กระทู้ล่าสุดของ: watamon

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 44
46  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / หอมเเดง มีสรรพคุณเเละประโยชน์ที่น่าทึ่งมากๆ เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2018, 09:19:08 am
[/b]
หอมแด[/size][/b]
ชื่อสมุนไพร  หอมแดง
ชื่ออื่นๆ/ชื่อเขตแดน หอมไทย,หอมเล็ก,หอมหัว หอมแดง(ภาคกึ่งกลาง), หอมปั่ว ,หมอแดง (ภาคเหนือ) , หัวหอมแดง (ภาคใต้) , ฝักบั่ว (ภาคอีสาน) , ปะเซ้ส่า (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , ปะเซอก่อ (กะเหรี่ยง-ตาก) , ซัง , ตังซัง (จีน)
ชื่อสามัญ  Shallot
ชื่อวิทยาศาสตร์  Allium ascalonicum Linn.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Allium carneum Willd., Allium fissile Gray, Allium hierochuntinum Boiss., Porrum ascalonicum (L.) Rchb.
สกุล             Amaryllidaceae
ถิ่นกำเนิด หอมแดง เป็นพืชขนาดเล็กที่ปลูกไว้เพื่อบริโภคส่วนของหัวหรือบัลบ์ นิยมใช้เพื่อการประกอบอาหาร แล้วก็เป็นสมุนไพร ทั้งนี้หอมแดง มีบ้านเกิดดั้งเดิมในทวีปเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ คาดคะเนว่าอยู่ในแถบประเทศทาจิกิสถานที่ อัฟกานิสถาน รวมทั้งอิหร่าน โดยเชื่อกันว่าหอมแดงกลายพันธุ์ตามธรรมชาติมาจากหอมหัวใหญ่แล้วก็มีการเลือกจำพวกเพื่อนำมาปลูกเป็นพืชของกิน ในจีนและก็ประเทศอินเดียและก็มีการกระจายพันธุ์ไปทั้งโลก ซึ่งได้มีการเขียนบันทึกไว้ ในตอนคริสตวรรษที่ 12 ตอนนี้การปลูกหอมแดงได้แพร่หลายไปทั้งโลก แต่ว่าก็ยังมีการบริโภคน้อยกว่าหอมหัวใหญ่อยู่  หอมแดง จัดเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศในแถบเอเซียอาคเนย์ โดยในประเทศไทยพบว่ามีการปลูกมากมายทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือแล้วก็ทางภาคเหนือ แม้กระนั้นหอมแดงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหอมแดงคุณภาพดีก็ได้แก่หอมแดงจากจังหวัดศรีสะเกษ
ลักษณะทั่วไป
ใบ ใบแทงออกจากลำต้นหรือหัว มีลักษณะเป็นหลอดกลม ข้างในกลวง มีสารสีนวลเป็นไขฉาบผิวใบ ใบมีลักษณะตั้งชันสูงราวๆ 15-50 ซม. แตกออกเป็นชั้นถี่ 5-8 ใบ ใบอ่อนสดของหอมแดงใช้สำหรับการบริโภค
ท่อนหัวหรือบัลบ์ หัวหรือบัลบ์เป็นส่วนของกาบใบที่เรียงทับกันแน่นจากข้างในของหัวออกมา เป็นแหล่งสะสมอาหาร รวมทั้งน้ำ มีลักษณะเป็นกระเปาะ เรียกว่า Bulbs มีลำต้นด้านใน มีลักษณะเป็นก้อนเล็กๆสีขาว ซึ่งเป็นที่เกิดของหัวหอม หัวหอมจะแตกใหม่ออกมาจากหัวเดิม โดยเฉลี่ย 2 - 20 หัวต่อกอ เส้นผ่าศูนย์กลางของหัวโดยประมาณ 1.5-3.5 ซม.
ต้น ต้นที่แลเห็นเหนือดินเป็นส่วนที่อยู่ต่อจากบัลบ์ จัดเป็นลำต้นเทียมที่เกิดจากกาบใบเรียงอัดกันแน่น ถัดมาจึงเป็นส่วนของใบ
ราก รากหอมแดงเป็นระบบรากฝอยเยอะแยะ แตกออกออกจากด้านล่างของต้น มีลักษณะเป็นกระจุกรวมกันที่ก้นหัว และก็แพร่ลงดินลึกในระดับตื้นประมาณ 10-15 ซม.รวมทั้งแผ่รอยต้นประมาณ 5-10 เซนติเมตร
การขยายพันธุ์ หอมแดงสามารถขยายพันธุ์ได้ 2 วิธีเป็นการใช้ส่วนหัวพันธุ์ (sets) แล้วก็การใช้เมล็ดพันธุ์ (seeds) การใช้หัวประเภท (sets) เป็นวิธีของเกษตรกรที่นิยมปฏิบัติกันมานาน หัวหอมแดงที่จะปลูกจำเป็นต้องผ่านการพักตัวมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน จึงจะปลูกได้  การใช้เมล็ดพันธุ์ (seeds)  เป็นวิธีที่ลดเงินลงทุนในการผลิตสำหรับเพื่อการซื้อหัวประเภทที่มีราคาแพง สำหรับวิธีการปลูกหอมแดงนั้นมีดังนี้
การเตรียมแปลงปลูก หอมแดงเป็นพืชที่มีระบบรากสั้น มีขอบเขตรากลึกประมาณ 10-15 ซม. ด้วยเหตุนี้ ในระดับความลึกนี้ หอมแดงก็เลยอยากหน้าดินร่วนซุย และมีความชุ่มชื้นเป็นประจำ มีการระบายน้ำ และก็อากาศดี ไม่ต้องการที่จะอยากดินแน่น โดยยิ่งไปกว่านั้นระยะที่มีการแตกหัวใหม่ การเตรียมดินให้ร่วนซุยจะช่วยทำให้หอมแดงเติบโตได้ดี ด้วยการไถพรวนดินครั้งแรก ลึก 20 เซนติเมตร พร้อมกำจัดวัชพืช ตากแดดทิ้งไว้ 7-15 วัน หลังจากนั้น ไถกระพรวนดินให้ร่วนด้วยหน้าผานที่เล็กลง ลึก 20-30 ซม. รวมทั้งตากดินก่อนปลูก 3-7 วัน ก่อนไถกระพรวนครั้งที่ให้หว่านปุ๋ยหมัก อัตรา 2-3 ตัน/ไร่ ร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 20-30 กิโลกรัม/ไร่ ในฤดูฝนแปลงปลูกหอมแดงจะต้องยกร่องกว้างประมาณ 1-1.2 เมตร ความยาวขึ้นกับพื้นที่ทำการเพาะปลูกเพื่อน้ำฝนระบายออกได้ ระยะห่างระหว่างแปลงจะเว้นไว้ราว 30-50 ซม. เพื่อเป็นฟุตบาทสำหรับการให้น้ำหรือกำจัดวัชพืช
ก่อนปลูก 1-3 วัน ควรให้น้ำในแปลงให้เปียกก่อน แนวทางการปลูก นำหัวชนิดที่พักตัวดีแล้วหรือหัวประเภทที่เก็บไว้นาน 2-4 เดือนภายหลังจากเก็บเกี่ยว มาตัดรากแห้งออก แยกหัวออกจากกันให้เป็นหัวคนเดียวๆแล้วฝังหัวลงไปในดินให้ปลายของหัวอยู่เสมอผิวดิน ระยะปลูกที่ 15 x 15 เซนติเมตร ปิดฟางครึ้มราวๆ 1 ซม. เมื่อหอมแดงแตกหน่อได้โดยประมาณ 15 วัน ก็เลยหว่านปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต 21% อัตรา 10 กิโลกรัม/ไร่ แล้วให้น้ำตอนเช้าเย็นหรือวันละครั้ง สุดแต่สภาพความชุ่มชื้นของผิวดิน  หอมแดงที่ปลูกจากหัวเก็บเกี่ยวเมื่ออายุราว 60 วัน หอมแดงที่สมควรในการเก็บเกี่ยวจะต้องแก่จัด มีใบแห้งตามธรรมชาติ โดยห้ามใช้สารกำจัดวัชพืชพ่นบังคับให้ใบแห้ง เพราะว่าหัวหอมบางทีอาจบูดเน่าหายหรือมีอายุเก็บไว้บริโภคสั้น ก่อนที่จะมีการเก็บเกี่ยวราว 10-15 วัน ต้องงดให้น้ำ และให้น้ำอีครั้งก่อนเก็บเกี่ยว 1 วัน เพื่อหอมแดงถอนได้ง่าย การเก็บเกี่ยวจะใช้วิธีการมือถอนหรือใช้จอบหรือเสียมขุดร่วมด้วย ข้างหลังการเก็บเกี่ยว หอมแดงจะเก็บได้ไม่เกิน 6 เดือน ภายหลังเก็บเกี่ยวบนแปลง ถ้าหากเกิน 6 เดือน หัวหอมแดงจะฝ่อไม่อาจจะรับประทานและไม่สามารถนำไปเพาะปลูกได้
                ดังนี้หอมแดงสามารถผสมข้ามจำพวกได้ กับหอมหัวใหญ่ ลูกผสมที่เกิดขึ้นมีลักษณะรูปร่างจัดเข้าอยู่ในกรุ๊ปของหอมหัวใหญ่ (A.cepa)  ส่วนชนิดหอมแดงที่นิยมนำมาปลูกในประเทศไทยมีอยู่ 3  พันธุ์ ซึ่งลักษณะคล้ายคลึงกันมาก
จำพวกจังหวัดศรีสะเกษ เปลือกหัวนอกดก มีสีม่วงแดง หัวมีลักษณะกลมป้อม มีกลิ่นแรง ให้รสหวาน ใบเขียวเข้มมรกต มีนวลจับนิดหน่อย
พันธุ์บางช้าง มีลักษณะคล้ายกับจำพวกศรีสะเกษ แม้กระนั้นสีเปลือกจางกว่า หัวมีลักษณะกลมป้อม ใบสีเขียวเข้ม มีนวลจับบางส่วน เป็นพันธุ์ที่ได้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้นมากยิ่งกว่าทุกพันธุ์
จำพวกจังหวัดเชียงใหม่ มีเปลือกบาง สีส้มอ่อน หัวมีลักษณะกลมรี  กลิ่นไม่ฉุนเหมือนจำพวกอื่น ให้รสหวาน หัวจะแบ่งเป็นกลีบแจ่มชัด ไม่มีเปลือก ใบสีเขียวมีนวลจับ
องค์ประกอบทางเคมี   หัวหอมมีน้ำมันระเหยง่ายที่มีกำมะถัน diallyl disulphide เป็นส่วนประกอบร่วมกับสารอื่นๆอีกเป็นต้นว่า Ethanol, Acetonc, methyl Ethyl, Methyl Disulfide, Methyl, Methyl Trisulfide, Methyl I-propyl Trisulfide, I-propyl Trisulfide, Ketone, I-propanol, 2 – propanol, Methanol, I-butanol, Hydrogen Sulfidc, I-propanethiol, I-propyl Disulfide , Thioalkanal-S-oxide, di-n- propyl Disulfide, n- propyl-allyl Disulfide,  Dithiocarbonate รวมทั้ง Thiuram Sulfidc ,Linoleic , flavonoid Glycoside , pectin , alliin ส่วนสารที่กระตุ้นให้เกิดกลิ่นในหัวหอมมีอยู่ 3 ประเภทเป็นdipropyl trisulfide, methylpropyl disulfide , methylpropyl disulfide แล้วก็ methylpropyl trisulfide  ส่วนค่าทางโภชนาการของหอมแดงนั้นมีดังนี้

คุณค่าทางโภชนาการของหอมแดงดิบต่อ 100 กรัม

  • หอมแดงพลังงาน 72 กิโลแคลอรี่
  • คาร์โบไฮเดรต 16.8 กรัม
  • น้ำตาล 7.87 กรัม
  • เส้นใย 3.2 กรัม
  • ไขมัน 0.1 กรัม
  • โปรตีน 2.5 กรัม
  • วิตามินบี 1 0.06 มก.
  • วิตามินบี 2 0.02 มก.
  • วิตามินบี 3 0.2 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 5 0.29 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 6 0.345 มก.
  • วิตามินบี 9 34 ไมโครกรัม
  • วิตามินซี 8 มิลลิกรัม
  • ธาตุแคลเซียม 37 มิลลิกรัม
  • ธาตุเหล็ก 1.2 มก.
  • ธาตุแมกนีเซียม 21 มก.
  • ธาตุแมงกานีส 0.292 มิลลิกรัม
  • ธาตุฟอสฟอรัส 60 มิลลิกรัม
  • ธาตุโพแทสเซียม 334 มก.
  • ธาตุสังกะสี 0.4 มิลลิกรัม

ผลดี/สรรพคุณ  สำหรับในการใช้ประโยชน์จากหอมแดงนั้นโดยมากกว่า 80% ชอบนิยมนำไปเตรียมอาหารอีกทั้งอาหารคาว รวมทั้งของหวาน รวมทั้งนำไปเป็นเครื่องเคียง ของอาหารต่างๆอย่างเช่น ข้าวซอกซอย สเต๊ ฯลฯ รวมทั้ง หัวหอม ใบแล้วก็ช่อดอกอ่อน กินเป็นผักสดรวมทั้งปรุงเป็นอาหาร หอมหัวรวมทั้งใบ ดอกเปรี้ยวรับประทานเป็นผักจิ้ม
ส่วนสำหรับการใช้หัวหอมในด้านสรรพคุณรักษาโรคนั้นมีดังนี้ ตามคุณประโยชน์โบราณของไทยพูดว่า ใบมีรสเค็มหวาน เป็นเมือก ใช้แก้หวัดและก็เลือดกำเดาออก หัวหอมรสเผ็ดร้อน แก้ไข้มีเสลด ใช้ในปริมาณน้อย บำรุงดูแลรักษาผมให้งอกงาม ทำให้ผิวหนังสดชื่น แก้ไข้ เช็ดทาผิวหนังทำให้ร้อน ขับเสมหะ แก้โรคในปาก บำรุงธาตุ ใช้ภายนอก
การเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ปกป้องตับแล้วก็ไต       การเล่าเรียนความสามารถสำหรับการปกป้องความเสื่อมโทรมของตับแล้วก็ไตจากการตำหนิดเชื้อไข้มาลาเรีย โดยเตรียมสารสกัดหอมแดงอย่างหยาบด้วยน้ำ หลังจากนั้นนำไปทดสอบฤทธิ์ในหนูถีบจักร สายพันธุ์ ICR ที่ติดเชื้อโรคไข้มาลาเรีย Plasmodium berghei  ANKA จำนวน 6x106เซลล์ ต่อตัวทดลอง โดยให้ตัวทดลองได้รับสารสกัดทางหลอดอาหารวันละครั้ง ตรงเวลา 4 วันติดต่อกัน รวมทั้งทำตรวจวัดค่าชี้ความเสียหาย ดังเช่นว่า ระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับ aspartate aminotransferase (AST), alanine aminotransferase (ALT) แล้วก็ตัวบ่งชี้รูปแบบการทำงานของไต เป็นต้นว่า blood urea nitrogen (BUN) แล้วก็ creatinine โดยใช้ชุดตรวจสำเร็จรูป ผลของการทดสอบพบว่าความเข้มข้นสูงสุดของสารสกัดหอมแดงที่ไม่ทำให้เกิดความเป็นพิษหมายถึง3,000 มิลลิกรัมต่อกก. และก็ในขณะที่มีการติดโรคมาลาเรียนั้นจะเจอความทรุดโทรมของตับ และไตเกิดขึ้นในวันที่ 10 หลังจากติดเชื้อโรคโดยมองได้จากระดับของ AST, ALT, BUN และ creatinine ที่สูงที่สุด แม้กระนั้นสารสกัดหอมแดงที่ขนาด 3,000 มิลลิกรัมต่อกก. สามารถป้องกันความทรุดโทรมของตับและไต จากการติดเชื้อไข้จับสั่นได้โดยดูจากตัวบ่งชี้ที่มีระดับปกติ จากผลการค้นคว้าสามารถสรุปได้ว่าสารสกัดหอมแดงมีฤทธิ์ปกป้องความเสื่อมโทรมของตับและไตจากการตำหนิดเชื้อไข้มาลาเรียในตัวทดลองได้
ฤทธิ์ต้านอักเสบ       ทดลองฤทธิ์ต้านการอักเสบของส่วนสกัดหัวหอมแดงในเอทานอลในหลอดทดลอง ทำการทดสอบความมีชีวิตรอดของเซลล์ด้วยวิธี 3-4,5-dimethylthiazol-2-yl-2,5-dyphenyl tetra-zolium bromide (MTT) เล่าเรียนผลของส่วนสกัดต่อการแสดงออกของยีนที่เป็นสื่อกลางการอักเสบเป็นต้นว่า inducible nitric oxide synthase (iNOS), cyclooxygenase (COX)-2, COX-1, tumor necrosis factor (TNF)-α, interleukin (IL)-1β และ IL-6 ในเซลล์เพาะเลี้ยงมาโครฟาจ (RAW 264.7) ที่ได้รับการกระตุ้นด้วยสาร Lipopolysaccharide (LPS) โดยวัดปริมาณยีนที่แสดงออกด้วยแนวทาง reverse transcription polymerase chain reaction (RT-PCR) วิเคราะห์หาปริมาณฟีนอลรวม รวมทั้งฟลาโวนอยด์รวม ของส่วนสกัดโดยใช้ปฏิกิริยาการเกิดสีกับสาร Folin-Ciocalteu แล้วก็สารอลูมินัมคลอไรด์ เป็นลำดับ ผลการศึกษาพบว่าที่ความเข้มข้น 62.5, 125 และ 250 ไมโครกรัม/มล. ส่วนสกัดหอมแดงในเอทานอลไม่มีความเป็นพิษต่อเซลล์ และก็มีฤทธิ์ยั้งการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบเป็นต้นว่า iNOS, TNF-α, IL-1β แล้วก็ IL-6 เพิ่มขึ้นตามความเข้มข้น ส่วนสกัดหอมแดงไม่เป็นผลต่อการแสดงออกของยีน COX-2 แม้กระนั้นยั้งการแสดงออกของยีน COX-1 อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีปริมาณสารฟีนอลรวมคิดเป็น 15.964±0.122 สมมูลกับกรดแกลลิก/กรัม และก็มีจำนวนสารฟลาโวนอยด์รวม 11.742 ±0.012 มิลลิกรัม สมมูลกับสารเคอร์สิทิน/กรัม
การศึกษาทางพิษวิทยา
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ การทดลองสารสกัดบิวทานอลจากหอมสด ความเข้มข้น 0.5 มิลลิลิตร/แผ่น หรือความเข้มข้นอื่นๆกับ Bacillus subtilis M-45 (Rec-) ในจานเพาะเชื้อ พบว่าไม่มีฤทธิ์ และก็เมื่อเปลี่ยนมาใช้สารสกัดเอทานอล (95%) จากหอมสด ความเข้มข้น 0.5 มล./แผ่น กับ B. subtilis H-17 (Rec+) ในจานเพาะเชื้อ พบว่าไม่มีฤทธิ์เหมือนกัน นอกเหนือจากนี้การทดลองน้ำสกัดหรือน้ำต้มหอมสด ความเข้มข้น 0.5 มิลลิลิตร/แผ่น กับ B. subtilis M-45 (Rec-) และก็การทดลอง B. subtilis H-17 (Rec+) ด้วยน้ำสกัดหอมสด ก็พบว่าสารสกัดพวกนี้ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ แต่ว่าหากใช้ส่วนสกัดจาก chromatography (undiluted) หรือการใช้ oleoresin จากหอม (undiluted) มาทดลองกับ Salmonella typhimurium TA100 ในจานเพาะเชื้อ พบว่ามีฤทธิ์ แต่ว่าเมื่อเอามาทดลองกับ S. typhimurium TA98 กลับไม่มีฤทธิ์ ใช้สารสกัดเมทานอลทดสอบกับ S. typhimurium TA98 พบว่าสารสกัดนี้มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์แรง และก็เมื่อเล่าเรียนกลไกการเมตา-โบไลท์สารก่อกลายพันธุ์ของหอมในร่างกาย พบว่ากลูตาธัยโอน กลูคิวโรนายด์ ไดธัยโอธรีธอล สามารถลดฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ของหอมได้ แม้กระนั้นไวตามินซีไม่มีผลต่อฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ของหอมแต่อย่างใด มีการทดสอบฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ของเครื่องเทศที่ใช้เตรียมน้ำพริกแกง ใน S. typhimurium พบว่าสารสกัดจากหอมมีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ถึง 100% ซึ่งเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากสารสำคัญที่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ซึ่งมีอยู่แล้วตามธรรมชาติในหอม เมื่อกระทำแยกและพินิจพิจารณาสารสำคัญนั้นพบว่า เป็นสารจำพวก ฟลาโวนอยด์ เคอร์สิตำหนิน (quercetin) ขึ้นรถสำคัญที่แยกบริสุทธิ์ได้ 1 ตัว พบว่าเป็นquercetin-4-0-glycoside สารนี้เป็นสารก่อกลายพันธุ์ฤทธิ์อ่อน ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ของมันจะสูงขึ้นเมื่อถูกกระตุ้นด้วยโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย เมื่อสลายสารนี้ด้วยโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี b-glucuronidase ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีที่เจอที่ลำไส้ใหญ่ พบว่าฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์จะร้ายแรงเพิ่มขึ้น
พิษต่อเซลล์ ทดลองสารสกัดเมทานอลจากรากหอมสด ความเข้มข้น 200 มคกรัม/มิลลิลิตร กับ macrophage cell line raw 264.7 พบว่าสารสกัดนี้ไม่มีพิษต่อเซลล์ดังกล่าว
ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง

47  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / เมื่อย ยังเป็นสมุนไพรเเก้พิษได้ดีอย่างยอดเยี่ยม เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2018, 02:23:34 am

[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพรเมื่อ
ปวดเมื่อย Gnetum montanum Markgraf
บางถิ่นเรียกว่า เมื่อย (ตราด) ม่วย (จังหวัดเชียงราย จังหวัดอุบลราชธานี) มะม่วย (จังหวัดเชียงใหม่) แฮนม่วย (เลย)
ไม้เถา เนื้อแข็ง กิ่งเป็นข้อต่อกันแล้วก็ตามข้อจะบวมพอง ใบ คนเดียว เรียงเป็นคู่สลับตั้งฉาก ใบรูปขอบขนานปนรูปไข่ มีขนาดแตกต่างมาก แต่ว่ากว้างไม่เกิน 12 เซนติเมตร ยาวไม่เกิน 20 เซนติเมตร ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคนใบกลม มน หรือ แหลม ขอบของใบเรียบ เนื้อใบแข็งหนา หรือ ค่อนข้างหนา เมื่อแห้งสีออกดำ เส้นใบโค้ง ก้านใบยาว 1-1.5 เซนติเมตร ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอดแล้วก็ตามลำต้น [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพ[/color] ช่อดอกแตกกิ่งก้านสาขามา แยกเป็นช่อดอกเพศผู้รวมทั้งเพศภรรยา ดอกเรียงเป็นชั้นๆรอบแกนกลาง ช่อดอกเพศผู้ กว้างประมาณ 0.4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 3 ซม. แต่ละชั้นมีประมาณ 20 ดอก ช่อดอกเพศภรรยา แต่ละชั้นมี 5-7 ดอก ผล รูปรี กว้างราว 1 ซม. ยาว 1.5 เซนติเมตร เมื่อสุกสีแดง ก้านผลอ้วน ยาวประมาณ 0.2 ซม.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นในชั้นสูงจากน้ำทะเล 50-1,800 ม. พบในทุกภาคของประเทศ นอกจากภาคกึ่งกลาง
คุณประโยชน์ : ราก น้ำสุกรากรับประทานแก้พิษบางจำพวก และแก้ไข้มาลาเรีย
48  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / รางจือมีสรรพตุณเเละประโยชน์ดังนี้ เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2018, 06:19:06 pm
[/b]
รางจื[/size][/b]
ชื่อสมุนไพร  ยาเขียว
ชื่ออื่นๆ/ชื่อแคว้น กำลังช้างเผือก , ขอยชะนาง , รางเอ็น , เครือชาเขียว (ภาคกลาง) , รางจืด , เครือเข้าเย็น , หนามแน้ (ภาคเหนือ) , ดุเหว่า (ปัตตานี) , น้ำขัง (จังหวัดสระบุรี) , ทิดพุด (นครศรีธรรมราช) , คาย (ยะลา) , แอดแอ ,ย้ำแย้ (จังหวัดเพชรบูรณ์) จอลอดิเอ้อ , ซั้งถะ ,พอเพียงหน่อเตอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)
ชื่อสามัญ  Blue trumphet vine , Laurel clockvine
ชื่อวิทยาศาสตร์  Thumbergia laurifolia Lindl
วงศ์    Acanthaceae
ถิ่นเกิด ยาเขียวเป็นพืชเถาในเขตร้อนและเขตอบอุ่นของทวีปเอเชีย ยกตัวอย่างเช่น ประเทศแถบอินเดีย อินโดจีน ศรีลังกา เมียนมาร์ ไทย มาเลเซีย อินโนดีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ รวมถึงมณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน และก็ไตหวัน ในประเทศไทยพบได้บ่อยตามป่าดงดิบหรือป่าดิบชื้นทั่วๆไป ในทุกภาคของประเทศ รวมทั้งเป็นพืชที่มักจะเจริญวัยได้เร็วมาก แม้กระนั้นตอนนี้นิยมนำมาปลูกตามบ้านที่พักทั่วๆไป เพราะว่ามีการศึกษาค้นคว้าออกมาว่าสามารถกำจัด/ล้างสารพิษในร่างกายได้
ลักษณะทั่วไป
ต้นยาเขียวเป็นไม้เถาสามารถเลื้อยไปตามพื้นดินหรือพิงพันขึ้นคลุมต้นไม้ใหญ่ๆได้ทั้งต้น เถามีลักษณะกลม ดังเช่นว่า ข้อข้อ สีเขียว เป็นเงา เมื่อเถาแก่เป็นสีน้ำตาลมากเพิ่มขึ้น และยาวได้มากกว่า 10 เมตร ใบเป็นใบลำพังสีเขียวเข้มออกเป็นคู่ตรงกันข้ามตรงข้อของลำต้น ใบมีลักษณะเหมือนใบย่านางรูปขอบขนานหรือรูปไข่ กว้าง 4-7 ซม. (เซนติเมตร) ยาว 8-15 ซม. ปลายเรียวแหลม โคนเว้าหรือหยักรูปหัวใจ ขอบใบเรียบหรือหยักตื้น เส้นใบมี 5 เส้น ออกฐานใบเดียวกัน  ดอก ออกตามซอกใบใกล้ปลายยอด ช่อละ 3-4  ดอก กลีบดอกไม้แผ่ขยายออกเป็นรูปแตร ปลายแยกเป็น 5 แฉก โคนดอกเป็นหลอดกรวยยาวราว 1 ซม. มักมีน้ำหวานใส่อยู่ในหลอด ดอกมีสีม่วงแกมสีน้ำเงิน ผลเป็นรูปทรงกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 1 เซนติเมตร เมื่อผลแห้งแล้ว จะแตก 2 ส่วน จากจะงอยส่วนบน มักมีดอกในฤดูหนาว (เดือนพฤศจิกายน-กุมพาพันธ์) ดอกที่โรยแล้วบางดอกบางทีอาจติดผล เมื่อแก่เปลือก ผลเป็นสีน้ำตาล แตกออกเป็น 2 ด้าน เม็ดมีสีน้ำตาลมีปุ่มเล็กๆคล้ายหนามอยู่บนเปลือกเมล็ด รวมทั้งสามารถนำไปเพาะแพร่พันธุ์ต่อไปได้
การขยายพันธุ์
รางจืดสามารถแพร่พันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเม็ดหรือปักชำ สำหรับในการปักชำจะใช้กิ่งชนิดที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปี หรือกิ่งพันธุ์แก่ที่สีน้ำตาลอมเขียว ด้วยการตัดกิ่งยาว 20-30 ซม. โดยให้มีตากิ่งหรือข้อกิ่งติดมาขั้นต่ำ 1-2 ตา และก็หลังจากนั้นจึงค่อยนำปักชำในทรายหรือแกลบที่ไม่มีดินแล้วรดน้ำให้เปียกจนถึงรากแตกออกแล้วจากนั้นจึงค่อยนำไปลงถุงเพาะชำเพื่อลงปลูกต่อไป หรือปักชำลงดินรอบๆที่อยากปลูก รวมทั้งรดน้ำบ่อย 1-2 ครั้ง/วัน กระทั่งกิ่งเริ่มแทงยอดอ่อน
สำหรับเพื่อการปลูกจากการเพาะเมล็ดนั้น ถือเป็นวิธีที่สามารถได้ต้นที่แข็งแรงสมบูรณ์ที่สุด เนื่องจากจะได้ต้นซึ่งสามารถแตกกิ่งกิ้งก้านได้มาก กิ่งแขนงยาวได้หลายเมตร รวมทั้งลำต้นมีอายุนานมากกว่าการปลูกจากต้นเพาะชำ
แต่ว่าการขยายพันธุ์ยาเขียวส่วนมากชอบนิยมใช้กระบวนการปักชำมากกว่า เพราะว่าจังหวะสำหรับการงอกมีมากยิ่งกว่า แล้วก็ใช้เวลาน้อยกว่าการเพาะเมล็ด สำหรับวิธีการปลูกยาเขียวนั้นมีดังนี้  นำเอากิ่งที่ได้จากการปักชำ หรือต้นกล้าที่ได้จากการเพาะเม็ด มาปลูกลงดินโดยให้ขุดหลุมปลูกมีความกว้างลึกโดยประมาณ 1x1 ฟุต แล้วรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมักโดยประมาณ 1 ใน 4 ของหลุม กลบดินนิดหน่อย วางกิ่งปลูกหรือต้นกล้าลงกึ่งกลางหลุมแล้วกลบขอบดินให้แน่น รดน้ำตามให้ชุ่ม ควรจะปลูกขอบรั้วหรือกำแพงเพื่อเถายาเขียวสามารถยึดเกาะแล้วก็เลื้อยพิงไปได้ หรือไม่ก็ทำค้างให้เถรางจืด
เกาะเลื้อย  รางจืดเป็นไม้ที่สามารถเจริญได้ดีในดินเกือบทุกประเภท รวมทั้งเป็นไม้ที่อยากได้แดดปานกลางเป็นไม่ได้อยากแดดที่จัดมากจนเกินความจำเป็น แล้วก็มีความต้องการน้ำปานกลาง ในระยะแรกปลูกจำต้องรดน้ำให้ดินมีความชุ่มชื้นอยู่ตลอดระยะเวลา เมื่อต้นโตแล้วให้รดน้ำวันละ 1 ครั้ง ในรุ่งเช้า ส่วนการให้ปุ๋ยนั้นใช้ปุ๋ยธรรมชาติหรือปุ๋ยธรรมชาติ ใส่บริเวณโคนต้นปีละ 2 ครั้ง โดยการพรวนดินโคนต้นให้ร่วนเสียก่อนจึงให้ปุ๋ย แล้วรดน้ำตาม
การเก็บใบยาเขียว  สำหรับใบยาเขียวที่จะเก็บมาใช้ทางยา ควรเก็บจากต้นที่แก่ตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป และก็ให้ทยอยเก็บจากใบข้างล่างบริเวณโคนกิ่งก่อน และก็ค่อยเก็บไปจนกระทั่งกลางกิ่ง ไม่ควรเก็บให้ถึงรอบๆปลายกิ่งภายหลังจากเก็บมาแล้ว ถ้าหากไม่ใช้โดยทันที ให้นำใบมาล้างน้ำให้สะอาด ก่อนนำไปผึ่งแดด 5-7 แดด เมื่อแห้งแล้วให้เก็บใสถุงหรือกล่องไว้ ระวังไม่ให้โดนน้ำ เพราะเหตุว่าบางทีอาจเกิดเชื้อราได้
ส่วนประกอบทางเคมี ฟลาโวนอยด์, ฟีนอลิก, apigenin, cosmosin, delphinidin-3,5-di-O-beta-D-glucoside, chlorogenic acid, caffeic acid, lutein – Chlorophyll a Chlorophyll b  Pheophorbide a  Pheophytin a
คุณประโยชน์ / สรรพคุณ
                ยาเขียวจัดเป็นยารสเย็นใช้ปรุงเป็นยาเขียวลดไข้ ถอนพิษผิดสำแดง รวมทั้งพิษอื่นๆใช้แก้ร้อนใน หิวน้ำ รักษาโรคโรคหอบหืดเรื้อรัง แล้วก็แก้ผื่นคันจากอาการแพ้ต่างๆใช้แก้พิษเบื่อเมาเนื่องจากเห็ดพิษ สารหนู หรือยาฆ่าแมลง
                หนังสือเรียนยาไทย: ใบ ราก และเถา รสจืดเย็น ตำคั้น หรือเอารากฝนกับน้ำ หรือต้มเอาน้ำยาดื่มทำลายพิษ แก้ไข้ ทำลายพิษยาเบื่อเมา แก้ร้อนในหิวน้ำ แก้รอบเดือนเปลี่ยนไปจากปกติ แก้ปวดหู ตำพอก แก้ปวดบวม เถาและก็ใบ กินแก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้พิษร้อนต่างๆราก รสจืดเย็น แก้อักเสบ แก้ปวดบวม แก้แฮงค์ แก้ลักษณะของการปวดหัวมึนหัวอันเนื่องมาจากพิษสุรา ทำลายพิษสุรา พิษหลงเหลือในร่างกาย ใช้รากเข้ายารักษาโรคอักเสบรวมทั้งปอดบวม รากรวมทั้งเถา ใช้รับประทานเป็นยารักษาอาการร้อนในอยากกินน้ำ รักษาพิษร้อนทั้งปวง อีกทั้งต้น รสจืดเย็น ทำลายพิษยาเบื่อเมา หรือใช้ปรุงเป็นยาเขียว ทำลายพิษไข้ ทำลายพิษผิดสำแดง พิษเบื่อเมาเพราะเหตุว่าเห็ดพิษ สารหนู หรือยากำจัดแมลง แล้วก็พิษทั้งหมด  รักษาหอบหืดเรื้อรัง แก้ผื่นคันจากอาการแพ้ต่างๆปรุงยาแก้มะเร็ง หมอยาแผนไทยใช้เพื่อช่วยจับสารพิษในตับหรือล้างพิษในตับ
           สมุนไพรท้องถิ่นล้านนา: ใช้ ใบและราก ปรุงเป็นยาทำลายพิษไข้ เป็นยาพอกบาดแผล น้ำร้อนลวก ไฟเผา ทำลายพิษยาฆ่าแมลง พิษจากสตริกนินให้เป็นกลาง พิษจากดื่มเหล้ามากเกินความจำเป็น หรือยาเบื่อประเภทต่างๆ(บอกว่ารากยาเขียวมีตัวยามากกว่าใบ 4-7 เท่า))
           ตำรายาท้องถิ่นจังหวัดโคราช: ใช้ ใบ แก้โรคเบาหวาน
           ประเทศมาเลเซีย: ใช้ใบแก้ประจำเดือนเปลี่ยนไปจากปกติ แก้ปวดบวม
                ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบันได้มีการทำการศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับคุณประโยชน์ของรางจืดมานานแล้ว ซึ่งมีผลการวิจัย ดังต่อไปนี้

  • พ.ศ. 2521 นักวิจัยจากภาควิชาแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มัธยมมหิดล เป็นกรุ๊ปแรกที่ทดสอบป้อนผงรากยาเขียวให้ตัวทดลองก่อนให้น้ำยาสตริกนินแต่ว่าพบว่าไม่ได้เรื่อง หนูชักและก็ตาย แต่หากผสมกับน้ำยาสตริกนินก่อนป้อน พบว่าหนูทดลองไม่เป็นอะไร แสดงว่าผงรากยาเขียวสามารถดูดซับสารพิษประเภทนี้ไว้
  • พุทธศักราช 2523 คุณครูพระสรัสวดี เตชะเสนและคณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ใช้น้ำคั้นใบยาเขียวป้อนตัวทดลองที่รับประทานสารกำจัดศัตรูพืช“โฟลิดอล”พบว่าแก้พิษได้ ลดอัตราการตายลงจาก 56% เหลือเพียง 5% แค่นั้น เวลาที่แนวทางการฉีดกลับไม่ได้เรื่อง
  • พ.ศ. 2551 สุชาสินี หนังเหนียวธ์ ใช้สารสกัดแห้งใบรางจืดป้อนหนูทดลองที่ได้รับยากำจัดศัตรูพืชกรุ๊ปออร์แกนโนฟอสเฟตชื่อมาราไธออนพบว่าช่วยชีวิตได้ 30%
  • พ.ศ. 2553 จิตบรรจง ตั้งปอง มหาวิทยาลัยวงกลมลักษณ์ พบว่าสารประกอบในใบรางจืดช่วยป้องกันการถึงแก่กรรมของเซลล์ประสาทของตัวทดลองที่ได้รับพิษจากสารตะกั่ว จึงสามารถป้องกันสูญเสียการเรียนรู้และความจำได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง

มีการศึกษาค้นคว้าเรื่องใบยาเขียวสามารถคุ้มครองป้องกันตับ ซึ่งเป็นอวัยวะที่กำจัดพิษในร่างกาย ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งที่ช่วยรักษาชีวิตของคนที่ได้รับพิษ พุทธศักราช 2543 รายงานวิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่าสารสกัดแห้งของน้ำใบยาเขียวน่าจะมีผลลดความเป็นพิษของตับจากแอลกอฮอล์ได้ พ.ศ. 2548 พรเพ็ญ เปรมโยธิน จุฬาลงมือณ์มหาวิทยาลัย รายงานผลว่าสารสกัดน้ำรางจืดแสดงฤทธิ์ดังที่กล่าวมาแล้ว ทั้งยังในหลอดทดลองแล้วก็ในหนูทดลอง  แล้วยังพบว่า สารสกัดน้ำใบรางจืดมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วย
นอกนั้นยังมีการใช้ประโยชน์จากยาเขียวอีกดังเช่น ยอดอ่อน ดอกอ่อนสามารถใช้รับประทานเป็นผักได้ โดยจะใช้ลวก แกงรับประทาน ก็ทำเป็นอย่างกับผักพื้นเมืองปกติ นอกเหนือจากนั้นเด็กๆตามต่างจังหวัดยังนิยมดื่มน้ำหวานจากดอกรางจืดที่บ้านได้อีกด้วย โดยไม่มีอันตรายใดๆแม้กระนั้นอย่างไรก็ตาม การกินยาเขียวในจำนวนต่อเนื่องกันโดยตลอด บางครั้งก็อาจจะจำเป็นต้องคอยติดตามการเปลี่ยนแปลงของเลือดวิทยาหรือเคมีสถานพยาบาลที่อาจเกิดขึ้นต่อไปด้วย
ชายาเขียว ใบรางจืดสามารถเอามาหั่นเป็นฝอย ตากลมให้แห้งแล้วนำมาชงกับน้ำร้อนดื่มแทนชาได้ และยังมีกลิ่นหอมสดชื่นรวมถึงยังช่วยล้างพิษในร่างกายได้อีกด้วย  ในปัจจุบันได้มีการนำสมุนไพรยาเขียวมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ แคปซูลรางจืดหรือรางจืดแคปซูล เพื่อความสะดวกรวมทั้งง่ายต่อการใช้ประโยชน์  ดอกรางจืด นำมาบดอย่างรอบคอบผสมกับน้ำ แล้วกรองแยกกาก ก่อนนำน้ำที่ได้ใช้ทำของหวาน ใช้หุงข้าว หรือใช้ทำสีผสมอาหารอื่นๆซึ่งจะให้สีม่วงอ่อนหรือสีคราม หรือสีอื่นตามจำพวกสีของดอก
คนสมัยเก่ามีความคิดกันว่า การกินน้ำต้มจากรางจืดสามารถช่วยแก้คุณไสย ยาสั่งหรือมนต์ดำที่ผู้อื่นทำแก่ตนได้  ใบรางจืดตากแห้งแล้ว นำมาบดให้รอบคอบ ใช้ผสมในอาหารสัตว์ เป็นต้นว่า ของกินหมู อาหารไก่ ฯลฯ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันต่อโรค และช่วยรักษาให้สัตว์มีอัตราการรอดสูงขึ้นหลังจากที่ได้รับเชื้อโรค

ต้นแบบ/ขนาดการใช้ สำหรับเพื่อการรักษาพิษ ใช้ใบสด 10 -12 ใบ นำมาตำกระทั่งละเอียดผสมกับน้ำซาวข้าวประมาณครึ่งแก้ว ส่วนการใช้คุณประโยชน์จากรากยาเขียวสำหรับการรักษาพิษ ใช้ราก 1-20 องคุลี ให้เอามาฝนหรือนำมาตำกับน้ำแช่ข้าว แล้วนำมาดื่มให้หมดทันทีที่มีอาการ รวมทั้งบางครั้งก็อาจจะจำเป็นต้องใช้ซ้ำอีกด้านในครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงเหมือนกับการใช้ใบยาเขียว  หรือใช้ใบยาเขียวทำเป็นชาแล้วรับประทานครั้งละ 2-3 กรัม โดยชงกันน้ำร้อน 100-200 ซีซี วันละ 3 ครั้งก่อนของกินหรือเมื่อมีอาการ รักษาโรคโรคเบาหวาน ให้ใช้ใบยาเขียวประมาณ 58 ใบ มาโขลกอย่างรอบคอบแล้วผสมกับน้ำแช่ข้าวกินทีละ 1 แก้ว 3 เวลา แก้อาการแพ้ ผื่นคัน ลดการเกิดโรคผิวหนัง โดยใช้ใบหรือเถาสด 10-15 ใบหรือเถาปริมาณยาว 10 เซนติเมตร ต้มในน้ำราว 10 ลิตร อาบทุกวี่วัน ประมาณ 5-7 วัน  แก้เมื่อย โดยนำใบ 10-20 ใบ หรือ ใช้เถาตัดเป็นชิ้นๆยาว 1-2 นิ้ว ก่อนนำไปแช่สุราดื่มทุกส่วนนำมาตำหรือบดผสมน้ำ ใช้สำหรับพอกแผล ยับยั้งอาการปวด ลดอาการบวม แล้วก็กำจัดพิษจากสัตว์ต่อย อาทิเช่น งูกัด แมงป่อง ตะขาบ แมงดาทะเล           ทุกส่วนออกฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ ทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นการดูแลและรักษาแผล ดังเช่น รักษาเชื้อไวรัสเริม ด้วยการบดผสมน้ำบางส่วน ก่อนนำไปประคบบริเวณรอยแผลเริม  ทุกส่วนนำมาบดผสมน้ำน้อย ก่อนเอามาประคบหรือทาแผลสด แผลเป็นหนอง ซึ่งจะช่วยให้แผลแห้งเร็ว ลดการตำหนิดเชื้อ ลดอาการบวมของแผล  ทุกส่วนเอามาต้มน้ำหรือคั้นน้ำสำหรับใช้เป็นยาแก้ร้อนใน และช่วยทุเลาอาการหิวน้ำ  น้ำต้มจากทุกส่วน นำมาดื่มอุ่นๆสำหรับรักษา และทุเลาอาการท้องเสียหรือของกินเป็นพิษ
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา  มีรายงานวิจัยในสัตว์ทดสอบพบว่า สารสกัดน้ำจากใบรางจืด ขนาด 2 และ 3 ซีซี/น้ำหนักตัว 100 กรัม แล้วก็ขนาด 3.5 ก./กิโลกรัม ส่งผลลดพิษจากสารกำจัดแมลงในกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟตในหนูได้ โดยทำให้อัตราการตายลดน้อยลง  รวมทั้งยังมีมีงานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยทางคลินิกที่เกี่ยวข้องกับการขับยาฆ่าแมลงออกมาจากร่างกาย พบว่ายาเขียวจะทำลายพิษก้าวหน้า โดยยิ่งไปกว่านั้นพิษที่เกิดขึ้นจากยาฆ่าแมลง ”โฟลิดอล” และพิษออกฤทธิ์เกี่ยวโยงกับลักษณะการทำงานของ Cholinergic system โดยการเล่าเรียนในเกษตรกรกลุ่มเสี่ยงและก็ตรวจพบระดับสารฆ่าแมลงภายในร่างกาย จำนวน 49 คน พบว่าเมื่อให้อาสาสมัครกินชายาเขียวขนาด 8 ก./วันหรือยาหลอก นาน 224 ชั่วโมง พบว่าขนาดยาฆ่าแมลงในเลือดของอาสามัครที่ได้รับยาเขียวลดน้อยลงอย่างเป็นจริงเป็นจังในวันที่ 7, 14 รวมทั้ง 21 ของการทดสอบ รวมทั้งจากการศึกษาของดวงรัตน์และก็แผนก พบว่าโดยรางจืดส่งผลเพิ่มปริมาณ Cholinesterase ในเลือดของเกษตรกรที่ได้รับสารกำจัดแมลง
สาขาวิชาสรีรวิทยา ภาควิชาแพทยศาสตร์ มหาวทิยาลัขั้นรีนครินทรำไพโรฒ จึงได้เล่าเรียนฤทธิ์ของสารสกัดรางจืดต่อเซลล์สมอง พบว่ายาเขียวมีฤทธิ์ต่อระบบประสาทคล้ายกับยาเสพติดแอมเฟทามีน รวมทั้งโคเคน โดยปกติเพิ่มการหลั่งโดพามีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่หลั่งมากมายในช่วงเวลาที่คนเจ็บได้รับสารแอมเฟทามีน รวมทั้งไปเพิ่ม activity ของเซลล์ประสาทในสมองส่วน nucleus accumbens , globus pallidus,amygdala,frontal cortex ,caudate putamen and hippocampus ที่เกี่ยวกับ  reward and locomotor behaviour ทำให้คาดว่าในคนไข้ ที่เข้ารับการดูแลรักษา/บรรเทาสารเสพติด ที่ได้รับการรักษาด้วยสารสกัดรางจืด อาจกำเนิดความอิงพอใจเช่นเดียวกับการรับยาเสพติด ถ้าหากนำไปใช้สำหรับในการรักษาผู้เจ็บป่วยจะก่อให้คนป่วยไม่ต้องทุรนทรายมาก ก็เลยบางทีอาจเป็นสาเหตุหนึ่งทีการดูแลและรักษาด้วยสารสกัดสมุนไพรเห็นผล
คณะเภสัชศาตร์ จุฬาลงแขนณ์มหาวิทยาลัย ได้วิจัยฤทธิ์ของยาเขียวสำหรับการต่อต้านพิษแอลกอฮอล์ต่อตับ พบว่าสารสกัดด้วยน้ำของยาเขียวช่วย ปกป้องการเสียชีวิตของเซลล์ตับจากพิษของแอลกอฮอล์ อีกทั้งในหลอดทดสอบและในหนูแรตครั้งได้รับแอลกอฮอล์ โดยการทำให้ค่า AST,ALT ในพลาสม่าแล้วก็สามกลีเซอร์ไรด์ในตับลดน้อยลง แล้วก็ลดความเคลื่อนไหวภาวะทางจุลพยาธิวิทยาของตับเมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ได้รับเเอลกอฮอล์สิ่งเดียว
                เหตุเพราะสารสกัดด้วยน้ำของรางจืดช่วยลดการเกิด heppatic lipid peroxidation ลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือด และก็เพิ่มระดับเอนไซม์ alcohol dehydrogenase รวมทั้ง aldehyde dehydrogenase
ส่วนมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้เรียนรู้ฤทธิ์ของรางจืดต่ออาการขาดเหล้า พบว่าสารสกัดรางจืดได้ผลลดภาวการณ์ไม่มีชีวิตชีวารวมทั้งทำให้การกระทำที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของหนูเปลี่ยนไปในทางที่ดียิ่งขึ้น แต่ไม่เป็นผลลดความรู้สึกกลุ้มอกกลุ้มใจ ขึ้นรถสกัดราถงจืดช่วยลดการถูกทำลายเซลล์ประสาทของหนูด้วยเหตุว่าขาดสุราในสมองส่วน messolimbic dopaminergic system โดยยิ่งไปกว่านั้นที่รอบๆ  nucleus accumbens และก็ ventral tegmental area
ในหนูโรคเบาหวานที่ได้รับน้ำสุกใบยาเขียวทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนน้ำคั้นใบยาเขียวสดในขนาด ๕๐ มก./มล.ที่ให้หนูเบาหวานดื่มแทนน้ำนาน ๑๒ วัน ไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด
นอกนั้น ยังมีการทดลองพบว่าการให้สารสกัดด้วยน้ำของใบยาเขียวมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด และทำให้บีต้าเซลล์ของตับอ่อนฟื้นฟูขึ้นบ้างแม้จะไม่สมบูรณ์ ในเรื่องของฤทธิ์ลดระดับความดันนั้นพบว่าสกัดด้วยน้ำของใบยาเขียวแห้งส่งผลทำให้ความดันเลือดของหนูแรตลดลง โดยกลไกการออกฤทธิ์ส่วนหนึ่งส่วนใดบางทีอาจผ่าน Cholinergic receptor และก็ทำให้เส้นโลหิตแดงคลายตัว
การใช้สมุนไพรในคนเจ็บเบาหวานและก็ความดันนี้พึงระลึกว่าต้องมีการดูแลรักษาร่วมไปกับแผนปัจจุบันและก็มีการวัดระดับน้ำตาลและก็ระดับความดันอย่างใกล้ชิด เนื่องจากว่าการศึกษาเล่าเรียนยังอยู่ในขั้นตอนของสัตว์ทดลองเท่านั้น และต้องระมัดระวังการเกิดการเสริมฤทธิ์กันของตัวยาดังกล่าวข้างต้น
มีการศึกษาว่ายาเขียวมีฤทธิ์ต่อต้านการอับเสบสูงกว่ามังคุดประมาณ 2 เท่า(ทดสอบด้วยแนวทาง Carrageenan induced paw edema) ในหนูถีบจักรรวมทั้งยังมีความปลอดภัยสูงกว่าอีกด้วย นอกเหนือจากนี้ยังพบว่า สารสกัดยาเขียวในรูปแบบของครีมสามารถลดการอักเสบได้ดีพอๆกับสตีรอยด์ครีม
ฤทธิ์สำหรับการต้านทานมะเร็ง มีการเล่าเรียนฤทธิ์ต้านการก่อกลายประเภท กล่าวอีกนัยหนึ่งสารอะไรก็ตามมีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์มีความสามารถสูงสามารถก่อมะเร็งได้ แต่ว่ารางจืดมีฤทธิ์ต่อต้านไม่ให้สารนั้นออกฤทธิ์ มีการเรียนรู้โดยให้หนูรับประทานสารสกัดของกวาวเครือซึ่งกวาวเครือจะไปมีฤทธิ์กระตุ้นการแบ่งตัวและก็การผลิตนิวเคลียสของเม็ดเลือดแดง กล่าวคือนิวเคลียสของเม็ดเลือดแดงจะเป็นก้อน ใหญ่ขึ้น และก็มีการแบ่งตัว นั่นเป็นกวาวเครือไปทำให้การเกิด micronuclei ของเม็ดเลือดแดงเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ แต่ถ้าหากให้สัตว์ทดลองกินรางจืดร่วมด้วย พบว่าสามารถลดการเกิด micronuclei ได้ ซึ่งรางจืดแบบสดแล้วก็แบบแห้งสามารถใช้ได้ผลเช่นเดียวกัน นับเป็นจุดเด่นอีกข้อหนึ่งของยาเขียว
โดยพบว่าสารออกฤทธิ์อาจเป็นกรดฟีนอลิก ยกตัวอย่างเช่น caffeic acid และ apigenin และก็สารกลุ่มคลอโรฟิลล์ ดังเช่นว่า chlorophyll a, chlorophyll b, pheophorbide a และก็ pheophytin a ซึ่งสารเหล่านี้มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงมาก
สารสกัดน้ำ เอทานอล และอะสิโทน มีฤทธิ์ต่อต้านการก่อกลายชนิด โดยยับยั้งการเกิดโรคมะเร็ง เพราะว่าสาร 2-aminoanthracene ได้ปริมาณร้อยละ 87 เมื่อวิเคราะห์ด้วยแบคทีเรีย Salmonella typhimurium TA 98 และสามารถเพิ่มรูปแบบการทำงานของเอนไซม์ควิโนนรีดักเทส ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ใช้สำหรับการกำจัดเซลล์ของโรคมะเร็งระยะเริ่มต้น ได้ตั้งแต่ 1.35-2.8 เท่า อีกทั้งยังมีรายงานการดูแลรักษาผู้ป่วยพิษแมงดาทะเล ช่วงวันที่ 4 เดือนกุมภาพันธ์ 2522 โดยมีรายงานว่ามี  คนเจ็บ 4 ราย รับประทานยำไข่แมงดาทะเล อาการขึ้นอยู่กับจำนวนที่ได้รับ ทุกรายมีลักษณะอาการชารอบปาก รวมทั้งอ้วกอาเจียน อาการชาจะลามไปกล้ามเนื้อมัดต่างๆที่เป็นโทษเป็นทำให้หายใจไม่ได้ คนไข้ 2 รายหมดสติ จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ระยะที่เริ่มแสดงอาการตั้งแต่ 40 นาที จนถึง 4 ชั่วโมง ข้างหลังรับประทาน ด้วยเหตุว่าพิษของแมงดาทะเล คือเทโทรโดทอกสิน (Tetrodotoxin) ไม่มียาแก้พิษจะต้องรักษาตามอาการ ภายหลังจากได้น้ำสมุนไพรยาเขียว 50 มล. ทางหลอดสวนจมูก-กระเพาะอาหาร คนไข้เริ่มรู้สึกตัว และอาการดียิ่งขึ้นตามลำดับ หลังจากได้รับน้ำสมุนไพร 40 นาที คนป่วยอีกรายได้รับการกรอกน้ำรางจืดเหมือนกัน ในขนาด 50 มล. ทุก 1 ชม. 5 ครั้ง ภายหลังจากได้รับน้ำสมุนไพร 5 ชั่วโมง ผู้ป่วยเริ่มรู้สึกตัว และอาการดีขึ้นตามลำดับ
การศึกษาทางพิษวิทยา
การทดลองความเป็นพิษทันควันที่ป้อนตัวทดลองครั้งเดียว อีกทั้งขนาดธรรมดาแล้วก็ขนาดสูง ไม่เจอความไม่ดีเหมือนปกติใดๆแล้วก็ป้อนต่อเนื่องกัน 28 วัน ขนาด 500 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก. ไม่พบอาการผิดปกติเหมือนกัน แต่ว่าอาจทำให้น้ำหนัก ตับ ไต สูงยิ่งกว่ากลุ่มควบคุม  ค่าชีวเคมีที่เกี่ยวกับไตสูงมากขึ้น และ AST สูงขึ้น
          การศึกษาเล่าเรียนพิษเรื้อรังของสารสกัดน้ำจากใบ โดยป้อนหนูแรทขนาด 20  200  1,000  2,000 มก./กก./วัน หรือคิดเป็น 1, 10, 50 แล้วก็ 100 เท่า ของขนาดที่ใช้ในคนตรงเวลา 6 เดือน พบว่าไม่เป็นผลต่อน้ำหนักตัว การกินอาหาร พฤติกรรม รวมทั้งสุขภาพทั่วๆไปของหนู อวัยวะภายในระดับมหพยาธิวิทยาและจุลพยาธิยังคงปกติ และไม่นำไปสู่พิษสะสม ไม่ทำให้หนูตาย
มีการศึกษาความเป็นพิษของรางจืดต่อการกลายพันธุ์ของแบคทีเรีย พบว่า สารสกัดจากยาเขียวไม่มีผลทำให้แบคทีเรียกลายพันธุ์อะไร ทั้งยังยังพบว่า สารสกัดจากยาเขียวสามารถต่อต้านการกลายพันธุ์ได้ด้วย
ข้อเสนอแนะ/ข้อควรคำนึงมี

  • การศึกษาเล่าเรียนกล่าวว่า รากของยาเขียวนั้นจะมีสรรพคุณ ทางยามากกว่าที่ใบถึง 4-7 เท่า
  • ควรจะใช้อย่างระมัดระวังและไม่ควรใช้ชิดกันเป็นเวลานานเกิน 30 วัน
  • พึงระวังสำหรับการใช้ในคนไข้โรคเบาหวาน เพราะอาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
  • ไม่สมควรใช้ร่วมกับยาประเภทอื่นเป็นระยะเวลานานเนื่องด้วยบางทีอาจขับสารเคมี หรือตัวยาภายในร่างกายออก โดยยิ่งไปกว่านั้นคนเจ็บที่จำเป็นต้องใช้ยารักษาอย่างสม่ำเสมอ
  • ยาเขียวบางทีอาจให้ผลข้างๆ สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืดได้โดยเมื่อเกิดอาการแพ้รางจืดก็อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีผลต่อระบบฟุตบาทหายใจได้ ซึ่งก็ขึ้นกับแต่ละบุคคลว่ามีระดับอาการแพ้มากน้อยแค่ไหน ถ้ามีลักษณะอาการแพ้ไม่มากก็บางทีก็อาจจะเป็นแค่ผื่นคันขึ้นตามผิวหนัง
เอกสารอ้างอิง

  • ปัญญา อิทธิธรรม และคณะ 1999 การใช้สมุนไพรรางจืดขับสารฆ่าแมลงในร่างกายของเกษตรกรกลุ่มเสี่ยงในตำบลเมืองเดช อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี
  • วิสาตรี คงเจริญสุนทร และปิยรัตน์ พิมพ์ สวัสดิ์,2552. ฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียกลุ่มแกรมลบฉวยโอกาสบางสายพันธุ์ของสารสกัดเมทานอลจากรางจืด. วารสารวิทยาศาสตร์บูรพา.
  • ภกญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร.รางจืดราชาของยาแก้พิษ.คอลัมน์.เรื่องเด่นจากปก.นิตยสารหมอชาวบ้านเล่มที่385.มกราคม.2554
  • รางจืด.ฐานข้อมูลเครื่องยาคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
  • รศ.พร้อมจิต ศรลัมพ์.รางจืด สมุนไพรแก้พิษและล้างพิษ.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/[/b]
  • รางจืดสมุนไพรล้างพิษ.คู่มือสมุนไพรล้างพิษสำหรับประชาชน.สถาบันวิจัยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข.สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและราชกิจจานุเบกษา.พิมพ์ครั้งที่2.มีนาคม 2554.20หน้า
  • รางจืดสรรพคุณรางจืด สมุนไพรลดและกำจัดสารพิษ.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพืชเกษตรไทย
  • Toxicity รางจืดและข่อยดำ.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ดวงรัตน์ เชี่ยวชาญวิทย์,กำไร กฤตศิลป์,เชิดพงษ์ น้อยภู่, 2545. การใช้สมุนไพรรางจืดเพิ่มปริมาณเอนไซม์โคลีนเอสเทอเรสในซีรั่มของเกษตรกรที่พบพิษสารกำจัดศัตรูพืชในร่างกาย)
  • ข้อมูลสรรพคุณของรางจืดในการข้อยาฆ่าแมลงออกจากร่างกายเกษตรกร.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • กนกวรรณ สุขมาก;นงนุช คุ้มทอง;สมยศ เหลืองศรีสกุล;อภันตรี โอชะกุล เตือนใจ ทองสุข , 2547 .การศึกษาประสิทธิผลของสมุนไพรรางจืดในการป้องกันการสะสมของสารเคมีกำจัดแมลงในกระแสโลหิตของเกษตรกร ตำบลไผ่ทำโพ อำเภอโพธิ์ประทับช้าง
49  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ย่านาง เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณ เเละ ประโยชน์ที่น่าทึ่ง ดังนี้ เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2018, 09:59:13 am
[/b]
ย่านา[/size][/b]
ชื่อสมุนไพร ย่านาง
ชื่ออื่นๆ/ชื่อเขตแดน จอยนาง , จ้อยนาง (ภาคเหนือ) , เถาย่านาง , เถาวัลย์เขียว , ต้นหญ้าน้องหญิง (ภาคกลาง) , บริเวณนาง , นางวันยอ , ขันยอยาด (ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์   Tiliacora triandra (Colebr.) Diels,
วงศ์  Menispermaceae
ถิ่นเกิด ย่านางมีถิ่นเกิดในใจกลางของเอเซียอาคเนย์ ตัวอย่างเช่น ในประเทศ พม่า , ไทย , ลาว , กัมพูชา  ข้อเท็จจริงแล้วพืชวงศ์ย่านางนี้มีราว 70  เชื้อสาย แม้กระนั้นโดยมากเป็นไม้เลื้อยในป่าเขตร้อนและก็ในป่าดงผลัดใบในทวีปเอเชียและก็อเมริกาเหนือ ส่วนย่านางของเรานั้นพบขึ้นตามป่าผลัดใบ ป่าดงดิบ แล้วก็ป่าโปร่ง ในทุกภาคของเมืองไทย แต่ในตอนนี้ได้มีการนำมาปลูกใบรอบๆบ้าน เพื่อใช้บริโภคแล้วก็ใช้เป็นยาสมุนไพรกันอย่างล้นหลาม
ลักษณะทั่วไป
       ย่านางเป็นไม้เถาเลื้อย เถากลมขนาดเล็ก มีเนื้อไม้ เลื้อยพระอินทร์มต้นไม้ หรือก้านไม้ เถามีสีเขียว ยาว 10-15 เมตร เถาอ่อนสีเขียว เมื่อเถาแก่จะมีสีคล้ำ แตกเป็นแนวถี่ เถาอ่อนมีขนนุ่มสีเทา มีเหง้าใต้ดิน กิ่งมีรอยแผลเป็นรูปจานที่ก้านใบหลุดไป มีขนประปราย หรือเกลี้ยง ใบผู้เดียว ดก สีเขียวเข้มวาว เรียงแบบสลับ รูปไข่ ยาวประมาณ 6-12 ซม. กว้างราวๆ 4-6 ซม. ขอบของใบเรียบ ปลายใบแหลม ฐานใบมน ผิวใบเป็นคลื่นน้อย ก้านใบยาวราวๆ 1.5 ซม. ผิวใบเรียบมัน ไม่มีหูใบ เนื้อใบเหมือนกระดาษ แต่ว่าแข็ง เหนียว มีเส้นใบกึ่งออกจากโคนใบรูปฝ่ามือ 3-5 เส้น รวมทั้งมีเส้นกิ่งก้านสาขาใบ 2-6 คู่ เส้นพวกนี้จะไปเชื่อมกันที่ขอบของใบ เส้นกึ่งกลางใบข้างล่างจะย่นย่อละเอียดใกล้ๆโคน ขนเกลี้ยง ก้านใบผิวย่นย่อละเอียด ดอกออกเป็นช่อเล็กๆแบบแยกกิ่งก้านสาขาตามข้อและก็ซอกใบ มีดอก 1-3 ดอก สีเหลือง ก้านช่อดอกยาวประมาณ 0.5 ซม. แยกเป็นช่อดอกเพศผู้แล้วก็ช่อดอกเพศภรรยา ดอกเพศผู้สีเหลือง กลีบเลี้ยงมี 6-12 กลีบ กลีบวงนอกสุดมีขนาดเล็กที่สุด กลีบวงในมีขนาดใหญ่กว่าและก็เรียงซ้อนกัน รูปรีกว้าง ยาว 2 มิลลิเมตร ออกจะสะอาด กลีบดอกมี 3 หรือ 6 กลีบ สอบแคบ ปลายเว้าตื้น ยาว 1 มิลลิเมตร หมดจด เกสรเพศผู้มี 3 อัน เป็นรูปกระบอง ยาว 1.5-2 มม. ดอกเพศเมีย กลีบเลี้ยงวงในรูปกลม ยาว 2 มิลลิเมตร ด้านนอกมีขนกระจาย กลีบมี 6 กลีบ รูปรีปนขอบขนาน ยาว 1 มิลลิเมตร เกสรเพศเมียมี 8-9 อัน แต่ละอันยาวไม่ถึง 1 มม. ติดอยู่บนก้านชูสั้นๆยอดเกสรเพศเมียไม่มีก้าน ผลสำเร็จกรุ๊ป ผลกลมรูปไข่กลับ กว้าง 6-7 มิลลิเมตร ยาว 7-10 มิลลิเมตร ผิวเนียน มีเม็ดแข็ง ผลสีเขียว ฉ่ำน้ำ ออกเป็นพวง ตามข้อแล้วก็ซอกใบ ติดบนก้านยาว 3-4 มิลลิเมตร เมื่อสุกจะกลายเป็นสีส้มและก็สีแดงสด เมล็ดรูปเกือกม้า ผนังผลชั้นในมีสันไม่มีระเบียบ ออกดอกตอนมีนาคมถึงม.ย.
การขยายพันธุ์
       ย่านางเป็นพืชที่ก้าวหน้าได้ ในดินแทบทุกจำพวก ถูกใจดินร่วนซุยปนทรายจะรุ่งเรืองเจริญ การปลูกลงในหน้าฝน จะเจริญวัยได้ดียิ่งไปกว่า จะงอกงามเร็วกว่าปลูกเอาไว้ภายในช่วงอื่น ย่านางที่ปลูกได้ไม่ยากขึ้นง่าย ดูแลง่าย ไม่ต้องดูแลมากมาย ทนความแล้งก้าวหน้า
ส่วนการขยายพันธุ์สามารถเพาะพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ด หรือการแยกเหง้าปลูก แต่วิธีที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน คือ การเพาะเม็ด เมล็ดย่านางจะมีอัตราการงอกของเมล็ดสูง แต่จำต้องใช้เมล็ดที่แก่เต็มกำลังที่มีลักษณะสีดำ ซึ่งควรที่จะนำมาตากแห้ง 5-7 วัน ก่อนปลูก การปลูกด้วยการหยอดเม็ดต้องระวังอย่าขุดหลุมลึก เพราะว่าจะก่อให้เม็ดเน่าได้ง่าย
ส่วนการรักษาย่านางไม่มียุ่งยากมาก เนื่องจากย่านางจะเติบโตเจริญ ในดินมีความชื้นพอเพียง แล้วก็สามารถเติบโตได้แม้จะมีวัชพืชขึ้นครึ้ม เพราะต้นย่านางจะสร้างเถาเลื้อยอยู่ด้านบนพืชจำพวกอื่น
สำหรับประเด็นการให้ปุ๋ยย่านางนั้นไม่มีความจำเป็น หากว่าดินมีภาวะอินทรีย์วัตถุที่พอเพียง พวกเราสามารถใช้เพียงแต่ปุ๋ยธรรมชาติจากมูลสัตว์ 1 ถัง/ต้น ก็พอเพียง แต่ว่าหากจะให้ใบเขียวเข้มมากเพิ่มขึ้น อาจต้องใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 16-8-8 หรือปุ๋ยยูเรียเพิ่มในอัตรา 50-100 กรัม/ต้น หรือราวๆ 1 กำมือ สำหรับต้นที่แตกเถายาว ส่วนต้นขนาดเล็กต้องปรับจำนวนต่ำลง แล้วนำต้นกล้าที่ได้มาปลูกลงในแปลงดิน ให้มีระยะห่างระหว่างต้นโดยประมาณ 1×1 เมตร แล้วก็เมื่อต้นเริ่มเลื้อยทอดยอด ให้ทำหลักปักไว้ ทำค้างให้เถาเลื้อยขึ้น
การเก็บผลผลิตย่านาง  จะเริ่มเก็บผลผลิตใบย่านาง ใช้เวลาราวๆ 2-3 เดือน ข้างหลังปลูกเอาไว้ภายในแปลง ใบมีขนาดโตสุดกำลังมีสีเขียว จะสามารถเก็บเกี่ยวใบย่านางได้ และจะเก็บได้ตลอดไปเรื่อยๆ
องค์ประกอบทางเคมี
                สาระสำคัญที่พบในใบย่านางส่วนมากจะเป็นสารกรุ๊ปฟินอลิก (phenolic compound) เช่น มิเนวัวไซด์ (Minecoside), กรดพาราไฮดรอกซีเบนโซอิก (p-hydroxy benzoic acid) รวมทั้งสารในกลุ่มฟลาโอ้อวดนไกลโคไซด์ เช่น สารโมโนอีพอกซีบีตาแคโรทีน (moonoepoxy-betacarotene) แล้วก็อนุพันธ์ของกรดซินนามิก (flavones glycosidf cinnamic acid derivative) ส่วนสารอัลาลอยด์ (alkaloid) ดังเช่น ทิเรียโครีน
(tiliacorine) , ทิเรียโคลินิน (Tiliacorinine) , นอร์ทิเรียวัวรินิน (nor-tiliacorinine) , tiliacorinin 2,-N-oxide Tiliandrine , Tetraandrine และ D-isochondendrine เจอได้ทั้งยังในราก แล้วก็ใบย่านาง  รวมทั้งการศึกษาส่วนประกอบหลักที่มีฤทธิ์ต่อต้านมาลาเรียจากรากย่านาง โดยสกัดรากด้วยตัวทำละลาย  chloroform:methanol:ammonium hydroxide ในอัตราส่วน (50:50:1) ใช้วิธีแยกสารด้วย column chromatography  รวมทั้งการตกผลึก พบว่าได้สารประกอบ alkaloid  2 จำพวกหมายถึงtiliacorinine (I) แล้วก็ tiliacorine (II) ปริมาณ  0.0082% แล้วก็ 0.0029% เป็นลำดับ  ส่วนคุณค่าทางโภชนาการของย่านางนั้นมีดังนี้
-               พลังงาน 95 กิโลแคลอรี
-               เส้นใย 7.9 กรัม
-               แคลเซียม 155.0 กรัม
-               ฟอสฟอรัส 11.0 มิลลิกรัม
-               เหล็ก 7.0 มิลลิกรัม
-               วิตามินเอ 30625 (IU)
-               วิตามินบีหนึ่ง 0.03 มิลลิกรัม                              Minecoside
-               วิตามินบีสอง 0.36 มิลลิกรัม
-               ไนอาสิน 1.4 มิลลิกรัม
-               วิตามินซี 141.0 มิลลิกรัม
-               เถ้า 8.46%
-               ไขมัน 1.26%
-               โปรตีน 15%                                          Tiliacorine
-               น้ำตาลทั้งปวง 59.47%
-               แคลเซียม 1.42%
-               ฟอสฟอรัส 0.24%
-               โพแทสเซียม 1.29%
-               กรดยูเรนิค 10.12%
-               โมโนแซคค้างไรด์
-               แรมโนส 0.50%
-               อะราบิโนส 7.70% หน่วยเปอร์เซ็นต์ (ใบย่านาง 100 กรัม/น้ำหนักแห้ง)       tiliacorinine
-               กาแลคโตส 8.36%
-               กลูโคส 11.04%
-               ไซโลส 72.90%
ผลดี/สรรพคุณ ใบย่านางเป็นสมุนไพรเย็น มีคลอโรฟิลล์สดจากธรรมชาติ แล้วก็ยังมีวิตามินที่จำเป็นต่อสภาพร่างกายอีกเยอะแยะ ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เบต้าแคโรทีนในปริมาณค่อนข้างสูง โดยเป็นสมุนไพรที่ใครหลายๆคนต่างก็คุ้นเคยกันดี เพราะเหตุว่านิยมเอามาเป็นเครื่องปรุงรสช่วยเพิ่มความกลมกล่อมของของกิน ยกตัวอย่างเช่น แกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้ แกงเลียง แกงหวาน
คุณประโยชน์ย่านางที่ใช้เป็นของกินมีดังนี้
ใบย่านาง เก็บบริโภคได้ทั้งปี ยอดอ่อนแตกใบมากในฤดูฝน ยอดอ่อนของเถาย่านางใช้กินแกล้มแนมกับอาหารเผ็ด ชาวไทยอีสานและก็ชาวลาวใช้ใบย่านางคั้นเอาน้ำทำกับข้าวต่างๆทำให้น้ำซุปข้นขึ้น ดังเช่น แกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้ ย่านางสามารถลดฤทธิ์กรดยูริกในหน่อไม้ได้ ลดความขมของหน่อไม้ และก็เพิ่มคลอโรฟิลล์แล้วก็บีตาแคโรทีนให้กับของกินดังที่กล่าวถึงมาแล้ว
ยิ่งกว่านั้นยังใส่น้ำคั้นใบย่านางในแกงเห็ด ต้มเปรอะ แกงขี้เหล็ก แกงขนุน แกงผักอีลอก แกงยอดหวาย แกงอีลอก นำไปอ่อมแล้วก็หมก
ชาวใต้ใช้ยอด ใบเพสลาด (หมายความว่าใบที่ไม่อ่อน ไม่แก่เหลือเกิน) นำไปแกงเลียง แกงหวาน แกงขี้เหล็ก น้ำคั้นจากใบช่วยลดความขมของใบขี้เหล็กได้ นอกจากนั้นยังนำไปผัด แกงกะทิ รวมทั้งหั่นซอยรับประทานกับข้าวยำได้อีก ผลสุกใช้กินเล่น ส่วนชาวเหนือใช้ยอดย่านางอ่อนนำมาลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริก ใบแก่คั้นน้ำเอามาใส่แกงพื้นเมือง ได้แก่ แกงหน่อไม้ แกงแค
ส่วนคุณประโยชน์ทางยาของย่านางหมายถึง หนังสือเรียนยาไทย  ใช้ ราก รสจืด รสจืดขม ใช้ในตำรับยาแก้ไข้ห้าโลกวชิระ (ประกอบด้วยรากย่านาง รวมกับรากเท้ายายม่อม รากมะเดื่อจังหวัดชุมพร รากคนทา รากต้นกระโรกใหญ่ อย่างละเท่าๆกัน) แก้ไข้ (ใช้รากแห้งทีละ 1 กำมือ หรือโดยประมาณ 15 กรัม ต้มกับน้ำก่อนกินอาหารเช้าตรู่ ช่วงกลางวัน เย็น) แก้พิษเมาเบื่อ กระแทกพิษไข้ แก้เมาสุรา ทำลายพิษผิดสำแดง เอามาต้มกินเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น แก้ไข้ ขับพิษต่างๆแก้ท้องผูก ปรุงยาแก้ไข้รากสาด ไข้กลับ ไข้หัว ไข้พิษ ไข้สันนิบาต ไข้ป่าเรื้องรัง ไข้ทับเมนส์ บำรุงหัวใจ บำรุงธาตุ แก้พิษภายในให้ตกสิ้น แก้โรคหัวใจบวม แก้กำเดา แก้ลม แก้ไข้จับสั่น แก้เมาสุรา รากผสมกับรากหมาน้อย ต้มรับประทานแก้ไข้ไข้จับสั่น ลำต้น รสจืดขม ทำลายพิษผิดสำแดง รักษาพิษไข้ แก้ไข้ตัวร้อน แก้ไข้พิษ แก้ไข้รากสาด ไข้ดำแดง ไข้โรคฝีดาษ ไข้เซื่องซึม ไข้กลับไข้ซ้ำ แก้ลิ้นเป็นฝ้าขาว แก้ลิ้นแข็งกระด้าง รักษาโรคปวดข้อ ก้านที่มีใบผสมกับพืชอื่นใช้เป็นยาแก้ท้องร่วง ใบ รสจืดขม รับประทานทำลายพิษ แก้ไข้ แก้ไข้รากสาด ไข้พิษ ไข้เซื่องซึม ไข้หัว ไข้พิษ ปวดหัวตัวร้อน อีสุกอีใส หัด ลิ้นแข็งกระด้างคางแข็ง เป็นยากวาดคอ แก้ไข้ไข้ทรพิษ ไข้ดำแดง
ส่วนอีกตำราเรียนหนึ่งระบุว่า ราก นำรากมาต้มดื่มแก้ร้อนใน แก้ดับกระหาย ทุเลาลักษณะของการมีไข้ ไข้รากสาด อีสุกอีใส ฝีดาษ ถอนพิษเมาค้าง เมาสุรา ทุเลาอาการท้องผูก ท้องเสีย บำรุงหัวใจ ทำลายพิษ และก็ลดพิษจากพืช สัตว์ และก็สารเคมีภายในร่างกาย  ลำต้น ลำต้นนำมาต้มหรือบดคั้นน้ำดื่ม ทุเลาอาการไข้ประเภทต่างๆลดพิษร้อน พิษจากพืช เห็ด และก็ลดสารพิษยากำจัดศัตรูพืชภายในร่างกาย  ใบ  นำใบมาบดคั้นน้ำสด หรือนำมาต้มน้ำ รวมทั้งใบตากแห้งอัดใส่แคปซูลกิน มีฤทธิ์ในทางยาหลายด้าน ดังเช่นว่า บรรเทาอาการร้อนใน ทุเลาอาการป่วย ตัวร้อน ทุเลาไข้รากสาด ไข้ไข้ทรพิษลดพิษยาฆ่าแมลงภายในร่างกาย แล้วก็ทำลายพิษอื่นๆ
ภาคอีสานใช้รากต้มเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น และก็ใช้รากยานางผสมรากหมาน้อย ต้มแก้ไข้มาลาเรีย บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์วิชาความรู้เริ่มแรก ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ระบุการใช้ย่านางในตำรับ “ยาห้าราก” มีส่วนประกอบของรากย่านางร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณทุเลาลักษณะของการมีไข้ ส่วนทางการแพทย์แผนปัจจุบันระบุว่า ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของย่านาง โดยพบว่าย่านางมีฤทธิ์ลดไข้ ยั้งการเติบโตของเชื้อไข้จับสั่น Plasmodium falciparum แก้ปวด ลดความดันเลือด ต้านเชื้อจุลินทรีย์ ต้านการแพ้ ลดการยุบเกร็งของไส้ ต่อต้านการก้าวหน้าของเซลล์มะเร็ง ยับยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี acetylcholinesterase แล้วก็มีฤทธิ์อย่างอ่อนๆสำหรับในการต้านทานอนุมูลอิสระ  และก็ยังมีคุณลักษณะกระตุ้นการเพิ่มจำนวนของเซลล์เม็ดเลือดขาวที-ลิมโฟซัยท์ (T-lymphocyte) ต้านทานจุลชีวิน Staphylococcus aureus, Bacillus cereus, Escherichia coli แล้วก็ Salmonellaspp. แล้วก็ยังมีคุณสมบัติกระตุ้นการเพิ่มจำนวนของเซลล์เม็ดเลือดขาวที-ลิมโฟซัยท์ (T-lymphocyte)  ต้านจุลชีวัน Staphylococcus  aureus,  Bacillus  cereus,  Escherichia  coli และก็ Salmonella spp. ต่อต้านไข้ แล้วก็ต้านอนุมูลอิสระ ใบย่านางไม่มีอันตรกิริยา (interaction) กับยารักษาโรคเรื้อรังดังเช่น โรคหัวใจและก็เส้นเลือด โรคกระดูกแล้วก็ข้อเบาหวาน โรคระบบฟุตบาทหายใจ
แบบ/ขนาดวิธีการใช้ แก้ไข้ ใช้รากย่านางแห้ง 1 กำมือ ราวๆ 15 กรัม ต้มกับน้ำ 2 แก้วครึ่ง ต้มให้เหลือ 2 แก้ว ให้ดื่มครั้ง1-2 แก้ว ก่อนกินอาหาร 3 เวลา   แก้ป่วง (ปวดท้องเนื่องจากรับประทานอาหารผิดสำแดง)ใช้รากย่านางแดงและรากมะปรางหวาน ฝนกับน้ำอุ่น แต่ว่าไม่ถึงกับข้น ดื่มทีละ 1-2  แก้วต่อครั้ง วันละ 3-4 ครั้ง หรือทุกๆ2 ชั่วโมง ถ้าหากไม่มีรากมะปรางหวาน ก็ใช้รากย่านางแดงอย่างเดียวก็ได้ หรือถ้าให้ดียิ่งขึ้น ใช้รากมะขามฝนรวมด้วย   ทำลายพิษเบื่อเมาในของกิน ดังเช่น เห็ด กลอย ใช้รากย่านางต้นแล้วก็ใบ 1 กำมือ  ตำผสมอาหารสารเจ้า 1 จับมือ เติมน้ำคั้นให้ได้ 1 แก้ว กรองด้วยผ้าขาวบาง ใส่เกลือแล้วก็น้ำตาลบางส่วนพอดื่มง่ายให้หมดแก้ว ทำให้คลื่นไส้ออกมา จะช่วยให้ดีขึ้น   ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ใช้หัวย่านางเคี่ยวกับน้ำ 3 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วนดื่มทีละ 1-2 แก้ว  การใช้เป็นยาประจำถิ่นในภาคอีสาน   ใช้ราก ต้มเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น   ใช้รากย่านางผสมรากหมาน้อย ต้มแก้ไข้ไข้มาลาเรีย   ใช้ราก ต้มขับพิษต่างๆ น้ำย่านางเมื่อนำมาผสมกับดินสอพองหรือปูนเคี้ยวหมากผสมจนเหลว สามารถเอามาทา สิว ฝ้า ตุ่มคัน ตุ่มใส ผื่นคัน พอกฝีหนองได้อีกด้วย

การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต้านเชื้อไข้จับสั่น        เรียนฤทธิ์ต้านทานเชื้อไข้จับสั่น Plasmodium falciparum ของสารสกัดรากย่านางด้วยเมทานอล ซึ่งสารสกัดมีสาร alkaloid เป็นส่วนประกอบ 2 ส่วนสกัด คือส่วนที่ละลายน้ำ แล้วก็ส่วนที่ไม่ละลายน้ำ พบว่าเฉพาะสาร alkaloid ที่ไม่ละลายน้ำ (water-insoluble alkaloid) มีฤทธิ์เพิ่มการยับยั้งเชื้อมาลาเรีย จากส่วนประกอบทางเคมีที่แยกได้ เจอสาร alkaloid ที่ไม่เหมือนกัน 5 จำพวก ในกลุ่ม bisbenzyl isoquinoline เป็นต้นว่า tiliacorine, tiliacorinine, nor-tiliacorinine A, รวมทั้งสาร alkaloid ที่ไม่สามารถที่จะเจาะจงส่วนประกอบได้หมายถึงG แล้วก็ H ซึ่งพบว่าสาร alkaloid G มีฤทธิ์สูงสุดสำหรับเพื่อการกำจัดเชื้อไข้จับสั่นระยะ schizont (เป็นระยะที่เชื้อมาลาเรียไปสู่เซลล์ตับ แล้วเปลี่ยนรูปร่างเป็นกลมรี รวมทั้งมีขนาดใหญ่ขึ้น มีการแบ่งนิวเคลียสเป็นหลายๆก้อน) โดยมีค่า ID50 เท่ากับ 344 ng/mL และก็ตามด้วย nor-tiliacorinine A และ tiliacorine ตามลำดับ (ID50s พอๆกับ 558 และ 675 mg/mL เป็นลำดับ)
ฤทธิ์ยั้งเชื้อวัณโรค   สาร bisbenzylisoquinoline alkaloids 3 ประเภท อาทิเช่น tiliacorinine, 20-nortiliacorinine และก็ tiliacorine ที่แยกได้จากรากย่านาง แล้วก็อนุพันธ์สังเคราะห์ 1 ชนิด คือ 13҆-bromo-tiliacorinine   สารทั้ง 4 จำพวกนี้ ได้เอามาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อวัณโรคสายพันธุ์ดื้อยา multidrug-resistant Mycobacterium tuberculosis (MDR-MTB)  ผลของการทดลองพบว่า สารทั้ง 4 จำพวก มีค่า MIC อยุ่ระหว่าง 0.7 - 6.2 μg/ml แต่ว่าที่ค่า MIC พอๆกับ 3.1 μg/ml เป็นค่าซึ่งสามารถยับยั้ง  MDR-MTB ได้เยอะมากๆที่สุด
ฤทธิ์ต้านโรคมะเร็ง     การเรียนฤทธิ์ยั้งเซลล์ของโรคมะเร็งท่อน้ำดี ในหลอดทดลอง และก็ในสัตว์ทดสอบ โดยเรียนผลของสาร tiliacorinine ซึ่งเป็นสาร กลุ่ม alkaloid ที่เจอในย่านาง  สำหรับในการทดสอบ in vivo ทำในหนูถีบจักร เพื่อดูผลลดการเจริญก้าวหน้าของก้อน   เนื้องอกในหนูที่ได้รับเซลล์ของโรคมะเร็งท่อน้ำดี แล้วก็สาร tiliacorinine  ผลการทดลองพบว่า  tiliacorinine  มีความนัยสำคัญสำหรับการยับยั้งการเพิ่มปริมาณของเซลล์มะเร็งท่อน้ำดีในหลอดทดลอง โดยมีค่า IC50 พอๆกับ 4.5-7 µM โดยกลไกการกระตุ้นกรรมวิธีการ apoptosis ซึ่งเป็นกรรมวิธีในการกำจัดเซลล์ผิดปกติ แล้วก็เซลล์ของโรคมะเร็งภายในร่างกาย แล้วก็การทดสอบในหนูพบว่าสามารถลดการก้าวหน้าของเนื้องอกในหนูได้
การทดสอบฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระของผักท้องถิ่นไทย ปริมาณ 6 จำพวก ตัวอย่างเช่น ผักเราด ผักติ้ว ผักปลังขาว ย่านาง ผักเหมียง และก็ผักหวานบ้าน โดยการสกัดสารสำคัญด้วยแอลกอฮอล์จากผักแต่ละชนิด ทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากผัก 6 ชนิดเปรียบเทียบกับตัวควบคุม วิตามินซี รวมทั้งวิตามินอี สารสกัดจากย่านางส่วนที่ละลายน้ำและก็ส่วนที่ไม่ละลายน้ำให้ค่า IC50 499.24 และ 772.63 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร เป็นลำดับ เมื่อเทียบกับค่าที่ได้จากวิตามินซี และก็วิตามินอีที่ IC50 9.34 และก็ 15.91 ไมโครกรัม/มล. เป็นลำดับ
งานศึกษาวิจัยอีกชิ้นหนึ่งในประเทศไทยสำรวจฤทธิ์หยุดปวดแล้วก็ฤทธิ์ต้านการอักเสบของผักพื้นบ้านอีสาน 10 ชนิด การตรวจหาฤทธิ์ระงับปวดโดยใช้ writhing test แล้วก็ tail flick test สำหรับการตรวจฤทธิ์ต้านอักเสบ ใช้ rat hind paw edema model
ผลของการทดสอบใช้สารสกัดพืชผักท้องถิ่นด้วยน้ำ ขนาด 1 กรัมต่อน้ำหนักตัวของหนูเพศผู้ 1 กิโล พบว่าสารสกัดจาก ใบตำลึง ใบย่านาง ผักติ้วแดง ผักกาดฮีน มะระขี้นก ผักชะพลู รวมทั้งผักชีลาว ส่งผลลดการเกิด writhing ในหนูร้อยละ 35-64 (p<0.05)
การทดลองฤทธิ์หยุดปวดด้วย tail flick test พบว่าสารสกัดจากใบตำลึงแล้วก็ใย่านาง
มีฤทธิ์ระงับปวด แล้วคัดสารสกัดที่มีฤทธิ์มากที่สุด 4 ชนิด ดังเช่นว่า ใบตำลึง ใบย่านาง ผักติ้วแดง และผักกาดฮีนมาทำการทดลองฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบโดยใช้คาราจีแนนเป็นสารระตุ้น  พบว่าสารสกัดทั้งยัง 4 จำพวกไม่มีฤทธิ์ต้านทานอักเสบในสัตว์ทดสอบ ผู้ศึกษาค้นคว้าและวิจัยเชื่อว่าสารสกัดจากใบตำลึงแล้วก็ใบย่านางอาจจะออกฤทธิ์ยับยั้งปวดต่อระบบประสาท
ส่วนงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลในห้องทดลองเบื้องต้นพบว่า สารสกัดใบย่านางมีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของรีเซ็ปเตอร์ที่ขนคอเลสเตอรอลเข้าสู่ตับ แม้กระนั้นไม่รู้ว่าจะส่งผลลดคอเลสเตอรอลในเลือดของระบบร่างกายหรือเปล่า การค้นพบนี้อาจเกี่ยวพันกับคุณสมบัติของย่านางที่ใช้รักษาโรคหัวใจมาแต่โบราณได้ ถ้าแต่ควรจะมีการเรียนรู้เพิ่มเติมต่อไป
จากการทดสอบฤทธิ์ลดไข้ของสารสกัด 50% เอทานอลจากรากย่านาง เมื่อนำไปตรวจตราฤทธิ์สำหรับการลดไข้ พบว่าไม่มีคุณลักษณะสำหรับเพื่อการลดไข้แต่เป็นพิษต่อสัตว์ทดลอง การศึกษาเรียนรู้วิจัยทางเคมีได้แยกอัลคาลอยด์ ออกมาสองประเภท คือ อัลคาลอยด์ที่ไม่ละลายน้ำ(water-insoluble alkaloids) แล้วก็อัลค้างลอด์ที่ละลายน้ำ (water-soluble quarternary base) เมื่อตรวจตราฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของอัลคาลอยด์ที่แยกได้ พบว่าการเกิดพิษต่อสัตว์ทดสอบเกิดจาก water-soluble quarternary base ซึ่งมีฤทธิ์คล้าย curare จากการตรวจหาสูตรโครงสร้างสรุปได้ว่า water-soluble quarternary base นี้อาจอยู่ในจำพวก aporphine alkaloids
การเรียนทางพิษวิทยา พิษเฉียบพลัน รวมทั้งครึ่งเรื้อรังของย่านาง 
          ศึกษาเล่าเรียนพิษทันควันของสารสกัดน้ำจากทุกส่วนของย่านาง โดยการป้อนสารสกัด ในหนูเพศผู้ และเพศภรรยา จำพวกละ 5 ตัว ในขนาด  5,000 mg/kg เพียงแต่ครั้งเดียว พบว่าไม่มีอาการแสดงของภาวการณ์เป็นพิษเกิดขึ้น และ  ไม่มีการแสดงพฤติกรรมที่ผิดปกติ รวมถึงไม่มีการถึงแก่กรรม หรือการเปลี่ยนแปลงของเยื่อด้านใน สารสกัดใบย่านางด้วยแอลกอฮอล์จำนวนร้อยละ 50 ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนังของหนู ปริมาณ 10 กรัม ต่อน้ำหนักตัวของหนู 1 โล (คิดเป็นปริมาณ 6,250 เท่าของปริมาณที่คนได้รับ) ไม่แสดงความเป็นพิษ   การเรียนพิษเรื้องรัง ทดสอบโดยป้อนสารสกัดแก่ตัวทดลอง เพศผู้ แล้วก็เพศภรรยา ชนิดละ 10 ตัว ทุกวัน ในขนาดความเข้มข้น 300, 600 และก็ 1,200 mg/kg ติดต่อกันเป็นเวลานาน 90 วัน   ไม่พบความไม่ปกติทางด้านการกระทำ รวมทั้งสุขภาพ หนูในกลุ่มทดลอง รวมทั้งกรุ๊ปควบคุม จะมีการทดสอบในวันที่ 90 และ 118 โดยตรวจร่างกาย แล้วก็มีกรุ๊ปที่ติดตามผลถัดไปอีก 118 วัน ผลการทสอบพบว่า น้ำหนักของอวัยวะ ค่าวิชาชีวเคมีในเลือด และเยื่ออวัยวะภายใน ไม่เจอการเกิดพิษ  ผลวิจัยชี้ให้เห็นว่า สารสกัดย่านางด้วยน้ำ ไม่ก่อเกิดพิษกะทันหัน แล้วก็พิษครึ่งเรื้อรังในหนูทดลอง ทั้งยังในหนูเพศผู้ และเพศภรรยา
ข้อเสนอแนะ/ข้อพึงระวัง

  • เมื่อทำน้ำย่านางเสร็จแล้วควรจะดื่มในทันที เนื่องจากถ้าทิ้งเอาไว้นานเกินความจำเป็นจะเกิดกลิ่นเหม็นเปรี้ยวหรือเกิดการบูดขึ้นได้ แม้กระนั้นสามารถนำมาแช่ตู้แช่เย็นได้ แล้วก็ควรจะดื่มให้หมดด้านใน 3 วัน
  • สำหรับในการกินน้ำย่านาง ควรดื่มก่อนที่จะรับประทานอาหารหรือตอนท้องว่างราวๆครึ่งแก้ว 3 ครั้งต่อวัน
  • บางบุคคลที่มีความรู้สึกว่าน้ำย่านาง เหม็นเขียว กินยากสามารถนำน้ำย่านางไปต้มให้เดือดแล้วนำมาดื่มหรือจะผสมกับน้ำสมุนไพรประเภทอื่นๆก็ได้ อาทิเช่น ขิง ตะไคร้ ขมิ้น หรือจะผสมกับน้ำมะพร้าว น้ำมะนาว น้ำตาล หรือแม้กระทั้งน้ำหวานก็ได้เช่นกัน
  • ควรดื่มจำนวนแต่พอดิบพอดี ถ้าดื่มแล้วรู้สึกแพ้ คลื่นเหียน ก็ควรจะลดความเข้มข้นของสมุนไพรที่ใส่ลงไปให้ลดลง
เอกสารอ้างอิง

  • Dechatiwongse T, Kanchanapee P, Nishimoto K. Isolation of active principle from Ya-nang (Tiliacora triandra Diels). Bull Dept Med Sci. 1974;16(2):75-81.
  • อัจฉราภรณ์  ดวงใจ , นันทีทิพ ลิ้มเพียรชอบ, ขนิษฐพร  ไตรศรัทธ์ .คุณสมบัติคลอเรสเตอรอลของสารสกัดใบย่านางในเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่เลี้ยงต่อเนื่อง Caco-2.คอลัมน์บทความวิจัย.วารสารนเรศวรพะเยา.ปีที่8.ฉบับที่2.พฤษภาคม-สิงหาคม 2558.หน้า87-92
  • รศ.ดร.กรณ์กาญจน์ ภมรประวัติธนะ.มหัศจรรย์ย่านาง จากซุปหน่อไม้ถึงเครื่องดื่มสุขภาพ.คอลัมน์บทความพิเศษ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่370.กุมภาพันธ์.2553
  • Sireeratawong S, Lertprasertsuke N, Srisawat U, Thuppia A, Ngamjariyawat A, Suwanlikhid N, et al. Acute and subchronic toxicity study of the water extract from Tiliacora triandra (Colebr.) Diels in rats. Sonklanakarin J Sci and Technol. 2008;30(5):611-619.
  • ย่านาง...อาหารที่เป็นยา.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Pavanand K, Webster HK, Yongvanitchit K, Dechatiwongse T. Antimalarial activity of Tiliacora triandra Diels against Plasmodium falciparum in vitro. Phytotherapy Research. 1989;3(5):215-217.
  • ย่านาง.ฐานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์.มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
  • ชุตินันท์ ประสิทธิ์ภูริปรีชา.เอกชัย ดำเกลี้ยง,พยุงศักดิ์ สุรินต๊ะ , วสันต์ ดีล้ำ, ฤทธิ์ปรับ ภูมิคึ้มกัน ต้านออกซิเดชั่น และต้านจุลชีพของสารสกัดผักพื้นบ้านและสมุนไพรอีสาน,วารสารเภสัชศาสตร์อีสาน
  • Janeklang S, Nakaew A, Vaeteewoottacharn K, Seubwai W, Boonsiri P, Ki
50  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ยอ มีสรรพคุณ เเละ ประโยชน์ที่สามารถรักษาโรคต่างๆได้ดีอีกด้วย เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2018, 01:02:39 pm
[/b]
[/size][/b]
ชื่อสมุนไพร  ยอ
ชื่ออื่น/ขื่อท้องถิ่น  ยอบ้าน (ภาคกึ่งกลาง) , มะตาเสื่อ (ภาคเหนือ) , แยใหญ่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , Noni (ฮาวาย) , Meng kudu (มาเลเซีย) , Ach (ฮินดู)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Morinda citrifolia
ชื่อสามัญ  Indian mulberry
วงศ์  Rubiaceae
ถิ่นเกิด   ลูกยอ Morinda citrifolia คือผลไม้เขตร้อนพบได้มากบันทึกว่ามีการกินลูกยอเป็นอาหารมานานกว่า 2000 ปี แล้ว โดยยอเป็นพืชท้องถิ่นในแถบโพลีนีเซียตอนใต้ (Polynesia) แล้วก็ได้แพร่ขยายไปต่างประเทศโดยมีตำนานว่า คนในโบราณกาล (ที่ปัจจุบันเรียกกันว่าขาว เฟร้นซ์ โพลินีเซีย (French Polynesia) ซึ่งอยู่ในแถบตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก พวกเขาได้เดินทางจากเกาะหนึ่งไปยังอีกเกาะหนึ่งโดยเรือแคนูและก็ได้นำพืชศักดิ์สิทธิ์จากหมู่เกาะเดิมของพวกเขามาด้วย พืชนั้นเป็นของกินขึ้นฐานรากที่สร้างเสริมส่วนต่างๆของร่างกายและเพื่อเป็นยารักษาโรค ซึ่งใช้สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ คนรุ่นเก่ารุ่นแล้วรุ่นเล่า ได้ช่วยกันบันทึกและก็จำถัดมายังบุตรหลานว่าผลของต้นโนนิช่วยบำบัดรักษาลักษณะการป่วยพื้นฐานได้ โดยชาวโพลิเนเซียน คนจีน คนแขก รู้จักใช้ประโยชน์จากลูกยอมานานแล้ว ส่วนการแพร่กระจายชนิดของยอนั้นมีเหตุที่เกิดจากถูกนำติดตัวเข้าไปยังหมู่เกาะแปซิฟิคตอนใต้ โดยบรรดาผู้หลบภัย และก็มันสามารถเจริญเติบโตเจริญในดินภูเขาไฟที่ไม่มีมลพิษ และมีการแพรกระจัดกระจายชนิดไปยังดินแดนใกล้เคียง
แม้กระนั้นอีกตำราเรียนหนึ่งระบุว่าเป็นไม้พื้นเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้กระนั้นมีผู้น าไปขยายพันธุ์กระทั่งกระจายไปทั่วประเทศอินเดีย และก็ตามหมู่เกาะต่างๆในมหาสมุทรแปซิฟิกและก็หมู่เกาะอินดัสตะวันตก ต้นยอขึ้นได้ในป่าทึบหรือตามชายฝั่งทะเลที่เป็นโขดเขาหรือพื้นทราย ต้นโตเต็มกำลังเมื่ออายุครบ 18 เดือน และจะออกดอกออกผล
ซึ่งในตอนนี้พืชประเภทนี้เป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งโลก ในประเทศไทยรู้จักกันในชื่อ “ยอ” ในประเทศมาเลเซียรู้จักกันในชื่อ “เมอกาดู” (Mergadu) ในเอเชียได้เรียกว่า “นเฮา” (Nhau) แถบหมู่เกาะตอนใต้ของห้วงมหาสมุทรแปซิฟิกเรียกกันว่า “โนนู” แล้วก็ในเกาะซามัว ทองคำกา ราราทองกา ตาฮิติ เรียกกันว่า “โนโน” หรือว่า “โนนิ”
ลักษณะทั่วไป
ลำต้น ยอเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีความสูงราวๆ 2-6 เมตร ลำต้นมีขนาดเล็ก ขนาดโตเต็มกำลัง 5-10 เซนติเมตร สังกัดอายุ และก็ความอุดมสมบูรณ์ของดิน เปลือกลำต้นบางชิดกับแก่นไม้ ผิวเปลือกออกสีเหลืองนวลปนขาว หยาบคายสากนิดหน่อย แตกกิ่งน้อย 3-5 กิ่ง ทำให้ดูไม่เป็นทรงพุ่มไม้
ใบ ใบเป็นใบคนเดียว (simple leaf) แทงออกตรงกันข้ามกันซ้ายขวา มีรูปทรงรี หรือขอบขนาน ใบกว้างราว 10-20 ซม. ยาวราวๆ 15-30 เซนติเมตร ใบอ่อนสีเขียวสด เมื่ออายุใบมากมายจะมีสีเขียวเข้ม ก้านใบยาวโดยประมาณ 1 เซนติเมตร โคนใบ และก็ปลายใบมีลักษณะแหลม ขอบของใบ และก็ผิวใบเป็นคลื่น ผิวใบมันหมดจดทั้งคู่ด้าน ข้างบนใบพบได้บ่อยเป็นตุ่มที่เกิดขึ้นมาจากแบคทีเรีย
ดอก  ดอกออกเป็นช่อกลมคนเดียวๆสีขาว ทรงเสมือนหลอด ดอกแทงออกตามง่ามใบ ก้านช่อดอกยาวราว 3-4 เซนติเมตร ไม่มีก้านดอกย่อย จัดเป็นดอกบริบูรณ์เพศที่มีเกสรตัวผู้ รวมทั้งเกสรตัวเมีย กลีบรองดอก แล้วก็โคนกลีบดอกเชื่อมชิดกัน กลีบดอกมีสีขาว เป็นรูปท่อ ยาวราว 8-12 มิลลิเมตร ผิวดอกด้านนอกเรียบ ด้านในมีขน ดอกส่วนครึ่งปลายบนแยกเป็น 4-5 แฉก ยาวประมาณ 4-5 มิลลิเมตร เกสรตัวผู้ แล้วก็เกสรตัวเมีย ยาวราวๆ 15 มม. แยกเป็น 2 แฉก อับเรณูยาวราว 3 มิลลิเมตร
ผล  ผลเป็นประเภทผลรวม (multiple fruit) เช่นเดียวกับน้อยหน่า แล้วก็ขนุน เชื่อมติดกันสำเร็จใหญ่ดังที่เราเรียกผลหรือหมาก ขนาดผลกว้างราว 3-5 ซม. ยาว 3-10 ซม. ผิวเรียบเป็นตุ่มพอง ผลอ่อนจะมีสีเขียวสด เมื่อแก่จะมีสีเหลืองอมเขียว แล้วก็เมื่อสุกจะมีสีเหลือง รวมทั้งกลายเป็นสีขาวจนถึงเน่าตามอายุผล เม็ดในผลมีไม่น้อยเลยทีเดียว เมล็ดมีลักษณะแบน ด้านในเม็ดเป็นถุงอากาศทำให้ลอยน้ำได้ ผิวเม็ดมีสีนํ้าตาลเข้ม
                นอกจากนี้ยังสามารถแบ่งสายพันธุ์ของยอได้อีกดังต่อไปนี้

  • M. citrifolia var. citrifolia เป็นสายพันธุ์ที่มีผลหลายขนาด พบได้บริเวณหมู่เกาะในห้วงสมุทรแปซิฟิค อย่างเช่น ฮาวาย ตาฮิติ เป็นต้น
  • M. citrifolia var. bracteata เป็นสายพันธุ์ที่ส่งผลเล็ก พบได้ทั่วไปในทวีปเอเชีย เป็นต้นว่า ไทย ประเทศพม่า ลาว จีนตอนใต้ เวียดนาม มาเลียเชีย อินโดนีเซีย อินเดีย แล้วก็หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิค
  • M. citrifolia cultivar potteri เป็นสายพันธุ์ที่ใบมีทั้งสีเขียว แล้วก็สีขาว เจอทั่วๆไปบริเวณหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิค
การขยายพันธุ์การปลูก
ยอนิยมปลูกด้วยการเพาะเมล็ด แต่สามารถขายประเภทด้วยแนวทางอื่นได้เช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น การปักชำ การทำหมัน แต่ว่าการเพาะเม็ดจะให้ผลที่ดีกว่าแล้วก็อัตราการรอคอยดจะสูงยิ่งกว่าแนวทางอื่น โดยการเพาะเมล็ดจะใช้กรรมวิธีการบีบแยกเม็ดออกมาจากผลสุก แล้วล้างด้วยน้ำ รวมทั้งกรองเมล็ดออก ผลที่ใช้ควรจะเป็นผลสุกจัดที่ร่วงจากต้นที่มีสีขาว เนื้อผลอ่อนนิ่ม ซึ่งจะได้เม็ดที่มีสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม  เม็ดที่ได้ต้องนำไปตากแห้ง 3-5 วันก่อน  และก็เอามาเพาะในถุงเพาะชำให้มีต้นสูงราวๆ 30 เซนติเมตร ก่อนนำลงปลูก
ต้นยอเป็นพืชพันธุ์ไม้ที่ดูแลง่ายดายไม่ค่อยมีแมลงศัตรูพืช หรือโรคพืชมากมาย และยังเป็นพืชที่ทนต่อภาวะดินเค็มและสภาพการณ์แห้งแล้งอีกด้วย จึงทำให้มีการแพร่ขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วองค์ประกอบทางเคมี สาระสำคัญที่เป็นองค์ประกอบในยอ อีกทั้งในส่วนของ  ผล ใบ และราก มีหลากหลายประเภท ยกตัวอย่างเช่น scopoletin , octoanoic acid , potassium , vitamin C , terpenoids , Asperuloside , Proxyronine สารในกรุ๊ป anthraquinones ตัวอย่างเช่น anthraquinone glycoside , morindone แล้วก็ rubiadin รวมถึง      flavonoids, triterpenoids, triterpenes, saponins, carotenoids, vitamin E                                    ยิ่งไปกว่านี้ยังมี  vitamin A , amino acid , ursolic acid , carotene และก็  linoleic acid ซึ่งสารกลุ่มนี้สารจำพวกได้มีการทดลองคุณลักษณะของสารแล้วว่าส่งผลที่สามารถประยุกต์ใช้ด้านการแพทย์ได้ นอกเหนือจากนั้นยังเจอสารจำพวกใหม่ที่ชื่อว่า flavone glycoside แล้วก็ iridoid glycoside ในใบยอโดยสารทั้งสองส่งผลยังยั้ง cell transformation ของ mouse epidermal JB6 cell line
ประโยชน์/สรรพคุณ
ประโยชน์ของยอนั้นมีในด้านการนำไป บริโภคเป็นของกินและการนำมาใช้เป็นยาสมุนไพร ในร้านของ        Asperulosideการนำมาบริโภคนั้น   มีล้นหลามหลายต้นแบบดังต่อไปนี้ มีการ
 บริโภคผลยอกันมาก ดิบๆหรือปรุงแต่ง ได้แก่ บางหมู่เกาะในห้วงสมุทรแปซิฟิก รับประทานผลยอเป็นของกินหลัก ส่วนชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และชาวพื้นเมืองประเทศออสเตรเลียรับประทานผลยอดิบจิ้มเกลือ หรือปรุงกับผงกะหยี และใช้เม็ดของยอคั่วรับประทานได้
ส่วนในประเทศไทยนั้นบริโภคยอโดย ลูกยอสุก  นำมาจิ้มกินกับเกลือหรือกะปิ ลูกห่ามใช้ทำส้มตำ ใบอ่อน นำมาลวกกินกับน้ำพริก ใช้ทำแกงจืด แกงอ่อม ผัดไฟแดง หรือนำมาใช้รองกระทงห่อหมก รวมทั้งในปัจจุบันมีการนำลูกไปดัดแปลงโดยคั้นเป็น น้ำลูกยอ โดยเชื้อกันว่าเป็นประโยชน์ ทางด้านคุณประโยชน์ของอาหารที่มี วิตามินซี วิตามินเอ แล้วก็ธาตุโปแตสเซียมสูง ยิ่งไปกว่านั้นจะมีลักษณะเสมือนพืชผักผลไม้จำนวนไม่ใช่น้อยเนื่องจากมีสารแอนติออกซิแดนท์หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจัดว่าช่วยชะลอการแก่ของเซลล์ แล้วก็ต้านทานโรคมะเร็ง  ได้
                ส่วนในด้านการนำมาใช้เป็นสมุนไพรนั้น [url=http://www.disthai.com/16941411/%E0%B8%A2%E0%B8%AD]ยอ
ได้ถูกบอกว่ามีคุณประโยชน์ทางยา ดังนี้  ตำราเรียนยาไทย: ผลมีรสเผ็ดร้อน ช่วยขับลมในไส้ ขับผายลม บำรุงธาตุ ทำให้เจริญอาหาร ผสมในยาแก้สะอึก อมแก้เหงือกเปื่อยยุ่ย เหงือกบวม ขับรอบเดือนเสีย ขับเลือดลม ฟอกโลหิต ขับน้ำคาวปลา แก้เสียงแหบแห้ง แก้ตัวเย็น แก้ร้อนในอก แก้กระษัย แก้อ้วก  โดยนำมาหมกไฟหรือต้มกับน้ำกิน หรือเอามาจิ้มกับน้ำผึ้งทาน ตำราคุณประโยชน์ยาไทยพูดว่าผลอ่อนรับประทานเป็นยาแก้คลื่นเหียนอาเจียน ผลสุกงอมเป็นยาขับระดูสตรี ผลดิบเผาเป็นถ่านผสมเกลือน้อย อมแก้เหงือกเปื่อยยุ่ยเป็นขุมบวม หั่นปิ้งไฟเพียงพอเหลืองทำกระสายยา เม็ดเป็นยาระบาย
           แบบเรียนยาไทยมีการใช้ ผลยอ ใน”พิกัดตรีผลสมุฎฐาน” คือการจำกัดจำนวนตัวยาที่มีผลเป็นที่ตั้ง 3 อย่าง มีผลมะตูม ผลยอ ผลผักชีลา คุณประโยชน์แก้สมุฎฐานแห่งตรีโทษ ขับลมต่างๆแก้โรคไตพิการ ส่วนอีกตำราเรียนหนึ่งบอกว่าสรรพคุณของส่วนต่างๆของยอไว้ดังต่อไปนี้
                ราก สรรพคุณเป็นยาระบาย แก้ท้องผูก ใบยอ รสขมเฝื่อน คุณประโยชน์บำรุงธาตุ แก้ไข้ ฆ่าเหา ปวดข้อ คั้นน้ำทา แก้โรคเกาต์ แก้ท้องร่วงในเด็ก แก้เหงือกบวม คั้นน้ำทาแก้แผลเรื้อรัง แก้กษัย ผสมยาอื่นแก้วัณโรค ผลดิบหรือแก่ รสเผ็ด คุณประโยชน์ขับลม บำรุงธาตุ เจริญอาหาร ขับโลหิต รอบเดือนของสตรี ฟอกโลหิต แก้คลื่นเหียนอาเจียน ผสมยาแก้สะอึก อมแก้เหงือกเปื่อยยุ่ย แก้เสียงแหบแห้ง แก้ร้อนในอก ผลสุก ของยาบ้าน มีกลิ่นฉุน สรรพคุณผายลมในลำไส้ ต้น ใช้เป็นส่วนผสมกับสมุนไพรอื่นเป็นยารักษาวัณโรค ดอก เป็นส่วนประกอบของสมุนไพรตัวอื่นเป็นยารักษาวัณโรค
แบบ/ขนาดวิธีการใช้
แก้คลื่นไส้ที่เกิดขึ้นมาจากธาตุแตกต่างจากปกติ           ใช้ผลดิบหรือห่าม(ยังไม่สุก) ฝานเป็นชิ้นบางๆปิ้ง  หรือคั่วไฟอ่อนๆให้เหลือง  ใช้ทีละ  2  กำมือ  น้ำหนักราว  10-15  กรัม  ต้มหรือชงน้ำดื่มจิบแต่ว่าน้ำเป็นประจำช่วงเวลาที่มีอาการ  ถ้าดื่มทีละมากๆจะทำให้อ้วก
ใบสดใช้ต้มน้ำกินหรือนำมาบดตากแห้งชงเป็นชาดื่ม รวมทั้งใส่แคปซูลรับประทาน ช่วยแก้กระษัย  แก้ปวดเมื่อยตามข้อมือข้อเท้า แก้ท้องร่วง ลดไข้ แก้ไอ ขับเสลด แก้จุกเสียดแน่นท้อง แก้โรคเบาหวาน คุ้มครองโรคในระบบหัวใจ รวมทั้งหลอดเลือด แก้โรคมะเร็ง
ดอกใช้ต้มน้ำดื่มหรือเอามาตากแห้งชงเป็นชาดื่ม แก้วัณโรค โรคเบาหวาน คุ้มครองโรคหัวใจ และก็หลอดเลือด ต้านโรคมะเร็ง
เนื้อผลมีรสเผ็ดร้อน มีสารออกฤทธิ์คือ asperuloside ใช้แก้อาเจียน ช่วยขับลมในกระเพาะ แล้วก็ไส้ ช่วยขับระดู แก้ระดูมาเปลี่ยนไปจากปกติ ช่วยลดไข้ แก้ไอ ขับเสลด
รากนำมาต้มหรือดองสุรากินเป็นยาระบาย แก้กษัย ช่วยเจริญอาหาร ป้องกันโรคมะเร็ง โรคในระบบหัวใจ แล้วก็เส้นโลหิต
ไอระเหยที่เกิดขึ้นจากลูกยอ ใช้รักษากุ้งยิง ลูกยอดิบ ใช้รักษาอาการเจ็บ หรือแผลเป็นสะเก็ดรอบปากหรือภายในปาก ลูกยอสุก ใช้รับประทาน ลูกยอบดละเอียดใช้กลั้วคอแก้คอเจ็บ ใช้ทาเท้าแก้เท้าแตก ใช้ทาผิวฆ่าเชื้อโรค หรือกินเพื่อฆ่าพยาธิในร่างกาย
ช่วยรักษาโรคกรดไหลย้อน ด้วยวิธีการทำเป็นเครื่องดื่ม ใช้คู่กับหัวหญ้าแห้วหมู สิ่งแรกให้เลือกลูกยอห่าม เอามาหั่นเป็นแว่นๆไม่บางหรือครึ้มกระทั่งเกินไป แล้วนำไปย่างไฟอ่อนๆโดยปิ้งให้เหลืองกรอบ สำหรับหญ้าแห้วหมูให้เอาส่วนหัวใต้ดินที่เราเรียกว่าหัวหญ้าแห้วหมู นำไปคั่วให้เหลืองและมีกลิ่นหอมสดชื่น เมื่อเสร็จแล้วให้ตั้งไฟต้มน้ำจนกระทั่งเดือดแล้วเอาตัวยาทั้งสองชนิดลงไปต้มพร้อม ใส่น้ำตาลกรวดพอเพียงหวาน ทิ้งเอาไว้ครู่หนึ่งแล้วชูลงจากเตา คอยกระทั่งอุ่นแล้วเอามารับประทาน ส่วนที่เหลือให้กรองเอาแต่น้ำแช่เอาไว้ในตู้เย็นแล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยอุ่นรับประทาน ให้ดื่มต่อเนื่องกัน 1 สัปดาห์ช่วยแก้ลักษณะของการเจ็บคอ ด้วยการใช้ลูกยอดิบนำไปเผาไฟให้สุกรวมทั้งแช่ในน้ำต้มสุก แล้วรินเอาแต่น้ำเพื่อทุเลาอาการ
วิธีการใช้ยอรักษาอาการคลื่นไส้   ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขมูลฐาน)                 นำผลยอดิบที่โตสุดกำลังแล้วมาฝานเป็นแผ่นบางๆต่อจากนั้นเอามาตากแห้ง แล้วคั่วในกระทะบนไฟกรุ่นๆให้แห้งเกรียม นำมาบดเป็นผง แล้วก็ใช้ผงมาประมาณ 20 กรัม ชงกับน้ำเดือดใหม่ๆ1 ลิตร แช่ทิ้งเอาไว้ราว 15 นาที กรองมัวแต่น้ำใส่กระติกสำหรับใส่น้ำร้อนไว้ จิบน้ำยาโดยประมาณ 30 มิลลิลิตร ทุก 2 ชั่วโมง เวลาอ้วก คลื่นไส้
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่เกี่ยวกับแก้คลื่นไส้ อ้วก การศึกษาเล่าเรียนการใช้น้ำผลยอในการระงับอ้วก โดยเปรียบเทียบกับยา metoclopramide ซึ่งเป็นยาแก้อาเจียน แล้วก็ชาซึ่งใช้ในกรุ๊ปควบคุม ในคนไข้มาลาเรีย 92 ราย ที่มีลักษณะอาการอ้วกอ้วก ชาย 68 ราย หญิง 24 ราย อายุระหว่าง 15 -55 ปี แบ่งเป็นกลุ่มใช้น้ำผลยอ 30 มิลลิลิตร รับประทานทุก 2 ชั่วโมง กลุ่มที่ 2 รับประทานชา 30 มล. ทุก 2 ชั่วโมง และกรุ๊ปที่ 3 ใช้ยา metoclopramide 1 เม็ด (5 มิลลิกรัม) เวลามีลักษณะอาการอ้วกคลื่นไส้ทุก 4 ชั่วโมง เขียนบันทึกจำนวนครั้งการอ้วกก่อนแล้วก็หลังการให้ยาทุกราย จากการเรียนรู้พบว่าค่าถัวเฉลี่ยปริมาณครั้งการอ้วกก่อนให้ยาทั้งยัง 3 กรุ๊ป มีค่าไม่ต่างกัน แต่จำนวนการอาเจียนกลุ่มที่ใช้ยา metoclopramide มีน้อยที่สุดรองลงมาคือยอ แล้วก็ชามีค่าเฉลี่ยเยอะที่สุด แสดงว่ายอลดอาการอ้วกได้มากกว่าน้ำชา
เมื่อศึกษากลไกการออกฤทธิ์พบว่าผลยอมีฤทธิ์ต้านทาน dopamine อย่างอ่อน  สารสกัดน้ำของผลยอสามารถรีบการบีบตัวของลำไส้เล็กในหนูเม้าส์ที่ได้ถูกกระตุ้นให้คลื่นไส้ด้วย  apomorphine แม้กระนั้นไม่อาจจะต้านฤทธิ์ของ apomorphine สำหรับเพื่อการลดการบีบตัวของกระเพาะอาหารได้
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย (Antibacterial activity) มีรายงานว่าสาร acubin L-asperuloside รวมทั้ง alizarin ในผลลูกยอเป็น antibacterial agent สามารถคุ้มครองปกป้องการตำหนิดเชื้อแบคทีเรียต่างๆได้ อย่างเช่น Pseudomonas aeruginosa Proteus morgaii S Staphylococcus aureus Bacillus subtilis Escherichia coil Salmonella และ Shigella
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัส (Antitviral activity) มีรายงานการศึกษาค้นพบสารจากรากของต้นยอชื่อว่า 1-methoxy-2-formyl-3-hydroxy anthraquinone ซึ่งมีฤทธิ์สำหรับในการยังยั้งการเกิด cytopathic effect ของเชื้อ HIV ต่อการ infect MT4 cell โดยไม่มีการขัดขวางการเจริญเติบโตของเซลล์
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อวัณโรค (Antitubercular effects) มีการรายงานพบว่าลูกยอสามารถกำจัดการตำหนิดเชื้อวัณโรคได้ถึง 97% เปรียบเทียบกับยา antibiotic ดังเช่น Rifampcin
ฤทธิ์ยับยั้งความเจ็บปวด (Analgesic activity) มีรายงานว่าสารสกัดจากรากยอมีฤทธิ์ระงับปวดในสัตว์ทดลอง และก็ผลจากการวิจัย โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.ทัศนีย์ ปัญจานนท์ พบว่าสารสกัดจากผลยอไทยมีฤทธิ์ยับยั้งปวดในสัตว์ทดลอง
[/b]
การศึกษาทางพิษวิทยา
การทดสอบความเป็นพิษ  สารสกัดเอทานอลกับน้ำ (1:1) จากส่วนเหนือดินฉีดเข้าทางช่องท้องหนูพบว่า ค่า LD50 พอๆกับ 0.75 ก./กก. สารสกัดเมทานอลกับน้ำจากผลฉีดเข้าทางท้องหนูเพศผู้พบว่า ค่า LD50 มีค่ามากกว่า 1 กรัม/กก.น้ำหนักตัว ส่วนอีกการทดสอบพบว่า สารสกัดเอทานอลกับน้ำ (1:1) จากส่วนเหนือดินขนาด 10 ก./กก. ให้ทางสายยางสู่กระเพาะหนูหรือฉีดเข้าใต้ผิวหนังไม่แสดงความเป็นพิษ
การทดสอบพิษกึ่งเรื้อรังในหนูแรทโดยป้อนสารสกัดจากผลยอ ไม่พบความไม่ดีเหมือนปกติอะไรก็ตามในค่าตรวจทางวิชาชีวเคมีในเลือด รวมทั้งค่าตรวจทางโลหิตวิทยา นอกเหนือจากนั้นการทดสอบความเป็นพิษโดยใช้สารสกัดด้วยน้ำจากผลยอแห้ง ก็ไม่เจอความเป็นพิษแบบทันควันและก็แบบเรื้อรัง
พิษต่อเซลล์  น้ำคั้นจากผลขนาด 6.25 มิลลิกรัม/มิลลิลิตรทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่ามีความเป็นพิษต่อเซลส์ CAa-IIC ช่วงเวลาที่สารสกัดเม-ทานอลจากใบ ทดลองในเซลล์เพาะเลี้ยง ไม่พบความเป็นพิษต่อเซลล์ CFI IS-RA II สารสกัดคลอโรฟอร์มและน้ำจากรากทดลองในเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่าส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเซลล์ ตอนที่สารสกัดเฮกเซนและก็เมทานอลจากรากไม่มีผลต่อความเคลื่อนไหวรูปร่างของเซลล์
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์จากผลไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ เมื่อทดลองใน Bacillus subtilis
ข้อเสนอ/ข้อพึงระวัง

  • สารโพรซีโรนินที่พบในน้ำลูกยอ ต้องการน้ำย่อยเปปซิน (Pepsin) และก็สภาพความเป็นกรดในกระเพาะ เพื่อเปลี่ยนเป็นซีโรนิน โดยเหตุนั้น ถ้ารับประทานน้ำลูกยอตอนที่ท้องอิ่มแล้วจะมีผลให้ส่งผลทาเภสัชของสารซีโรนินน้อยลง
  • ค่า และสรรพคุณน้ำลูกยอจะต่ำลงเมื่อกินร่วมกับแอลกอฮอล์
  • การบดหรือการสกัดน้ำลูกยอไม่สมควรที่จะทำให้เม็ดยอแตก เพราะว่าสารในเม็ดยอมีฤทธิ์เป็นยาระบายอาจทำให้ถ่ายบ่อยได้
  • คนป่วยโรคไตไม่ควรกินน้ำลูกยอ เนื่องจากว่ามีเกลือโปแตสเซียมสูง อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวายฉับพลันได้
  • สตรีมีครรภ์ไม่สมควรบริโภคลูกยอ ด้วยเหตุว่าผลยอมีฤทธิ์ขับเลือด อาจจะส่งผลให้แท้งลูกได้
เอกสารอ้างอิง

  • มากคุณค่าน้ำลูกยอ.สภาภรณ์ ปิติพร.2545.
  • อัญชลี จูฑะพุทธิ  ปุณฑริกา ณ พัทลุง  อุไรวรรณ เพิ่มพิพัฒน์  เย็นจิตร เตชะดำรงสิน.  การศึกษาฤทธิ์ต้านอาเจียนของผลยอ. ไทยเภสัชสาร 2539;20(3):195-202.
  • ผลของใบยอและฟ้าทะลายโจรต่อการเปลี่ยนแปลงสีและอัตราการจับกินเชื้อโรคของเม็ดเลือดขาวในปลาทอง (Carasius auratus.) ชฎาธาร โทนเดียว,2527.
  • วิชัย เอกพลากร  สำรวย ทรัพย์เจริญ ประทุมวรรณ์  แก้วโกมล และคณะ.  การศึกษาทางคลินิกของผลยอในการระงับอาการอาเจียน.  รายงานการวิจัยโครงการสมุนไพรกับการสาธารณสุขมูลฐาน สำนักงานคณะกรรมการการสาธารณสุขมูลฐาน  กระทรวงสาธารณสุข.
  • ยอ.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คระเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ลูกยอ/ใบยอ น้ำลูกยอและสรรพคุณยอ.พืชเกษตรดอทคอม
  • ยอ.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี http://www.disthai.com/[/b]
  • ยอ.สมุนไพรไทยสรรพคุณสารพัดที่หลายคนมองข้าม.ศูนย์ปฏิบัติการช่างเกษตร สำนักงานเกษตรจังหวัดนราธิวาส
  • ยอ.สมุนไพรที่มีการใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • สุทธิพันธ์ สาระสมบัติ. การพัฒนายาเพิ่มภูมิคุ้มกันจากสมุนไพร: ยอบ้าน (Morinda citrifolia L.). รายงานการวิจัยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, 2546.
  • Khurana H, Junkrut M, Punjanon T. Analgesic activity and genotoxicity of Morinda citrifolia.  Thai J Pharmacol 2003;25(1):86.
  • Mokkhasmit M, Swatdimongkol K, Satrawaha P.  Study on toxicity of Thai medicinal plants.  Bull Dept Med Sci 1971;122/4:36-65.
  • Charoenpiriya A, Phivthong-ngam L, Srichairat S, Chaichantipyuth C, Niwattisaiwong N, Lawanprasert S. Subacute effects of Morinda citrifolia fruit extract on hepatic cytochrome P450 and clinical blood chemistry in rats.  Thai J Pharm Sci 2003;27(suppl):69.
  • Hiramatsu T,Imoto M,Koyano T, Umezawa K.  Induction of normal phenotypes in ras-  transformed cell by damnacanthal from Morinda citrifolia.  Cancer Lett 1993;73(2/3):161-6.
  • Dhawan BN,Patnalk GK, Rastogi RP, et al.  Screening of Indian plant for biological activity. VI.  Indian J Exp Biol 1977;15:208-19.
  • Hirazumi A, Furusawa E.  An immunomodulatory polysacharide-rich substance from the fruit juice of Morinda citrifolia (Noni) with antitomour activity.  Phytother Res 1999;135:380-7.
  • Nakahishi K, Sasaki SI, Kiang AK, et al.  Phytochemical survey of Malaysian plant preliminary chemical and phramacological screening.  Chem Pharm Bull 1965;137:882-90.
  • Murakami A, Kondo A, Nahamura Y, Ohigashi H, Koshimizu K.  Possible anti-tumor promoting properties of edible plants from Thailand and identification of an active constituent, cardamomin, of Boesenbergia pandurata.  Biosci Biotech Biochem 1993;57(11):1971-3.


Tags : ยอ,
51  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / มะนาว มีสรรพคุณเเละประโยชน์ดีๆ อีกมากมายที่เรายังไม่รู้ เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2018, 09:21:52 am
[/b]
มะนา[/size][/b]
ชื่อสมุนไพร มะนาว
ชื่ออื่นๆ/ชื่อแคว้น ส้มมะนาว (ภาคกลาง),ส้มนาว (ภาคใต้) ,สีมานีปีห์ (มลายู) ,หมากฟ้า (ไทยใหญ่) , โกรยชะม้า (เขมร) , มะเน้าเลย์ , มะนอเกละ , ปะนอเกล (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน) , ปะโหน่ละโมบลยาน (กะเหรี่ยง จังหวัดกาญจนบุรี)
ชื่อสามัญ  Common lime, Lime , Sour lime
ชื่อวิทยาศาสตร์  Citrus aurantifolia (Christm. et Panz.) Swing.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์  Limonia aurantifolia Christm. & Panzer.
วงศ์  Rutaceae
บ้านเกิด เชื่อกันว่ามะนาวเป็นพืชพื้นบ้านในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เนื่องจากว่าผู้ที่อยู่ในภูมิภาคนี้ รู้จักการใช้คุณประโยชน์จากมะนาวกันเป็นอย่างดีมาตั้งแต่อดีตแล้ว ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเมืองไทย แต่ว่ามีการศึกษาค้นพบอีกชิ้นหนึ่งที่เชื่อว่ามะนาวมีบ่อเกิดในอินเดียตอนเหนือ แล้วก็เขตเชื่อมต่อกับพม่า รวมถึงทางตอนเหนือของมาเลเซีย (แต่น่าประหลาดที่ไม่พบมะนาวในป่าของไทย) ตอนนี้มีการปลูกมะนาวทั่วไปในเขตร้อน และเขตอบอุ่นครึ่งร้อนทั่วโลกเพราะเหตุว่ามะนาวสามารถขึ้นได้ในที่ดินมีความอุดมสมบูรณ์ของดินต่ำ และทนต่อดินเนื้อละเอียดได้ดีกว่าส้ม
ลักษณะทั่วไป มะนาวเป็นไม้ผลยืนต้นขนาดเล็กมีลักษณะเป็นพุ่มมีความสูงเฉลี่ย 2-5 เมตร ลำต้นมีลักษณะโค้งงอไม่ค่อยแข็งแรง เปลือกของลำต้นมีสีน้ำตาลผสมเทา กิ่งอ่อนของมะนาวมีสีเขียวอ่อน เมื่อแก่ สีจะเข้มขึ้นจนกระทั่งเป็นสีน้ำตาลส่วนกิ่งที่แก่มากมายจะเป็นสีเทา การออกของกิ่งไม่ค่อยเป็นระเบียบ บนลำต้นรวมทั้งกิ่งจะมีหนาม หนามมีลักษณะแหลมมีทั้งยังหนามสั้นและก็หนามยาวมีสีเขียวเข้มแล้วก็สีเขียวอมเหลือง ส่วนบริเวณปลายหนามีสีน้ำตาล เมื่อแก่ขึ้นหนามจะแห้งตามไป
                ใบของมะนาวมีลักษณะเป็นใบคนเดียว เป็นมีแผ่นใบอันเดียว ใบมีขนาดเล็กกว้างราวๆ 3-6 เซนติเมตร ยาวราวๆ 6-12 ซม.รูปร่างเป็นแบบรีหรือทรงไข่ ฐานใบมีลักษณะกลม ปลายใบมีรูปแหลม ป้าน ขอบของใบเป็นคลื่น หรือเป็นหยักละเอียด ก้านใบสั้นรวมทั้งมีปีกใบแคบหรือบางทีอาจไม่มีปีกใบก็ได้ ดังนี้ขึ้นกับพันธุ์มะนาว ใบอ่อนมีสีเขียวจางแทบเป็นสีขาว ใบแก่มีสีเขียวเข้ม ผิวใบด้านบนละเอียดวาวส่วนผิวใบข้างล่างออกจะหยาบและก็มีสีจางกว่า เมื่อทำการขยี้ใบจะมีกลิ่นแรง
                ดอกมะนาวบางทีอาจเกิดเป็นดอกผู้เดียวหรือช่อก็ได้ มีทั้งที่เป็นดอกสมบูรณ์และไม่บริบูรณ์ ดอกจะออกรอบๆซอกใบรวมทั้งปลายกิ่ง ดอกมะนาวมีขนาดเล็ก ดอกที่ตูมจะมีขนาดความยาว 1-2 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงมีสีเขียวเป็นรูปถ้วยมี 4-6 หยัก ส่วนกลีบดอกไม้มีสีขาว รวมทั้งด้านท้องกลีบดอกอาจมีสีม่วงอมแดงเจืออยู่ด้วย กลีบดอกไม้มีลักษณะเป็นรูปถ้วย มีปริมาณ 4-5 อัน ปริมาณกลีบในแล้วก็กลีบนอกมีปริมาณเท่าๆกัน แต่ละกลีบมีขนาด 0.8-1.2 เซนติเมตร ดอกมะนาวมีเกสรตัวผู้เยอะแยะถึง 20-40 อัน เชื่อมติดกันเป็นกลุ่ม กรุ๊ปละ 4-8 อัน เกสรตัวเมียมีรังไข่รูปร่างเป็นทรงกระบอก ใน 1 ดอก จะมีรังไข่ประมาณ 9-12 อัน
                ผลมะนาวมีรูปร่างต่างๆนาๆตามจำพวกของประเภท มีรูปร่างยาวรี รูปไข่ รวมทั้งรูปร่างกลม ที่ก้นผลมีลักษณะเป็นจุกหรือปุ่มเล็กๆผลโดยปกติมีขนาดความยาว 3-12 เซนติเมตร เปลือกมักษณะขรุขระ รวมทั้งมีต่อมน้ำมันเปลือกผิว ผิวเปลือกเมื่อแหลม ใส่อยู่จำนวนไม่ใช่น้อย เนื้อมะนาวมีสีเหลืองอ่อน มีรสเปรี้ยวและก็มีกลิ่นหอมหวนเมล็ด ขนาดเล็กเหมือนรูปไข่ ด้านปลายหัวจะแหลม ข้างในเมล็ดมีเนื้อเยื่อสีขาว
การขยายพันธุ์  มะนาวเป็นพืชที่สามารถปลูกก้าวหน้าในดินแทบทุกจำพวก ไม่ว่าจะเป็น ดินเหนียว ดินทราย แม้กระนั้นถ้าเกิดต้องการจะปลูกมะนาว ให้งอกงามดี มี ผลเยอะ รวมทั้งคุณภาพดี ก็น่าจะปลูกเอาไว้ในพื้นที่ที่เป็นดินร่วนซุย มีการระบาย น้ำดี มีสารอินทรีย์ผสม อยู่มาก และก็ควรเลือกพื้นที่ที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำ
ส่วนการขยายพันธุ์มะนาวนั้นสามารถทำได้หลายแนวทาง อาทิเช่น การตอนกิ่ง การทาบกิ่ง และก็การตำหนิดตา แม้กระนั้นวิธีที่ได้รับความนิยมสำหรับเพื่อการขยายพันธุ์มะนาวสูงที่สุดคือ การทำหมันกิ่ง โดยมีแนวทางดังต่อไปนี้

  • เลือกกิ่งที่ไม่แก่หรืออ่อนเหลือเกินและไม่เป็นโรคหรือมีแมลงกัดรับประทาน ยาวราว 30-50 ซม. และก็มีเส้นผ่าศูนย์กลางราวๆ 0.5 ซม.ขึ้นไป
  • ตัดหนามรวมทั้งใบในรอบๆที่จะควั่นกิ่งออกราว 5 เซนติเมตร
  • ควั่นกิ่งออกเป็น 2 รอยให้ลึกถึงเนื้อไม้ห่างกัน 1-2 ซม.
  • ขูดเนื้อเยื่อรุ่งโรจน์ออกให้หมด
  • ห่อหุ้มด้วยขุยมะพร้าวที่มีความชื้นหรือใช้ตุ้มตอนสำเร็จ มัดเปาะหัวด้านหลังให้แน่น แล้วทิ้งไว้ราวๆ 30-45 วัน เมื่อรากออกมาแล้วใช้กรรไกรตัดกิ่งตัดเพื่อนำไปแช่น้ำกระทั่งอิ่มตัว
  • นำไปชำต่อในถุงสีดำขนาด 5x8 นิ้ว ที่ผสมดิน 1 ส่วน แกลบ 1 ส่วน และก็เมื่อกิ่งที่ชำเดินรากได้ดิบได้ดีในถุงดำและแข็งแรงแล้วจากนั้นจึงค่อยนำไปปลูกถัดไป
การเตรียมพื้นที่ปลูก

  • พื้นที่ลุ่ม เตรียมพื้นที่โดยทำคันดินให้มีความกว้างราว 6-8 เมตร ส่วนสูงให้พินิจจากจำนวนน้ำที่เคยท่วมสูงโดยให้อยู่สูงขึ้นมากยิ่งกว่า แนวระดับน้ำหลาก 50 ซม. แทงร่องหรือซอกซอยร่องทำแต้มน้ำเพื่อ ระบายน้ำเข้าออก ขนาดร่องน้ำกว้าง 1.5 เมตร ลึก 1 เมตร พื้นที่ร่องกว้าง 0.5-0.7 เมตร ใช้ระยะปลูก 5X5 เมตร
  • พื้นที่ดอน ควรจะไถพรวนเพื่อกำจัดวัชพืช รวมทั้งทำให้ดินร่วนซุย ใช้ระยะปลูก 4 x 4 – 6 x 6 เมตร ดังนี้ขึ้นกับความอุดมสมบูรณ์ของดิน
กระบวนการปลูก
ควรจะปลูกเอาไว้ในช่วงต้นฤดูฝน ควรขุดหลุมปลูก ให้มีขนาดกว้างและลึกประมาณ 50 เซนติเมตร ผสมดิน ปุ๋ยธรรมชาติ แล้วก็ปุ๋ยร็อคฟอสเฟตเข้าด้วยกัน ในหลุมให้ สูงประมาณ 2 ใน 3 ของหลุม ยกถุงกล้า ต้นไม้วางในหลุม โดยให้ระดับของดินในถุงสูงกว่า ระดับดินปากหลุมเล็กน้อย ใช้มีดที่คม กรีดถุง จากก้นถุงขึ้นมาถึงปากถุงอีกทั้ง 2 ด้าน (ช้ายและขวา) ดึงถุงพลาสติกออก โดยระวังอย่าให้ดินแตก กลบดินที่เหลือลงในหลุม กดดินรอบๆโคนต้นให้แน่น ปักไม้หลักและผูกเชือกยึด เพื่อคุ้มครองลมพัดโยก หาวัสดุหุ้มดินบริเวณโคนต้น ดังเช่นว่า ฟางข้าว หญ้าแห้ง รดน้ำให้โชก ทำร่มเงา เพื่อช่วยซ่อนแดด
การกระทำรักษา การให้น้ำ ควรมีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะ ในตอน ที่ปลูกใหม่ๆควรให้น้ำวันละครั้งเป็นอย่างต่ำ (กรณีฝนไม่ตก) ภายหลังปลูกประมาณ 15 วัน มะนาวสามารถตั้งตัวได้แล้ว ให้น้ำเดือนละ 2-3 ครั้ง และควรหา วัสดุมาคลุมดินบริเวณโคนต้น เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้น                ควรจะเริ่มงดให้น้ำ ตั้งแต่ตอนมีนาคม เป็นต้นไป จนกระทั่งตอนออกดอก เพื่อให้มะนาวสะสม อาหารให้มากถึงระดับที่สามารถสร้างตาดอกได้ ธรรมดามะนาวจะมีดอก เมษายน-เดือนพฤษภาคม ภายหลังจากมะนาวออกดอก รวมทั้งกำลังติดผลอ่อน เป็นช่วงที่มะนาวอยากน้ำมากมาย เพื่อใช้สำหรับการเติบโต ของผล
[url=http://www.disthai.com/16941374/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7]
[/b]
     ส่วนชนิดมะนาวที่มีการปลูกกันมากมายในไทย อาทิเช่น

  • มะนาวไข่ ผลกลม หัวด้านหลังยาวเหมือนมะนาวหนัง เมื่อโตสุดกำลังผลมีลักษณะกลมมน เปลือกบางผลโต กว่ามะนาวหนัง
  • มะนาวแป้น ผลใหญ่ ออกจะกลมแป้น เปลือกบาง มีน้ำมากมาย นิยมใช้บริโภคมากยิ่งกว่าจำพวกอื่นๆเชิงการค้าจะปลูกมะนาวชนิดแป้นดกพิเศษ สามารถบังคับให้ออกหน้าแล้งได้ง่าย
  • มะนาวหนัง ผลอ่อนกลมยาวหัวด้านหลังแหลม เมื่อโตสุดกำลังผลจะมีลักษณะกลมค่อนข้างจะยาว มีเปลือกครึ้ม ทำให้รักษาผลได้นาน

ส่วนประกอบทางเคมี น้ำจากผลมีกรด citric acid, malic acid, ascorbic acid,  ผิวมะนาวมีน้ำมันหอมระเหยที่มาจากผู้กระทำลั่นผิวผล ปริมาณร้อยละ 0.3-0.4 ประกอบด้วยสารต่างๆเป็นต้นว่า  d-limonene (42-64%), alpha-berpineol (6.81%), bergamotene ผสมกับ terpinen-4-ol (3%),  alpha-pinene          citric acid       
(1.69%), geraniol (0.31%), linalool,  terpineol, camphene, bergapten (furanocoumarin)    ใบมะนาวเมื่อนำมาสกัดน้ำมันหอมระเหยโดยการ    camphene
ต้มกลั่น (hydrodistillation) ได้น้ำมันหอมระเหยปริมาณร้อยละ 0.27  องค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันมีสารต่างๆอย่างเช่น  6-methyl-5-hepten-2-one (3.19), limonene (44.82), neral (4.95), geranial (7.66) , geranyl acetate (8.98), caryophyllene oxide (2.31) ส่วนข้อมูลทางโภชนาการของมะนาวมีดังนี้

  • พลังงาน 30 กิโลแคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต 10.5 กรัม
  • น้ำตาล 1.7 กรัม
  • เส้นใย 2.8 กรัม terpineol
  • ไขมัน 0.2 กรัม
  • โปรตีน 0.7 กรัม
  • วิตามินบี 1 0.03 มก.
  • วิตามินบี 2 0.02 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 3 0.2 มก.
  • วิตามินบี 5 0.217 มก.
  • วิตามินบี 6 0.046 มก.
  • วิตามินบี 9 8 ไมโครกรัม
  • วิตามินซี 29.1 มิลลิกรัม
  • แคลเซียม 33 มิลลิกรัม
  • เหล็ก 0.6 มก.
  • แมกนีเซียม 6 มก.
  • ธาตุฟอสฟอรัส 18 มก.
  • โพแทสเซียม 102 มก.
  • โซเดียม 2 มก. ที่มา : Wikipedia
คุณประโยชน์/สรรพคุณ
น้ำมะนาวมีคุณค่าสำหรับในการเป็นสารให้ความเปรี้ยว ผิวมะนาวมีกลิ่นหอมสดชื่นจากน้ำมันหอมระเหย มะนาวเป็นเครื่องปรุงรสของกินไทยที่ขาดเสียไม่ได้ เป็นส่วนประกอบรสเปรี้ยวหลักของน้ำพริก ส้มตำ ยำทุกชนิด ลาบแล้วก็ของกินไทยอีกอีกเยอะมาก ต่างชาติใช้มะนาวทั้งในอาหารคาวหวาน อาทิเช่น ในพายมะนาวของเมืองฟลอริด้า ประเทศสหรัฐอเมริกา
น้ำมะนาวนอกจากใช้แต่งรสเปรี้ยวในของกินหลาย จำพวกแล้ว ยังนำมาใช้เป็นเครื่องดื่ม ผสมเกลือ รวมทั้งน้ำตาล เป็นน้ำมะนาว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในประเทศไทย และเมืองนอกทั่วโลก ยิ่งกว่านั้นเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมที่เป็นแอลกอฮอล์บางชนิดยังนิยมฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆแทงไว้กับขอบแก้ว เพื่อใช้แต่งรส
โดยด้านในผลมะนาวมีน้ำมันหอมระเหยถึงจำนวนร้อยละ 7 น้ำมะนาวก็เลยมีประโยชน์สำหรับใช้เป็นส่วนผสมน้ำยาสำหรับทำความสะอาด เครื่องหอม การบำบัดด้วยกลิ่น (aromatherapy) หรือน้ำยาสำหรับล้างจาน
นอกเหนือจากนั้นยังมีการใช้ประโยชน์จากมะนาวด้านอื่นๆอีกดังเช่น หุงข้าวให้ขาวและอร่อยขึ้น ด้วยการใช้น้ำมะนาวประมาณ 2-3 ช้อนนำไปซาวข้าว  ทอดไข่ให้ฟูแล้วก็นุ่ม มะนาว 4-5 หยดจะช่วยได้  มะนาวช่วยลดเหม็นคาวจากปลาเมื่อประกอบอาหารและก็ทำให้ปลาอาจรูปไม่เละ เมื่อใช้มีดผ่าปลีกล้วย มีดจะมีสีม่วงหมู่ ล้างออกตรากตรำ เอามาทุ่งนาวที่ผ่าแล้วมาถูตามใบมีด จะช่วยทำให้มีดสะอาดเหมือนเดิม  การเชื่อมกล้วยหักมุกให้น่ารับประทาน เมื่อน้ำตาลเดือดเป็นยางมะตูมแล้ว ให้บีบมะนาวครึ่งด้านลงไป จะช่วยให้กล้วยใส น่ากินมากขึ้น  มะนาว 2-3 ลูกใส่ไว้ภายในถังข้าวสารช่วยคุ้มครองมอดได้  ส่วนการแปรเปลี่ยนรูปมะนาว มะนาวดัดแปลงได้ อย่างเช่น น้มะนาว[/url]ทำอาหาร มะนาวแช่อิ่มตากแห้ง น้ำมะนาวเข้มข้น มะนาว ผง เครื่องดื่มผสมน้ำมะนาว แยมมะนาว เยลลีมะนาว แยมเปลือกมะนาว แยมนะที่นาวดอง มะนาวดองเค็ม มะนาวหวาน กิมจ้อมะนาว เปลือกมะนาวสามรส เปลือกของมะนาวเส้นแต่งรส เปลือกมะนาวเชื่อม เปลือกของมะนาวแช่อิ่ม มาร์มาเลดมะนาว เป็นต้น
ส่วนคุณประโยชน์ทางยานั้นระบุว่า ตำรายาไทยผิวมะนาวจัดอยู่ใน “เปลือกส้ม 8 ประการ” มี ผิวส้มเขียวหวาน ผิวส้มจีน ผิวส้มซ่า ผิวส้มโอ ผิวส้มตรังกานู ผิวมะงั่ว ผิวมะกรูด รวมทั้งผิวมะนาว (หรือผิวส้มโอมือ) มีคุณประโยชน์แก้ลมกองละเอียด กองหยาบคาย แก้เสมหะโลหะ ใช้ปรุงยาหอม แก้ทางลม
           นอกจากนั้นบัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์วิชาความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศ คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา ปรากฏการใช้ผิวมะนาว ในยารักษาอาการทางระบบไหลเวียนโลหิต (แก้ลม) ปรากฏตำรับ”ยาหอมเทวดาจิตร” มีส่วนประกอบของผิวมะนาว อยู่ใน ”เปลือกส้ม 8 ประการ” ร่วมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณในการแก้ลมวิงเวียน แก้อาการหน้ามืด ลายตา ใจสั่น คลื่นเหียน อ้วก แก้ลมจุกแน่นในท้อง
                ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบันเจาะจงถึงคุณประโยชน์ของมะนาวว่า สารดี-ลิโมนิน (d-limonin) เป็นสารที่ทำให้เกิดความขมในน้ำมะนาว น้ำมันผิวมะนาว (lime oil) พบได้ทั่วไปบริเวณผิวเปลือกของมะนาวมีสารดี-ลิโมนิน เป็นส่วนประกอบหลักเกินกว่าจำนวนร้อยละ 90 พบว่าน้ำมันผิวมะนาว มีคุณสมบัติป้องกันและรักษาโรคมะเร็งหลายอย่าง
ชาวต่างชาติทั่วๆไปมักดื่มน้ำส้ม หรือน้ำจากผลพืชตระกูลส้ม อย่างเช่น ส้มโอ หรือมะนาว ประกอบกับข้าวเช้า น้ำผลไม้กลุ่มนี้มีวิตามินซี และก็มีสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoid) มีสารเฮสเพอริดิน (hesperidin) รูทิน (rutin) แล้วก็ท้องนาริงจิน (naringin) รวมทั้งลิโมนิน เป็นฟลาโวนอยด์หลักของพืชตระกูลส้ม จากนี้จะเรียกสารกลุ่มนี้ว่าฟลาโวนอยด์ส้ม (citrus bioflavonoid)
สารกลุ่มฟลาโม้นอย์ส้มนี้มีรายงานทางการแพทย์ตะวันตกว่าใช้เพื่อการรักษาไข้จับสั่น โรครูมาติเตียนสม์เรื้อรังและก็โรคเกาต์ ใช้สำหรับการปกป้องโรคเลือดออกตามไรฟัน ปกป้องการตกเลือดหลังคลอด แล้วก็ช่วยทุเลาอาการระคายคอจากการติดเชื้อรวมถึงโรคลักปิดลักเปิด ซึ่งโรคที่เกิดขึ้นจากการได้รับวิตามินซีในอาหารน้อยเกินไป ซึ่งอาจส่งผลให้มีอาการของโรคเกิดขึ้นภายใน 8-12 สัปดาห์ คนไข้มักมีอาการคล้ายไม่สบาย หมดแรง ง่วงซึม โลหิตจาง ปวดกล้ามเนื้อ เจ็บกระดูก มีแผลฟกช้ำหรือบวมง่าย มีจุดเลือดออกแดงๆตามผิวหนัง กำเนิดโรคทางปริฟัน เป็นแผลแล้วหายยาก อารมณ์แปรปรวน หรือมีสภาวะเศร้าหมอง สำหรับประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากน้ำมะนาวต่อโรคนี้ มีงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยแต่ก่อนที่ให้คนเจ็บโรคนี้กินส้มกับมะนาวเหลือง พบว่าคนเจ็บสามารถฟื้นได้อย่างสมบูรณ์และรวดเร็ว เมื่อเทียบกับผู้เจ็บป่วยอีกกรุ๊ปที่รับประทานอาหารจำพวกอื่น นอกจากนี้ในน้ำมะนาวยังมีกรด citric ซึ่งมีรสเปรี้ยว จะทำการกระตุ้นให้มีการขับน้ำลายออกมาทำให้เปียกแฉะคอ ก็เลยช่วยบรรเทาลักษณะการเจ็บคอได้
แบบ/ขนาดวิธีการใช้
อาการไอ  ระคายคอจากเสลดใช้น้ำจากผลที่โตสุดกำลัง  เพิ่มเกลือน้อย  จิบเสมอๆหรือ จะทำน้ำมะนาวเพิ่มเติมเกลือและก็น้ำตาลน้อย           อาการท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด   ใช้เปลือกผลสด 1/2-1 ผล ฝานเป็นชิ้นเล็กๆบางๆชงด้วยน้ำเดือด ปิดฝาทิ้งไว้ 5-10 นาที ดื่มแม้กระนั้นน้ำขณะมีลักษณะอาการ หรือหลังรับประทานอาหาร 3 เวลาใช้มะนาว 1 ผล บีบเอาน้ำมะนาวมาชงกับน้ำร้อนดื่มหรือใช้มะนาวฝานบางๆจิ้มเกลือกินจะช่วยขับเสลดได้ยามเช้าหลังจากที่ตื่นนอนขึ้นมาแล้ว ดื่มน้ำอุ่น 1 แก้ว บีบมะนาว 1/4 ผล (หรือใส่เกลือนิดหน่อย) จะช่วยทุเลาท้องผูก รวมทั้งช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกายน้ำมะนาวผสมผงกำมะถันใช้ทาก่อนนอน แก้อาการกลาก โรคเกลื้อน หิดใช้น้ำมะนาวทาที่ตุ่มคัน ทิ้งเอาไว้ให้แห้ง ล้างน้ำสบู่แล้วขัดให้แห้ง แล้วก็ใช้แป้งทาตุ่มคัน แก้น้ำกัดเท้าในด้านความงาม ผลัดเซลล์ผิว ลดรอยด่างดำ ใช้น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งเอาไว้สักประเดี๋ยว ล้างออกโดยการใช้นำที่สะอาดแล้วซับให้แห้ง ทำสัปดาห์ละครั้ง ผิวหน้าจะมองแจ่มใส หรือใช้น้ำมะนาวผสมน้ำแช่อาบใช้สำหรับการแก้ไข้ทับรอบเดือน ด้วยการเอาใบมะนาวโดยประมาณ 100 ใบมาต้มกินช่วยแก้ลิ้นเป็นฝ้า ด้วยการใช้สำลีชุบน้ำมะนาวเช็ดที่ลิ้นวันละ 2-3 ครั้ง
การเรียนทางเภสัชวิทยา การศึกษาสัตว์ทดสอบในหนู พบว่าเมื่อให้สารเฮสเพอริดินซึ่งเป็นฟลาโวนอยด์หลักจากเปลือกในพืชเครือญาติส้มกับหนูไขมันสูง มีผลเพิ่มไขมันที่ดี (เอชดีแอล-คอเลสเตอรอล) ลดไขมันไม่ดี (แอลดีแอล-คอเลสเตอรอล) ลดปริมาณไขมันรวมรวมทั้งไตรกลีเซอไรด์ ในหนูดังกล่าวมาแล้วข้างต้น รวมทั้งส่งผลลดระดับความดันเลือดรวมทั้งขับเยี่ยวในหนูความดันสูง การทดลองในห้องปฏิบัติในแคนที่นาดาการพบว่า ฤทธิ์ดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วของฟลาโวนอยด์ส้มเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากผลของการกระตุ้นลักษณะการทำงานของยีนรีเซปเตอร์ไขมันไม่ดี (แอลดีแอล) ในตับในตำแหน่งที่ควบคุมโดยสเตอคอยล (sterol regulatory element, SRE)
ในประเทศสหรัฐอเมริกา งานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยในสัตว์ทดสอบพบว่า ฟลาโวนอยด์ส้มสองกลุ่ม อย่างเช่นกลุ่มเฮสเพอริดิน และก็กรุ๊ปโพลีเมโททอกสิเลตฟลาโม้น (PMFs) มีฤทธิ์ลดคอเลสเตอรอลในพลาสม่าของสัตว์ทดลอง ซึ่งสนับสนุนผลที่เกิดจากงานวิจัยในหนูถีบจักรของแคนาดา
สาธารณรัฐประชาชนจีน การวิจัยพบว่า นาริงจิน แล้วก็เฮสเพอริดินซึ่งเป็นฟลาโวนอยด์ส้มมีฤทธิ์กระตุ้นหลักการทำงานของยีนอะดีโพเนกทิน (adiponectin) ซึ่งเป็นยีนสำคัญในเมตาบอลิซึมของกลูโคสและไขมันที่เกี่ยวพันกับการสร้างพลัคอุดตันของหลอดเลือดแล้วก็กระบวนการอักเสบ ผลการศึกษาบอกว่าฟลาโวนอยด์ส้มทั้งยัง 2 ชนิดแสดงผลลัพธ์ต้านการเกิดพลัคโดยกระตุ้น perovisome proliferator-activated receptor (PPAR) แล้วก็ยีนอะดีโพเนกทินในเซลล์ไขมันอะดีโพไซต์
นอกเหนือจากนี้ สารทั้งสองยังมีฤทธิ์เอสโทรเจนอย่างอ่อน ส่งผลต่อการผลิตไนตริกออกไซด์ในเซลล์ผนังหลอดเลือดผ่านการกระตุ้นรีเซปเตอร์ของเอสโทรเจน จึงมีฤทธิ์คุ้มครองป้องกันการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจ เป็นเหตุให้เกื้อหนุนการกินมะนาว และฟลาโวนอยด์ส้มเพื่อลดจำนวนคอเลสเตอรอลในเลือด คุ้มครองโรคเส้นโลหิตหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหญิงวัยทอง
งานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยหนึ่งพบว่า น้ำมะนาวเข้มข้น (concentrated lime juice, CLJ) มีฤทธิ์กระตุ้นเซลล์โมโนปรมาณูในระบบภูมิคุ้มกัน รวมทั้งโปรตีนในน้ำมะนาวเข้มข้นมีฤทธิ์ต้านการแบ่งตัวของเซลล์ของมะเร็ง การเรียนรู้ในห้องทดลองในรัฐเท็กซัสรวมทั้งแคลิฟอเนีย อเมริกาพบว่า สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ส้มมีฤทธิ์ต้านทานออกซิเดชั่นพอควร แม้กระนั้นต่ำกว่าฟลาโวนอยด์ในพืชเชื้อสายขิง มีบทความทางด้านการแพทย์กล่าวว่า ฟลาโวนอยด์ส้มยับยั้งการเจริญก้าวหน้าของเซลล์ของมะเร็งลำไส้ใหญ่ ปอด ช่องปาก กระเพาะ รวมทั้งโรคมะเร็งเต้านมจากการทดลองในห้องทดลองแล้วก็ในสัตว์ทดลองหลายประเภท แม้กระนั้นยังไม่พบผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยทางสถานพยาบาล
ส่วนฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของมะนาวที่เกี่ยวกับแก้เจ็บคอมีดังต่อไปนี้  ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย มีการศึกษาค้นคว้าผลของทั้งยังน้ำมันหอมระเหยรวมทั้งสารสกัด พบว่า น้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์ยั้งเชื้อ Bacillus cereus แล้วก็ E. coli สารสกัด 80% เอทานอลจากเปลือกผิว มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ Staphylococcus aureus และก็ Bacillus cereus สารสกัดจากเม็ดมีฤทธิ์ยั้งเชื้อ Bacillus subtilis, E. coli. Pseudomanas cichorii และก็ Salmonella typhimurium สารสกัดเอทานอลจากส่วนกิ่ง (branches) ความเข้มข้น 20 มก./มิลลิลิตร ไม่มีฤทธิ์ยั้งเชื้อ Staphylococcus aureus, Bacillus subtilis และก็ Streptococcus faecalis
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา การทดสอบความเป็นพิษ  เมื่อให้น้ำสกัดจากใบมะนาวทางปาก หรือฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนูเม้าส์ ด้วยขนาด 10 กรัม/กิโลกรัมน้ำหนักตัว (เสมอกันกับ 1,852 เท่าของขนาดที่ใช้ในคน) ไม่พบความผิดแปลกอะไรก็แล้วแต่เมื่อป้อนสารสกัดรากมะนาวด้วยน้ำครั้งเดียวทางปาก ในขนาด 5 กรัม/กิโลน้ำหนักตัว ให้หนูแรทไม่พบว่าเป็นพิษอีกทั้งแบบเฉียบพลันและก็กึ่งเรื้อรัง แม้กระนั้นพบว่าในหนูที่ได้รับสารสกัด 1.2 กรัม/กก.น้ำหนักตัว/วัน  มีเอ็นไซม์ในตับเพิ่มขึ้นแม้กระนั้นยังอยู่ในตอนธรรมดา และไม่พบความเปลี่ยนไปจากปกติของอวัยวะภายใน  ส่วนสารสกัดจากเปลือกผิวมะนาวมีผลยับยั้งฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์  และก็การทดลองฤทธิ์ระคายเคืองโดยกรรมวิธีการ Patch test พบว่าสารสกัดจากมะนาวได้ผล positive
ข้อแนะนำ/ข้อควรพิจารณา

  • การทาน้ำมันมะนาวลงบนผิวหนังโดยตรงอาจไม่ปลอดภัยในคนที่มีผิวหนังแพ้ง่าย ซึ่งสามารถส่งผลให้ผิวหนังไวต่อแดดอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีผิวค่อนข้างขาว หลังจากการใช้น้ำมันมะนาวทาลงผิวหนังจะต้องทาโลชั่นที่มีไว้สำหรับกันแดดรวมทั้งใส่เสื้อผ้ามิดชิดเพื่อคุ้มครองก่อนออกไปเผชิญกับแดด
  • รสเปรี้ยวของมะนาวอาจส่งผลให้เกิดท้องเดินหรือท้องเดินได้หากรับประทานมากเกินความจำเป็น
  • หลังจากดื่มน้ำมะนาวแล้วไม่สมควรแปรงฟันโดยทันทีเนื่องจากว่าอาจส่งผลให้สารเคลือบฟันตามธรรมชาติหลุดได้
  • ถ้าหากดื่มหรือรับประทานมะนาวเป็นประจำและก็เป็นระยะเวลานานติดต่อกันอาจจะเป็นผลให้ฟันผุร่อนได้
  • คนที่มีภาวการณ์โลหิตจางไม่ควรรับประทานมะนาว เพราะรสเปรี้ยวจะไปกัดฟอกเลือดนำมาซึ่งการก่อให้เกิดอันตรายได้
  • ยาบางชนิดที่จะถูกเปลี่ยนข้างในตับ โดยมะนาวบางทีอาจส่งให้ระยะเวลาสำหรับเพื่อการเปลี่ยนรูปของยาพวกนี้น้อยลง การกินน้ำมะนาวขณะรับประทานยาบางจำพวกที่เปลี่ยนรูปในตับจึงอาจทำให้ส่งผลข้างๆมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเช่น ยาคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) ไอทราโคนาโซล (Itraconazole) เฟกโซเฟนาดีน (Fexofenadine) สามอาโซแลม (Triazolam) ด้วยเหตุนั้น ก่อนรับประทานมะนาวควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาที่ใช้อยู่ด้วย
เอกสารอ้างอิง

  • วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม. 2536. พจนานุกรมสมุนไพรไทย. กรุงเทพ ฯ : พิมพ์ครั้งที่ 2, สำนักพิมพ์สุริยบรรณ.
  • รวี เสรฐภักดี.2553.คู่มือประกอบการฝึกอบรมโครงการปลูกมะนาวและการผลิตมะนาวนอกฤดู:การสร้างสวนไม้ผลยุคใหม่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน.นครปฐม
  • Sethpakdee, R. 1992. Citrus aurantifolia (Christm. & Panzer) Swingle . In: L.P.A. Oyen and Nguyen Xuan Dung (Editors): Plant Resourses of South-East Asia No 2. Edible fruits and nuts. Prosea Foundation, Bogor, Indonesia. pp. 126-128.
  • รศ.สุธาทิพ ภมรประวัติ.มะนาว ลดคลอเรสเตอรอลป้องกันโรคหลอดเลือด.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่354.คอลัมน์บทความพิเศษ.ตุลาคม.2551.
  • มะนาว.ฐานข้อมูลเครื่องยาคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีธิราภา แสนเสนา นพดล กิตติวราฤทธิ์ มาลิน จุลศิริ รุ่งระวี เติมศิริฤกษ์กุล. ฤทธิ์ต้านเชื้อและฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์ของสารสกัดจากผิวผลพืชตระกูลส้ม. โครงการพิเศษ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, 2536.
  • มะนาว.สมุนไพรที่ใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล http://www.disthai.com/[/b]
  • อรรถศิษฐ์  วงศ์มณีโรจน์.2553.คู่มือประกอบการฝึกอบรมโครงการปลูกมะนาวและการผลิตมะนาวนอกฤดู ดินและปุ๋ยสำหรับการปลูกมะนาวมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน.นครปฐม.ไม้ผลเศรษฐกิจ.ฉบับที่102(251)/2552.วารสารเมืองไม้ผล.เทคนิคการปลูกมะนาวพันธุ์แป้นเกษตรดกพิเศษให้ออกในช่วงฤดูแล้ง.88-93 น.
  • Prabuseenivasan, S. et al. 2006. Invitro antibacterial activity of some plant essential oils. BMC Complement Altern Med 30(6):39
  • ประโยชน์ของมะนาวต่อการรักษาโรคได้ผลชัว
52  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / มะขามที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี สามารถนำมาเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้ เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2018, 06:09:43 pm
[/b]
มะขา[/size][/b]
ชื่อสมุนไพร มะขาม
ชื่ออื่นๆ/ชื่อเขตแดน ขาม (ภาคใต้) , ม่องวัวล้ง (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) , ตะลูบคลำ (วัวราช) หมากแกง (ฉาน-แม่ฮ่องสอน) , อำเปียล (เขมร-จังหวัดสุรินทร์) , ส่าหม่อเกล (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , ซึงกัก , ทงฮ้วยเฮียง (จีน)
ชื่อสามัญ  tamarind
ชื่อวิทยาศาสตร์  Tamarindus indica Linn.
ตระกูล  Fabaceae
ถิ่นกำเนิด เชื่อกันว่ามะขามมีบ้านเกิดในแอฟริกา แถบประเทศซูตานในปัจจุบัน หลังจากนั้นมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ได้นำมะขามมาปลูกเอาไว้ภายในแถบประเทศอินเดีย รวมทั้งในประเทศแถเขตร้อนของทวีปเอเชียรวมทั้งประเทศแถบลาตินอเมริกา แม้ว่าจะมีหลักฐานว่ามะขามมีบ้านเกิดเมืองนอนดั้งเดิมอยู่ในทวีปแอฟริกา แต่ว่าสำหรับในประเทศไทยมะขามก็เข้ามา และเป็นที่รู้จักดีเยี่ยมว่า 700 ปีแล้ว ดังปรากฏเนื้อความในศิลาจารึกหลักที่ 1 สมัยพ่อขุนรามคำแหง ที่พูดถึงมะขามอยู่หลายแห่ง เป็นต้นว่า ตอนหนึ่งว่า “หมากขามก็หลายในเมืองนี้คนใดสร้างได้ไว้แก่มัน” เป็นต้น  จากหลักฐานดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วจึงอาจกล่าวได้ว่า มะขามเป็นพืชที่มีการกระจัดกระจายพันธุ์เข้ามาสู่เมืองไทยกว่า 700 ปีมาแล้ว  ยิ่งไปกว่านี้มะขามยังเป็นพืชพันธุ์ไม้พระราชทางรวมทั้งฯลฯไม้ประจำจังหวัดจังหวัดเพชรบูรณ์อีกด้วย
ทั้งนี้มะขามเป็นต้นไม้แข็งแรงแข็งแรง แล้วก็ฯลฯไม้ที่แก่ยืนยาวมากมายชนิดหนึ่ง ในประเทศศรีลังกามีกล่าวว่าพบมะขามที่มีอายุมากกว่า 200 ปี ส่วนในประเทศไทย พบมะขามยักษ์ที่วัดแค อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี มีขนาดลำต้น 6-7 คนโอบ เชื่อว่ามีอายุกว่า 300 ปี โดยวัดแคนี้มีปรากฏชื่อในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนสามเณรแก้วเรียนวิชากับคุณครูคงจะเจ้าอาวาสวัดแค ว่า
“อีกทั้งตำราพิชัยสงครามล้วนวิชาความรู้อาจจะปราบศัตรูไม่สู้ได้
      ฤกษ์พานาทีทุกๆสิ่งทุกๆอย่างไปทั้งยังเสกใบมะขามได้เปรียบแตน”
มีชาวสุพรรณฯ จำนวนไม่น้อยมั่นใจว่า มะขามยักษ์ที่วัดแคในปัจจุบัน เป็มะขาม
ต้นเดียวกันกับต้นที่เณรแก้วฝึกเสกใบมะขามได้เปรียบแตนในครั้งนั้น
ลักษณะทั่วไป  มะขามเป็นไม้ยืนต้นขนาดกึ่งกลางถึงใหญ่ สูง 6-20 เมตร เปลือกต้นสีเทา ดำ มีริ้วรอยมาก แตกกิ่งก้านสาขามากมาย ไม่มีหนาม ใบเป็นใบประกอบ ปลายเป็นใบคู่ ใบยาว 8-11 ซ.ม. มีใบย่อย 14-40 ใบ ใบย่อยลักษณะใบยาวปลายมนกลม ยาว 1-2,4 ซ.ม. กว้าง 4.5-9 ม.ม. ปลายใบมน หรือครั้งคราวก็เว้าเข้าบางส่วน ฐานใบอีกทั้ง 2 ข้างเว้าเข้าไม่เท่ากัน ตัวใบเรียบไม่มีขน ดอกออกที่ปลายก้านหรือจากซอกใบ เป็นช่อบานจากโคนไปปลาย ดอกมีกลีบหุ้มดอกอ่อน 1 กลีบ สีแดง ขอบมีขนสั้นสีขาว เมื่อดอกบานจะหลุดร่วงไปกลีบเลี้ยงไปกลีบเลี้ยงมี 4 กลีบ สีเหลืองปลายกลีบแหลมมีสีแดงเรื่อๆกลีบดอกมี 5 กลีบ ขนาดแตกต่างกัน สีเหลืองมีลายเส้นกลีบดอกไม้สีแดงเข้ม ขอบกลีบมีรอยย่นๆกลีบดอกไม้ 2 กลีบข้างล่างจะฝ่อ เล็กหายไป มีเกสรตัวผู้ 3 อัน ก้านเกสรชิดกันจากส่วนกลางลงมา รังไข่มี 1 อัน เป็นฝักยาว ส่วนปลาย เป็นก้านเกสรตัวเมีย มีเม็ดมากมาย ฝักทรงกระบอก แบนนิดหน่อย ยาว 3-14 เซลเซียสม. กว้าง 2 เซลเซียสมัธยม เปลือกนอกสีเทา ด้านในมีเม็ด 3-10 เม็ด เม็ดมีเปลือกนอก สีน้ำตาลแดงเรียบเป็นมัน ออกดอกในช่วงเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ฝักแก่ในราวธ.ค.
การขยายพันธุ์  โดยปกติ มะขามสามารถขยายพันธุ์จะได้ด้วยเมล็ด แม้กระนั้นปัจจุบัน มะขามเริ่มมีการปลูกเพื่อการค้าขายเยอะขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยนิยมปลูกจากต้นประเภทที่ได้จากการตอน และการทิ่มยอดเป็นหลัก เพราะว่าสามารถได้ผลผลิตได้เร็วเพียงไม่ถึงปีหลังการปลูก อีกทั้ง ต้นที่ปลูกด้วยวิธีนี้จะมีลำต้นไม่สูงราวกับการเพาะเม็ด ทำให้ง่ายต่อการจัดการ รวมทั้งการเก็บผลิตผลซึ่งการปลูกขั้นตอนต่างๆดังต่อไปนี้

  • การเตรียมแปลง ตระเตรียมแปลงด้วยการไถกลบหน้าดิน แล้วตากดิน และต้นหญ้าให้ตายก่อน 1 ครั้ง ระยะตากดินนาน 7-14 วัน ต่อจากนั้น ค่อยไถกลบอีกครั้ง แล้วตากดินทิ้งเอาไว้อีก 5-7 วัน ก่อนที่จะทำการขุดหลุมปลูกไว้ในระยะ 8 x 8 เมตร หรือ 10 x 10 เมตร ขนาดหลุมลึก 50 ซม. กว้างยาว 50 ซม.
  • การปลูก ใช้ต้นพันธุ์ที่ได้จากการตอน หรือการเพาะเม็ด ควรเลือกขนาดต้นจำพวกที่สูงโดยประมาณ 0.5-1 เมตร ก่อนปลูกให้โรยก้นหลุมด้วยปุ๋ยมูลสัตว์หรือปุ๋ยธรรมชาติหรือวัสดุทางการเกษตรอื่นๆร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตราที่หลุมละ 1 กำมือ แล้วโกยดินลงคลุกผสมให้หลุมตื้นขึ้นมาเหลือเกิน 25-30 เซนติเมตร ก่อนนำต้นชนิดลงปลูก พร้อมกลบดิน รวมทั้งรดน้ำให้เปียกแฉะ ต่อไป ให้นำฟางข้าวมาวางคลุมรอบโคนต้น
  • การดูแล การให้น้ำ ภายหลังจากการปลูกแล้วจะทำการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยยิ่งไปกว่านั้นในช่วงแรกเพื่อให้ต้นตั้งตัวได้ โดยควรจะให้น้ำในทุกๆ3-5 วัน/ครั้ง ต่อไป ค่อยให้ลดลงมาเหลือ 3-4 ครั้ง/เดือน ดังนี้ บางทีอาจไม่ให้น้ำเลยถ้าเกิดเป็นช่วงหน้าฝนไม่ต้อง

การใส่ปุ๋ย ให้ให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในระยะนี้จนกว่าต้นจะเติบโตพร้อมให้ผล ซึ่งตอนนั้นก็เลยเริ่มให้ปุ๋ยสูตร 12-12-24 ร่วม เพื่อเร่งผลผลิต ความถี่การใส่ปุ๋ยราว ปีละ 2-3 ครั้ง ดังนี้ ควรจะใส่ปุ๋ยคอกโรยรอบโคนต้นด้วยทุกคราวภายหลังจากการปลูกแล้วราวๆเข้าปีที่ 2 หรือปีที่ 3 ก็เลยให้เริ่มติดผลตอบแทน
                ยิ่งกว่านั้นมะขามยังสามารถปลูกได้ในประเทศแถบร้อนเปียกชื้น อย่างเช่น ประเทศในแถบอเมริกากลาง เอเซียอาคเนย์ และอาฟริกา  ก็เลยนับว่ามะขามไม้ผลที่มีค่าทางเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคโดยเฉพาะประเทศไทยและประเทศอินเดียที่เป็นแหล่งปลูกมะขามขนาดใหญ่ซึ่งมีอุตสาหกรรมที่เกี่ยวโยงกับมะขามมากมาย
ส่วนประกอบทางเคมี
จากข้อมูลเบื้องต้นเมล็ดมะขามประกอบด้วยอัลบูมินอยด์ (albuminoids)  โดยที่มีปริมาณไขมัน 14 -20%, คาร์โบไฮเดรต 59 – 60 %,น้ำมันที่ถูกทำให้แห้งนิดหน่อย  (semi-drying fixed oil) 3.9 – 20 %,น้ำตาลรีดิวซ์  (reducing sugar) 2.8%, สารที่มีลักษณะเป็นมูก  (mucilaginous material) 60% ตัวอย่างเช่น โพลีโอส (polyose) ซึ่ง       Tannin : Wikipedia
ใช้ในอุตสาหกรรมทอผ้า เมื่อวิเคราะห์มองส่วนประกอบสำคัญๆพบว่าเปลือกหุ้มเมล็ดมะขามประกอบไปด้วยโปรตีน 9.1% และเส้นใย 11.3% โดยที่เม็ดมะขามมีโปรตีน 13 % ลิปิด 7.1 % ขี้เถ้า 4.2% รวมทั้งคาร์โบไฮเดรต 61.7%
โปรตีนหลักที่พบในเม็ดมะขามคืออัลบูมิน (albumins) และก็โกลบูลิน  (globulins) โปรตีนจากเม็ดมะขามประกอบไปด้วยกรดอะมิโนที่มีซัลเฟอร์เป็นองค์ประกอบ คือ ซิสเทอีนและเมทไธโอนีน อยู่มากถึง 4.02% เมื่อเทียบกับมาตรฐาน FAO/WHO (1991) ซึ่งตั้งค่าไว้พอๆกับ 2.50%  นอกเหนือจากนั้นเปลือกหุ้มเมล็ดมะขามยังประกอบด้วยสารพวกอทนนิน โดยมีแถลงการณ์ว่าในเปลือกหุ้มเม็ดมะขามประกอบไปด้วยแทนนิน (tannins) ถึง 32% ซึ่งแทนนินนี้จัดประเภทได้เป็นโฟลบาแทนนิน  (phlobatannin) 35%ที่เหลือเป็นค่ะเตโคแทนนิน (Catecholtannin)
ส่วนในเนื้อมะขามที่ให้รสเปรี้ยวยังพบกรดทาริทาริก (Tartaric acid)  รวมทั้งในใบมะขามเจอกรด ทาริทาริก (Tartaric acid) และกรดมาลิก (Malic acid) ยิ่งไปกว่านี้ ส่วนต่างๆของมะขามจะมีเม็ดสี ซึ่งได้มีหัวหน้าไปใช้ประโยชน์กันอย่างมากมาย โดยมะขามชนิดแดงมีแอนโทไซยานิน (anthocyanin) คริสแซนทีนิน (chrysanthemin) ส่วน Tartaric acid : Wikipedia
มะขามชนิดอื่นๆมีเม็ดสีพวกแอนทอลแซนว่ากล่าวน (anthoxanthin) ลูทีนโอลีน (lute olin) และก็อาปิเจนิน (apigenin) อยู่ในใบมะขามโดยประมาณปริมาณร้อยละ 2 ฝักมะขามมีแอนทอคแซนว่ากล่าวนบางส่วน ในดอกมะขามมีแซนโทฟิล (xanthophyll) แค่นั้น และก็ในเปลือกเม็ดมะขามมีลิววัวแอนโทไซยานิดิน (leucoanthocyanidin) เป็นต้น
ส่วนคุณค่าทางโภชนาการของมะขามีดังนี้

  • พลังงาน 239 กิโลแคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต 62.5 กรัม
  • น้ำตาล 57.4 กรัม Malic acid : Wikipedia       
  • เส้นใย 5.1 กรัม
  • ไขมัน 0.6 กรัม
  • โปรตีน 2.8 กรัม
  • วิตามินบี 1 0.428 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 2 0.152 มก. Chrysanthemin : Wikipedia       
  • วิตามินบี 3 1.938 มก.
  • วิตามินบี 5 0.143 มก.
  • วิตามินบี 6 0.066 มก.
  • วิตามินบี 9 14 ไมโครกรัม
  • โคลีน 8.6 มก.
  • วิตามินซี 3.5 มิลลิกรัม Luteolin : Wikipedia           
  • วิตามินอี 0.1 มิลลิกรัม
  • วิตามินเค 2.8 ไมโครกรัม
  • ธาตุแคลเซียม 74 มิลลิกรัม
  • ธาตุเหล็ก 2.8 มิลลิกรัม Apigenin : Wikipedia           
  • ธาตุแมกนีเซียม 92 มก.
  • ธาตุฟอสฟอรัส 113 มิลลิกรัม
  • ธาตุโพแทสเซียม 628 มิลลิกรัม
  • ธาตุโซเดียม 28 มิลลิกรัม Xanthopyll : Wikipedia           
  • ธาตุสังกะสี 0.1 มก.

ประโยชน์/สรรพคุณ คุณประโยชน์ซึ่งมาจากมะขามอย่างแรกที่เรามักใช้ประโยชน์กันบ่อยเป็นใช้บริโภคไม่ว่าจะรับประทานใหม่ๆหรือใช้ทำมะขามแฉะไว้สำหรับทำกับข้าว มะขามแฉะมีกรดอินทรีย์อยู่สูงจึงเปรี้ยวมาก ใช้ทำอาหารไทยที่อยากรสเปรี้ยว เป็นต้นว่า แกงส้ม ต้มส้ม ต้มโคล้ง รวมทั้งต้มยำโฮกอือ ฯลฯ นอกนั้นยังใช้สำหรับในการปรุงเครื่องจิ้มน้ำพริกต่างๆหลายชนิด อย่างเช่น น้ำปลาหวาน หลนต่างๆน้ำพริกเผา น้ำพริกตาแดง น้ำพริกแดนนรก และก็น้ำพริกคั่วแห้ง ฯลฯ
ดังนี้มะขามฝักอ่อนแล้วก็ใบมะขามอ่อน ก็เอามาประกอบอาหารได้เช่นกัน ทั้งยังสามารถนำมะขามมาทำสินค้าแปรรูปได้อีกหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น มะขามดอง , มะขามกวน , มะขามแช่อิ่ม , มะขามแก้ว , และก็เหล้าองุ่นมะขาม ผงมะขาม , สบู่ , รวมทั้งยาสระผมมะขาม ฯลฯ  ส่วนผลดีด้านอื่นๆก็มีอีกตัวอย่างเช่น แก่นไม้มะขาม สำหรับชาวไทยแล้วเขียงกว่าร้อยละ 90 ทำจากไม้มะขาม เนื่องจากว่ามีคุณลักษณะสมควรกว่าไม้อื่นๆตัวอย่างเช่น เหนียว เนื้อละเอียด สีขาวสะอาด ไม่มีกลิ่นหรือสารพิษที่จะปนไปกับของกิน นอกจากนี้ยังหาง่ายอละคงทนอีกด้วย นอกเหนือจากใช้ทำเขียงแล้ว ยังเหมาะกับทำครก สาก เพลา รวมทั้งดุมเกวียน ใช้กลึงหรือแกะ ถ้าเอามาเผาเป็นถ่าน จะให้ความร้อนสูง  เมล็ดมะขาม (แก่) ประยุกต์ใช้เป็นอาหารได้หลายสิ่งหลายอย่าง เช่น คั่วให้สุกแล้วรับประทานโดยตรง นำมาเพาะให้แตกออกก่อน (เหมือนถั่วงอก) แล้วนำไปทำครัว หรือนำไปคั่วให้ไหม้เกรียม แล้วบดละเอียด ใช้ชงดื่มแทนกาแฟ นอกเหนือจากนั้นเมล็ดแห้งนำไปบดเป็นแป้งใช้ลงผ้าให้อยู่ตัวได้ดี
สำหรับสรรพคุณทางยานั้น ตามตำรายาไทยระบุว่า ดอก ใบรวมทั้งฝักอ่อน ปรุงเป็นอาหารกินแก้ร้อนในหน้าร้อน แก้อาการไม่อยากกินอาหารรวมทั้งของกินไม่ย่อยในฤดูร้อนลดระดับความดันโลหิต น้ำคั้นจากใบ ใช้แก้อาหารไม่ย่อยและปัสสาวะลำบาก น้ำสุกจากใบให้เด็กกินขับพยาธิ รวมทั้งมีสาระในคนเป็นโรคดีซ่าน ใบสด ใช้พอกบริเวณเข่าหรือข้อพับทั้งหลายแหล่ที่บวมอักเสบหรือที่กลยุทธ์ปวดเมื่อย, ฝี, ตาเจ็บ แล้วก็แผลหิด ใบแห้งบดเป็นผง ใช้โรยบนแผลเปื่อยยุ่ยเรื้อรัง แล้วก็ใช้ผสมน้ำเป็นยากลั้วคอ ใบมีฤทธิ์ทำลายเชื้อแบคทีเรียได้ ใบสดมะขามใช้เป็นยาถ่าย ยาระบาย ขับลมในลำไส้ ใบสดมะขามช่วยรักษาหวัด อาการไอ ช่วยสำหรับการรักษาโรคบิด  ช่วยฟอกโลหิต เอามาต้มผสมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆใช้อาบหลังคลอด เปลือกต้น ฝาดสมานเป็นยาบำรุงและแก้ไข้ ,แก้ท้องเสีย , รักษาแผล เนื้อห่อหุ้มเม็ด (เนื้อมะขาม) มีฤทธิ์ระบายอ่อนๆบางทีอาจเนื่องจากกรดตาร์ตาริค แต่ถ้าหากเอาไปต้มจนสุก ฤทธิ์ระบายอ่อนๆนี้จะหายไป นอกเหนือจากนี้ยังคงใช้แก้เลือดออกตามไรฟัน ช่วยในการย่อย ขับลม ขับเสลด , ละลายเสมหะ  ฝาดสมาน แก้ไข้ แก้กระหายน้ำ ทำให้แจ่มใส ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย  แล้วก็เป็นยาฆ่าเชื้อ และก็ให้กินในรายที่ท้องผูกบ่อยๆ แก้พิษสุรา ของกินไม่ย่อย คลื่นไส้ เจ็บป่วยแล้วก็ท้องร่วง เนื้อในเมล็ด ใช้ถ่ายพยาธิไส้เดือน รากมะขามมีส่วนช่วยแก้อาการท้องเสีย ช่วยในการสมานแผล รักษาโรคเริม รักษาโรคงูสวัด
แบบ/ขนาดการใช้ แก้ร้อน จากอากาศร้อน เบื่อข้าว แพ้ท้อง อ้วกอ้วก ท้องผูก เด็กเป็นตานขโมย ใช้เนื้อหุ้มเม็ด 15-30 กรัม ผสมน้ำ คั้นแล้วอุ่นให้รับประทาน  แก้พิษเหล้า ขับเสมหะ ใช้เนื้อหุ้มห่อเมล็ด 3 กรัม ผสมน้ำตาลรับประทาน  แก้ไข้ ใช้เนื้อห่อเม็ดแช่น้ำ ผสมน้ำตาลให้มีรสหวาน ใช้ดื่มแก้กระหายช่วยลดความร้อน ใช้เป็นยาระบาย รับประทานเนื้อห่อหุ้มเมล็ด แล้วกินน้ำตามมากๆใช้ใบต้มน้ำอาบ หลังคลอดและก็ข้างหลังรู้สึกตัวใช้ ทำให้มีชีวิตชีวา หรือใช้อบไอน้ำ แก้หวัด คัดจมูก ขับเสลด แก้ท้องอืดแน่น ของกินไม่ย่อย ใช้เปลือกต้นผสมเกลือ เผาในหม้อดินกระทั่งเป็นขี้เถ้าขาว กินครั้งละ 60-120 มิลลิกรัม แล้วก็ยังใช้เถ้านี้ผสมน้ำอมบ้วนปากบ้วนปาก แก้คอเจ็บและปากเจ็บได้อีกด้วย หรืออาจใช้เนื้อหุ้มเมล็ดรับประทานทีละ 15 กรัม ช่วยสำหรับในการย่อยของกิน  หรือ   ใช้เนื้อมะขามรักษาท้องผูก       สามารถทำเป็น 3 แนวทาง เป็นใช้เนื้อจากฝักละลายน้ำแล้วผสมเกลือสวนเข้าทางทวาร หรือใช้เนื้อจากฝักผสมเกลือกิน หรือ เอาเนื้อจากฝักผสมเกลือนิดหน่อย แล้วปั้นเป็นลูกกลอนรับประทาน แก้ท้องเดิน ท้องเสีย ใช้เปลือกเมล็ดสีน้ำตาลปนแดงวาว 600 มิลลิกรัม เทียนขาว(Cumin) อย่างละเท่าๆกัน ผสมน้ำตาล ต้มกินวันละ 2-3 ครั้ง แก้อาการเปลี่ยนไปจากปกติเกี่ยวกับน้ำดี ใช้เนื้อห่อเม็ด รับประทานครั้งละ 10-60 กรัม เปลือกต้น ใช้ต้มกับน้ำ (จะมีแทนนินออกมา) ใช้เป็นยาสมานฝี แผล กันอักเสบ แก้ท้องร่วงแล้วก็คลื่นไส้รวมทั้งใช้แก้โรคหืด ช่วยถ่ายพยาธิตัวกลมในลำไส้ พยาธิไส้เดือน ด้วยการใช้เม็ดมะขามมาคั่ว กะเทาะเปลือกออก นำเนื้อในเม็ดมาแช่น้ำเกลือจนถึงนุ่ม แล้วกินครั้งละ 20 เม็ด เครื่องดื่มชนิดหนึ่งชื่อ “เชอร์เบต” (sherbet) ซึ่งผสมโดยต้มเนื้อมะขาม 30 กรัม ในนม 1 ลิตร เพิ่มลูกเกด 2-3 ลูก กานพลู กระวานและการบูรน้อย ใช้ดื่มแก้ไข้รวมทั้งอาการอักเสบต่างๆตัวอย่างเช่น ป่วย ของกินไม่ย่อย อาการแตกต่างจากปกติเกี่ยวกับกระเพาะ ท้องเดิน และใช้แก้ลมแดดก้าวหน้า ส่วน น้ำชงจากเนื้อมะขาม ตระเตรียมโดยแช่เนื้อมะขามในน้ำ แล้วรินออกมารับประทาน แก้อาการเบื่อข้าว (ประสิทธิภาพของยาชง จะเพิ่มขึ้นอีก โดยการเติมพริกไทยดำ น้ำตาล กานพลู กระวานแล้วก็การบูร ช่วยเพิ่มรส) รวมทั้งในระยะฟื้นไข้ ก็ให้รับประทานเนื้อห่อหุ้มเม็ดกับนม เนื้อห่อหุ้มเมล็ดอุ่นให้ร้อนใช้พอกแก้บวมอักเสบ เนื้อหุ้มห่อเมล็ดผสมเกลือให้เป็นครีมใช้ถูนวดในโรครูห์มาว่ากล่าวสซั่ม น้ำมะขามใช้อมบ้วนปากบ้วนปากแก้เจ็บคอ กระเพาะอักเสบ  นำมะขามเปียกไปแช่น้ำ ลอกเอาใยออก นำมะขามมาเช็ดตัวเบาๆช่วยทำให้ผิวหนังสดชื่นตลอดทั้งวัน มะขามแฉะและก็ดินสอพองผสมจนเหมาะ เอามาพอกหน้าทิ้งเอาไว้โดยประมาณ 20 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยทำให้ผิวหน้าดูกระชับสดใสรวมทั้งสะอาดเพิ่มขึ้น  มะขามแฉะผสมกับน้ำอุ่นแล้วก็นมสด ใช้พอกผิว ช่วยให้ผิวหนังที่มีรอยดำคล้ำกลับมาขาวดูดีและก็สดใส
[/b]
การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย   สารสกัดน้ำร้อนจากใบ สารสกัดเอทานอล 95% จากใบ ไม่เจาะจงขนาดที่ใช้  สารสกัดอีเทอร์-เฮกเซน-เมทานอล จากใบ ความเข้มข้น 100 มค.ก. และก็สารสกัดเอทานอล 95% จากผล ไม่ระบุขนาดที่ใช้ ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus สารสกัดน้ำร้อนจากผล ไม่กำหนดขนาดที่ใช้ ให้ผลยั้งเชื้อ S. aureus ไม่ชัดเจน เวลาที่สารสกัดอัลกอฮอล์จากผล ความเข้มข้น 200 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ให้ผลยั้งเชื้อดังที่กล่าวมาข้างต้นต่ำมาก สารสกัดเอทานอล 95% แล้วก็สารสกัดน้ำร้อนจากราก ไม่เจาะจงขนาดที่ใช้ สารสกัดเฮกเซนและสารสกัดน้ำจากผล ความเข้มข้น 200 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร และสารสกัดน้ำ ไม่ระบุส่วนที่ใช้ ความเข้มข้น 1 กรัม/มล. ไม่มีผลยับยั้ง S. aureus สารสกัดส่วนเนื้อมะขามด้วยแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ยั้งเชื้อแบคทีเรียในหลอดทดลองที่เป็นต้นเหตุของโรคท้องร่วง ดังเช่นว่า  Bacillus subtilis, Escherichia coli และ Salmonella typhi แต่ว่าสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม และก็สารสกัดด้วยน้ำ มีฤทธิ์ยั้งเชื้อดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นอย่างอ่อน
มีการทดลองในสัตว์ (in vivo study) โดยให้เปลือกเม็ดมะขาม หรือเม็ดมะขาม ให้สัตว์ทดสอบรับประทานพบว่าเปลือกเมล็ดมะขามที่กำจัดแทนนินออกแล้วมีค่าปริมาณที่สมควรในการบริโภคในไก่เป็น100 มิลลิกรัมต่อโล โดยซึ่งสามารถลดความเคร่งเครียดจากความร้อน (heat stress) และลดภาวะออกสิเดทีฟสเตรทได้ อย่างไรก็แล้วแต่การศึกษาอีกฉบับแถลงการณ์ว่าเม็ดมะขามต้มแล้วเอกเปลือกหุ้มเม็ดมะขามออกนั้นไม่สารถเพิ่มคุณค่าทางอาหารในไก่ได้ ไก่ที่รับประทานเม็ดมะขามดังกล่าวข้างต้นพบผลร้ายคือ กินน้ำมากเพิ่มขึ้นและมีขนาดของตับอ่อนและความยางของลำไส้เล็กเพิ่มขึ้น โดยที่ผลที่ได้นี้ผู้วิจัยแนะนำว่ามีต้นเหตุมาจากโพลีแซคคาไรด์ที่ไม่อาจจะย่อยได้
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา
          หนูถีบจักรเพศผู้แล้วก็เพศเมียที่กินอาหารผสมด้วยส่วนสกัดโพลีแซคคาไรด์จากเม็ด ขนาด 5% ของของกิน ไม่พบพิษ แต่หนูถีบจักรเพศภรรยาที่กินอาหารผสมดังกล่าวขนาด 1.2 รวมทั้ง 5% จะมีน้ำหนักลดลงตั้งแต่สัปดาห์ที่ 34
          ไก่ (Brown Hisex chicks) ทานอาหารผสมด้วยเนื้อมะขามสุก 2% และ 10% นาน 4 สัปดาห์ พบว่าน้ำหนักลดน้อยลง (weight gain) และก็ feed conversion ratios ลดลงอย่างเป็นจริงเป็นจัง  มีการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพเป็นมีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ไขมันของตับ (fatty change) เซลล์ตับ รวมทั้ง cortex ของไตตาย (necrosis) ในอาทิตย์ที่ 2 และ 4 ไก่กลุ่มที่รับประทานอาหารผสม 10% จะมีพยาธิสภาพร้ายแรงกว่าไก่กลุ่มที่กินอาหารผสม 2% ผลของการตรวจทางซีรัมพบว่า กรดยูริก total cholesterol, alkaline phosphatase (ALP), glutamic oxaloacetic trans-aminase (GOT) ในซีรั่มมากขึ้น total serum protein ต่ำลงมากยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุม (กลุ่มที่ไม่ได้กินอาหารผสมเนื้อมะขามสุก) sorbitol dehydrogenase แล้วก็ total bilirubin ไม่เปลี่ยนแปลง ค่า ALP กรดยูริก cholesterol และก็ total protein จะไม่กลับสู่ภาวการณ์ธรรมดาในตอน 2 สัปดาห์ภายหลังขาดอาหารผสมแล้ว ผลของการตรวจทางโลหิตวิทยาไม่มีการเปลี่ยนแปลง
หนูขาวเพศภรรยารวมทั้งเพศผู้กินอาหารที่มีส่วนผสมของโพลีแซคค้างไรด์จากเมล็ดมะขาม 4, 8 รวมทั้ง 12% นาน 2 ปี ไม่เจอการเปลี่ยนแปลงของความประพฤติ อัตราการตาย น้ำหนักร่างกาย  การกินอาหาร ผลทางชีวเคมีในฉี่และก็เลือด ผลการตรวจเลือด น้ำหนักอวัยวะ และพยาธิสรีระ
          หนูถีบจักรที่รับประทานสารสกัดเอทานอล:น้ำ (1:1) จากดอก พบว่าขนาดความเข้มข้นของสารสกัดสูงสุดที่หนูทนได้ เท่ากับ 1 กรัม/กก. นน.ตัว
          หนูขาว Sprague-Dawley SPF ทานอาหารที่ผสมด้วย pigments จากเม็ดที่เผาในขนาด 0, 1.25, 2.5 และ 5% ของของกิน เป็นเวลา 90 วัน ไม่พบความแปลกใดๆความเข้มข้นสูงสุดของ pigments ที่ให้โดยการผสมในของกินในหนูเพศผู้เท่ากับ 3,278.1 มิลลิกรัม/กก./วัน และก็ในหนูเพศเมียเท่ากับ 3,885.1 มก./กิโลกรัม/วัน ไม่เจอพิษ
พิษต่อตัวอ่อน  L-(-)-di-Butyl malate ที่ได้จากสารสกัดเมทานอลจากฝักมะขาม เป็นพิษต่อเซลล์ตัวอ่อนของ Sea urchin แต่ว่าสารสกัดเอทานอล : น้ำ จากฝักมะขาม ให้ทางสายยางเข้าไปในกระเพาะอาหารหนูขาวที่ตั้งท้อง ขนาด 100 มิลลิกรัม/กก. ไม่เจอพิษต่อตัวอ่อนในท้อง และสารสกัดเอทานอล 100% จากผล ให้ทางสายยางให้อาหารลงไปในกระเพาะของกินหนูขาวเพศภรรยา ขนาด 200 มก./กิโลกรัม ไม่ทำให้แท้ง และไม่ส่งผลต้านทานการฝังตัวของตัวอ่อน
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์    ฝักมะขามขนาด 0.1 มก./จานเพาะเชื้อ นำไปสู่การกลายพันธุ์ของ Salmonella typhimurium TA1535 แม้กระนั้นไม่เป็นผลต่อ S. typhimurium TA1537, TA1538 และก็ TA98
ข้อเสนอแนะ/ข้อควรพิจารณา

  • สำหรับเพื่อการเลือกซื้อมะขามมาใช้ประโยชน์(โดยเฉพาะมะขามสุก)นั้นควรจะเลือกมะขามที่ไม่มีเชื้อรา ด้วยเหตุว่าบางทีอาจทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
  • การบริโภคมะขามมากเกินไปอาจจะส่งผลให้เกิดผลกระทบกับร่างกายได้อย่างเช่น ท้องเดิน ท้องเดิน
  • การบริโภคมะขามไม่ควรหวังผลสำหรับในการรักษา/คุณประโยชน์ของมะขามมากจนเกินความจำเป็นควรจะบริโภคแม้กระนั้นพอดีและไม่ควรจะบริโภคต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน
  • ยังมีส่งผลการศึกษาเรียนรู้ที่ชี้ชัดว่ามะขามสามารถใช้ลดหุ่นได้ ฉะนั้นจึงไม่ควรใช้มะขามมาลดน้ำหนัก
เอกสารอ้างอิง

  • สมพล ประคองพันธ์.วันชัย สุทธนันท์ .การใช้ดพลีแซคคาไรต์จากเมล็ดมะขามในยาอิมัลชั่นและยาแขวนตะกอน.วารสารเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล 1988:53
  • ภัคสิริ สินไชยกิจ,ไมตรี สุทธิจิตต์.คุณสมบัติชีวเคมีและการประยุกต์ใช้ของเมล็ดมะขาม,บทความปริทัศน์.วารสารนเรศวรพะเยา.ปีที่4.ฉบับที่2.พฤษภาคม-สิงหาคม.2554.
  • กองวิจัยทางการแพทย์. สมุนไพรพื้นบ้าน ตอนที่ 1.  กรุงเทพฯ: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, 2526.
  • Aengwanish, W. and Suttajit, M. Effect of polyphenols extracted from tamarind (Tamarindus indica L.) seed coat on physiological changes, heterophil/ lymphocyte ratio, oxidative stress and body weight of broiler (Gallus domesticus) under chronic heat stress. Ani Sci J 2010; 81: 264-270
  • เดชา ศิริภัทร.มะขาม.ต้นไม้ประจำครัวไทย.คอลัมน์ต้นไม้ใบหญ้า.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่163.พฤศจิกายน.2535
  • Ahmad I, Mehmood Z, Mohammad F.  Screening of some Indian medicinal plants for their antimicrobial properties.  J Ethnopharmacol 1998;62:183-93. http://www.disthai.com/[/b]
  • บวร เอี่ยมสมบูรณ์.  ดงไม้.  กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรม, 2518.
  • มะขาม.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Pugalenthi M, Vadivel V, Gurumoorthi P, Janardhanan K. Comparative nutritional evaluation of little known legumes, Tamarindus indica, Erythrina indica and Sesbania bispinosa. Tropic Subtropical  Agroecosys 2004; 4(3): 107-123
  • George M, Pandalai KM.  Investigations on plant antibiotics. Part IV.  Further search for antibiotic substances in Indian medicinal plants.  Indian J Med Res 1949;37:169-81.
  • ภก.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ.มะขามและผักคราดหัวแหวน.คอลัมน์อื่นๆ นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่15.กรกฎาคม.2523
  • ก. กุลฑล.  ยาพื้นบ้าน.  กรุงเทพฯ:ปรีชาการพิมพ์, 2524.
  • Ross Sa, Megalla SE, Bishay DW, Awad AH.  Studies for determining antibiotic substances in some Egyptian plants. Part 1. Screening for antimicrobial activity.  Fitoterapia 1980;51:303-8.
  • Watt JM, Breyer-Brandwijk MG. The Medicinal and Poisonous Plants of Southern and Eastern Africa. 2nd edition. Edinburgh and London, E&S Livingstone
53  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / เพกา มีสรรพคุณเเละประโยชน์อย่างไรบ้าง เมื่อ: กรกฎาคม 12, 2018, 11:21:52 am
[/b]
เพก[/size][/b]
ชื่อสมุนไพร เพกา
ชื่ออื่นๆ/ชื่อเขตแดน ลิ้นฟ้า , หมากลิ้นฟ้า (โคราช,เลย,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) , มะลิดไม้ , มะลิ้นไม้ , ลิดไม้ (ภาคเหนือ) ,เบโก (นราธิวาส,ภาคใต้) ,หมากลิ้นช้าง , หมากลิ้นก้าง (ไทยใหญ่) ,กาโดโด้ง(กะเหรี่ยง-จังหวัดกาญจนบุรี) , ดอก๊ะ ,ดุเอ็ง ,ด๊อกก๊ะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ,โชยเตี้ยจั้ง (จีน)
ชื่อสามัญ   Broken bone, Damocles tree, Indian trumpet flower, Indian trumpet tree
ชื่อวิทยาศาสตร์  Oroxylum indicum (L.) Vent.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์  Oroxylum indicum (L.) Kurz
วงศ์             Bignoniaceae
ถิ่นกำเนิด เพกาเป็นพืชพื้นถิ่นที่มีมาตั้งแต่ดั้งเดิมของทวีปเอเชีย ซึ่งเจอในอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นครั้งแรก ในตอนนี้สามารพบได้หลายประเทศ ยกตัวอย่างเช่น อินเดีย พม่า ไทย ลาว เขมร มาเลเซีย รวมถึง จีนตอนใต้ด้วย ซึ่งมักจะพเพกา
ตามป่าเบญจพรรณ และป่าชื้นทั่วๆไป ส่วนในประเทศไทยนั้นสามารถเจอเพกาได้ทุกภาคของประเทศ อย่างไรก็ดีสำหรับในการนำเพกามาทำเป็นอาหานั้น ดูเหมือนจะมีแต่คนประเทศไทยเท่านั้นที่เอามาบริโภค ส่วนประเทศอื่นๆนั้นไม่เจอข้อมูลในการเอามาบริโภคเป็นของกินแต่อย่างใด
ลักษณะทั่วไป   เพกาเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงกลางแล้วก็เป็นไม้ กึ่งผลัดใบไหมผลัดใบ สูง 5-12 เมตร ขนาดลำต้นราว 10-30 ซม. เรือนยอดเล็ก กิ่งเปราะหักง่าย แตกกิ่งก้านน้อย ต้นที่มีอายุน้อยมีกิ่งใหญ่ตรงกลางกิ่งเดียว เปลือกเรียบ มีใบเป็นกลุ่มตรงกลาง คล้ายกับต้นปาล์ม ภายหลังจากออกดอก ลำต้นจะแยกเป็นกิ่งระเกะระกะ เปลือกต้น สีน้ำตาลครีมอ่อน หรือเทาอ่อน แตกเป็นสะเก็ดสี่เหลี่ยม และก็แผลของใบยาวถึง 150 ซม. มีต้นเหตุมาจากใบที่ร่วงไปแล้ว ลำต้นแล้วก็กิ่งก้านมีรูระบายอากาศ กระจายอยู่ทั่วไป เปลือกลำต้นเรียบสีเทา มีรอยแผลเป็น จากการหลุดตกของใบ ใบประกอบแบบขนนก 3 ชั้น ปลายคี่ ใบขนาดใหญ่ ยาว 60-200 เซนติเมตร เรียงตรงข้ามกันอยู่รอบๆปลายกิ่ง ใบย่อยรูปไข่ หรือรูปไข่แกมวงรี กว้าง 4-8 ซม. ยาว 6-12 เซนติเมตร ปลายยาว ขอบของใบเรียบ ฐานใบสอบแคบ ใบสะอาด หรือมีขนสีขาวสั้นๆข้างล่าง ท้องใบนวล ก้านใบข้างบนสุดแยกออก 1 ครั้ง ก้านใบกลางแยก 2 ครั้ง และก้านใบข้างล่างแยก 3 ครั้ง ทำให้เห็นใบทั้งผองเป็นสามเหลี่ยม  ก้านใบย่อยยาว 5-8 มม. ก้านใบข้าง และก็ก้านใบร่วมโค้งพองออกที่ฐานรวมทั้งที่ข้อ ก้านใบยาว 0.5-2 เมตร ดอกช่อขนาดใหญ่แบบกระจะ ออกที่ปลายยอดเป็นกระจุก มีดอกย่อย 20-35 ดอก จะบานพร้อมกันคราวละ 2-3 ดอก ก้านช่อดอกยาว 60-180 ซม. ยื่นออกมานอกทรงพุ่มของยอด ดอกย่อยขนาดใหญ่ 8-12 เซนติเมตร กลีบดอกสีนวลแกมเขียวโคนกลีบเป็นหลอดสีม่วงแดง หรือม่วงภายนอก หลอดกลีบดอกไม้ยาว 2-4 ซม. รูปแตร กลีบดก ขอบย่นย่อ ไม่มีพู หรือพูแตกต่างกัน มีต่อมกระจัดกระจายอยู่ข้างนอก ภายในมีขนหนาแน่น ดอกบานยามค่ำคืน มีกลิ่นสาบฉุน รวมทั้งหล่นช่วงเวลาเช้า มักจะมีดอกและก็ผลในกิ่งเดียวกัน เกสรตัวผู้ 5 อัน ใกล้กับหลอดดอก โคนก้านมีขน เกสรตัวเมียมี 1 อัน กลีบเลี้ยงยาว 2-4 ซม. มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ เชื่อมชิดกันเป็นรูปทรงกระบอก ปลายไม่แยกเป็นกลีบอย่างกระจ่างแจ้ง เมื่อเป็นผล กลีบเลี้ยงนี้จะเจริญก้าวหน้าเป็นเนื้อแข็งมาก ผลเป็นฝัก แบน โค้งเล็กน้อยที่ฐาน มีสันเล็กๆที่ข้างๆ เหมือนรูปลิ้น แขวนอยู่เหนือเรือนยอด กว้าง 6-10 เซนติเมตร ยาว 30-120 เซนติเมตร สีน้ำตาลเข้ม สีแดง ติดฝักยาก ฝักเป็นรูปกระบี่ เมื่อแก่จะแตกเป็น 2 ส่วน เมล็ดแบนสีขาว  ขนาด 4-8 เซนติเมตร มีปีกบางโปร่งแสง เยื่อนี้ช่วยให้เม็ดลอยละลิ่วตามกระแสลมให้ตกห่างต้นเพื่อเพาะพันธุ์ได้ไกลขึ้น
การขยายพันธุ์ เพกาสามารถเพาะพันธุ์ได้โดยการใช้เม็ด  โดยเลือกเมล็ดจากฝักแก่ เปลือกฝักแห้ง มีสีดำ โดยให้เก็บฝักไว้สัก 2-3 เดือน ก่อนเอามาเพาะเมล็ด เนื่องจากว่าภายหลังฝักแก่ เมล็ดเพกาจะเข้าสู่ระยะพักตัวอยู่ช่วงหนึ่ง ถ้าเกิดนำเมล็ดมาเพาะในพักหลังฝักแก่มักมีอัตราการงอกต่ำ ด้วยเหตุนั้น จึงทิ้งฝักไว้สักระยะหนึ่งก่อน
การเพาะเม็ด ควรเพาะในถุงเพาะชำ เพื่อย้ายต้นลงปลูกเอาไว้ในแปลงได้สะดวก โดยนำเม็ดออกจากฝัก และก็ตากแดดสัก 2-3 วันก่อน จากนั้นค่อยนำมาเพาะ  สำหรับอุปกรณ์เพาะ ควรจะใช้ดินผสมกับวัสดุอินทรีย์ อย่างเช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยคอก แล้วก็แกลบดำ แต่ว่าแม้ไม่สบายให้ใช้เพียงแค่ปุ๋ยธรรมชาติสิ่งเดียวก็ได้ โดยใช้อัตราส่วนดิน:ปุ๋ยหมัก:แกลบดำ ที่ 1:3:1 ก่อนใส่ลงถุงเพาะชำ จากนั้น นำเมล็ดลงกลบ แล้วก็รดน้ำให้ชุ่ม พร้อมทั้งดูแลด้วยการรดน้ำเป็นประจำวันแล้ววันเล่า ขั้นต่ำวันละ 1 ครั้ง จวบจนกระทั่งต้นจะผลิออก และแตกใบได้ 2 ข้อ ก่อนย้ายลงปลูกในแปลง  การปลูกเพกานิยมปลูกในต้นหน้าฝน เมื่อต้นกล้าแตกยอดได้ 2 ข้อแล้ว ให้นำกล้าเพกาลงปลูกได้ สำหรับระยะปลูกให้มีระยะห่างที่ 4×4 เมตร โดยการขุดหลุมขนาดราวๆ 30 ซม. ลึกโดยประมาณ 30 ซม. ก่อนจะรองตูดหลุมด้วยปุ๋ยคอกราว 3-5 กำ รวมทั้งปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ราว 1 ถือมือ พร้อมคลุกหน้าดินผสม ก่อนที่จะนำกล้าเพกาลงปลูก
ส่วนประกอบทางเคมี
ในฝักเจอสาร Oroxylin A , Chrysin     ,Baicalein , Triterpene  , Carboxyliv acid , Ursolic acid
ในเม็ดพบสาร Flavonoids , Chrysin , Oroxylin A ,Terpene , Baicalein , Saponins , Benzoic acid  , 6-Glucoside , Tetuin
สำหรับส่วนประกอบของน้ำมันของเม็ดพบสาร
Caprylic, Lauric  , Myristic ,Palmitic ,Palmotoleic ,Stearic ,Oleic , Linoleic acid
ในใบพบสาร Flavones  ,Baicalein ,Glycosides ,6,7-Glucuronides,7-Glucuronides , Chrysin , Scutellarein , Anthraquinone , Aloe emodin
ส่วนของลำต้นเจอสาร Oroxylin A  ,Baicalein  ,Chrysin ,7-Glucuronides, Biochanin A ,Ellagic acid , Puunetin ,B-sitosterols ,b-Methylbailein  ,Lapachol
ส่วนรากพบสาร  Oroxylin A  ,  Baicalein , Chrysin, Pterocarpan , Rhodioside  ,D-Galatose ,Sitosterol
ที่มา : wikipedia
ส่วนค่าทางโภชนาการของเพราะเหตุว่านั้นมีดังนี้
ค่าทางโภชนาการในยอดอ่อนเพกา (100 กรัม) พลังงาน 101 กิโลแคลอรี โปรตีน 6.4 กรัม ไขมัน 2.6 กรัม คาร์โบไฮเดรต 13.0 กรัม วิตามินบี1 0.18 มก. วิตามินบี2 0.69 มก.และวิตามินบี3 2.4 มก.  ฝักอ่อนของเพกา (ต่อน้ำหนัก 100 กรัม) วิตามินซี 484 มก. วิตามินเอ 8,200 มิลลิกรัม แคลเซียม 13 มิลลิกรัม, ธาตุฟอสฟอรัส 4 มิลลิกรัม, โปรตีน 0.2 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 14 กรัม, ไขมัน 0.5 กรัม, เส้นใย 4 กรัม
ผลดี/สรรพคุณ  ประโยช์จากเพกานั้นโดยมากนิยมเอามากินเป็นอาหาร อย่างเช่น ฝักอ่อน อายุฝักประมาณ 1 เดือน (ที่ขนาดไม่ใหญ่มากนัก สามารถใช้เล็บมือจิกลงไปได้) จัดเป็นผักพื้นบ้านที่นิยมเอามากินด้วยการลวกหรือปิ้งไฟ คู่กับน้ำพริก รายการอาหารลาบต่างๆรวมทั้งซุปหน่อไม้ ซึ่งฝักอ่อนนี้ เมื่อกินจะมีรสขมอ่อนๆทั้งนี้ การย่างไฟ นิยมย่างไฟจากเตาถ่าน แม้กระนั้นอาจย่างจากไฟลุกไหม้ก็ได้ โดยปิ้งให้เปลือกฝักอ่อนร้อน และก็อ่อนตัวจนไหม้เกรียมเป็นสะเก็ดดำ แล้วค่อยขูดสะเก็ดดำออก ก่อนนำมาหั่นรับประทาน    ใบ แล้วก็ยอดอ่อน ชาวบ้านนิยมนำมารับประทานดิบหรือลวกหรือย่างไฟ คู่กับน้ำพริก ซุปหน่อไม้ และเมนูลาบต่างๆรวมทั้งนำมาผัดใส่กุ้ง หรือยำใส่กระเทียมเจียว ทั้งนี้ ใบอ่อน และก็ยอดอ่อน มักไม่นิยมเด็ดมารับประทานมากนัก เพราะจำเป็นให้ยอดเติบโต และติด ดอกบานนิยมนำมาลวกเท่านั้น เนื้อดอกเมื่อลวกแล้วจะมีความนุ่ม และให้รสขมน้อยกว่าฝักอ่อน แล้วก็ยอดอ่อน นับว่าเป็นส่วนที่อร่อยมากที่สุด รวมทั้งมักจะใช้สำหรับกินคู่กับน้ำพริก ส่วนการใช้ผลดีอื่นๆนั้น ตัวอย่างเช่น แก่นไม้เพกา ในบางพื้นของภาคอีสาน นิยมใช้เผาถ่านสำหรับทำผงถ่านผสมทำดินปืนหรือดินบั้งไฟ ทั้งนี้ สามารถเผาเป็นถ่านได้ทั้งยังในรูปไม้สด ด้วยเหตุว่าแก่นไม้สดค่อนข้างจะแห้งอยู่แล้ว และก็เผาในรูปขอนไม้แห้ง ซึ่งเผาได้ง่ายดายเสียยิ่งกว่า แต่ตอนนี้ ไม่ค่อยนิยมแล้ว เนื่องมาจาก ต้นเพกาในอีสานหายากขึ้น รวมทั้งหันมาใช้ไม้ยูคาลิปตัสแทน ส่วนฝักเพกาแก่ นิยมเอามาตากแห้ง แล้วก็ส่งออกเมืองนอกเพื่อใช้ทำยาสมุนไพร สามารถทำรายได้ให้แก่เกษตรกรได้ นอกเหนือจากนั้นคนกะเหรี่ยงยังคงใช้เปลือกต้นเพกาย้อมผ้าให้ได้สีเขียวอีกด้วย
นอกจากนั้นเพกายังมีคุณประโยชน์ทางยาอีกด้วย ดังต่อไปนี้  ตำรายาไทย  ใช้  เมล็ด ต้มน้ำกิน แก้ไอและก็ขับเสมหะ ใช้เป็นยาระบาย เม็ดแก่ มีรสขม เป็นยาระบาย แก้ไอ ขับเสมหะ เมล็ดแห้ง ทำน้ำจับเลี้ยงแก้ร้อนใน อยากกินน้ำ ฝักแก่ มีรสขมรับประทานได้ แก้ร้อนในอยากดื่มน้ำ ช่วยเจริญอาหาร ระงับไอ ฝักอ่อน มีรสขมร้อน ใช้เป็นยาขับลม
ใบ มีรสฝาดขม ต้มน้ำกินแก้เจ็บท้อง เจริญอาหาร แก้ปวดข้อต่างๆ
เปลือกต้น -รสฝาดเย็น และก็ขมนิดหน่อย เป็นยารักษาแผล ทำน้ำเหลืองให้ปกติ ขับน้ำเหลืองเสีย ขับเลือดดับพิษโลหิต บำรุงโลหิต แก้เสมหะจุกคอ ขับเสมหะ แก้บิด แก้อาการจุกเสียด
ราก   มีรสฝาดเย็น ขมบางส่วน ใช้บำรุงธาตุ ทำให้เกอดน้ำย่อยอาหาร เจริญอาหาร   แก้ท้องเดิน แก้บิด แก้ไข้สันนิบาต
เพกาทั้ง 5    ได้แก่การใช้ส่วนราก ใบ ดอก ผล ต้น รวมกันจะมีรสฝาดเย็น มีคุณประโยชน์รักษาแผล แก้อักเสบบวม แก้ท้องร่วง บำรุงธาตุ แก้น้ำเหลืองเสีย แก้ไข้เพื่อลม เพื่อเลือด
[/b]
รูปแบบ/ขนาดวิธีใช้
ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข      นำเปลือกต้นฝนกับน้ำปูนใสทาแก้อาการบวม ฟกช้ำ รวมทั้ง อักเสบ  หรือนำเปลือกเพกาฝนทารอบๆฝีแก้ปวดฝี        เปลือกต้นตำผสมกับสุรา     ใช้เป็นยากวาดประสะพิษซางเด็กแบบเป็นเม็ดเหลือง      แก้ละอองขึ้นในปาก คอลิ้น แก้ละอองไข้     ใช้ฉีดพ่นเรียกตัวคนคลอดบุตรที่ทนการอยู่ไฟมิได้ ทำให้ผิวหนังชา     ทาบริเวณฝี แก้ปวดฝีทาแก้อาการฟกบวมอักเสบ  เปลือกต้นสดตำผสมกับน้ำส้ม  (ซึ่งได้จากรังมดแดง) หรือเกลือบก    รับประทานขับลมในไส้ แก้จุกเสียด แก้บิด แก้อ้วกไม่หยุด    รับประทานแก้เสมหะจุกคอ (ขับเสมหะ) ขับเลือดเน่าในเรือนไฟ บำรุงโลหิต
นอกเหนือจากนี้ ช่วยรักษาโรคโรคเบาหวาน ด้วยการใช้เปลือกเพกา เปลือกต้นไข่เน่า ใบไข่เน่า แก่นลั่นทม บอระเพ็ด ใบเลี่ยน รากต้นหญ้าค้าง รวม 7 อย่าง น้ำหนักอย่างละ 2 บาท นำมาต้มกับน้ำครั้งละ 1 แก้วเล็ก ก่อนรับประทานอาหาร เช้าแล้วก็เย็น  ช่วยแก้และบรรเทาอาการไอ และขับเสลดโดยใช้เมล็ดแก่เพกาโดยประมาณครึ่งกำมือถึงหนึ่งกำมือ (1.5 – 3 กรัม) ใส่เอาไว้ข้างในหม้อที่เพิ่มน้ำ 300 มล. แล้วต้มไฟอ่อนๆจนกระทั่งเดือดประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วเอามาดื่มทีละ 1 แก้ว ตอนเช้า กลางวัน เย็น จวบจนกระทั่งอาการจะดีขึ้น  แก้โรคไส้เลื่อน ด้วยการใช้เปลือกต้นเพกา รากเขยตาย หญ้าตีนนก นำมาตำรวมกันให้ละเอียด แล้วค่อยนำไปละลายกับน้ำข้าวขัดถู ใช้ขนไก่ชุบพิง นำมาทาลูกอัณฑะ
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ     ฟลาโวนอยด์ที่สกัดจากเพกาสามารถลดการอักเสบในเท้าของหนูเม้าส์ที่ถูกรั้งนำให้บวมด้วย dextran แล้วก็จะส่งผลลดบวมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อใช้ร่วมกับ a-chymotrypsin  สารสกัดจากเปลือกต้นเพกามีฤทธิ์ลดการอักเสบในหนูที่ถูกกระตุ้นให้เกิดการอักเสบด้วยอัลบูมินจากไข่  ฟอร์มาลิน และก็ฮีสตามีน แต่ว่าไม่มีผลในหนูที่ถูกกระตุ้นด้วยซีรัมจากม้า หรือไซลีน (xylene)  นอกเหนือจากนั้นยังพบว่าสารสกัดจากเปลือกมีฤทธิ์ลดการแพ้ในหนูที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ได้มากกว่าหนูธรรมดา
           จากการศึกษาเล่าเรียนฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบในหลอดทดลอง พบว่าสารสกัดจากเปลือกต้นเพกามีฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยยั้งสารภายในร่างกายที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบหมายถึงPGE2 รวมทั้ง NF-kB แล้วก็ยังออกฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดลองด้วยการขัดขวางขั้นตอนออกซิเดชันของไขมัน (lipid-peroxidation)  นอกนั้นยังพบว่าสารสกัดด้วยไดคลอโรมีเทนจากเปลือกต้น และรากมีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบโดยยับยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี 5-lipoxygenase แล้วก็พบว่าสาร lapachol ที่สกัดได้จากเปลือกต้นแล้วก็รากของเพกาก็มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ 5-lipoxygenase ได้เช่นกัน โดยมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับ fisetin ซึ่งใช้เป็นสารมาตรฐานสำหรับในการทดลองฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ  นอกจากนี้ยังพบว่าสารสกัดด้วยน้ำจากเปลือกยังสามารถลดการอักเสบได้โดยลดการหลั่งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี myeloperoxidase
ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและแก้ท้องร่วงสารสกัดไดคลอโรมีเทนของเปลือกต้น แล้วก็รากของเพกา มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียได้หลายสายพันธุ์ยกตัวอย่างเช่น Bacillus subtilis, Staphylococcus aureus, Escherichia coli และก็ Pseudomonas aeruginosa และก็ยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อราCandida albicans และพบสาร lapachol ที่สกัดได้จากเปลือกต้นแล้วก็รากของเพกา มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อ B. subtilis รวมทั้ง S. aureus ได้เทียบเท่ากับยา streptomycin  สารสกัดเพกาทั้งต้นด้วยการต้ม ไม่มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย Salmonella typi type 2 (ค่า MIC พอๆกับ 125 มก./มล.) แม้กระนั้นมีฤทธิ์อย่างอ่อนต่อเชื้อ Staphylococcus aureus (ค่า MIC เท่ากับ 15.13 มิลลิกรัม/มล.) (2) สารสกัดจากฝักด้วยเอทานอล (80%) ขนาด 12.5 มก./มิลลิลิตร มีฤทธิ์ไม่แน่นอนต่อเชื้อ S. aureus และ Escherichia coli
สำหรับสารสกัดจากตำรับยาเหลืองปิดสมุทรซึ่งมีเปลือกเพกาเป็นองค์ประกอบ และใช้ทุเลาอาการท้องร่วงที่มิได้เป็นผลมาจากการตำหนิดเชื้อ พบว่ามีฤทธิ์ลดอาการท้องร่วงในหนูเม้าส์ที่ทำให้ท้องเดินด้วยน้ำมันละหุ่ง แล้วก็มีฤทธิ์ยั้งการเคลื่อนไหวของกล้ามเรียบในลำไส้เล็กขิงหนูตะเภา  นอกจากนั้นยังมีฤทธิ์ทำลายเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอุจจาระตก 6 สายพันธุ์ในหลอดทดลองเป็นBacillus cereus ATCC 14579, Escherichia coli ATCC 25922, Salmonella typhimurium ATCC 11331, Shigella flexneri  DMSC 1130, Staphylococcus aureus ATCC 25923, Vibrio parahaemolyticus DMST 5665 และ แบคทีเรียที่แยกได้จากอาหาร โดยสารสกัดด้วยน้ำจะออกฤทธิ์ดีมากยิ่งกว่าสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์และสารสกัดของสมุนไพรเดี่ยวแต่ละประเภทที่เป็นองค์ประกอบในตำรับยานี้
ฤทธิ์ต้านทานการยุบเกร็งกล้าม  สารสกัดฝักเพกาด้วยเอทานอลและก็น้ำ (1:1) มีฤทธิ์ต้านการยุบเกร็งของกล้ามเนื้อของลำไส้เล็ก เมื่อกระทำการทดสอบในหนูตะเภาที่ถูกกระตุ้นให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อส่วนลำไส้เล็กด้วย acetylcholine รวมทั้ง histamine
ฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ การศึกษาเล่าเรียนใช้สารสกัดจากใบเพกาสำหรับเพื่อการต้านทานสารอนุมูลอิสระ DDPH และยั้งสารอนุมูลอิสระ Nitric Oxide พบว่า สารสกัดสามารถออกฤทธิ์ยั้งในค่า IC50 = 24.22 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร และก็ ค่า IC10 = 129.81 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ของสารทั้ง 2 เป็นลำดับ
ฤทธิ์ต้านทานมะเร็ง การเล่าเรียนทดลองสารสกัดจากเพกาชื่อ Baicalein สำหรับการต่อต้านเซลล์ของมะเร็ง HL-60 พบว่า สาร Baicalein สามารถยับยั้งเซลล์ของมะเร็ง HL-60 ได้มากกว่าปริมาณร้อยละ 50 ภายใน 36-48 ชั่วโมง
การเรียนทางพิษวิทยา
การทดลองความเป็นพิษ มีการทดลองกรอกสารสกัดรากเพกาด้วยน้ำร้อนแก่หนูเพศผู้ในขนาด 1 โมล/กิโลกรัม มีแถลงการณ์ว่านำไปสู่พิษ Dhar แล้วก็แผนก กระทำทดสอบฉีดสารสกัดฝักเพกาด้วยเอทานอลแล้วก็น้ำ (1:1) แล้วก็สารสกัดรากเพกาด้วยเอทานอลแล้วก็น้ำ (1:1) เข้าช่องท้องหนู พบว่าสารสกัดในขนาดสูงสุดที่หนูสามารถทนได้ (maximum tolerated dose)หมายถึง100 มก./กก. รวมทั้ง 1 กรัม/กิโลกรัม ตามลำดับ (4) ธีระยุทธ ได้กระทำการทดสอบความเป็นพิษรุนแรงของสารสกัดเปลือกเพกาด้วยเอทานอล (70%) โดยการฉีดเข้าช่องท้องแล้วก็กรอกลงกระเพาะหนูถีบจักรในขนาด 100 มก./กิโลกรัมน้ำหนักตัว พบว่าสารสกัดไม่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดพิษเฉียบพลันในหนู รวมทั้งเมื่อทดสอบความเป็นพิษกระทันหันโดยใช้สารสกัดในขนาดสูงขึ้นหมายถึง400 รวมทั้ง 800 มก./กก.น้ำหนักตัว พบว่าสารสกัดไม่กระตุ้นให้เกิดพิษเฉียบพลันเมื่อให้โดยการกรอกลงกระเพาะหนู แต่ว่ากระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดพิษฉับพลันได้เมื่อฉีดเข้าท้องในขนาด 800 มิลลิกรัม/กก. สำหรับความเป็นพิษกึ่งกะทันหันของสารสกัด พบว่าเมื่อกรอกสารสกัดลงกระเพาะหนูถีบจักรในขนาด 400 แล้วก็ 800 มก./กก.น้ำหนักตัว ทุกเมื่อเชื่อวันตรงเวลา 30 วัน  พบว่าไม่ส่งผลให้เกิดพิษรุนแรงในหนู
แล้วก็เมื่อป้อนสารสกัดจากตำรับยาเหลืองปิดสมุทรขนาด 5 กรัม/โล ครั้งเดียวให้หนูแรท ดูความประพฤติปฏิบัติด้านใน 14 วัน ไม่พบพิษแบบเฉียบพลันและความแปลกของอวัยวะภายใน แล้วก็เมื่อให้สารสกัดขนาด 1, 2 และ 4 กรัม/กก./วัน แก่สัตว์ทดลองต่อเนื่องกันเป็นเวลา 90 วันไม่พบพิษแบบกึ่งเรื้อรัง ไม่พบความแปลกของน้ำหนักตัว ค่าตรวจทางโลหิตวิทยา และทางวิชาชีวเคมี และการเปลี่ยนแปลงในพยาธิวิทยาของอวัยวะภายใน  สำหรับตำรับยารักษาโรคโรคมะเร็งที่ประกอบด้วยเพกา ชุมเห็ดเทศ (Senna alata (L.) Roxb.) และก็รางจืด (Thunbergia laurifolia Lindl.) ซึ่งออกฤทธิ์ต้านทานโรคมะเร็งในหลอดทดสอบ ก็พบว่ามีความปลอดภัยในการทดลองความเป็นพิษแบบฉับพลันในสัตว์ทดลอง
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ จากการทดสอบฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ โดยแนวทาง Ames’ test จากผลการทดสอบพบว่าสารสกัดในขนาดสูงสุดที่ทำการทดลอง (2 มก./จานเพาะเชื้อ) กับ Salmonella typhimurium สายพันธุ์ TA98 แล้วก็ TA100 พบว่าไม่มีคุณสมบัติสำหรับเพื่อการนำมาซึ่งการ กลายพันธุ์ อมรศรี และก็ภาควิชา พบว่าสารสกัดเพกาที่ได้จากการต้มมีฤทธิ์ต้านการกลายพันธุ์ เมื่อทดสอบโดยวิธี Ames’ test
การประเมินความเป็นพิษของสารสกัดจากเพกาโดยแนวทาง somatic mutation and recom bination test ในแมลงหวี่ พบว่าสารสกัดเพกาในขนาด 120 มก./มิลลิลิตร สามารถนำมาซึ่ง somatic mutation ได้  โดยพบว่าแมลงหวี่ที่ได้รับสารสกัดมีจำนวนจุดบนปีกน้อยลง เมื่อเปรียบเทียบกับแมลงหวี่กรุ๊ปควบคุม รวมทั้งมีกล่าวว่าส่วนสกัดอัลกอฮอล์ของเพกาเมื่อเอามาทำปฏิกิริยากับเกลือไนไตรท์ในสถานการณ์โอบล้อมที่เป็นกรดแล้วนำมาทดลองการกลายพันธุ์ พบว่าผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นมีฤทธิ์ก่อการกลายพันธุ์
ข้อเสนอ/ข้อควรปฏิบัติตาม

  • หญิงมีครรภ์ไม่สมควรรับประทานฝักอ่อนของเพกา เนื่องจากว่ามีฤทธิ์ร้อน โดยอาจจะทำให้แท้งลูกได้
  • ควรจะระวังสำหรับเพื่อการใช้เพการ่วมกับยากลุ่มต้านการแข็งตัวของเกร็ดเลือด อาทิเช่น แอสไพริน (aspirin) ,วาฟาริน (warfarin) , สารสกัดแปะก๊วย (Ginko biloba)
  • เพกาเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนอาจจะเป็นผลให้เป็นผลข้างๆได้ อย่างเช่น เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหารได้
เอกสารอ้างอิง

  • ธีระยุทธ กลิ่นสุคนธ์.  รายงานความก้าวหน้าโครงการวิจัยสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน (ครั้งที่ 1): โครงการย่อย “การวิจัยด้านพิษวิทยา”.  การสัมมนาเรื่อง “การพัฒนาการใช้สมุนไพรทางคลินิก และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสมุนไพร ที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน” 26-27 ก.พ. 2530, มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • เพกา.สมุนไพรทีใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • จีรเดช มโนสร้อย วรพงษ์ กิจดำรงธรรม ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ อรัญญา มโนสร้อย. การทดสอบความเป็นพิษแบบเฉียบพลันของสารสกัดตำรับยารักษาโรคมะเร็งที่คัดเลือกจากฐานข้อมูลตำรายาสมุนไพรไทย มโนสร้อย 2. วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก 2553;8(2):54.
  • อมรศรี ช่างปรีชากุล อริศรา เวชกัลยามิตร มาลิน จุลศิริ ปัญญา เต็มเจริญ.  การต้านสารก่อกลายพันธุ์ของสารสกัดน้ำจากพืช สมุนไพรชนิดที่สามารถนำมาปรุงเป็นเครื่องดื่ม. Special project, Faculty of pharmacy, Mahidol university,1991.
  • เพกา.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหิทยาลัยอุบลราชธานี
  • Ali RM, Houghton PJ, Raman A, Hoult JRS.  Antimicrobial and antiinflammatory activities of extracts and  constituents of Oroxylum indicum (l.) Vent.  Phytomedicine 1988;5(5):375-81.
  • เพกา.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ป่วยติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • อุดมการณ์ อินทุใส และปาริชาติ ทะนานแก้ว . สมุนไพรไทย ตำรับยา บำบัดโรค บำรุงร่างกาย.2549.
  • ธีระยุทธ กลิ่นสุคนธ์.  รายงานความก้าวหน้าโครงการวิจัยสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน (ครั้งที่ 2): โครงการย่อย “การวิจัยด้านพิษวิทยา”.  การสัมมนาเรื่อง “การพัฒนาการใช้สมุนไพรทางคลินิกและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน” 26-27 ก.พ. 2530, มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • เพกา/ลิ้นฟ้า สรรพคุณและการปลูกเพกา.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพิชเกษตรไทย http://www.disthai.com/[/b]
  • นพมาศ สุนทรเจริญนนท์. การพัฒนาตำรับยาแผนโบราณเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน. การสัมมนาเรื่อง “การเผยแพร่ผลงานวิจัยด้านสมุนไพรสู่ระดับอุตสาหกรรม ครั้งที่ 2”, 19-20 มีนาคม ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ, 2552.
  • ขวัญฤทัย คำฝาเชื้อ.2551.พฤกษศาสตร์พื้นบ้านของชาวกะเหรี่ยง ที่ตำบลบ้านจันทร์และแจ่มหลวง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ .วิทยานิพนธ์(วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.271 หน้า
  • Glinsukon T. Toxicological report. Symposium on Development of Medicinal Plants for Tropical Diseases, 26-27 February, Bangkok, Thailand, 1987. p.110-4.
  • เพกา.กลุ่มยาแก้โรคบิด ท้องเดิน ท้องร่วง โรคกระเพาะ.สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด .โครงการอนุรักษ์พันธุกรมมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพฯรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี.
  •   Siriwatanametanon N, Fiebich BL, Efferth T, Prieto JM, Heinrich M. Traditional Used Thai Medicinal Plants: In Vitro Anti-inflammatory, anticancer and Antioxidant Activities. J Ethnopharmacol 2010; 130:196-207.
  • Golikov PP, Brekhman II. Pharmacological study of a liquid extract from the bark of Oroxylum indicum.  Rastit, Resur 1967; 3(3): 446.
  • พัฒน์ สุจำนงค์.  ตำรายาไทย-จีนยากลางบ้าน ยาสมุนไพร และยาแผนโบราณ.  ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แพร่วิทยา, 2524. หน้า 363.
  •   Chen CP, Lin CC, Namba T.  Development of natural crude drug resources from Taiwan. (VI). In vitro studies of the inhibitory effect on 12 microorganisms.  Shoyakugaku Zasshi 1987; 41(3):215-25.
  • แก้ว กังสดาลอำไพ วรรณี โรจนโพธิ์. การประเมินฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ของสมุนไพรไทยในรูปของยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข และสมุนไพรบางชน
54  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ฝรั่งนั้นมีข้อดียังไง เเละสามารถนำมาทำอะไรได้บ้าง เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2018, 02:52:39 pm
[/b]
ฝรั่[/size][/b]
ชื่อสมุนไพร  ฝรั่ง
ชื่ออื่นๆ/ ชื่อแคว้น มะก้วย  มะก้วยกา มะกา (จังหวัดเชียงใหม่) , มะปั่น (ลำปาง) , บักสีดา (อีสาน) , สีดา (นครพนม) จุ่มโป่ (จังหวัดสุราษฎร์ธานี) , ชมพู่ (จังหวัดปัตตานี) , ยามู ,ย่าหมู (ภาคใต้) ยะมูบุเตบันยา (นาราธิวาส , มลายู) , ยะริง (ละว้า) , ฮวงเจี๊ยะหลิ่วกังซิวก้วยติดจีฉิ่ว (จีน)
ชื่อสามัญ  Guava
ชื่อวิทยาศาสตร์  Psidium guajava Linn
ตระกูล  MYRTACEAE
ถิ่นเกิด ฝรั่งคือผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดหรือเป็นพืชพื้นบ้านของเมริกาเขตร้อน De Candolle เชื่อว่าอยู่ระหว่างประเทศเม็กซิโก และก็ประเทศเปรู รวมถึงหมู่เกาะอินดีสตะวันตกด้วยชาวประเทศสเปนนำจากฝั่งแปซิฟิคไปยังประเทศฟิลิปปินส์ รวมทั้งประเทศโปรตุเกสนำจากฝั่งตะวันตกไปยังประเทศอินเดีย สำหรับในประเทศไทยนั้น คาดว่ามีการนำเข้ามาในประเทศไทยในช่วงสมัยของสมเด็จพระท้องนารายณ์มหาราช ตอนนี้เป็นพืชมีขึ้นทั่วๆไปในเขตร้อนแล้วก็กึ่งร้อน ปลูกเป็นไม้ผลตามบ้าน ตามสวนทั่วไป
ลักษณะทั่วไป ฝรั่งเป็นไม้ยืนต้นขนาดย่อมสูง 5-10 เมตร ลำต้นกิ่งก้านมีเนื้อไม้เหนียวแข็งดี เปลือกต้นเรียบมีเหลืองอ่อนออกเทา รวมทั้งมีรอยลอกออกเป็นแผ่นๆก้านอ่อนมีลักษณะสี่เหลี่ยม มีขนสีขาวๆสั้น ก้านแก่ ขนหล่นไปหมด ยอดอ่อนมีขนสีขาวสั้นๆปกคลุม ใบเป็นใบเดี่ยวออกตรงกันข้ามกันมีน้อยที่ออกเป็นวง (ที่ข้อเดียวกันออกเกินกว่า 2 ใบ) ใบรูปไข่ยาว 5-12 เซลเซียสม. หรือกว้าง 3-5 เซลเซียสม. ขยี้ใบดมดูเหมือนจะมีกลิ่นหอมหวน ใบบางเหมือนแผ่นหนัง ปลายใบมนหรือแหลมสั้น ฐานใบเบาๆขยายแหลมออกมายังกลางใบ ขอบของใบเรียบหลังใบมีสีเขียวแก่ มีรอยเส้นใบ (บุ๋มลงไปบางส่วน) ท้องใบมีขนสั้นๆสีขาวอ่อนนุ่ม และก็มีเส้นใบเป็นรอยนูนออกมา มีเส้นใบ 7-11 คู่ ก้านใบยาว 4 ซม. ดอกอาจออกเป็นช่อ 1-4 ดอก มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ สีเขียวกลมมน กลีบดอกไม้สาวบางๆหลุดร่วงง่าย ยาว 2-2.5 เซลเซียสม. มีเกสรตัวผู้มากมาย มีก้านเกสรตัวผู้สีขาวยาวพอกับกลีบ มีอับเรณูสีเหลืองอ่อน มีก้านเกสรตัวเมีย 1 อันยาวพุ่งขึ้นมาสูงกว่าก้านเกสรตัวผู้ รังไข่อยู่ข้างล่างมี 5 ห้องแล้วก็ลักษณะทรงกลม แล้วก็มีกลีบเลี้ยงเหลือติดอยู่กับปลายผล ผลรูปทรงกลม  มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวราว 3-15 เซลเซียสมัธยม เนื้อผลส่วนมากมีสีเหลือง ขาว หรือชมพู มีกลิ่นหอมสดชื่น เมล็ดแข็ง เป็นรูปไตมีเยอะมาก ขนาดเม็ด 0.3-0.5 เซนติเมตร สีขาวอ่อน มักพบปลูกตามบ้านหรือสวนทั่วไปเอาผลไว้รับประทานหรือขาย
การขยายพันธุ์    สามารถเติบโตได้ดิบได้ดีในทุกสภาพดิน และก็ทนต่อความแล้ง แล้วก็น้ำนองได้น้อย แม้กระนั้นโดยปกติมักถูกใจเจริญเติบโตเจริญในดินร่วนซุยคละเคล้าทราย ที่มีภาวะพื้นที่มีการระบายน้ำดี สามารถให้ผลผลิตได้ราวๆ 1 ปีหลังปลูก ผลสามารถเก็บได้ในช่วง 4-5 เดือน หลังติดดอก  โดยปกติจะได้ผลได้ในช่วงปลายหน้าแล้งถึงต้นฤดูฝนหมายถึงช่วงมี.ค.-เดือนมิถุนายน
                สำหรับการแพร่พันธุ์ฝรั่งสามารถทำเป็นหลายแนวทาง อย่างเช่น การปลูกด้วยเมล็ด การทาบกิ่ง การตำหนิดตา การปักชำ แม้กระนั้นแนวทางที่นิยมเยอะที่สุดหมายถึงการตอนกิ่ง
การเตรียมดิน และก็การเตรียมแปลง สำหรับเพื่อการปลูกฝรั่งนั้น สามารถทำเป็น 2 ต้นแบบตามสภาพพื้นที่ เป็น

  • พื้นที่ดินเหนียว น้ำท่วมขังง่าย และก็มีระบบระเบียบน้ำมากเกินเพียงพอ ให้ทำการขุดร่องลุกประมาณ 1 เมตร กว้าง 1-2 เมตร เพื่อเป็นแนวร่องสำหรับในการให้น้ำ การเตรียมแปลง รวมทั้งการปลูกเอาไว้ภายในรูปแบบนี้พบได้ทั่วไปในพื้นที่ลุ่มภาคกลางเป็นส่วนมาก
  • พื้นที่ทั่วๆไปที่มีระบบน้ำไม่พอ สามารถปลูกไว้ในแปลงโดยไม่ชูร่องหรือการยกร่องสูงราว 30 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างร่องราว 3-4 เมตร ดังนี้ ให้ทำการไถดะ 1 ครั้ง เพื่อตากดิน แล้วก็กำจัดวัชพืช แล้วก็ไถแปร 1 ครั้ง โดยเว้นช่วงห่างราว 1-2 อาทิตย์ จากนั้นทำไถยกร่อง
สำหรับวิธีการปลูกฝรั่ง มีดังนี้

  • ใช้กิ่งประเภทจากการตอนหรือการปักชำ
  • ขุดหลุมปลูก กว้าง ลึก ขนาด 50×50 ซม. แต่ละหลุมห่างกันโดยประมาณ 3 เมตร ระยะห่างระหว่างแถวโดยประมาณ 3-4 เมตร หรือตามขนาดระยะห่างของร่อง
  • รองพื้นด้วยปุ๋ยหมักหรือมูลสัตว์ราวๆ 0.5 กิโลกรัม/หลุม หรือขนาด 1 พลั่วตัก พร้อมคลุกดินผสมก้นหลุมให้สูงโดยประมาณ 1 ฝ่ามือ ทั้งนี้อาจผสมปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-8 ในอัตรา 1 กำมือ/หลุมก็ได้
  • นำกิ่งชนิด จากการตอนหรือการปักชำลงหลุมปลูก โดยกลบดินสูงเหนือปากหลุมนิดหน่อย ทั้งนี้ควรให้ดินกลบเหนือเขตรากสูงประมาณ 10-15 เซนติเมตร
  • ใช้หลักไม้ปักหลุม และผูกเชือกยึดลำต้น
  • เมื่อปลูกเสร็จควรจะให้น้ำให้ชุ่มโดยทันที

การให้น้ำ เริ่มให้น้ำทีแรกข้างหลังการปลูกเสร็จให้เปียกชุ่ม หลังจากนั้น ให้น้ำทุก 2 ครั้ง/วัน เช้า-เย็น จนกระทั่งต้นฝรั่งตั้งตัวได้ โดยอาจเลือกใช้ระบบการให้น้ำที่มีประสิทธิภาพ หลังจากนั้นอาจกระทำให้น้ำลดน้อยลง ขึ้นกับสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งความชื้นของดิน ซึ่งไม่ควรปลดปล่อยให้ดินแห้ง ขาดน้ำ โดยยิ่งไปกว่านั้นในตอนติดผล แต่ว่าในช่วงติดดอกไม่สมควรให้น้ำมากมายซึ่งในช่วงนี้เพียงแต่ระวังไม่หน้าดินแห้งก็ เพียงพอ
                โดยสายพันธุ์ของฝรั่งยอดนิยมในตอนนี้ ดังเช่น จำพวก แป้นสีทอง , ชนิดกิมจู , ประเภทกลมสาลี่ , พันธุ์ไร้เมล็ด , พันธุ์เวียดนาม เป็นต้น
องค์ประกอบทางเคมี
quercetin, quercetin-3-arabinoside , quercetin 3-O-b-L-arabinoside (guajavarin),                                    quercetin 3-O-b-D-glucoside (isoquercetin), quercetin 3-O-b-D-galactoside (hyperin),                             quercetin 3-O-b-L-rhamnoside (quercitrin) แล้วก็ quercetin 3-O gentiobioside , Tannin ในผิวฝรั่งเมื่อนำมาสกัดน้ำมันระเหย พบสารต่างๆดังเช่นว่า 1,8-cineole  ,   a-copaene,  trans-caryophyllene  , humulene  ,  a-amorphene ,    nerolidol   , caryophyllene oxide ,  epigiobulol, longitorenedehyde , aromaden dendrene , helifdenolC ฯลฯ  และสำหรับค่าทางโภชนาการของฝรั่งต่อ (165 กรัม) เป็น

  • พลังงาน 112 กิโลแคลอรี
  • ใยอาหาร 8.9 กรัม
  • โปรตีน 4.2 กรัม
  • ไขมัน 1.6 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 23.6 กรัม
  • วิตามินเอ 1030 IU
  • วิตามินซี 377 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 1 0.1 มก.
  • วิตามินบี 2 0.1 มก.
  • วิตามินบี 3 1.8 มิลลิกรัม
  • กรดโฟลิก 81 ไมโครกรัม
  • ธาตุแคลเซียม 30 มิลลิกรัม
  • ธาตุฟอสฟอรัส 66 มก.
  • ธาตุเหล็ก 0.4 มิลลิกรัม
  • ธาตุโพแทสเซียม 688 มิลลิกรัม
  • ธาตุทองแดง 0.4 มก. ที่มา : Wikipedia

ผลดี/สรรพคุณ ฝรั่งเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพที่เหมาะกับคนที่อยากได้ลดหุ่น ลดความอ้วน หรือคนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก เหตุเพราะฝรั่งอุดมไปด้วยกากใยอาหาร เมื่อกินแล้วจะก่อให้อิ่มนาน ช่วยกำจัดท้องร้อง ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ช่วยทำให้ปรับระดับการใช้อินซูลินของร่างกายให้สมควร รวมทั้งยังช่วยล้างพิษโดยรวมได้อีกด้วย ก็เลยมีผลทำให้ผิวพรรณมองเปล่งปลั่งสดใส โดยฝรั่งจัดคือผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่สุดในบรรดาผลไม้ทุกประเภท แล้วก็ยังมีวิตามินซีสูขี้เหนียวว่าส้มถึง 5 เท่า และก็ยังนิยมนำฝรั่งไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆตัวอย่างเช่น ฝรั่งดอง ฝรั่งแช่บ๊วย พายฝรั่ง แล้วก็ของหวานอีกหลากหลายชนิด รวมทั้งนำมาใช้ทำเป็นยาแคปซูลแก้ท้องเสียจากใบฝรั่ง ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม ซึ่งใส่แคปซูลละ 250 มิลลิกรัม
                นอกนั้นน้ำมันหอมระเหยในใบฝรั่งยังมีการใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมของกิน อย่างเช่น หมากฝรั่ง ลูกกวาด รวมถึงนำมาผสมหรือแต่งกลิ่นในน้ำยาบ้วนปากได้อีกด้วย ส่วนสรรพคุณทางยาของฝรั่งนั้นมีดังนี้ หนังสือเรียนยาไทยระบุว่า เปลือกต้น, ราก รสฝาด สุขุม ใช้แก้แผลเป็นพิษ แก้ปวดฟัน โรคลักปิดลักเปิด แก้อาการเลือดกำเดา แก้น้ำเหลืองเสีย แผลพุพอง ใบรสฝาดชุ่ม สุขุมไม่มีพิษ ใช้เป็นยาฝาดสมาน แก้ท้องเดิน บิดเรื้อรัง ผื่นคัน ผื่นคัน รอยแผลที่มีเลือดออก ผลที่ยังไม่สุก รสเปรี้ยว ฝาดสุขุม ใช้แก้ท้องเสีย บิด ดับกลิ่นปาก แก้ปวดฟัน ผลสุกรสหวานหอมใช้เป็นยาระบาย แก้ท้องผูก ใช้ห้ามเลือดต้านการอักเสบ ลดน้ำตาลในเลือด โดยใช้เปลือกแห้งหนัก 10 กรัม ต้มน้ำกิน ใบแห้งหนัก 3-5 กรัม ถ้าเป็นใบสดใช้หนัก 15-30กรัม ต้มน้ำดื่ม ถ้าหากใช้ด้านนอกต้มเอาน้ำชะล้างหรือตำพอก ผลที่ยังไม่สุก แห้งหนัก 6-10 กรัม ต้มน้ำกิน
รูปแบบ/ขนาดวิธีการใช้

  • แก้ลำไส้อักเสบ บิด ใช้ใบสด 30-60 กรัม ต้มน้ำกิน
  • แก้กระเพาะลำไส้อักเสบกระทันหันและก็ท้องเสีย ที่เกิดขึ้นจากการย่อยไม่ดี ใช้ใบแห้งหนัก 10-15 กรัม ต้มน้ำดื่ม
  • แก้บาดแผลเป็นผลมาจากการหกล้มหรือกระทบกระแทกหรือรอยแผลมีเลือดออก ใช้ใบสดตำพอกแผลด้านนอก
  • แก้ปวดฟัน ใช้เปลือกรากผสมน้ำส้มสายชูต้มเอามาอมแก้ปวดฟัน
  • แก้เด็กเป็นแผลเล็กแผลน้อยเรื้อรัง ใช้เปลือก ราก ต้มร่วมกับขนไก่ เอามาชำระล้างรอยแผล
  • แก้ผิวหนังเป็นผดผื่นคัน ใช้เปลือกต้นสดรวมทั้งใบต้นเอาน้ำชำระล้างบริเวณที่เป็น
  • แก้ท้องเสีย ใช้ใบหรือผลดิบ ต้มรับประทานต่างชา (ใบแห้ง 5 กรัม ใส่น้ำ 100 มิลลิลิตร)
  • ใช้สวนล้างช่องคลอดข้างหลังคลอด ใช้น้ำต้มจากใบสดอุ่นๆสวนล้าง
  • ใช้ในการดับกลิ่นปาก ด้วยการนำใบสด 3-5 ใบมาเคี้ยวแล้วคายกากทิ้ง
  • ช่วยรักษาอาการเสียงแห้ง แก้คออักเสบโดยการใช้ผลที่ตากแห้งต้มน้ำดื่ม
  • ยอดอ่อนๆปิ้งไฟให้เหลืองกรอบ ชงน้ำดื่มแก้ท้องร่วง บิด ใบสดบดอมขจัดกลิ่นยาสูบ สุรา รวมทั้งกลิ่นปากได้ดี
การเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ แก้ท้องเดิน             จากการค้นคว้าฤทธิ์ทางยาของฝรั่งพบว่าการให้ยาเม็ดแคปซูลใบฝรั่งครั้งละ 500 มิลลิกรัม ทุก 6 ชั่วโมง เป็นเวลา 3 วัน กับผู้ป่วยที่เป็นโรคอุจจาระตก 122 คน สามารถลดจำนวนครั้งของการถ่ายอุจจาระ ช่วงเวลาที่ขี้ และก็จำนวนน้ำเกลือที่ให้ตอบแทนได้  การให้ยาเม็ดแคปซูลฝรั่งขนาด 500 มก. (ที่มีสารฟลาโวนอยด์ 1 มก./แคปซูล 500 มก.)  ทุก 8 ชั่วโมง เป็นเวลา 3 วันในคนเจ็บที่มีลักษณะท้องเสีย ปวดท้อง ปริมาณ 50 คน จะสามารถลดการบีบตัวของไส้และก็ลดช่วงเวลาปวดท้องได้   การให้ยาต้มของฝรั่งในคนเจ็บเด็กที่เป็นโรคไส้อักเสบจากเชื้อไวรัส (Rota virus) 62 คน ทำให้อาการดียิ่งขึ้นภายใน 3 วัน ระยะเวลาท้องร่วงสั้นลง และไม่เจอเชื้อ Rota virus ในอุจจาระมากยิ่งกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม
                 สารสกัดใบฝรั่งด้วยคลอโรฟอร์ม เฮกเซน เมทานอล และก็น้ำ สามารถลดการเคลื่อนไหว รวมทั้งการหดเกร็งของลำไส้เล็กของหนูตะเภารวมทั้งหนูแรทที่ถูกรั้งนำให้มีการเคลื่อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วยอะเซทิลโคลีน  สารสกัดใบฝรั่งด้วยเอทานอลปริมาณร้อยละ 50 สามารถยับยั้งการยุบตัวของลำไส้เล็กส่วนปลายของหนูเม้าส์ที่ถูกรั้งนำให้หดตัวด้วยไฟฟ้า อะเซทิลโคลีน รวมทั้งแบเรียมคลอไรด์ได้อย่างสมบูรณ์ และสามารถยั้งอาการท้องเสียในหนูเม้าส์ที่ถูกชักนำให้เกิดอาการท้องร่วงด้วยน้ำมันละหุ่ง โดยฝรั่งจะไปเพิ่มการดูดซึมน้ำในไส้รวมทั้งลดการบีบตัวของไส้   สารสกัดด้วยน้ำของใบฝรั่งสดสามารถยั้งอาการท้องเดินได้ โดยลดปริมาณครั้งของการอุจจาระในหนูซึ่งถูกรั้งนำให้เกิดอาการท้องเสียด้วยยา microlax ได้
                 ส่วนสกัดของสารกลุ่ม polyphenolic, saponin รวมทั้ง alkaloid จากใบฝรั่ง สามารถยับยั้งการยุบเกร็งของลำไส้เล็กของหนูตะเภาที่รั้งนำให้หดเกร็งด้วยอะเซทิลโคลีนรวมทั้งโปตัสเซียมคลอไรด์ได้   สาร quercetin และก็ quercetin-3-arabinoside จากใบฝรั่ง สามารถต้านทานการหดตัวของลำไส้เล็กที่ถูกรั้งนำด้วยอะเซทิลโคลีน ทำให้ไส้มีการเคลื่อนลดลง  ยิ่งไปกว่านี้สาร quercetin ในใบฝรั่งยังสามารถยั้งการยุบเกร็งของลำไส้เล็กในหนูแรทและก็หนูตะเภาซึ่งเหนี่ยวนำให้กำเนิดอาการหดเกร็งด้วยสารละลายโปตัสเซียม  อะเซทิลโคลีน ธาตุแบเรียมคลอไรด์ ฮีสตามีน และซีโรโทนินได้ รวมทั้งสามารถลดความรู้ความเข้าใจในการซึมผ่านของๆเหลวของเส้นเลือดฝอยรอบๆท้องซึ่งมีผลช่วยรักษาอาการท้องเสีย  สาร quercetin 3-O-b-L-arabinoside (guajavarin), quercetin 3-O-b-D-glucoside (isoquercetin), quercetin 3-O-b-D-galactoside (hyperin), quercetin 3-O-b-L-rhamnoside (quercitrin) และ quercetin 3-O-gentiobioside จากใบฝรั่ง สามารถลดการหดเกร็งของลำไส้เล็กหนูเม้าส์ได้   สาร asiatic acid จากใบฝรั่งมีผลทำให้กล้ามเนื้อลำไส้เล็กส่วนปลายของกระต่ายคลายตัว  สารสกัดผลฝรั่งดิบด้วยเมทานอลมีฤทธิ์ต้านการหลั่งอะเซทิลโคลีนในลำไส้เล็กของหนูแรทและก็หนูตะเภาได้ แต่ว่ามีฤทธิ์น้อยกว่าอะโทรไต่ โดยฝรั่งส่งผลทำให้ไส้มีการเคลื่อนไหวลดน้อยลง ทำให้รักษาอาการท้องร่วงได้    สารสกัดฝรั่ง (ไม่ระบุส่วน) สามารถลดการบีบตัวของลำไส้เล็กของหนูแรทได้
ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียมีการศึกษาเล่าเรียนการต้านเชื้อแบคทีเรียหลายรายงาน เช่น สารสกัดเอทานอลของฝรั่ง สามารถต้านเชื้อแบคทีเรีย Escherichia coli, Salmonella enteritidis, Shigella flexneri ได้  สารสกัดน้ำ ความเข้มข้น 10-5 มคลิตร/มล. ทดสอบในจานเพาะเลี้ยงเชื้อ  พบว่าสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย Shigella dysenteriae ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคบิดได้ สารสกัดเปลือกต้น
ด้วย 70% เอทานอล  ความเข้มข้น 250 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ทดลองในจานเพาะเลี้ยงเชื้อ พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุที่ทำให้มีการเกิดโรคอุจจาระหล่น คือ Staphylococcus aureus, Vibrio cholerae แล้วก็ V. parahaemolyticus แต่ว่าไม่มีผลต่อเชื้อ E. coli, Shigella  flexneri, Salmonella typhimurium สารสกัดราก กิ่ง แล้วก็ใบฝรั่งด้วย 50% เอทิลอัลกอฮอล์  ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อ  พบว่าสามารถยั้งเชื้อแบคทีเรีย E. coli, Sh. dysenteriae, Sh. flexneri, S. typhimurium ที่เป็นต้นเหตุทำให้มีการเกิดโรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร แต่ไม่เป็นผลต่อเชื้อ Salmonella enteritidis สารสกัดกิ่งฝรั่งด้วยเอทานอล:น้ำ อัตราส่วน 1:1 ความเข้มข้น 50 มคลิตร สามารถต้านทานเชื้อแบคทีเรีย Sh. dysenteriae, Sh. flexneri (ซึ่งก่อให้เกิดโรคบิด) E. coli (แบคทีเรียในไส้) S. typhimurium (นำไปสู่โรคไทฟอยด์) แต่ไม่เป็นผลต่อเชื้อ S. enteritidis สารสกัดทิงเจอร์ของฝรั่ง สามารถยั้งเชื้อแบคทีเรีย V. chlorea ที่เป็นต้นเหตุของอหิวาต์ ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อได้แต่สำเร็จปานกลาง  น้ำมันหอมระเหยของใฝรั่ง
สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus แม้กระนั้นไม่มีผลต่อเชื้อ Bacillus subtilis, E. coli, S. typhimurium ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อได้  สารสกัดใบฝรั่งด้วยน้ำมันปิโตรเลียมอีเทอร์ ความเข้มข้น 1,000 มคก./มิลลิลิตร สามารถต้านเชื้อแบคทีเรีย Enterococcus faecalis ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อได้ แต่ว่าไม่มีผลต่อเชื้อ E. coli, S. typhimurium, S. aureus สารสกัดใบฝรั่งด้วยน้ำ ความเข้มข้น 20 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร พบว่าสามารถต้านทานเชื้อแบคทีเรีย S. dysenteriae 1 (ส่งผลให้เกิดโรคบิด) และก็ V. chlorea (ก่อให้เกิดอหิวาตกโรค) ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อได้ ซึ่งขนาดความเข้มข้นต่ำสุดที่ยับยั้งได้ (MIC) มีค่าเท่ากับ 1.25, 5 มิลลิกรัม/มล. ตามลำดับ
สารสกัดผลดิบของฝรั่งด้วยเมทานอล  ในขนาด 50,100, 300 มิลลิกรัม/กก. สามารถต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย Sh. dysenteriae 1, Sh. dysenteriae 2, Sh. dysenteriae 4, Sh. dysenteriae 8 รวมทั้ง V. chlorea 1350 ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อได้ ซึ่งความเข้มข้นต่ำสุดที่ยับยั้งได้ (MIC) มีค่าพอๆกับ 100-200 มคก./มิลลิลิตร สารสกัดหยาบคายของใบฝรั่ง สามารถยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย Vibrio ที่แยกได้จากกุ้งว่าวกุลาดำที่เป็นโรค 23 สายพันธุ์ ซึ่งความเข้มข้นต่ำสุดที่ยับยั้งได้ (MIC) มีค่าพอๆกับ 1.25-5.00 มิลลิกรัม/มล. สารสกัดใบฝรั่งด้วยอะซีโตน รวมทั้ง 95% เอทานอล สามารถต้านทานเชื้อแบคทีเรีย Salmonella B, S. newport, S. typhimurium, Sh.  flexneri นอกเหนือจากนี้สารสกัดใบ ลำต้นฝรั่งด้วย 95% เอทานอล ยังสามารถต้านเชื้อแบคทีเรีย E. coli ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อได้อีกด้วย  สารสกัดใบ ลำต้นฝรั่งด้วยน้ำ สามารถต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย E. coli, Sh. flexneri, S. aureus แม้กระนั้นไม่มีผลต่อเชื้อ Salmonella B, S. newport แล้วก็ S. typhimurium ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อ
สารสกัดใบฝรั่งด้วยเมทานอล  สามารถต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย Sh. flexneri ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อได้ ซึ่งความเข้มข้นต่ำสุดที่ยั้งได้ (MIC) มีค่าพอๆกับ 10 มิลลิกรัม/วัน แต่เห็นผลไม่แน่นอนต่อเชื้อ E. coli, S. typhimurium สารสกัดใบฝรั่งด้วย 95% เอทานอล ความเข้มข้น 1,000 มคกรัม/มิลลิลิตร พบว่าสามารถต้านทานเชื้อแบคทีเรียที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดโรคอุจจาระหล่น ได้แก่ Salmonella D, Sh. dysenteriae 1, Sh. flexneri 2A, Sh. flexneri 4A  ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อได้  แต่ว่าไม่เป็นผลต่อเชื้อ Salmonella B, S. typhimurium type 2, Shigella bodyii, Sh. bodyii 5, Sh. dysenteriae 2, Sh. flexneri 3A, Sh. sonnei  ส่วนสกัดแทนนินจากใบฝรั่ง ความเข้มข้น 85, 95, 95, 100, 110 มคก./มิลลิลิตร สามารถต้านทานเชื้อแบคทีเรีย Sh. flexneri, S. enteritidis, S. aureus , Escherichia piracoli, E. coli ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อได้ ตามลำดับ    สารสกัดใบฝรั่งด้วยเมทานอล  สามารถต้านเชื้อแบคทีเรีย Salmonella spp. ได้ 2 สายพันธุ์  รวมทั้งต้านทานเชื้อ Sh.  flexneri, Sh. virchow, Sh. dysenteriae แล้วก็เชื้อ E. coli ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อได้ สารสกัดใบฝรั่งด้วยเอทานอล:น้ำ(1:1)และก็อะซีโตน สามารถต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย E. coli ที่เป็นต้นเหตุของโรคอุจจาระร่วงได้ สารสกัดลำต้นฝรั่งด้วย 95% เอทานอล สามารถต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย S. newport และก็ S. typhimurium, Sh. flexneri ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อได้ แม้กระนั้นไม่มีผลต่อเชื้อ Salmonella B, S. aureus   น้ำคั้นจากผลฝรั่ง ไม่อาจจะต้านทานเชื้อแบคทีเรีย Bacillus typhosus ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคไทฟอยด์ได้ สารสกัดส่วนที่อยู่เหนือดินด้วยอัลกอฮอล์ แล้วก็น้ำ (1:1) ความเข้มข้นมากกว่า 25 มคกรัม/มิลลิลิตร ไม่อาจจะต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย B. subtilis, E. coli, S. typhosa
มีการทำการศึกษาโดย ปัญจางค์ ธนังเราล รวมทั้งคณะ ในคนไข้ 122 คน ที่เป็นโรคอุจจาระร่วง เป็นชาย 64 คน รวมทั้งหญิง 58 คน ซึ่งอยู่ในช่วงอายุ 16-55 ปี ศึกษาค้นคว้าเทียบโดยขั้นตอนการสุ่ม โดยนำใบฝรั่งอบแห้งแล้วบดเป็นผุยผง ใส่แคปซูล ขนาด 250 มิลลิกรัม ลักษณะเดียวรวมทั้งขนาดเดียวกับ tetracyclin รวมทั้งบริหารการรับประทานยาอย่างเดียวกัน คือ 500 มก. ทุก 6 ชม. เป็นเวลา 3 วัน ทั้งสองกรุ๊ป พบว่าใบฝรั่งสามารถลดจำนวนอุจจาระ ระยะเวลาที่ขี้ รวมทั้งปริมาณน้ำเกลือที่ให้ชดเชยได้
มีการเรียนรู้ในคนป่วยเด็ก 62 คน ที่เป็นโรคลำไส้อักเสบจากเชื้อไวรัส (Rota virus) โดยให้กินยาต้มของฝรั่ง พบว่าอาการด้านใน 3 วัน และก็ช่วงเวลาท้องร่วงสั้นลงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) ปริมาณโซเดียมแล้วก็เดกซ์โทรสในอุจจาระต่ำลง รวมทั้งผลการตรวจอุจจาระไม่พบเชื้อ Rota virus สูงถึง 87.1% ในช่วงเวลาที่กรุ๊ปควบคุมไม่เจอเชื้อ Rota virus 58.1% แสดงว่ายาต้มของฝรั่งมีประสิทธิภาพสำหรับเพื่อการรักษาอาการท้องเดินในคนป่วยลำไส้อักเสบจากเชื้อ Rota virus ได้
ฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ   จากการศึกษาเล่าเรียนทางสถานพยาบาลในคนไข้ 70 คน ที่มีเหงือกอักเสบ พบว่าน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบฝรั่งสามารถลดการอักเสบได้ร้อยละ 19.8 รวมทั้งลดรอยโรคที่ความรุนแรง ได้จำนวนร้อยละ 40 เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำยาบ้วนปากที่ไม่มีส่วนประกอบของสารสกัดจากใบฝรั่ง หลังจากใช้ตรงเวลา 3 อาทิตย์
            สารสกัดใบฝรั่งด้วยน้ำขนาด 50-800 มิลลิกรัม/กิโล เมื่อฉีดเข้าช่องท้องพบว่ามีฤทธิ์ต้านการอักเสบแบบรุนแรง  เมื่อทดลองกับอุ้งเท้าหนูที่ถูกรั้งนำให้เกิดการอักเสบด้วยไข่ขาวสด นอกจากนี้เมื่อฉีดน้ำมันหอมระเหยจากใบฝรั่งเข้าทางช่องท้องของหนูแรทในขนาด 0.8 มิลลิลิตร/กิโลกรัม พบว่าสามารถยับยั้งการอักเสบที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยสาร carrageenan ได้
สารสกัดจากผลฝรั่งด้วยเมทานอลเมื่อฉีดเข้าทางท้องของหนูแรท พบว่าสามารถยับยั้งการอักเสบของอุ้งเท้าหนูที่ถูกรั้งนำให้เกิดการอักเสบด้วยสาร carrageenan, kaolin และ formaldehyde ได้ ยิ่งกว่านั้นสารสกัดผลฝรั่งด้วยเมทานอลเมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องของหนูเม้าส์จะสามารถยั้งการอักเสบแล้วก็ลดลักษณะการเจ็บปวดที่ถูกเหนี่ยวนำด้วย acetic acid  ได้ดียิ่งไปกว่าแอสไพรินที่ให้ในขนาดเสมอกันนิดหน่อย
เมื่อนำใบฝรั่งมาหมักกับราและแบคทีเรียเป็นต้นว่า Phellinus linteus (ส่วนเส้นใย) Lactobacillus plantarum แล้วก็ Saccharomyces cerevisiae แล้วนำมาสกัดด้วยเอทานอล พบว่าสารสกัดที่ได้มีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบโดยยับยั้งการสร้างสารที่ทำให้เกิดการอักเสบเป็น ไนตริกออกไซด์และ พรอสต้าแกรนดิน อี 2 ในหลอดทดสอบ นอกเหนือจากนั้นสารสกัดฝรั่งด้วยเอทานอลและน้ำยังออกฤทธิ์ยั้งการผลิตไนตริกออกไซด์
             สารสกัดใบฝรั่งด้วยเอทิลอะซีเตตมีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ แล้วก็แก้แพ้โดยยับยั้งการโต้ตอบต่อแอนติเจนที่ชักพาให้มีการแพ้แล้วก็การอักเสบ
ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด                 สารสกัดใบฝรั่งด้วยเอทานอลมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดในหนูแรทที่ถูกชักจูงให้เป็นเบาหวานด้วยการฉีด alloxan เข้าหลอดโลหิตดำขึ้นรถสกัดใบฝรั่งออกฤทธิ์ใน 2 ชั่วโมง มีฤทธิ์สูงสุดในชั่วโมงที่ 6 แล้วก็หมดฤทธิ์ใน 24 ชั่วโมง
ฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็ง      สารสกัดใบฝรั่งมีความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง murine fibrosarcoma และก็เซลล์มะเร็งเต้านม
[/b]
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา
การทดสอบความเป็นพิษ  พิษกะทันหัน  สารสกัดด้วยน้ำจากใบ LD50 มีค่ามากยิ่งกว่าหรือเท่ากับ 20 กรัม/กก.  เมื่อให้ทางปากในหนูถีบจักรทั้ง 2 เพศ และก็มีค่ามากยิ่งกว่า 5 ก./กิโลกรัม  เมื่อฉีดเข้าทางท้อง สารสกัดเอทานอล (50%) จากส่วนเหนือดิน LD50 มีค่าเท่ากับ 0.188 เมื่อฉีดเข้าช่องท้องในหนูถีบจักร พิษเรื้อรัง  การให้สารสกัดน้ำจากใบทางปาก ขนาด 0.2, 2 และก็ 20 กรัม/กก. ทุกวี่ทุกวันติดต่อกันตรงเวลา 6 เดือน  พบว่าอัตราการเพิ่มของน้ำหนักตัวลดน้อยลง ในกรุ๊ปที่ได้รับสารสกัด เมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปควบคุมที่ได้รับน้ำ ตอนที่ไม่เจอความไม่เหมือนของปริมาณของกินที่รับประทานในทุกกลุ่ม ความประพฤติทั่วๆไปธรรมดาในทุกกรุ๊ป หนูเพศผู้หรูหรา ALP, SGPT (หลักการทำงานของตับ), BUN (แนวทางการทำงานของไต) และ WBC สูงมากขึ้น ในตอนที่ระดับของโซเดียมแล้วก็คลอเลสเตอรอลในเลือดลดน้อยลง
55  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / งาขาวที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี สามารถมีสรรพคุณเเละประโยชน์ที่สามารถรักษาโรคได้ด เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2018, 09:50:31 am
[/b]
งาขา[/size][/b]
ชื่อสมุนไพร งาขาว
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น นีโซไอยู่มั้ว (จีน) ซะติด ซะเจี่ย (เมื่อน)
ชื่อสามัญ Sesame seeds (white)
ชื่อวิทยาศาสตร์   Sesamum  orientale Linn.
วงศ์ PEDALIACEAE
บ้านเกิดเมืองนอน
งาขาวมีบ้านเกิดเมืองนอนเช่นเดียวกันกับ งาดำเป็นงาขาวเป็นไม้ล้มลุกที่มีมาแต่โบราณ มีแหล่งกำเนิดในแถบประเทศเอธิโอเปีย ถัดมาก็ถูกนำเข้าไปยังอินเดีย จีน รวมทั้งแถบแอฟริกาเหนือและเอเชียใต้ ในราวโดยประมาณ 2000 ปี ก่อนคริศตกาลและในศตวรรษที่ 17 ได้ถูกนำเข้าไปในทวีปอเมริกาส่วนในประเทศไทย งา ก็เป็นที่รู้จักกันมาช้านาน ซึ่งนำมาใช้ผลดีได้ทั้งยังทางยา ของกิน และก็เครื่องแต่งตัว
ลักษณะทั่วไป
งาขาว เป็นพืชล้มลุกที่แก่ฤดูเดียว มีลำต้นตั้งตรงจรดยอด สูงประมาณ 50-150 เซนติเมตร ลำต้นไม่แตกกิ่งกิ่งก้านสาขา แต่บางชนิดอาจมีการแตกกิ่งกิ้งก้าน ลำต้นมีลักษณะอวบน้ำ เป็นสี่เหลี่ยม มีขนสั้นๆปกคลุมครึ้ม ลำต้นมีร่องยาวตามความสูงของลำต้น เปลือกลำต้นบาง สีเขียวเข้มหรือมีสีอมม่วง สามารถดึงลอกเป็นเส้นได้
ใบงาขาว ออกเป็นใบผู้เดียว เรียงตรงข้ามกันตามความสูงของลำต้น ประกอบด้วยก้านใบทรงกลมสีเขียวหรือสีม่วงแดง ยาวโดยประมาณ 5 เซนติเมตร ส่วนแผ่นใบมีลักษณะเป็นรูปหอกยาว กว้างราว 3-5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 8-15 ซม. โคนใบมน เป็นฐานกว้าง รวมทั้งค่อยเรียวลงจนกระทั่งปลายใบแหลม แผ่นใบมีสีเขียวสด มีร่องตามเส้นกิ้งก้านใบ ขอบใบเรียบหรือเป็นหยัก
ดอกงาขาวเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นกรุ๊ปบริเวณซอกใบ 1-3 ดอก ประกอบด้วยก้านดอกสั้น ราวๆ 3-5 มิลลิเมตร ถัดมาเป็นกลีบรองดอกสีเขียว จำนวน 5 กลีบ โคนกลีบเชื่อมชิดกันห่อฐานดอก ต่อมาเป็นกลีบดอกที่มีลักษณะเป็นกรวยยาว กลีบดอกอ่อนมีสีเขียวอมเหลือง เมื่อแก่หรือบานจะมีสีขาว ยาวเป็นทรงกรวย ราวๆ 4-5 เซนติเมตร ปลายกลีบแขวนลงดิน และก็แยกออกเป็น 2 กลีบเป็นกลีบล่างที่ยาวกว่า รวมทั้งกลีบบนที่มีปลายหยักเป็น 3 แฉก ต่อมาภายในดอกจะมีสีกลีบดอกไม้ภายในเป็นสีเหลือง มีเกสรตัวผู้ 4 อัน แบ่งเป็น 2 คู่ แต่งละคู่ยาวแตกต่างกันส่วนเกสรตัวเมียมี 1 อัน ยาว 1.5-2 ซม. ปลายก้านเกสรแยกออกเป็น 2-4 แฉก ดังนี้ ดอกงาขาวจะเริ่มบานในเวลาเช้า รวมทั้งกลีบจะตกลงดินในตอนเวลาเย็น
ผลของงาขาวเรียกว่า ฝัก ฝักอ่อนมีลักษณะทรงกระบอกออกจะกลม ปลายฝักเป็นจะงอยแหลม เมื่อฝักใหญ่จะแบ่งเป็นร่องๆตามความยาวของฝัก ยาวราว 2-3 ซม. เปลือกฝักดก มีสีเขียว รวมทั้งมีขนปกคลุม เมื่อฝักแก่เปลี่ยนเป็นสีดำอมเทา รวมทั้งปริแตก ทำให้เมล็ดตกลงดิน  ภายในฝักมีเมล็ดขนาดเล็กสีขาวหลายชิ้น เรียงซ้อนแยกกันในแต่ละร่องพู เม็ดมีรูปไข่ เปลือกเมล็ดบางมีสีขาว มีกลิ่นหอม ใน 1 ฝัก จะมีเม็ดโดยประมาณ 70-100 เม็ด
การขยายพันธุ์
                งาขาว ที่ปลูกกันทั่วไปมี 6 พันธุ์ เป็นต้นว่า

  • จำพวกเมืองเลย ปลูกมากมายที่จังหวัดเลยแล้วก็รอบๆชายแดนไทย-ลาว และตอนจังหวัดเลยถึงจังหวัดอุตรดิตถ์
  • จำพวกเชียงใหม่ ปลูกมากที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนแล้วก็จังหวัดเชียงใหม่
  • พันธุ์ชัยบาดาลหรือสมอทอด ปลูกมากมายที่จังหวัดเพชรบูรณ์และลพบุรี แต่ว่าเดี๋ยวนี้มีจำนวนน้อยมาก
  • ชนิดร้อยเอ็ด.1
  • ชนิดมข.1
  • ชนิดมหาสารคาม 60 มีเขตช่วยเหลือการปลูก เช่น จังหวัดสระบุรี จังหวัดลพบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ พิษณุโลก รวมทั้งจังหวัดกาญจนบุรี

งาเป็นพืชเขตร้อนชอบอาการร้อนและก็แดดจัด อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ราวๆ 27-30 องศาเซลเซียส ไม่ชอบอากาศหนาวเย็น ถ้าอุณหภูมิต่ำยิ่งกว่า 20 องศาเซลเซียส การงอกจะช้าลง หรือ อาจจะชะงักการเติบโต แต่ถ้าเกิดอุณหภูมิสูงกว่า 40 องศาเซลเซียสจะทำให้การผสมเกสรติดยาเสพย์ติดกการสร้างฝักเป็นไปได้ช้า
   ฤดูปลูก

  • ต้นฤดูฝน เริ่มปลูกตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-เดือนเมษายน แล้วก็เก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่สิ้นเดือน ม.ย.-มิถุนายน ส่วนมากจะปลูกลงในพื้นที่นาก่อนการปลูกข้าว มีพื้นที่ปลูกราวร้อยละ 70 ของพื้นที่ปลูกงาทั่วประเทศ แหล่งปลูกงาต้นฤดูฝนดังเช่น จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดสระบุรี ลพบุรี นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ สุโขทัย ลำพูน น่าน รวมทั้งสุราษฏร์ธานี
  • ปลายฤดูฝน เริ่มปลูกตั้งแต่ก.ค.-ส.ค. และเก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่สิ้นเดือน พฤศจิกายน-เดือนธันวาคม โดยมากจะปลูกเอาไว้ในสภาพพื้นที่ไร่หรือที่ดอน ปลูกหลังการเก็บเกี่ยวพืชไร่ มีพื้นที่ปลูกราวๆร้อยละ 30 ของพื้นที่ปลูกงาทั่วทั้งประเทศ แหล่งปลูกงาปลายฤดูฝนที่สำคัญ ดังเช่น จังหวัด กาญจนบุรี พิษณุโลก สุพรรณ เพชรบูรณ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ แล้วก็เลย
ส่วนการปลูกงาขาวนั้นสามารถทำได้ดังนี้

  • การเตรียมดิน การเตรียมดินเป็นสาเหตุที่สำคัญในการปลูกงาเนื่องจากเม็ดงามีขนาดเล็ก ควรจะมีการเตรียมดินให้ร่วนซุย จะช่วยให้งางอกได้ดิบได้ดีและมีความสม่ำเสมอ การไถกระพรวนจะมากหรือน้อยครั้งขึ้นอยู่กับโครงสร้างและประเภทของเนื้อดิน ถ้าเกิดเป็นดินร่วนทรายจะไถ 1-2 ครั้ง ส่วนดินเหนียวจะต้องไถมากครั้งกว่าดินร่วนซุยโดยไถ 2-3 ครั้ง เพื่อย่อยดินให้ถี่ถ้วนจะได้ผลผลิตสูงกว่าไถเพียงครั้งเดียว
  • วิธีปลูก การปลูกงาขาวมีอยู่ 2 วิธีคือ
  • การปลูกแบบหว่าน เกษตรกรจำนวนมากนิยมนำมาปลูกงาด้วยแนวทางนี้ โดยภายหลังจากตระเตรียมดินดีแล้ว จะใช้เมล็ดงาหว่านให้กระจายเป็นประจำ อัตราเมล็ดพันธุ์ 1-2 กิโล/ไร่
  • การปลูกแบบโรยเป็นแนว สำหรับในการทำร่องสำหรับโรยเม็ด ส่วนมากใช้คราดกาแถว ระยะระหว่างแถว 50 เซนติเมตร อัตราเมล็ดพันธุ์ 2-3 โล/ไร่ การปลูกเป็นแนวจะให้ผลผลิตสูงกว่าการปลูกแบบหว่าน
  • การใส่ปุ๋ย ดินปนทรายหรือดินร่วนซุยทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในอัตรา 20-30 กิโลกรัม/ไร่ ดินร่วมคละเคล้าดินเหนียว ใช้ปุ๋ยสูตร 20-20-0 ในอัตรา 20-25 กิโล/ไร่
  • การดูแลและรักษา การปลูกงาขาวไม่ได้อยากต้องการดูแลเท่าไรนัก หลังการโปรยเม็ดแล้วเกษตรกรจะปลดปล่อยให้งาเติบโตตามธรรมชาติ แม้กระนั้นมั่นพิจารณาแปลงเป็นระยะ แม้เจอโรคหรือแมลงระบาดให้ฉีดพ่นด้วยสารกำจัดศัตรูพืช ส่วนการปลูกเอาไว้ในหน้าแล้งหรือพื้นที่ค่อนข้างแห้งแล้งอาจมีการให้น้ำเป็นระยะ
  • การเก็บเกี่ยวผลิตผล งาขาวแก่เก็บเกี่ยวประมาณ 70-120 วัน ข้างหลังปลูก ขึ้นกับสายพันธุ์ รวมทั้งเริ่มเก็บฝักได้ในระยะฝักแก่สีเหลืองหรือน้ำตาลอมดำ ใบมีสีเหลือง และหล่นใกล้หมด แล้วก็เก็บในระยะที่เปลือกฝักยังไม่ปริแตก การเก็บเกี่ยวงาขาวจะใช้แนวทางถอนอีกทั้งต้น ก่อนเด็ดฝักแยกออกมาจากลำต้น แล้วตีให้ฝักแตกสามัคคีเมล็ดงาออก ซึ่งอาจใช้ไม้ตีหรือใช้เครื่องตีแยกฝัก

องค์ประกอบทางเคมี เม็ดงาขาวประกอบด้วยน้ำมัน 44-58% โปรตีน 18-25% ที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนที่มีคุณค่าทางโภชนาการเหมือนกับถั่วเหลืองคาร์โบไฮเดรตประมาณ 13.5% และก็เถ้า 5% (Borchani et al.,2010) น้ำมันงาราวๆ 50% เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงคนเดียว 35% และก็อีก 44% เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว ช่วงเวลาที่ 45% ของกากงาประกอบด้วยโปรตีน 20% (Ghandi, 2009) ส่วนส่วนประกอบทางเคมีที่มีในเม็ดงาขาวนั้นก็มีเหมือนกับงาดำ ดังเช่น กรดไขมันดังเช่น oleic acid, linoleic acid, palmitic acid, stearic acid, สารกรุ๊ป lignan, ชื่อ sesamol, d-sesamin, sesamolin, สารอื่นๆเป็นต้นว่า sitosterol  ส่วนค่าทางโภชนาการของงาขาวมีดังนี้
[url=http://www.disthai.com/16941074/%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7-]
[/b]
คุณประโยชน์ทางโภชนาการงาขาว (งาขาวดิบ 100 กรัม)
                งาขาวดิบ             
น้ำ                           3.9          กรัม
พลังงาน                 658         กิโลแคลอรี่
โปรตีน                    20.9        กรัม
ไขมัน                       57.1        กรัม
คาร์โบไฮเดรต                        15.0        กรัม
ใยอาหาร                                4.6          กรัม
เถ้า                           3.1          กรัม
แคลเซียม                               86           มก.
เหล็ก                       7.4          มก.
ฟอสฟอรัส                              650         มก.
เบต้า แคโรทีน                        0              มิลลิกรัม
ไทอะมีน                 1.08        มิลลิกรัม
ไรโบฟลาวิน                           0.11        มก.
ไนอะซีน                  3.3          มก.
 
คุณประโยชน์/คุณประโยชน์
งาขาวใช้เป็นส่วนประกอบของขนมหวาน เป็นต้นว่า กระยาสาดข้าวเหนียวแดง หรือใช้ตกแต่งขนมปังหรือของหวานต่างๆรวมถึงใช้สกัดน้ำมันงาสำหรับใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆดังเช่น ใช้สำหรับเตรียมอาหาร โดยเฉพาะของกินพวกทอดต่างๆ ใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารเสริม  ใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องแต่งตัว ยกตัวอย่างเช่น โลชั่นสำหรับดูแลผิว น้ำหอม สบู่ เป็นต้น ใช้ในอุตสาหกรรมยา และก็อาหาร อย่างเช่น ใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตช็อกโกแลต การสร้างเนยเทียม เป็นต้น  ใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารสัตว์  ใช้ทารักษาแผล  ใช้ทาผม ช่วยให้ผมมันวับ ใช้ทารักษาโรผิวหนัง ผื่นผื่นคัน มีการทำการศึกษาในงาขาวพบว่า เมื่อเปรียบเทียบกับถั่วเหลืองแล้วก็ใช่แล้วพบว่า มีไขมันสูงยิ่งกว่าถั่วเหลืองราว 3 เท่า แล้วก็สูงกว่าไข่ ราวๆ 4-6 เท่า มีโปรตีนสูงขึ้นยิ่งกว่าไข่ราวๆ 5% แต่ว่าต่ำกว่าถั่วเหลืองราว 2 เท่า นอกเหนือจากนี้โปรตีนในงาขาวยังแตกต่างจากพืชเครือญาติถั่วและพืชให้น้ำมันอื่นๆเพราะมีกรดอะมิโนที่ต้องซึ่งพืชดังกล่าวข้างต้นขาดแคลน ได้แก่ เมธไธโอนินและก็ซีสติน แตงาขาว[/url]มีไลซีนต่ำ ดังนั้นบางทีอาจใช้งาเป็นอาหารเสริมพวกของกินถั่วต่างๆเมื่อใช้เป็นอาหาร หรือใช้เสริมโปรตีนที่มาจากสัตว์ซึ่งแพงแพง ยิ่งกว่านั้นยังใช้เสริมของกินพวกธัญพืช กล้วย รวมทั้งของกินแป้งอื่นๆได้อย่างดีเยี่ยม
นอกเหนือจากนั้นเม็ดงาขาวยังประกอบไปด้วย เกลือแร่ 4.1 – 6.5 % ที่สำคัญคือ เหล็ก ไอโอดีน สังกะสี เซเลเนียม แคลเซียม และก็ฟอสฟอรัส โดยจะมีแคลเซียมมากกว่าพืชทั่วๆไปราวๆ 20 เท่า ส่วนคุณประโยชน์ทางยาของงาขาวนั้น ตำรายาไทยกล่าวว่า งาขาวมีรสฝาด หวาน ขม ทำให้น้ำดี กำเริบเสิบสาน น้ำมันใช้หุงเป็นน้ำมันใส่บาดแผลเจริญ การหุงน้ำมันจำเป็นต้องใช้งาสดตำคั้นเอาน้ำ โดยใช้น้ำคั้นใบและก็เถาตำลึง บอระเพ็ด ขมิ้นอ้อย  ไพล เอาน้ำมาอย่างละ 1 ถ้วย แล้วใส่น้ำมันงาลงไป 1 ถ้วย ตั้งไฟเคี่ยวไปจนเหลือ 1 ถ้วย เอาน้ำมันที่ได้ปรุงด้วยสีเสียดเทศแล้วก็ไทยสิ่งละเล็กน้อย หลอมตะกั่วนมให้ละลายเทลงในน้ำมัน แล้วเอาขึ้นหลอมอีกจนได้ 3 ครั้ง ทิ้งตะกั่วเอาไว้ภายในนั้น ใช้น้ำมันใส่แผลจะช่วยสมานแผลเจริญมากมาย
 ส่วนคุณประโยชน์ทางยาของงาขาวนั้น แบบเรียนยาไทยระบุว่า สารเซซาไม่นในเมล็ดงาขาวสามารถลดระดับ LDL-cholesterol ในกระแสโลหิตของคน (ซึ่ง LDL-cholesterol เป็นต้นเหตุที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดโรค Athersclerosis (ไขมันอุดตันในเส้นโลหิต)  บรรเทาอาการของโรคคิดสีดวงทวาร (Hemmorhoids) ได้ โดยกรดไขมันในน้ำมันงา เช่น Linoleic acid , oleic acid , palmatic acid , stearic acid , สามารถทุเลาอาการของโรคริดสีดวงทวารได้
ดังนี้มีการศึกษาวิจัยน้ำมันงาพบว่าน้ำมันงาเป็นแหล่งของสารอาหาร ได้แก่ กรดไขมันโอเมก้า 6 ฟลาโวนอยด์ ฟลีนอลิค สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินรวมทั้งเส้นใย ซึ่งมีความจำเป็นในการต้านทานโรคมะเร็ง รวมทั้งสนับสนุนสุขภาพ
รูปแบบ/ขนาดการใช้ เหมือนกับงาดำ เป็นสำหรับในการนำงาขาวมาใช้ประโยชน์โดยมากจะนำไปใช้ประโยชน์ด้านของกินแล้วก็ผลิตภัณฑ์เสริมความงดงามมากยิ่งกว่าด้านการรักษาโรคแม้กระนั้นก็มีการใช้ประโยชน์ตามตำรายาไทยอยู่บ้าง ดังเช่นว่า

  • แก้ฉี่หรืออุจจาระขัด นำเมล็ดงา 20 – 30 กรัม หรือ 1 – 2 ช้อน ต้มแล้วนำน้ำมาดื่มในขณะท้องว่าง
  • ความดันโลหิตสูง เม็ดงาขาว น้ำส้ม  ซีอิ้ว และก็น้ำผึ้งอย่างละ 30 กรัม ผสมกับไข่ขาว 1 ฟอง คนจะกว่าจะเข้ากันดี ต้มด้วยไฟอ่อนๆจนถึงสุก รับประทานวันละ 3 ครั้งบ่อยๆ
  • ทุเลาอาการไอแห้ง ไม่มีเสลด ให้นำเมล็ดงา 3 – 5 ช้อน ตำบดอย่างระมัดระวัง ก่อนผสมกับน้ำตาลทราย 2 ช้อน กิน หรือ นำผงเมล็ดงาชงน้ำร้อน รวมทั้งเดิมน้ำตาลดื่ม
  • บำรุงสมอง หนังสือเรียนอายุรเวทให้ใช้งาผง 1 ส่วน ผงมะขามป้อม 1 ส่วน แล้วก็น้ำผึ้ง 1 – 2 ช้อนชา เคล้าให้เหมาะ ปั้นเป็นลูกกลอนกิน
  • ยาอายุวัฒนะ (ญี่ปุ่น) ใช้ไข่ไก่ 1 ฟอง ชงด้วยน้ำร้อน เพิ่มเติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ รวมทั้งน้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ
  • ขับพยาธิหมุด เม็ดงาขาว 50 กรัม เพิ่มน้ำต้นจนได้น้ำข้นๆกรองเอาส่วนน้ำมาปรุงด้วยน้ำตาล ดื่มขณะท้องว่างครั้งเดียวให้หมด
  • เจ็บคอ คัดจมูก แพ้อากาศ ปวดประจำเดือน นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ รับประทานงับด 1 ข้อนชาก่อนนอน
การเรียนทางเภสัชวิทยา การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยาของงาขาวนั้นโดยมากเป็นการศึกษาควบรวมไปกับงาดำ (ซึ่งเป็นการเรียนรู้รวมกันอีกทั้งงาขาว งาดำ) เพราะฉะนั้นผลการศึกษาเรียนรู้ทางเภสัชวิทยาของงาขาวก็เลยเหมือนกับงาดำ (มองการเรียนรู้ทางเภสัชของงาดำ) แม้กระนั้นนักเขียนสามารถเก็บข้อมูลการศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยาของงามาเพิ่มอีกได้อีก 2 ฉบับหมายถึง
                การศึกษาเล่าเรียนฤทธิ์ลดความเป็นพิษจากนิโคตินของสารลิกแนนจากงาในหนูแรทผิวเผือกเพศผู้ที่ได้รับพิษจากนิโคติน โดยการฉีดนิโคตินทีละ 3.5 มิลลิกรัม/กก.น้ำหนักตัว เข้าใต้ผิวหนัง ติดต่อกัน 15 วัน ร่วมกับการป้อนอาหารที่มีส่วนผสมของสารลิกแนนจากงา ขนาด 0.1 หรือ 0.2 ก.ต่ออาหาร 100 ก. ผลวิจัยพบว่าสารลิกแนนจากงาช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ Low Density Lipoprotein cholesterol รวมทั้ง Very Low Density Lipoprotein cholesterol ช่วยเพิ่มปริมาณ High Density Lipoprotein cholesterol รวมทั้งเอนไซม์ต้านทานอนุมูลอิสระ รวมทั้งลดความเข้มข้นของผลิตผลจากการเกิดการเพอคอยกสิเดชั่นของไขมันที่มากขึ้นเนื่องจากพิษของนิโคติน นอกเหนือจากนี้ยังพบว่าสารลิกแนนจากงาช่วยเพิ่มปริมาณ DNA รวมทั้งคุ้มครองป้องกันไม่ให้ DNA ในเยื่อตับถูกทำลายด้วยนิโคตินได้อย่างมีนัยสำคัญ แสดงให้เห็นว่าสารลิกแนนจากงาสามารถบรรเทาความเป็นพิษของนิโคตินต่อการเกิดออกซิเดชั่นรวมทั้งความเป็นพิษต่อสารพันธุกรรมในร่างกายได้ และการศึกษาเล่าเรียนทางสถานพยาบาลเรื่องฤทธิ์ของน้ำมันงาร่วมกับยาลดระดับความดันโลหิตสูง คนเจ็บชายรวมทั้งหญิงที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงระดับน้อยถึงปานกลาง คือมีค่าความดันเลือดตัวบน ≥ 140 มม.ปรอท และค่าความดันเลือดตัวด้านล่าง ≥ 90 มม.ปรอท อายุ 35 – 60 ปี จำนวน 50 คน ได้รับยาเพื่อการดูแลรักษาเป็นยาขับฉี่ hydrochlorothiazide หรือ β-blocker atenolol มานาน 1 ปีก่อนร่วมการเล่าเรียน แล้วก็ยังคงได้รับยานี้ตามปกติตลอดการเล่าเรียนนี้ ผู้ป่วยจะได้รับน้ำมันงาเพื่อใช้สำหรับการทำครัวในครอบครัว 4 – 5 กก. ต่อสมาชิกในครอบครัว 4 คน ต่อเดือน (ราวๆ 35 ก./วัน/คน) รวมทั้งจะต้องใช้เฉพาะน้ำมันงาเพียงชนิดเดียวตลอด 45 วัน แล้วหยุดเปลืองน้ำมันงา ให้เปลี่ยนมาใช้น้ำมันที่เคยใช้อยู่เดิมอีก 45 วัน ทำตรวจร่างกาย ความดันโลหิต น้ำหนักตัว, Body mass index (BMI), ระดับไขมัน อิเลคโตรไลท์ รวมทั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีในเลือด ก่อนที่จะมีการเล่าเรียน หลังจากกินน้ำมันงา 45 วัน แล้วก็ภายหลังจากหยุดกินน้ำมันงา 45 วัน พบว่า การใช้น้ำมันงาแทนที่น้ำมันชนิดอื่นสำหรับในการทำอาหารในผู้เจ็บป่วยความดันโลหิตสูง ทำให้ค่าความดันเลือดตัวบนและตัวด้านล่างกลับลงสู่ระดับธรรมดา น้ำหนักร่างกาย แล้วก็ BMI ลดน้อยลง แต่ว่าภายหลังจากหยุดใช้น้ำมันงานค่าดังที่กล่าวผ่านมาแล้วกลับสูงมากขึ้น ระดับคอเลสเตอรอล, high density lipoprotein cholesterol รวมทั้ง low density lipoprotein cholesterol ในเลือดไม่ต่างอะไรกันเมื่อประเมินผลทั้ง 3 ตอนที่ศึกษาเล่าเรียน ยกเว้นระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดลดลดลงเมื่อใช้น้ำมันงา แล้วก็กลับสูงขึ้นเมื่อหยุดใช้น้ำมันงา ระดับโซเดียมในเลือดลดลงเมื่อใช้น้ำมันงาและก็กลับสูงขึ้นเมื่อหยุดใช้น้ำมันงา   ระดับโปแตสเซียมในเลือดสูงมากขึ้นเมื่อใช้น้ำมันงาและก็ลดน้อยลงสู่ค่าธรรมดาเมื่อหยุดใช้น้ำมันงา การเกิด lipid peroxidation ต่ำลงเมื่อใช้น้ำมันงาแล้วก็ค่ายังคงเดิมหลังจากที่หยุดใช้น้ำมันงาแล้ว ระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี catalase รวมทั้ง superoxide dismutase ในเลือดสูงมากขึ้น แล้วก็ glutathione peroxidase ในเลือดลดลง เมื่อใช้น้ำมันงาและก็ค่ายังคงเดิมภายหลังหยุดใช้น้ำมันงาแล้ว ระดับวิตามินซี วิตามินอี เบต้า-คาโรทีน รวมทั้ง reduced glutathione สูงมากขึ้นเมื่อใช้น้ำมันงารวมทั้งน้อยลงภายหลังจากหยุดใช้น้ำมันงา จากการศึกษาเล่าเรียนแปลว่าน้ำมันงาสามารถช่วยลดระดับความดันโลหิต ลดการเกิด lipid peroxidation รวมทั้งเพิ่มฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ในผู้เจ็บป่วยความดันเลือดสูงร่วมกับยาขับปัสสาวะได้
การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา การเล่าเรียนทางพิษวิทยาของงาขาวเป็นการศึกษาเล่าเรียนควบรวมไปกับงาดำ (ซึ่งเป็นการเล่าเรียนรวมกันทั้งยังงาขาว งาดำ) เพราะฉะนั้นผลการศึกษาเรียนรู้ทางพิษวิทยาของงาขาวจึงดังงาดำ (ดูการศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยาของ งาดำ)
 
อเสนอแนะ/ข้อควรไตร่ตรอง

  • ในการรับประทานงาขาวในบางรายอาจมีอาการแพ้ได้ เพราะมีสาร Sesamol ซึ่งจะมีผลให้กำเนิดอาการต่างๆเป็นต้นว่า ลมพิษ คันจมูก หายใจลำบาก กลีบตารวมทั้งริมฝีปากบวมแดง
  • การรับประทานงาขาวอาจจะส่งผลให้ระดับความดันโลหิตลดต่ำเกินไปได้ในผุ้ทีมีความดันเลือดต่ำ
  • แม้กินงาขาวมากจนถึงเกินความจำเป็นอาจจะเป็นผลให้มีการระบายท้องมากเกินไปจนถึงนำไปสู่อาการท้องร่วงได้
  • ตำราเรียนจีน ห้ามใช้งานในผู้ที่ท้องเดินเรื้อรัง เสื่อมความสามารถทางเพศ มีระดูขาว หรือ ถ้าเกิดจะใช้ควรใช้ในขนาดน้อย การใช้เกิน 4 ช้อนโต๊ะต่อวัน อาจจะเป็นผลให้ท้องร่วงได้
  • หนังสือเรียนอายุรเวท บอกว่า งา เป็นยาขับประจำเดือน การใช้ในสตรีมีท้องระยะแรก (1-3 เดือน) ในขนาดที่มากเกินความจำเป็น อาจทำให้แท้งได้
เอกสารอ้างอิง

  • ชยันต์  พิเชียรสุนทร , แม้นมาส  ชวลิต และ วิเชียร จีรวงส์ 2542. คำอธิบาย ตำราพระโอสถ พรนารายณ์ สำนักพิมพ์ อมรินทร์ กุมภาพันธ์ 2548
  • มนตรา ศรีษะแย้ม , นาถธิดา วีระปรียากูร , พนมพร ศรีบัวรินทร์.ฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่นในหลอดทดลองของเมล็ด งา ขาว ดำ และ แดง .วารสารสารเภสัชศาสตร์อีสาน.ปีที่ 10 .ฉบับที่ 2.พฤษภาคม – สิงหาคม 2557.หน้า 136-146
  • ปราณี รัตนสุวรรณ . งา ...ธัญพืชเมล็ดจิ๋วดินทรงคุณค่า.ภาควิชาเภสัชงาขาวและเภสัชพฤกษศาสตร์.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
  • กรมวิชาการเกษตร.2549.รายงานความก้าวหน้าโครงการวิจัยและพัฒนาด้านพืชและเทคโนโลยีการเกษตร รอบ 12 เดือน.วันที่ 20 – 24 พฤศจิกายน 2549.
  • งาขาว สรรพคุณ และการปลูกงาขาว.พืชเกษตรดอทคอม.เว็บเพื่อเกษตรกรไทยนันทวัน บุณยะประภัศร (บรรณาธิการ) 2539.สมุนไพรพื้นบ้าน(1) คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล http://www.disthai.com/[/b]
  • ตารางแสดงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย.กองโภชนาการ กรมอนามัย.2544
  • Bowden, Jonny. The 150 Healthiest foods on earth: The surprising, unbiased truth about what you should eat and why (PAP/COM). Fair Winds Pr,2007:309-310
  • สมุนไพรเพื่อสุขภาพ ปีที่ 2 ฉบับที่ 23 ประจำเดือน กันยายน 2545 บริษัท สำนักพิมพ์ยูทิไลซ์ จำกัด
  • สารลิกแนน จากงาช่วยลดพิษของนิโคติน.ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • งา,ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
  • ฤทธิ์ของน้ำมันงาร่วมกับยาลดความดันโลหิตสูง.ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.


Tags : งาขาว
56  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / เข้าใจรู้เรื่องมะเร็งเเละเราจะมีวิธีการป้องกันอย่างไรในการทานเห็ดหลินจือ เมื่อ: กรกฎาคม 02, 2018, 01:45:38 pm
[/b]
เห็ดหลินจื[/size][/b]
รู้เรื่องโรคมะเร็งโรคมะเร็งคืออะไรมีเหตุสาเหตุ กลไกลการกำเนิดลักษณะของอาการโรคมะเร็ง มะเร็งที่พบย่อยไม่ว่าจะเป็น ปากมดลูกมะเร็งตับ ปอด แล้วจะป้องกันได้ไหม รักษายังไง
[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพ-[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจื โรคมะเร็ง ( Cancer1 ) เจอได้ในทุกเพศทุกวัยตั้งแต่แรกกำเนิดไปจนถึงคนสูงอายุ ส่วนใหญ่จะเจอในอายุตั้งแต่ 50 ขึ้นไปส่วนในเด็กพบน้อยกว่าคนแก่ประมาณ 10 เท่า ปัจจุบันว่าคนจำนวนไม่น้อยจะเริ่มหันมาใสดวงใจในสุขภาพด้านร่างกาย[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจือ
ของตัวเองกันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าเหล่าบรรดาเชื้อโรคต่างๆก็พัฒนาตัวเองขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้งด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคมะเร็งที่เรียกว่าเป็นโรคยอดฮิตที่ผู้คนเป็นกันไม่น้อยเลยทีเดียวมากกว่าโรคติดต่อ
โรคมะเร็งคือ โรคของเซลล์ ที่มีการเติบโตอย่างไม่ปกติเปลี่ยนเป็นก้อนโรคมะเร็งซึ่งสามารถบุกรุง ทำลายเนื้อเยื่อใกล้เคียงแล้วก็กระจัดกระจายไปยังอวัยวะอื่นๆได้โรคซึ่ง (เห็ดหลินจือ)โรคซึ่งเกิดมีเซลล์เกิดมีเซลล์ไม่ดีเหมือนปกติในร่างกาย และก็เซลล์เหล่านี้มีการเจริญวัยรวดเร็วทันใจเกินปกติ ร่างกายควบคุมไม่ได้ โดยเหตุนี้เซลล์เหล่านี้ก็เลยเจริญรุ่งเรืองขยายรวมทั้งแพร่ได้ทั่วร้างกายนำมาซึ่งการทำให้เซลล์ธรรมดาของสมอง ไต กระดูก รวมทั้งไขกระดูก
ต้นสายปลายเหตุและสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง
เห็ดหลินจือ-สำหรับต้นเหตุที่ทำให้ผู้คนต่างป่วยเป็นโรคมะเร็งกันมากขึ้นเกิดจากทั้งยังปัจจัยภายใน เป็น
1.ปัจจัยภายนอก
-ผู้ที่ติดเชื้อโรคไวรัสตับอักเสบบี  มักกำเนิดในไม่นิยมที่ไม่นิยมรับประทานร้อนช้อนกลาง โดยอาจติดจากทางเรือลายสำหรับในการกินอาหารด้วยกัน
-การติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ ในเรื่องที่ชอบกินอาหารแบบดิบๆหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ
-คนที่ชอบดื่มเครื่องดือแอลกอฮอล์เป็นชีวิตจิตใจ รวมทั้งผู้ที่ดูดบุรีเสมอๆ
-คนที่เคยผ่านการฉายรักสีเอกซเรย์
สารอะฟลาทอกซินที่แปดเปื้อนอยู่ในอาหารรวมทั้งเครื่องดื่มที่เรารับประทานกันทุกเมื่อเชื่อวัน โดยยิ่งไปกว่านั้นในพวกพริกแห้ง ถั่ว
-สารก่อมะเร็งในของกินประเภทปิ้ง ย่าง ทอด โดยยิ่งไปกว่านั้นเนื้อที่ย่างหรือปิ้งกระทั่งไหม้เกรียม หรือเนื้อที่ทอดโดยใช้น้ำมันบ่อยๆแต่ละวัน
-สารไฮโดรคาร์บอน เป็นสารเคมีที่นำมาใช้สำหรับเพื่อการรักษาอาหารอย่างไนโตซามิน ซึ่งเป็นสีย้อมผ้าที่นำมาผสมอาร
2.ปัจจัยภายใน
-เห็ดหลินจื[/b]เกิดจากความนึกคิดผิดปกติภายในร่างกาย ดังเช่น เด็กไม่สมประกอบแต่กำเนิด ซึ้งเป็นความไม่ปกติทางพันธุกรรม
-ร่างกายมีภูมิต้านทานบกพร่องหรือขาดสารอาหารบางสิ่ง ยกตัวอย่างเช่น พวกวิตามินเอ หรือ ซี
ซึ่งจะมองเห็นได้ว่าโรคมะเร็งส่วนมากนั้นมีต้นเหตุมาจากปัจจัยภายใน นั้นหมายความว่าพวกเราสามารถคุ้มครองปกป้องการก่อมะเร็งได้เยอะพอสมควร ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับความประพฤติปฏิบัติแล้วก็ระเบียบวินัยการเลือกปฎิบัติของพวกเราเป็นหลัก และก็ความรู้ในเรื่องของสารก่อมะเร็งด้วย
[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจือ
-ไม่มีอาการเฉพาะโรคมะเร็ง แต่ว่าเป็นอาการเหมือนกันกับการอักเสบเนื้อเยื่อ/อวัยวะที่เป็นมะเร็ง โดยที่ผิดแผกเป็นมักเป็นอาการที่แย่ลงเรื่อยๆรวมทั้งเรื้อรัก ด้วยเหตุนั้นเมื่อมีลักษณะอาการต่างๆนานเกิน 1 – 2 สัปดาห์ จำเป็นจะต้องรีบพบหมอ อย่างไร ก็ตาม อาการที่น่าสงสัยว่าเนมะเร็ง ได้
-มีก้อนเนื้อโตเร็ว หรือ มีแผลเรื้อรังไม่หายด้านใน 1-2 สัปดาห์ ภายหลังการดูแลตนเองในพื้นฐาน
-มีต่อมน้ำเหลืองโต คลำเ มักจะแข็งไม่เจ็บ และโตขึ้นเรื่อย
-ไฝ ปาน หูด ที่โตเร็วกว่าธรรมดา หรือเป็นแผลแตก
-หายใจ กรือ มีกลิ่นปากร้ายแรงจากที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
-เลือดกำเดาออกเรื้อรัง มักออกเพียงด้านเดียว (บางทีอาจออกทั้งสองข้างได้)
-ไอเรื้อรัง เรือ ไอเป็นเลือด
-มีเสลด น้ำลาย หรือเสลดผสมเลือดบ่อย
-อาเจียนเป็นเลือด
-เยี่ยวเป็นเลือด
-ปัสสาวะบ่อย ขัดลำ เยี่ยวเล็ด โดยไม่เคยเป็นมาก่อน
-อุจจาระเป็นเลือด  มูก หรือเป็นมูกเลือด
-ท้องผูก สลับท้อง โดยไม่เคยเป็นมาก่อน
สมุนไพ[/b]-มีเลือดออกทางช่องคลอดไม่ปกติ หรือ มีรอบเดือนแตกต่างจากปกติ หรือมีเลือดออกทางช่องคลอดในวัยหมดประจำเลือดหรือหลังมีเพศสัมพันธ์ในขณะที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
-อาการท้องอืด ท้องอืดท้องเฟ้อ แน่ อึดอัดท้อง โดยไม่เคยเป็นมาก่อน
-จับไข้ต่ำๆหามูลเหตุมิได้
-เป็นไข้สูงบ่อย หามูลเหตุไม่ได้
-จับไข้สูงบ่อยมาก หาสาเหตุมิได้
-ผอมลงมากใน 6 เดือน น้ำหนักลดจากเดิมเป็น 10%
-มีจ้ำห้อเลือดง่าย หรือ มีจุดแดงคล้ายไข้เลือดออกตามผิวหนังบ่อยครั้ง
-ปวดศีรษะรุนแรงเรื้อรัง หรือ แขน/โคนขาแรง หรือ ชัก โดยไม่เคยเป็นมาก่อน
-ปวดหลังเรื้อรัง และปวดมากขึ้นอาร่วมกับ แขน/ขาอ่อนแรง
[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]
[/b]
สัญญาณอันตราย 7 ประการ ที่ควรรีบมาเจอหมอ
เห็ดหลินจือ-มีเลือดหรือสิ่งผิดปกติออกมาจากร่างกาย ดังเช่นว่า มีตกขาวมากเกินความจำเป็น
-มีก้อนเลือดหรือตุ่ม เกิดขึ้นที่ไหนอันดับที่หนึ่งของร่างกายแล้วก็ก้อนนั้นโตเร็วไม่ปกติ
-มีแผลเรื้อรัง
-มีการอุจจาระ ฉี่ ไม่ดีเหมือนปกติหรือแปรไปจากเดิม
-เสียงแหบ ไอเรื้อรัง
-กลืนอาหารตรากตรำ ไม่อยากอาหาร น้ำหนักลด
สมุนไพร-มีการเปลี่ยนแปลงของหูด ไฝ ปาน อาทิเช่น โตไม่ดีเหมือนปกติ ควรจะรีบมาพบหมอ
รายนามโรคมะเร็งที่พบบ่อย
1.มะเร็งตับ
2.โรคมะเร็งปอด
3.มะเล็งเม็ดเลือดขาว
4.โรคมะเร็งสมอง
5.มะเร็งปากมดลูก
6.มะเร็งลำไส้
7.มะเร็งกล่องเสียง
8.มะเร็งผิวหนัง
9.มะเร็งรังไข่
10.โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
11.มะเร็งต่อมลูกหมาก
12.โรคมะเร็งเต้านม
13.โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร
14.มะเร็งกระดูก
15.โรคมะเร็งหลอดอาหาร
16.มะเล็งลิ้น
17.มะเร็งช่องปากและก็คอ
18.โรคมะเร็งท่อน้ำดีและก็ถุงน้ำดี
19.โรคมะเร็งหลอดลม
20.โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
21.มะเร็งตับอ่อน
22.มะเร็งไต
23.มะเร็งไทรอย์
24.มะเร็งโรงจมูก
[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพ-[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจื จะมองเห็นได้ว่าโรคมะเร็งนั้นเป็นโรคอันตรายซึ่งสามารถคุ้มครองปกป้องให้ห่างไกลจากโรคมะเร็งได้ ดังนี้ข้นอยู่กับความประพฤติปฏิบัติระเบียบวินัยของทุกคนเป็นหลักว่าจะสามารถยับยั้งชั่งใจในอ่อนอาหารกินได้มากมายน้อยเท่าใด เพราะสาเหตุของโรคมะเร็งจำนวนมากนั้นเป็นผลมาจากการรับประทานอาหาร พวกเราจำเป็นที่จะต้องเลือกกินอาหารซึ่งมีก็เพียงแต่คุณประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการและความสะอาดโดยไม่มีการปนเปื้อนของสารเคมีต่างๆเพื่อให้ห่างไหลกลจากโรคร้ายอย่างโรคมะเร็ง

Tags : เห็ดหลินจือ,สารสกัดเห็ดหลินจือ,เพาะเห็ดหลิน
57  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ลดปัจจัยการเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจด้วยการทานสมุนไพรเห็ดหลินจือ เมื่อ: กรกฎาคม 02, 2018, 10:43:15 am
[/b]
เห็ดหลินจื[/size][/b]
[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจือมีผล
เช่นไรต่อเซลล์ต่อมะเร็ง โรคหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน โรคความดันสูง แล้วก็โรคอื่นๆอันแสนเหนื่อยที่จะรักษา ติดตามผลการศึกษาเรียนรู้ยืนยันสรรพคุณได้ในบทความนี้จ้ะ
บทความพวกนี้อ้างอิงสรรพคุณของ[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจือ[/url]จากผลการศึกษาเรียนรู้ยืนยันจากที่ต่างๆเพื่อเพื่อนพ้องได้พิจารณาด้วยตัวเองว่ารักษาโรคได้ดิบได้ดีขนาดไหนและน่าไว้ใจแค่ไหน หากเพื่อนพ้องๆเคยอ่านบทความเกี่ยวกับสรรรพคุณหรือการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับเห็ดหลินจือจากที่อื่นมาก่อน แล้วรู้สึกอ่านไม่ง่ายเท่าไรไหมเข้าใจ บทความในเว็บแห่งนี้ผู้เขียนได้คัดและเก็บรวบรวมจากหลายที่และก็เขียนในภาษาที่อ่านง่ายที่สุดเท่าที่จะทำเป็น
สหายๆชอบบทความนี้ก็จะเป็นอย่างยิ่งจิตใจให้ผู้เขียนได้บทความดีๆให้สหายอ่านกันอีกต่อไปบทความเห็ดหลินจือรักษาโรคเด็ดๆที่เพื่อนๆต้องถูกใจ
ระบบภูมิคุ้มกันเป็นกลไกการกำจัดเชื้อโรค สารเคมีแปลกปลอม เซลล์มะเร็ง รวมทั้งสิ่งปลอมปนอื่ๆที่จะเข้ามาทำอัตรายต่อสุขภาพพวกเรานั้นเอง โดยเหตุนี้ถ้าหากเพื่อนพ้องๆมีระบบระเบียบภูมิคุ้มกันดีก็จะไม่เจ็บป่วยง่าย หรือถ้าเจ็บป่วยก็จะฟื้นเร็ว แต่ถ้าระบบภูมิต้านทานไม่ดีก็จะป่วยบ่อยมากแล้วก็เป็นหนักกว่าผู้ที่มีระบบูมิคุ้มกันแข็งแรง มาถึวนี้แล้วเพื่อนๆอาจจะมองเห็นความสำคัญของการมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงกันแล้ว
คนจีนโบราณใช้สมุนไพร เห็ดหลินจือมายาวนานกว่า 2000 ปีแล้ว แม้กระนั้นในสมัยนั้นยังไม่มีผู้ใดพิสูจน์ได้ว่าเพราะเหตุไรคนที่ทานเห็ดหลินจือถึงมีอายุยืนรวมทั้งแข็งแรงไม่ค่อยเป็นโรค ในตอนนี้เราสมารถพิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าสารกลุ่ม Polysacchayide ในเห็ดหลินจื[/b]นั้นสามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเราได้จริง สารกรุ๊ปดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นสามารถกระตุ้นการผลิต Interleukin และก็ Immuoglodulin ซึ่งทำให้ระบบภูมป้องกันดีและก็แข็งแรงขึ้น
ระบบภูมิคุ้มกันที่ถูกเสริมด้วยสาร Polysaccharide ใน[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจือ
จะสามารถต้านทานวรัส เซลล์ของมะเร็ง รวมทั้งจำกัดสารอนุมูลอิสระได้ดีขึ้น นอกนั้นยังช่วยให้คนที่ถูกผลกระทบที่โดนยาต่อต้านมะเร็งบางตัวแล้วก็การทำคีโมกดภูมิต้านทานให้มีระบบภูมิต้านทานอีก และเห็ดหลินจือยังมีสารออกฤทธิ์ต่อต้านการแบ่งตัวของเชื้อ HIV อีกด้วย ซึ่ง กลุ่มดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นคือกลุ่ม Bitter Triterpenoids
นักค้นคว้าได้ศึกษาค้นพบสารหลากหลายประเภทในสมุนไพร เห็ดหลินจือที่ช่วยลดปริมาณไขมันในเส้นเลือดเป็นGanoderic Acid รวมทั้ง Lucidenic Acid ซึ่งสาร 2 จำพวกที่กล่าวมาแล้ว นอกเหนือจากช่วยลดไขมันในเส้นโลหิตได้แล้ว ยังปกป้องไม่ให้ไขมันอุดตันเส้นเลือดได้โดยตรงอีกด้วย นอกเหนือจากนี้ยังมีสารกรุ๊ป Nucleotide ซึ่งสามารถช่วยลดการอุดตันของลิ่มเลือดในเส้นเลือด แล้วก็ช่วยลดอัตราเสี่ยงที่จะเป็นอัมพาตได้อีกด้วย
ได้มีนักวิทยาศาสตร์ที่ประเทศญี่ปุ่นทดลองให้สารสกัดเห็ดหลินจือกับผู้ที่เป็นโรคไขมันเส้นเลือดสูง 70 ราย และทำเก็บผลการทดสอบภายหลังผ่านไป 3 เดือน พบว่าโคเรสเตอรอคอยลของคนรับการทดลองลดลงไปถึง 74% ซึ่งก็สอดคล้องกับผลงานวิจัยจากทั้งโลก และก็ยังพบว่าเห็ดหลินจือ เว้นแต่ช่วยลดการอุดตันของไขมันในเส้นโลหิตแล้ว ยังเป็นเหตุให้เลือดไหลเวียนอีกด้วย
ด้วยเหตุนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า เครื่องพิสูจน์ทางคุณสมบัติและก็ประโยชน์ซึ่งมาจากเห็ดหลินจือยังคงมีจำกัด บาง งานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยเป็นการทดสอบขนาดเล็ก หลักฐานที่ได้ยังไม่มีคุณภาพเพียงพอ หรือเป็นเพียงการทดลองในคนเจ็บบางกรุ๊ปเท่านั้น ประสิทธิผลของเห็ดหลินจือต่อโรคมะเร็ง ก็เลยยังคงเป็นเรื่องการค้นคว้าที่ควรจะดำเนินการทดสอบต่อไป เพื่อให้ได้เห็นผลลัพ์ที่แจ่มกระจ่าง และเป็นประโยชน์ในวงกว้างต่อการรักษาผู้เจ็บป่วยมะเร็งได้ในอนาคต
ภาวการณ์ต่อมลูกหมากโต รวมทั้งการเจ็บป่วยในระบบฟุตบาทเยี่ยว
มีแนวทางการทดลองหนึ่งที่ใช้สารสกัดจากสมุนไพร เห็ดหลินจือทดลองในคนป่วยเพศ 88 รายซึ่งแก่เกินกว่า 49 ปีขึ้นไป ที่มีอาการฉี่ติดขัด หลังการทดสอบกว่า 12 อาทิตย์ ผลสรุปที่ได้เป็น คนไข้ต่างมีระดับคะแนน IPSS ที่ดียิ่งขึ้น ( TNE lnternational Prostate Symptom Score )ซึ่งเป็นค่าคะแนนสากลสำหรับในการวัดปัญหาในระบบฟุตบาทปัสวะของคนป่วยจากการตอบคำถาม แต่กลับไม่ปรากฏผลในเชิงความเคลื่อนไหวคุณภาพชีวิต การขับถ่ายปัสวะ หรือขนาดของต่อมลูกหมากแต่อย่างใด
ด้วยเหตุดังกล่าว การทดสอบดังกล่าวมาแล้วข้างต้นจึงยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาสตร์ที่แจ่มแจ้งพอเพียง จำเป็นต้องมีการค้นคว้าทดลองในด้านนี้ต่อไปในอนาคต เพื่อค้นหาข้างหลังฐานที่ชัดเจนสำหรับเพื่อการสรุปเกี่ยวกับประสิทธิของเห็ดหลินจือต่อการดูแลรักษาภาวการณ์ต่อมลูกหมากโตหรือปัญหาสุขภาพอะไรก็ตามที่เกี่ยวเนื่อง
[/b]
ลดปัจจัยเสี่ยงของโรคเส้นโลหิตหัวใจ
จากการวิเคราะห์ผลการทดลองทางการแพทย์ 5 ราการ ซึ่งมีคนป่วยโรคเบาหวานประเภท 2 เข้าร่วมทดสอบกว่า 398 รายพบว่า เห็ดหลินจือไม่มีผลทางการรักษาในเชิงการลดระดับน้ำตาลในเลือดไม่มีหลักฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพพอเพียงจะส่งเสริมผลทางการรักษาเหล่านั้น และไม่มีข้อมูลที่พอเพียงสำหรับเพื่อการรับรองด้านความปลอดภัยจากการบริโภคเห็ดหลินจือสิ่งเดียวกัน โดยหนึ่งในการค้นคว้าวิจัยเหล่านั้น ได้แสดงถึงผลกระทบจากการบริโภคเห็ดหลินจือในคนไข้บางราย เป็นอาการคลื่นใส้ ท้องร่วง หรือท้องผูก
สมุนไพร ด้วยเหตุนั้นจึงควรมีการค้นคว้าทดลองถึงความสามารถของเห็ดหลินจือสำหรับการลดสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่างๆเหล่านี้เพื่อปกป้องและการดูแลและรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจต่อไป และให้ได้การแจ่มแจ้งชัดดเจนในด้านดังที่กล่าวถึงแล้วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อันเป็นผลดีต่อแนวทางการรักษาคุ้มครองปกป้องโรคเส้นเลือดหัวใจและอาการต่างๆที่เกี่ยวโยงถัดไปในอนาคต
58  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สารออกฤทธิ์ของถังเช่า เเละทำไมบางเจ้าทานถั่งเช่าเเล้วจึงไม่เห็นผล...? เมื่อ: มิถุนายน 30, 2018, 11:43:58 pm
[/b]
ถั่งเช่[/size][/b]
ทำไม....ทานถั่งเช่าแล้วบางเจ้าไม่เห็นผล
ทำไมถั่งเช่าถึงแพง
ด้วยความที่[url=http://www.disthai.com/16484912/%E0%B8%96%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%B2]ถั่งเช่า
นั้นเป็นที่นิยมมากในปัจจุบันทำให้ราคาของสมุนไพรชนิดนี้สูงมากอย่างต่ำเกรดธรรมดาๆก็ตกอยู่ที่กิโลละ 2-3 แสนบาท แต่ถ้าเกิดเป็นแบบอย่างดีราคาสูงสุดอยู่ที่2-3 ล้านบาทเลยทีเดียว สาเหตุที่ทำให้ราคาของ ถั่งเช่าแพงได้ขนาดนี้ก็เพราะว่าถั่งเช่าไม่ได้หากันง่ายๆมีเฉพาะบางพื้นที่เท่านั้น ไม่เหมือนกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ ที่สามารถหากันง่ายกว่านี้ สมุนไพร ถั่งเช่าจะหาได้จากพื้นที่สูงเข้าถึงยาก และมีสภาพอากาศที่คนปกติทั่วไปไม่สามารถเข้าไปหาถึงได้ง่ายๆ ต้องให้คนทื้นที่เป็นผู้เข้าไปหาในป่าเท่านั้น อีกทั้งถั่งเช่ายังมีสรรพคุณยังมีสรรพคุณต่างๆอีกมากมาย ทั้ง ถั่งเช่า ยังช่วยรักษโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ ถั่งเช่า หรือช่วยบำรุงอาหารลดน้าตาลในเลือด เป็นต้น แถมยังช่วยชะลอความแก่ และช่วยเพิ่มสมรรถทางเพศ ได้ดีอีกด้วย ด้วยเหตุผลที่กล่าวมานั้นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ถั่งเช่ามีราคาแพง แต่ตอนนี้มีโรงงานในไทยสามารถเพาะถั่งเช่าได้ โดยไม่ต้องเดินไปเก็บตามเทือกเขาทำให้ราคาต้นทุนถั่งเช่าลดต่ำลงไปมากกว่าเมื่อก่อน สามารถควบคุมปริมาณสาระสำคัญได้เป็นเพาะในสภาพควบคุม และยังขจัดปัญหาสารโลหะหนักเจือปนที่ไม่สามารถควบคุมได้ในธรรมชาติได้อีกด้วย
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัย ได้ทำการวิจัยสรรพคุณของถั่งเช่า ด้วยกัน มีการทดสอบกับหนูทดลองและกลุ่มผูรับการทดลองตัวอย่าง จึงทำให้เราสามารถบอกได้ว่าถั่งเช่ามีสรรพคุณดีจริงตามที่คนส่วนใหญ่หล่าวอ้าง
-ช่วยลด และรักษาสมดุลของน้ำตาลในเลือด
-ช่วยลด และรักษาความสมดูลของระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
-ถั่งเช่า ช่วยแก้อาการอ่อนล้าอ่อนเพลียของร่างกายช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันต่างๆรวมถึงช่วยบำรุงให้กระปรี้กกระเปล่าด้วย
-แก้ภูมิแพ้ หอบหืด ไซนัสอักเสบ หรือภูมิคุ้มกันอ่อน
-ถั่งเช่า ช่วยป้องกันการเกาะบริเวณด้านในหลอดเลือดของไขมันเลว(LDL)
-ช่วยบำรุงและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานของตับและไต
ทานถั่งเช่าเห็นผลภายในกี่วัน
-ถั่งเช่า ช่วยรักษาคนที่มีอาการจากการที่สืบเนื่องมาจากการเป็นโรคไตอย่างเช่นอาการ ปวดหลัง ปัสสาสะบ่อย เป็นต้น
-ช่วยเพิ่มความฟิตให้กับร่างกายของนักกีฬาได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะนักกีฬาประเภทวิ่งแข็ง หรือนักกีฬาที่ใช้ภาระกำลังเป็นอย่างมาก
สารออกฤทธิ์ที่สำคัญของถั่งเช่า
ที่ตัวของสมุนไพร ถั่งเช่านั้นมีสรรพคุณต่างๆ มากมายก็เพราะว่าในตัวของถั่งเช่า มีสารออกฤทธิ์สำคัญนั้นเอง โดยสารออกฤทธิ์ที่สำคัญของถั่งเช่าที่ค่อนข้างเป็นอระโยชน์และได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วมีดังนี้
1.สาร Cordycepin งานศึกษาทดลองพบว่าสารตัวนี้สามารถ ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย บำรุงกำลัง ต้านเชื้อโรคช่วยทำให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น บำรุงเลือด บำรุงหัวใจ ต้านการโตของเซลล์มะเร็ง บำรุงไต รักษาโรคไตอักเสบ บำรุงระบบสืบพันธุ์ ปรับสมดุลร่างกาย และ เสริมภูมิคุ้มกัน
2.สาร Nitric oxides สารตัวนี้เป็นสารที่ช่วยกระบวนการแข็งตัวของอวัยวะเพศชายให้ทำงานดีขึ้น แข็งเร็ว และ นานขึ้น มันจะออกฤทธิ์ในการขยายหลอดเลือดให้เข้าสู่องคชาติมากขึ้น มำให้การแข็งตัวของอวัยวะเพศนานขึ้นอย่างสมบูรณ์
3.สาร Adrenaline สารตัวนี้เป็นสารที่ช่วยเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย มันจะทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ไม่มีอาการอ่อนเพลีย และสามารถนอนหลับได้อย่างเต็มที่หลับเต็มอิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถช่วยชะลอความแก่ให้กับคนอย่างเราๆได้อีกด้วย
4.สารPolysaccharide สารตัวนี้เป็นสารที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายของคนเรา มันจะสร้างกลไกการป้องกันโรค และป้องกันการเกิดมะเร็งได้เป็นอย่างดี
[/b]
ตัวอย่างงานวิจัยบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับฤทธิ์ของ ถั่งเช่าในทางเภสัชวิทยา โดยที่เป็นงานวิจัยในตัวของคน ดังนี้
-จากการวิจัยเกี่ยวกับกรณีของฤทธิ์จากสมุนไพร ถั่งเช่าที่มีผลกระตุ้นสมรรถทางเพศของผู้ชายจากจำนวนตัวอย่างทั้งสิ้น 22 คน ผลปรากฏว่า ฤทธิ์ของ ถั่งเช่านั้นสามารถช่วยเพิ่มสเปิร์มในเชื้ออสุจิของผู้ชายจากกลุ่มตัวอย่างได้ถึง33%และยังสามารถช่วยลดปริมาณสเปิร์มที่อ่อนแอ หรือไม่ปกติลงในเชื้ออสุจิของผู้ชายจากกลุ่มตัวอย่าง29%จากการที่แค่ให้ผู้ชายจากกลุ่มตัวอย่างนี้กิน ถั่งเช่าแค่เป็นอาหารเสริมเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งตัวอย่างตัวอย่างด้วยกันที่เป็นการวิจัยเกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศ คือมีการให้กลุ่มตัวอย่างทั้งเพศ คือมีการให้กลุ่มตัวอย่างทั้งเพศชาย และเพศหญิงจำนวน 189 คน ที่มีภาวะอารมณ์ทางเพศลดลงได้ลองกิน ถั่งเช่าผลปรากฏว่า สามารถช่วยให้กลุ่มตัวอย่างทั้งเพศชาย แล้เพศหญิงนั้นให้กลับมามีอารมณ์ทางเพศที่เพิ่มขึ้นได้ถึง 66%
-จากการวิจัยเกี่ยวกับกรณีของฤทธ์จากสมุนไพร ถั่งเช่าที่มีผลช่วยลดน้ำตาลในเลือด ค้นพบว่าถั่งเช่านั้นสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้สูงสุดถึง 95% โดยทานถั่งเช่าแค่เพียงวันละ 3 กรัมเท่านั้น โดยแตกต่างจากกลุ่มที่ยังคงรักษาด้วยยาแผนปัจุบันโดยสิ้นเชิง เพราะการควบคุมระดับน้ำตาลจากยาแผนปัจจุบันนั้นสามารถคุมระดับน้ำตาลแค่ได้เพียง 54 % เท่านั้น

Tags : ถั่งเช่า
59  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ถ้าไม่ได้เป็นโรคอะไรเกี่ยวกับตับแล้วจะยังทานเห็ดหลินจือได้หรือป่าว....? เมื่อ: มิถุนายน 30, 2018, 08:59:15 am
[/b]
[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจือ[/url]
สมุนไพร เพื่อนๆบางคนอาจสงสัยว่าโรคตับที่เห็ดหลินจือรักษาได้นี่หมายถึงโรคอะไรกันแน่ใช่ไหม โรคตับเป็นทองคำกว้างๆที่รวมโรคหลายอย่างเกี่ยวกับตับ เช่นตับแข็ง มะเร็งในตับ และไวรัสตับเป็นทองคำกวางๆที่รวมหลายอย่างเกี่ยวกับตับ เช่น ตับแข็ง มะเร็งในตับ และไวรัสตับอักเสบบี ก็ล้วนโรคตับทั้งสิ้น
ผลการวิจัยพบว่า เห็ดหลินจือ มีสารสามารถยับยั้งมะเร็งไดและโดยไม่กระทบต่อเซลล์ปกติ สารดังกล่าวมีอยู่มากที่สปอร์ที่กะเทาะผนังหุ้มสปอร์แล้วนอกนี้ผลงานวิจัยจากกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยพบว่าเห็ดหลินจือมีสารกลุ่ม Polysaccharide ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้ม และสารกลุ่ม Triterpenes (พบที่สปอร์ของเห็ดหลินจือ มากที่สุด ) ซึ่งกลุ่มหลังสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งได้ โดยสปอร์กะเทาะผนังหุ้มจะให้ผลดีกว่าแบบไม่กะเทาะมาก
อย่างไรก็ตามฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งของมะเร็งของสารสกัดเห็ดหลินจือที่กล่าวไปนั้น ยังคงเป็นเพียงผลการทดลองในหลอดทดลองเท่านั้น ขณะนี้คณะแพทย์ศาสตร์ของมหาลัยเชียงใหม่กำลังวิจัยผลที่มีต่อผู้ป่วยโรคมะเร็วจริงๆและคาดว่าผลการศึกษานี้คงจะตีแผ่ให้เพื่อนๆได้ทราบกันในเร็วๆนี้ค่ะ แต่ตอนนี้มีรายงานการศึกษาจากประเทศจีนพบว่า เห็ดหลินจือสามารถเสริมภูมิคุ้มกันได้จริงในผู้ป่วยมะเล็กลำไส้ใหญ่ ปอด และผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งขั้นลุกลาม โดยไม่มีผลข้างเคียงและสามารถใช้ได้ติดต่อกันเป็นเวลานานได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตามในประเทศไทย การใช้สมุนไพร เห็ดหลินจือในการรักษาโรคมะเร็งนั้นยังไม่ใช่ช่องทางหลักในการรักษา เน้นเรื่องเสริมภูมิต้านทานมากกว่า
ตอนนี้มีผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือขายมากมายตามท้องตลาด มีทั้งที่ผลิตในไทยและนำเข้าจากต่างประเทศ ถ้าเพื่อนๆอยากเลือกซื้อ ต้องดูให้ดี ว่าผลิตภัณฑ์ตัวนั้นมีที่มาและแหล่งผลิตน่าเชื่อถือหรือเปล่า มีการรับรองจาก อย. หรือไม่ และผลิตภัณฑ์ที่สามารถกันความชื้นได้ดีหรือป่าว
เห็ดหลินจือเป็นสมุนไพรที่มีสาระสำคัญหลายกลุ่มที่มีฤทธิ์รักษาหรือบรรเทาโรคตับได้ครอบคลุมหลายตับ กลุ่ม Triterpenoid สารกลุ่มนี้มีสารออกฤทธิ์หลักๆคือ Ganoderic acid ซึ่งช่วยเสริมการทำงานของเม็ดเลือดขาว ต้านสารพิษ และช่วยหยุดการเติบโตของมะเร็งตับ โปรตีน Lz-8 ช่วยรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบีและกลุ่ม Germanium ซึ่งเป็นอีกตัวที่ช่วยรักษามะเร็งตับ
มีงานวิจัยหลายชิ้นที่รายงานว่าเห็ดหลินจือสามารถรักษาโรคตับได้ และยังมีการจดสิทธิบัตรยาบำรุงตับตัวหนึ่งที่เกาหลีใต้ ซึ่งยาดังกล่าวมีส่วนประกอบของสารกาโนโดสเทอโรนในเห็ดหลินจืออีกด้วย
ถ้าไม่ได้เป็นโรคอะไรเกี่ยวกับตับแล้วจะยังทานเห็ดหลินจือได้หรือป่าว
คำตอบคือได้ เห็ดหลินไม่ได้รักษาโรคตับได้อย่างเดียว แต่ยังช่วยเสริมภูมิคุ้มกันลดน้ำตาลในเลือด ป้องกันโรคหัวใจ ได้อีกมามายตามที่เขียนไว้ในบทความเห็ดหลินจือรักษาโรคในเว็บไซต์นี้ หรือจะทานแบบถือคติ กันไว้ดีกว่าแก้ ก็ไม่ผิด
สมุนไพร โรคภูมิแพ้คือโรคที่ร่างกายแพ้สารบางอย่างที่คนทั่วไปไม่แสดงอาการแพ้ เป็นหนึ่งในโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดสนิทได้ ภูมิแพ้ไม่ใช่โรคติดต่อ แต่ถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรมในเด็กอายุ 5-15 จะพบโรคนี้ได้มากที่สุดเมื่อร่างกายแสดงอาการแพ้ เช่น การเกิดผื่นคันหรือตุ่มตามตัว เพราะฉะนั้นถ้าเรายับยั้งการกล

เมื่อร่างกายได้รับสารที่ทำให้เกิดการแพ้สักอย่างหนึ่ง ร่างกายจะหลั่งสาร Histamine ออก ซึ้งสารตัวนี้จะไปทำให้ร่างกายแสดงอาการแพ้ เช่น การเกิดผื่นคันหรือตุ่มตามตัว เพราะฉะนั้นถ้าเรายับยั้งการหลั่งสาร Histamine นี้ ก็จะทำให้ร่างกายไม่แสดงอาการแพ้ออกมา
ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ เพื่อนๆที่กำลังอ่านอยู่คงเข้าใจและเห็นด้วยกันทุกคนใช่ไหม แต่เพื่อนอาจกำลังสงสัยกันอยู่ว่า แล้วจะต้องทำยังไงไม่ให้ป่วยละ
คำตอบคือ เห็ดหลินจือทำให้ตัวเพื่อนเองมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงไง ซึ่งก็จะเป็นผลพวงจาการดูแลสุขภาพ แล้วเห็ดหลินจือจะมีผลยังเดี๋ยววันนี้จะค่อยไขความกระจ่าง
สมุนไพร ระบบภูมิคุ้มกันคือกลไกการกำจัดเชื้อโรค สารเคมีแปลกปลอม เซลล์มะเร็ง และสิ่งแปลกปลอมอื่ๆที่จะเข้ามาทำอัตรายต่อร่างกายเรานั้นเอง ดังนั้นถ้าเพื่อนๆมีระบบภูมิคุ้มกันดีก็จะไม่ป่วยง่าย หรือถ้าป่วยก็จะฟื้นเร็ว แต่ถ้าระบบภูมิคุ้มกันไม่ดีก็จะป่วยบ่อยและเป็นหนักกว่าคนที่มีระบบูมิคุ้มกันแข็งแรง มาถึวตรงนี้แล้วเพื่อนๆคงเห็นความสำคัญของการมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงกันแล้ว
คนจีนโบราณใช้เห็ดหลินจือมานานกว่า 2000 ปีแล้ว แต่ในสมัยนั้นยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าทำไมคนที่ทานเห็ดหลินจือถึงมีอายุยืนและแข็งแรงไม่ค่อยเป็นโรค ตอนนี้เราสมารถพิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าสารกลุ่ม Polysacchayide ในเห็ดหลินจือนั้นสามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเราได้จริง สารกลุ่มดังกล่าวสามารถกระตุ้นการสร้าง Interleukin และ Immuoglodulin ซึ่งส่งผลให้ระบบภูมคุ้มกันดีและแข็งแรงขึ้น
ระบบภูมิคุ้มกันที่ถูกเสริมด้วยสาร Polysaccharide ในเห็ดหลินจือจะสามารถต้านวรัส เซลล์มะเร็ง และจำกัดสารอนุมูลอิสระได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้คนที่ถูกผลข้างเคียงที่โดนยาต้านมะเร็งบางตัวและการทำคีโมกดภูมิคุ้มกันให้มีระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้นอีก และเห็ดหลินจือยังมีสารออกฤทธิ์ต้านการแบ่งตัวของเชื้อ HIV อีกด้วย ซึ่ง กลุ่มดังกล่าวคือกลุ่ม Bitter Triterpenoids
60  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / เห็ดหลินจือมีสรรพคุณอย่างไรเเละสามารถรักษาโรคอะไรได้บ้าง เมื่อ: มิถุนายน 29, 2018, 05:46:22 pm
[/b]
เห็ดหลินจื[/size][/b]
เห็ดหลินจือ รักษาโรคโรคมะเร็ง
[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
เห็ดหลินจืออีกหนึ่งงานวิจัยที่ศึกษาเล่าเรียนเกี่ยวกับประสิทธิผลของสารโพลีแซ็คคาไรค์ในเห็ดหลินจือของผู้ในผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด จากการวิเคาะห์พบว่า สารดังที่กล่าวมาข้างต้นมีส่วนสำหรับเพื่อการยัยยั้งรูปแบบการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว
จากการศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยจำนวนมากถึงประสิทธิผลทางการรักษาโรคโรคมะเร็งของเห็ดหลินจืออาจส่งผลต่อการต้านการอักเสบในผู้เจ็บป่วยมะเร็งปอดบางราย แต่ยังคงไม่มีหลักฐานด้านวิทยาศาสตร์หรือการทดลองทางด้านการแพทย์ที่ให้ข้อมูลเพียงพอที่ช่วยเหลือให้ใช้เห็ดหลินจือในการรักษาโรคมะเร็งอย่างเป็นทางการ
เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบจากการรวบงานวิจัยที่เรียนรู้ประสิทธิผลของเพื่อรักษาโรคโรคมะเร็งในมนุษย์ 373 คน แม้จะพบว่าคนเจ็บสนองตอบต่อการดูแลและรักษาด้วยเคมีบรรเทาหรือรังสีบำบัดรักษาก้าวหน้าขึ้นเมื่อรักษาร่วมกับการใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือ แต่เมื่อทดสอบการใช้เห็ดหลินจือเพียงอย่างเดียวกลับไม่มีประสิทธิผลในสำหรับในการทำให้มะเร็งลดขนาดลงอย่างใด
สมุนไพร นอกจากนั้น จาการทวนงานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยพบว่ามีงานศึกษาเรียนรู้ 4 ชิ้นที่ส่งผลลัพธ์ช่วยเหลือว่าเห็ดหลินจือาจสโมสรต่อการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนป่วยให้ดีขึ้น และในขณะเดียวกัน ก็มีผลลัพธ์จากงานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยหนึ่งที่แสดงถึงผลข้างคียงของเห็ดหลินจือ เป็นอาการคลื่นใส้รวมทั้งนอนไม่หลับด้วย
เพราะฉะนั้น ก็เลยอาจพูดได้ว่า เครื่องพิสูจน์ทางคุณลักษณะและก็ประโยชน์ที่ได้รับมาจาก[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจือ
ยังคงมีจำกัด บาง งานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยเป็นการทดลองขนาดเล็ก หลักฐานที่ได้ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ หรือเป็นเพียงแต่การทดสอบในคนป่วยบางกรุ๊ปแค่นั้น ประสิทธิผลของเห็ดหลินจือต่อโรคมะเร็ง จึงยังคงเป็นประเด็นการค้นคว้าที่ควรจะดำเนินงานทดลองต่อไป เพื่อได้เห็นผลลัพ์ที่แจ่มแจ้ง รวมทั้งมีคุณประโยชน์ในวงกว้างต่อการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งได้ในอนาคต
ภาวการณ์ต่อมลูกหมากโต และการเจ็บป่วยในระบบฟุตบาทเยี่ยว
มีแนวทางการทดสอบหนึ่งที่ใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือทดสอบในผู้เจ็บป่วยเพศ 88 รายซึ่งแก่เกินกว่า 49 ปีขึ้นไป ที่มีลักษณะอาการฉี่ขัดข้อง หลังการทดสอบกว่า 12 อาทิตย์ ผลที่ได้เป็น คนป่วยต่างมีระดับคะแนน IPSS ที่ ( TNE lnternational Prostate Symptom Score )ซึ่งเป็นค่าคะแนนสากลในการวัดปัญหาในระบบทางเท้าปัสวะของผู้เจ็บป่วยจากการตอบคำถาม แต่กลับไม่ปรากฏผลในเชิงความเคลื่อนไหวคุณภาพชีวิต การขับถ่ายปัสวะ หรือขนาดของต่อมลูกหมากอะไร
สมุนไพร โดยเหตุนี้ การทดสอบดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วจึงยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาสตร์ที่กระจ่างแจ้งเพียงพอ ควรต้องมีการค้นคว้าทดลองในด้านนี้ต่อไปในอนาคต เพื่อค้นหาหลังฐานที่แจ่มชัดสำหรับการสรุปเกี่ยวกับประสิทธิของเห็ดหลินจือต่อการดูแลและรักษาภาวะต่อมลูกหมากโตหรือปัญหาสุขภาพอะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยว
ลดปัจจัยเสี่ยงของโรคเส้นโลหิตหัวใจ
จากการวิเคราะห์ผลการทดสอบทางการแพทย์ 5 ราการ ซึ่งมีผู้เจ็บป่วยเบาหวานจำพวก 2 ร่วมทดลองกว่า 398 รายพบว่า เห็ดหลินจือไม่มีผลทางการรักษาในเชิงการลดระดับน้ำตาลในเลือดไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพเพียงพอจะส่งเสริมผลทางการรักษาพวกนั้น และไม่มีข้อมูลที่พอเพียงสำหรับเพื่อการรับรองด้านความปลอดภัยจากการบริโภคเห็ดหลินจือเช่นเดียวกัน โดยหนึ่งในการค้นคว้าเหล่านั้น ได้แสดงถึงผลกระทบจากการบริโภคเห็ดหลินจือในคนไข้บางราย เป็นอาการคลื่นใส้ ท้องร่วง หรือท้องผูก
ด้วยเหตุนี้จำเป็นต้องมีการค้นคว้าทดลองถึงประสิทธิภาพของเห็ดหลินจือสำหรับเพื่อการลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆกลุ่มนี้เพื่อคุ้มครองรวมทั้งการดูแลรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจถัดไป และก็ให้ได้การแจ่มกระจ่างชัดดเจนในด้านดังที่กล่าวมาแล้วมากเพิ่มขึ้น อันเป็นผลดีต่อกรรมวิธีรักษาคุ้มครองป้องกันโรคเส้นโลหิตหัวใจและก็อาการต่างๆที่เกี่ยวต่อไปในอนาคต
ปริมาณที่สมควรสำหรับการบริโรคเห็ดหลินจืออปิ้งชัดเจน เนื่องประสิทธิผลและผลข้างคียงจากการบริโภค ด้วยเหตุนั้น ผู้ซื้อ ควรศึกษาค้นคว้าเนื้อหาเกี่ยวกับเห็ดหลินจือ และหารือหมอหรือเภสัชกรก่อนการบริโรค ด้วยเหตุว่าเห็ดหลินจือในแต่ละแบบจะเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ แต่ว่าสารเคมีรวมทั้งส่วนประต่างอาจมีผลข้างๆที่เป็นโทษต่อสภาพร่างกายได้เหมือนกัน
โดยปกติ จำนวนการบริโภคเห็ดหลินจือ/วันอย่างเช่น
-เห็ดหลินจืออบแห้ง ไม่ควรบริโภคเกิน 1.5-9 กรัม/วัน
-ผงสารสกัดเห็ดหลินจือ ไม่ควรบริโภคเกิน 1-1.5 กรัม
-สารละลายเห็ดหลินจือ ไม่ควรบริโภคเกิน 1 มล./วัน
ความปลอดภัยในการบริโภคเห็ดหลินจือ
แม้ว่าจะมีการพิสูจน์ถึงคุณค่าในบางด้านที่อาจเกิดขึ้นได้จากการบริโภคเห็ดหลินจือ แต่ผู้ซื้อก็ควรศึกษาเรียนรู้เนื้อหาเกี่ยวกับเห็ดหลินจือ แล้วก็ขอความเห็นหมอหรือเภสัชกรก่อนจะมีการบริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรระมัดระวังในด้านปริมาณและก็ต้นแบบเห็ดหลินจือที่บริโภค ด้วยเหตุว่าบางทีอาจเป็นผลข้างเคียงต่อร่างกายได้ในตอนหลัง
โดยข้อควรตรึกตรองในการบริโภคเห็ดหลินจือดังเช่นว่า
[/b]
คนซื้อทั่วๆไป.......
-ควรจะบริโภคเห็ดหลินจืในจำนวนที่พอดี
-การบริโภคสารสกัดจากเห็ดหลินจือติดต่อกันนานเกินกว่า 1 ปี อาจจะก่อให้ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้
-การบริโภคสารสกัดจากเห็ดหลินจือติดต่อกันเป็นเวลานานเกินกว่า 1 ปี อาจจะก่อให้ได้รับอันตรายต่อสุขภาพได้
-การบริโภคสารสกัเห็ดหลินจือ
อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ ดังเช่น ปากแห้ง คอแห้ง คันจมูก เลือดกำเดาไหล ท้องไส้ป่วนปั่น ถ่ายเป็นเลือด
-การดื่มไวน์เห็ดหลินจืออาจก่อกำเนิดผลกระทบเป็นอาการผื่นคัน
-การดมหายใจเอาเซลล์สืบพันธุ์ หรือ สปอร์ (Spores) ของเห็ดหลินจือเข้าไปอาจจะก่อให้เกิดอาการแพ้
ผู้ที่ควรระวังสำหรับการบริโภคเป็นพิษ
ผู้ที่ครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร ยังไม่มีการพิสูจน์ผลข้างเคียงที่บางทีอาจเกิดขึ้นได้ในกลุ่มผู้ใช้นี้แม้กระนั้นคนที่ท้องและผู้ที่กำลังให้นมลูกควรจะหลบหลีกการบริโภคเห็ดหลินจือ เพื่อให้มีความปลอดภัยต่อสุขภาพของตนเองและก็ลูกน้อย
คนที่จำต้องเข้ารับการผ่าตัด การบริโภคเห็ดหลินจือในจำนวนมาก อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะมีเลือดออกในคนป่วยบางรายที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด โดยเหตุนี้ เพื่อลดการเสี่ยง คนไข้ควรจะหยุดบริโภคเห็ดหลินจือ อย่างน้อย 2 อาทิตย์ก่อนวันผ่าตัด
ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ
สมุนไพร  ความดันเลือดต่ำ เห็ดหลินจืออาจทำให้ความดันโลหิตต่ำลง โดยเหตุนี้ คนป่วยสภาวะความดันเลือดต่ำจึงควรหลบหลีกการบริโภคเห็ดหลินจือ
ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ การบริโภคเห็ดหลินจือในปริมาณมาก บางทีอาจเพิ่มการเสี่ยงสำหรับการเกิดภาวะมีเลือดออกในคนที่มีเกล็ดเลือดต่ำ เพราะฉะนั้น คนป่วยภาวะเกล็ดเลือดต่ำก็เลยไม่สมควรบริโภคเห็ดหลินจือ
ภาวะมีเลือดออกเปลี่ยนไปจากปกติ การบริโภคเห็ดหลินจือในจำนวนมาก อาจเพิ่มความเสี่ยงสำหรับการเกิดภาวะมีเลือดออกในคนป่วยบางราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีภาวการณ์เลือกออกเปลี่ยนไปจากปกติอยู่แล้ว

Tags : สมุนไพรเห็ดหลินจือ
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 44
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย