, Evangelista LF, et al. MIMS Thailand. 105th ed. Bangkok: TIMS Thailand Ltd; 2006.118-33.
  • นพ.สมชาญ เจียรนัยศิลป์.ไข้เลือดออก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่267.คอลัมน์โรคน่ารู้.กรกฎาคม.2544
  • คู่มือวิชาการโรคติดเชื้อเดงกีและโรคไข้เลือดออกเดงกีด้านการแพทย์และสาธารณสุข.สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลงกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข.2558
  • กันยา ห่านณรงค์.โรคไข้เลือดออก.จดหมายข่าว R&D NEWSLETTER.ปีที่23.ฉบับที่1 ประจำเดือนมกราคม-มีนาคม2559.หน้า 14-16
  • รักษา”ไข้เลือดออก”แนวใหม่ใช้ใบมะละกอคั้นน้ำกินเพิ่มเกล็ดเลือด.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://www.dailinews.co.th*politics/232509
  • World Health Organization Regional Office for South-East Asia. Guidelines for treatment of Dengue Fever/Dengue Hemorrhagic Fever in Small Hospitals,1999:28. Available from: http://www.searo.who.int/linkfiles/dengue_guideline-dengue.pdf Accessed May 10, 2012.
  • (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.”ไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever/DHF)” หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.
  • สถานการณ์โรคไข้เลือดออก พ.ศ.2554.กลุ่มโรคไข้เลือดออก สำนักงานโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • Lacy CF, Armstrong LL, Go
41  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / มะไฟ มีสรรพคุณ-ประโยชน์ สามารถเเก้บวมตามร่างได้ดี เมื่อ: มีนาคม 14, 2018, 05:06:51 pm
[b]สมุนไพร[/b].com/wp-content/uploads/2017/09/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%9F1.png" alt="" border="0" />
มะไ[/size][/b]
มะไฟ Baccaurea ramiflora Lour.
ชื่อพ้อง B. sapida (Roxb.) Muell. Arg.
บางถิ่นเรียกว่า มะไฟ (ทั่วๆไป) แซเครือแซ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ผะยิ้ว (เขมร-จังหวัดสุรินทร์) สัมไฟ (ใต้) หำกัง (เพชรบูรณ์).
ไม้ต้น ขนาดกลาง ไม่ผลัดใบ สูง 13-17 มัธยม ตามยอด และปลายกิ่งอ่อนมีขน. ใบ เดี่ยว เรียงสลับกัน รูปรีปนรูปหอก รูปหอกกลับ หรือ รูปไข่กลับ โคนใบแหลม ขอบใบเรียบ หรือ หยักตื้นๆไม่สม่ำเสมอ; ปลายใบเรียวแหลม กว้าง 4.5-8 เซนติเมตร ยาว 10.5-22 ซม. เส้นกิ่งก้านสาขาใบมี 5-8 คู่ ข้างล่างนูน ไม่มีขนทั้งคู่ด้าน เนื้อใบค่อนข้างจะบาง ก้านใบยาว 1.5-6 ซม. ดอก ออกเป็นช่อยาวๆตามง่ามใบ และตามกิ่งที่ไร้ใบ สีเหลือง [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
ดอกเพศผู้ แล้วก็ดอกเพศเมีย ส่วนใหญ่อยู่ต่างต้นกัน ส่วนน้อยที่อยู่บนต้นเดียวกัน ช่อดอกมีขน. ดอกเพศผู้ ออกเป็นช่อยาว 5-7.5 ซม. ใบตกแต่งรูปหอก กว้าง 2-3 มม. กลีบรองกลีบดอกมี 4-5 กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน เกสรผู้มี 4-8 อัน. ดอกเพศภรรยา ออกเป็นช่อยาวมากมาย มีใบตกแต่งอยู่ที่โคนก้านดอก; กลีบรองกลีบดอกขอบขนานแคบๆยาวโดยประมาณ 1.2 เซนติเมตร รังไข่มีขน ไม่มีท่อรังไข่ ปลายเกสรแยกเป็น 2-3 อัน ข้างในมี 3 ช่อง. ผล ค่อนข้างจะกลม หรือ รี เส้นผ่าศูนย์กลางราว 25 มม. ผิวสีเหลือง ไม่มีขน มี 1-3 เมล็ด เนื้อห่อหุ้มเมล็ดสีขาวขุ่น รสเปรี้ยวอมหวาน.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นในป่าดงดิบใกล้สายธาร ในป่าผลักใบ ขึ้นปะปนกับไผ่ แล้วก็ปลูกกันตามสวน ออกดอกราวเดือนมีนาคม.
คุณประโยชน์ : ราก น้ำต้มราก รวมกับสมุนไพรอื่นๆดื่มแก้ท้องเสีย ข้างหลังการคลอดลูก เผาไฟกินเป็นยาทำลายพิษ ดับพิษร้อน ทาแก้บวม อักเสบ ต้น เปลือกทำเป็นยาทา

Tags : สมุนไพร
42  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรครำ มีสรรพคุณที่สามารถรักษาโรคกระเพาะได้ดีอีกด้วย พร้อมวิธีรักษาอื่นๆอีกม เมื่อ: กุมภาพันธ์ 24, 2018, 12:32:41 pm

สมุนไพรคร[/size][/b]
ครำ Glochidion obscurum (Roxb. Ex Willd.) Bl.
บางถิ่นเรียกว่า ครำ (สตูล) มรัว (นครศรีธรรราช) รวด (จังหวัดพังงา).
ไม้พุ่ม กึ่ง ไม้ใหญ่ สูง 3-10 ม. กิ่งเรียวยาว กิ่งอ่อนมีขน. ใบ โดดเดี่ยว เรียงสลับและก็อยู่ในแนวเดียวกัน รูปขอบขนาน หรือรูปหอกเบี้ยวๆกว้าง 12-15 มิลลิเมตร ยาว 4-6 เซนติเมตร ปลายใบมน หรือ แหลม มีติ่งแหลมเล็กๆยื่นยาวออกมา ขอบของใบเรียบ โคนใบกลม (ตอนบน) หรือ แหลม (ตอนล่าง) มีเส้นใบ 6-7 คู่ ข้างล่างสีขาวนวล มีขน ก้านใบยาว 2-3. ดอก ออกตามง่ามใบ ดอกเพศผู้ และก็ดอกเพศเมียอยู่ในช่อเดียวกัน. ดอกเพศผู้ ออกเป็นกระจุก ก้านดอกยาวโดยประมาณ 4 มิลลิเมตร มีขน กลีบรองกลีบดอกโคนเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็น 6 กลีบ รูปไข่ปลายแหลม ขอบกลีบใส ภายนอกมีขน เกสรผู้ 3 อัน อับเรณูกลม. [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
ดอกเพศภรรยา มักจะออกผู้เดียวๆก้านดอกอ้วนกว่าดอกเพศผู้ ยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร กลีบรองกลีบดอก โคนเชื่อมชิดกัน ปลายแยกเป็น 7-8 แฉก แฉกรูปไข่แกมรูปหอก มีขนทั้งคู่ด้าน; รังไข่กลม ภายในมี 6-8 ช่อง. ผล กลม แป้น เส้นผ่านศูนย์กลาง 5-6 มม. ยาว 10 มม. มีสัน หรือ เหลี่ยม 12-14 เหลี่ยม มีขน ก้านผลเล็ก มีขน. เม็ด สามเหลี่ยม ออกจะแบน.
[b]สมุนไพร[/b][/u][/b].com/wp-content/uploads/2017/09/111.jpg" alt="" border="0" />
นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นทั่วๆไปในป่าละเมาะ ที่มีความสูงใกล้ระดับน้ำทะเล.
สรรพคุณ : ราก น้ำต้มราก กินแก้ปวดกระเพาะอาหาร ใบ น้ำต้มใบกินแก้อาการท้องเสีย

Tags : สมุนไพร
43  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรก้างปลาเครือสามารถรักษาคนเป็นอาการโรคหิดหอบได้ดี เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2018, 09:04:41 am

สมุนไพรก้างปลาเครื[/size][/b]
ก้างปลาเครือ Phyllanthus reticulatus Poir.
บางถิ่นเรียก ก้างเครือ (ทั่วๆไป) ตะบอง (ประจวบคีรีขันธ์) ก้างปลาขาว (จังหวัดอ่างทอง จังหวัดเชียงใหม่) ก้างปลาแดง (สุราษฎร์) ข่าคล่อง (สุพรรณ)โค่คึย สะแบรที (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) หมัดคำ (แพร่) อำอ้าย (นครราชสีมา).
      ไม้พุ่ม กึ่ง ไม้เถา หมดจด หรือ มีขนนิดหน่อย กิ่งมีขนาดเล็ก. ใบ ผู้เดียว เรียงสลับกัน รูปไข่ หรือ รีปนขอบขนาน กว้าง 1.5-2 เซนติเมตร ยาว 2-3 เซนติเมตร ปลายใบมน หรือ หยักเว้าเล็กน้อย; ขอบใบสะอาด โคนใบสอบ หรือ มน; ก้านใบยาว 2-3 มิลลิเมตร ดอก ออก 2-3 ดอก ตามง่ามใบเป็นช่อสั้นๆดอกแยกเพศ. [url=http://www.disthai.com/][url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
[/u][/url] ดอกเพศผู้ มีกลีบรองกลีบ 4-6 กลีบ; ไม่มีกลีบดอกไม้; เกสรผู้ 3-6 อัน ก้านเกสรแยกกัน หรือ ชิดกันก็ได้. ดอกเพศเมีย กลีบรองกลีบดอกราวกับของดอกเพศผู้ รังไข่มี 3-4 ช่อง แต่ละช่องมีไข่อ่อน 2 หน่วย ท่อรังไข่แยกกัน หรือ ติดกันก็ได้ แม้กระนั้นส่วนมากจะแยกเป็น 2 แฉก. ผล นุ่ม ข้างในมี 8-16 เมล็ด. เม็ด มีหน้าตัดเป็น 3 เหลี่ยมด้านแตกต่างกัน

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นทั่วไปในป่าดงดิบ ป่าผลัดใบ และที่รกร้างว่างเปล่าทั่วไป.
สรรพคุณ : ราก น้ำต้มรากกินเป็นยาแก้โรคหืดหอบ ต้น น้ำต้ม หรือ ยาชงเปลือก รับประทานแก้น้ำเหลืองเสีย ขับเยี่ยว ฟอกเลือด แก้บิด แล้วก็ท้องร่วง ใบ น้ำสุกใบ กินเป็นยาขับเยี่ยว; บดเป็นผุยผงใช้ใส่แผล ปั้นเป็นลูกกลอนประสมกับ การบูร (camphor) รวมทั้ง cubeb สารที่สกัดได้จากตะไคร้ต้น (Litsea cubeba Pers.) ใช้อมให้ละลายช้าๆแก้เลือดออกตามไรฟัน  ผล รับประทานเป็นยาฝาดสมานในระบบทางเดินอาหาร แล้วก็แก้อาการอักเสบต่างๆ

Tags : สมุนไพร
44  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรโลดทะนง หลากหลายสรรพคุณ-ประโยชน์ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 14, 2018, 08:22:14 am
[b]สมุนไพร[/b].com/wp-content/uploads/2017/09/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%B3.png" alt="" border="0" />
สมุนไพรโลดทะน[/size][/b]
โลดทะนง Trigonostemon reidioides (Kurz) Craib
ชื่อพ้อง Baliospermum reedioides Kurz.
บางถิ่นเรียกว่า โลดทะนง (ราชบุรี ปราจีนบุรี จังหวัดตราด) อาหารเย็นเนิน (จังหวัดราชบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) ดู่เบี้ย ดู่เตี้ย (เพชรบุรี) ทะนง รักทะนง (จังหวัดโคราช) ทะนงแดง (ประจวบคีรีขันธ์) นางแซง (จังหวัดอุบลราชธานี) โลดทะนงแดง (บุรีรัมย์) หนาดคำ (เหนือ) หัวยาอาหารมื้อเย็นเนิน (จังหวัดราชบุรี).
  ไม้พุ่ม ขนาดเล็ก สูง 0.5-1.5 ม. มีขนปกคลุมดกนแน่นทั่วไป. ใบ ผู้เดียว เรียงสลับกน รูปขอบขนาน แคบบ้างกว้างบ้าง หรือ กว้าง 2-4 เซนติเมตร ยาว 7-12 ซม.; ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ โคนใบกลม หรือ มน เส้นใบมี 5-7 คู่ ด้านล่างนูน มีขนทั้ง 2 ด้าน ข้างบนค่อนข้างสาก ด้านล่างขนยาว นุ่มและหนาแน่นกว่าข้างบน ที่ฐานใบมีต่อมเล็กๆ2 ต่อม ก้านใบยาว 10-15 มม. มีขน. ดอก สีขาว ชมพู ม่วงเข้ม หรือ เกือบจะดำ ออกเป็นช่อตามง่ามใบ แล้วก็ตามกิ่ง ดอกเพศผู้ และดอกเพศภรรยากำเนิดบนต้นเดียวกัน. ดอกเพศผู้ ดอกตูมกลม กลีบรองกลีบ 5 กลีบ รูปไข่กลับ ด้านนอกมีขน กลีบดอกไม้ 5 กลีบ รูปไข่กลับ ไม่มีขน เกสรผู้ 3 อัน ก้านเกสรติดกัน อับเรณูรูปกลม ฐานดอกขอบเป็นคลื่น. ดอกเพศเมีย [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
ดอกตูมรูปไข่ กลีบรองกลีบดอก 5 กลีบ รูปไข่ปลายมน กว้างราวๆ 1.5 มม. ยาวโดยประมาณ 3 มม. ด้านนอกมีขน กลีบรูปไข่ กว้างราว 2 มิลลิเมตร ยาว 3 มิลลิเมตร รังไข่รูปไข่ มีขน ท่อรังไข่สั้น มี 3 อัน ปลายท่อใหญ่ ปลายสุดหยักเว้าเล็กน้อย ฐานดอกขอบไม่เป็นคลื่น. ผล มี 3 พู เส้นผ่านศูนย์กลางราวๆ 12 มิลลิเมตร มีขนปกคลุมหนานแน่น ก้านผลยาวประมาณ 15 มม. เมล็ด รูปค่อนข้างกลม หรือ รูปไข่ปนสามเหลี่ยม ยาวราว 5-6 มม. สีออกเหลือง ผิวเรียบ.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นทั่วไปในที่ดินผสมทราย ในป่าสัก รวมทั้งมีกลาดเกลื่อนในป่าเบญจพรรณแล้ง เหนือระดับน้ำทะเลไม่เกิน 450 ม.
คุณประโยชน์ : ราก รสร้อน ฝนกินเพื่อทำให้อ้วก ทำให้ท้องเสีย ใช้ทำลายพิษคนที่รับประทานยาเบื่อเมา แก้หืด ใช้ข้างนอกฝนทาเป็นยาเกลื่อนฝี แก้ฟกช้ำ เคล็ดบวม รับประทานเป็นยาคุม
45  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ขันทองเป็นสมุนไพรที่มี สรรพคุณ-ประโยชน์ สามารถรักษาโรคมะเร็งได้ด้วย เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2018, 03:22:33 pm

สมุนไพรขันทอ[/size][/b]
ขันทองพยาบาท Suregada multiflorum (A. Juss.) Baill.
ชื่อพ้อง Gelonium multiflorum A. Juss.
บางถิ่นเรียกว่า ขันทองคำอาฆาต มะมอง หมากดูก (กลาง) กระดูก ยายปลวก (ใต้) ขนุนแดง (จังหวัดเพชรบูรณ์) ขอบนางนั่ง(ตรัง) ขัณฑสกร ช้องรำพัน สลอดน้ำ (จันทบุรี) ขันทอง (พิจิตร) ข้าวตาก (กาญจนบุรี) ขุนทอง คุณทอง (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) โจ่ง (ส่วย-สุรินทร์) มองกไทร มองกไม้ เหมือดโรค (เลย) มองกหิน (จังหวัดสระบุรี) มองกไหล(นครราชสีมา) ทุเรียนป่า ไฟ (จังหวัดลำปาง) ป่าช้าหมอง ยางปลอก ฮ่อสะพานควาย (แพร่) มะดูกดง (ปราจีนบุรี) มะดูกเลื่อม (เหนือ) เหล่ปอ (กะเหรี่ยง-แพร่).
ไม้พุ่ม หรือ ต้นไม้ ขนาดเล็ก สูง 4-15 ม. เปลือกค่อนข้างเกลี้ยง. ใบ โดดเดี่ยว เรียงสลับกัน รูปขอบขนาน หรือขอบขนานปนรูปหอก กว้าง 3-6 ซม. ยาว 9-14 เซนติเมตร ปลายใบแหลม หรือ มน ขอบใบเรียบ หรือ เป็นคลื่นเล็กน้อย โคนใบแหลมเป็นครีบ เส้นกิ้งก้านใบมี 5-9 คู่ ใบหมดจดทั้งสองด้าน มีต่อมน้ำมันกระจัดกระจายทั่วใบ ก้านใบสั้น ประมาณ 3-8 มม. หูใบยาวโดยประมาณ 2 มิลลิเมตร หลุดตกง่าย. ดอก ออกเป็นช่อสั้นๆตรงกันข้ามกับใบ ดอกเพศผู้ รวมทั้งดอกเพศภรรยาอยู่ต่างต้นกัน ไม่มีกลีบดอกไม้. ดอกเพศผู้ ก้านช่อดอกยาว 10-15 มม. แต่ละช่อมีดอก 5-10 ดอก [url=http://www.disthai.com/][url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
[/url] ก้านดอกยาวโดยประมาณ 5 มิลลิเมตร มีขนละเอียด ดอกตูมรูปกลม มีขน มีกลีบรองกลีบดอกกลมๆ5 กลีบ เส้นผ่านศูนย์กลางราวๆ 2.5 มม. ขอบกลีบและด้านนอกมีขน เกสรผู้มี 35-50 อัน ติดอยู่บนฐานดอกนูนๆแล้วก็มีต่อม. ดอกเพศเมีย มีกลีบรองกลีบดอกไม้ 5-6 กลีบ ลักษณะเหมือนดอกเพศผู้, รังไข่มี 3 ช่อง ท่อรังไข่สั้น, ปลายแยกเป็น 2 แฉก. ผล กลม มีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 2 เซนติเมตร มีเนื้อ ผลอ่อนสีเขียว สุกสีเหลือง. เมล็ด ค่อนข้างกลม มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 7-8 มิลลิเมตร, เปลือกมีรอยบุบใหญ่แต่ตื้นๆ.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นในป่าดงดิบ ป่าเบญจพรรณ หรือ ป่าผลัดใบ เหนือระดับน้ำทะเลไม่เกิน 600 ม. พบในทุกภาคของประเทศ.
สรรพคุณ : ต้น เปลือก ทำให้ฟันทน รวมทั้งเป็นยาถ่าย, แก้โรคตับทุพพลภาพ แก้ประป่า แก้พิษในกระดูก โรคผิวหนัง ฆ่าพยาธิ แก้โรคเรื้อน มะเร็ง โรคกุฏฐัง กลากแล้วก็เกลื้อน เนื้อไม้มีรสเมาเบื่อ แก้ผื่นคัน แก้ไข้ และก็แก้กามโรค
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย