กระทู้ล่าสุดของ: watamon

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: 1 ... 42 43 [44]
646  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สรรพคุณถั่งเช่าที่น่ารู้ เมื่อ: พฤษภาคม 19, 2017, 07:19:53 pm

สรรพคุณ

  • ช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศ มีฤทธิ์บำรุงกำลังทางเพศ ช่วยให้อสุจิแข็งแรก เนื่องจากการกินถั่งเช่าจะส่งผลให้มีเลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศมากขึ้น ถั่งเช่าสามารถช่วยเพิ่มปริมาณของสเปิร์มในอสุจิได้ โดยจากการวิจัยในผู้ชาย 22 คนพบเจอว่าเมื่อใช้ถั่งเช่าเป็นอาหารเสริมแล้ว ปริมาณของสเปิร์มในอสุจิเพิ่มขึ้น 33% อีกทั้งยังลดปริมาณสเปิร์มที่มีความผิดปกติลงได้ถึง 29% และเมื่อเพิ่มเติมก็พบเจอว่าถั่งเช่าสามารถช่วยเพิ่มความต้องการทางเพศได้ 66 – 86% อีกทั้งยังมีคุณสมบัติในการปกป้องและเสริมสร้างการทำงานของต่อมหมวกไต และเพิ่มโอกาสที่สเปิร์มจะปฏิสนธิได้
  • ช่วยปรับการทำงานของหัวใจ ถั่งเช่า มีประโยช์นช่วยปรับอัตราการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติได้ อีกทั้งยังช่วยบรรเทาอาการหัวใจขาดออกซิเจน และเพิ่มออกซิเจนให้หัวใจได้
  • เสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ถั่งเช่ามีสรรพคุณช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้เป็นปกติ ช่วยให้ร่างกายสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกันมากขึ้น
  • ต้านมะเร็ง ถั่งเช่าก็ยังมีฤทธิ์ในการต้านมะเร็ง โดยสารคอร์ไดเซปิน (Codycepin) ที่อยู่ในถั่งเช่าถือเป็นสารที่มีความสำคัญในการต่อต้านการเกิดมะเร็ง ป้องกันการเกิดและการแพร่กระจายของเนื้อร้าย
  • ลดไขมันในเลือด ถั่งเช่ามีประโยช์นควบคุมระดับไขมันในเลือด ลดคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอร์ไรด์ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคภัยอื่น ๆ
  • ฟื้นฟูการทำงานของไต สำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง การทานถั่งเช่าจะช่วยบรรเทาอาการลง และทำให้สุขภาพไตดีขึ้น อีกทั้งยังลดความเสียหายของไตที่เกิดจากสารพิษตกค้างได้
  • บำรุงการทำงานของตับ การกิถั่งเช่า[/url]เป็นอาหารเสริมจะช่วยลดผลกระทบจากสารพิษ และป้องกันการเกิดพังพืดในตับ สารต้านอนุมูลอิสระก็ยังเข้าไปเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ลดความเลี่ยงในการเกิดโรคไวรัสตับอักเสบได้ด้วย
  • บำรุงโลหิต สารที่อยู่ในถั่งเช่าก็ยังช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบโลหิต ทำให้ร่างกายสร้างไขกระดูกมากขึ้นซึ่งทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงและเซลล์เม็ดเลือดขาวถูกสร้างในปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกาย
  • ลดระดับน้ำตาลในเลือด ถั่งเช่าถือเป็นสมุนไพรอีกชนิดที่ช่วยลดน้ำตาลได้ โดยมีการค้นคว้าพบว่าการรับประทานถั่งเช่าวันละ 3 กรัม จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ถึง 95%

 

Tags : กระชายดำ,กวาวเครือแดง
647  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ความรู้เกี่ยวกับการศึกษาถั่งเช่าทางด้านต่างๆและข้อควรระวัง เมื่อ: พฤษภาคม 19, 2017, 03:43:45 pm

รูปแบบและขนาดวิธีใช้
ขนาดบริโภคของผู้ใหญ่ (อายุมากกว่า 18 ปี) ในแต่ละวัน ประมาณ 3 – 9 กรัม
การศึกษาถั่งเช่าทางเภสัชวิทยา
มีรายงานการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของถั่งเช่ามากมาย ทั้งฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ต่อต้านมะเร็งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจและหลอดเลือดปกป้องไตและตับ ต่อต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น

  • ฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อให้สารกลุ่มพอลิแซ็กคาไรด์ที่แยกได้จากถั่งเช่าแก่หนูเมาส์โดยฉีดเข้าหลอดเลือดดำในปริมาณ 35 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เป็นเวลา 5 วัน ศึกษา เภสัชจลนศาสตร์ของสารดังกล่าวในหนูเมาส์ต่อระบบภูมิคุ้มกันเทียบกับกลุ่มควบคุมพบเจอว่าสารพอลิแซ็กคาไรด์แต่ละชนิดสามารถเพิ่มประสิทธิในการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันดัชนีม้าม (spleen index) ดัชนีนิไทมัส (thymus index) และเพิ่มประสิทธิภาพการกลืนกินของเซลล์แมคโครฟาจ (macrophages)
  • ฤทธิ์ต้านมะเร็ง เมื่อให้ถั่งเช่าแก่หนูเมาส์ในขนาด 50 มิลลิกรัม/กิโลกรัม พบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์ Hela โดยมีอัตราการเจริญเติบโต ดัชนีทิคส์ (mitotic) ความสามารถในการเจริญเติบโตของไขมันส่วนนุ่มต่ำกว่ากลุ่มควบคุม โดยตำแหน่งที่ถูกทำลายชัดเจนที่สุดคือนิวเคลียส นอกจากนี้ยังพบว่ถั่งเช่า[/url]ในปริมาณ 50 มิลลิกรัม/กิโลกรัม มีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวหนูเม้าส์ รวมทั้งมีฤทธิ์ต้านเนื้องอกและหยุดการแพร่กระจายตามธรรมชาติของมะเร็งปอดหนู่เมาส์
  • ผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด มีรายงานการศึกษาในเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจที่แยกจากกายหนูแรท  โดยใช้เซลล์ myocytes ของหนูแรทแรกเกิด สังเกตกลุ่มเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจวาดรูปเซลล์ pollex โดยใช้ตัวแปลงสัญญาณจากแสงพบว่าถั่งเช่าในปริมาณมาณ66  มิลลิกรัม/มิลลิลิตร สามารถชะลออัตราการเต้นของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ pollex ได้ อีกการทดลองหนึ่งพบว่าสารสกัด 70% แอลกอฮอล์จากเส้นใยเห็ดของถั่งเช่ามีฤทธิ์เพิ่มการไหลเวียนของเลือดสุนัขที่ถูกดมยาสลบและลดความดันโลหิต
  • ฤทธิ์ปกป้องไต มีรายงานการวิจัยในหนูแรทที่ได้รับยาไซโคลสปอริน (cyclosporine) ซึ่งเป็นพิษต่อไตชนิดเฉียบพลัน พบว่าถั่งเช่าสามารถลดพิษของยาไซโคลสปอรินที่มีต่อไต รวมทั้งลดพิษของสมุนไพรเหลยกงเถิง
  • ฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ มีรายงานว่าสารสกัดถั่งเช่ามีฤทธิ์ชะลอความแก่ของหนูถีบจักรที่ถูกเหนี่ยวนำด้วย ดี-กาแล็กโตสโดยถั่งเช่าช่วยเพิ่มความทรงจำในหนูแก่ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตับ สมอง เม็ดเลือดแดง เอนไซม์ซุปเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเตส (super oxide dismutase; SOD) และเลือดทั้งหมด ลดระดับเอนโซม์โมโนเอมีนออกซิเดส (malondiadehyde; MDA) ในตับและสมอง

การศึกษาถั่งเช่าทางพิษวิทยา
มีรายงานการศึกษาความเป็นพิษของถั่งเช่า พบว่าปริมาณสูงสุดของถั่งเช่าที่หนูเมาส์สามารถทนได้คือ 45 กรัม/กิโลกรัม  หรือประมาณ 250 เท่าของปริมาณที่ใช้ในคน เมื่อให้สารสกัดถั่งเช่าโดยฉีดเข้าช่องท้องหนูเมาส์  ปริมาณที่ทำให้หนูตายร้อยละ 5 (LD 50) มีค่าเท่ากับ 27.1 กรัม/กิโลกรัม เมื่อได้รับยาเกินขนาดจะมีอาการเริ่มต้นด้วยการยับยั้งทั่วไป ตามด้วยการกระตุ้นทั่วไป กระตุก ชัก และกดระบบทางเดินหายใจ นอกจากนี้ยังพบเจอว่าถั่งเช่าไม่เป็นพิษต่อตัวอ่อน และไม่มีผลกระทบต่อการเจริญเติบโต ไม่มีฤทธิ์ทำให้กำเนิดทารกวิรูป ในหนูเมาส์

ข้อแนะนำ ข้อควรระวัง

  • ควรระวังการใช้ในผู้ป่วยเบาหวาน เนื่องจากถั่งเช่ามีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด จะไปเสริมฤทธิ์กับยาลดน้ำตาลในเลือด
  • ควรระวังการใช้ในผู้ป่วยที่ได้รับยากลุ่มป้องกันการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด เนื่องจากถั่งเช่ามีฤทธิ์ต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด
  • ควรระวังการใช้ในผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ทั้งนี้เพราะถั่งเช่ามีฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน

 

Tags : สุขภาพ,งานวิจัย สมุนไพร
648  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ถิ่นกำเนิดและการขยายพันธุ์ถั่งเช่าและความรู้ข้อดีเกี่ยวกับสมุนไพรถั่งเช่า เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2017, 08:57:04 am
 
ถิ่นกำเนิดถั่งเช่า   
ถั่งเช่าพบเจอได้ แถบทุ่งหญ้าประเทศจีน (ธิเบต) , เนปาล , ภูฎาน ในระดับความสูง 10000 -12000 ฟุต จากระดับน้ำทะเล  แต่ในปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยง  ส่วนใหญ่เพาะเลี้ยงในบริเวณภาคใต้ของมณฑลชิงไห่ , เขตซานโตวในธิเบต   มณฑลเสฉาน   ยูนนาน   และกุ้ยโจว

ลักษณะทั่วไปถั่งเช่า 
ถั่งเช่า ที่เรียกว่าหญ้าหนอน เพราะสมุนไพรชนิดนี้ประกอบไปด้วย 2 ส่วน ฤดูหนาวเป็นหนอน ฤดูร้อนเป็นหญ้า  คือ  ส่วนที่เป็นตัวหนอน  ตัวหนอนของผีเสื้อ มีชื่อวิทยาศาสตร์ Hepialus  armoricanus Oberthiir  และบนตัวหนอนมีเห็ดชนิดหนึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ Cordyceps sinensis (Berk.) Saec. หนอนชนิดนี้ในฤดูหนาวจะฝังตัวจำศีลอยู่ใต้ดินภูเขาหิมะ  เมื่อน้ำแข็งเริ่มละลาย  สปอร์เห็ดจะพัดไปกับน้ำแข็งที่ละลาย และไปตกที่พื้นดิน จากนนั้นตัวหนอนเหล่านี้ก็จะกินสปอร์ และเมื่อฤดูร้อนสปอร์ก็เริ่มเจริญเติบโตเป็นเส้นใยโดยอาศัยการดูดสารอาหารและแร่ธาตุจากตัวหนอนนั้น เส้นใยงอกออกจากห้องของตัวหนอน และงอกออกจากปากของมัน เห็ดเหล่านี้ต้องการแสงอาทิตย์มันจึงงอกขึ้นสู่พื้นดิน  รูปลักษณะภายนอกคล้ายไม้กระบอก ส่วนตัวหนอนเองก็จะค่อย ๆ ตายไป อยู่ในลักษณะของหนอนตามซาก  ฉะนั้น “ถั่งเช่า” ที่ใช้ทำเป็นยาก็คือ ตัวหนอนและเห็ดที่แห้งแล้วนั่นเอง  โดยถั่งเช่าที่มีคุณภาพดี  ตัวหนอนต้องมีสีเหลืองสดใส  และมีความยาว ปริมาณใหญ่สมบูรณ์ ด้านหน้าตัดมีสีขาวแกมเหลือง  และส่วนที่เป็นรา มีสีน้ำตาลเข้ม
 
การขยายพันธุ์ถั่งเช่า

  • เตรียมขวดแก้ว
  • เตรียมสารอาหารสำหรับเชื้อเห็ดถั่งเช่าสีทอง คือ ข้าวสังข์หยด , ปลายข้าว , ข้าวโพด . ถั่วเขียว , ถั่วเหลือง , กากถั่วเหลืองรำข้าว , ตัวหนอนไหม(ดักแด้)(บด) เพื่อมาเป็นแหล่งโปรตีน หากช่วงไหนไม่มีหนอนไหม ก็ให้ใช้ไข่แทน
  • นำน้ำเปล่าที่ต้มกับมันฝรั่ง , ข้าวโพดอ่อน , ไข่ และนำไปเติมในขวดที่ใส่อาหารไว้
  • นำไปนึ่ง ในหม้อนึ่งความดัน ที่อุณหภูมิ 121 องศาเซลเซียส , ด้วยความดันที่ 15 ปอนด์/ตารางนิ้ว เป็นเวลา 30 นาที กรณีที่นึ่งด้วยลังถึง ให้นึ่งนานเป็นเวลา 30 – 40 นาที จากเมื่อน้ำเดือด , แล้วนำมาพักไว้ 1 วัน , แล้วนำมานึ่งแบบเดิมอีกครั้งหนึ่ง
  • จากนั้นนำไปเขี่ยใส่เชื้อเห็ด ลงในขวดสารอาหาร แล้วนำไปบ่งเชื้ออีก 2 อาทิตย์ ในที่มืด
  • จากนั้นนำมาเลี้ยงต่อในที่ ควบคุมอุณหภูมิ ให้มีความเย็น 18 องศา ต่ออีก 2 – 3 เดือน จนเห็ดขึ้นเต็มที่จึงเก็บผลผลิตได้
องค์ประกอบทางเคมี
            ถั่งเช่ามีองค์ประกอบทางเคมีที่สำคัญคือ สารแมนนิทอล  (manniton) หรือกรดคอร์ดิเซพิก (cordycepic acid) มีปริมาณร้อยละ 7 – 29 (แตกต่างกันในระยะเจริญเติบโตต่าง ๆ ของดอกเห็ด) และสารคอร์ดิเซพิน (cordycepin) ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของสารอะดีโนซีน (adenosine) นอกจากนี้ยังพบสารกลุ่มนิวคลีโอไซค์ (nucleosides) โปรตีน พอลิแซ็กคาไรค์ (polysaccharides) ไขมันสเตอรอล (syerols) วิตามิน แร่ธาตุปริมาณไม่เยอะ เป็นต้น
 
 

Tags : หนอนถั่งเช่า,ถั่งเช่าสีทอง,การเพาะเห็ดถั่งเช่าสีทอง
649  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ประโยชน์ของกวาวเครือแดงที่หน้ารู้สรรพคุณดีๆมากมาย เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2017, 06:50:49 pm

ประโยชน์กวาวเครือแดง
ฤทธิ์ต่อระบบสืบพันธุ์  การศึกษาในอาสาสมัครเพศชาย 17 คน อายุระหว่าง 30 – 70 ปี ที่มีอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศอย่างน้อย 6 เดือน  ให้รับประทากวาวเครือแดง[/url]ขนาด 250 มก./แคปซูล วันละ 4 แคปซูล เป็นเวลา 3 เดือน ผลการค้นคว้าพบว่าระดับฮอร์โมน testosterone ไม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุม  แต่ผลจาการตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับดัชนีชี้วัดสมรรถภาพทางเพศ  จากอาสาสมัครพบว่าทำให้สมรรถภาพทางเพศดีขึ้น  82.4 % ดังนั้น กวาวเครือแดงจึงช่วยฟื้นฟูผู้ป่วยโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ และไม่พบการเกิดพิษ
รูปแบบและขนาดวิธีใช้ 
องค์การอาหารและยาของไทย  ระบุขนาดและวิธีใช้ในการรับประทานกวาวเครือแดง  ไม่เกิน  2 มิลลิกรัม  ต่อน้ำหนักตัว  1  กิโลกรัม  ต่อวัน
การศึกษากวาวเครือแดงทางเภสัชวิทยา
     ฤทธิ์ต่อระบบสืบพันธุ์  การทดลองศึกษาป้อนกวาวเครือแดงในรูปผงป่นละลายน้ำ  และสารสกัดเอทานอล  ให้แก่หนูแรทเพศผู้  ความเข้มข้น 0.25 , 0.5 และ 5 มก./มล.  พบว่าหนูแรทที่ได้รับกวาวเครือแดงแบบผงป่นละลายน้ำเข้มข้น 0.5 และ 5 มก./มล. เป็นเวลา  21  วัน  ทำให้น้ำหนักตัวของหนูแรท  และปริมาณอสุจิเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ  และหนูแรทที่ได้รับสารสกัดเอทานอลเข้มข้น 5 มก./มล. 21 วัน มีน้ำหนักสัมพัทธ์ของ seminal  vesicles ต่อมลูกหมาก  และความยาวขององคชาติ  ส่งผลให้หนูแรทมีพฤติกรรมการสืบพันธุ์เพิ่มมากขึ้น  เมื่อศึกษาต่อไปถึงระยะ 42 วัน พบว่าหนูแรทที่ได้รับกวาวเครือแดงแบบผงป่นละลายน้ำ มีน้ำหนักสัมพัทธ์ของ seminal  vesicles ต่อมลูกหมาก และความยาวขององคชาติ  และพฤติกรรมการสืบพันธุ์เพิ่มมากขึ้น  แต่หนูกลุ่มที่ได้รับสารสกัดเอทานอล  กลับมีน้ำหนักสัมพัทธ์ของ seminal  vesicles  ลดลง  การค้นคว้าผลของกวาวเครือแดงในระยะยาว  และในปริมาณสารสกัดที่มากขึ้น  พบว่าทำให้ระดับฮอร์โมน testosterone ของหนูแรทลดลง  และปริมาณเอนไซม์ตับสูงขึ้น  ดังนั้นการกินกวาวเครือแดงมากเกินไป อาจทำให้เกิดพิษต่อตับได้


.การศึกษากวาวเครือแดงทางพิษวิทยา 
                        การวิจัยพิษกึ่งเรื้อรังในหนูวิสตาร์เพศผู้โดยป้อนผงกวาวเครือแดงในขนาด 10 , 100 , 150 และ 200  มก./กก/วัน  เป็นเวลา 90 วัน  พบว่าหนูที่รับในขนาด   150  มก./กก/วัน  น้ำหนักของม้ามเพิ่มขึ้น ระดับเอนไซม์ alkaline phosphatase (ALP) และ aspartate aminotransferase (AST) เพิ่มขึ้น หนูที่ได้รับขนาด 200 มก./กก/วัน พบว่ามีเม็ดเลือดขาวชนิด neutrophil ลดลง ส่วนเม็ดเลือดขาวชนิด eosinophil ระดับ serum creatinine  ลดลงระดับฮอร์โมน testosterone ลดลง ดังนั้นจึงควรระมัดระวังการใช้ในขนาดสูงเนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการอันไม่พึงประสงค์ต่างๆได้
ข้อแนะนำ ข้อควรระวัง
พืชชนิดนี้มีฤทธิ์เป็นยา เช่นเดียวกับกวาวเครือขาว แต่มีพิษมากกว่า  หากกินมากอาจเป็นอันตรายได้อาจทำให้มึนเมาคลื่นไส้อาเจียน.และมีพิษเมามากกว่ากวาวเครือขาว
 
 

Tags : กวาวเครือแดง,รากกวาวเครือแดง,กวาวเครือ
650  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ถิ่นกำเนิดกวาวเครือแดงและสรรพคุณประโยชน์มากมายที่น่ารู้ของกวาวเครือแดง เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2017, 03:27:18 pm

กวาวเครือแดง[/b]
ชื่อสมุนไพร  กวาวเครือแดง
ชื่อประจำถิ่น  กวาวเครือ (เหนือ)    จานเครือ  (อีสาน)   ตานจอมทอง  (ชุมพร)  โพตะกุ , โพมือ  (กะเหรี่ยง)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Butea  superba  Roxb
ชื่อวงศ์  Leguminosae   วงค์ย่อย   Papilonaceae
ถิ่นกำเนิดกวาวเครือแดง
 พบอยู่มากในบริเวณที่ราบเชิงเขา และ เชิงเขาป่าเต็งรัง  ภูเขาหินปูน  ในเขตที่มีต้นไม้ใหญ่ไม่หนาแน่นนัก  มักพบอยู่เป็นกลุ่มๆ ภายในป่า  อาจเกิดจากสาเหตุ  คือ  ติดฝักได้น้อย  ฝักมีขนาดใหญ่ ทำให้แพร่กระจายตำแหน่งเดิมได้ยาก  ต้นกวาวเครือแดง ที่สร้างพุ่มเอง จะมีรูปร่างเตี้ย  ส่วนต้นที่เกี่ยวพันกับต้นไม้ใหญ่จะแตกกิ่งไปถึงยอดไม้
ลักษณะทั่วไปของกวาวเครือแดง
กวาวเครือแดงอยู่ในจำพวกไม้เลื้อย เป็นเถาวัลย์ เนื้อแข็ง มักชอบพาดขึ้นกับต้นไม้ใหญ่

  • ใบ      ใบใหญ่คล้ายใบต้นทองกวาว  แต่ใบใหญ่กว่า
  • ดอก ดอกใหญ่คล้ายดอกแคแสด  แต่เป็นพวงระย้าเหมือนดอกทองกวาว
  • หัว มีหลายขนาดลักษณะรูปร่างทรงกระบอก เมื่อสะกิดที่เปลือก จะมียางสีแดง คล้ายเลือดไหล

ออกมา

  • ราก มีรากแขนงขนาดใหญ่  แยกจากเหง้าเลื้อยไปรอบๆ หลายเมตร
การขยายพันธุ์กวาวเครือแดง
ทำได้ 3 วิธีดังนี้

  • การนำไปปลูกเมล็ด โดยการเพาะปลูกเมล็ดในกระบะขี้เถ้าแกลบประมาณ 45 วัน นำต้นกล้าที่ได้ ปลูกลงถุงเพาะชำโดยใช้ดิน 2 ส่วน ขี้เถ้าแกลบ 1 ส่วน เปลือกมะพร้าว 1 ส่วน ค่า pH ประมาณ 5 เมื่อต้นกล้าเจริญเติบโตได้ 60 วัน จึงนำลงแปลงเพาะปลูกกลางแจ้ง  โดยทำด้วยไม้ไผ่  หรือปลูกร่วมกับไม้ยืนต้นในกระบวนการเกษตร เช่น ไผ่  สัก  ปอสา  หรือไม้ผลอื่นๆ  พื้นที่ปลูกควรอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล  300-900 เมตร
  • การปักชำ นำเถาที่มีข้อมาปักชำในกระบะ หรือถุงที่บรรจุขี้เถ้าแกลบ  เมื่อเถาแตกรากและยอดแข็งแรงดีแล้ว จึงนำลงแปลงปลูกต่อไป
  • การแบ่งหัวต่อต้น หัวของกวาวเครือ ไม่มีตาที่จะแตกเป็นต้นใหม่  จำเป็นต้องใช้ส่วนของลำต้นมาต่อเชื่อตามวิธีการขยายพันธุ์แบบต่อราก  เลี้ยงกิ่ง (nursed root grafting)  สามารถนำหัวกวาวเครือขนาดเล็ก อายุประมาณ 6 เดือนขึ้นไป  และต้นหรือเถาที่เคยทิ้งไปหลังการเก็บเกี่ยวมาขยายพันธุ์ได้ หลังการต่อต้นประมาณ 45-60 วัน ก็สามารถนำลงปลูกได้ และมีข้อดีคือสามารถต่อต้นกับหัวข้ามสายพันธุ์ได้

    องค์ประกอบทางเคมี
                ส่วนหัวประกอบด้วยสารไฟโตแอนโดรเจน และไอโซฟลาโวลิกแนน 2 ชนิด ได้แก่ Mebicarpin (carpin 3-hydroxy-9methoxypterocarpan); สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ ได้แก่ butenin; formononetin (7-hydroxy_-methoxy-isoflavone); (7,4_-dimethoxyisoflayone); 5,4_-dihydroxy-7-methoxy-isoflavone, 7-hydroxy-6,4_-dimethoxyisoflavone
    แอนโทไซยานินมีค่าการดูดกลืนแสงในช่วงคลื่น  510-540 นาโนเมตร  สารละลายแอนโทไซยานินมีการเปลี่ยนแปลงสีตามค่าความเป็นด่าง (pH) ต่ำจะมีสีแดง pH ปานกลางจะมีสีน้ำเงินม่วงและเมื่อ pH สูงจะมีสีเหลืองซีด
    สรรพคุณกวาวเครือแดง 

  • หัว รสเย็นเบื่อเมา  บำรุงเนื้อหนังให้เต่งตึง  บำรุงสุขภาพ  เพิ่มปริมาณอสุจิ เป็นยาอายุวัฒนะ

    แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย

  • ราก แก้ลมอัมพาต  บำรุงโลหิต  ผสมกับรากสมุนไพรอื่นอีก 8 ชนิดเรียกว่า  พิกัดนวโลหะ  แก้โรคลมที่เป็นพิษ  แก้ริดสีดวง  ทำลายพยาธิ  ดับพิษ  ถอนพิษไข้  สมานลำไส้

     

    Tags : กวาวเครือแดง,กวาวเครือ
651  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สรรพคุณและประโยชน์อันมากมายของกวาวเครือขาว เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2017, 08:28:06 am

สรรพคุณกวาวเครือขาว 
            หัว รสเย็นเบื่อเมา บำรุงเนื้อหนังให้เต่งตึง บำรุงสุขภาพ  บำรุงกำลัง เป็นยาอายุวัฒนะสำหรับผู้สูงอายุ  แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย  แก้อ่อนเพลีย  ผอมแห้ง  นอนไม่หลับ มีฮอร์โมนเพศหญิงสูง  ทาหรือรับประทานทำให้เต้านมขยายตัว  เส้นผมดกดำ  เพิ่มเส้นผม เป็นยาปรับรอบเดือนอาจทำให้แท้งบุตรได้ บำรุงความกำหนัด  ทำให้อวัยวะสืบพันธุ์และมดลูกมีเลือดมาคั่งมากขึ้น บำรุงอวัยวะสืบพันธุ์ให้เจริญ  แก้โรคตาฟาง ต้อกระจก  ทำให้ความจำดี  ทำให้มีพลัง  เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว บำรุงโลหิต กินได้นอนหลับ  ผิวพันธเต่งตึงมีน้ำมีนวล ช่วยลดอาการของสตรีวัยหมดประจำเดือน โดยมีการศึกษาฤทธิ์ขของกวาวเครือขาวต่อการลดอาการร้อนวูบวาบ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและช่วยให้เรื่องของความจำและการศึกษาเรียนรู้ ช่วยลดอาการช่องคลอดแห้งในสตรีวัยหมดประจำเดือนได้
รูปแบบและขนาดวิธีใช้ 
            สถาบันการแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุข ระบุขนาดการใช้ดังนี้
            การใช้เป็นส่วนประกอบในตำรับบำรุงร่างกาย  ให้รับประทานยาตำรับที่มีส่วนประกอบของผงกวาวเครือขาว ไม่เกิน  1 – 2 มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัมต่อวัน หรือประมาณวันละไม่เกิน 50 – 100 มิลลิกรัม อาการข้างเคียงที่อาจพบได้คือ  เจ็บเต้านม  มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ปวดหรือเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน
            ตำรายาของหลวงอนุสารสุนทร 
            ระบุปริมาณที่ใช้ของหัวกวาวเครือขาวโดยให้รับประทานกวาวเครือขาวผสมน้ำผึ้ง  ปริมาณเท่าเมล็ดพริกไทย 1 เมล็ดต่อวัน รับประทานมากจะทำให้มึนเมาเป็นพิษคนหนุ่มสาวไม่ควรรับประทาน
การศึกษาทางเภสัชวิทยา 
            การวิจัยในหนูเพศเมียที่กินกวาวเครือขาวพบว่า มีผลยับยั้งการให้นมของหนูที่กำลังให้นม โดยไปยังยับยั้งการเจริญของต่อมน้ำนม  และการเสริมสร้างน้ำนม  มีผลป้องกันการตั้งครรภ์  เมื่อให้หนูกินในช่วงตั้งท้องวันที่ 1 – 10 ติดต่อกัน และให้กินในช่วงที่มีการเคลื่อนย้ายของตัวอ่อน  โดยทำให้เกินการแท้ง และเมื่อให้ในหนูที่ตัดรังไข่ออก  กินกวาวเครือพบว่าน้ำหนักของมดลูกและปริมาณของเหลวในมดลูกเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับที่พบในหนูที่ได้รับ ethinyl estradiol และมีรายงานว่ากวาวเครือขาวมีฤทธิ์คุมกำเนิดที่ดีในหนูขาวเมื่อให้ในขนาด 1 กรัม/ตัว/สัปดาห์ ส่วนผลของกวาวเครือขาวต่อหนูเพศผู้พบว่าสัตว์มีพฤติกรรมการสืบพันธุ์ลดลง  และมีน้ำผึ้ง  ขนาด และน้ำหนักอัณฑะ epididymis ต่อมลูกหมาก และ seminal vesicles ลดลง รวมทั้งมีจำนวนตัวอสุจิ และเปอร์เซ็นต์การเคลื่อนไหวของตัวอสุจิลดลง
            การศึกษาทางคลินิกในระยะที่ 2 ในอาสาสมัครกลุ่มก่อนและหลังวัยหมดประจำเดือน ที่มีอาการพร่องฮอร์โมนเอสโตรเจน จำนวน 37 ราย ใช้เวลา 6 เดือน พบคะแนนของงอาการวัยหมดระดูลดลงจาก 35.6 เป็น 15.1 และ 32.6 เป็น 13.69 ในกลุ่มที่ได้รับ 50 มก.ต่อวัน และ 100 มก.ต่อวัน ตามลำดับ แต่พบอาการข้างเคียง คือ อาการคัดตึงเต้านมประมาณร้อยละ 35 และอาการเลือดออกกระปริดกระปรอยประมาณร้อยละ 16.2


การศึกษาทางพิษวิทยา
            การวิจัยพิษเฉียบพลันของผงหัวกวาวเครือขาผงหักวาวเครือขาว[/url][/b]ในรูปผงยาแขวนตะกอนในน้ำ ขนาด 10 และ 100 มก./กก./วัน ไม่ทำให้เกิดความผิดปกติต่อค่าโลหิตวิทยา  และค่าทางชีวเคมี หรือพยาธิสภาพใดๆ แต่การให้ในขนาด 1000 มก./กก./วัน ทำให้หนูเกิดภาวะโลหิตจาง จำนวนเม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด ระดับโคเลสเตอรอล  น้ำหนักอัณฑะ  ของหนูเพศผู้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ  และมีอัตราการเกิด hyperemia ของอัณฑะ ในหนูเพศเมียที่ได้รับในขนาด 100 และ 1000 มก./กก./วัน พบว่าระดับโคเลสเตอรอลลดลง มดลูกบวมเต่ง  มีอัตราการเกิด cast ที่ไตสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ
ข้อแนะนำ 
            ถ้ารับประทานเกินขนาด จะเป็นอันตรายได้ ทำให้มีอาการมึนเมา คลื่นไส้ อาเจียน  ห้ามใช้ในหญิงวัยเจริญพันธุ์  เพราะสารที่มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิงในกวาวเครือขาวมีความแรงของตัวยาจะรบกวนการทำงานของฮอร์โมนเพศ และระบบประจำเดือนได้
ข้อควรระวัง
ห้ามรับประทานเกินขนาดที่แนะนำให้ใช้
 
 

Tags : กินกวาวเครือขาว
652  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ถิ่นกำเนิดสมุนไพรกวาวเครือขาวและลักษณะทั่วไปที่น่ารู้ เมื่อ: พฤษภาคม 13, 2017, 07:43:29 pm

กวาวเครือขาว
ชื่อสมุนไพร  กวาวเครือขาว
ชื่ออื่นๆ / ชื่อประจำถิ่น  กวาวเครือ , จานเครือ (อีสาน) ,ตานเครือ , ทองเครือ , จอมทอง , (ใต้) ตานจอมทอง (ชุมพร) โพ้ต้น ( กาญจนบุรี) .โพะตะกู
ชื่อวิทยาศาสตร์ Pueraia candollei Graham ex Benth. Var mirifica
ชื่อวงศ์  Leguminosae-Papilionoideae
ถิ่นกำเนิ[/url]    [/b]
กวาวเครือขาวเป็นพืชที่ขึ้นแถวบริเวณป่าเบญจพรรณ พบจากทั่วไปตั้งแต่ อินเดีย กลุ่มประเทศอินโดจีน  มาเลเซีย  อินโดนีเซีย  จีน  ญี่ปุ่น  และ ไทย ส่วนในประเทศไทย   พบกระจากในป่าเบญจพรรณในภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่จะพบเห็นมากในภาคเหนือของไทย  โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีอินทรีย์สารสูงตามชายป่า  ดินที่มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างประมาณ 5.5 ที่สูงจากระดับน้ำทะเล 300 – 800 เมตร  ในสภาพธรรมชาติมีการกระจาดพันธุ์ด้วยเมล็ด  โดยทั้งนี้พบว่าจะมีการออกดอกช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคมและติดฝักในเดือนเมษายน  สามารถเจอกวาวเครือขาวพันอยู่กับต้นไม้ใหญ่โดยเฉพาะต้นสักในจังหวัดกาญจนบุรี  ตาก ลำปาง  เชียงใหม่  ในบริเวณที่เป็นป่าไผ่ในจังหวัดกาญจนบุรี  สระบุรี  ลพบุรี  ชัยภูมิ  เจอว่ามีกวาวเครือขาวกระจากพันธุ์อยู่ได้ดีเช่นกัน
ลักษณะทั่วไปกวาวเครือขาว
กวาวเครือขาวเมื่อก่อนถูกให้มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Butea superba Roxb. เป็นพืชตระกูลถั่ว ขึ้นในป่าเบญจพรรณ ลักษณะเป็นไม้เถาเนื้อแข็งขนาดใหญ่  ผลัดใบ เลื้อยพาดพันบนต้นไม้ชื้น
            ลำต้นเกลี้ยง อาจยาวถึง 5 เมตร ใบเป็นในประกอบ มีใบย่อย 3 ใบ (Pinnately trifoliate) เรียงสลับกันปลายใบมีลักษณะรูปไข่ปลายแหลม  เนื้อใบด้านบนเกลี้ยงด้านล่างมีขนสั้นๆ ประปรายเส้นแขนงใบข้างละ 5 – 7 เส้น  ใบย่อยด้านข้างโคนมีลักษณะเบี้ยว หูใบรูปไข่ มีเยื่อก้านใบเห็นเด่นชัด  ใบประดับมีลักษณะเป็นเกล็ดมีขนาดเล็กมาก
            ดอกออกในระยะผลัดใบ เป็นช่อยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ดอกจะออกตามซอกกิ่ง  ข่อดอกเป็นข่อเดี่ยวและช่อแยกแขนงออกปลายกิ่ง  ดอกมีกลีบประดับรองรับ ดอกย่อยเป็นรูปถั่วเป็นดอกสมบูรณ์เพศมีทั้งเพศผู้และเพศเมียในดอกเดียวกัน ลักษณะทรงดอกเป็นแบบ Zygomorphic แบบที่เรียกว่า Papilionacaceous form ดอกประกอบด้วยกลีบดอก 5 กลีบ ที่มีขนาดและรูปร่างไม่เหมือนกัน กลีบที่อยู่นอกสุดมีขนาดใหญ่สุด เรียกว่ากลีบ Standard กลีบที่ประกบอยู่ทางด้านข้างทั้งสอง มีรูปร่างเหมือนกัน คืองอนโค้งคล้ายปีกนกเรียกว่า กลีบ wing กลีบที่อยู่ด้านในสุด 2 กลีบ จะเชื่อมรวมกันเป็นกระพุ้งคล้ายท้องเรือ เรียกว่า กลีบ (keel) เป็นกลีบที่ห่อเกสรไว้ มีก้านชูอับเรณูติดกัน ดอกมีสีฟ้าอมม่วงถึงสีน้ำเงิน 2 – 3 ดอกต่อช่อ มีเกสรตัวผู้ 10 อัน รังไข่ยาวเป็นแบบ superior ภายในมี 1 ห้องมีเม็ดไข่อยู่ภายใน
            ฝักมีลักษณะ แบน เมื่อแก่มีสีออกน้ำตาล ผิวมีขนสั้นๆ ประปรายถึงเกลี้ยง ฝักมีความกว้างประมาณ 7 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 3 เซนติเมตร มีเมล็ด 3 – 5 เมล็ดต่อฝัก เมล็ดมีรูป กลมมีเส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 2 – 4 เซนติเมตร เมล็ดแก่จะมีลายสีเขียวปนม่วง หรือ สีน้ำตาลปนม่วง
            หัวเป็นหัวใต้ดินเหมือนหัวมันแกว (Tiberous root) จะมีฤทธิ์ทางยามากในขณะที่ผลัดใบ มีหลายขนาด หัวที่มีอายุมากมีขนาดใหญ่ อาจมีน้ำหนักมากถึง 20 กิโลกรัม ที่เปลือก เมื่อเอามีดปาดจะมียางสีขาวเหมือนน้ำนม  เนื้อในสีขาวคล้ายมันแกว  เนื้อจะเปราะ มีเส้นมาก รสเย็นเบื่อเมา หัวที่ยังเล็ก เนื้อในจะละเอียด มีน้ำมาก
 

Tags : กวาวเครือขาว
653  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / การขยายพันธุ์และองค์ประกอบหลายทางอย่างของกวาวเครือขาวที่น่าสนใจ เมื่อ: พฤษภาคม 13, 2017, 01:56:42 pm

การขยายพันธุ์กวาวเครือขาว
 ขยายพันธุ์โดยการนำไปปลูกแบบเพาะเมล็ด โดยอาจจะเริ่มต้นโดยการผลิตต้นพันธุ์จากเมล็ดหรือโดยวิธีอื่น  การผลิตต้นพันธุ์จากเมล็ดจะต้องรอเก็บเมล็ดในช่วงต้นถึงกลางฤดูร้อน เนื่องจากกวาวเครือขาวออกดอกติดฝักในช่วงกลางฤดูหนาวจนถึงกลางฤดูร้อน  แหล่งกำเนิดของเมล็ดคือต้นกวาวเครือขาวที่อยู่ในป่า แกะเมล็ดเม็ดกวาวเครือขาวออกจากฝัก  เก็บไว้ในที่แห้งหรือในภาชนะที่มีการระบายอากาศได้ ทำการเพาะเมล็ดในกระบะบรรจุดินผสมปุ๋ยอินทรีย์โดยให้เมล็ดถูกฝังกลบไว้ลึกประมาณ  1  เซนติเมตร ฉีดน้ำให้ชุ่มทุกวัน แนะนำให้ทำการเพาะเมล็ดในช่วงที่อากาศร้อนจัดที่สุด ความร้อนจะช่วยให้เมล็ดงอกได้ง่ายขึ้น  โดยปกติเมล็ดกวาวเครือขาวที่เก็บจากฝักที่แห้งคาต้นแล้วนำมาเพาะในปีนั้นจะมีอัตราการงอกเกือบ 100% เมล็ดที่ถูกเก็บไว้ข้ามปีจะมีอัตรางอกลดลง
องค์ประกอบกวาวเครือขาวทางเคมี
หัวกวาวเครือขาวมีสารที่มีสรรพคุณอยู่อีกหลายชนิดรวมทั้งสารที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมน เอสโตรเจน  นอกจากนี้ยังพบข้อมูลทางด้านโภชนาการดังนี้
 
 
             องค์ประกอบ                                                         ปริมาณ (เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนักแห้ง)
 
 
            คาร์โบไฮเดรตรวม                                                                       67.66
            ไฟเบอร์รวม (dietary  Fiber)                                                        20.39
            น้ำตาลรวม (Total Sugar)                                                            19.35
            คาร์โบไฮเดรต อื่นๆ                                                                      27.92
            โปรตีน                                                                                    7.88
            ไขมัน                                                                                     0.66
            แคลเซี่ยม                                                                                7.56
            โซเดียม                                                                                   0.029
            เหล็ก                                                                                      0.007
            พลังงานรวม                                                                 308.01 แคลอรีต่อ 100 กรัม
            พลังงานจากไขมัน                                                              5.85 แคลอรีต่อ 100 กรัม
 

 
องค์ประกอบทางเคมีของหัวกวาวเครือขาว[/u] (Pueraria mirifica)
ส่วนสาระสำคัญกลุ่มต่างๆ ที่พบในกวาวเครือขาวสามารถแบ่งเป็นกลุ่มๆ ได้ดังนี้
7.1 สารกลุ่มคูมารินส์ (Coumarins)
            ได้แก่ Coumestrol, Mirificoumestan, Mirificoumestan Glycol และ Mirificoumestan hydrate
7.2 สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (Flavonoids)
            โดยในหัวกวาวเครือขาวมีสารจำพวก lsoflavonoid  หลายชนิด เช่น Genistain, Daidzein, Daidzin, Puerarin, Puerein-6-monoacetate, Mirificin, Kwakhurin  และ  Kwakhurin hydrate
 
 
7.3 สารกลุ่มโครมีน (Chromene)
            สาระสำคัญอันดับหนึ่งในกวาวเครือ  ได้แก่   Miroestrol   ซึ่งเป็นสารที่มีรายงานว่ามีฤทธิ์คล้ายเอสโตรเจน พบปริมาณ 0.002 – 0.003 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักหัวแห้ง หรือปริมาณประมาณ 15 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมของกวาวเครือแห้ง มีรูปผลึก 2 แบบ คือ แบบที่มีน้ำหนักอยู่ในผลึก (hydrate form) ลักษณะเป็นรูปเข้มอ้วน และแบบผลึกที่ไม่มีน้ำอยู่ในผลึก (anhydrate form) มีลักษณะเป็นแผ่น  ไม่มีสี  มีจุดหลอมเหลว 268 – 270 องศาเซลเซียส
7.4 สารกลุ่มสเตียรอยด์ (steroids)
         สเตียรอยด์ที่พบในหัวกวาวเครือ ได้แก่ B-sitosterol, Stigmasterol, Pueraria  และ Mirificasterol
7.5 สารประกอบอื่นๆ     นอกจากสารกลุ่มที่กล่าวแล้วข้างต้น ในหัวกวาวเครือขาวยังมีสารจำพวกแอลเคน แอลกอฮอร์และสารจำพวกไขมัน คือ Puereria, Mififica glyceride lithium, Potassium, Sodium, Phosphate, แคลเซียม, โปรตีน, ไขมัน, และไฟเบอร์ นอกจากนี้ยังมีสารประเภท Saponim อยู่อีกหลายชนิด
            ซึ่งสารต่างๆ เหล่านี้หลายชนิดมีคุณสมบัติเป็นไฟโตเอสโตรเจน (phytoestrogen) ซึ่งหมายความว่าเป็นเอสโตรเจนที่ได้จากพึชและออกฤทธิ์เช่นเดียวกับฮอร์โมนเอสโตรเจนทุกประการ หรืออาจหมายถึงสารที่ออกฤทธิ์ที่ตัวรับ (Receptor) เดียวกับฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งปัจจุบันทราบแล้วว่า receptor นี้มี 2 Subtype คือ estrogen receptor alpha และ beta subtype ปัจจุบันไฟโตเอสโตรเจนที่มีอยู่ในกวาวเครือขาวสามารถแบ่งได้เป็นสารที่มีความแรงสูงและความแรงต่ำ โดยกลุ่มที่มีความรุนแรงต่ำ ได้แก่ Coumestrol, Daidzein, Daidzin, Genistin, Genistein, Mirificn และ Puerarin
 

Tags : ผงหัวกวาวเครือขาว,กินกวาวเครือขาว,กินกวาวเครือ
654  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / การศึกษากระชายดำทางเภสัชวิทยาและข้อแนะนำควรระวังที่ท่านควรรู้ เมื่อ: พฤษภาคม 12, 2017, 08:35:39 pm

การศึกษากกระชายดำทางเภสัชวิทยา 

  • ฤทธิ์กระชายดำต้านอักเสบ สาร 5,7 – ได้เมธอกซีฟลาโวน (5,7-DMF) ที่แยกได้จากหัวกระชายดำ มีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบเทียบได้กับยามาตรฐานหลายชนิด คือ แอสไพริน , อินโดเมธาซิน , ไฮไดรคอร์ติโซน และเพรดนิโซโลน จากการวิจัยฤทธิ์ต่อต้านอักเสบของสารนี้ ในสัตว์ทดลองด้วยวิธีการต่าง ๆ พบว่าสาร 5,7-DMF สามารถต่อต้านการอักเสบแบบเฉียบพลันได้ดีกว่าแบบเรื้อรัง โดยแสดงฤทธิ์หยุดการบวมของอุ้งเท้าหนูขาวจากสารคาราจีนแนน และเคโอลินได้ดีกว่าฤทธิ์ยับยั้งการสร้าง granuloma จากการฝังสำลีใต้ผิวหนัง นอกจากนี้ พบว่า สาร 5,7-DMF มีฤทธิ์ยับยั้งการเกิด exudation และการสร้างสาร prostaglandin อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อศึกษาฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบในช่องปอดของหนูขาว (rat pleurisy) (วงศ์วิวัฒน์ ทัศนียกุล และอำไพ ปั้นทอง,2528)
  • ฤทธิ์กระชายดำเชื้อdit=kpfeต่อต้านจุลินทรีย์ สาร 5,7,4'-trimethoxyflavone และ 5,7,3' ,4' –tetramethoxyflavone แสดงฤทธิ์ต่อต้านเชื้อ Plasmodium falciparum ที่เป็นสาเหตุของโรคมาลาเรีย ส่วนสาร 3,5,7,4'-tetramethoxyflavone และ 5,7,4'-trimethoxyflavone แสดงฤทธิ์ต้านเชื้อ Candida albicans และแสดงฤทธิ์ต่อต้านเชื้อ Mycobacterium อย่างอ่อน (Wattanapitayakui S, Nawinprasert A, Herunsalee A, et al,2003)
  • พิษต่อเซลล์มะเร็ง (cytotoxic activity) จากการทดลองผลของฟลาโวนอยด์ 9 ชนิดของกระชายดำต่อเซลล์มะเร็ง เช่น KB , BC หรือ NCI-H187 ไม่พบว่ามีสารใดทำให้เกิดพิษต่อเซลล์มะเร็งที่ทดสอบ (วงศ์วิวัฒน์ ทัศนียกุล และอำไพ ปั้นทอง,2528)
  • ฤทธิ์ขยายหลอดเลือดแดง มีรายงานการวิจัยว่า สารสกัดด้วยเอธานอลของกระชายดำมีฤทธิ์ขยายหลอดเลือดแดงใหญ่ (aorta) และลดการหดเกร็งของ ลำไส้เล็กส่วนปลาย (ileum) ของหนูขาว และยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดของคน.(Yenchai C, Prasaphen K, Doodee S, et al,2004)
ข้อแนะนำ / ข้อควรระวัง 

  • กระชายดำสามารถรับประทานได้ทั้งหญิง และชายโดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ ยิ่งสำหรับผู้สูงอายุก็พบว่านิยมใช้กันมานานมากแล้ว
  • ผลข้างเคียงของกระชายดำ การรับประทานในขนาด เยอะ อาจทำให้เกิดอาการใจสั่นได้
  • ห้ามใช้กระชายดำในเด็ก และในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับ
  • การรับประทานหัวกระชายดำติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้เหงือกร่น
  • แม้จะมีงานวิจัยในสัตว์ทดลองที่ระบุว่ากระชายดำไม่พบว่ามีความเป็นพิษ แต่ยังไม่มีรายงานการศึกษาวิจัยเพื่อประเมินประสิทธิผล ของการใช้กระชายดำในคนจึงควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อความปลอดภัย

 

Tags : การขยายพันธุ์กระชายดำ,เหง้ากระชายดำ
655  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / การเพาะพันธุ์ขยายพันธ์องค์ประกอบและสรรพคุณต่างๆมากมายที่ควรรู้ของกระชายดำ เมื่อ: พฤษภาคม 12, 2017, 03:05:01 pm

การขยายพันธุ์กระชายดำ[/u]
   กระชายดำขยายพันธุ์โดยการใช้หัวหรือแยกหน่อ นำไปปลูกได้ทั้งปี แต่ฤดูที่เหมาะสมอยู่ในระหว่างเดือนมีนาคม – พฤษภาคม การเตรียมหัวกระชายดำสำหรับปลุก หัวกระชายดำหัวหนึ่งจะมีหลายแง่ง ให้บิ (หัก) ออกมาเป็นแง่งๆ ถ้าแง่งเล็กก็ 2 – 3 แง่ง ถ้าแง่งใหญ่สมบูรณ์ก็แค่แง่งเดียวก็พอ  เพราะเมื่อกระชายดำโตขึ้น กระชายดำก็จะแตกหน่อ และเกิดหัวกระชายดำหัวใหม่ขึ้นมาแทน และจะขยายหัวและหน่อออกไปเรื่อยๆ จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการบำรุงรักษา ส่วนหัวหรือแง่งที่ใช้ปลูกในตอนแรกที่เหี่ยวและแห้งไปในที่สุด ก่อนนำไปปลุก ควรทารอยแผลของแง่งกระชายดำที่ถูกหักออกมาด้วยปูนกินหมาก หรือจะจุ่มในน้ำยากันเชื้อราก็ได้ แล้วผึ่งในที่ร่มจนหมดหรือแห้ง แล้วจึงนำไปเพาะปลุกกระชายดำก็เหมือนกับการเพาะปลุกกระชายธรรมดาโดยทั่วไป สามารถปลุกนำไปปลูกได้ดีในดินที่ร่วนซุย  การระบายน้ำดี แต่ควรอย่าให้น้ำท่วมขัง  เพราะจะทำให้หัวหรือเหง้าเน่าเสียได้ง่ายส่วนในดินเหนียว และดินลูกรังไม่ค่อยจะเหมาะสมนัก โดยธรรมชาติและกระชายดำชอบขึ้นตามร่มไม้ในป่าดิบ และป่าเบญจพรรณทั่วไป  แต่ในที่โล่งแจ้งก็สามารถปลูกได้

องค์ประกอบทางเคมีกระชายดำ
   ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พบว่า ในเหง้ากระชายมีน้ำมันหอมระเหยแต่พบในปริมาณน้อย (ราวร้อยละ 1 – 3) น้ำมันหอมระเหยของกระชายประกอบด้วยสารเคมีหลายชนิด เช่น 1.8-cineol,camphor, d-borneol และ methyl cinnamate น้ำมันหอมระเหยที่พบส่วนน้อย ได้แก่ d-pinene, zingiberene , zingiberone, curcumin และ zedoarin นอกจากนี้ ยังพบสารอื่น ได้แก่ กลุ่มไดไฮโดรซาลโคน pincocembrin และกล่มุซาลโคน (ได้แก่ 2 , 4 , 6-trihydroxy chalcone และ cardamonin)(ณาตยา ธนะศิริวัฒนา, สุนิดา ณ ตะกั่วทุ่ง, ธนนันต์  ฐานะจาโร,2540)
สรรพคุณกระชายดำ
  ใช้บำรุงกำลัง แก้ปวดเมื่อยและอาการอ่อนล้า  และเพิ่มสมรรถภาพทางเพศขับลม เป็นยาอายุวัฒนะ  แก้จุกเสียด  แก้ปวดท้อง หรือโขลกกับเหล้าขาวคั้นน้ำดื่ม แก้โรคมดลูกพิการ มดลูกหย่อน ใช้กวาดคอเด็ก  แก้โรคตานซางในเด็ก หรือเอามาต้มดื่มแก้โรคตา สามารถช่วยบำรุง}ฮอร์โมนเพศชาย แก้กามตายด้าน ด้วยการใช้เหง้าสดนำมาดองกับเหล้าขาวและน้ำผึ้งแท้ (ในอัตราส่วน 1 กิโลกรัม : เหล้าขาว 3 ขวด : น้ำผึ้ง 1 ขวด) ดองทิ้งไว้ประมาณ 9 – 15 วัน แล้วนำมาใช้ดื่มวันละ 1 – 2 เป๊ก (กระชายดำไม่ได้เป็นยาปลุกอารมณ์ทางเพศ แต่ขยายเวลาการแข็งตัวที่นานขึ้น และสำหรับผู้ที่ไม่ได้มีปัญหาดังกล่าวก็สามารถรับประทานเพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรกขึ้นได้)หากสุภาพสตรีทานและจะช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนทางเพศ   ช่วยกระตุ้นระบบประสาท ช่วยให้ร่างกายกระชุ่มกระชวย ช่วยในการนอนหลับ แก้อาการนอนไม่ค่อยหลับในตอนกลางคืน ช่วยทำให้นอนหลับดีขึ้น
รูปแบบ , ขนาดวิธีการใช้กระชายดำ
สำหรับวิธีการใช้กระชายดำ เพื่อเป็นยาอายุวัฒนะ ใช้เป็นยาแก้ปวดท้อง แก้โรคบิด และลมป่วงทุกชนิด

  • ถ้าเป็นเหง้ากระชายดำสด ให้ใช้ประมาณ 4 – 5 นำมาดองกับเหล้าขาว 1 ขวดก่อนำมารับประทานเป็นอาหารเย็น ในปริมาณ 30 หรือ จะฝานเป็นแว่นบาง ๆ แช่กับน้ำดื่ม หรือนำมาดองกับน้ำผึ้งในอัตราส่วน 1:1
  • หากเป็นเหง้ากระชายดำแห้งก็ให้ใช้ดองกับน้ำผึ้งในอัตราส่วน 1 ต่อ นาน 7 วัน นำมาใช้ดื่มก่อนนอน
  • หากเป็นแบบชงหรือแบบผง ให้ใช้ผงแห้ง 1 ซอง ชงกับน้ำร้าน 1 แก้ว (ขนาน 120 ) และแต่งรสด้วยน้ำผึ้งหรือน้ำตาลตามความต้องการ แล้วนำมาดื่ม

 
 

Tags : กระชายดำ,หัวกระชายดำ,เหง้ากระชายดำ
หน้า: 1 ... 42 43 [44]
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย