กระทู้ล่าสุดของ: watamon

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: 1 ... 40 41 [42] 43 44
616  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / (อิทธิ) ฤทธิ์และความเป็นพิษของกระชายดำที่คุณควรรู้ เมื่อ: มิถุนายน 13, 2017, 02:22:44 pm

(อิทธิ) ฤทธิ์และความเป็นพิษของกระชายดำที่คุณควรรู้
            ในสังคมของไทยในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน สังเกตได้ว่าจะมีเรื่องราวความเชื่อ เกี่ยวข้องกันมากับวิถีชีวิตของคนไทยในแทบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม , ศาสนา , วัฒนธรรม รวมถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน แต่ในระยะหลังมานี้ ความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์ เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในวิถีชีวิตของคนไทยสังคมไทยเรา ความเชื่อบางเรื่องถูกท้าทายด้วยวิทยาศาสตร์ และข้อมูลสำคัญทางวิทยาศาสตร์ , การ ค้นคว้าต่างๆ ก็ สามารถนำมาหักล้างความเชื่อของคนไทยในหลายๆเรื่องได้ แต่ว่าแม้ความเชื่อเหล่านั้นจะถูกวิทยาศาสตร์หักล้างได้แล้วแต่ก็จะมีกลุ่มคนอีก ปริมาณหนึ่งก็จะยังคงเชื่อในสิ่งที่เขาเชื่อนั้นโดยไม่สนใจในข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ชี้ชัดในเรื่องนั้นๆ รวมถึงยังมีความเชื่ออีก ปริมาณหนึ่งที่วิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ อาจระบุและหักล้างได้  ดังนั้นวิถีความเชื่อต่างๆ นั้นก็จะยังมีอิทธิพลกับสังคมไทยในปัจจุบันอยู่  ในเรื่องสมุนไพรในอดีตก็เช่นกัน ก็ถูกบอกเล่าสืบต่อจากบรรพบุรุษจากรุ่นสู่รุ่น ว่าสมุนไพรตัวนั้นใช้ เยียวยาโรคนั้น ตัวนี้ใช้ รักษาโรคนี้ โดยไม่ได้มีการ ค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ ทั้งด้านเภสัชวิทยา และพิษวิทยา แต่อย่างใด อย่างเช่น ไพล ใช้ถูท้อง หรือต้มให้แม่และเด็กกินจะแก้ท้องอืดในเด็ก ทำให้เด็กที่กินนมแม่ท้องไม่อืด ว่านชักมดลูกเมื่อต้มให้ ผู้หญิงที่คลอดลูกใหม่ๆ ดื่ม เพื่อขับของเสียออกเร็วๆ และทำให้มดลูกเข้าอู่เร็ว เป็นต้น
            ซึ่งผู้คน ในอดีตนั้นอาจจะลองผิดลองถูก มาแล้วเมื่อใช้ได้ผลจริงจึงบอกต่อกันมา แต่ในปัจจุบันที่มีกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และวงการแพทย์ที่ก้าวหน้านั้น อาจ ลองและวิจัยสมุนไพรถึง สรรพคุณ เภสัชวิทยา และ พิษวิทยาได้โดยแม่นยำและได้รับการรับรองจากสถาบันทางการแพทย์ชั้นนำของโลก จึงทำให้การใช้สมุนไพรในปัจจุบันนั้นปลอดภัย เพราะมีข้อมูลการ วิจัยในด้านต่างๆ อย่างครบครัน ในที่นี้เราจะกล่าวถึง “กระชายดำ” สมุนไพรตัวท๊อปของไทย โดยเราจะมาดูว่า ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา และพิษวิทยา ของกระชายดำ นั้น มีอะไรบ้างที่เด่นชัด โดยจากการ ลองวิจัยกระชายดำ จากข้อมูลหลายๆ แหล่งที่พอจะรวบรวมได้นั้น มีดังนี้ กระชายดำมีสารต่างๆ ในเหง้า คือ มีน้ำมันหอมระเหย ที่ประกอบด้วยสารต่างๆ อาทิ camper bomeol  zingiberene และยังพบสาร flavonoids anthocyanin trimethoxyflarone ฯลฯ ส่วนฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ของ กระชายดำนั้น แบ่งได้ คือ ฤทธิ์ต้านการอักเสบ พบว่า สาร 5,7 ได้เมธอกซีพลาโวน ในกระชายดำ สามารถต้านการอักเสบได้โดย อาจต้านการอักเสบแบบเฉียบพลันได้ดีกว่าแบบเรื้อรัง ฤทธิ์ต้านเชื้อจุลินทรีย์ พบว่า สาร trimethoxyflavone และ tetamethoxyflavone ในกระชายดำ สามารถต้านเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคมาลาเรีย ลักษณะ PF. และยัง สามารถต้านเชื้อ canolida albicans และ mycobacterium ได้
            ฤทธิ์ขยายหลอดเลือดแดง พบว่า สารสกัดกระชายดำนั้น พบว่ามีฤทธิ์ขยายหลอดเลือดแดงใหญ่ของหนู วิจัยและทำให้ยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกร็ดเลือดในคนได้
ส่วนในการ ค้นคว้าความเป็นพิษของกระชายดำนั้น พบว่า การ วิจัยพิษเรื้อรัง หนู ลองที่ได้รับสารสกัดกระชายดำ มีน้ำหนักและสุขภาพเป็นปกติเหมือนกับหนู ทดลองกลุ่มควบคุม แต่มีเม็ดเลือดขาวบาง ชนิดต่ำกว่ากลุ่มควบคุมแต่อยู่ในช่วงค่าปกติอยู่  และผลการตรวจจุลพยาธิวิทยาไม่พบการเปลี่ยนแปลง ที่จะ อาจบ่งชี้ว่า เกิดจากความเป็นพิษ สารสกัดกระชายดำ
            นี่เป็นเพียงงานวิจัยทดลองและลองกระชายดำบางส่วนเท่านั้น ในการ ศึกษาทดลองของนักลองต่างประเทศในกระชายดำยังมีอีกหลายชิ้นที่ยากเกินจะหยิบยกมาให้หมด แต่ถึงแม้จะมีงานทดลองที่ระบุว่ากระชายดำไม่ก่อให้เกินความเป็นพิษ แต่ก็ยังไม่มีผลการ ลองในคน  ดังนั้นควร กินให้พอเหมาะ และไม่ควร อุปโภคต่อต่อกันเป็นเวลานานเกินไป

Tags : สมุนไพรกระชายดำ
617  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: ความรู้เกี่ยวกับการขยายพันธุ์ของขิงว่ามีการขยายพันธุ์การปลูกอย่างไร เมื่อ: มิถุนายน 12, 2017, 06:28:04 pm
ขิงมีข้อดีมากมาย ลองหาข้อมมูลเพิ่มเติมนะครับ
618  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: ความรู้ที่น่าสนใจของสรรพคุณว่านน้ำและข้อควรระวังว่านน้ำ เมื่อ: มิถุนายน 12, 2017, 01:46:57 pm
619  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: การศึกษาทางด้านต่างๆของไพลข้อดีประโยชน์มากมายและข้อควรระวัง เมื่อ: มิถุนายน 12, 2017, 12:01:38 pm
620  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: องค์ประกอบทางเคมีของบุกและคุณค่าทางสมุนไพรบุกที่มีประโยชน์มากมาย เมื่อ: มิถุนายน 12, 2017, 08:08:37 am
621  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: ถิ่นกำเนิดว่าน้ำและการขยายพันธุ์ของสมุนไพรว่านน้ำ เมื่อ: มิถุนายน 09, 2017, 09:14:24 am
622  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: ถิ่นกำเนิดและการขยายพันธุ์และัองค์ประกอบไพลที่น่าควรศึกษาและข้อดีของไพล เมื่อ: มิถุนายน 08, 2017, 07:52:12 pm
623  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: ถิ่นกำเนิดบุกและการขยายพันธุ์ของบุกซึ่งมีสรรพคุณมากมายน่าสนใจ เมื่อ: มิถุนายน 08, 2017, 06:22:25 pm
624  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ความรู้เกี่ยวกับการขยายพันธุ์ของขิงว่ามีการขยายพันธุ์การปลูกอย่างไร เมื่อ: มิถุนายน 06, 2017, 08:51:17 pm

การขยายพันธุ์ขิง 
ขิงชอบดินร่วนซุย มีการระบายน้ำดี ควรเป็นดินร่วนปนทราย หรือดินเหนียวปนทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง ในการเพาะปลูกจะให้ได้ผลดีจะต้องเตรียมดินนำไปปลูกให้มีสภาพเหมาะสม ขิงสามารถนำไปปลูกได้ดีตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนกระทั่งความสูงประมาณ 1,500 เมตร อุณหภูมิ ขิงชอบอากาศชื้นและมีอุณหภูมิสูงพอสมควร
ขิงเป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก ต้องการน้ำฝนโดยเฉลี่ยปีละประมาณ 80 - 100 นิ้ว ไม่ชอบขึ้นในที่ลุ่มและมีน้ำขัง เพราะจะทำให้เหง้าเน่าได้ง่าย สถานที่เพาะปลูกขิงต้องมีที่กำบังแดดไม่ให้แดดส่องถูกกับขิงโดยตรง ถ้าแสงแดดส่องมากๆ แปลงเพาะปลูกจะร้อนซึ่งจะเป็นสาเหตุที่จะทำให้ขิงไม่งอก หรือขิงอาจจะเน่าได้ วัสดุพรางแสงอาจจะใช้ ทางมะพร้าว ใบจาก ใบหญ้าคา ฟางข้าว ไม้ไผ่ หรือไม้ระแนงก็ได้
การปลูกขิง ใช้รากหรือหัวพันธุ์จากขิงแก่อายุ 10-12 เดือน เอามาผึ่งลมให้แห้ง แล้วนำมาหันเป็นท่อนๆ ยาวท่อนละ 2 นิ้ว มีตาติดอยู่ 2-3 ตา
ขิงกระจายพันธุ์ได้โดยใช้ราก มักใช้วิธีการยกร่องปลูกเพื่อให้มีการระบายน้ำดี ระยะห่างระหว่างสันร่อง ประมาณ 50 - 70 เซนติเมตร และสูงประมาณ 15 - 25 เซนติเมตร ความยาวของร่องไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและขนาดของที่ดิน การปลูกขิงทำได้โดยวางท่อนพันธุ์ลงในหลุมลึกประมาณ 4 - 5 เซนติเมตร หลุมละ 1 ท่อน ระยะห่างระหว่างหลุมประมาณ 25 - 35 เซนติเมตร ขิงที่ใช้ทำพันธุ์ควรเป็นขิงแก่อายุประมาณ 10 - 12 เดือน ก่อนนำมาปลูกให้เอาขิงไปผึ่งไว้ในที่ร่มแห้งและมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อให้เหมาะต่อการขยายพันธุ์ต่อไป หลังจากนั้นจึงนำท่อนพันธุ์มาหั่นเป็นท่อน แต่ละท่อนยาวประมาณ 2 นิ้ว ซึ่งประกอบด้วยตาประมาณ 2 - 3 ตา แล้วนำไปแช่น้ำยาป้องกันโรครากเน่าและเชื้อรา ประมาณ 10 นาที จากนั้นนำไปผึ่งให้แห้งอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะเอาไปปลูก
พันธุ[/url][/b]
การแบ่งพันธุ์ขิง มีหลายแบบ แบ่งพันธุ์ขิงออกเป็บพันธุ์คือ พันธุ์จาไมก้า พันธุ์เซียราเลโอน พันธุ์ไนเจีย พันธุ์อินเดีย(พันธุ์โคชนและคาลิกัต) พันธุ์ Assam พันธุ์ญี่ปุนพันธุ์ Rio-Jneiro (บารซิล) พันธุ์เคอราลา และพันธุ์จีน ส่วน ธงชัย (2531) แบ่งพันธุ์ขิงออกเป็น 6 พันธุ์ด้วยกันคือ พันธุ์จาไมก้า พันธุ์อินเดีย พันธุ์ญี่ปุ่น พันธุ์อาฟริกา พันธุ์จีน และพันธุ์ไทย การค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับขิงในปัจจุบัน จึงออกเป็น 7 พันธุ์ด้วยกัน คือ
พันธุ์ขิง แยกได้เป็น 2 ประเภท คือ

  • ขิงใหญ่หรือขิงหยวกหรือขิงขาว ลักษณะแง่งใหญ่ ข้อห่าง เนื้อละเอียด มีเสี้ยนน้อยมาก รสไม่เผ็ดจัด เมื่อลอกเปลือกออกเนื้อในไม่มีสี หรือมีสีเหลืองเรื่อๆ ตามที่ปรากฏบนแง่งรูปร่างกลมมน ปลายใบป้านและมีความสูงมากกว่าขิงเล็ก เหมาะสำหรับรับบริโภคเป็นขิงอ่อนหรือขิงดอง ขิงชนิดนี้มีจำหน่ายมากมายในท้องตลาด
  • ขิงเล็กหรือขิงเผ็ด บางแห่งเรียกว่า ขิงดำลักษณะเป็นแง่งเล็ก สั้น ข้อถี่ เนื้อมีเสี้ยนมาก และรสค่อนข้างเผ็ด เมื่อลอกเปลือกออกแล้วมีสีน้ำเงินหรือน้ำเงินปนเขียว ตาบนแง่งมีลักษณะแหลม ปลายใบแหลม การแตกกอดี นิยมใช้ทำยาสมุนไพรและทำขิงแห้ง เพราะให้น้ำหนักดีกว่าขิงหยวก แต่ไม่นิยมเพาะปลูกขายในลักษณะขิงอ่อนสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

    ขิงพันธุ์จาไมก้า(Jamaican ginger of west indies) เป็นขิงที่มีคุณภาพสูงที่สุด ภายนอกมีสีเหลืองน้ำตาลอ่อนๆ จึงถึงเหลืองอมส้ม มีกลิ่น(Aroma) และรสชาติดี มีคุณสมบัติเป็นยาสมุนไพร มักใช้อุตสาหกรรมเครื่องดื่ม (Soft drink)
    ขิงพันธุ์อินเดีย เป็นขิงที่มีแป้งมากกว่าและเผ็ดมากกว่านิยมใช้ในอุตสาหกรรมเบียร์

  • ขิงโคชิน ( Cochin ginger) เป็นขิงที่ดีที่สุดของอินเดีย ภายในเป็นสีน้ำตาลอ่อนหรือปนเทา มีกลิ่นมะนาวเล็กน้อย
  • ขิงคาลิกัต(Calicuginger) มีกลิ่นมะนาวมากกว่าขิงโคชิน ขิงคาลิกัตเป็นขิงที่ดีที่สุด มีกลิ่นและรสดีขิงชนิดนี้สามารถทำเป็นขิงแห้งได้ดีแม้จะมีใยต่ำก็ตาม

    ขิงพันธุ์อาฟริกา แบ่งไดเป็น 2 ชนิด

  • ขิงไนจีเรีย (Nigeria)
  • ขิงเซียราเลโอน (Sieria leone) เนื้อภายในมีสีเหลืออ่อนถึงสีน้ำ มีเส้นใยมาก ไม่เหมาะแก่การทำขิงดองเกลือ นิยมใช้อุตสาหกรรมเนื้อ
ขิงพันธุ์จีน แง่งมีผิวขาว ไม่มีเส้นใยในเนื้อขิง จึงกับการทำขิงดอง
ขิงพันธุ์ญี่ปุ่น  เป็นขิงชนิด Zingiber mioga และ Zingiber zerumbet มีรูปร่างแง่งเล็ก เปราะหักง่าย เส้นใยน้อย มีกลิ่นหอมฉุน รสเผ็ดมาก เหมาะแก่การใช้ทำมาตินี่ (Martinique ginger)
ขิงพันธุ์ออสเตรเลีย ขิงพันธุ์นี้มีรูปคุณภาพดีกว่าขิงพันธุ์อื่นๆ เช่น เป็นขิงที่มีกลิ่นมะนาวมากกว่าขิงพันธุ์อินเดียซึ่ง Connell and Jordan (1971) กล่าวว่า น้ำมันขิงที่สกัดจากขิงออสเตรเลียมีปริมาณกรดมะนาวสูงถึง 8-27 เปอร์เซ็นต์
 

Tags : ขิง
625  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / รูปแบบวิธีการใช้และการศึกษาทางด้านต่างๆของหมอไทย เมื่อ: มิถุนายน 02, 2017, 05:40:53 pm

รูปแบบขนาด / วิธีใช้

  • ผลดิบกินเป็นผลไม้สด รสเปรี้ยวขมอมฝาด มีแทนนินเป็นจำนวนมาก หรือนำไปดองเกลือ
  • ผลห่ามนำไปจิ้มน้ำพริก
  • ผลอ่อนใช้เป็นยาระบาย ผลแก้เป็นยาฝาดสมาน แก้ลมจุกเสียด เยื่อหุ้มเมล็ดแก้ขัดและโรคเกี่ยวกับน้ำดี มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์หลายชนิด  เช่น  วิตามินซี  วิตามินเอ  แคลเซียม ฟอสฟอรัส ชาวกะเหรี่ยงใช้ผลย้อมผ้า
  • ผลสุก 5 – 6 ผลต้นกับน้ำใส่เกลือเล็กน้อย ใช้เป็นระบายอ่อนๆ ใช้น้ำประมาณ 1 ถ้วยแก้ว จะถ่ายหลังจากทานแล้วประมาณ 2 ชั่วโมง
การศึกษาทางเภสัชวิทยา [/b]
หยุดเชื้อแบคทีเรีย Samonella และ Shigella
            มีการรายงานทางการค้นคว้าพบว่า สาร 1,2,3,4,6-penta-O-galloyl-β-D-giucose ที่สกัดแยกได้จากผลของสมอไทยมีฤทธิ์ยับยั้งเอ็นไซม์ acetylcholinesterase  และ  butyrylcholinesterase  โดยให้ค่า IC₅₀ เท่ากับ 29.9±0.3 µM และ 27.6±0.2 µM ตามลำดับ และยังมีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก โดยให้ค่า IC₅₀ เท่ากับ 4.6±0.2 µM สารสกัดเมทานอลจากผลสามารถจับกับ NMDA และ GABA receptors จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่าสมอไทยเป็นพืชสมุนไพรที่น่าสนใจอีกชนิดหนึ่งที่มีศักยภาพสามารถที่จะพัฒนาต่อไป  แต่ยังขาดการศึกษาในขั้นตอนสัตว์ทดลอง และ ขั้นคลินิก ซึ่งจะช่วยยืนยันถึงประสิทธิภาพของสมอไทยในการนำไปใช้ป้องกันและรักษาภาวะสมองเสื่อม

การศึกษาทางพิษวิทยา 
ความเป็นพิษของสมอไทยในหนูถีบจักร โดยการใช้ผงแห้งและสารสกัดด้วยน้ำจากผลแห้งของสมอไทย จากผลการค้นพบเบื้องต้นพบเจอว่าหนูถีบจักร ทั้งเพศผู้และเพศเมียที่ได้รับสารในรูปของผงจากผลแห้งของสมอไทยขนาด 0.5 , 2.5  และ  5.0 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ในระยะกึ่งเรื้อรัง (5 วันต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลา 13 สัปดาห์) ไม่มีความเป็นพิษเกิดขึ้นอย่างชัดเจนต่อการเปลี่ยนแปลงน้ำหนักตัวและค่าต่างๆ เมื่อทำการตรวจเลือดทางชีวเคมี การตรวจทางโลหิตวิทยา น้ำหนักของอวัยวะและพยาธิสภาพของ ตับ ไต ม้าม และธัยมัส การตรวจสอบความเป็นพิษของสารสกัดด้วยน้ำจากผลแห้งของสมอไทยในหนูถีบจักรเพศผู้และเพศเมีย ที่ได้รับสารสกัดขนาด 0.2,1.0  และ 5.0  กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1  กิโลกรัม 7 วันต่อสัปดาห์ เป็นเวลา  13 สัปดาห์ ความเป็นพิษของสมอไทยค้นพบ จากการชั่งน้ำหนักตัว  การตรวจเลือดทาง ชีวเคมี การตรวจทางโลหิตวิทยา น้ำหนักของอวัยวะ สังเกตดูพยาธิสภาพของตับ ไต ม้ามและธัยมัส ซึ่งค่าทั้งหมด ถูกใช้ในการแสดงถึงความเป็นพิษของสมอไทย พบว่าสารสกัดด้วยน้ำของสมอไทยไม่ได้ทำให้เกิดความเป็นพิษอย่างชัดเจนต่อน้ำหนักตัว
            การทดสอบพิษเฉียบพลันของสารสกัดผลด้วยเอทานอล 50% โดยให้หนูกินในขนาด 10 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม (คิดเป็น 1000 เท่า เปรียบเทียบกับขนาดรักษาในคน) และให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนู ในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ตรวจไม่พบอาการเป็นพิษ
 
 
 
 
 
 
626  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ความรู้ที่น่าสนใจของสรรพคุณว่านน้ำและข้อควรระวังว่านน้ำ เมื่อ: มิถุนายน 02, 2017, 11:02:05 am

สรรพคุณว่านน้ำ
ตำรายาไทย: เหง้า เป็นยาขับลม ยาหอม แก้ธาตุพิการ เป็นยาขมช่วยเจริญอาหาร ช่วยได้ในอาการท้องเสีย อาหารไม่ย่อย และอ่อนเพลีย ราก แก้ไข้มาลาเรีย แก้หวัด หลอดลมอักเสบ แก้เจ็บคอ แก้ปวดฟัน  เป็นยาระบาย แก้เส้นกระตุก บำรุงหัวใจ แก้หืด แก้เสมหะ เผาให้เป็นถ่านกินถอนพิษสลอด แก้ปวดศีรษะ แก้ลงท้อง พอกแก้ปวดตามข้อและกล้ามเนื้อ แก้บิด แก้ไอ แก้ปวดท้อง แก้จุกเสียด หัว ใช้ขับลมในท้อง แก้ท้องขึ้นอืดเฟ้อ แน่นจุกเสียด ช่วยย่อยอาหาร แก้โรคกระเพาะอาหาร แก้ธาตุพิการ แก้ลมจุกแน่นในทรวงอก แก้ลมที่อยู่ในท้องแต่นอกกระเพาะและลำไส้ บำรุงธาตุน้ำ แก้ข้อกระดูหักแพลง ขับเสมหะ แก้ปวดท้อง แก้ท้องเสีย แก้บิด ขับพยาธิ กินมากทำให้อาเจียน บำรุงกำลัง แก้โรคลม แก้ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ แก้ไข้จับสั่น บำรุงประสาท หลอดลม บิดในเด็ก ขับเสมหะ ขับระดู ขับปัสสาวะ รากฝนกับสุราทาหน้าอกเด็กเพื่อเพื่อเป็นยาดูดพิษแก้หลอดลมและปอดอักเสบ เหง้าต้มรวมกับขิงและไพลกินแก้ไข้ ผสมชุมเห็ดเทศ ทาแก้โรคผิวหนัง
ตำรายาไทยแผนโบราณ
ว่านน้ำ จัดอยู่ใน “พิกัดจตุกาลธาตุ” ประกอบด้วย หัวว่านน้ำ รากนมสวรรค์ รากแคแตร รากเจตมูลเพลิงแดง สรรพคุณแก้ธาตุพิการ บำรุงธาตุ แก้จุกเสียด แก้เสมหะ แก้โลหิตในท้อง แก้ไข้ แก้ลม
           นอกจากนี้บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศ คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา (ฉบับที่ 5)    ปรากฏการใช้เหง้าว่านน้ำ ในยารักษาอาการโรคในระบบต่างๆของร่างกาย รวม 2 ตำรับ คือ  ยารักษากลุ่มอาการทางระบบทางเดินอาหาร ปรากฏตำรับ “ยาประสะกานพลู” มีส่วนประกอบของเหง้าว่านน้ำ ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ ในตำรับ มีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดท้อง จุกเสียด แน่นเฟ้อจากอาหารไม่ย่อย เนื่องจากธาตุไม่ปกติ  ยารักษากลุ่มอาการทางสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา ปรากฏตำรับ “ยาประสะไพล” มีส่วนประกอบของเหง้าว่านน้ำ ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ ในตำรับ ใช้ในสตรีที่ระดูมาไม่สม่ำเสมอ หรือมาน้อยกว่าปกติ ขับน้ำคาวปลาในสตรีหลังคลอดบุตร  ในว่านน้ำมีสารชนิดหนึ่งเรียกว่า อาโกริน acorine มีรสขมและแอลคาลอยด์ คาลาไมท์ อยู่ในนี้เป็นยาแก้บิด เป็นยารักษาบิดของเด็ก (คือมูกเลือด) และหวัดลงคอ (หลอดลมอักเสบ) ได้อย่างดี ชาวเมี่ยนจะใช้ผลอ่อนนำมาบริโภคร่วมกับลาบ  ช่อดอกอ่อนๆ จะมีรสหวาน เด็กชอบกิน ส่วนรากอ่อนเด็กในประเทศเนเธอร์แลนด์จะชอบนำมาเคี้ยวเล่นเป็นหมากฝรั่ง
 
สรรพคุณตามตำราการแพทย์แผนจีน
ว่านน้ำ รสขมเผ็ด สุขุม มีฤทธิ์ขับลม ขับเสมหะ สงบประสาท ใช้รักษาอาการไอ ตื่นเต้นลืมง่าย สลึมสลือ บิด ท้องเสีย ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ปวดข้อ แผลฝีหนอง และขับพยาธิ
ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง[/b]
สำหรับผู้ที่มีอาการเหงื่อออกบ่อย ๆ หรือเหงื่อออกง่ายไม่ควรใช้สมุนไพรชนิดนี้ บริโภคเหง้าว่านน้ำเกินขนาดจะทำให้อาเจียนได้ และมีรายงานว่าเหง้าว่านน้ำมีสาร β-asarone ซึ่งมีความเป็นพิษต่อตับและเป็นสารก่อมะเร็ง
การแพทย์แผนไทย ห้ามกินมากกว่าครั้งละ 2 กรัม เพราะจะทำให้อาเจียน (อาจใช้ประโยชน์ในกรณีผู้ป่วยกินสารพิษ และต้องการขับสารพิษออกจากทางเดินอาหารด้วยการทำให้อาเจียน)
 
 

Tags : ว่าน้ำ
627  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / การศึกษาทางด้านต่างๆของไพลข้อดีประโยชน์มากมายและข้อควรระวัง เมื่อ: มิถุนายน 01, 2017, 12:09:47 pm

รูปแบบ/ขนาดวิธีการใช้

  • แก้ท้องขึ้น ท้องอืดท้องเฟ้อ ขับลม ใช้เหง้าแห้งบดเป็นผง รับประทานครั้งละ ½ ถึง 1 ช้อนชา ชงน้ำร้อน ผสมเกลือเล็กน้อย ดื่ม
  • รักษาอาการเคล็ดขัดยอก ฟกช้ำบวม ข้อเท้าแพลง ใช้หัวไพลฝนทาแก้ฟกบวม เคล็ด ขัด ยอกใช้เหง้าไพล ประมาณ 1 เหง้า ตำแล้วคั้นเอาน้ำทาถูนวดบริเวณที่มีอาการ หรือตำให้ละเอียด ผสมเกลือเล็กน้อยคลุกเคล้า แล้วนำมาห่อเป็นลูกประคบ อังไอน้ำให้ความร้อน ประคบบริเวณปวดเมื่อยและบวมฟกช้ำ เช้า-เย็น จนกว่าจะหาย หรือทำเป็นน้ำมันไพลไว้ใช้ก็ได้ โดยเอาไพล หนัก 2 กิโลกรัม ทอดในน้ำมันพืชร้อนๆ 1 กิโลกรัม ทอดจนเหลืองแล้วเอาไพลออก ใส่กานพลูผงประมาณ 4 ช้อนชา ทอดต่อไปด้วยไฟอ่อนๆ ประมาณ 10 นาที กรองแล้วรอจนน้ำมันอุ่นๆ ใส่การบูรลงไป 4 ช้อนชา ใส่ภาชนะปิดฝามิดชิด รอจนเย็น จึงเขย่าการบูรให้ละลาย น้ำมันไพลนี้ใช้ทาถูนวดวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น หรือเวลาปวด (สูตรนี้เป็นของ นายวิบูลย์ เข็มเฉลิม อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา)
  • การเตรียมสมุนไพรไว้ใช้ดูแลรักษาเอง
  • เก็บรากสดที่แก่จัดอายุ ๑๐ เดือนขึ้นไป เพราะเป็นช่วงที่มีสารสำคัญอยู่มาก ทำไว้ใช้ได้ ๓ รูปแบบ ดังนี้
  • นำเหง้าสดมาตำให้แหลกพอกบริเวณที่มีอาการ
  • ใช้เหง้าสดล้างให้สะอาดหั่นเป็น ชิ้นบางๆ ต้มกับน้ำมันพืชโดยใช้ไฟอ่อนๆ ในอัตรา ๒:๑ ต้มจนน้ำมันที่ได้เป็นสีเหลืองใส กรองเอาเฉพาะน้ำมัน อาจผสม การบูรเล็กน้อย เพื่อประคบบริเวณที่มีอาการ เช้า-เย็น หรือเวลาปวดจนกว่าจะหาย
  • ใช้รากไพลสดตำผสมการบูรประมาณ ๑ ช้อนโต๊ะ ห่อเป็นลูกประคบและอังไอน้ำให้ร้อน ใช้ประคบบริเวณที่ปวดวันละ ๒ ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ดี และยังมีกลิ่นสมุนไพรที่ทำให้ร่างกายและจิตใจได้ผ่อนคลายลงได้
  • แก้บิด ท้องเสีย ใช้เหง้าไพลสด 4-5 แว่น ตำให้ละเอียด คั้นเอาแต่น้ำเติมเกลือครึ่งช้อนชา ใช้รับประทาน หรือฝนกับน้ำปูนใส รับประทาน
  • เป็นยารักษาหืด ใช้เหง้าไพลแห้ง 5 ส่วน พริกไทย ดีปลี อย่างละ 2 ส่วน กานพลู พิมเสน อย่างละ ½ ส่วน บดผสมรวมกัน ใช้ผงยา 1 ช้อนชา ชงน้ำร้อนรับประทาน หรือปั้นเป็นลูกกลอนด้วยน้ำผึ้ง ขนาดเท่าเม็ดพุทรา รับประทานครั้งละ 2 ลูก ต้องรับประทานติดต่อกันเวลานาน จนกว่าอาการจะดีขึ้น
  • เป็นยาแก้เล็บถอด ใช้เหง้าไพลสด 1 แง่ง ขนาดเท่าหัวแม่มือ ตำให้ละเอียดผสมเกลือและการบูร อย่างละประมาณครึ่งช้อนชา แล้วนำมาพอกบริเวณที่เป็นหนอง ควรเปลี่ยนยาวันละครั้ง
  • ช่วยทำให้ผิวหนังชุ่มชื่น และเป็นยาช่วยสมานแผลด้วย ใช้เหง้าสด 1 แง่ง ฝานเป็นชิ้นบางๆ ใช้ต้มรวมกับสมุนไพรอื่นๆ เนื่องจาไพล[/url]มี่น้ำมันหอมระเหย

     
    การใช้วิธีการใช้ไพลดูแลรักษาอาการบวม ฟกช้ำ อักเสบตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขมูลฐาน)   

  • นำไพลมาฝานเป็นชิ้นบางๆ ใช้ถูนวดบริเวณที่อักเสบ
  • เตรียมน้ำมันไพลด้วยการจี่ในกะทะ (คั่วในกะทะ) จนได้น้ำมันสีเหลือง นำมาทาถูนวด

หมายเหตุ: ครีมน้ำมันไพลขององค์การเภสัชกรรม เตรียมจากน้ำมันซึ่งกลั่นจากหัวไพล สาระสำคัญจะเป็นน้ำมันหอมระเหย
ยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ    ครีมที่มีน้ำมันไพลร้อยละ 14 ทาและถูเบา ๆ วันละ 2-3 ครั้ง บริเวณที่มีอาการปวดเมื่อย ปวดบวม จากกล้ามเนื้ออักเสบ เคล็ดยอก ฟกช้ำ
การศึกษาทางคลินิก
ครีมไพลซึ่งมีน้ำมันหอมระเหยเป็นส่วนประกอบ (14%) พบเห็นว่าใช้ภายนอกลดอาการปวดบวมในการรักษาข้อเท้าแพลง   เหง้ามีสาร veratrole มีฤทธิ์ขยายหลอดลม มีการทดสอบให้บริโภคในผู้ป่วยโรคหืดเจอว่าได้ผลทั้งหืดชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
มีฤทธิ์ขยายหลอดลม มีการทดสอบในผู้ป่วยเด็กที่เป็นหืด พบว่าให้ผลดีทั้งในรายที่มีอาการหอบหืดแบบเฉียบพลัน มีฤทธิ์กดหัวใจ ต้านเชื้อรา ต้านเชื้อแบคทีเรีย ลดการอักเสบ แก้ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ กระตุ้นการผลิตน้ำดี ไล่แมลง ฆ่าแมลง ต้านออกซิเดชั่น ต้านฮิสตามีน เป็นยาชาเฉพาะที่ ฆ่าอสุจิ แก้หืด ยับยั้งหัวใจเต้นผิดปกติ กดการทำงานของหัวใจ ลดอัตราการเต้นของหัวใจ ลดความแรงในการเต้นของหัวใจ คลายกล้ามเนื้อมดลูก ลดการหดเกร็งของลำไส้ คลายกล้ามเนื้อเรียบ ลดความดันโลหิต
ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง

  • ไพลอาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนัง และเกิดอาการแพ้ที่ผิวหนังได้
  • บริโภคในขนาดสูงหรือใช้เป็นระยะเวลานาน ทำให้เกิดพิษต่อตับ และยังไม่มีความปลอดภัยที่จะนำมาใช้เป็นยารักษาโรคหืด และไม่ควรนำรากไพลมาใช้ทานเป็นยาเดี่ยว ติดต่อกันนาน  นอกจากจะมีการขจัดสารที่เป็นพิษต่อตับออกจากไพลเสียก่อน
  • การใช้ครีมไพลห้ามใช้ทาบริเวณขอบตา เนื้อเยื่ออ่อน และบริเวณผิวหนังที่มีบาดแผลหรือมีแผลเปิด
  • ไม่แนะนำให้ใช้สมุนไพรชนิดนี้กับสตรีมีครรภ์ หรืออยู่ระหว่างการให้นมบุตรและเด็กเล็ก
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
มีฤทธิ์ขยายหลอดลม มีการทดลองในผู้ป่วยเด็กที่เป็นหืด เจอว่าให้ผลดีทั้งในรายที่มีอาการหอบหืดแบบเฉียบพลัน มีฤทธิ์กดหัวใจ ต้านเชื้อรา ต้านเชื้อแบคทีเรีย ลดการอักเสบ แก้ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ กระตุ้นการผลิตน้ำดี ไล่แมลง ฆ่าแมลง ต้านออกซิเดชั่น ต้านฮิสตามีน เป็นยาชาเฉพาะที่ ฆ่าอสุจิ แก้หืด ยับยั้งหัวใจเต้นผิดปกติ กดการทำงานของหัวใจ ลดอัตราการเต้นของหัวใจ ลดความแรงในการเต้นของหัวใจ คลายกล้ามเนื้อมดลูก ลดการหดเกร็งของลำไส้ คลายกล้ามเนื้อเรียบ ลดความดันโลหิต
 
628  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / องค์ประกอบทางเคมีของบุกและคุณค่าทางสมุนไพรบุกที่มีประโยชน์มากมาย เมื่อ: พฤษภาคม 31, 2017, 12:41:26 pm

องค์ประกอบทางเคมี
หัวบุกประกอบด้วยกลูโคแมนแนน (Glucomannan) ซึ่งมีชื่อเรียกในภาษาญี่ปุ่นว่า Konjac เป็นเส้นใยธรรมชาติ ที่มีน้ำหนักมวลโมเลกุลสูงมาก  (ultra – high molecular – weight polysaccharide) คือประมาณ 2000000 ดัลตัน  สกัดได้จากหัวใต้ดิน  โดยผ่านขั้นตอนการล้าง  และสกัดสารพิษต่างๆ ออก โดยเฉพาะสารที่ทำให้เกิดอาการคันคอหรือระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร โมเลกุลของกลูโตแมนแนน ประกอบด้วยน้ำตาลสองชนิด คือ กลูโคส และแนมโนส  ในสัดส่วน 2:3   แป้งจากหัวบุกประกอบด้วย กลูโคสแมนแนน  ประมาณ 90% และสิ่งเจือปนอื่นๆ เช่น starch , alkaloid , สารประกอบไนโตเจนต่างๆ sulfates , chloride , และสารพิษอื่น และตรวจพบเจอผลึกของแคลเซียมออกซาเลทในเนื้อหัวบุกป่าจำนวนมาก กลูโคแมนแนนสามารถดูดน้ำ  และพองตัวได้ถึง 200 เท่า  สารกลูโคแมนแนน จะมีปริมาณแตกต่างกันออกไปตามชนิดของบุก
ในปัจจุบันนี้ บุก นิยมใช้เป็นอาหาร อาหารเสริม  และผลิตภัณฑ์ลดความอ้วน มากกว่าการใช้เป็นยารักษาโรค แต่ในตำรายาไทยสมัยก่อนมีระบุประโยชน์ไว้คือ
คุณค่าทางสมุนไพร
ตามตำราสมุนไพรของไทยโบราณได้มีผู้รวบรวมสรรพคุณไว้ดังนี้ คือ

  • หัว      ใช้เป็นยาบำรุงธาตุ  ขับลม  แก้บิด  แก้โรคไขข้ออักเสบ  บำรุงกำลัง  แก้ริดสีดวงทวาร
  • หัวสด ใช้ขับเสมหะ  หุงเป็นน้ำมันใส่แผล   กัดฝ้าหนอง  และใช้เป็นยาพอกได้ด้วย

                 นอกจากนี้ยังใช้น้ำจากหัวต้มผสมกับยางน่องไว้ใช้ยิงสัตว์

  • ราก     ใช้พอกฝี ขับระดู  และใช้แก้ริดสีดวงทวาร

    และในการค้นพบในปัจจุบันพบเจอว่า เมื่อเราทาบุก[/url]ที่มีกลูโคแมนแนน ก่อนอาหารครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง กลูโคแมนแนน จะดูดน้ำที่มีมากในกระเพาะอาหารของเรา  แล้วเกิดการพองตัวจนทำให้เรารู้สึกอิ่มอาหารได้เร็วและอิ่มได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้เรากินได้น้อยลงกว่าปกติด้วย อีกทางกลูโคแมนแนน จากบุกก็มีพลังงานต่ำมาก  กลูโคแมนแนน จึงช่วยในการควบคุมน้ำหนักและเป็นอาหารของผู้ที่ต้องการลดความอ้วนได้เป็นอย่างดี
                นอกจากนี้ สารกลูโคแมนแนนนี้ สามารถลดปริมาณน้ำตาลในเลือดได้ ก็เนื่องจากความเหนี่ยว ซึ่งยับยั้งการดูดซึมของกลูโคลสจากทางเดินอาหาร  ยิ่งหนืดมาก็ยิ่งมีผลลดการดูดซึมกลูโคลส ดังนั้น  กลูโคแมนแนนช่วยลดน้ำตาลได้ดีมาก  ปัจจุบันจึงใช้แป้งเป็นวุ้น เป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน  และสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคมีไขมันในเลือดสูง
    รูปแบบขนาด/วิธีการใช้ 

  • สำหรับการลดน้ำหนัก ใช้ ผงบุก 3 – 5 กรัม ต่อวัน หรือ เฉลี่ยครั้งละ 1 กรัม  โดยกินก่อนอาหารครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง แล้วดื่มน้ำตาม 1 – 2 แก้ว  แป้งบุกนิยมใช้ทำผลิตภัณฑ์อาหาร  และเครื่องดื่มรูปแบบต่างๆ สำหรับลดน้ำหนัก ลดความอ้วน
  • ช่วยลดและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด กลูโคแมนแนน จะชะลอการเคลื่อนของอาหารออกจากกระเพาะอาหาร  มีผลทำให้การซึมซับน้ำตาลจากอาหารช้าลง  จึงช่วยลดระดับของน้ำตาลในเลือดหลังการกินอาหาร (post – prandial blood sugar) ปริมาณที่ใช้ได้ผลในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด   คือ  500 – 700 มิลลิกรัมของผงวุ้นบุกต่ออาหาร 100 แคลลอรี่
  • ช่วยลดระดับไขมันในเลือด กลูโคแมนแนน เป็นเส้นใยอาหาร จึงสามารถจับกับกรดน้ำดี (bile acid) เพิ่มการขับถ่ายกรดน้ำดีออกทางอุจจาระและลดการดูดซึมไขมันจากอาหารเข้าสู่ร่างกายได้ เนื่องจากกรดน้ำดีถูกสร้างจากคอเลสเตอรอล ดังนั้นร่างกายจึงชดเชยการสูญเสียกรดน้ำดีด้วยการนำคอเลสเตอรอล มาสร้างกรดน้ำดีเพิ่มขึ้น  ทำให้ระดับคอเลสเตอรอล ลดลง  ปริมาณที่ใช้ได้ผลในการช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ในเลือด คือ 4 – 13 กรัม

     
629  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / องค์ประกอบทางเคมีว่านชักมดลูกสรรพคุณข้อดีและวิธีการใช้ที่น่าควรรู้ของสมุนไพรว่าน เมื่อ: พฤษภาคม 30, 2017, 08:59:26 am

องค์ประกอบทางเคมีว่านชักมดลูก 
สารประกอบทางเคมี   Curcuma  xanthorrhiza  พบเจอสารกลุ่มต่างๆ ดังนี้
กลุ่ม curcuminoids เช่น curcumin , desmethoxycurcumin , bisdesmethoxycurcumin , hexahydrocumin , octahydocurcumin เป็นต้น
กลุ่ม diarylheptanoids เช่น trans-1,7-diphenylhepten-5-ol, trans , teans-1,7- diphenylheptadien-5-ol, trans, trans-1.7-diphehenylheptadien-5-one , trans-1,7-diphenyl-1,3-heptadien-u-one , 5-hydroxy-7-(4-hydroxyphenyl)-1-phenyl-(1E)-1-heptene เป็นต้น
กลุ่ม sesquiterpenes เช่น xanthorrhizol, germacrone , curzerenone , alpha-curcumene , ar-turmerone , beta-atlantone เป็นต้น
สารประกอบทางเคมี   Curcuma comosa   พบสารกลุ่มต่างๆ ดังต่อไปนี้
กลุ่ม curcuminoids  เช่น  curumin , desmethoxycurcumin , bisdesmethoxycurumin ,
กลุ่ม diarylhepttanoids เช่น 5-hydroxy-7-(4-hydroxyphenyl)-1-phenyl-(1E)-1-heptene,trans , trans-1,7-diphenylheptadien-5-ol เป็นต้น
กลุ่มacetophenones เช่น phloracetophenone , 4,6-dihydroxy-2-O-(beta-D- glucopyranosyl) acetophenone เป็นต้น
สรรพคุณว่านชักมดลูก
ยาสมุนไพรพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานี  ใช้ เหง้า ฝนทาแผล  แก้พิษสุนัขกัด  ตำราไทยราก  รักษาเลือดออกจากมดลูกหลังคลอด ดูแลมดลูกอักเสบ  แก้ตับอักเสบ แก้ปวดท้อง  ขับน้ำดีรักษาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติ , ปวดท้องระหว่างมีประจำเดือน ตกขาว ขับน้ำคาวปลา แก้ธาตุพิการอาหารไม่ย่อย แก้ริดสีดวงทวาร หัวตำดองดัวยสุรารับประทาน ครั้งละไม่เกิน 2 ช้อนโต๊ะ  สำหรับคนคลอดบุตรใหม่ ๆ แก้เจ็บปวดมดลูก ทำให้มดลูกเข้าอู่หรือเข้าที่ ไม่อักเสบ นิยมนำหัวของว่านชักมดลูกที่เป็นหัวกลมสั้นมาฝานต้มน้ำสำหรับอาบ และดื่ม เพื่อให้สภาพร่างกาย และมดลูกฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ส่วนหญิงบางคนในสมัยใหม่ไม่ค่อยพบการอยู่ไฟแล้ว แต่ก็ยังนิยมใช้ว่านชักมดลูก/ว่านทรหดมาต้มน้ำอาบ และดื่มเป็นประจำตลอดระยะเวลา 3 เดือน หรือมากกว่า  ว่านชักมดลูกยังช่วยกระตุ้นการย่อยอาหาร แก้ริดสีดวง แก้ไส้เลื่อน  รักษาแผลในกระเพาะอาหาร  ป้องกันมะเร็งชนิดต่างๆ ลดอาการปวดบวมของแผล และต้านการอักเสบของแผล หากเป็นแผลภายในจะใช้การต้มน้ำดื่ม หากเป็นแผลภายนอกอาจใช้ทั้งการต้มน้ำดื่ม ใช้บดทาแผล หรือน้ำต้มล้างทาแผล  ช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างเซลล์ใหม่  และการซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอหรือเซลล์บาดแผล  ช่วยต้านอนุมูลอิสระ  ทำให้ผิวแลดูสดใส ช่วยลดคอเลสเตอรอล ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก กระตุ้นการหลั่งน้ำถุง และช่วยกระตุ้นกระบวนกรย่อยอาหาร แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ
รูปแบบขนาดวิธีการใช้

  • นำหัวว่านชักมดลูกมาฝนกับเหล้าดื่ม ปรุงเป็นยาต้ม  นำหัว่านชักมดลูก[/url]ซอยเป็นชิ้น นำไปปิ้งหรือย่างไฟให้แห้ง ดองเหล้า 2 – 3 วัน ดื่มวันละ 2 เวลา ก่อนอาหาร
  • ว่านชักมดลูกอบแห้ง 400 MGทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร เช้า -กลางวัน - เย็น
  • ยาทำให้มดลูกเข้าอู่ นำว่านชักมดลูกมาฝาน 3 ฝาน 7 ฝาน แล้วแต่ละหัว น้ำประมาณลิตรครึ่ง ต้ม 3 เอา 1 กิน ครั้งละ ? แก้ว วันละ 3 ครั้ง ดื่มไปจนกว่าไม่เจ็บปวด  ท้องแฟบ หลังคลอด ควรกินหลังจากที่มีน้ำนมแล้ว
  • ยารักษาอาการตกขาว นำกิ่งและใบของกระบือเจ็ดตัว 1 – 2 กำมือ และว่านชักมดลูก 5 – 7 แว่น ใส่น้ำให้ท่วมยา ต้มเดือดประมาณ 15 นาที ดื่มครั้งละ ? – 1 แก้ว 3 เวลา ก่อนอาหาร
  • ยาแก้ปวดประจำเดือน นำโกศหัวบัว ว่านชักมดลูก  ใช้ฝนกับน้ำพอกินหมด ฝนนาน 2 นาที จนได้น้ำยาสีขาวขุ่น กลิ่นหอม รสขม รับประทาน 1 – 2 ครั้ง ก็จะหาย
  • ยาคลอดลูกง่าย นำว่านชักมดลูกฝานเป็นแว่น ( 4 – 5 แว่น ) แช่น้ำอาบ จะทำให้คลอดลูกง่าย
  • ยาแก้มดลูกหย่อน นำข่าหด 2 นิ้วมือ ว่านชักมดลูก 1 ฝาน ต้มดื่มครั้งละ 1 แก้ว เช้า – เย็น หรือใช้ข่าหด 1 – 20 กีบ ว่านชักมดลูก 1 ฝาน ตะไคร้ต้น 1 – 2 กีบ ข่าธรรมดา (แก่) 2 – 3 ท่อน ต้มเข้าด้วยกัน ดื่ม เช้า – เย็น
  • ยาแก้ปวดมดลูก ปวดท้อง แน่นท้อง ปัสสาวะกะปริดกะปรอย ทำงานหนักไม่ได้ ว่านชักมดลูก ฝาน 3 ว่าน ต้มดื่มเฉพาะเวลาปวด
  • ยาสตรีปวดมดลูก นำพริกไทยล่อน 7 เม็ด ดีปลี 7 เม็ด กระเทียม 7 กลีบ ขิง 7 ชิ้น ไพลสด 7 แว่น ว่านชักมดลูก 7 แว่น เอาตัวยารวมกันตำให้ละเอียด นำไปต้ม ดื่มเช้า – เย็น ประมาณ 3 วันก็จะหาย
  • แก้เจ็บขา ปวดขา ฝานว่านชักมดลูก 7 แว่น ย่างไฟจนกรอบ ดองเหล้า 3 คืน กินเช้าก๊ง แลงก๊ง(ค่อยๆ กิน)

  ยาสตรีหลังคลอด (ต้ม) ที่มีส่วนผสมของว่านชักมดลูก นำยาใส่น้ำพอท่วม ต้มด้วยไฟปานกลาง นานครึ่งชั่วโมง นำเฉพาะส่วนน้ำมากินครั้งละ 250 มิลลิลิตร วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร หรือดื่มแทนน้ำ รับประทานติดต่อกัน 1 สัปดาห์หรือจนกว่าน้ำคาวปลาจะหมด แต่ไม่เกิน 15 วัน
630  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / การศึกษาทางเภสัชในด้านต่างๆของประโยชน์เจตมูลเพลิงแดงที่น่าควรรู้ เมื่อ: พฤษภาคม 29, 2017, 05:33:39 pm

การศึกษาทางเภสัชวิทยาเจตมูลเพลิงแดง 
สารสกัดรากยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราที่ก่อโรคกลากเกลื้อน และยีสต์ได้หลายชนิด ต้านการก่อกลายพันธุ์ของสารแอฟลาทอกซินบี 1, สารสกัดในขนาดต่ำ ช่วยลดการเจริญของเซลล์มะเร็งบางชนิด ที่ปลูกถ่ายในสัตว์ทดลอง
            สารพลัมเบจินมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย เป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง ต่อต้านการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันการเกิดมะเร็งจากสารก่อมะเร็ง ยับยั้งการจับเป็นลิ่มของเกล็ดเลือด ลดไขมันในเลือด
           
ซึ่งสารนี้เป็นสารพวก naphthaquinone 1,4-naphthoquinone triterpines tannin โดยสาร 1,4- naphthaquinone มีผลทำให้กล้ามเนื้อเรียบที่มดลูก ลำไส้เล็กและหัวใจเพิ่มการบีบตัว จำทำให้เพิ่มการหลั่งน้ำย่อย กระตุ้นให้เจริญอาหารแต่สารนี้ทำให้ระคายเคืองต่อเยื่อเมือกและผิวหนัง
ฤทธิ์ทางเภสัชเจตมูลเพลิงแดง [/b]
            สาร plumbagin ที่พบเห็นในเจตมูลเพลิงแดงมีประโยชน์ต่างๆ มากมาย และมีรายงานการออกฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา พบเจอว่ามีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อรา เช่น Candida albicans และเชื้อราที่เป็นสาเหตุโรคพืช เช่น Colletrihum cansici และสามารถหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและยีสต์ เช่น Staphyiococcus aureus
            มีฤทธิ์หยุดเชื้อรา และเชื้อแบคทีเรีย  มีรายงานว่าสารสกัดจากเจตมูลเพลิงแดง สามารถฆ่าเชื้อราได้เกือบ 20 ชนิด  เช่น Aspergillus fumigatus, Microsporum , Trichophyton rubrum , Cryptococus neoformans  หยุดการเจริญเติบโตของ Staphylococcus aureus และ Candida albicans ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคที่เกี่ยวกับกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก
            มีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็ง  สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง สายพันธุ์ Raji Calu-1 Hela และ Wish tumor อีกทั้งยังเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งมนุษย์ 2 ชนิด ได้แก่ Bower (melanoma cells) และ MCF7 (breast cancer cells) ทำลายเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากของคน  สายพันธุ์ PC-3 LNCaP และ C4-2
            มีฤทธิ์ในการกระตุ้นและบีบมดลูก  รายงานว่า สารสกัดที่ได้จากเจตมูลเพลิงแดงที่สกัดด้วยแอลกฮอล์ปิโตรเลียมอีเธอร์ และ น้ำ มีผลทำให้หนูแท้ง ช่วยขับฤดู  และเร่งการคลอดได้
            มีฤทหยุดการเจริญเติบโตของศัตรูพืช มีรายงานว่าสารสกัดจากเจตมูลเพลิงแดงสามารถหยุดการเคลื่อนที่ และลดอัตราการมีชีวิตของไส้เดือนฝอย Haemonchus contonus ในตัวอ่อนระยะที่  1  และ Ascaris suun ในตัวอ่อนระยะที่ 4 นอกจากนี้ยังยั้งการฟักจากไข่ของตัวอ่อนไส้เดือนฝอย A. suum รวบทั้งยับยั้งการพัฒนาของท่อรังไข่ และการลอกคราบของมวนฝ้ายแดง (Dysdercus cingulatus)  และมีรายงานเพิ่มเติมถึงฤทธิ์ทางเภสัชวิยาของเจตมูลเพลิงแดงว่ามีฤทธิ์ ยับยั้งเซลล์มะเร็ง ต้านมาลาเรีย  และการคุมกำเนิด  เป็นต้น
การศึกษาทางพิษวิทยาเจตมูลเพลิงแดง 
            สาร Plumbagin เมื่อนำมาฉีดเข้าในกระต่ายทดลองในอัตราส่วน 0.01 กรัม ต่อ 1 กิโลกรัม พบเจอว่าจะทำให้กระต่ายเสียชีวิต  มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ มีพิษต่อยีน ต่อต้านการเจริญพันธุ์ของสัตว์ทดลองทั้งเพศผู้และเพศเมีย ทำให้แท้งลูก  การใช้ในขนาดสูง  หรือใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจเป็นพิษต่อไต
ข้อแนะนำ / ข้อควรระวัง

  • แพทย์แผนโบราณจะนิยมใช้รากของเจตมูลเพลิงแดงมากกว่าเจตมูลเพลิงขาวเพราะมีฤทธิ์ที่แรงกว่า โดยรากที่นำมาใช้เป็นยาถ้าจะให้ได้ผลดีต้องมีอายุ 3 ปีขึ้นไป
  • สตรีมีครรภ์ห้ามรับประทานสมุนไพรชนิดนี้ เพราะมีสารที่ทำให้แท้งบุตรได้ ซึ่งในประเทศไทยและมาเลเซียถือว่าสมุนไพรชนิดนี้เป็นยาทำแท้ง
  • ยางจากรากเมื่อถูกผิวหนังจะทำให้ผิวหนังไหม้และพองได้เหมือนโดนเพลิงไฟ จึงได้ชื่อว่า “เจตมูลเพลิง” ส่วนคนใต้จะเรียกว่า “ไฟใต้ดิน” ดังนั้นในการจะจับต้องรากในขณะเก็บมาใช้ ก็ต้องสวมถึงมือเสียก่อน เพื่อป้องกันอาการปวดแสบปวดร้อน
  • เจตมูลเพลิงมีสาร Plumbagin ที่มีฤทธิ์ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหารและอาจเป็นพิษได้ จึงควรระมัดระวังในการใช้
  • สาร Plumbagin ในเจตมูลเพลิงแดงหากใช้ในขนาดสูง จะกดการหายใจ ทำให้เป็นอัมพาต และตายได้ เนื่องจากระบบหายใจล้มเหลว การใช้สมุนไพรนี้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์แผนไทย

 
หน้า: 1 ... 40 41 [42] 43 44
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย