กระทู้ล่าสุดของ: watamon

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 44
76  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคไข้สมองอักเสบ - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: มิถุนายน 16, 2018, 07:42:32 pm

โรคไข้สมองอักเสบ เจอี (Japanese Encephalitis)
โรคไข้สมองอักเสบ เจ อี คืออะไร ไข้สมองอักเสบ (encephalitis) หมายถึง การอักเสบของเนื้อสมอง หรือเฉพาะที่เล็กน้อย เนื่องด้วยเนื้อสมองอยู่ติดกับเยื่อหุ้มสมอง ก็เลยอาจเจอการอักเสบของเยื่อหุ้มสมองร่วมกับการอักเสบของสมองได้ด้วย  โดยโรคไข้สมองอักเสบบางทีอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุโดยมากมักจะมีเหตุที่เกิดจากการตำหนิดเชื้อจากไวรัส โดยสามารถเกิดได้จากเชื้อไวรัสหลายชนิดหรือบางโอกาสอาจพบเป็นโรคแทรกซ้อนของโรคฝึกหัด คางทูม ไข้เปล่งปลั่ง แม้กระนั้นไข้สมองอักเสบจำพวกที่อันตราย/ร้ายแรงที่ทำให้มนุษย์เสียชีวิตได้หมายถึงโรคไข้สมองอักเสบ เจอี(Japaneseencephalitis, JE) พบมากที่สุดในเอเชียรวมถึงเมืองไทยและก็บางส่วนของแปซิฟิคตะวันตก ส่วนใหญ่ชอบพบการเกิดโรคในฤดูฝน แต่ในแต่ล่ะประเทศจะเจอตอนที่มีการเกิดโรคได้ไม่เหมือนกันซึ่งเจอได้ตลอดทั้งปี โดยในบริเวณแหล่งระบาดชอบเจอในคนป่วยอายุน้อยกว่า 15 ปี เนื่องจากว่าในผู้ใหญ่จะมีภูมิต้านทานอยู่ก่อนแล้ว  แต่แม้เป็นรอบๆที่ไม่เคยเกิดโรคมาก่อนก็จะพบในกรุ๊ปของผู้ที่แก่สูงมากขึ้นได้
โรคไข้สมองอักเสบเจอี เป็นโรคที่เป็นอันตรายถึงชีวิตและก็เป็นโรคหวานใจษายาก ที่สำคัญเมื่อเป็นแล้วมีอัตราการตายสูง ถ้าหากรอดตายมักมีความพิการหรือเปลี่ยนไปจากปกติทางสมองตามมา อัตราเจ็บไข้ตายอยู่ระหว่างปริมาณร้อยละ 20-30 โดยประมาณสองในสามของคนรอดตาย จะมีความพิกลพิการเหลืออยู่ ในทวีปเอเชียเจอคนเจ็บโรคนี้โดยประมาณปีละ 30,000-50,000 ราย โรคนี้เรียกว่า Japanese เหตุเพราะสามารถแยกเชื้อได้จากผู้ป่วยในญี่ปุ่นหนแรกเมื่อปี พุทธศักราช2468
ที่มาของโรคไข้สมองอักเสบ เจ อี ด้วยโรคไขสมองอักเสบเจอีเปนโรคที่มีอัตราตาย รวมทั้งความพิการตามมาสูง ซึ่งสวนใหญชอบเปนในเด็ก ส่วนเชื้อที่กอโรคไดมึง Japanese encephalitis virus (JEV) ซึ่งเปน arbovirus จัดอยูใน family Flaviviridae, genus Flavivirus โดยมียุงรําค้างญ Culex tritaeniorhynchus เปนพาหะนําโรค โรคนี้พบในเขตเมืองนอชูวาบ้านนอก มีอัตราตายรอยละ 10-35 และก็มีอัตราการเกิดความพิการ ตามมามากถึงรอยละ 30-50 โดยไวรัสจำพวกนี้ถูกศึกษาและทำการค้นพบคราวแรกโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นและได้กระจายทั่วไปทุกภาคและทุกฤดู ซึ่งประเทศที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสไข้สมองอักเสบเจอี ดังเช่น บริเวณเอเชียใต้ ประเทศอินเดียและศรีลังกา ตลอดจนประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แล้วก็ในภาคทิศตะวันออกของเมืองจีน รวมทั้งพบได้ในประเทศ ไต้หวัน ประเทศเกาหลี และญี่ปุ่น
ปลายคริสตศตวรรษที่ 18 มีการระบาดใหญ่ของโรคไขสมองอักเสบเจอีในประเทศญี่ปุน โดย ในป พุทธศักราช 2468 สามารถแยกเชื้อไวรัสเจอีไดเปนครั้งแรกจากสมองของผูปวยชายอายุ 19 ปที่มี อาการสมองอักเสบและเสียชีวิตในกรุงเมืองโตเกียว ต่อมาสามารถแยกเชื้อไวรัสไดจากยุงรำคาญ Culex และมีรายงาน การระบาดของโรคไขสมองอักเสบเจอีในประเทศต่างๆในทวีปเอเชียตามมา ซึ่งนับเป็นปัญหาที่สําคัญที่สุดในบรรดาโรค สำหรับประเทศไทยพบการระบาดทีแรกในป พุทธศักราช 2512 ที่จังหวัดเชียงใหมหลังจากนั้นมีการพบผูปวยเรื่อยๆมารวมทั้งมีการระบาดใหญ่เปนครั้งคราว ผู้ปวยโรคนี้สามารถเจอไดบอยทางภาคเหนือแล้วก็ ภาคอีสาน รองลงมาไดมึง ภาคกึ่งกลาง และก็ภาคใต
ปจจุบันพบผูปวยโรคไขสมองอักเสบ เจ อี นอยลง เนื่องด้วยมีการฉีดวัคซีนปองกันโรคไขสมอง อักเสบเจอีในเด็กทั้งประเทศ ในป พ.ศ. 2552 สํานักระบาดวิทยาไดรับรายงานผูปวยโรคไขสมองอักเสบรวมทั้งสิ้น 543 ราย คิดเปนอัตราปวย 0.86 ตอแสนราษฎร จําแนกเปนโรคไขสมองอักเสบเจอีจํานวน 106 ราย (รอยละ 19.52) คิดเปนอัยี่ห้อปวย 0.17 ตอแสน ประชากร ไมมีรายงานผูเสียชีวิต  สวนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยนอชูวา 15 ป พบผูปวยสูงสุดในกลุมอายุยง 0-4 ป คิด เปนอัตราปวย 1.1       ตอแสนมวลชน รองลงมาเป็น กลุมอายุ 5-9 ป มากกวา 15 ป แล้วก็ 10-14 ป โดยมี อัตราปวย 0.3, 0.09 แล้วก็ 0.08 ตอแสนมวลชนตามลําดับ กระจัดกระจายอยู่ทุกภูมิภาคของประเทศ
อาการของโรคไขสมองอักเสบ เจ อี   ไวรัสเจอีนี้ เมื่อไปสู่ร่างกายจะแพร่ไปไปสู่สมองและจะทำลายเนื้อสมองตั้งแต่บางส่วนไปจนถึงอย่างมากมายต่างๆนาๆในแต่ละคน (Japanese encephalitis virus)  โดยส่วนใหญ่ผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการ มีเพียงแต่ 1 ใน 300 คนเพียงแค่นั้น ที่จะแสดงอาการ โดยในรายที่ร้ายแรงจะออกอาการแบบสมองอักเสบ (encephalitis) โดยมีลักษณะอาการแบงเปน 3 ระยะดังนี้ 1. Prodromal stage ในตอนนี้ผู้ปวยจะมีลักษณะอาการไขสูงรวมกับอาการออนเหนื่อย ปวดหัว คลื่นไสอาเจียน ตอนนี้จะกินเวลาประมาณ 1-6 วัน 2. Acute encephalitic stage ผูปวยยังคงมี ไข้และก็เริ่มมีลักษณะระคายเคืองของเยื่อหุมสมอง มีการเปลี่ยนแปลงของระดับความรูสึกตัว มีลักษณะชักเกร็ง สามารถตรวจเจอ pyramidal tract signs, flaccid paralysis รวมทั้งเจอ deep tendon reflex น้อยลงไดรอยละ 10 บางทีอาจพบอัมพาตครึ่งซีกและความเปลี่ยนไปจากปกติของเสน ประสาทสมองได ระยะที่ 1 รวมทั้ง 2 ของโรคมักใช้เวลา ไมเกิน 2 สัปดาห ผูปวยที่มีลักษณะอาการรุนแรงมักเสียชีวิต ในช่วงนี้ 3. Late stage and sequele ในช่วงนี้ไข้จะลดลง อาการทางสมองจะคงเดิมหรือดีขึ้น ผูปวยที่เสียชีวิตในระยะนี้มักมีสาเหตุมาจากโรคแทรกซอนที่ตามมา อย่างเช่น ปอดอักเสบ โรคติดเชื้อทางเดินเยี่ยว ติดเชื้อในกระแสโลหิต ฯลฯ ซึ่งผู้ป่วยโรคไข้สมองอักเสบ บางรายอาจมีอาการ การกระทำเปลี่ยนแปลงหรือเป็นอาการทางด้านจิตได้ อาการชักมักเป็น แบบชักเกร็งกระตุกทั่วตัว ซึ่งพบได้มากมากโดย เฉพาะเด็กเล็ก บางครั้งก็อาจจะมาด้วยนิ้วกระตุก, ตาเข, หรือหายใจผิดจังหวะได้หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีอาการคล้าย โรคพาร์กินสัน คือมีลักษณะตัวเกร็ง, หน้าไม่แสดง อารมณ์,มือสั่นและก็เคลื่อนไหวตรากตรำ
ขั้นตอนการรักษาโรคไข้สมองอักเสบ การวินิจฉัย การวินิจฉัยอาศัยเรื่องราว การตรวจรางกายและก็การ ตรวจทางหองปฏิบัติงาน การตรวจนับเม็ดเลือดพบได้ทั่วไปวาจํานวนเม็ดเลือดขาวแล้วก็คารอยละของนิวโตรฟล เพิ่มขึ้นในระดับปานกลางถึงสูงมากมาย การตรวจน้ำไขสันหลัง สวนใหญจะพบวาน้ำไขสันหลังมีลักษณะใส ไมมี สีความดันของน้ำไขสันหลังอยูในเกณฑปกติมีเซลล เม็ดเลือดขาวไดตั้งแต 10-1,000 เซลล/ลบ.มิลลิเมตร ซึ่งส่วนใหญเปนจำพวกโมโนนิวเคลียรเซลล ในระยะเริ่มต้นของโรคบางทีอาจไมพบเซลลในน้ำไขสันหลังหรืออาจพบนิวโตรฟลเดนได โปรตีนมักสูงกวาปกติเล็กนอย ระดับน้ำตาลมักอยูในเกณฑธรรมดาเมื่อเทียบกับระดับน้ำตาลในเลือด
การส่งไปทำการตรวจวินิจฉัยด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จะมีคุณภาพสูงยิ่งกว่าการตรวจด้วยเครื่อง เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์โดยจะเห็นความแปลกใน ตำแหน่ง thalamus,basalganglia, midbrain, pons, แล้วก็ medullaโดยตำแหน่งที่พบร่วมมาก ที่สุดคือตำแหน่ง thalamus การส่งไปเพื่อทำการตรวจแยกเชื้อ (serology) ซึ่ง เป็นการวิเคราะห์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นตรวจหาIgM antibodyเฉพาะต่อไวรัสเจอีในนํ้าไขสันหลังและก็ ในเลือด โดยการตรวจเจอ JEV-specific IgM antibody ในนํ้าไขสันหลังสามารถช่วยรับรองการ ติดโรคในคราวนี้ได้แม้กระนั้นแม้ตรวจเจอJEV-specific IgMantibodyในเลือดอาจเป็นการติดโรคหรือขึ้น จากการได้วัคซีนก็ได้ การตรวจหา antibody ในนํ้าไขสันหลัง จะสามารถตรวจเจอได้ปริมาณร้อยละ 70-90 ในผู้เจ็บป่วยที่ ติดเชื้อโรค โดยจะสามารถตรวจพบได้เมื่อประมาณ วันที่5-8ภายหลังเริ่มมีลักษณะ การตรวจหาantibodyในเลือดจะสามารถ ตรวจเจอได้ร้อยละ60-70 ในผู้ป่วยที่ติดเชื้อโรคโดย จะสามารถตรวจเจอได้ขั้นต่ำ 9 วันหลังจาก เริ่มมีอาการ ในปัจจุบันยังไม่มีการดูแลรักษาที่เจาะจง  การดูแลและรักษา    เปนเพียงแต่การดูแลรักษาตามอาการ ที่สําคัญหมายถึงลดอาการบวมของสมอง ดูแลระบบทางเท้าหายใจ ใหยาหยุดชัก บางรายบางทีอาจจําเปนตองให mannitol เพื่อควบคุมความดันในกะโหลกศีรษะ และคุ้มครองป้องกันอาการสอดแทรกตามมา การใช dexamethasone ในขนาดสูงเพื่อลดการบวมของสมองในผูปวยไขสมองอักเสบเจอี พบวาไมสามารถลดอัตราการตายแล้วก็อัตราการฟนจากโรคได มีรายงานจากการศึกษาเล่าเรียนแบบ controlled clinical trials ขนาดเล็กเกี่ยวกับ Neutralizing murine monoclonal antibodies ซึ่งผลิตในประเทศจีน นํามาใชรักษาผูปวย ไขสมองอักเสบเจอี เจอวาการดูแลรักษาดังมายากลาวใหผลการ รักษาที่ดีขึ้น  บางรายงายการศึกษาเล่าเรียนพบว่าได้มีการทดสอบการใช้ยาต้านทาน ไวรัส ribavirin แม้กระนั้นไม่เจอความไม่เหมือนของผล การดูแลรักษาของการใช้ยาต้านไวรัสกับยาหลอกรวมทั้ง พบว่าcorticosteroidsและinterferonalpha2a ไม่ช่วยในเรื่องเกี่ยวกับการควบคุมอาการและไม่ช่วย ในเรื่องของผลของการรักษา
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะนำไปสู่โรคไข้สมองอักเสบ ด้วยเหตุว่าเชื้อไวรัส Japanese encephalitis ที่เป็นตัวการของโรคไข้สมองอักเสบ เจอี จะอยู่ในสัตว์กินนมหลายประเภท อย่างเช่น หมู และยุงจะเป็นพาหะนำเชื้อประเภทนี้มาสู่คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมูที่มีอายุที่มากขึ้น ตัวสัตว์เองก็จะมีภูมิคุ้มกันพอเหมาะพอควร โดยเหตุนี้ ถ้าหากมีไวรัสอยู่ในตัวก็จะโดนควบคุมไม่ให้มีปริมาณมาก ส่วนลูกหมูชอบมีภูมิต้านทานไม่ค่อยดี เมื่อโดนยุงกัด แล้วมีเชื้อไวรัส ไวรัสจะเพิ่มขึ้นอย่างเร็ว ก็จะเป็นแหล่งกระจายเชื้อมาสู่ยุงไปสู่คน  เพราะฉะนั้นไข้สมองอักเสบเจอี ก็เลยพบบ่อยในแหล่งที่มีการเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณที่มีการเลี้ยงหมูเป็นจำนวนมาก ดังเช่นว่า ในต่างจังหวัด และก็บริเวณชานเมือง และพบมากในช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม แม้กระนั้นก็บางทีอาจพบเรี่ยรายได้ตลอดทั้งปี ผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคไข้สมองอักเสบเจอี ได้แก่ เกษตรกรที่มีอาชีพเลี้ยงหมู ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านนอกในท้องถิ่นที่มีการระบาด ทหารที่เข้าไปประจำการหรือทำการในเขตแดนที่มีการระบาดของโรค ผู้ย้ายที่อยู่ไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศที่มีการระบาด
การติดต่อของโรคไข้สมองอักเสบ เจอี เชื้อ JEV (Japanese encephalitis Virus) จัดอยู่ในเครือญาติฟลาวิเชื้อไวรัส (family flaviviridae) สกุลฟลาวิไวรัส (genus flavivirus)อยู่ในกรุ๊ปเดียวกับเชื้อไวรัสเด็งกี่(Dengue virus)รวมทั้งไข้เหลือง(yellowfever) ด้วยเหตุนี้เชื้อไวรัสเจอี จึงมีคุณลักษณะเหมือนกับฟลาวิเชื้อไวรัสตัวอื่นๆซึ่งเป็น ไวรัสที่มีแมลงกินเลือดเป็นพาหะนำ โรคจะติดต่อ ในวงจรจากสัตว์สู่คน โดยมียุงเป็นตัวพาหะนำ เชื้อโรค โดยมีหมูเป็นรังโรคที่สำคัญ หมูที่ติดเชื้อโรค JE จะไม่มีอาการ แต่มีเชื้อ JE ในเลือด เมื่อยุงไปกัด หมูในช่วงนี้เชื้อจะเข้าไปเพิ่มจำนวนในยุง เมื่อ มากัดคนจะแพร่เชื้อเข้าสู่คน ส่วนสัตว์อื่นๆที่จะติด เชื้อ JEยกตัวอย่างเช่นม้า วัวควายนก แม้กระนั้นสัตว์พวกนี้เมื่อติดเชื้อโรคแล้วจะไม่มีอาการมีแม้กระนั้นม้ารวมทั้งคนเพียงแค่นั้นที่มีอาการ เมื่อได้รับเชื้อ แล้วโดยประมาณ 1 ใน 300-500 ของผู้ติดโรคจะมี อาการสมองอักเสบ หมูมีความหมายในวงจรการ แพร่ขยายของโรค เพราะจะมีเชื้ออยู่ในกระแส เลือดได้เป็นเวลายาวนานกว่าสัตว์อื่นๆก็เลยจัดว่าเป็นamplifier ที่เป็นรังโรคที่สำคัญ ยุงที่เป็นพาหะเป็นจำพวก Culex tritaeniorhynchus  Culex golidus , Culex fascocephalus ยุงกลุ่มนี้เพาะพันธุ์ใน ทุ่งนาที่มีนํ้าขัง ปริมาณยุงจะเพิ่มมากในช่วงฤดูฝน ยุงตัวเมียสามารถถ่ายทอดเชื้อผ่านรังไข่ไปสู่ลูกยุงได้ ซึ่งมีระยะฟักตัวในยุงประมาณ 9-12 วัน ยุงกลุ่มนี้จะออกมากัดรับประทานเลือดในช่วงเวลาเย็นหรือ ตอนคํ่า หมูรวมทั้งนกนํ้า ตัวอย่างเช่น นกกระสา นกกระยาง เป็นรังโรคที่สำ คัญเนื่องจากว่าจะมีเชื้อในการแส เลือดได้นานแล้วก็มีการเพิ่มเชื้อได้สูง ซึ่งใน เมืองไทยมวลชนโดยมาก เลี้ยงชีพทำการเกษตรรวมทั้งมีปริมาณของการ เลี้ยงหมูปริมาณมากด้วยเหตุนี้จึงมีโอกาสที่จะเพิ่มความเสี่ยงสำหรับโรคไข้สมองอักเสบมากมายตามมา
การกระทำตนเมื่อป่วยด้วยโรคไข้สมองอักเสบ เจอี

  • กินยาตามแพทย์สั่ง รวมทั้งทำตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
  • รักษาสุขภาพของร่างกายให้สะอาดอยู่เสมอเพื่อคุ้มครองป้องกันโรคแทรกซ้อน
  • ไปพบแพทย์จากที่แพทย์นัดให้ตรงเวลา
  • เมื่อพบว่าอาการกำเริบหรืออาการทรุดลง ภายหลังรับประทานยาที่แพทย์สั่งให้รีบไปพบหมอโดยด่วน
  • ใช้ยาใช้ภายนอกกันยุงแล้วก็นอนในมุ้งเพื่อคุ้มครองป้องกันการกระจายเชื้อให้กับคนที่อยู่รอบตัว
  • รับประทานอาหารที่มีสาระครบ 5 หมู่ แล้วก็บริหารร่างกายอย่างสม่ำเสมอ

การปกป้องคุ้มครองตนเองจากโรคไข้สมองอักเสบ เจอี

  • คนที่เป็นไข้ตัวร้อนควรไปพบหมอทันที เมื่อมีลักษณะกลุ่มนี้ร่วมด้วย ได้แก่ ปวดหัวรุนแรง รับประทานยาแก้ปวดแล้วไม่ทุเลา อ้วกมากมาย มีลักษณะชักร่วมด้วย ซึม ไม่ค่อยรู้ตัว หรือหมดสติ แขนขาเป็นอัมพาต ปากเบี้ยว กลืนตรากตรำ หรืออ้าปากตรากตรำ (ขากรรไกรแข็ง) หรือก้มคอไม่ลง (คอแข็ง)
  • ควรกำจัดยุงแล้วก็แหล่งเพาะพันธุ์ของยุง
  • เมื่อมีการระบาดของโรคไข้สมองอักเสบ เจอี ควรยินยอมให้เจ้าหน้าที่ฉีดยาทำลายยุงในรอบๆพื้นที่ มีการระบาดของโรคโดยการพ่นสารเคมีเพื่อฆ่ายุงตัวแก่
  • คุ้มครองป้องกันไม่ให้ยุงกัด โดยนอนกางมุ้ง หรือติดมุ้งลวดในบ้านและตามห้องต่างๆ
  • ย้ายคอกสัตว์ เป็นต้นว่า หมู วัว ควาย ให้ห่างจากแหล่งที่พักอาศัย เพื่อลดความเสี่ยงของรังโรค
  • ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบ
  • วิธีที่เยี่ยมที่สุดตอนนี้ ดังเช่นว่าการฉีดยาปกป้องโรคนี้ให้แก่เด็กๆของเราก่อนที่จะติดเชื้อเองตามธรรมชาติ
  • วัคซีนคุ้มครองโรคไข้สมองอักเสบเจอี (JEV) เริ่มมีการปรับปรุงมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2473 ในประเทศรัสเซียและก็ญี่ปุ่น ถัดมาได้เพิ่มการทำให้วัคซีนบริสุทธิ์ขึ้นเพื่อป้องกันผลสอดแทรกจากการแปดเปื้อนของเนื้อเยื่อสมองหนู แล้วก็ได้รับการพัฒนาต่อเรื่อยมาจนกระทั่งมีใช้กันอย่างล้นหลามในตอนนี้
  • ส่วนในประเทศไทยซึ่งเป็นแหล่งระบาดของ เชื้อนั้น มีการฉีดยาเพื่อปกป้องโรค ตั้งแต่ปี 2533 โดยเริ่มในภาคเหนือ รวมทั้งเบาๆขยาย ครอบคลุมทั้งประเทศ ตั้งแต่ พ.ศ. 2543 โดย ให้วัคซีนแก่เด็กอายุ 1 ปีครึ่ง ถึง 2 ปีคนละ 2 ครั้งและก็กระตุ้น 1 ครั้ง เมื่ออายุ2 ปีครึ่ง ถึง 3 ปี วัคซีนที่ใช้เป็นชนิดเชื้อตาย (JE SMBV: mouse brain-derivedinactivatedJEvaccine)วัคซีน ปกป้องไข้สมองอักเสบเจอีที่จดทะเบียนรวมทั้ง จำหน่ายในประเทศไทยปัจจุบันนี้มี2ชนิดเช่น (1.) วัคซีนจำพวกเชื้อตายที่เพาะเชื้อในสมอง หนู(suckling mouse brain vaccine หรือ SMBV) (2.) วัคซีนชนิดเชื้อมีชีวิตอ่อนฤทธิ์ (SA 14–14–2) ที่เพาะเชื้อในเซลล์เพาะเลี้ยง เป็นวัคซีน ใหม่ที่เพิ่งจะขึ้นทะเบียนในประเทศไทยปีพุทธศักราช2550

สมุนไพรที่ใช้ปกป้องตนเองจากโรคไข้สมองอักเสบ เอจี โรคไข้สมองอักเสบ เจอี เป็นโรคที่ยังไม่มียารักษาเฉพาะการดูแลและรักษายังจะต้องใช้การรักษาแบบเกื้อหนุน รักษาตามอาการ โดยเหตุนั้นก็เลยไม่มีสมุนไพรจำพวกไหนซึ่งสามารถรักษาได้ เพียงแค่มีสมุนไพรซึ่งสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคไข้สมองอักเสบ เจอี ได้ไพเราะเพราะพริ้งไข้สมองอักเสบ เจอี นั้นมียุงเป็นยานพาหนะนำเชื้อ ด้วยเหตุดังกล่าวสมุนไพรที่ช่วยปกป้องโรคประเภทนี้นั้น ก็เลยเป็นสมุนไพรที่ใช้ไล่ยุงต่างๆเช่น
พืชกรุ๊ปสกุล (genus) Cymbopogon
ตะไคร้หอม (Cymbopogon nardus (L.) Rendle) มีการเรียนฤทธิ์ไล่ยุงของตำรับน้ำมันตะไคร้หอม (citronella oil) ที่มีส่วนประกอบที่สำคัญเป็น citronella, geraniol และ citronellol ในรูปแบบของครีม พบว่าตำรับที่มีน้ำมันตะไคร้หอม 17% คุ้มครองป้องกันยุงลายได้นานประมาณ 3 ชั่วโมง ครีมที่มีน้ำมันตะไคร้หอม 14% ลดปริมาณยุงเบื่อหน่ายที่มาเกาะภายใน 1 ชั่วโมงหลังทาครีม นอกจากนี้สารสกัดเอทานอลของตะไคร้หอมผสมกับน้ำมันที่สกัดจากมะกอกสามารถไล่ยุงลายแล้วก็ยุงหงุดหงิดได้นาน 2 ชั่วโมง ครีมที่มีน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้หอมที่ความเข้มข้น 1.25, 2.5 รวมทั้ง 5.0% คุ้มครองปกป้องยุงก้นปล่องได้โดยประมาณ 2 ชั่วโมง ระหว่างที่ความเข้มข้น 10% ให้ผลได้เป็นเวลานานกว่า 4 ชั่วโมง
ตะไคร้ (Cymbopogon citratus (DC.) Stapf) น้ำมันตะไคร้ (lemongrass oil) ใน liquid paraffin ความเข้มข้น 20 และ 25% ส่งผลคุ้มครองป้องกันยุงลายได้ 100% ใน 1 ชั่วโมงแรก รวมทั้งลดน้อยลงเหลือประมาณ 95% ด้านใน 3 ชั่วโมง การเตรียมผลิตภัณฑ์น้ำมันตะไคร้ 15% ในรูปของครีมและก็ขี้ผึ้งพบว่าได้ผลปกป้องยุงกัดได้ โดยคุณสมบัติขององค์ประกอบของผลิตภัณฑ์มีผลต่อการปลดปล่อยน้ำมันหอมระเหย และมีผลต่อประสิทธิภาพสำหรับเพื่อการคุ้มครองป้องกันยุงด้วย น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ที่มี geraniol ปริมาณ 0.2 มก./ซึม2 สามารถลดอัตราการกัดจากยุงเบื่อหน่าย เป็น 10, 15 แล้วก็ 18% ที่เวลา 1, 2 และก็ 3 ชั่วโมงเป็นลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับการมิได้ทาน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ สบู่อาบน้ำที่มีส่วนประกอบของน้ำมันตะไคร้หอม 0.1% น้ำมันตะไคร้ 0.5% และน้ำมันสะเดา 1% สามารถไล่ยุงได้ในตอน 8 ชั่วโมง
พืชกลุ่มสกุล (genus) Ocimum
น้ำมันหอมระเหยจากพืชกลุ่มนี้ 5 จำพวก เช่น แมงกะแซง (O. americanum L.) โหระพา (O. basilicum L.) แมงลัก (O. africanum Lour. ExH) ยี่หร่าหรือโหระพาช้าง (O. gratissimum L.) และก็กะเพรา (O. tenuiflorum L.) พบว่ามีฤทธิ์อีกทั้งฆ่าลูกน้ำแล้วก็ไล่ยุงลายได้ ฤทธิ์ฆ่าลูกน้ำยุงลายของน้ำมันหอมระเหย เรียงลำดับดังนี้ โหระพา > ยี่หร่า> กะเพรา > แมงลัก = แมงกะแซง โดยมีค่าความเข้มข้นของน้ำมันหอมระเหยที่ได้ผลปกป้องยุงได้ 90% (EC90) เท่ากับ 113, 184, 240, 279 และ 283 ppm เป็นลำดับ สำหรับฤทธิ์ไล่ยุงของน้ำมันหอมระเหยที่ความเข้มข้น 10% พบว่า โหระพาช้างมีฤทธิ์แรงที่สุด คุ้มครองปกป้องยุงกัดได้นาน 135 นาที รองลงมาคือ กะเพรา แล้วก็แมงลัก ที่คุ้มครองยุงกัดได้นาน 105 และ 75 นาที ตามลำดับ ในช่วงเวลาที่แมงกะแซง แล้วก็โหระพาให้ผลน้อยที่สุดเพียงแค่ 15 นาที
พืชกลุ่มสกุล (genus) Citrus
มะกรูด (Citrus hystrix DC.) น้ำมันหอมระเหยจากมะกรูดมีฤทธิ์คุ้มครองปกป้องยุงได้นาน 95 นาที แล้วก็ตำรับยาทากันยุงที่มีน้ำมันมะกรูดความเข้มข้น 25 และ 50% สามารถไล่ยุงได้นาน 30 แล้วก็ 60 นาที เป็นลำดับ น้ำมันหอมระเหยผสมจากมะกรูด 5% และจากดอกชิงเฮา (Artemisia annua L.) 1% ปกป้องยุงลาย ยุงก้นปล่อง แล้วก็ยุงหงุดหงิดได้นาน 180 นาที ในห้องปฏิบัติการ ในความเข้มข้นเดียวกันสามารถคุ้มครองยุงลาย และก็ยุงเสือ ได้ 180 นาที แล้วก็ยุงอารมณ์เสียได้นานถึง 240 นาทีในภาคสนาม
มะนาวฝรั่ง (Citrus limon (L.) Burm.f.) น้ำมันหอมระเหยจากมะนาวฝรั่งมีฤทธิ์ไล่ยุงก้นปล่องได้ 0.88 เท่าของสารเคมีสังเคราะห์ N,N-diethyl-3-methylbenzamide
นอกจากสมุนไพรที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีสมุนไพรอื่นๆที่มีการศึกษาฤทธิ์สำหรับในการป้องกันยุง ดังเช่น ข่า ไพล ขึ้นฉ่าย ว่านน้ำ กานพลู หนอนตายหยาก ดอกกระดังงาไทย สารไพรินทรัม (pyrethrum) รวมทั้งผู้จองเวรทริน (pyrethrins) ที่พบได้ในพืชเครือญาติดอกเบญจมาศ (chrysanthemum flowers) ฯลฯ
เอกสารอ้างอิง

  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.ไข้สมองอักเสบ จากเชื้อไวรัส เจอี.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 174.คอลัมน์ แนะยา-แจงโรค.ตุลาคม.2536
  • Halstead SB, Jacobson J. Japanese encephalitis vaccines. In: Plotkin SA, Orenstein WA, Offit PA, editors. Vaccines. 5th ed. Elsevier Inc.; 2008. p.311-52. http://www.disthai.com/[/b]
  • Thisyakorn U, Thisyakorn C. Japanese encephalitis. In: Dupont HL, Steffen R, editors. Textbook of Travel Medicine and Health. 2nd ed. Hamilton: B.C. Decker Inc.; 2001. p.312-4.
  • นศ.พ.เฉลิมเกียรติ สุวรรณเทน.รศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า. Japanese Encephalitis. วารสารสมาคมประสาทวิทยาศาสตร์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.ปีที่ 6.ฉบับที่4.ตุลาคม-ธันวาคม 2554.หน้า 93-100
  • Thisyakorn U, Thisyakorn C. Diseases caused by arboviruses: dengue haemorrhagic fever and Japanese B encephalitis. Med J Aust. 1994;160:22-6.
  • โอฬาร พรหมาลิขิต.วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอี.ตำราวัคซีน.สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย.หน้า 127-135
  • Thisyakorn U, Nimmannitya S. Japanese encephalitis in Thai children, Bangkok, Thailand. Southeast Asian J Trop Med Public Health. 1985;16:93-7.
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. โครงการเสริมภูมิคุ้มกันโรคและวัคซีนไข้ สมองอักเสบเจอีในประเทศไทย. ประจำปี Available from:
  • Thisyakorn U, Thisyakorn C. Studies on Flaviviruses in Thailand. In: Miyai K, Ishikawa E, editors. Progress in Clinical Biochemistry: Proceedings of the 5th Asian-Pacific Congress of Clinical Biochemistry; 1991 Sept 29-Oct 4; Kobe, Japan. Amsterdam: Excerpta Medica; 1992. p.985-7.
  • อุษา ทิสยากร, สุจิตรา นิมมานนิตย. Viral meningitis และ encephalitis ในเด็ก. วารสารโรคติดเชื้อ และยาตานจุลชีพ. 2528;2:6-10.
  • สุจิตรา นิมมานนิตย, อุษา ทิสยากร, อนันต นิสาลักษณ, Hoke CH, Gingrich J, Leake E. Outbreak of Japanese encephalitis-Bangkok Metropolis. รายงาน การเฝาระวังโรคประจําสัปดาห. 2527;15:573-6.
  • นพ.คำนวน อึ้งชูศักดิ์.โรคไข้สมองอักเสบจากไวรัสเจอี ถึงจะร้ายแต่ก็ป้องกันได้.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่108.คอลัมน์กันไว้ดีกว่าแก้.เมษายน.2531
  • สำนักระบาดวิทยา.สรุปรายงานการเฝ้าระวัง โรคประจำปีนนทบุรี:สำนักระบาดวิทยา กองควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข; รายปี2552: 21-23.
  • สมบุญ เสนาะเสียง, อัญชนา วากัส, ฐิติพงษ์ ยิ่งยง. Situation of encephalitis and Japanese B Encephalitis, Thailand, 2009. Weekly Epidemiological Surveillance Report. 2010;41:33-5.
  • อุษา ทิสยากร. ไขสมองอักเสบจากเชื้อไวรัส แจแปนนิส. ใน: อุษา ทิสยากร, จุล ทิสยากร, บรรณาธิการ. กุมารเวชศาสตรเขตรอน. กรุงเทพฯ: ดีไซร จํากัด; 2536. น.89-97
  • วรรณี ลิ่มปติกุล, อุษา ทิสยากร. การติดเชื้อ Japanese Encephalitis Virus ที่โรงพยาบาลสงขลา. วารสารวิชาการเขต 2541;9:65-71.
  • Weekly epidemiological record. Japanese Encephalitis. 2015;90:69-88.
  • อ.นพ.วินัย รัตนสุวรรณ.โรคไข้สมองอักเสบ.บทความความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล
77  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: เห็ดหลินจือมีประโยชน์ที่น่าพิศวง เมื่อ: มิถุนายน 16, 2018, 01:47:03 pm
ประโยชน์เห็ดหลินจือ ขายเห็ดหลินจือ
78  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: และก็รักษาโรคของเห็ดหลินจือ เมื่อ: มิถุนายน 16, 2018, 08:47:10 am
ประโยชน์เห็ดหลินจือ ขายเห็ดหลินจือ
79  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: เห็ดหลินจือคุณประโยชน์ที่พวกเรารู้จักกันอย่างยอดเยี่ยม เมื่อ: มิถุนายน 15, 2018, 02:09:10 pm
ประโยชน์เห็ดหลินจือ ขายเห็ดหลินจือ
80  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: ต้นกำเนิกของสมุนไพรเห็ดหลินจือที่น่าศึกษาน่าสนใจ เมื่อ: มิถุนายน 15, 2018, 10:43:38 am
ถิ่นกำเนิดเห็ดหลินจือและลักษณะทั่วไป
81  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: สรรพคุณถั่งเช่าเป็นสมุนไพรที่ใครๆก็อยากได้ เมื่อ: มิถุนายน 13, 2018, 10:21:10 am
ถั่งเช่ามีประโยชน์ ขายถั่งเช่า
82  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: คุณประโยชน์ถั่งเช่าเป็นสมุนไพรที่ใครๆก็อยากได้ เมื่อ: มิถุนายน 12, 2018, 02:01:35 pm
ขายถั่งเช่า ประโยชน์ถั่งเช่่า
83  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: สุดยอดสรรพคุณถั่งเช่า เมื่อ: มิถุนายน 12, 2018, 08:45:48 am
ประโยชน์ถั่งเช่น ขายถั่งเช่า
84  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ผักปลังมีสรรพคุณเเละประโยชน์ดังนี้ เมื่อ: มิถุนายน 07, 2018, 09:18:50 am
ผักปลัง
ชื่อสมุนไพร ผักปลัง
ชื่ออื่นๆ/ ชื่อท้องถิ่น ผักปั๋ง (ภาคเหนือ) , ผักปลังแดง , ผักปลังขาว , ผักปลังใหญ่ (ภาคกึ่งกลาง) , ลั่วขุย (จีนกลาง) , เหลาะขุ้ย โปแดงฉ้าย (จีนแต้จิ๋ว) , มั้งฉ่าว (ม้ง)
ชื่อสามัญ East Indian spinach, Malabar nightshade , Ceylon spinach ,Indian spinach
ชื่อวิทยาศาสตร์                     Basella alba L. (ผักปลังขาว)
                                         Basella rubra L.(ผักปลังแดง)
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์     B. lucida L., B. cordifolia Lam., B, nigra Lour., B. japonica Burm.f.,
วงศ์  Basellaceae
ถิ่นกำเนิด ผักปลัง เป็นพืชที่มีบ้านเกิดเมืองนอนในแถบแอฟริกา แล้วก็มีการกระจายจำพวกในทวีปเอเชีย อย่างเช่น จีน ญี่ปุ่น พม่า ลาว เขมร เป็นต้น ในประเทศไทย เป็นพืชซึ่งพบได้มาก ดูเหมือนจะทุกภาค อีกทั้งชนิดที่มีลำต้นสีเขียวที่เรียกว่า ผักปลังขาว และก็ประเภทลำต้นสีแดงซึ่งเรียกกันว่า ผักปลังแดง และก็มักพบในหมู่บ้านหรือตามท้องนามากกว่าในป่า พบได้ทั่วไปในภาคเหนือและก็อีสาน ส่วนภาคใต้ไม่ค่อยพบ เนื่องจากว่าไม่เป็นที่ชื่นชอบสำหรับการรับประทานจึงไม่มีการปลูกไว้ตามอาคารบ้านเรือน
ลักษณะทั่วไป   ไม้เถาเลื้อยล้มลุก ลำต้นอวบน้ำ หมดจด กลม แตกกิ่งก้านสาขา ยาวราว 2-6 เมตร ถ้าเกิดลำต้นมีสีเขียว เรียกว่า “ผักปลังขาว” มีใบสีเขียวเข้ม ส่วนประเภทลำต้นสีม่วงแดง เรียกว่า “ผักปลังแดง” มีใบสีเขียวเข้ม ก้านใบสีม่วงแดง  ใบ เป็นใบคนเดียว ออกสลับ รูปไข่ หรือรูปหัวใจ ใบกว้าง 2-8 ซม. ยาว 2.5-12 เซนติเมตร ใบอวบน้ำ มีลักษณะวาวหนานุ่มมือ ฉีกให้ขาดง่าย ข้างหลังใบแล้วก็ท้องใบหมดจดไม่มีขน ขยี้จะเป็นเมือกเหนียว ปลายใบแหลม โคนใบรูปหัวใจ ขอบของใบเรียบ ก้านใบยาว 1-3 ซม. ดอกเป็นดอกช่อเชิงลด ออกตรงซอกใบ ยาว 3-21 เซนติเมตร ดอกย่อยเยอะมากๆ ขนาดเล็ก ไม่มีก้านชูดอก แต่ละดอกมี 5 กลีบ ผักปลังขาวมีดอกสีขาว ผักปลังแดงออกดอกสีม่วงแดง ยาวโดยประมาณ 4 มม. มีใบประดับเล็ก 2 ใบ ติดที่โคนของกลีบรวม กลีบรวมรูประฆัง ยาว 0.1-3 มิลลิเมตร โคนเชื่อมติดกันเป็นท่อ ปลายแยกเป็นห้าแฉกนิดหน่อย เกสรเพศผู้มีปริมาณ 5 อัน ติดที่ฐานของกลีบดอก อับเรณูรูปกลม ยาว 0.1-0.5 มม. ติดก้านยกเกสรที่ข้างหลัง ก้านชูเกสรเพศผู้ เป็นแท่งยาว 0.1-1 มิลลิเมตร เกสรเพศเมีย 1 อัน กลม ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็น 3 แฉก แต่ละแฉกเป็นรูปแท่งปลายแหลม ยาว 0.1-0.5 มม. รังไข่ 1 ช่อง รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ รูปค่อนข้างจะรี ยาว 0.1-0.5 มม. ก้านยกเกสรเพศเมีย ยาว 0.1-0.5 มม. ผลได้ผลสด รูปร่างกลมแป้น ชุ่มฉ่ำน้ำ เส้นผ่าศูนย์กลาง 5-6 มม.  ผิวเรียบ ปลายผลมีร่องแบ่งเป็นลอน ไม่มีก้านผล ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่มีสีม่วงอมดำ เนื้อข้างในนิ่ม ภายในผลมีน้ำสีม่วงดำ เม็ดคนเดียว
การขยายพันธุ์ ผักปลังสามารถขยายได้ 2 แนวทางเป็นการเพาะเม็ดและปักชำ สำหรับเพื่อการเพาะเม็ดนั้นอันดับแรกต้องจัดเตรียมหลุมก่อนแล้วค่อยหยอดเมล็ดพันธุ์ (ที่ตากแห้งแล้ว) ลงไป หลุมละ 2 -3 เมล็ด โดยให้ระยะห่างระหว่างต้น 30 ซม. แล้วก็ระหว่างแถว 40 ซม. รวมทั้งเมื่อต้นอายุได้ 20 – 25 วันให้ทำค้างเพื่อให้เถาเลื้อยขึ้น ส่วนการปักชำนั้น ทำเป็นโดยนำกิ่งแก่ที่มีข้อ 3 – 4 ข้อ ยาวราว 15 – 20 ซม. เด็ดใบออกให้หมดแล้วปักชำในดินร่วนหรือดินผสมทรายที่มีความชื้น แล้วก็มีแสงอาทิตย์รำไรในเดี๋ยวนี้ให้หมั่นรดน้ำอย่าให้ดินแห้ง ราวๆ 7 วัน จะแตกรากแล้วก็เริ่มผลิใบใหม่ออกมาในช่วงนี้ระวังอย่างให้น้ำมากมายด้วยเหตุว่ารากจะเน่าหลังจากนั้นอีก 15 – 20 วัน ให้เถาเลื้อยเกาะขึ้นไป
การดูแลแล้วก็ทะนุบำรุง การให้ปุ๋ย ครั้งที่ 1,2 เมื่อต้นพืชอายุได้ 20-25 วัน , 40-45 วัน, ควรจะให้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยหมักที่ผ่านการดองแล้ว ส่วนการให้น้ำ ควรจะให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ให้พอเหมาะกับพืชไม่ควรให้แห้งหรือแฉะมากเกินความจำเป็น ระยะเวลาสำหรับเพื่อการเก็บเกี่ยว   อายุการเก็บเกี่ยว 35-40 วัน ก็เก็บยอดได้แล้ว แล้วก็ผักปลังอายุ 90-100 วัน จะเริ่มมีดอก แล้วก็ถ้าแก่ 120 วัน ผลเริ่มแก่ (พินิจผลจะเป็นสีดำ) ก็สามารถเก็บเมล็ดภายในผลแก่ไว้เพาะพันธุ์ถัดไปได้
องค์ประกอบทางเคมี
ใบผักปลังมีกรดอะมิโน ที่ประกอบไปด้วย Lysine, Leucine, Isoleucine แล้วก็สารประเภท Glucan, Polysaccharide ประกอบไปด้วย D-galactose, L-arabinose, L-rhamnose, Uronic acid ต้นเจอสาร Glucan, Glucolin, Saponin, โปรตีน, วิตามินเอ, วิตามินบี, วิตามินซี, แร่, แคลเซียม, ธาตุเหล็ก
ที่มา : wikipedia
นอกจากนั้นยังเจอสารต่างๆอีกเยอะแยะ เช่น สารกลุ่มฟีนอลิก สารกรุ๊ปบีทาเลน (จากผลสุกสีม่วงดำ) อาทิเช่น บีทานิดินมอโนกลูโคไซด์, กอมเฟรนีน    สารติดอยู่โรทีนอยด์ ดังเช่น นีออกแซนธิน, ไฟวโอลาแซนธิน, ลูเทอิน, ซีแซนธิน, แอลฟา แล้วก็เบต้าแคโรทีน       สารมูก (mucilage) องค์ประกอบเป็นพอลีแซคค้างไรด์ที่ละลายน้ำ         สารกลุ่มซาโปนิน อย่างเช่น basellasaponin (พบที่ลำต้น), betavulgaroside I, spinacoside C, momordin II B, momordin II C
ส่วนคุณประโยชน์ทางโภชนาการของผักปลังมีดังนี้   ผักปลังสด 100 กรัม ให้พลังงานแก่ร่างกาย 21 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย น้ำ 93.4 กรัม คาร์โบไฮเดรต 2.7 กรัม โปรตีน 2.0 กรัม ไขมัน 0.2 กรัม กาก(ใยอาหาร) 0.8 กรัม แคลเซียม 4 มก. ฟอสฟอรัส 50 มก. เหล็ก 1.5 มิลลิกรัม วิตามินเอ 9,316 IU วิตามินบี 1 0.07 มิลลิกรัม วิตามินบี 2 0.20 มิลลิกรัม ไนอาซิน 1.1 มิลลิกรัม แล้วก็วิตามินซี 26 มก.  ส่วนในใบผักปลังแห้ง 100 กรัม ให้พลังงาน 306.7 กิโลแคลอรี่ มีเถ้า 15.9 กรัม โปรตีน 27.7 กรัม ไขมัน 3.1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 42.1 กรัม เส้นใย 11.3 กรัม แคลเซียม 48.7 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 21.5 มิลลิกรัม วิตามินซี 400 มิลลิกรัม
ผลดี/สรรพคุณ
ใช้เป็นของกิน  ผัก  ยอดผักปลัง ใบอ่อน รวมทั้งดอกอ่อน ใช้กินเป็นอาหาร ตัวอย่างเช่น ต้มหรือลวกรับประทานกับน้ำพริก หรือใช้ดอกผักปลังปรุงเป็นแกงส้ม อาหารประจำถิ่นล้านนาใช้เป็นส่วนประกอบเพื่อเพิ่มความข้นเหนียวหนืดในน้ำซุป ผักปลังนอกจากจะนำมาใช้เป็นของกินแล้วในปัจจุบันยังมีการเอามาทำสินค้าต่างๆอีกมากมาย เช่น น้ำสมุนไพรผักปลัง รวมถึงมีการศึกษาเล่าเรียนการใช้คุณประโยชน์จากสีของผลผักปลังเป็นต้นว่า ใช้แต่งสีของกินและขนมต่างๆอีกด้วย ส่วนสรรพคุณทางยาของผักปลังนั้นมีดังนี้
ตำรายาไทย ทั้งต้น รสเย็น ต้มดื่มแก้ขัดค่อย แก้ท้องผูก ลดไข้ ตำพอกแก้ขี้กลาก ผื่นคัน แก้พิษไข้ทรพิษ แก้อักเสบ ใบ มีรสหวานเบื่อ ระบายท้อง ขับปัสสาวะ แก้บิด แก้อักเสบ แก้โรคกระเพาะอักเสบ แก้ขี้กลาก แก้ผื่นคัน ฝี ดอก รสหวานเหม็นเบื่อ ใช้ทาแก้ขี้กลากโรคเกลื้อน แก้โรคเรื้อน ดับพิษฝีดาษ แก้เกลื้อน คั้นเอาน้ำทาแก้หัวนมแตกเจ็บ ต้น รสหวานเอียน แก้อึดอัดแน่นท้อง ระบายท้อง แก้พิษไข้ทรพิษ แก้พิษฝี แก้อักเสบบวม ต้มดื่มแก้ไส้ติ่งอักเสบ ราก รสหวานเอียน แก้ตัวเท้าด่าง แก้รังแค แก้โรคผิวหนัง แก้ท้องผูก แก้พรรดึก ใช้ทาถูนวดให้ร้อนเพื่อให้เลือดมาหล่อเลี้ยงรอบๆที่ทาให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ น้ำคั้นรากเป็นยาช่วยหล่อลื่นข้างใน แล้วก็ขับดำของเดือนปัสสาวะ อินเดีย ใช้อีกทั้งต้น แก้ผื่นคัน ผื่นคัน แผลไฟไหม้ ต้นแล้วก็ใบ ใช้แก้มะเร็งเม็ดสีผิว มะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคมะเร็งช่องปาก  ประเทศบังคลาเทศ อีกทั้งต้นใช้ตำพอกหน้า ปกป้องสิว รวมทั้งกระ
ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบันนั้นมีผลการศึกษาเรียนรู้วิจัยระบุว่าสารออกฤทธิ์ในผักปลังมีคุณประโยชน์ตามกรุ๊ปของสารต่างๆดังนี้
สารกลุ่มบีทาเลน เป็นกลุ่มสารประกอบสีม่วงดำของเนื้อผลผักปลังสุก ประกอบด้วยสารบีทานิดินมอโนกลูวัวไซด์เป็นส่วนมาก รองลงมาเป็นสารอนุประเภทต่างๆของกอมเฟรนีนซึ่งละลายน้ำได้ สารกลุ่มนี้มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ และใช้เป็นสารแต่งสีของกินที่มีความปลอดภัยกว่าการใช้สีสังเคราะห์
สารกรุ๊ปแคโรทีนอยด์ อาทิเช่น นีออกแซนธิน ไฟวโอลาแซนธิน ลูเทอิน (iutein) ซีแซนธิน (Zeaxanthin) แอลฟาแคโรทีน (α-carotene) รวมทั้งบีตาแคโรทีน (β-carotene) เพราะว่าร่างกายใช้สารแคโรทีนอยด์สำหรับเพื่อการสังเคราะห์วิตามินเอเพราะฉะนั้นการกินผักปลังเสมอๆจะเพิ่มปริมาณวิตามินเอภายในร่างกายได้ เหมาะสมกับคนที่เสี่ยงต่อการขาดวิตามินเอ ยิ่งกว่านั้นแคโรทีนอยด์ยังมีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย
กลุ่มกรดไขมัน น้ำมันจากเม็ดผักปลังมีกรดไขมันหลายอย่าง ตัวอย่างเช่น กรดขว้างลมิติก เกลื่อนกลาดดสเตรียริก กรดลังเลอีก แล้วก็กรดลิโนเลอิก
สารเมือก (mucilage) พบในทุกๆส่วนของต้น สารมูกมีส่วนประกอบของพอลีย์แซคาไรด์ที่ละลายน้ำ มีทรัพย์สมบัติเป็นยาระบายอ่อนๆในพืชบางประเภทพบว่าสารเมือกมีฤทธิ์ immunomodulator  ฤทธิ์คุ้มครองป้องกันเซลล์ โดยการเคลือบเยื่อในกระเพาะอาหารและก็ยั้งการหลั่งกรด ส่วนการใช้ในทางเวชสำอาง สารเมือกมีคุณลักษณะช่วยลดอาการอักเสบลดการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวลดน้อยลง ช่วยสมาน รักษาผิดแห้งผื่นคัน แล้วก็ลดอาการเคือง
กรดอะมิโนแล้วก็เพปไทด์ กรดอะมิโน ดังเช่นว่า อาร์จีนีน ลิวซีน (leucine) ไอโซลิวซีน ทรีโอนีน และก็ทริโทแฟน ส่วนสารเพปไทด์ที่มีฤทธิ์ทางด้านชีววิทยา เช่น โปรตีนที่ยับยั้งหลักการทำงานของไรโบโซมในวิธีการสังเคราะห์โปรตีนในเม็ดผักปลังซึ่งมีฤทธิ์ทำลายเชื้อไวรัสชนิด  Artichoke-mottled crinkle virus (AMCV) ในต้นยาสูบโดยยั้งกรรมวิธีจำลองพันธุกรรมของเชื้อไวรัส ก็เลยบางทีอาจนำไปเป็นนวทางในการพัฒนายาต้านทานเชื้อไวรัสต่อไปในอนาคต ยิ่งกว่านั้นยังมีสารแอลฟาบาสรูบริน  (α-basrubrins) และก็สารเบตาบาสรูบริน (β-basrubrins) ซึ่งเป็นเพปไทด์จากเมล็ดผักปลังมีฤทธิ์ต้านเชื้อราประเภท Botrytiscinerea, จำพวก Fusarium oxysporum, แล้วก็จำพวก Mycosphaerella arachidicola โดยการยับยั้งวิธีการสร้างโปรตีนในเชื้อรา
สารกลุ่มไทรเทอร์พีนแซโพนิน ได้แก่ สารบาเซลลาเซโพนิน (basellasaponins)  ซึ่งเจอในส่วนของก้านลำต้นของผักปลัง เบตาวุลการโรไซด์  (betavulgaroside I) มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด สไปท้องนาวัวไซด์ซี  (spinacoside C), มอมอร์ดินทูบี (momordin IIb) และก็มอมอร์ดินทูซี (momordinIIc)
ต้นแบบ/ขนาดวิธีใช้ แก้อาการอึดอัดแน่นท้อง ด้วยการใช้ต้นสด 60 กรัม นำมาต้มกับน้ำให้ข้นแล้วกิน ช่วยแก้ท้องผูก รวมทั้งเป็นยาระบายอ่อนๆที่เหมาะกับเด็กและสตรีมีครรภ์ โดยนำมาต้มกินเป็นของกินจะช่วยแก้ท้องผูกได้ แล้วก็มูกที่อยู่ในผักปลังจะมีคุณสมบัติเป็นยาระบายอ่อนๆช่วยแก้ขัดเบา ด้วยการใช้ต้นสด 60 กรัม เอามาต้มกับน้ำกิน หรือใช้ใบสด 60 กรัมนำมาต้มกับน้ำกินแบบชาต่อหนึ่งครั้ง  หมอเมือง (ภาคเหนือ) จะใช้ใบผักปลังนำมาตำอาหารสารเจ้า ใช้เป็นยาพอกแก้โรคมะเร็งไข่ปลา  ใบและผลเอามาขยี้ทาบริเวณที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อยหรือแผลที่ มีลักษณะเป็นแผลไหม้ก็จะช่วยบรรเทาอาการแล้วก็ทำให้เกิดความรู้สึกเย็นขึ้นได้ น้ำคั้นจากดอกใช้เป็นยาใช้ภายนอกแก้ขี้กลากเกลื้อน แก้โรคเรื้อน แก้เกลื้อน รักษาฝี ด้วยการกางใบสดนำมาตำแล้วพอกรอบๆที่เป็น โดยให้เปลี่ยนยาวันละ 1-2 ครั้ง แก้อาการปวดแขนขา ด้วยการใช้ใบสด ยอดอ่อน 30 กรัม เอามาต้มกับน้ำดื่ม
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา สารสกัดผักปลังด้วยน้ำผสมกับสารสกัดจากใบของ Hi-biscus macranthus ส่งผลเพิ่มน้ำหนักตัวของหนู แล้วก็เพิ่มน้ำหนักของถุงน้ำอสุจิสเปิร์ม  (seminal vesicle) ช่วยเพิ่มการสร้างและความเจริญของตัวน้ำเชื้อ และก็ทำให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในเลือดมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งบางทีอาจส่งผลให้เกิดการพัฒนาเพื่อใช้เพื่อการรักษาผู้ป่วยในรายที่เป็นหมันเนื่องด้วยการมีตัวอสุจิน้อย
                สารสกัดในผักปลังด้วยน้ำสามารถยั้งการก่อมะเร็งตับในหนูที่ถูกรั้งนำให้กำเนิดมะเร็งด้วยสารเอ็น ไนโตรโซไดเอทีลามีน (NDEA) และก็คาร์บอนเตตราคลอไรด์ (CCI) ได้โดยลดการทำลายของเซลล์ตับ ซึ่งวัดได้จากระดับเอนไซม์ในตับเป็นต้นว่า แกมมา-กลูตามิลทรานสเปปทิเดส (GGT) ซีรัมกลูทามิกออกซาโลแอซีติกทรานสแอมิเนศ (SGOT) ซีรัมกลูทามิกเจริญวิกทรานสแอมิเนศ (SGPT) รวมทั้งอัลติดอยู่ไลน์ ฟอสฟาเทส (ALP) ที่อยู่ในระดับใกล้เคียงค่าปรกติ แล้วก็ยังมีผลลดการเกิดปฏิกิริยาเพอรอคอยกสิเดชันของไขมัน (lipidperoxidation) โดยมองจากระดับของโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีซุเปอร์ออกไซด์ดิสไม่วเทส (SOD) ค้างทาเลส กลูตาไทโอน เพอร์ออกสิเดส (GPX) ภายในร่างกายใกล้เคียงกับค่าธรรมดา
                สารสกัดจากผักปลังในของกินเพาะเลี้ยงเซลล์ม้ามของหนูถีบจักร (primary mouse splenocyte cultures) มีผลทำให้เพิ่มการหลั่ง IL-2 ได้อย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ รวมทั้งมีผลการเรียนทางเภสัชวิทยาอีกชิ้นหนึ่งระบุว่า จากการวิเคราะห์รงควัตุของสารสกัด 80% เอทานอลจากผลผักปลัง เจอ gomphrerin I รงควัตถุสีแดงเป็นรงควัตถุหลัก ในผลผักปลังสด 100 กรัมเจอ gomphrerin I ถึง 3.6 กรัม ยิ่งกว่านั้นยังเจอรงควัตถุสีแดงอื่นๆเป็นต้นว่า betanidin-dihexose และ isobetanidin-dihexose และก็เมื่อทำการค้นคว้าฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระของ gomphrerin I ที่ความเข้มข้น 180, 23, 45 และ 181 ไมโครโมลาร์ พบว่ามีค่าต่อต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่ากับโทรลอกซ์ ขนาด 534 ไมโครโมลาร์, butylated hydroxytoluene (BHT) 103 ไมโครโมลาร์, ascorbic acid 129 ไมโครโมลาร์และก็ BHT 68 ไมโครโมลาร์เป็นลำดับ รวมทั้งมีการศึกษาฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบโดยให้สารสกัด 80% เอทานอลขนาดความเข้มข้น 25, 50 รวมทั้ง 100 ไมโครโมลาร์แก่เซลล์ murine macrophage ที่ถูกกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการอักเสบด้วย lipopolysaccharide (LPS) พบว่าสามารถยั้งการผลิต nitric oxide ซึ่งการหยุดยั้งนี้จะมากขึ้นตามขนาดความเข้มข้นของสารสกัด และสารสกัดจากผลผักปลังที่ความเข้มข้น 100 ไมโคลโมลาร์มีผลลดการหลั่ง prostaglandin E2 และก็ interleukin-1β ของเซลล์ และยั้บยั้งการสังเคราะห์ยีนที่เกี่ยวกับการเกิดการอักเสบ อย่างเช่น nitric oxide synthase, cyclooxygenase-2, interleukin-1β, tumor necrosis factor-alpha รวมทั้ง interleukin-6 จากการทดลองทั้งหมดนี้แสดงให้ว่า gomphrerin I รงควัตถุสีแดงที่พบในผลผักปลังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระรวมทั้งต้านทานการอักเสบที่มีสมรรถนะรวมทั้งสามารถนำผลผักปลังไปปรับปรุงเป็นผลิตภัณฑ์ทางโภชนาการได้
ยิ่งกว่านั้นยังส่งผลการศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยพบว่าสารเมือกมีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ฤทธิ์คุ้มครองป้องกันเซลล์ โดยการเคลือบเยื่อกระเพาะ แล้วก็ยับยั้งการหลั่งกรด ลดการอักเสบที่ผิว ลดการตำหนิดเชื้อแบคทีเรียที่ผิว ช่วยสมานรักษาผิวแห้ง ผื่นคัน ลดอาการระคายที่ผิวได้อีกด้วย
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา ในการค้นคว้าทางพิษวิทยาของผักปลังนั้นยังมีน้อยมากที่พอจะมีข้อมูลในหัวข้อนี้อยู่บ้างก็คือ มีการศึกษาค้นคว้าของนักวิจัยอินเดียที่ได้เผยแพร่ผลที่เกิดขึ้นจากงานวิจัยเกี่ยวกับการทดสอบผลของสารสกัดจากใบผักปลังด้วยเอทานอลและน้ำในหนูถีบจักรทดลอง ด้วยการกรอกสารสกัดน้ำของใบในขนาด 100-200 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวให้หนูทดลองตรงเวลา 2 สัปดาห์ ผลปรากฎว่าไม่พบว่ามีความผิดธรรมดาของค่าทางเลือดวิทยา ส่วนการทดสอบในหนูขาวที่กินสารสกัดจากใบผักปลังด้วยเอทานอล ,น้ำ และเฮกเซน ติดต่อกัน 1 สัปดาห์ พบว่าหนูขาวที่ได้รับสารสกัดด้วยเอทานอลรวมทั้งเฮกเซนจากใบผักปลัง จะมีจำนวนน้ำย่อยอะไมเลสมากขึ้น ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งสำหรับเพื่อการช่วยลดภาวการณ์เสี่ยงเป็นโรคเบาหวานได้
ข้อเสนอ/ข้อควรไตร่ตรอง เนื่องมาจากผักปลั่งเป็นผักที่เรารู้จักดีรวมทั้งนำมาทำเป็นอาหารรับประทานกันอยู่เป็นประจำแล้ว สำหรับการเอามารับประทานเป็นอาหารนั้นอาจจะไม่มีผลกระทบอะไรกับสุขภาพ แต่ถ้าเกิดใช้ผักปลังในรูปแบบสารสกัดหรือในแบบอื่นๆนั้น เพื่อให้มีความปลอดภัยอาจจำเป็นต้องหารือแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญถึงขั้นและวิธีใช้ก่อนใช้เสมอ
เอกสารอ้างอิง

  • โชติอนันต์ และคณะ ,รักษาโรคด้วยสมุนไพรใกล้ตัว. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์The Knowledge Center; 2550 หน้า 215-8
  • Bolognesi A, Polito L, Olivierif F, Valbonesi P, Barbieri L, Battelli MG et al. New ribosome-inactivating proteins with polynucleotide:adenosine glycosidase and antiviral activities from Basella rubra L. and Bougainvillea spectabilis Willd. Planta 1997;203:422-9
  • สำนักงานคณะกรรมการการสาธารณสุขมูลฐาน.ผักพื้นบ้าน ความหมายและภูมิปัญญาของสามัญชนไทย.กรุงเทพฯ โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก 2538 หน้า 168-9
  • ผักปลัง ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบราชธานีAkhter S, Abdul H, Shawkat IS, Swapan KS, Mohammad SHC Sanjay SS. A review on the use of non-timber forest products in beauty-care in Bangladesh. J Forestry Res 2008;19:72-8.
  • หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ “ผักปลัง”.  (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).  หน้า 499-501.
  • หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม “ผักปลัง”.  (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์).  หน้า 179.
  • กรมส่งเสริมการเกษตร. (2550). ผักพื้นบ้าน. ค้นวันที่ 10 มิถุนายน 2550 http://www.disthai.com/[/b]
  • ชื่นนภา ชัชวาล.นาฎศรี นวลแก้ว.ผักปลัง ผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการและมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ.คอลัมน์บทปริทัศน์.วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทยืทางเลือก.ปีที่7.ฉบับที่2-3 พฤษภาคม – ธันวาคม 2552 . หน้า 197-200
  • Saikia AP, Ryakala VK Sharma P, Goswami P, Bora U. Ethnobotany of medicinal plants used by Assamese people for various skin ailments and cosmetics. J Ethnopharmacol 2006;106:149-57
  • กัญจนา ดีวิเศษและคณะ, ผู้รวบรวม. (2548). ผักพื้นบ้านภาคเหนือ. เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ บรรณาธิการ. พิมพ์ครั้งที่ 2. นนทบุรี: ศูนย์พัฒนาตำราการแพทย์แผนไทย.
  • Khare CP. Indian medicinal plants: an illustrated dictionary. New York: Springer Science Business Media; 2007. p. 84.
  • Jin YL, Ching YT. Total phenolic contents in selected fruit and vegetable juices exhibit a positive correlation with interferon-γ, interleukin-5, and interleukin-2 secretions using primary mouse splenocytes. J Food Compos Anal 2008;21:45-53.
  • Choi EM, Koo SJ, Hwang JK. Immune cell stimulating activity of mucopolysaccharide isolated from yam (Dioscorea batatas). J Ethnopharmacol 2004;91:1-6.
  • หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “ผักปลัง”.  (วิทยา บุญวรพัฒน์).  หน้า 350.
  • Maisuthisakul P, Pasuk S, Ritthiruangdej P. Relationship of antioxidant properties and chemical composition of some Thai plants. J Food Compos Anal 2008;21:229-40
  • Raju M, Varakumar S, Lakshminarayana R, Krishnakantha TP, Baskaran V. Carotenoid composition and vitamin A activity of medicinally important green leafy vegetables. Food Chem 2007;101:1598-1605
  • . Dweck AC. The internal and external use of medicinal plants. Clin Dermatol 2009;27:148-58
  • Reddy GD, Kartik R, Rao CV, Unnikrishnan MK, Pushpangadan P. Basella alba extract act as antitumour and antioxidant potential against N-nitrosodiethylamine induced hepatocellular carcinoma in rats. Int J Infectious Diseases 2008;12 Suppl 3:S68
  • Toshiyuki M, Kazuhiro H, Masayuki Y. Medicinal foodstuffs. XXIII. Structures of new oleanane-type triterpene oligoglycosides, basellasaponins A, B, C, and D, from the fresh aerial parts of Basella rubra L. Chem Pharm Bull 2001;49:776-9.
  • Jadhav RB, Sonawane DS, Surana SJ. Cytoprotective effects of crude polysaccharide fraction of Abelmoschus esculentus fruits in rats. Pharmacogn Mag 2008;4:130-2.
  • Glassgen WE, Metzger JW, Heuer S, Strack D. Betacyanins from fruits of Basella rubra. Phytochemistry 1993;33:1525-7
  • ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ผักปลัง”.  [26 เม.ย. 2014].
  • Draelos ZD. Botanicals as topical agents. Clin Dermatol 2001;19:474- 7
  • Shahid M,. Akhtar JM, Yamin M, Shafiq MM. Fatty acid composition of lipid classes of Basella rubra Linn. Pak Acad Sci 2004;41:109-12
  • Haskell MJ, Jamil KM, Hassan F, Peerson JM, Hossain MI, Fuchs GJ et al. Daily consumption of Indian spinach (Basella alba) or sweet potatoes has a positive effect on total-body vitamin A stores in Bangladeshi men. Am J Clin Nutr 2004;80:705-714
  • Moundipa FP, Kamtchouing P, Kouetan N, Tantchou J, Foyang NPR, Mbiapo FT. Effects of aqueous extracts of Hibiscus macranthus and Basella alba in mature rat testis function. J Ethnopharmacol 1999;65:133-9
  • Hexiang W, Tzi BN. Antifungal peptides, a heat shock protein-like peptide, and a serine-threonine kinase-like protein from Ceylon spinach seeds. Peptides 2004;25:1209-14
  • ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบของรงควัตถุสีแดงในผักปลัง,ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
85  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / มะกรูดเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณเเละประโยชน์เป็นอย่างมาก เมื่อ: มิถุนายน 06, 2018, 03:49:03 pm
มะกรูด
ชื่อสมุนไพร  มะกรูด
ชื่ออื่นๆ/ชื่อแคว้น มะขูด , มะขุน (ภาคเหนือ) , ส้มมั่วผี , ส้มกรูด (ภาคใต้) , โกร้ยเชีด (เขมร) , มะขู (แม่ฮ่องสอน)
ชื่อสามัญ    Kaffir lime , Mauritius papeda , Leech lime
ชื่อวิทยาศาสตร์  Citrus hystrix DC.
สกุล  RUTACEAE
ถิ่นเกิด เป็นพืชเชื้อสายส้ม และมะนาว เป็นพืชพื้นเมืองในเขตร้อนชื้นแถบประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทย ประเทศพม่า ลาว กัมพูชา อื่นๆอีกมากมาย  ซึ่งถูกจัดเป็นไม้ผล สำหรับมะกรูดในประเทศไทยนั้น  คนไทยอาจจะคุ้นเคยกันอย่างดีเยี่ยม เนื่องจากว่าเป็นสมุนไพรคู่ห้องครัวไทยมาอย่างนาน ด้วยเหตุว่านิยมใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องแกงที่จำเป็นจะต้องอย่างจำเป็นมากเลย (ซึ่งโดยทั่วไปแล้วพวกเราชอบนิยมใช้ใบมะกรูดรวมทั้งผิวมะกรูดมาเป็นส่วนผสมของพริกแกง) ยิ่งกว่านั้นมะกรูดก็ยังมีประโยชน์ในด้านฯลฯ ไม่ว่าจะเป็นในด้านของความงดงามและก็ในด้านของยาสมุนไพร ทั้งยังยังถือว่าเป็นพืชที่มีความเป็นสิริมงคลที่นิยมปลูกไว้รอบๆบ้านอีกด้วย เพราะเชื่อว่าจะทำให้ผู้อยู่อาศัยสุขสบาย โดยชอบปลูกไว้ทางทิศตะวันตกเฉเหนือของตัวบ้าน
ลักษณะทั่วไป
มะกรูด เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก เนื้อไม้เป็นเนื้อแข็ง เปลือกเรียบมีสีน้ำตาลอ่อน ลำต้นแตกกิ่งก้านเยอะมากตั้งแต่ระดับล่างของลำต้นทำให้มีลักษณะเป็นพุ่มไม้ ตามลำต้น รวมทั้งกิ่งมีหนามแหลมยาว ใบมะกรูด เป็นใบประกอบ ออกเป็นใบเดี่ยว มีก้านใบแบออกเป็นครีบคล้ายแผ่นใบ ใบมีลักษณะหนา เรียบ มีผิวมัน สีเขียว และเขียวเข้มตามอายุของใบ ใบมีคอดกิ่วที่กึ่งกลางใบทำให้ใบแบ่งได้ 2 ตอน หรือ คล้ายใบไม้ 2 ใบ ต่อกัน ขนาดใบกว้างประมาณ 2.5-5 ซม. ยาวโดยประมาณ 5-12 เซนติเมตร ใบมีกลิ่นหอมมากมายเพราะมีต่อมน้ำมันอยู่  ดอกมะกรูดเป็นดอกบริบูรณ์เพศ ดอกออกเป็นช่อมีสีขาว แทงออกรอบๆส่วนยอดหรือตามซอกใบ แต่ละช่อมีดอกประมาณ 1-5 ดอก หลีบดอกมีสีขาวครีม 5 กลีบ มีขนปกคลุม ด้านในดอกมีเกสรมีสีเหลือง ดอกมีกลิ่นหอมหวนน้อย แล้วก็เมื่อแก่จะตกง่าย  ผลมะกรูดหรือลูกมะกรูด มีลักษณะออกจะกลม มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 5-7 เซนติเมตร ผลเหมือนผลส้มซ่า ผลมีขนาดใหญ่กว่าลูกมะนาวนิดหน่อย ลักษณะของผลมีรูปร่างนาๆประการแล้วแต่พันธุ์ เปลือกผลค่อนข้างจะครึ้ม ผิวเปลือกมีสีเขียวเข้ม ผิวขรุขระเป็นลูกคลื่นหรือเป็นปุ่มนูน ข้างในเปลือกมีต่อมน้ำมันหอมระเหยจำนวนไม่ใช่น้อย มีจุกที่หัว และท้ายของผล เมื่อสุก ผลจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง  ข้างในผลมีเนื้อชุ่มฉ่ำน้ำ มีเม็ดแทรกบริเวณกึ่งกลางผล 5-10 เมล็ด เนื้อผลมีรสเปรี้ยวปนขมบางส่วน
การขยายพันธุ์   การขยายพันธุ์มะกรูดสามารถทำได้ด้วยหลายวิธี ยกตัวอย่างเช่น การทำหมันกิ่ง การทาบกิ่ง การติดตา การต่อยอด และการเพาะเม็ด แต่ว่าวิธีที่เป็นที่นิยม อย่างเช่น การตอนกิ่ง การต่อยอด และก็การเพาะด้วยเม็ด เมื่อได้ต้นกล้าที่จะนำไปปลูกแล้ว ลำดับต่อไป ให้ขุดหลุม ให้ขนาดหลุมกว้าง x ยาว x ลึก ราวๆ 50 x 50 x 50 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยขี้วัวผสมดิน กรีดถุงสีดำออก น้ำต้นกล้าลงปลูก กลบดิน รดน้ำ คลุมฟาง แล้วก็ทำหลักปักกับต้นเพื่อกันโยกเวลาลมพัด  โดยธรรมดานิยมนำมาปลูกมะกรูดระยะติด คือ 2×2 เมตร 1 ไร่จะได้มะกรูด 400 ต้น ถ้าหากปลูกระยะ 1.5 x 1.5 เมตร 1 ไร่จะได้ 1067 ต้น สำหรับในการปลูกระยะชิดนี้จะเป็นการปลูกมะกรูดเพื่อจัดจำหน่ายใบ เหตุเพราะมีการตัดใบทุกๆ3 – 4 เดือน พุ่มไม้มะกรูดก็จะไม่ชิดกันมาก  ถ้าอยากได้ปลูกเพื่อจำหน่ายเป็นลูกมะกรูด ผู้ปลูกอาจปลูกระยะห่าง 4 x 4 เมตร 1 ไร่จะได้ 200 ต้น หรือ 5 x 5 เมตร 1 ไร่จะได้ 65 ต้น เป็นต้น
สำหรับมะกรูดปลูกเจริญในดินทุกชนิดและระยะปลูกมะกรูดนั้น ปลูกได้หลายระยะขึ้นกับเป้าหมายแล้วก็พื้นที่ของผู้ปลูกดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ว
ส่วนประกอบทางเคมี นํ้ามันหอมระเหยมะกรูดมี 2 ส่วนใหญ่ๆคือ สารในกลุ่มเทอร์พีน ( terpenes) แล้วก็สารที่ไม่ใช่กรุ๊ปเทอร์พีน ( non-terpene) หรือ oxygenated compounds เช่น ในผิวมะกรูดมีน้ำมันระเหยง่ายปริมาณร้อยละ 4 มีองค์ประกอบหลักเป็น “เบตาไพนีน” (beta-pinene) ราวร้อยละ 30 , “ลิโมนีน” (limonene)  ราวจำนวนร้อยละ 29 , beta-phellandrene, citronellal นอกจากนี้ยังเจอ linalool, borneol, camphor, sabinene, germacrene D, aviprin   
ที่มา :  Wikipedia
       สารกรุ๊ปคูมาริน ดังเช่น umbelliferone, bergamottin,  oxypeucedanin, psoralen, N-(iminoethyl)-L-ornithine (L-NIO)       น้ำจากผลพบกรด citric
ส่วนในใบมะกรูดเมื่อกลั่นด้วยไอน้ำ จะได้น้ำมันระเหยง่ายโดยประมาณปริมาณร้อยละ 0.08 มีองค์ประกอบหลักเป็น “แอล-สิโตรเนลลาล”(l-citronellal) โดยประมาณร้อยละ 65, citronellol, citronellol acetate ยิ่งกว่านั้นยังพบ sabinene, alpha-pinene, beta-pinene, alpha –phellandrene, limonene, terpinene, cymene, linalool แล้วก็สารอื่นที่เจอเช่น indole alkaloids, rutin, hesperidin, diosmin, alpha-tocopherol ส่วนคุณประโยชน์ทางโภชนาการของมะกรูดนั้นสามารถแยกได้ดังต่อไปนี้
ค่าทางโภชนาการของใบมะกรูด (100 กรัม)

  • พลังงาน 171 กิโลแคลอรี่
  • โปรตีน 6.8 กรัม
  • ไขมัน 3.1 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 29.0 กรัม
  • เส้นใย 8.2 กรัม
  • แคลเซียม 1672 มิลลิกรัม
  • ธาตุฟอสฟอรัส 20 มิลลิกรัม
  • เหล็ก 3.8 มก.
  • วิตามินเอ 303 ไมโครกรัม
  • ไทอามีน 0.20 มก.
  • ไรโบฟลาวิน 0.35 มิลลิกรัม
  • ไนอาสิน 1.0 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 20 มิลลิกรัม
  • เถ้า 4.0 กรัม

คุณค่าทางโภชนาการของผิวลูกมะกรูด (100 กรัม)

  • คาร์โบไฮเดรต 21.3 กรัม
  • โปรตีน 2.8 กรัม
  • ไขมัน 1.1 กรัม
  • ใยอาหาร 3.4 กรัม
  • แคลเซียม 322 มิลลิกรัม
  • ธาตุฟอสฟอรัส 62 มก.
  • เหล็ก 1.7 มก.
  • วิตามินบี 1 0 มก.
  • วิตามินบี 2 0.13 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 115 มิลลิกรัม

ค่าทางโภชนาการของน้ำมะกรูด (100 กรัม)

  • คาร์โบไฮเดรต 10.8 กรัม
  • โปรตีน 0.6 กรัม
  • ไขมัน 0 กรัม
  • ใยอาหาร 0 กรัม
  • แคลเซียม 20 มก.
  • ฟอสฟอรัส 20 มิลลิกรัม
  • เหล็ก 0.6 มก.
  • วิตามินบี 1 0.02 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 2 58 มก.
  • วิตามินซี 55 มิลลิกรัม
ผลดี/คุณประโยชน์
ใบมะกรูดและก็น้ำมะกรูดสามารถใช้ดับกลิ่นคาวในของกินแล้วก็ใช้ในการทำกับข้าวแล้วก็แต่งกลิ่นคาวหวานของอาหาร เป็นต้นว่า ต้มยำ แกงเผ็ด ผัดเผ็ด ฉู่ฉี่ ห่อหมก ฯลฯ มีการนำเปลือกของมะกรูดมาใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องแต่งหน้าบางชนิด อาทิเช่น สบู่ แชมพูมะกรูดหรือแชมพูมะกรูด สินค้าคุ้มครองปกป้องยุงแล้วก็แมลง เป็นต้น ส่วนสรรพคุณทางยาของมะกรูดนั้นมีดังนี้
แบบเรียนยาไทย: ใบมะกรูด มีรสปร่า หอม แก้ไอ แก้คลื่นไส้เป็นเลือด แก้ช้ำใน กัดเสมหะในคอ แก้น้ำลายเหนียว กัดเถาดานในท้อง แก้เมนส์เสียฟอกโลหิตรอบเดือน ขับรอบเดือน ขับลมในลำไส้ แก้จุกเสียด ผิว มีรสปร่าหอม ร้อน เป็นยาขับลมในลำไส้ แก้แน่น ขับรอบเดือน ขับผายลม เป็นยาบำรุงหัวใจ ผล ดองเป็นยาฟอกเลือดในสตรี ช่วยขับรอบเดือน ขับลมในไส้ แก้จุกเสียด ลักปิดลักเปิด น้ำมันจากผิวช่วยป้องกันรังแค และทำให้เส้นผมดกดำเป็นเงางาม ผล รสเปรี้ยว กัดเสลด แก้น้ำลายเหนียว กัดเถาดานในท้อง แก้รอบเดือนเสีย ฟอกโลหิตระดู ขับประจำเดือน ขับลมในไส้ ถอนพิษผิดสำแดง ผล ปิ้งไฟให้สุก ผ่าครึ่งลูก เอาเช็ดขัดสระผม ทำให้ผมดกดำเป็นเงางาม นิ่มสลวย แก้คัน แก้รังแค แก้ชันนะตุ ทำให้ผมสะอาดแพทย์ตามต่างจังหวัดใช้ผลเอาไส้ออก ใส่มหาหิงคุ์แทน สุมไฟให้เกรียม บดปัดกวาดปากลิ้นทารก ขับขี้เทา ขับลม แก้เจ็บท้องในเด็ก หรือใช้ผลสดเอามาผิงไฟให้ไหม้เกรียม แล้วละลายให้เข้ากับน้ำผึ้ง ใช้ทาลิ้นให้เด็กที่เกิดใหม่ ยาพื้นบ้านบางถิ่นใช้น้ำมันมะกรูดดองยาที่เรียกว่า “ยาดองเปรี้ยวเค็ม” ที่ใช้รับประทานเป็นยาฟอกเลือดในสตรี น้ำผลมะกรูด มีรสเปรี้ยว แก้เสมหะในคอ แก้เลือดออกตามไรฟัน ฟอกเลือดรอบเดือน ขับลมในลำไส้ และก็ใช้ถนอมยาไม่ให้บูดเน่า แก้อาการท้องอืด ช่วยเจริญอาหาร ใช้สระผมกันรังแค  เนื้อของผล แก้ปวดศีรษะ
หนังสือเรียนยาไทย: ผิวมะกรูดจัดอยู่ใน “เปลือกส้ม 8 ประการ” มี ผิวส้มเขียวหวาน ผิวส้มจีน ผิวส้มซ่า ผิวส้มโอ ผิวส้มจังหวัดตรังกานู ผิวมะงั่ว ผิวมะนาว หรือผิวส้มโอมือ รวมทั้งผิวมะกรูด มีสรรพคุณแก้ลมกองละเอียด กองหยาบ แก้เสลดโลหะ ใช้ปรุงยาหอม แก้ทางลม
           ในตำราพระยารักษาโรคพระนารายณ์: กำหนดตำรับ “น้ำมันมหาจักร” ตระเตรียมได้ง่าย ใช้เครื่องยาน้อยสิ่ง หาซื้อได้ง่าย ในตำรับให้ใช้น้ำมันงา 1 ทะนาน (ขนาดทะนาน 600) มะกรูดสด 30 ลูก ปอกเอาแต่ผิว จัดแจงโดยการเอาน้ำมันงาตั้งไฟให้ร้อน เอาผิวมะกรูดใส่ลง ทอดจนถึงเหลืองเกรียมดีแล้วให้ยกน้ำมันลง กรองเอากากออก ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วเอาเครื่องยาอีก 7 สิ่ง บดให้เป็นผุยผงละเอียด ใส่ลงในน้ำมันที่ได้ เครื่องยาที่ใช้มี เทียน 5 (เทียนตาตั๊กแตน เทียนขาว เทียนข้าวเปลือก เทียนแดง และก็เทียนดำ) หนักสิ่งละ 2 สลึง ดีปลีหนัก 1 บาท และการบูรหนัก 2 บาท คุณประโยชน์ ใช้ยอนหู แก้ลม แก้ริดสีดวง แก้ยุ่ยคันก็ได้ ทาแก้เมื่อยขบ แล้วก็ใส่บาดแผล ที่มีอาการปวด ที่เกิดจากเศษไม้ จากหนาม จากหอกดาบ ระวังอย่าให้แผลถูกน้ำ จะไม่เป็นหนอง
           นอกจากนี้บัญชียาจากสมุนไพร ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้เริ่มแรก ตามประกาศ คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา ปรากฏการใช้ผิวมะกรูด ในยารักษาลักษณะของโรคในระบบต่างๆของร่างกาย อย่างเช่น ตำรับ”ยาหอมเทวดาจิตร” มีส่วนประกอบของผิวมะกรูด อยู่ใน ”เปลือกส้ม 8 ประการ” ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆในตำรับ มีคุณประโยชน์สำหรับในการแก้ลมวิงเวียน แก้อาการหน้ามืด ลายตา ใจสั่น คลื่นเหียน คลื่นไส้ แก้ลมจุกแน่นในท้อง  ตำรับ “ยาประสะไพล” มีส่วนประกอบของผิวมะกรูด ร่วมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆในตำรับ ใช้ในสตรีที่รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือมาน้อยกว่าธรรมดา แล้วก็ขับน้ำคร่ำในสตรีหลังคลอด
แบบ/ขนาดวิธีการใช้ ใช้ขับลมในลำไส้ แก้แน่น แก้เสมหะ ฝานผิวมะกรูดสดเป็นชิ้นเล็กๆ1 ช้อนแกง เติมการบูร หรือพิมเสน 1 จับมือ ชงด้วยน้ำเดือดแช่ทิ้งเอาไว้ ดื่มแม้กระนั้นน้ำกิน 1-2 ครั้ง ถ้ายังไม่ทุเลากินต่อเนื่องกัน 2-3 วัน ใช้สระผม ให้ดกดำ เงางาม รักษาชันนะตุ  ให้ผ่ามะกรูดเป็น 2 ชิ้น เมื่อสระผมเสร็จแล้ว เอามะกรูดมาสระซ้ำโดยยีไปบนผม น้ำมะกรูดเป็นกรดจะมีผลให้ผมสะอาด แล้วล้างเอาสมุนไพรออกให้หมด หรือใช้ผลเผาไฟ เอามาผ่าซีกใช้สระผม  ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ด้วยการใช้ผิวมะกรูด รากชะเอม ไพล เฉพร้า ขมิ้นอ้อย ในปริมาณเท่ากัน เอามาบดเป็นผุยผง เอามาชงละลายน้ำร้อนหรือต้มเป็นน้ำดื่ม  ช่วยฟอกโลหิต ด้วยการนำผลมะกรูดสดมาผ่าเป็น 2 ซีกแล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปดองกับเกลือหรือน้ำผึ้งราวๆ 1 เดือน แล้วรินเอาแต่น้ำ จะช่วยฟอกเลือดได้อย่างดีเยี่ยม
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ สาร coumarins 2 จำพวกที่ได้จากผลมะกรูด ยกตัวอย่างเช่น bergamottin และก็ N-(iminoethyl)-L-ornithine (L-NIO) มีฤทธิ์ยั้งการหลั่งไนตริกออกไซด์ (NO) ในหลอดทดสอบ ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ ซึ่งหลั่งจาก macrophage ของหนูที่ถูกกระตุ้นด้วย lipopolysaccharide (LPS) และก็ interferon-g (IFN- g)  โดยมีค่า IC50 พอๆกับ 14.0 µM และ 7.9 µM ตามลำดับ
      สารคูมาริน 3 จำพวก ตัวอย่างเช่น bergamottin, oxypeucedanin และ psoralen สามารถยั้งการผลิตไนตริกออกไซด์ เมื่อทดลองในเซลล์แมคโครฟาจ RAW 264.7 ของหนู ที่ถูกกระตุ้นด้วยลิโปพอลิแซ็กคาร์ไรด์ (LPS) และอินเตอร์เฟอรอน (interferon)
ฤทธิ์ป้องกันตับ    ศึกษาเล่าเรียนฤทธิ์ปกป้องรักษาตับของใบมะกรูดในหนูขาว โดยให้สารสกัด 80% เมทานอล จากใบมะกรูด ขนาด 200 mg/kg ตรงเวลา 7 วัน ก่อนให้ยา paracetamol ขนาด 2 g/kg เป็นเวลา 5 วัน เพื่อกระตุ้นให้เกิดพิษต่อตับ ซึ่งยา paracetamol จะเป็นตัวกระตุ้นให้ตับของหนูกำเนิดพิษในวันที่ 5 ใช้สาร Silymarin ขนาด 100 mg/kg เป็นสารมาตรฐาน ในวันที่ 7 จะมีการตรวจประเมินรูปแบบการทำงานของตับ ตัวอย่างเช่น ระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับ (ALT, AST, ALP), total bilirubin, total protein,blood serums รวมทั้ง hepatic antioxidants (SOD, CAT, GSH and GPx) จากการทดสอบพบว่าสารสกัดใบมะกรูดจะช่วยฟื้นฟูตับ โดยการทำให้ระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับ และก็โปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีต้านทานอนุมูลอิสระของตับกลับมาอยู่ในระดับธรรมดาได้อย่งมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) ซึ่งการวิจัยนี้สรุปได้ว่าสารสกัดใบมะกรูดมีฤทธิ์คุ้มครองปกป้องตับไม่ให้กำเนิดพิษจากยา paracetamol ได้
การทดสอบพิษกะทันหันของสารสกัดใบด้วยเอทานอล 50% โดยให้หนูกินในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 โล (คิดเป็น 357 เท่า เปรียบเทียบกับขนาดรักษาในคน) และก็ให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนู ในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก. ตรวจไม่เจออาการเป็นพิษ
มีการทดสอบความเป็นพิษอีกฉบับหนึ่งระบุว่า สารสกัดผิวมะกรูดด้วยเอทานอล (95%) เมื่อป้อนให้หนูรับประทานเพื่อเรียนรู้ความเป็นพิษเฉียบพลัน พบว่าขนาดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายเป็นจำนวนครึ่งหนึ่ง (LD50) มีค่ามากยิ่งกว่า 100  ก./กิโลกรัม
ฤทธิ์เสริมการเกิดมะเร็งตับ    จากการทบทวนงานวิจัยพบว่ามะกรูดมีฤทธิ์ต้านทานฤทธิ์ของสารเสริมการเกิดโรคมะเร็ง (tumor promoter) สำหรับเพื่อการทดลองแบบ tumor promoter-induced Epstein-Barr virus activation ได้ งานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยนี้มีจุดประสงค์ที่จะเรียนรู้ฤทธิ์ของมะกรูดต่อการเกิดโรคมะเร็งตับของหนูขาว สายพันธุ์ F344 ที่ได้รับสารก่อมะเร็ง 2-amino-3,8-dimethylimidazo 4,5-ƒ quinoxaline (MeIQx) ในการทดลองแบบ medium-term bioassay ผลที่เกิดขึ้นจากการวิจัยพบว่ามะกรูดมีฤทธิ์เสริมฤทธิ์ของ MelQx สำหรับในการทําให้เกิดโรคมะเร็งตับ (preneoplastic liver foci) อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ
พิษต่อระบบแพร่พันธุ์   เมื่อป้อนสารสกัดผิวมะกรูดด้วยเอทานอล (95%) ให้กับหนูขาวที่ตั้งครรภ์ขนาด 1 แล้วก็ 2.5 ก./กก. ทางสายยางให้อาหารวันละ 2 ครั้ง พบว่าสามารถต้านทานการฝังตัวของตัวอ่อนได้ 42.5 ±14.8 และ 86.1±8.1% ตามลำดับ และก็มีผลทำให้แท้งได้ 86.3±9.6 และก็ 96.9±3.1% เป็นลำดับ แล้วก็สารสกัดผิวมะกรูดด้วยคลอโรฟอร์มเมื่อป้อนให้กับหนูที่ตั้งท้องในขนาด 0.5 และก็ 1.0 กรัม/กิโลกรัม ทางสายยางให้อาหารวันละ 2 ครั้ง เช่นกัน พบว่าสามารถต้านการฝังตัวของตัวอ่อนได้ 34.4±14.3 รวมทั้ง 62.2±14.5% ตามลำดับ แล้วก็มีผลทำให้แท้งได้ 62.2±14.5 และก็ 91.9± 5.5%
พิษต่อเซลล์สารสกัดใบด้วยเมทานอล ทำทดสอบกับเซลล์ ด้วยความเข้มข้น 20 มคกรัม/มล. พบว่ามีพิษต่อ Cells-Raji (9) น้ำมันหอมระเหย (ไม่ระบุส่วนที่ใช้และก็ขนาด) เป็นพิษต่อเซลล์ CEM-SS
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์     สารสกัดใบด้วยน้ำ รวมทั้งน้ำร้อน กระทำการทดสอบในจานเพาะเลี้ยงเชื้อ ด้วยความเข้มข้น 0.5 มล./จาน พบว่าไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ต่อเชื้อ Bacillus subtilis H-17 (Rec+) รวมทั้ง B. subtilis M-45 (Rec-)
ข้อเสนอ/สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวัง การใช้น้ำมันหอมระเหยกับผิวหนังในปริมาณที่มาก  จำเป็นต้องหลบหลีกการสัมผัสแสงเหตุเพราะน้ำมันที่ได้จากการบีบผิวผล อาจจะเป็นผลให้กำเนิดพิษเมื่อสัมผัสกับแสงได้ และเกิดมีสารสีเกินที่ผิวหนัง บริเวณใบหน้า แล้วก็คอ เนื่องจากว่ามีสารกรุ๊ปคูมาริน แม้กระนั้นน้ำมันจากผิวผลที่ได้จากผู้กระทำลั่นจะไม่มีสารนี้  น้ำมะกรูดมีความเป็นกรดสูง จำเป็นจะต้องระมัดระวังการรับประทานขณะท้องว่าง ด้วยเหตุว่าอาจจะส่งผลให้เกิดการเคืองต่อระบบทางเดินอาหารได้
เอกสารอ้างอิง

  • ดนัย ทิวาเวช, Hirose M, Futakuchi M, วิทยา ธรรมวิทย์, Ito N, Shirai T.  ฤทธิ์เสริมการเกิดมะเร็งตับของข่า กระชาย และมะกรูด ในหนูที่ได้รับสารก่อมะเร็ง 2-amino-3,8-dimethylimidazo(4,5-ƒ)quinoxaline (MeIQx).  การประชุมวิชาการ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ครั้งที่ 11 “ วิทยาศาสตร์การแพทย์ไทยกับกติกาใหม่ของโลก ” กรุงเทพฯ, 9-11 ตุลาคม 2543:33
  • มะกรูด (ผิวผล).ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
  • กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข.2546.ประมวลผลผลงานวิจัยด้านพิษวิทยา ของสถาบันวิจัยสมุนไพร เล่ม 1.โรงพิมพ์การศาสนา:กรุงเทพมหานคร. http://www.disthai.com/[/color]
  • Murakami A, Gao G, Kim OK, Omura M, Yano M, Ito C, et al. Identification of coumarins from the fruit of Citrus hystrix DC as inhibitors of nitric oxide generation in mouse macrophage RAW 264.7 cells. J Agric food chem. 1999;47:333-339.
  • กอบกุล เฉลิมพันธ์ชัย ดวงชัย บำเพ็ญบุญ ธิดา โตจิราการ และคณะ.  ตำรับยาสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำลายจุลินทรีย์.  รวมบทคัดย่องานวิจัยการแพทย์แผนไทยและทิศทางการวิจัยในอนาคต สถาบันการแพทย์แผนไทย, 2543.
  • คุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย.กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข.2544.
  • มะกรูด/ใบมะกรูดประโยชน์และสรรพคุณมะกรูด.พืชเกษตรดอทคอม
  • Tangyuenyongwatana P, Gritsanapan W. Prasaplai: An essential Thai traditional formulation for primary dysmenorrhea treatment. TANG. 2014;4(2):10-11.
  • ชนิพรรณ บุตรยี่. การศึกษาชีวภาพความพร้อมและคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระของฟลาโวนอยด์จากใบมะกรูดในหลอดทดลองและศักยภาพในการป้องกันการแตกหักของโครโมโซมในหนูเม้าส์โดยวิธีการตรวจไมโครนิวเคลียสในเม็ดเลือดแดง [วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต]. กรุงเทพฯ. มหาวิทยาลัยมหิดล;2551.
  • มะกรูด(ใบ).ฐานข้อมูลเครื่องยาคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี


Tags : มะกรูด
86  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / บอระเพ็ด เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณเเละประโยชน์ เมื่อ: มิถุนายน 04, 2018, 01:43:53 pm
บอระเพ็ด
ชื่อสมุนไพร บอระเพ็ด
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น จุ้งจาลิง , จุ่งจิง , เถาวัลย์ฮอ (ภาคเหนือ) , เจตมูลหนาม (จังหวัดหนองคาย) , หางหนู (อุบลราชธานี) , เถาหัวกุด , ตัวเจตมูลยาน (จังหวัดสระบุรี)
ชื่อสามัญ Heart leaved moonseed
ชื่อวิทยาศาสตร์ Tinospora crispa (L.) Miers ex Hook.f. & Thomson
ชื่อพ้อง Tinospora tuberculata Miers, Tinospora rumphii Boerl.
ตระกูล Menispermaceae
บ้านเกิดเมืองนอน บอระเพ็ดเป็นพืชที่มีบ้านเกิดในป่าดิบแล้งและก็ป่าเบญจพรรณ ในแถบเอเซียอาคเนย์พบได้บ่อยในประเทศไทย เมียนมาร์ ลาว กัมพูชา เป็นต้น รวมทั้งบางประเทศในทวีปเอเชียใต้ เช่น ประเทศอินเดีย และศรีลังกา สำหรับในประเทศไทยนั้นบอระเพ็ดนับเป็นพืชที่มีชื่อเสียงอย่างดีเยี่ยมมาเป็นเวลายาวนานแล้ว เพราะคนประเทศไทยในอดีตสมัยได้นำบอระเพ็ดมาใช้เป็นสมุนไพรรักษาลักษณะการป่วยต่างๆดังเช่นว่า ใช้ลดไข้ บำรุงร่างกาย บำรุงธาตุ ช่วยเจริญอาหาร ฯลฯ กระทั่งขณะนี้ก็ยังนิยมใช้บอระเพ็ดเพื่อคุณประโยชน์ทางยากลุ่มนี้อยู่ ซึ่งในประเทศไทยนั้นสามารถพบบอระเพ็ดได้ทุกภาคของประเทศรวมทั้งส่วนใหญ่พบในป่าดิบแล้งแล้วก็ป่าเบญจพรรณทั่วไป
ลักษณะทั่วไป 
บอระเพ็[/b] จัดเป็น  ไม้เลื้อย เนื้อแข็ง ไม่มีขน ยาวถึง 15 เมตร เถากลม ขรุขระไม่เรียบ เป็นปุ่มเปลือกของเถาบางลอกออกได้ เป็นปุ่มกระจัดกระจายทั่วๆไป เมื่อแก่มองเห็นปุ่มปมเหล่านี้หนาแน่น แล้วก็ชัดแจ้งมากมาย เปลือกเถา คล้ายเยื่อกระดาษ มียางขาว ใส  เถามีรสขมจัด สีเทาแกมเหลือง มีรากอากาศเหมือนเส้นด้ายยาว กลม ยาว สีน้ำตาลเข้ม ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับ มักเป็นรูปหัวใจ รูปไข่กว้าง หรือรูปกลม กว้าง 6-12ซม. ยาว 7-14 ซม. โคนเรียวแหลมยาว ปลายจักเป็นรูปหัวใจลึก หรือตื้น เนื้อคล้ายแผ่นกระดาษบาง มักมีต่อม ใบข้างล่างบางครั้งบางคราวเจอต่อมแบนตามโคนง่ามของเส้นใบ เส้นใบออกมาจากโคนใบรูปฝ่ามือมี 3-5 เส้น และมีเส้นกิ้งก้านใบอีก 1-3 คู่ ก้านใบยาว 5-15 เซนติเมตร บวมพอง และเป็นข้องอ ดอกออกเป็นช่อตามกิ่งแก่ๆที่ไม่มีใบ มักออกดอกเมื่อใบหลุดหล่นหมด มี 2-3 ช่อ เล็กเรียว ดอกมีขนาดเล็กสีเขียวอมเหลือง ดอกเพศผู้และก็เพศเมียแยกกันอยู่ต่างดอก ช่อดอกเพศผู้ ยาว 5-9 ซม. ดอกมี 1-3 ดอก ติดเป็นกระจุก ดอกเพศผู้ มีก้านดอกย่อยเล็กเรียว ยาว 2-4 มิลลิเมตร กลีบเลี้ยงสีเขียวอ่อน วงนอกมี 3 กลีบ รูปไข่ ดกที่โคน ยาว 1-1.5 มม. วงในมี 3 กลีบ รูปไข่กลับ มีก้านกลม หรือโคนแหลม ยาว 3-4 มม. กลีบดอกไม้มี 3 กลีบ กลีบวงนอกเท่านั้นที่เจริญรุ่งเรืองขึ้น รูปใบหอกกลับแคบ แบน ไม่มีตุ่ม ยาว 2 มิลลิเมตร ส่วนกลีบวงในลดรูป เกสรเพศผู้มี 6 อัน ยาว 2 มม. ช่อดอกเพศเมีย ยาว 2-6 มิลลิเมตร ดอกส่วนใหญ่เกิดผู้เดียวๆตามง่ามใบ ดอกเพศภรรยา กลีบเลี้ยงและกลีบดอกไม้คล้ายดอกเพศผู้ เกสรเพศผู้เลียนแบบมี 6 อัน เป็นรูปลิ่มแคบ ยาวประมาณ 1 มม. เกสรเพศเมียมี 3 อัน ทรงรี ยาว 2 มม. ยอดเกสรเพศเมียเป็นพูสั้นมาก ผลออกเป็นช่อ มีก้านช่อยาว 1.5-2 ซม. มีก้านผลเป็นรูปครึ่งปิรามิด ยาว 2-3 มม. ใต้ลงมาเป็นกลีบเลี้ยงที่ติดแน่น รูปไข่ ยาว 2 มิลลิเมตร โค้งกลับ ผลสด เมื่อสุกมีสีเหลืองหรือสีส้ม ทรงรี ยาว 2 ซม. ฝาผนังผลชั้นในสีขาว ทรงรี กว้าง 7-9 มิลลิเมตร ยาว 11-13 มิลลิเมตร ผิวย่นเล็กน้อย หรือเกือบเรียบ มีสันที่ข้างบนชัด มีช่องเปิดรูปรีเล็กที่ด้านบน ออกดอกสิ้นเดือนม.ค.ถึงเดือนพฤษภาคม ติดผลราวเมษายนถึงพ.ค.
การขยายพันธุ์
การขยายพันธุ์บอระเพ็ดสามารถทำได้ 2 วิธีหมายถึงการเพาะเม็ด และการปักชำกิ่ง การเพาะเม็ดนั้นจะต้องใช้เม็ดจากผลที่สุกจัด ผลมีสีเหลืองเข้ม ยิ่งสำเร็จที่หล่นแล้วยิ่งดี แล้ว นำผลมาตากแดดให้แห้ง นาน 15-20 วัน รวมทั้งเก็บไว้ในร่มก่อนจนกระทั่งต้นหน้าฝนจึงนำออกมาเพาะในถุงเพาะชำหรือใช้หยอดปลูกตามจุดที่ต้องการ การปลูกด้วยเม็ดนี้ จะได้เครือบอระเพ็ดที่ใหญ่ยาวมากกว่าการปักชำ  การปักชำเถา เป็นวิธีหนึ่งที่สบายเร็ว ด้วยการตัดเถาบอระเพ็ดที่แก่จัด เถามีอายุตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป ตัดเถายาว 20-30 ซม. จากนั้น ค่อยนำลงปักชำในถุงหรือกระถาง วิธีการแบบนี้ จะได้ต้นที่งอกใหม่ข้างใน 15-30 วัน แต่ว่าลำต้นมักมีเครือไม่ยาวเหมือนการเพาะเม็ด แม้กระนั้นไม่ต่างอะไรกันมากเท่าไรนัก
ส่วนประกอบทางเคมี

  • สารขมชื่อ picroretin, columbin, picroretroside, tinosporide, tinosporidine
  • สารกรุ๊ปสามเทอไต่อยส์ อย่างเช่น Borapetoside A, Borapetoside B, Borapetol A, Tinocrisposide, tinosporan
  • สารกลุ่มอัลคาลอยด์ ได้แก่ N-formylannonaine, N-acetylnornuciferine เป็นต้น
  • สารประเภทอามีนที่เจอ ดังเช่นว่า N-trans-feruloyl tyramine, N-cis-feruloyl tyramine
  • สารฟีนอสิคไกลโคไซด์ ดังเช่น tinoluberide
  • สารอื่นๆเป็นต้นว่า berberine, β-sitosterol

ที่มา : wikipedia
ผลดี/สรรพคุณ น้ำสกัดหรือน้ำต้มจากบอระเพ็ดสามารถใช้ฉีดพ่นกำจัด และก็ปกป้องหนอนแมลงศัตรูพืช เช่น หนอนใยผัก และก็เพลี้ยต่างๆได้เป็นอย่างดี ส่วนลำต้น และใบของบอระเพ็ดสามารถใช้ผสมในอาหารสัตว์หรือให้สัตว์กินโดยตรง เพื่อให้สัตว์มีสุขภาพดี และรักษาโรคในสัตว์ ทั้งวัว ควาย สุกร ไก่ และอื่น ซึ่งราษฎรนิยมให้ไก่ชนกินในระยะก่อนออกชน ยิ่งกว่านั้นลำตัน และใบยังสามารถนำมาบด รวมทั้งใช้พอกศีรษะหรือสระผม สำหรับกำจัดเหาได้อีกด้วย ส่วนคุณประโยชน์ทางยาของบอระเพ็ดนั้นมีดังนี้
หนังสือเรียนยาไทย
ใช้  เถา ซึ่งมีรสขมจัดเย็น แก้ไข้ทุกชนิด แก้พิษไข้ทรพิษ เป็นยาขมเจริญอาหาร ต้มดื่มเพื่อให้เจริญอาหาร ช่วยสำหรับการย่อย บำรุงน้ำดี บำรุงไฟธาตุ แก้โรคกระเพาะอาหาร บำรุงร่างกาย แก้สะอึก แก้มาลาเรีย เป็นยาขับเหงื่อ ดับกระหาย แก้ร้อนในดีเยี่ยม แก้อหิวาต์ แก้ท้องเสีย ไข้ป่า ยับยั้งความร้อน ทำให้เนื้อเย็น แก้เลือดทุพพลภาพ ใช้ภายนอกใช้ล้างตา ล้างแผลที่เกิดขึ้นมาจากโรคซิฟิลิส ใบ มีรสขมเมา เป็นยาพอกบาดแผล ทำให้เย็นแล้วก็ทุเลาอาการปวด ดับพิษปวดแสบปวดร้อน พอกฝี แก้ฟกช้ำ แก้คัน แก้รำมะนาด ปวดฟัน ฆ่าแมลงที่น่าฟัง ฆ่าพยาธิไส้เดือน แก้ไข้ แก้โรคผิวหนัง บำรุงน้ำดี  ราก มีรสขม เป็นยาช่วยให้เจริญอาหาร ดับพิษร้อน ทำลายพิษไข้ รากอากาศ รสขมเย็น แก้ไข้ขึ้นสูงมีอาการคลุ้มคลั่งเพ้อ ดับพิษร้อน ทำลายพิษร้อน ถอนพิษไข้ เจริญอาหาร ผล รสขม แก้ไข้ แก้เสลดเป็นพิษ ทุกส่วนของพืช ใช้แก้ไข้ เป็นยาบำรุง โรคดีซ่าน ยาเจริญอาหาร แก้มาลาเรียใช้เป็นยาอายุวัฒนะ แก้ร้อนในกระหายน้ำ
นอกเหนือจากนี้บอระเพ็ดยังจัดอยู่ใน “พิกัดตรีญาณรส” เป็นการจำกัดจำนวนตัวยาที่ชี้ให้เห็นรสของกิน 3 อย่าง มี ไส้หมาก รากสะเดา เถาบอระเพ็ด มีสรรพคุณ แก้ไข้ ดับพิษร้อน ขับฉี่ ขับเสมหะ บำรุงไฟธาตุ บำรุงกำลัง “พิกัดยาแก้ไข้ 5 จำพวก” คือการจำกัดปริมาณตัวยาแก้ไข้ 5 อย่าง มี รากย่านาง รากคนทา รากชิงชี่ ขี้เหล็กทั้ง 5 แล้วก็เถาบอระเพ็ด คุณประโยชน์แก้ไข้พิษร้อน
หนังสือเรียนอายุรเวทของประเทศอินเดีย ใช้ เถา เป็นยาแก้ไข้ เหมือนกันกับชิงช้าชาลี กล่าวไว้ว่า แก้ไข้ดีพอๆกับต้นควินิน แก้ธาตุแตกต่างจากปกติ โรคที่เกิดขึ้นและมีปัญหาเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะ แก้อาการอักเสบ แก้อาการเกร็ง
รูปแบบ/ขนาดการใช้
รักษาลักษณะของการมีไข้ ใช้เถาบอระเพ็ดที่ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป (เถาเพสลาก) โดยประมาณ  1- 1.5  ฟุต (2.5 คืบ) หรือเถา น้ำหนัก  30-40  กรัม  โดยตำ  เติมน้ำน้อย  คั้นเอาน้ำกิน  หรือต้มกับน้ำ  3  ส่วน  ต้มให้เหลือ  1  ส่วน  หรือบดเป็นผง  ทำให้เป็นลูกกลอนกินวันละ  2  ครั้ง  ก่อนที่จะกินอาหาร  เช้าตรู่  เย็น
           รักษาอาการไม่อยากกินอาหาร: ใช้เถาที่โตเต็มกำลัง   ราวๆ  1- 1.5   ฟุต  (2.5 คืบ)  น้ำหนัก หรือเถา 30-40  กรัม  โดยตำ  เพิ่มน้ำเล็กน้อย  คั้นเอาน้ำ  หรือต้มกับน้ำ  3  ส่วน  ต้มให้เหลือ  1  ส่วน  หรือบดเป็นผุยผง  ทำให้เป็นลูกกลอนรับประทานวันละ  2  ครั้ง  ก่อนกินอาหาร  เช้า  เย็น  ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ด้วยการใช้บอระเพ็ด / เมล็ดข่อย / หัวแห้วหมู / เมล็ดพริกไทย / เปลือกต้นทิ้งถ่อน / เปลือกต้นตะโกนา ในรูปทรงเท่ากันเอามาบดเป็นผุยผง ปั้นเป็นยาลูกกลอนเท่าปลายนิ้วก้อย รับประทานก่อนนอนครั้งละ 2-3 เม็ด หรือจะนำเถาบอระเพ็ดมาหั่นตากแห้งแล้วเอามาบดให้เป็นผุยผงปั้นเป็นลูกกลอนก็ได้  ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ด้วยการใช้เถาสดที่โตเต็มกำลังตากแห้งแล้วบดเป็นผุยผง เอามาชงน้ำร้อนดื่มทีละ 1 ช้อน ตอนเช้าและก็เย็น แก้โรคกระเพาะของกินด้วยการใช้บอระเพ็ด 5 ส่วน / มะขามแฉะ 7 ส่วน / เกลือ 3 ส่วน / น้ำผึ้งพอควร เอามาคลุกให้เข้ากันแล้วรับประทานก่อนอาหาร 3 เวลา นำทุกส่วนของบอระเพ็ด (เถา,ใบ,ราก) มาบดแล้วใช้ประคบฝี เพื่อลดน้ำหนอง,ลดอาการปวดบวม หรือ แผล(สำหรับห้ามเลือด)
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ลดไข้    มีผู้ทำการศึกษาฤทธิ์ลดไข้ของบอระเพ็ด โดยทดลองกับสัตว์ทดลองที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดไข้ด้วยสารต่างๆเช่น การทดสอบกรอกสารสกัดบอระเพ็ดด้วยอัลกอฮอล์แล้วก็น้ำ (1:1) ให้กระต่ายที่ถูกเหนี่ยวนำให้กำเนิดไข้ด้วยยีสต์ พบว่าสารสกัดไม่มีฤทธิ์ลดไข้ บุญเทียม และแผนก ได้ทดลองให้สารสกัดบอระเพ็ดด้วยน้ำกับหนูเพศผู้ที่ถูกรั้งนำให้กำเนิดไข้ด้วยวัคซีนไทฟอยด์ในขนาด 100 มก./กก. โดยการผสมกับน้ำ  พบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ลดไข้ รวมทั้งต่อมาได้ทำการทดลองโดยให้สารสกัดบอระเพ็ดกับกระต่ายแล้วก็หนูขาวเพศผู้ที่เหนี่ยวนำให้กำเนิดไข้ด้วย LPS (Lipopolysaccharide) ในขนาด 200 มิลลิกรัม/กก. และก็ 600 มก./กก. เป็นลำดับ พบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ลดไข้ได้เหมือนกัน จากการเรียนรู้เชื่อว่ากลไกในการยับยั้งการเกิดไข้ของสารสกัดบอระเพ็ดน่าจะมีสาเหตุมาจากการไปยั้งการสร้าง interleukin-1 หรือ prostaglandins (PGs) ซึ่งกลไกนี้เป็นกลไกที่อยู่ในระบบ CNS ยิ่งกว่านั้นยังมีผู้พบว่าส่วนสกัดด้วยบิวทานอลมีฤทธิ์ลดไข้ ไม่มีการทดสอบแยกสารออกฤทธิ์ลดไข้จากบอระเพ็ด แต่มีรายงานฤทธิ์ลดไข้ของสารที่พบในบอระเพ็ดคือ berberine เมื่อป้อนให้หนูในขนาด 10 มิลลิกรัม/กก. แล้วก็ b-sitosterol ซึ่งออกฤทธิ์ในขนาด 160 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
ฤทธิ์ต้านการอักเสบ        มีผู้ทำการศึกษาฤทธิ์ลดการอักเสบของชาชงบอระเพ็ดโดยการกรอกให้แกะเพศผู้ (ตอน) ในขนาด 8 มิลลิลิตร/ตัว พบว่าชาชงบอระเพ็ดมีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบเสมอกันกับแอสไพริน 30 มก./น้ำหนักตัว 200 กรัม Higashino และก็ภาควิชา ได้เล่าเรียนฤทธิ์ต้านทานการอักเสบของสารสกัดเถาบอระเพ็ดด้วยเมทานอล (50%) กับหนูขาวที่ถูกรั้งนำให้เกิดการอักเสบที่อุ้งเท้าด้วย carrageenin โดยให้รับประทานสารสกัดในขนาด 10 มก./กก. พบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ โดยส่วนสกัดด้วยบิวทานอลออกฤทธิ์เจริญที่สุด ไม่ว่าจะให้โดยการกิน ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง หรือฉีดเข้าท้อง แล้วก็พบว่าส่วนสกัดในขนาด 3 มก./กิโลกรัม เมื่อให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังมีฤทธิ์เสมอกันกับ sulpyrine 250 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และก็ diphenhydramine 10 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของสาร borapetosides A การเรียนฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของสาร borapetosides A สารสำคัญที่เจอในต้นบอระเพ็ด โดยการฉีด borapetosides A ให้แก่หนูเม้าส์ที่เป็นโรคเบาหวาน จำพวกที่ 1 และก็ประเภทที่ 2 และหนูเม้าส์ปกติ วันละ 2 ครั้ง ต่อเนื่องกัน 7 วัน พบว่า borapetosides A จะช่วยเพิ่มระดับของไกลวัวเจน รวมทั้งลดน้ำตาลในเลือดได้ทั้งยังหนูธรรมดา แล้วก็หนูที่เป็นเบาหวาน โดยฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของ borapetosides A เกี่ยวเนื่องกับการเพิ่มจำนวนอินซูลินในหนูปกติและหนูที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 แม้กระนั้นไม่เป็นผลต่อระดับอินซูลินในหนูที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 ยิ่งไปกว่านี้ยังพบว่าสาร borapetosides A กระตุ้นการสังเคราะห์ไกลวัวเจนในเซลล์เนื้อกล้าม รวมถึงลดการแสดงออกของโปรตีน phosphoenolpyruvate carboxylase ที่เพิ่มขึ้นจากการเป็นเบาหวานได้ การศึกษาเรียนรู้ในครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าสาร borapetosides A จากต้นบอระเพ็ดสามารถออกฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้จำพวกที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวโยงกับอินซูลิน โดยผ่านกลไกกระตุ้นการใช้กลูโคสของกล้าม ลดการสั่งสมน้ำตาลในเซลล์ รวมทั้งกระตุ้นการผลิตอินซูลิน
การทดลองในสัตว์ทดสอบพบว่าบอระเพ็ดมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้ ส่วนการเรียนรู้ในผู้ป่วยโรคเบาหวานโดยให้ทานบอระเพ็ด วันละ 250 มก. วันละ 2 ครั้ง ตรงเวลา 2 เดือน พบว่าช่วยลดระดับน้ำตาลได้ แม้กระนั้นระหว่างทำการทดสอบคนเจ็บหลายรายมีอาการตับอักเสบ รวมทั้งพบว่าการใช้บอระเพ็ดในขนาดสูงและก็ติดต่อกันนานจะเป็นพิษต่อตับและก็ไต มีรายงานการวิจัยของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ระบุว่าเมื่อให้อาสาสมัครสุขภาพแข็งแรง 12 ราย กินบอระเพ็ดขนาด 1 กรัม วันละ 3 ครั้ง นาน 8 สัปดาห์ พบว่าแนวโน้มทำให้ระดับเอนไซม์ในตับมากขึ้น มีความหมายว่ามีแนวโน้มจะก่อให้เกิดพิษต่อตับ
การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา  การทดสอบพิษทันควันของสารสกัดเถาด้วยเอทานอล 50% โดยให้หนูกินในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม (คิดเป็น 1,786 เท่า เปรียบเทียบกับขนาดรักษาในคน) แล้วก็ให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนู ในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก. ตรวจไม่พบอาการเป็นพิษ  เมื่อป้อนสารสกัดด้วยเอทานอล ให้หนูถีบจักร ขนาด 4 ก./กก. เทียบเท่าผงยาแห้ง 28.95 กรัม/กก. ไม่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการพิษ การศึกษาเล่าเรียนพิษเรื้อรัง พบว่าเมื่อป้อนสารสกัดด้วยเอทานอล ให้หนูขาวพันธุ์วิสตาร์ทั้ง 2 เพศ ในขนาด 0.02, 0.16 และก็ 1.28 กรัม/กิโลกรัม/วัน หรือเสมอกันผงแห้ง 0.145, 1.16 แล้วก็ 9.26 ก./กิโลกรัม เป็นเวลา 6 เดือน พบว่าหนูขาวทั้งคู่เพศที่ได้รับสารสกัดในขนาด 1.28 ก./กก. มีผลทำให้น้ำหนักหนูต่ำกว่ากรุ๊ปควบคุมแล้วก็เกิดอาการไม่ดีเหมือนปกติของการทำงานของตับรวมทั้งไตได้          มีแพทย์ผู้ทำการศึกษาศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับฤทธิ์ลดโรคเบาหวานของบอระเพ็ด พบว่าคนเจ็บมีลักษณะตับอักเสบหลายราย
ข้อแนะนำ/สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวัง

  • ส่วนที่นิยมนำเถบอระเพ็ดมาใช้ทำเป็นยาจะเป็นส่วนของ “เถาเพสลาก” เพราะเหตุว่ามีลักษณะไม่แก่หรืออ่อนเกินความจำเป็นนัก แล้วก็มีรสชาติขมจัด แต่ถ้าเกิดเป็นเถาแก่จะแตกแห้ง รสเฝื่อน ไม่ขม หรือหากอ่อนเกินไปก็จะมีรสไม่ขมมาก
  • การศึกษาเล่าเรียนในอาสาสมัครร่างกายแข็งแรง 12 รับประทานบอระเพ็ดในขนาด 1 กรัม วันละ 3 ครั้ง นาน 8 อาทิตย์ เจอแนวโน้มระดับเอนไซม์ในตับเพิ่มขึ้นหมายความว่าคงจะก่อให้เกิดพิษต่อตับ
  • ถ้านำบอระเพ็ดมาใช้และก็พบอาการเปลี่ยนไปจากปกติของการทำงานตับและไต ควรจะหยุดการใช้
  • ห้ามใช้ในคนที่มีภาวการณ์เอนไซม์ตับผิดพลาด หรือผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคตับหรือโรคไต
  • สมุนไพรบอระเพ็ดสำหรับการกินในส่วนของรากอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาที่ยาวนานอาจมีผลต่อหัวจิตใจ เนื่องจากว่าเป็นยารสขม สิ่งที่ต้องระมัดระวังก็คือไม่ควรใช้ติดกันต่อเนื่องเกิน 1 เดือน ถ้าหากจึงควรใช้ในเดือนต่อไปก็ควรเว้นระยะเวลา 1-2 อาทิตย์เป็นอย่างน้อยเพื่อให้ร่างกายสามารถปรับภาวะได้ก่อน ถ้าใช้ไปแล้วมีอาการมือเท้าเย็น แขนขาหมดเรี่ยวแรงก็ควรหยุดกิน
เอกสารอ้างอิง

  • บอระเพ็ด.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • บุญเทียม คงศักดิ์ตระกูล  ยุวดี วงษ์กระจ่าง และคณะ.  รายงานฉบับสมบูรณ์ขององค์การเภสัชกรรม, 2541:18pp.
  • Higashino H, Suzuki A, Tanaka Y, Pootakham K.  Inhibitory effects of Siamese Tinospora crispa extracts on the carrageenin-induced foot pad edema in rats (the 1st report).  Nippon Yakurigaku Zasshi 1992;100(4):339-44.
  • บอระเพ็ด.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://www.disthai.com/[/color]
  • Kongsaktrakoon B, Temsiririrkkul R, Suvitayavat W, Nakornchai S, Wongkrajang Y.  The antipyretic effect of Tinospora crispa Mier ex Hook.f. & Thoms.  Mahidol Univ J Pharm Sci 1994;21(1):1-6.
  • บอระเพ็ด.ชาสมุนไพรบรรเทาอาการไข้.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.หน้า3-5
  • กัมปนาท รื่นรมย์.ประสิทธิภาพและการออกฤทธิ์ของสารสกัดจากบอระเพ็ดในการเป็นสารกำจัดแมลงต่อหนอนใยผัก(Plutella xylostella L.)
  • Sabir M, Akhter MH, Bhide NK.  Further studies on pharmacology of berberine.  Indian J Physiol Pharmacol 1978;22:9.
  • บอระเพ็ด ประโยชน์/สรรพคุณบอระเพ็ด.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อเกษตรไทยบุญส่ง คงคาทิพย์ และสมนึก วงศ์ทอง การแยกสารออกฤทธิ์ฆ่าหนอนเจาะเสมอฝ้ายจากต้นบอระเพ็ดและการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างของสารกับการออกฤทธิ์
  • บอระเพ็ด.ฐานข้อมูลเครื่องยาคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
  • ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของสาร borapetosides A จากต้นบอระเพ็ด.ข่าวความเคลื่อนไหนสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Rivai Y.  Antiinflammatory effects of Tinospora crispa (L) Miers ex Hook.f & Thoms stem infusion on rat.  MS Thesis, Dept Pharm, Fac Math & Sci, Univ Andalas, Indonesia, 1987.
  • บอระเพ็ดกับเบาหวาน.กระทู้ถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • Gupta M, Nath R, Srivastava N, Shanker K, Kishor K, Bhargava KB.  Anti-inflammatory and antipyretic activities of b-sitosterol.  Planta Med 1980;39:157-63.
  • Mokkhasmit M, Swatdimongkol K, Satrawaha P.  Study on toxicity of Thai medicinal plants.  Bull Dept Med Sci 1971;12(2/4):36-65.
  • บอระเพ็ด.ฐานข้อมูลความปลอดภัยของสมุนไพรที่มีการขึ้นทะเบียนยาแผนโบราณ.สำนังานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • Chavalittumrong P, Attawish A, Chuthaputti A, Chuntapet P.  Toxicological study of crude extract of Tinospora crispa Miers ex Hook.f. & Thoms.  Thai J Pharm Sci 1997;21(4):199-210.


Tags : บอระเพ็ด
87  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ส้มป่อยมีสรรพคุณเเละประโยชน์อย่างน่าทึ่ง เมื่อ: มิถุนายน 02, 2018, 04:48:00 pm
ส้มป่อย
ชื่อสมุนไพร ส้มป่อย
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น  ส้มขอน , ส้มคอน (ไทยใหญ่,แม่ฮ่องสอน) , ส้มพอดิบพอดี (อีสาน) , ผ่อชิละ ผ่อชิบูทู (กะเหรี่ยง)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Acacia concinna (Willd.) DC.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Acacia rugata (Lam.) Merr., Mimosa concinna (Willd.) DC.
ตระกูล FABACEAE
บ้านเกิด ส้มป่อ[/b] เป็นพืชที่มีชื่อเสียงดันดีในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคเหนือที่จัดว่าส้มป่อยเป็นพืชที่มีความมงคล โดยมีความคิดว่าถ้าเกิดบ้านใดมีต้นส้มป่อยในบ้าน จะช่วยคุ้มครองป้องกันเพศภัยและเคราะห์ต่างๆให้ปล่อยออกไปจากบ้านดังชื่อของส้มป่อย รวมทั้งฝักของส้มป่อยก็ใช้แช่น้ำเชื่อว่าจะก่อให้เป็นน้ำที่มีความศักดิ์สิทธิ์ใช้ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายต่างๆได้ ซึ่งส้มป่อยนี้เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปเอเชีย ได้แก่ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นต้นว่า ประเทศไทย , ประเทศพม่า , ลาว , เขมร , มาเลเซีย , และก็ประเทศในทวีปเอเชียใต้ อาทิเช่น อินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ เป็นต้น  ส้มป่อยเป็นไม้ที่มีความคงทนต่อสภาพแล้งเจริญ พบได้บ่อยขึ้นตามป่าคืนสภาพ ป่าดงดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ ที่ราบตีนเขา และที่รกร้างทั่วๆไป  ในประเทศไทยสามารถเจอได้ทุกภาคของประเทศ
ลักษณะทั่วไป ส้มป่อยจัดเป็นไม้พุ่มรอคอยเลื้อยซึ่งจะ พิงพันต้นไม้อื่นได้โดยประมาณ สูง 3-6 เมตร เถามีเนื้อแข็ง ผิวเรียบสีน้ำตาล ขนาดใหญ่ มีหนามเล็กแหลมตามลำต้น กิ่งก้านและก็ใบ ไม่มีมือเกาะจะเลื้อยพิงพันต้นไม้อื่น เถาอ่อนสีน้ำตาลแดง มีขนผ้ากำมะหยี่หรือขนสั้นหนานุ่ม ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้น เรียงสลับ ช่อใบย่อย 5-10 คู่ ใบย่อย 10-35 คู่ ต่อช่อ ใบย่อยรูปขอบขนาน ขนาดเล็ก ออกเรียงตรงข้าม ปลายใบมนหรือแหลม ที่ปลายเป็นติ่งหนามแหลมอ่อนโค้ง โคนใบตัด ขอบใบหนาเรียบ แผ่นใบเรียบ ก้านใบยาว 3.6-5.0 เซนติเมตร มีขนสั้นนุ่มและหนาแน่น พบก้อนนูนสีน้ำตาลคล้ายต่อม 1 อัน อยู่ที่โคนก้านใบ แกนกลางยาว 6.6-8.5 เซนติเมตร ก้านใบย่อยสั้นมากมาย ยาว 0.5 มม. หรือน้อยกว่า เกลี้ยง แล้วก็มีขนนุ่มหนาแน่น ดอกเป็นช่อกลุ่มกลม ออกตามซอกใบข้างลำต้น 1-3 ช่อดอกต่อข้อ ขนาด 0.7-1.3 ซม. มี 35-45 ดอก ก้านช่อดอกยาว 2.5-3.2 มิลลิเมตร มีขนนุ่มหนาแน่น ใบแต่งแต้มดอก 1 อัน รูปแถบ ยาวไม่เกิน 1 มม. โคนสอบเรียว สีแดง มีขนกระจายทั่วไป ดอกขนาดเล็กอัดแน่นอยู่เป็นแกนดอก กลีบเป็นหลอด สีขาวนวล กลีบเลี้ยงและกลีบอย่างละ 5 กลีบ กลีบเลี้ยง หลอดกลีบกว้าง 1.0-1.5 มม.ยาว 2.5-3.0 เซนติเมตร ปลายแหลม สีแดง อาจมีสีขาวผสมนิดหน่อย กลีบดอก หลอดกลีบกว้าง 1.0-1.5 มิลลิเมตร ยาว 3.5-4.0 มิลลิเมตร มีขนบางส่วนที่ปลายกลีบ เกสรเพศผู้ 200-250 อัน ยาว 4-6 มิลลิเมตร เกสรเพศเมีย รังไข่ยาว 1 มม. มี 10-12 ออวุล มีก้านรังไข่ยาว 1 มม. ก้านและยอดเกสรเพศเมียยาว 2.5-3.5 มม. สีขาวอมเหลืองหรือสีเขียวอมเหลือง ผลเป็นฝักรูปขอบขนาน แบนยาว หนา ขนาด กว้าง 1.3-1.4 เซนติเมตร ยาว 7.0-9.3 ซม. ฝักอ่อนเปลือกสีเขียวอมแดง เมื่อแก่สีน้ำตาลเข้ม ผิวฝักเป็นลอนคลื่นเป็นข้อ ปลายฝักมีหางแหลม สันฝักหนา ผิวร่นมากมายเมื่อแห้ง ก้านผลยาว 2.8-3.0 เซนติเมตร แต่ละผลมี 5-12 เม็ด เมล็ดสีดำ แบนรี ผิวมัน กว้าง 4-5 มิลลิเมตร ยาว 7-8 มิลลิเมตร มีดอกราวเดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคม ติดผลพฤษภาคมถึงต.ค.
การขยายพันธุ์ ส้มป่อยมักจะเจอได้ในป่าเบญจพรรณและก็ป่าดิบแล้วบริเวณที่ราบเชิงเขาส่วนการขยายพันธุ์  ส้มป่อยนั้นสามารถทำได้ด้วยแนวทางการเพาะเมล็ดและการปักชำ แต่ว่าแนวทางที่เป็นที่นิยมกันมากเป็นการปักชำ โดยตัดกิ่งแก่ให้ยาวราวๆ 50 ซม.มาปักชำในกระถางหรือในรอบๆที่ต้องการจะเพาะชำ ซึ่งในกระถางหรือบริเวณดังกล่าต้องมีความชุ่มชื้นมากมาย รวมทั้งรดน้ำทุกวี่วันจนกระทั่งกิ่งที่ชำเกิดรากแล้วจึงย้ายลงหลุมที่จะปลูกถัดไป ในการปลูกส้มป่อยนั้นควรปลูกไว้ในที่แจ้งหรือที่ๆมีแสงสว่างมาก สามารถปลูกได้ในดิน      Malic acid ที่มา : Wikipedia     ทุกประเภทที่มีการระบายน้ำก้าวหน้า ด้วยเหตุว่าส้มป่อยถูกใจความชุ่มชื้นปานกลางถึงน้อยและก็ถูกใจแสงอาทิตย์มาก ส่วนการรักษานั้น ส้มป่อยไม่ค่อยมีโรครวมทั้งศัตรูพืชมาก แต่ควรจะตัดแต่งกิ่งหรือทำค้างให้ลำต้นของส้มป่อยพันเลื้อยขึ้นไปเพื่อสะดวกสำหรับในการเก็บเกี่ยวผลิตผลของส้มป่อย
องค์ประกอบทางเคมี ฝักมีสารซาโปนิน 20.8% อาทิเช่น acasinin       Tannin   ที่มา : Wikipedia
A, B, C, D และก็ E   azepin , tannin , malic  acid , concinnamide, lupeol , machaerinic acid , menthiafolic, sonuside, sitosterol ส่วนคุณประโยชน์ทางโภชนาการของส้มป่อยมีดังนี้
คุณประโยชน์ทางโภชนาการ ส้มป่อย 100 กรัม มี  น้ำ 85.6  กรัม  แคลเซียม 95 มก. ไทอะมีน 0.04 มก. เบต้าแคโรทีน 6568 ไมโครกรัม ไนอะซิน 1.1 มก. วิตามินเอรวม 1095 RE วิตามินซี 6 มก. วิตามินอี 6.7 มิลลิกรัม                                 
ผลดี/สรรพคุณ ยอดอ่อน รวมทั้งใบอ่อน ของส้มป่อย ใช้กินเป็นผักรวมทั้งเครื่องปรุงรส ช่วยทำให้ของกินมีรสเปรี้ยว และก็ช่วยขจัดกลิ่น คาวปลา ยอดนำมาทำกับข้าวได้หลายอย่าง เช่น machaerinic acid ที่มา : Wikipedia  แกงส้ม ต้มปลา ต้มน้ำกะทิปลาเค็ม น้ำของฝักส้มป่อย ใช้ขัดเครื่องเงิน เครื่องทองหยองให้เงางามได้ ฝักแก่แห้งเอามาต้มเอาน้ำใช้สระผมแก้รังแค แก้อาการคันศีรษะ บำรุงเส้นผม ทำให้ผมเปียกชื้นเป็นเงางาม เป็นยาปลูกผม แล้วก็คุ้มครองผมหงอกก่อนวัย  ใบส้มป่อยสามารถเอามาสกัดทำเป็นสีย้อมเส้นไหมได้ โดยสีที่ได้เป็นสีเขียวอ่อน สีเหลืองอ่อน สีน้ำตาลอ่อน หรือสีครีม  ในด้านของความศรัทธาส้มป่อยถือเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของชาวล้านนา โดยประชาชนจะใช้ฝักในพิธีการทำน้ำมนต์เพื่อสะเดาะเคราะห์ ใช้ในงานมงคล ทำน้ำมนต์รดน้ำดำหัวคนแก่ในตอนเทศกาลวันสงกรานต์  หรือใช้รดน้ำพระพุทธปฏิมา  อีกทั้งส้มป่อยยังจัดเป็นพืชที่มีความเป็นสิริมงคลของชาวไทย โดยมั่นใจว่าการปลูกส้มป่อยจะช่วยขับไล่ไสส่งภูตผีปีศาจแล้วก็สิ่งเลวร้ายไม่ให้มารบกวน ช่วยเสริมหรือคืนอำนาจให้ผู้มีถลาค้างอาคม โดยกำหนดให้ปลูกไว้ทางทิศเหนือ  ส่วนสรรพคุณทางยาของส้มป่อยนั้นมีดังนี้
ใบ แก้โรคตา จ่ายมูกมันในไส้ ยาถ่ายเสลด ถ่ายระดูขาว แก้บิด ฟอกล้างโลหิตเมนส์ ประคบให้เส้นเอ็นหย่อนยาน ใบใช้ในสูตรยาอบสมุนไพร มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆช่วยชะล้างสิ่งสกปรก เพิ่มความต้านทานโรคให้กับผิวหนัง บำรุงผิวพรรณ แก้หวัด แก้ปวดเมื่อย สูตรยาลูกประคบสมุนไพร ช่วยบำรุงผิว แก้โรคผิวหนัง ลดความดัน  ใบตำห่อผ้าประคบเส้นให้เส้นอ่อน ใช้ใบอ่อน ต้มเอาน้ำผสมกับน้ำผึ้ง กินเป็นยาขับเยี่ยว ฝัก มีรสเปรี้ยว เป็นยาถ่าย ขับเสลด แก้ไอ แก้บิด แก้ไข้จับสั่น ฝักปิ้งให้เหลือง ชงน้ำจิบแก้ไอ ขับเสมหะ แก้น้ำลายเหนียว เป็นยาถ่ายทำให้คลื่นไส้ แก้ซางในเด็ก ใช้สระผม ทำให้ผมเปียกชื้นเป็นเงาสวย ไม่มีรังแค ต้มน้ำอาบหลังคลอด ฝักตำพอกหรือชุบสำลีปิดแผลโรคผิวหนัง เปลือกฝัก รสขมเปรี้ยวเผ็ดปร่า เจริญอาหาร กัดเสมหะ แก้ไอ ต้น รสเปรี้ยวฝาด เป็นยาระบาย แก้โรคตาแดง แก้น้ำตาทุพพลภาพ  ยอดอ่อน เอามาต้มน้ำ และผสมกับน้ำผึ้งดื่มเป็นยาช่วยขับฉี่ หรือนำมาตำรวมกับขมิ้นอ้อย แล้วใส่น้ำมันพืชน้อย หมกไฟเพียงพออุ่น นำไปพอกแก้ฝี ดอก รสเปรี้ยว ฝาด มัน แก้เอ็นที่พิการให้สมบูรณ์ ใบและฝัก ต้มอาบ ชำระล้าง บำรุงผิว ราก รสขม แก้ไข้
บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้เริ่มแรก ตามประกาศ คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา (ฉบับที่ 5)    ปรากฏการใช้ใบแล้วก็ฝักส้มป่อย ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆในตำรับ เป็นยารักษากรุ๊ปอาการทางระบบทางเดินอาหาร ตำรับ “ยาถ่ายดีเกลือฝรั่ง” ประกอบด้วย ดีเกลือฝรั่ง ยาดำ ใบมะกา ใบมะขาม ใบส้มป่อย ฝักคูน รากขี้กาแดง รากขี้กาขาว รากโคนงแตก ฝักส้มป่อย สมอไทย สมอดีงู เถาวัลย์เปรียง ขี้เหล็ก หัวหอม ต้นหญ้าไทร ใบไผ่ป่า คุณประโยชน์ แก้อาการท้องผูก กรณีที่ใช้ยาอื่นแล้วไม่เป็นผล
รูปแบบ/ขนาดวิธีการใช้   แก้ไอ ด้วยการใช้ฝักนำมาปิ้งให้เหลืองแล้วชงกับน้ำจิบรับประทานเป็นยา หรือจะใช้เปลือกนำมาแช่กับน้ำกินทำให้เปียกแฉะคอแก้ไอได้  เมล็ดนำมาคั่วให้ไหม้เกรียมแล้วบดให้ละเอียด ใช้เป่าจมูก ทำให้คันจมูกรวมทั้งทำให้จามได้  ยอดอ่อนหรือใบอ่อนเอามาต้มกับน้ำ แล้วก็ผสมกับน้ำผึ้งใช้ดื่มกินเป็นยาช่วยขับปัสสาวะ  ยอดอ่อนนำมาตำผสมกับขมิ้นอ้อย แล้วใส่น้ำมันพืชเล็กน้อย หมกไฟพออุ่น และจากนั้นจึงนำไปพอกจะช่วยแก้ฝี แก้พิษฝี ทำให้ฝีแตกเร็วหรือยุบไป ส่วนอีกการใช้รากส้มป่อยเอามาฝนใส่น้ำปูนใสทาบริเวณที่เป็นฝี  ใบใช้ตำประคบหรือตำห่อผ้าประคบเส้นช่วยทำให้เอ็นอ่อน แก้เส้นเอ็นพิการ ปวดเมื่อย  ช่วยให้สตรีมีท้องคลอดได้ง่าย ด้วยการใช้ฝักส้มป่อยโดยประมาณ 3-7 ข้อ นำมาต้มกับน้ำอาบตอนเวลาเย็น โดยให้อาบยังไม่ครบกำหนดคลอด 2-3 วัน แต่ห้ามอาบมากมายเนื่องจากจะก่อให้รู้สึกร้อน
การเรียนทางเภสัชวิทยา

  • ฤทธิ์ต้านเชื้อรา สารสกัดน้ำจากผล ความเข้มข้น 20 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อรา Epidermophyton floccosum ในหลอดทดสอบ แต่ว่าไม่มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อรา Trichophyton rubrum และก็ Microsporum gypseum เหมือนกับสารสกัดอัลกอฮอล์จากผล ความเข้มข้น 100 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ไม่มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อรา T. rubrum, M. gypseum รวมทั้ง E. floccosum
  • ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อยีสต์ สารสกัดน้ำ และก็สารสกัดอัลกอฮอล์จากผล ความเข้มข้น 100 รวมทั้ง 200 มิลลิกรัม/มล. เป็นลำดับ และก็สารสกัดน้ำจากส้มป่อย (ไม่ระบุส่วนที่ใช้และความเข้มข้น) ไม่มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อยีสต์ Candida albicans
  • ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย สารสกัดน้ำแล้วก็สารสกัดอัลกอฮอล์จากผล ความเข้มข้น 100 รวมทั้ง 200 มก./มล. เป็นลำดับ และก็สารสกัดน้ำจากส้มป่อย (ไม่เจาะจงส่วนที่ใช้และก็ความเข้มข้น) ไม่มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus
  • เมื่อปี คริสต์ศักราช2006 ที่ประเทศอินเดีย ได้กระทำทดสอบสารสกัดจากดอกส้มป่อยกับหนูเพศผู้ โดยการให้สารสกัดในขนาด 50 มิลลิกรัมต่อกก. โดยใช้ระยะเวลาการทดสอบนาน 3 อาทิตย์ ผลการทดลองพบว่า ค่าคอเลสเตอรอลในเลือดของตัวทดลองลดลง ไตรกลีเซอไรด์ต่ำลง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และก็สารสกัดจากส้มป่อยยังมีผลลดอสุจิแล้วก็ endometrial glands ในมดลูก มีการเปลี่ยนแปลงในชั้นเซลล์ในมดลูก สรุปว่าสมุนไพรส้มป่อยสามารถใช้เป็นยาคุมได้ด้วย
  • สารสกัดซาโปนินจากเปลือกส้มปอยแล้วก็สารสกัดเอทานอลและก็น้ำ ในอัตราส่วน 1:1 มีฤทธิ์ทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงแตก โดยค่าดรรชนีการทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงเท่ากับ 1,350
การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา  หลักฐานความเป็นพิษและก็การทดลองความเป็นพิษ
          เมื่อให้สารสกัดจากใบและลำต้น (ไม่กำหนดสารสกัดที่ใช้) และสารสกัดเอทานอล:น้ำ (1:1) จากใบแล้วก็ลำต้น ขนาด 10 กรัม/กก. ทางสายยางให้อาหารหนูถีบจักร ไม่พบพิษ เมื่อฉีดสารสกัดจากใบและลำต้น (ไม่กำหนดสารสกัดที่ใช้) ขนาด 10 กรัม/กก. เข้าใต้ผิวหนังหนูถีบจักร ไม่เจอพิษเหมือนกัน และก็เมื่อฉีดสารสกัดเอทานอล:น้ำ (1:1) จากส่วนเหนือดินเข้าท้องหนูถีบจักร มีค่า LD50พอๆกับ 125 มิลลิกรัม/กก.
          ส่วนสกัดซาโปนินจากเปลือก (ไม่ระบุความเข้มข้น) แล้วก็สารสกัดเอทานอล:น้ำ (1:1) (ไม่เจาะจงส่วนที่ใช้) มีฤทธิ์ทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงแตก ค่าดรรชนีการทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงเท่ากับ 1,350
          สาร acacic acid จากเปลือก (ไม่เจาะจงความเข้มข้น) มีฤทธิ์ฆ่าสเปิร์ม แล้วก็ส่วนสกัดซาโปนินจากเปลือก ความเข้มข้น 0.004% มีฤทธิ์ฆ่าสเปิร์มในคนเพศชาย
          สารสกัดเอทานอล:น้ำ (1:1) จากส่วนเหนือดิน ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ CA-9KB ขนาดของสารที่เป็นพิษต่อเซลล์ครึ่งเดียว มากกว่า 20 มคกรัม/มิลลิลิตร สารสกัดเมทานอล 75% จากผลเป็นพิษต่อเซลล์ Fibrosarcoma HT-1080 ความเข้มข้นของสารที่เป็นพิษต่อเซลล์ครึ่งเดียวพอๆกับ 2.1 มคกรัม/มล. โดยมีสารที่ออกฤทธิ์เป็น Kinmoonosides A, B และก็ C มีขนาดของสารที่เป็นพิษต่อเซลล์ครึ่งเดียวพอๆกับ  4.89,  1.43,  รวมทั้ง  1.87 มคก./มล. ตามลำดับ  ส่วนสารสกัดเมทานอล  ส่วนสกัดที่ละลายน้ำ  สารสกัดเมทานอล:เอทานอล (1:1) จากผล เป็นพิษต่อเซลล์ Fibrosarcoma HT-1080 อย่างอ่อน ความเข้มข้นของสารที่เป็นพิษต่อเซลล์กึ่งหนึ่งพอๆกับ 10, 17.9 รวมทั้ง 21.5 มคกรัม/มิลลิลิตร เป็นลำดับ สารสกัดคลอโรฟอร์ม สารสกัดอะซีโตน ส่วนสกัดที่ละลายน้ำ สารสกัดเมทานอลและก็สารสกัดเมทานอล:เอทานอล (1:1) จากผล เป็นพิษต่อเซลล์ CA-Colon-26-L5 อย่างอ่อน
ข้อเสนอแนะ/สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวัง ในขณะนี้ไม่มีข้อมูลในด้านข้อพึงระวังสำหรับเพื่อการใช้ส้มป่อยแต่ว่าถึงอย่างไรก็ตามส้มป่อยก็ยังเป็นราวกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆที่จะต้องมีการระมัดระวังสำหรับเพื่อการรับประทานถ้าเกิดรับประทานเป็นของกินหรือส่วนประกอบของอาหารคงปลอดภัยแต่อย่างใด แต่หากจะใช้เพื่อสรรพคุณทางยานั้นควรที่จะใช้แต่พอดิบพอดี ไม่ใช้ในปริมาณที่มากและไม่ควรใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานด้วยเหตุว่าอาจเกิดโทษต่อสุขภาพได้
เอกสารอ้างอิง

  • มงคล โมกขะสมิต กมล สวัสดีมงคล ประยุทธ สาตราวาหะ.  การศึกษาพิษของสมุนไพรไทย.  วารสารกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 2514;13:36-66.
  • [url=http://www.disthai.com/16913772/%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2]ส้มป่อย.ฐานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
  • หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1.  (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์).  “ส้มป่อย (Som Poi)”.  หน้า 282.
  • วันดี อวิรุทธ์นันท์ แม้นสรวง วุฒิอุดมเลิศ.  ฤทธิ์ต้านเชื้อราของพืชสมุนไพร.  วารสารเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล 2536;10(3):87-9.
  • Banerji R, Prakash D, Misra G, et al.  Cardiovascular and hemolytic activity of saponins.  Indian Drugs 1981;18(4):121-4.
  • วไลพร พงวิรุฬห์ วีณา ถือวิเศษสิน วีณา จิรัจฉริยากูล และคณะ.  ดัชนีการทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงในมาตรฐานสมุนไพรไทย.  โครงการพิเศษ ม.มหิดล, 2531-2532.
  • ส้มป่อย.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. http://www.disthai.com/[/b]
  • หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ.  (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล).  “ส้มป่อย”.  หน้า 33.
  • Avirutnant W, Pongpan A.  The antimicrobial activity of some Thai flowers and plants.  Mahidol Univ J Pharm Sci 1983;10(3):81-6.
  • ส้มป่อย.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • หนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด 140 ชนิด.  (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก).  “ส้มป่อย”  หน้า 178.
  • Mokkhasmit M, Swatdimongkol K, Satrawaha P.  Study on toxicity of Thai medicinal plants.  Bull Dept Med Sci 1971;12(2/4):36-65.
  • Banerji R, Nigam SK.  Chemistry of Acacia concinna and a Cassia bark.  J Indian Chem Soc 1980;57:1043-4.
  • Ikegami F, Sekine T, Hjima O, Fujii Y, Okonogi S, Murakoshi I.  Anti-dermatophyte activities of “tea seed cake” and “pegu – catechu”.  Thai J Pharm Sci 1993;17(2):57-9.
  • ส้มป่อย.ฐานข้อมูลความปลอดภัยของสมุนไพรที่มีการขึ้นทะเบียนยาแผนโบราณ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Tezuka Y, Honda K, Banskota AH, Thet MM, Kadota S.  Kinmoonosides A-C, three new cytotoxic saponins from the fruits of Acacia concinna, a medicinal plant collected in Myanmar.  J Nat Prod 2000;63:1658-64.
  • Banergi R, Srivastava AK, Misra G, Nigam SK, Singh S, Nigam SC, Saxena RC.  Steroid and triterpenoid saponins as spermicidal agents.  Indian Drugs 1979;17(1):6-8.
  • Bhakuni DS, Dhar ML, Dhar MM, Dhawan BN, Gupta B, Srimali RC.  Screening of Indian plants for biological activity. Part III.  Indian J Exp Biol 1971;9:91.
88  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / บัวบกเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณเเละประโยชน์สามารถรักษาโรคได้เป็นอย่างยอดเยี่ยมา เมื่อ: มิถุนายน 02, 2018, 08:24:17 am
บัวบก
ชื่อสมุนไพร บัวบก
ชื่ออื่นๆ/ชื่อเขตแดน ใบบัวบก (ภาคกลาง) ผักหนอก จำปาเครือ (ภาคเหนือ) ปะหะ เอขาเด๊าะ (กะเหรี่ยง) แว่นโคก (อีสาน) ผักแว่น (ภาคใต้) เดียกำเช่า ฮมคัก (จีน)
ชื่อสามัญ Asiatic pennywort , Gotu kola , Indian pennywort , Woter pennywort
ชื่อวิทยาศาสตร์  Centella asiatica (Linn.) Urban.
วงศ์  UMBELLIFERAE (APIACEAE)
ถิ่นเกิด  บัวบกหรือใบบัวบก มีบ้านเกิดเดิมในทวีปแอฟริกา ถัดมาก็เลยถูกนำเข้ามาปลูกไว้ในทวีปเอเชียที่ประเทศอินเดียรวมทั้งประเทศในแถบอเมริกาใต้ อเมริกากลาง รวมถึงประเทศในแถบเอเซียอาคเนย์ รวมทั้งเอเชียเหนือ ตอนนี้ บัวบกได้แพร่กระจายไปทั้งโลก ทั้งยังในประเทศเขตร้อน และเขตอบอุ่น ซึ่งพบว่ามีการแพร่กระจายในประเทศแถบอเมริกา ยุโรป แอฟริกา และบ่อยมาจนกระทั่งทุกประเทศในทวีปเอเชีย ส่วนเมืองไทยเจอบัวบกขึ้นในทุกภาคของประเทศ  ดังนี้บัวบกได้ถูกประยุกต์ใช้เป็นสมุนไพรในวิถีชีวิตของคนไทยมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว ซึ่งมีการเล่าขานและก็บันทึกในตำรายาของไทยไว้หลายฉบับร่วมกัน นอกเหนือจากนี้คนไทยยังมีการนำบัวบกมาใช้สำหรับในการทำกับข้าวทั้งคาวรวมทั้งหวานอีกด้วย ที่สามารถสะท้องถึงความสนิทสนมขอบัวบก[/url]กับแนวทางชีวิตของคนไทยตั้งแต่สมัยก่อนจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ได้อย่างดีเยี่ยม
ลักษณะทั่วไป บัวบก เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี มีลำต้นเป็นไหล(stolen) เลื้อยไปตามพื้นดินหรืออยู่ด้านล่างหน้าผิวดิน ไหลมีลักษณะทรงกลม ไหลอ่อนมีสีขาว ไหลแก่มีสีน้ำตาล ขนาดโดยประมาณ 0.2-0.4 มม. ยาวได้มากกว่า 1 เมตร ไหลมีลักษณะเป็นข้อบ้อง บริเวณข้อเป็นจุดแทงออกของก้านใบ ส่วนข้างล่างของข้อมีรากกิ้งก้านแทงลึกลงดิน และก็แต่ละข้อแตกแขนงแยกไหลไปเรื่อยทำให้ต้นบัวบกขึ้นปกคลุมพื้นที่รอบๆได้อย่างครึ้มทึบ ใบบัวบกออกเป็นใบผู้เดียว แล้วก็ออกเป็นกระจุกปริมาณหลายใบรอบๆข้อ แต่ละข้อมีใบ 2-10 ใบ ใบมีก้านใบที่แทงตั้งตรงจากข้อ ก้านใบสูงโดยประมาณ 10-15 ซม. มีลักษณะทรงกลม สีเขียวอ่อน ต่อมาเป็นแผ่นใบที่เชื่อมติดกับก้านใบบริเวณตรงกลางของใบ ฐานใบโค้งเว้าเข้าพบกัน แผ่นใบมีรูปทรงกลมหรือมีรูปร่างเหมือนไต ขอบของใบหยัก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-4 ซม. แผ่นใบด้านใบเรียบ สีเขียวสด แผ่นใบด้านล่างมีขนสั้นๆปกคลุม และมีสีเขียวจางกว่าข้างบน ขอบของใบหยักเป็นคลื่น  ดอกบัวบกออกเป็นช่อที่ซอกใบของข้อ ช่อดอกมีทรงช่อเหมือนร่ม อาจมีช่อลำพังหรือมีประมาณ 2-5 ช่อ แต่ละช่อมีประมาณ 3-4 ดอก มีก้านช่อดอกยาวทรงกลม ขนาดเล็ก ประมาณ 0.5-5 ซม. ส่วนกลีบดอกมีสีขาว ตรงกลางมีเกสรตัวผู้ขนาดสั้น  ผลมีขนาดเล็ก มีลักษณะกลมแบน ยาวประมาณ 3 มม. เปลือกเมล็ดแข็ง มีสีเขียวหรือม่วงน้ำตาล
การขยายพันธุ์ การปลูกบัวบกแรกเริ่มใช้วิธีปลูกด้วยเม็ด โดยนำมาเพาะในกระบะ เมื่อต้นกล้าแข็งแรงก็ดีแล้ว หรือแก่ 15-25 วัน ก็เลยย้ายกล้าลงปลูกภายในแปลงแล้ว กระทำการรักษา ให้ปุ๋ย ให้น้ำ ต่อมาได้ปรับปรุงเป็นการปลูกให้มีความรวดเร็วเพิ่มขึ้น ลำต้นของบัวบกที่แตกจากต้นแม่ ซึ่งจะทำขุดไหลหรือลำต้นนั้นให้ติดดิน แล้วหลังจากนั้นนำดินมาพอกที่รากให้เป็นก้อนแล้วเก็บพักเอาไว้ภายในที่ร่ม แล้วประพรมน้ำเล็กน้อย ก็เลยเก็บไว้อย่างต่ำ 24 ชั่วโมง พอเพียงวันที่ 2 สามารถจะนำแขนงนั้นไปปลูกได้เลย หรือแม้ไม่สะดวกที่จะเก็บพักไว้ก็สามารถจะขุดกิ้งก้านมาแล้วปลูกทันทีเลยก็ได้ ส่วนวิธีการปลูกนั้นมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
การเตรียมดิน ควรไถยกร่องเพื่อตากดินแล้วทิ้งไว้ราว 15 วัน โดยไถกระพรวนดินให้ร่วนซุยแล้วหลังจากนั้นจึงขุดแต่งให้เป็นรูปแปลง ชูร่องเป็นแปลงปลูกกว้าง 3 เมตร ระหว่างแปลงปลูกจัดเป็นร่องน้ำหรือทางเท้ากว้าง 50 ซม. ลึก 15 เซนติเมตร เพื่อมีการระบายน้ำทิ้งได้ดี เมื่อทำแปลงเสร็จให้ใส่อินทรียวัตถุหว่านลงบนแปลงให้ทั่ว แล้วรดน้ำให้เปียก
                การปลูก ขุดหลุมลึก 3-4 ซม. แล้วนำต้นกล้าบัวบก ปลูกหลุมละ 1 ต้น โดยให้ระยะห่างระหว่างต้นรวมทั้งระยะระหว่างแถว 15 x 15 เซนติเมตร ซึ่งก็จะได้บัวบกปริมาณต้นต่อไร่ประมาณ 70000-72000 ต้น เมื่อปลูกเสร็จแล้วให้กระทำการรดน้ำให้เปียกแฉะ
                การใส่ปุ๋ย ควรให้ปุ๋ยครั้งแรกภายหลังจากปลูก 15 – 20 วัน โดยใส่ปุ๋ยสูตร 16-20-0 อัตรา 5 กิโลต่อไร่ การใส่ปุ๋ยครั้งลำดับที่สองจะห่างจากการใส่หนแรก 15 – 20 วันโดยเปลี่ยนเป็นใส่ปุ๋ยสูตร 46-0-0 อัตรา 3 กิโลกรัมต่อไร่ การใส่ปุ๋ยครั้งที่สามจะห่างจาการใส่ครั้งสอง 15 – 20 วัน โดยกลายเป็นให้ปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 ในอัตรา 50  กก./ไร่ เมื่อใดก็ตามมีการใส่ปุ๋ยเสร็จแล้วต้องรดน้ำให้ชุ่ม
                การให้น้ำ สามารถให้น้ำได้ 2 แนวทางคือ ระบบไม่นิสปริงเกอร์ ซึ่งเปิดให้น้ำยามเช้าและก็เย็น ช่วงละ 10-15 นาที หากคือการใช้สายยางเดินฉีดน้ำให้รดจนกว่าจะเปียกด้วยเหตุว่าใบบัวบกจะเจริญเติบโตก้าวหน้าเมื่อได้รับความชื้นที่เหมาะสม
คุณค่าทางโภชนาการใบบัวบก (ใบสด 100 กรัม)
น้ำ                                                           86                                           กรัม
พลังงาน                                 54                                           กิโลแคลอรี่
โปรตีน                                                    1.8                                          กรัม
ไขมัน                                                       0.9                                          กรัม
คาร์โบไฮเดรต                                        9.6                                          กรัม
ใยอาหาร                                                2.6                                          กรัม
เถ้า                                                           1.7                                          กรัม
แคลเซียม                                               146                                         มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส                                              30                                           มก.
เหล็ก                                                       3.9                                          มิลลิกรัม
แอสคอบิด (วิตามิน C)                         15                                           มิลลิกรัม
ไทอะมีน (วิตามิน B1)                           0.24                                        มิลลิกรัม
ไรโบฟลาวิน (วิตามิน B2)    0.09                                        มิลลิกรัม
ไนอะซีน (วืตามิน B3)                           0.8                                          มก.
เบต้า แคโรทีน                                        2,428                                      ไมโครกรัม
วิตามิน A                                               405                                         ไมโครกรัม
ผลดี / คุณประโยชน์ ประโยช์จากบัวบกที่พวกเราพบเจอกระทั่งชินตาก็คือ การนำใบของบัวบกมาทำเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรหรือเอามาทำเป็นชาชงรวมถึง การนำใบแล้วก็เถาบัวบกมารับประทานเป็นผักสดกับน้ำพริกกะปิคั่ว หมี่กรอบ ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ลาบ ก้อย แกงเผ็ด ยำใบบัวบก ซุปหน่อไม้ เป็นต้น
แต่ว่าในตอนนี้มีการนำสิ่งใหม่ใหม่ๆมาแปรรูปให้บัวบก เป็นผลิตภัณฑ์ในแบบต่างๆอีกเยอะแยะ ยกตัวอย่างเช่น มีการทำสารสกัดจากใบบัวบกเพื่อนำมาใช้เป็นส่วนผสมสำหรับเพื่อการผลิตเครื่องแต่งตัว ใช้ทำเป็นสิ่งของปิดแผล รวมทั้งนำมาสร้างเป็นสบู่ใบบัวบก ซึ่งผู้ผลิตบอกว่าช่วยรักษาสิว ทำให้ผิวหน้าขาวกระจ่างขาวสวยใส ผิวหน้าเต่งตึงได้ ทั้งยังยังมีการเอามาผลิตเป็นแคปซูลวางขาย ซึ่งระบุถึงคุณประโยชน์ว่าสำหรับในการช่วยบำรุงสมองเป็นหลัก (Brain tonic) ส่วนคุณประโยชน์ทางยาของบัวบกนั้นมีดังนี้ คุณประโยชน์ตามตำรายาไทยใช้บัวบกแก้ไข้ แก้ร้อนใน แก้ช้ำใน ใช้เป็นยาด้านนอกรักษาแผล ทำให้แผลหายเร็ว เป็นยาบำรุงรวมทั้งยาอายุวัฒนะ ช่วยเสริมสร้างความจำ ทุเลาลักษณะของการปวดศีรษะ แก้อาการมึนหัว ช่วยบำรุงรักษาหัวใจ บำรุงกำลัง ทุเลาอาการปวดตามข้อ ตามกล้ามเนื้อ แก้อาการท้องผูก กระตุ้นระบบขับถ่าย แก้อาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย แก้โรคซาง แก้โรคดีซ่านในเด็ก ช่วยทำนุบำรุงตับ และก็ไต แก้โรคตับอักเสบ ช่วยบำรุงรักษาสายตา แก้ตาฟางมัว  เป็นยาขับเลือดเสีย แก้กระหายน้ำ ทุเลาอาการไอ ลักษณะของการเจ็บคอ แก้ลักษณะของการเจ็บคอ รักษาโรคหลอดลมอักเสบ รักษาอาการโรคหืดหอบ แก้โรคลมชัก ช่วยทุเลาอาการปวดฟัน  รักษาโรคปากเปื่อย ช่วยขับเยี่ยว แก้โรคนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ ช่วยรักษาแผลในกระเพาะ ช่วยขับรอบเดือน กระตุ้นประจำเดือนให้มาธรรมดา และแก้อาการปวดประจำเดือน รักษาฝี ช่วยทำให้ฝียุบ  ส่วนทางด้านการแพทย์แผนปัจจุบันระบุว่า ข้อมูลจากการศึกษาเรียนรู้วิจัยในคนพบว่าบัวบกมีฤทธิ์รักษาความแปลกของหลอดโลหิตดำ ช่วยให้ความไม่ค่อยสบายใจลดลง รักษาแผลที่ผิวหนัง แล้วก็รักษาแผลในทางเดินของกิน ช่วยเสริมสร้างและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต่อต้านการเสื่อมของเซลล์ต่างๆในร่างกาย ช่วยบำรุงรักษาประสาทแล้วก็สมองเหมือนใบแปะก๊วย ช่วยเสริมแนวทางการทำงานของกาบา (GABA) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ช่วยรักษาสมดุลของจิตใจ ก็เลยช่วยผ่อนคลายและก็ทำให้หลับง่ายมากยิ่งขึ้น  ช่วยกระตุ้นการสร้างเยื่อใหม่ ใบบัวบกมีสารยั้งหรือชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง
แบบอย่าง/ขนาดวิธีใช้
แก้ไข้ แก้ร้อนใน ช้ำใน  ประเภทแคปซูล (โรงพยาบาล), ชนิดชง(โรงพยาบาล) จำพวกชง รับประทานครั้งละ 2 – 4 กรัม ชงน้ำร้อนราวๆ 120 – 200 มล. วันละ 3 ครั้ง หลังรับประทานอาหาร ชนิดแคปซูล  กินครั้งละ 400 มก. วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร ใช้บัวบกรักษาแมลงกัดต่อย รวมทั้งรักษาแผล ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข                  ให้ใช้ใบขยี้ทาแก้แมลงกัดต่อย หรือใช้ส่วนใบสด พอกที่แผลสด วันละ 2 ครั้ง   ยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ ครีมใบบัวบก  ชำระล้างแผลด้วยยาฆ่าเชื้อก่อนทาครีมที่มีสารสกัดจากบัวบกสดร้อยละ 7 โดยน้ำหนัก  ทาบริเวณที่เป็นแผลวันละ 1 – 3 ครั้ง หรือตามแพทย์สั่ง หากใช้แล้วไม่ดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์ ให้หยุดใช้   ควรเก็บครีมใบบัวบกในที่เย็น อุณหภูมิไม่เกิน 25 องศาเซลเซียส แก้อาการฉี่ขัดข้อง ด้วยการกางใบบัวบกโดยประมาณ 50 กรัม นำมาตำแล้วพอกรอบๆสะดือ เมื่อถ่ายปัสสาวะคล่องดีแล้วค่อยคัดออก  ใช้เป็นยาห้ามเลือด ใส่แผลสด ด้วยการกางใบสดราวๆ 20 ใบนำมาล้างให้สะอาด ตำพอกแผลสด  แก้อาการฟกช้ำ ด้วยการใช้ใบบัวบกมาตีให้แหลกแล้วนำมาโปะรอบๆที่ฟกช้ำดำเขียว หรือจะใช้ใบบัวบกโดยประมาณ 40 กรัม ต้มกับเหล้าแดงราว 250 cc. ราวๆ 1 ชั่วโมงแล้วเอามาดื่ม
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย  สารสกัดเอทานอล (2-4) และก็สารสกัดด้วยน้ำร้อน จากส่วนเหนือดิน มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ Staphylococcus aureus (2-5), b-Streptococcus group A แล้วก็ Pseudomonas aeruginosa สารสกัดเฮกเซน สารสกัดไดคลอโรมีเทน สารสกัดเอทิลอะซีเตท สารสกัดอีเทอร์ และก็สารสกัดเมทานอลจากใบ มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ S. aureus แต่ไม่มีผลต่อเชื้อ P. aeruginosa        สารสกัดจากส่วนราก ใบแล้วก็ส่วนเหนือดิน และก็น้ำมันหอมระเหยจากบัวบก มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรียหลายแบบ อย่างเช่น Bacillus subtilis, Escherichia coli, Proteus vulgaris และก็ Pseudomonas cichorii  มีแถลงการณ์ว่าอนุพันธ์บางจำพวกของ asiaticoside สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อวัณโรคในหลอดทดลอง แล้วก็ลดร่องรอยโรคที่เกิดขึ้นจากเชื้อวัณโรคในตับ ปอด ปมประสาทของหนูตะเภาที่ทำให้เป็นวัณโรคได้           
ฤทธิ์ลดการอักเสบ สารสกัดเอทานอลจากใบมีฤทธิ์ลดการอักเสบอย่างอ่อนในหนูขาว โดยไปยับยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี cyclooxygenase-1 ซึ่งเกี่ยวพันกับการสังเคราะห์ prostraglandin สาร saponin ขนาด 1 ไมโครโมล จะลดการอักเสบและก็อาการบวมในหนูถีบจักรที่ถูกเหนี่ยวนำให้กำเนิดอาการบวมที่หูด้วย croton oil ขี้ผึ้ง Madecassol ซึ่งประกอบด้วยสาร asiatic acid, madecassic acid และก็ asiaticoside สามารถลดการอักเสบ เมื่อใช้ทาที่ผิวหนังหนูซึ่งมีการอักเสบจากการฉายรังสี ผงแห้งจากส่วนเหนือดินของบัวบก ให้ผู้รับประทาน สามารถลดอาการอักเสบได้
ฤทธิ์รักษาแผลสารสกัด 95% เอทานอลจากใบ ขนาด 1 มิลลิลิตร/กก. พบว่ามีผลเพิ่มการเจริญเติบโตของเซลล์เยื่อบุผิว เพิ่มการสร้างคอลลาเจน เมื่อให้ทางปากและจากนั้นก็ทาที่แผลของหนูขาว สารสกัดจากบัวบก (titrated extract) ซึ่งมีสาร asiatic acid, made cassic acid รวมถึง asiaticoside มีฤทธิ์รักษาแผลในหนูขาว โดยจะรีบการผลิต connective tissue เพิ่มปริมาณคอลลาเจน รวมทั้งกรด uronic เมื่อนำสารสกัดมาใช้ทาด้านนอกเพื่อรักษาแผลในหนูขาว พบว่าทำให้แผลหายเร็วขึ้น โดยการทำให้มีการกระจายตัวของโรคหนองในบาดแผล และก็แผลมีขนาดเล็กลง แต่ว่าถ้าใช้กินจะไม่ได้เรื่อง  ระหว่างที่รายงานบางฉบับพบว่า เมื่อให้หนูขาวรับประทานสารสกัดในขนาดวันละ 100 มก./โล มีผลสำหรับในการรักษาแผลโดยการทำให้การสร้างหนังกำพร้าเร็วขึ้น และจากนั้นก็รอยแผลมีขนาดเล็กลง ครีม ขี้ผึ้งและก็เจลที่มีสารสกัดน้ำจากบัวบก 5% เมื่อใช้ทาที่แผลของหนูขาว 3 ครั้ง/วัน นาน 24 วัน พบว่าส่งผลเพิ่มการเจริญเติบโตของเยื่อบุผิว เพิ่มการสร้างคอลลาเจนและก็เพิ่ม tensile strength ซึ่งสูตรที่อยู่ในรูปเจลจะได้ผลดีมากกว่าขี้ผึ้งแล้วก็ครีม
          สาร asiaticoside มีฤทธิ์สมานแผล รีบการหายของแผลเมื่อทดสอบในหนูขาว หนูถีบจักร แล้วก็ในคน เมื่อให้สาร asiaticoside ขนาด 1 มก./โล ทางปากแก่หนูตะเภาแล้วก็ใช้ทาที่ผิวหนังในหนูตะเภาปกติแล้วก็หนูขาวที่เป็นโรคเบาหวานซึ่งแผลหายช้า ที่ความเข้มข้น 0.2% และก็ 0.4% เป็นลำดับ พบว่าส่งผลเพิ่ม tensile strength เพิ่มปริมาณของคอลลาเจน และก็ลดขนาดของแผล tincture ที่มี asiaticoside เป็นส่วนประกอบ 89.5% จะรีบการหายของแผล เมื่อใช้ทาที่แผลของหนูตะเภา
          สำหรับเพื่อการทดลองในคน มีพูดว่าครีมที่มีสารสกัดอัลกอฮอล์จากบัวบกเป็นส่วนประกอบ 0.25-1% สามารถช่วยรักษารวมทั้งสร้างผิวหนังในคนสูงวัย ครีมที่มีสารสกัดจากบัวบก 1% สามารถรักษาแผลอักเสบและแผลแยกด้านหลังผ่าตัดในผู้ป่วยจำนวน 14 ราย ข้างใน 2-8 อาทิตย์ โดยพบว่าได้ผลดี 28.6% ผลปานกลาง 28.6% และผลพอใช้ได้ 35.7% ไม่เป็นผล 1 ราย  และรักษาแผลเรื้อรังที่เกิดจากอุบัติเหตุ ในคนป่วยปริมาณ 22 ราย ข้างใน 21 วัน พบว่าขนาดของแผลจะลดลง มีแผลหายสนิท 17 ราย ยังไม่หายสนิท 5 ราย  tincture ที่อยู่ในรูป aerosol ซึ่งมี asiaticoside 89.5% เมื่อใช้ฉีดที่แผลของคนไข้ซึ่งเป็นแผลชนิดต่างๆปริมาณ 20 ราย พบว่าสามารถรักษาแผลหายได้ 16 ราย (64%) และก็ทำให้อาการดีขึ้น 4 ราย (16%) โดยมีลักษณะใกล้กันเป็น การไหม้ของผิวหนัง (burning sensation)  เมื่อให้คนเจ็บที่เป็น post-phlebitic syndrome กินสารสกัด triterpenoid ในขนาด 90 มิลลิกรัม/วัน นาน 3 สัปดาห์ พบว่าจะลดการเพิ่มปริมาณของ circulating endothelial cell
ฤทธิ์แก้ปวดสารสกัด 60% เอทานอลจากใบ ขนาด 20 มก./กิโลกรัม  และก็สารสกัด 95% เอทานอลจากอีกทั้งต้น ขนาด 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม  มีฤทธิ์แก้ปวดในหนูขาวและก็หนูถีบจักร แต่ว่าสารสกัด 50% เอทานอลจากทั้งต้นในขนาด 125 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ไม่มีฤทธิ์แก้ปวด เมื่อฉีดเข้าท้องหนูถีบจักร
ฤทธิ์ลดไข้  สารสกัด 95% เอทานอลสามารถลดไข้ได้ 1.20F เมื่อฉีดเข้าทางท้องของหนูขาว แต่แม้ฉีดสารสกัด 50% เอทานอล ขนาด 125 มก./กก. เข้าท้องหนูถีบจักรจะไม่ได้เรื่อง  สารสกัดเมทานอลจากส่วนเหนือดินรวมทั้งใบ ขนาด 2 กรัม/กิโลกรัม ไม่มีฤทธิ์ลดอุณหภูมิของร่างกาย เมื่อทดสอบในหนูถีบจักร
ฤทธิ์ต้านฮีสตามีนสารสกัดใบบัวบกด้วยแอลกอฮอล์ผสมน้ำในอัตราส่วน 1:1 ใช้ทาข้างนอกจะสามารถลดการแพ้ได้ แล้วก็ช่วยบรรเทาลักษณะการเจ็บปวด หรืออักเสบเนื่องจากว่าแมลงกัดต่อย
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อราสารสกัดเอทานอลจากต้น ส่งผลต่อต้านเชื้อราที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดโรคกลาก ตัวอย่างเช่น Trichophyton mentagrophytes  รวมทั้ง T. rubrum ในขณะสารสกัดด้วยน้ำร้อน ไม่พบว่าส่งผลต้านเชื้อราอีกทั้ง 2 ชนิดนี้    ส่วนน้ำมันหอมระเหยจะมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อรา Aspergillus niger, Rhizopus oryzae, Fusarium solani, Candida albicans และก็ Colletotrichum musae
รักษาแผลในกระเพาะจากการทดสอบในหนูแรทพบว่า สารสกัดด้วยเอทานอล และก็สารสกัดด้วยน้ำจากต้นและก็จากใบ มีฤทธิ์รักษาแผลในกระเพาะในหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้กำเนิดแผลในกระเพาะด้วยความเคร่งเครียดรวมถึงกรดเกลือในเอทานอล  โดยจะลดขนาดของแผล เพิ่มของหลอดเลือดขนาดเล็กในเยื่อ เพิ่มและก็ผู้ที่ทำระจายของเซลล์ที่รอบๆแผล  ซึ่งสอดคล้องกับการทดลองในกินสารสกัดจากบัวบก (Madecassol) พบว่าช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารแล้วก็ไส้ได้
การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา
การทดลองความเป็นพิษ     ไม่พบความเป็นพิษของสารสกัดด้วย 50% เอทานอล เมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องของหนูถีบจักร ขนาด 250 มก./กก. และฉีดเข้าใต้ผิวหนังหรือให้ทางปากของหนูขาว ขนาด 10 ก./กก.  สารสกัด 70% เอทานอลมีค่า LD50 พอๆกับ 675 มก./กก. ในหนูขาวเพศผู้ (ไม่กำหนดกรรมวิธีให้) แต่มีรายงานการแพ้และอักเสบต่อผิวหนังในคน เมื่อใช้ผงแห้ง  สารสกัดที่มีกลัยวัวไซด์จากบัวบกจำนวนร้อยละ 2   สารสกัดด้วยน้ำ สารสกัดจากต้นในความเข้มข้นร้อยละ 2 รวมทั้งสารสกัด Madecassol ที่มี asiatic acid, madecassic acid รวมทั้ง asiaticoside ทาด้านนอก 
พิษต่อเซลล์ น้ำคั้นจากบัวบกเป็นพิษต่อเซลล์ สารสกัด 50% เอทานอลเป็นพิษต่อเซลล์ 9KB  สารสกัดเมทานอลและสารสกัดอะซีโตน มีความเป็นพิษต่อเซลล์ CA-Ehrich, Dalton’s lymphoma แล้วก็ L929 แต่ว่าไม่เป็นพิษต่อเซลล์ human lymphocyte สารไทรเทอร์ไต่ส์จากอีกทั้งต้น มีความเป็นพิษต่อเซลล์ fibroblast ของคน
 ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์สารสกัดอัลกอฮอล์มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ในแบบที่ต้องการเอนไซม์จากตับกระตุ้นการออกฤทธิ์ต่อเชื้อ Salmonella typhimurium TA98, TA100  โดยมีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์แบบ frameshift เท่านั้น ไม่พบแบบ base-pair substitution สารสกัดน้ำจากส่วนเหนือดิน ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ต่อเชื้อ S. typhimurium TA98, TA100
พิษต่อระบบสืบพันธุ์ น้ำคั้นจากทั้งยังต้น ขนาด 0.5 มล. มีผลคุมกำเนิดในหนูถีบจักร 55.60% สารสกัดจากบัวบกขนาด 0.2 มล. ฉีดเข้าใต้ผิวหนังของหนูถีบจักร พบว่าไม่เป็นผลต่อการฝังตัวของตัวอ่อน  สาร saponin จากทั้งต้น ขนาด 2% ไม่มีผลฆ่าเชื้อโรคน้ำเชื้อของคน
ก่อให้เกิดอาการแพ้        สารสกัด 30% อีเทอร์ นำไปสู่การระคายเคืองอย่างอ่อนต่อผิวหนังหนูตะเภา  ในคนมีรายงานการแพ้แล้วก็อักเสบต่อผิวหนัง เมื่อใช้ผงแห้ง  สารสกัดกลัยวัวไซด์ 2% สารสกัดน้ำ สารสกัดจากทั้งยังต้น 2% (ไม่เจาะจงชนิดสารสกัด) แล้วก็สารสกัด Madecassol ที่ประกอบด้วย asiatic acid, madecassic acid และก็ asiaticoside  oinment ที่มีบัวบกเป็นส่วนประกอบ 1% นำมาซึ่ง acute erythemato-bullous การระคายเคืองต่อผิวหนังกำเนิดได้ทั้งการใช้พืชสดหรือแห้ง  อาการระคายเคืองต่อผิวหนังของบัวบกมีผลค่อนข้างต่ำ
ข้อเสนอ / ข้อควรปฏิบัติตาม

  • บัวบกไม่เหมาะสมกับผู้ที่มีภาวะเย็นพร่อง หรือขี้หนาว อาการท้องอืดเสมอๆ
  • ไม่เสนอแนะให้ใช้ยาที่มีส่วนประกอบของบัวบกในผู้ที่สงสัยว่าเจ็บป่วยเลือดออกเนื่องจากว่าอาจบดบังลักษณะของไข้เลือดออกได้
  • พึงระวังการใช้ใบบัวบกร่วมกับยาที่ส่งผลต่อตับ ยาขับเยี่ยว และก็ยาที่ส่งผลใกล้กันทำให้ ง่วงหงาวหาวนอน เพราะบางทีอาจเสริมฤทธิ์กันได้
  • ควรจะระวังการใช้ร่วมกับยาที่มีขั้นตอนเมเกือบจะอลิซึมผ่าน Cytochrome P450 (CYP 450) ด้วยเหตุว่าบัวบกมีฤทธิ์ยั้งเอนไซม์ CYP 2C9 แล้วก็ CYP 2C19
  • สำหรับการทำเป็นสมุนไพรไม่สมควรนำใบบักบกไปผึ่งแดดเพื่อทำให้แห้ง เนื่องจากจะทำให้สูญเสียตัวยาสมุนไพรซึ่งอยู่ในน้ำมันหอมระเหยได้ โดยให้ตากลมตากเอาไว้ในที่ร่มอากาศถ่ายเทสะดวก เมื่อแห้งแล้ว ให้เอามาใส่ขวดปิดฝาให้สนิทคุ้มครองป้องกันความชื้น
  • การกินบัวบกในปริมาณที่มากเหลือเกิน จะมีผลให้ธาตุภายในร่างกายเสียสมดุลได้ เนื่องจากว่าเป็นยาเย็นจัด แต่ถ้ารับประทานในขนาดที่พอดิบพอดีแล้วจะไม่มีโทษต่อสภาพทางด้านร่างกายและได้ประโยชน์สูงสุด
เอกสารอ้างอิง

  • อารีรัตน์ ลออปักษา สุรัตนา อำนวยผล วิเชียร จงบุญประเสริฐ. การศึกษาสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ (ตอนที่ 1).  ไทยเภสัชสาร 2531;13(1):23-35.
  • จันทรพร ทองเอกแก้ว, 2556, บัวบก : สมุนไพรมากคุณประโยชน์.
  • พิมพร ลีลาพรพิสิฐ สุมาลี พฤกษากร ไชยวัฒน์ ไชยสุต และคณะ. การพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางรักษาสิวจากน้ำหมักชีวภาพที่ได้จากพืชไทย.  การประชุมวิชาการประจำปีการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์ทางเลือกแห่งชาติ ในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 3, 30 สิงหาคม-3 กันยายน, นนทบุรี, หน้า 40.   
  • บัวบก.สมุนไพรที่มีการใช้ในสาธารณสุขมูลฐาน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • Chen YJ, Dai YS, Chen BF, et al. The effect of tetradrine and extracts of Centella asiatica on acute radiation dermatitis in rats.  Biol Pharm Bull 1999;22(7):703-6.
  • บักบก/ใบบัวบก (Gotu kola) ประโยชน์และสรรพคุณใบบัวบก.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อเกษตรกรไทย
  • วีระสิงห์ เมืองมั่น.  รายงานผลการวิจัยเรื่องการใช้ครีมบัวบกรักษาแผลอักเสบ.  การประชุมโครงการการวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาตำรับยาสมุนไพรที่ใช้ในโรงพยาบาล, กรุงเทพฯ, 30 พค. 2526.
  • กองโภชนาการ กรมอนามัย, 2544, ตารางแสดงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย. http://www.disthai.com/[/b]
  • บัวบก.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • นันทวัน บุณยะประภัศร และอรนุช โชคชัยเจริญพร,2547, สมุนไพรไม้พื้นบ้าน(2).
  • Dabral PK, Sharma RK.  Evaluation of the role of rumalaya and geriforte in chronic arthritis-a preliminary study.  Probe 1983;22(2):120-7.
  • แก้ว กังสดาลอำไพ วรรณี โรจนโพธิ์ ชนิพรรณ บุตรยี่. การประเมินฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ของสมุนไพรไทยในรูปของยาตำรับ  สามัญประจำบ้านแผนโบราณตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขและสมุนไพรบางชนิด โดยวิธีเอมส์เทสต์.  การประชุมวิชาการ  กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ครั้งที่ 3, 3-4 สิงหาคม 2533:47-9.
  • Maquart FX, Chastang F, Simeon A, Birembaut P, Gillery P, Wegrowski Y. Triterpenes from Centella asiatica  stimulate extracellular matrix accumulation in rat experimental wounds.  Eur J Dermatol 1999;9(4):289-96.
  • Ray PG, Ma
89  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ตะไค้ร้สามารถนำมาทำเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้เป็นอย่างดี เมื่อ: มิถุนายน 01, 2018, 03:08:33 pm
ตะไคร้
ชื่อสมุนไพร ตะไคร้
ชื่ออื่นๆ/ ชื่อแคว้น จักไคร (ภาคเหนือ) , ค้างหอม (ไทใหญ่แม่ฮ่องสอน) , ไคร (ภาคใต้) , สิงไคร , หัวสิงไคร (อีสาน) , ห่อวอตะโป่ (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน) , เชิดเกรย , เหลอะเกรย (เขมร)
ชื่อสามัญ Lemon grass, West Indian lemongrass , Sweet rush
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cymbopogon citratus (DC.) Stapf
ตระกูล   GRAMINEAE
บ้านเกิดเมืองนอน ตะไคร้เป็นพืชสมุนไพรที่ผูกพันกับวิถีชีวิตของคนไทยเรามาตั้งแต่อดีตกาลแล้ว ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะตะไคร้เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเขตร้อนของทวีปเอเชีย ดังเช่น ไทย , พม่า , ลาว , มาเลเซีย , อินโดนีเซีย , อินเดียว , ศรีลังกา เป็นต้นและยังสามารถเจอได้ในประเทศเขตร้อนบางประเทศในแถบอเมริกาใต้ ด้วยเหมือนกัน โดยทั่วไปแล้ว ตะไคร้จัดเป็นพืชล้มลุกตระกูลต้นหญ้าและก็สามารถแบ่งได้ 6 จำพวก เป็นต้นว่า ตะไคร้หอม ตะไคร้กอ ตะไคร้ต้น ตะไคร้น้ำ ตะไคร้หางนาค รวมทั้งตะไคร้หางราชสีห์
ลักษณะทั่วไป ตะไคร้ เป็นไม้ล้มลุกวงศ์เดียวกับหญ้า มักแก่มากยิ่งกว่า 1 ปี (ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางสภาพแวดล้อม)ลำต้นตะไคร้มีเหง้าใต้ดิน ลำต้นมีลักษณะตั้งชัน รูปทรงกระบอก มีความสูงได้ถึง 1 เมตร (และใบ) ส่วนของลำต้นที่เราเห็นจะเป็นส่วนของกาบใบที่ออกเรียงช้อนกันแน่น โคนต้นมีลักษณะกาบใบห่อครึ้ม ผิวเรียบ แล้วก็มีขนอ่อนปกคลุม ส่วนโคนมีรูปร่างอ้วน มีสีม่วงอ่อนน้อย รวมทั้งเบาๆเรียวเล็กลงแปลงเป็นส่วนของใบ แกนกลางเป็นข้อแข็ง ส่วนนี้สูงราวๆ 20-30 ซม. ขึ้นกับความอุดมสมบูรณ์ของดิน และก็พันธุ์ แล้วก็เป็นส่วนที่ประยุกต์ใช้สำหรับประกอบอาหาร ใบตะไคร้ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ก้านใบ (ส่วนลำต้นที่กล่าวข้างต้น) หูใบ (ส่วนต่อระหว่างกาบใบ แล้วก็ใบ) และใบ  ใบตะไคร้ เป็นใบโดดเดี่ยว มีสีเขียว มีลักษณะเรียวยาว ปลายใบโค้งลู่ลงดิน โคนใบเชื่อมต่อกับหูใบ ใบมีรูปขอบขนาน ผิวใบสากมือ แล้วก็มีขนปกคลุม ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ แต่ว่าคม กึ่งกลางใบมีเส้นกลางเรือใบแข็ง สีขาวอมเทา แลเห็นต่างกับแผ่นใบชัดแจ้ง ใบกว้างประมาณ 2 ซม. ยาว 60-80 เซนติเมตร  ตะไคร้เป็นพืชที่ออกดอกยาก จึงไม่ค่อยประสบพบเห็น ดอกตะไคร้ดอกจะมีดอกเป็นช่อกระจัดกระจาย มีก้านช่อดอกยาว และก็มีก้านช่อดอกย่อยเรียงเป็นคู่ๆในแต่ละคู่จะมีใบประดับประดารองรับ มีกลิ่นหอมหวน ดอกมีขนาดใหญ่คล้ายดอกอ๋อ
การขยายพันธุ์ ตะไคร้สามารถขยายพันธุ์ได้ด้วย การปักชำต้นเหง้า โดยตัดใบออกให้เหลือตอนโคนราวๆหนึ่งคืบ เอามาปักชำไว้สักหนึ่งอาทิตย์ก็จะมีรากงอกออกมา แล้วก็ค่อยนำไปลงแปลงดินที่ตระเตรียมไว้  สำหรับวิธีการปลูกตะไคร้มีดังนี้

  • การเตรียมดิน ตะไคร้ชอบดินที่ร่วนซุย ให้ไถกลับดินรวมทั้งไถลูกพรวนลึกราว 0.5 เมตร แล้วทำหลุม แต่ละหลุมห่างกันประมาณ 0.5 เมตร
  • ลงต้นพันธุ์หลุมละ 3 ต้น กลบดินให้พอมิดรากตะไคร้ราวๆ 10 เซนติเมตร
  • ขั้นแรกรดน้ำทุกวัน แม้กระนั้นระวังไม่ให้น้ำเข้าไส้ตะไคร้เวลารดน้ำให้รดครั้งโคนต้นตะไคร้เพียงแค่นั้น มิฉะนั้นต้นตะไคร้จะเน่าห้ามใช้สปริงเกอร์เป็นอันขาดจำเป็นต้องให้น้ำที่โคนแค่นั้น
  • ในตอน 3 วันแรกที่ปลูกให้พรางแสงแดดให้ตะไคร้ด้วย ภายหลังตะไคร้ปรับตัวได้แล้วให้เอาวัสดุซ่อนแสงออกเนื่องจากธรรมชาติของตะไคร้ชอบแดด และเจริญเติบโตได้ดิบได้ดีในที่ที่มีแสงจ้า
  • เมื่อผ่านไป 1 เดือนตะไคร้จะเริ่มตั้งกอ ให้พินิจที่ต้น ถ้าต้นเจริญเติบโตดี ลำต้นจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว 1.5-2 ซม.ก็สามารถตัดไปใช้หรือขายได้ การตัดตะไคร้ให้ตัดติดกก แต่ว่าอย่าให้สั่นสะเทือนรากที่อยู่ในดินเพราะเหตุว่าตะไคร้สามารถแตกขึ้นมาตั้งกอได้อีก ไม่ต้องหาต้นชนิดมาปลูกใหม่แทน
  • เมื่อตัดควรจะตัดให้หมดกอ เพื่อต้นตะไคร้ที่แตกใหม่จะได้เติบโตได้สุดกำลัง
  • ข้างหลัง จากตัดแล้วตะไคร้จะตั้งกอใหม่ภายในระยะเวลา 1-2 เดือนเมื่อตะไคร้โตสุดกำลังแล้วก็สามารถตัดได้อีกตลอดไปจนกว่าต้นจะเสื่อมโทรม หรือ ตะไคร้ไม่แตกขึ้นมาอีก

ตะไคร้ถูกใจดินซึ่งร่วนซุย แต่ว่าก็สามารถเจริญรุ่งเรืองได้ในดินดูเหมือนจะทุกจำพวกเป็นพืชที่ดูแลไม่ยากถูกใจน้ำชอบแดดจ้า เป็นพืชทนแล้งได้ดิบได้ดี และเป็นพืชที่มีโรคน้อย ศัตรูพืชก็ไม่ค่อยมี (คงจะเกิดขึ้นจากการที่ตะไคร้มีน้ำมันหอมระเหยในทุกๆส่วนจึงสามารถป้องกันจากแมลงต่างๆได้)
องค์ประกอบทางเคมี
พบสาร  citral 80% นอกจากนั้นยังพบ trans – isocitral , geranial, nerol, geraniol, myrcene, limonene, eugenol, linalool, menthol, nerolidol, camphor, farnesol, citronellol,
ที่มา : wikipedia
citronellal, farnesol , caryophyllene oxide ส่วนในน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ มีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้เป็นmenthol, cineole, camphor รวมทั้ง linalool ก็เลยลดอาการแน่นจุกเสียด  และช่วยขับลม  นอกเหนือจากนี้มี citral, citronellol, geraneol แล้วก็ cineole มีฤทธิ์ยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียเป็นต้นว่า E. coli   ส่วนค่าทางโภชนาการของตะไคร้มีดังนี้
ค่าทางโภชนาการของตะไคร้ ( 100 กรัม)

  • พลังงาน 143 กิโลแคลอรี่
  • โปรตีน 1.2 กรัม
  • ไขมัน 2.1 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 29.7 กรัม
  • เส้นใย 4.2 กรัม
  • แคลเซียม 35 มก.
  • ธาตุฟอสฟอรัส 30 มก.
  • เหล็ก 2.6 มก.
  • วิตามินเอ 43 ไมโครกรัม
  • ไทอามีน 0.05 มก.
  • ไรโบฟลาวิน 0.02 มิลลิกรัม
  • ไนอาซิน 2.2 มก.
  • วิตามินซี 1 มิลลิกรัม
  • เถ้า 1.4 กรัม

ที่มา: กองโภชนาการ (2544)
ประโยชน์ / คุณประโยชน์ ใช้ส่วนของเหง้า ลำต้นและก็ใบของตะไคร้ เป็นองค์ประกอบของของกินที่สำคัญหลากหลายประเภทยกตัวอย่างเช่น ต้มยำ แล้วก็อาหารไทยหลายแบบ แล้วก็ใช้เป็นเครื่องเทศทำกับข้าวสำหรับกำจัดกลิ่นคาว ช่วยให้อาหารมีกลิ่นหอมหวน แล้วก็ปรับแต่งรสให้น่ากินเยอะขึ้น สามารถประยุกต์ใช้ทำเป็นน้ำตะไคร้ น้ำตะไคร้ใบเตย ช่วยดับร้อนแก้กระหายได้เป็นอย่างดี  สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายอย่าง ได้แก่ เครื่องปรุงอบแห้ง ตะไคร้แห้งสำหรับชงดื่ม นำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย ฯลฯ
น้ำมันตะไคร้ (น้ำมันหอมระเหยที่ได้จากการสกัดตะไคร้)
– ใช้เป็นส่วนผสมของน้ำหอม
– ใช้เป็นส่วนผสมสำหรับทำสบู่ แชมพูสระผม
– ใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอาง
– ใช้ทานวด แก้เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว
– ใช้ทาลำตัว แขน ขา เพื่อป้องกัน ยุง และแมลง
– ใช้เป็นส่วนผสมของสารคุ้มครองปกป้อง รวมทั้งกำจัดแมลง
ส่วนคุณประโยชน์ของทางยาของตะไคร้นั้นมีดังนี้
ตำราเรียนยาไทย: ต้น รสหอมปร่า ขับลม ลดอาการท้องอืดท้องอืดแน่นจุกเสียด  แก้อาการเกร็ง ขับเหงื่อ แก้โรคทางเดินฉี่ แก้อาการขัดเบา แก้นิ่ว แก้ปัสสาวะเป็นเลือด ทำให้เจริญอาหาร ลดระดับความดันโลหิต เหง้า แก้เบื่อข้าว บำรุงไฟธาตุ แก้กษัย ขับลมในไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ปัสสาวะขัด แก้เยี่ยวทุพพลภาพ แก้นิ่ว เป็นยารักษาโรคเกลื้อน แก้ไข้หวัด ขับรอบเดือน ขับระดูขาว ใช้ภายนอกทาแก้ลักษณะของการปวดบวมตามข้อ
           แบบเรียนยาพื้นบ้านอีสาน : ใช้ทั้งยังต้น ลดไข้ โดยเอามาต้มกระทั่งเดือดประมาณ 10 นาที ชูลงดื่มทีละครึ่งแก้วสามเวลา ใช้ด้านนอกรักษาโรคผิวหนังโดยต้มกับน้ำและนำมาอาบ
           ตำรับยาสมุนไพรล้านนา: ใช้รักษาอาการบวมในเด็ก กลางคน และก็คนชรา โดยในตำรับมีตะไคร้ และก็สมุนไพรอื่นอีก 13 จำพวก นำไปต้มอาบ
           ทางสุคนธบำบัดน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้บ้าน ช่วยกระตุ้นให้ตื่นตัว มีชีวิตชีวา ทำให้ขมีขมัน เครียดน้อยลง แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยสำหรับในการย่อยอาหาร ช่วยเจริญอาหาร ทุเลาอาการปวดโรคข้ออักเสบ ปวดกล้าม
ส่วนสรรพคุณทางการแพทย์แผนปัจจุบันที่ได้มีการทำการค้นคว้าทางคลินิกผลปรากฏว่า น้ำยาบ้วนปากจากตะไคร้สามารถช่วยลดกลิ่นปากที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียบางจำพวกลงได้แล้วก็พบว่ามีความปลอดภัยจากการใช้แรงงานในกรุ๊ปผู้ถูกทดสอบ ถึงแม้ยังคงควรจะมีการปรับแก้กลิ่นฉุนรวมทั้งรสจากตะไคร้เพิ่มเติมอีกถัดไป รวมทั้งในน้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากตะไคร้มีอัตราการดูแลรักษาคนป่วยโรคเกลื้อนอยู่ที่ราวๆ 60% ในช่วงเวลาที่ตัวยาคีโตโคนาโซลมีประสิทธิผลทางการรักษาสูงกว่าเป็นอยู่ที่ 80%  และก็มีการทดสอบสมรรถนะของตะไคร้ด้วยการทาโลชั่นที่มีส่วนผสมของน้ำมันตะไคร้ลงบนแขนของผู้อาสาสมัครทดสอบ แล้วให้ผู้ทดลองอยู่ในบริเวณที่มีตัวริ้นประเภท Culicoides Pachymerus อยู่อย่างชุกชุม โดยทดลองบ่อยๆ10 ครั้ง เพื่อทดลองประสิทธิผลทางการคุ้มครองด้านใน 3-6 ชั่วโมง ผลการทดลองพบว่า โลชั่นที่มีส่วนผสมของตะไคร้มีประสิทธิผลทางการป้องกันภัยริ้นประเภทนี้ได้สูงสุดถึงราวๆ 5 ชั่วโมง  ส่วนการทดสอบถึงคุณภาพของตะไคร้สำหรับการคุ้มครองปกป้องยุงก้นปล่องสายพันธุ์ Anopheles Arabiensis ในอาสาสมัครทดลองเพศชาย 3 คน พบว่ายากันยุงที่มีส่วนผสมของตะไคร้มีคุณภาพสำหรับการป้องกันยุงได้ช้านานที่ประมาณ 3 ชั่วโมง  ส่วนในเรื่องการกำจัดรังแคนั้น มีงานทดลองหนึ่งในไทยที่นำเอาน้ำมันสกัดจากตะไคร้มาเป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์น้ำมันบำรุงเส้นผมแต่งกลิ่น 5, 10 แล้วก็ 15% โดยมีอาสาสมัครทดสอบเป็นชาวไทยในวัย 20-60 ปี ปริมาณ 30 คน ผลการทดลองพบว่า สินค้าน้ำมันบำรุงเส้นผมแต่งกลิ่นตะไคร้มีประสิทธิผลต่อการลดจำนวนรังแคลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในสินค้าที่มีส่วนผสมของตะไคร้ 10%
แบบ/ขนาดวิธีใช้
ใช้รักษาอาการขัดเบา    เหง้ารวมทั้งลำต้นสด   หรือแห้ง  1  กำมือ  หรือน้ำหนักสด  40-60  กรัม  แห้ง  20-30  กรัม  ตีต้มกับน้ำพอควร  แบ่งดื่ม  3  ครั้งๆละ  1  ถ้วยชา (75  ไม่ลิลิตร) ก่อนที่จะรับประทานอาหาร  หรือจะหั่นตะไคร้  คั่วด้วยไฟอ่อนๆพอเหลือง  ชงด้วยน้ำเดือด  ปิดฝาทิ้งเอาไว้  5-10  นาที  ดื่มแต่น้ำ 3 ครั้ง ครั้งละ  1  ถ้วยชา  ก่อนรับประทานอาหาร                     
ใช้รักษาท้องอืดท้องเฟ้อแน่นจุกเสียด   ใช้เหง้าและลำต้นสด  1  กำมือ  น้ำหนัก  40-60  กรัม  ตีเพียงพอแตก  ต้มกับน้ำ  2  ถ้วยแก้ว  เดือด  5-10  นาที  ดื่มแม้กระนั้นน้ำ  ครั้งละ  1/2  แก้ว  วันละ  3  คราวหน้าของกิน     
การใช้ตะไคร้รักษาอาการแน่นจุกเสียด ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขมูลฐาน)

  • นำตะไคร้ทั้งต้นและก็รากจำนวน 5 ต้น สับเป็นท่อน ต้มกับเกลือ เพิ่มน้ำสุก 3 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มครั้งละ 1 ถ้วยแก้ว ติดต่อกัน 3 วัน จะหายเจ็บท้อง
  • นำลำต้นแก่สดๆตีพอเพียงแหลกโดยประมาณ 1 กำมือ (40-60 กรัม) ต้มเอาน้ำ

                ใช้รักษาอาการแฮงค์ ใช้ต้นสดตำคั้นเอาน้ำดื่มแก้อาการเมาในกรณีผู้ที่เมามากๆช่วยให้หายเร็ว
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา

  • ฤทธิ์ลดการบีบตัวของไส้ สารเคมีในน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ช่วยขับลม น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ก็เลยลดอาการแน่นจุกเสียดได้
  • ฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียสาเหตุอาการแน่นจุกเสียดแล้วก็ท้องเดิน เมื่อนำน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ (ความเข้มข้นร้อยละ 0.3) มาทดสอบ พบว่าสามารถต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้มีการเกิดอาการท้องร่วงได้ปานกลาง   มีการพัฒนาสูตรตำรับเจล ล้างมือจากน้ำมันตะไคร้สำหรับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย พบว่าตำรับที่มีประสิทธิภาพสำหรับในการยั้งเชื้อแบคทีเรียดังที่กล่าวมาข้างต้นก้าวหน้าที่สุดเป็นตำรับที่มีความเข้มข้นของน้ำมันตะไคร้ปริมาณร้อยละ 5 โดยน้ำหนัก และมีการจดสิทธิบัตรสำหรับสารสกัดตะไคร้ที่เป็นส่วนประกอบในยา อาหาร หรือเครื่องแต่งหน้า โดยกล่าวว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย E. coli ได้
  • ฤทธิ์ต้านทานเชื้อรา สารสกัดด้วยเอทานอล แล้วก็น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ สามารถต่อต้านเชื้อราที่เป็นต้นเหตุของโรคผิวหนัง ดังเช่นว่า ขี้กลาก โรคเกลื้อน ได้  โดยน้ำมันตะไคร้ที่มีสาร citral และ myrcene เป็นส่วนประกอบหลักจะมีฤทธ์ยั้งเชื้อราดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น แล้วก็เมื่อนำน้ำมันตะไคร้ไปพัฒนาเป็นครีมต้านทานเชื้อราพบว่าที่ความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 2.5 และก็ 3.0 จะให้ผลต้านเชื้อราเจริญที่สุดและก็เหมาะสมที่จะปรับปรุงเป็นตำรับยาต่อไป

เมื่อนำน้ำมันหอมระเหย และสารสกัดด้วยเฮกเซน, คลอโรฟอร์ม, เอทานอล และก็น้ำ มาทดลองฤทธิ์ต้านเชื้อรา พบว่าน้ำมันหอมระเหยและก็สารสกัดตะไคร้ด้วยเฮกเซนสามารถต้านเชื้อราได้ทุกประเภท  ส่วนสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์มมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อราได้น้อย ขณะที่สารสกัดด้วยเอทานอลและก็น้ำไม่มีฤทธิ์ต้านเชื้อรา แล้วก็จากผลการทดสอบยังพบว่าสารประกอบหลักในน้ำมันหอมระเหย และในสารสกัดด้วยเฮกเซนที่มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อราเจริญหมายถึงสาร citral
                 มีการจดสิทธิบัตรสินค้าตะไคร้ในรูปของ emulsion แล้วก็ nanocapsule ที่ประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ ใช้สำหรับรักษาโรคผิวหนังที่เกิดขึ้นมาจากเชื้อรา E.  floccosum, Microsporum canis และก็  T.  rubrum โดยไปยั้งการเติบโตหรือฆ่าเซลล์ของเชื้อราดังกล่าว

  • ฤทธิ์ต่อต้านยีสต์ สารสกัดด้วยเอทานอล และน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้สามารถต้านยีสต์ Candida albicans ได้
  • ฤทธิ์แก้ปวด พบว่าน้ำมันหอมระเหยสามารถบรรเทาอาการปวดได้เมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องหนูเม้าส์ที่ถูกรั้งนำให้เกิดความเจ็บด้วยความร้อน  หรือถ้าเกิดป้อนน้ำมันหอมระเหยในขนาดเหมือนเดิมทางปากจะสามารถบรรเทาอาการปวดได้เมื่อเทียบกับยา meperidine

ชาชงตะไคร้ เมื่อป้อนให้หนูเม้าส์กินตรงเวลา 30 นาที ก่อนจะรั้งนำหนูให้ปวดอุ้งเท้าด้วยสารคาราจีแนน 100 ไมโครกรัม/อุ้งเท้า  หรือด้วยสาร prostaglandin E2  รวมทั้ง dibutyryl cyclic AMP พบว่าสามารถยับยั้งลักษณะของการปวดจากการที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยสารคาราจีแนน รวมทั้ง prostaglandin E2 ได้  แม้กระนั้นไม่ได้เรื่องถ้ารั้งนำให้ปวดด้วย dibutyryl cyclic AMP  นอกเหนือจากนั้นน้ำมันหอมระเหยตะไคร้  รวมทั้งสาร myrcene เมื่อป้อนให้หนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้กำเนิดอาการปวดด้วย prostaglandin E2  พบว่าสามารถยั้งลักษณะของการปวดได้

  • ฤทธิ์ลดไข้ เมื่อให้สารสกัดน้ำร้อนจากใบของตะไคร้ ทางสายยางแก่หนูขาวในขนาด 20 มล./กิโลกรัม ไม่มีฤทธิ์ลดอุณหภูมิของหนูขาว แต่เมื่อฉีดเข้าช่องท้องหนูขาวในขนาด 40.0 มิลลิลิตร/กก. พบว่าลดอุณหภูมิของหนูขาวได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง (p< 0.05) (2) เมื่อให้สารสกัดน้ำร้อนจากใบของตะไคร้ ทางสายยางแก่หนูขาวในขนาด 20-40 มล./กก. ทุกวันตรงเวลา 8 สัปดาห์ พบว่าไม่มีฤทธิ์ลดอุณหภูมิกายของหนูขาว
  • ฤทธิ์ขับน้ำดี ตะไคร้มีสารช่วยสำหรับการขับน้ำดีมาช่วยสำหรับการย่อยหมายถึงborneol, fenchone รวมทั้ง cineole
  • ฤทธิ์ขับลม ยาชงตะไคร้เมื่อให้กินไม่มีผลขับลม แต่หากให้โดยฉีดทางช่องท้องจะให้ผลดี

เมื่อกรอกน้ำมันหอมระเหยจากใบเข้ากระเพาะ หรือฉีดเข้าช่องท้องหนูถีบจักรเพศผู้ ขนาด 10, 50, 100 มก./กก. พบว่าสามารถทุเลาอาการปวดได้ และเมื่อกรอก    น้ำมันหอมระเหยจากใบ เข้าด้านในกระเพาะหนูขาว ขนาด 20% พบว่ามีฤทธิ์บรรเทาอาการปวดที่เหนี่ยวนำด้วย carageenan หรือ PGE2 แม้กระนั้นไม่ได้เรื่องในหนูที่ทำให้ปวดด้วย dibutyryl cyclic AMP ซึ่งสารออกฤทธิ์เป็นmyrcene (1) นอกนั้นเมื่อกรอกสารสกัดเอทานอล 95% จากใบสด เข้ากระเพาะหนูถีบจักร ขนาด 1 ก./กก. พบว่าไม่สามารถที่จะบรรเทาลักษณะของการปวดได้
การเรียนทางพิษวิทยา หลักฐานความเป็นพิษแล้วก็การทดลองความเป็นพิษ
เมื่อให้น้ำมันหอมระเหยเข้าทางกระเพาะอาหารกระต่าย พบว่ามีค่า LD50 มากกว่า 5 กรัม/กก. ส่วนพิษในหนูขาวไม่กระจ่าง แล้วก็เมื่อป้อนสารสกัดใบด้วยอัลกอฮอล์รวมทั้งน้ำ (1:1) ขนาด 460 มก./กก. เข้ากระเพาะอาหารหนูถีบจักร พบว่าเป็นพิษ แต่ว่าสารสกัดใบด้วยน้ำ ขนาด 20-40 ซีซี/กก. เมื่อให้ทางปากไม่เจอพิษ และไม่เป็นพิษต่อตัวอ่อน และไม่มีผลต่อน้ำหนักตัวของหนูขาว มีผู้เรียนรู้พิษของน้ำมันหอมระเหย พบว่าอัตราส่วน LD50/TD พอๆกับ 6.9 การป้อนยาชงตะไคร้ให้หนูขาวในขนาด 20 เท่าของขนาดที่ใช้ในคนตรงเวลา 2 เดือน ไม่เจอความเป็นพิษ
          การศึกษาเล่าเรียนพิษกระทันหันของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ขนาด 1,500 ppm ตรงเวลา 60 วัน พบว่าหนูขาวกรุ๊ปที่ได้ตะไคร้ โตเร็วกว่ากลุ่มควบคุม แต่ว่าค่าเคมีเลือดไม่เปลี่ยนแปลง
สารสกัดตะไคร้ด้วยเอทานอล (80%) ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ใน Staphylococcus typhimurium TA98 และ TA100 มีผู้ทดลองฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ใน mammalian cells ของ b-myrcene ซึ่งเป็นสารสำคัญในตะไคร้ พบว่าไม่เจอฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ มีผู้ทดลองใช้ตะไคร้แห้ง ขนาด 400 มคกรัม/จานเพาะเชื้อ มาทดลองกับ S. typhimurium TA98 รวมทั้งเมื่อนำน้ำต้มใบตะไคร้กับเนื้อ (วัว ไก่ หมู) ขนาด 4, 8 และก็ 16 มิลลิกรัม/จานเพาะเชื้อ ทดสอบกับ S. typhimurium TA98 รวมทั้ง TA100 ไม่พบฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ รวมทั้งสารสกัดด้วยน้ำขนาด 0.5 ซีซี/จานเพาะเชื้อ ไม่เป็นผลก่อกลายพันธุ์ใน Bacillus subtilis H-17 (Rec+) และ M-45 (Rec-) ตะไคร้สดในขนาด 1.23 มก./ซีซี ไม่มีพิษต่อยีน (16) และ b-myrcene ซึ่งเป็นสารสำคัญก็ไม่เจอพิษเช่นกัน
สาร citral ซึ่งเป็นสารที่ได้จากน้ำมันหอมระเหยจากใบ เป็นพิษต่อเซลล์ P388 mouse leukemia และก็น้ำมันหอมระเหย เป็นพิษต่อเซลล์ P388 leukemia โดยมีค่า IC50 5.7 มคก./มิลลิลิตร แต่เมื่อผสมน้ำมันหอมระเหยตะไคร้กับโหระพาช้าง (1:1 vol./vol.) มีค่า IC50 10.2 มคกรัม/มล. ส่วนสกัด (partial purified fraction) ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ PS (murine lymphocytic leukemia P388),FA   ( murine ascites mammary carcinoma FM3A ) แต่สารสกัดหยาบแสดงฤทธิ์อย่างอ่อนต่อเซลล์ FA สารสกัดใบด้วยเมทานอล ในขนาด 50 มคก./ มล. ออกฤทธิ์ไม่แน่นอนต่อเซลล์ของมะเร็ง CA-9KB แม้กระนั้นในขนาด 20 มคกรัม/ มิลลิลิตร ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ RAJI
มีผู้ทดลองพิษของชาที่ตระเตรียมจากตะไคร้พบว่าเมื่อให้อาสาสมัครสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงรับประทานเกิดไคร้ 1 ครั้ง หรือรับประทานวันละครั้งเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ไม่เจอความเคลื่อนไหวทางเคมีในเลือด เม็ดเลือดรวมทั้งปัสสาวะ มีบางรายเพียงแค่นั้นที่มีปริมาณบิลลิรูบิน รวมทั้ง amylase สูงมากขึ้น จึงถือว่าปลอดภัย ส่วนน้ำมันตะไคร้เมื่อผสมในน้ำหอม โดยผสมน้ำมันตะไคร้ปริมาณร้อยละ 0.8 พบว่ามีอาการแพ้ อย่างไรก็ตามการแพ้นี้อาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะสารอื่นได้ รวมทั้งมีรายงานความเป็นพิษต่อถุงลมปอดเมื่อสูดกลิ่นน้ำมันตะไคร้
ข้อแนะนำ / สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวัง

  • การบริโภคตะไคร้หรือการใช้ตะไคร้ทาบนผิวหนังเพื่อจุดประสงค์ทางการรักษาโรค อาจจะไม่มีอันตรายถ้าหากใช้ตะไคร้ในช่วงสั้นๆภายใต้การดูแลและก็ข้อแนะนำจากแพทย์
  • การสูดดมสารที่มีส่วนประกอบของตะไคร้ อาจส่งผลให้เป็นผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายและเป็นพิษต่อสถาพทางร่างกายได้ในคนไข้บางราย ดังเช่น ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพปอด
  • ปรึกษาแพทย์ เภสัชกร รวมทั้งเล่าเรียนข้อมูลบนฉลากให้ถี่ถ้วนก่อนใช้สินค้าอะไรก็แล้วแต่ที่มีสารสกัดมาจาตะไคร้[/url]ก่อนเสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดผลข้างเคียงที่อาจทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพหลังการบริโภค
  • ระวังการใช้ตะไคร้และผลิตภัณฑ์จากตะไคร้ในผู้ที่เป็นต้อหิน (glaucoma) เนื่องด้วย citral จะมีผลให้ความดันในดวงตาเพิ่มขึ้น
เอกสารอ้างอิง

  • ตะไคร้.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ฉบับประชาชนทั่วไป.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ตะไคร้แกง.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
  • Puatanachokchai R, Vinitketkumnuen U, Picha P.  Antimutagenic and cytotoxic effects of lemon grass.  The 11th   Asia Pacific Cancer Conference, Bangkok Thailand, 16-19 1993.
  • คุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย.กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข.2544.
  • Carlini EA, Contar JDDP, Silva-Filho AR, Solveira-Filho NG, Frochtengarten ML, Bueno,OFA. Pharmacology of  lemongrass (Cymbopogon citratus Stapf).    Effects of teas prepared from the leaves on laboratory animals.  J  Ethnopharmacol 1986;17(1):37-64.
  • ตะไคร้สรรพคุณประโยชน์กับบทพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์.พบแพทย์ดอทคอม. http://www.disthai.com/[/b]
  • Lemongrass oil West Indian.  Food Cosmet Toxicol 1976;14:457.
  • กาญจนา ขยัน,การอบแห้งตะไคร้ด้วยเทคนิคการให้ความร้อนแบบไดอิเล็กตริกโดยใช้เครื่องอบไมโครเวฟที่ควบคุมอุณหภูมิได้.
  • Vinitketkumnuen U, Puatanachokchai R, Kongtawelert P, Lertprasertsuke N, Matsushima T.  Antimutagenicity of   lemon grass (Cymbopogon citratus Stapf) to various known mutagens in Salmonella mutation assay.  Mutat Res   1994;341(1):71-5.
  • ตะไคร้ใบตะไคร้ประโยชน์และสรรพคุณตะไคร้.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อเกษตรไทย.
  • Souza Formigoni MLO, Lodder HM, Filho OG, Ferreira TMS, Carlini EA. Pharmacology of lemongrass  (Cymbopogon citratus Stapf).    Effects of daily two month administration in male and female rats and in  offspring exposed "in utero". J Ethnopharmacol 1986;17(1):65-74.
  • Parra AL, Yhebra RS, Sardinas IG, Buela LI.  Comparative study of the assay of Artemia salina L. and the  estimate of the medium lethal dose (LD50 value) in mice, to determine oral acute toxicity of plant extracts.   Phytomedicine 2001;8(5):395-400.
  • ตะไคร้.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • Kauderer B, Zamith H, Paumgartten FJ, Speit G. Evaluation of the mutagenicity of b-myrcene in mammalian cells   in vitro.  Environ Mol Mutagen 1991;18(1):28-34.
  • Lorenzetti BB, Souza GEP, Sarti SJ, et al. Myrcene mimics the peripheral analgesic activity of lemongrass tea.  J  Ethnopharmacol 1991;34(1):43-8.   
  • Skramlik EV. Toxicity and toleration of volatile oils.  Pharmazie 1959;14:435-45.
  • Ostraff M, Anitoni K, Nicholson A, Booth GM. Traditional Tongan cures for morning sickness and their   mutagenic/toxicological evaluations.  J Ethnopharmacol 2000;71(1/2):201-19.
  • Wohrl S, Hemmer W, Focke W, Gotz M, Jarisch R. The significance of fragrance mix, balsam of Peru, colophony   and propolis as screening tools in the detection of fragrance allergy.  Br J Dermatol 2001;145(2):268-73.
  • Onbunma S, Kangsadalampai K, Butryee B, Linna T. Mutagenicity of different juices of meat boiled with herbs   treated with nitrite.  Ann Res Abst, Mahidol Univ (Jan 1 – Dec 31, 2001) 2002;29:350.
  • Costa M, Di Stasi LC, Kirizawa M, et al. Screening in mice of some medicinal plants used for analgesic purposes  in the state of Sao Paulo.  J Ethnopharmacol 1989;27(1/2):25-33.
  • Mishra AK, Kishore N, Dubey NK, Chansouria JPN. An evaluation of the toxicity of the oils of Cymbopogon   citratus and Citrus me
90  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / งาดำที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี มีสรรพคุณเเละประโยชน์อันน่าทึ่ง เมื่อ: มิถุนายน 01, 2018, 08:52:55 am
งาดำ
ชื่อสมุนไพร งาดำ
ชื่อสามัญ  Black Sasame seeds Black
ชื่อวิทยาศาสตร์ Sesamum indicum Linn
ตระกูล Pedaliaceae
บ้านเกิด  งามีถิ่นเกิดในทวีปแอฟริกา รอบๆประเทศเอธิโอเปีย แล้วแผ่กระจายไปยังอินเดีย จีน แล้วก็ประเทศต่างๆในแถบเอเชียรวมถึงเมืองไทยด้วย ส่วนในประเทศอินเดียมีการกล่าวว่ามีการปลูกงามาแล้วหลายพันปี ก่อนที่จะพ่อค้าชาวอาหรับ และเมดิเตอร์เรเนียลจะนำงาไปปลูกแถบอาหรับ รวมทั้ง ยุโรป
ยิ่งไปกว่านี้ยังมีผู้พบหลักฐานว่า ชาวบาบิโลนในประเทศโซมาเลียมีการปลูกงามานานกว่า 2,500 ปี ก่อนคริสตกาล รวมทั้งใช้นํ้ามันงาสำหรับทำยา แล้วก็ของกิน ซึ่งมีบันทึกใน Medical Papyrus of Thebes พูดว่า ทหารโรมันได้นำงาไปปลูกภายในประเทศอิตาลีในคริสศตวรรษที่ 1 แต่ว่าปรากฏว่าสภาพอากาศไม่เหมาะสมกับการปลูก รวมทั้งในช่วงปลายศตวรรษที่17 รวมทั้ง18 มีการนำงามาปลูกเอาไว้ในอเมริกาโดยทาสชาวแอฟริกัน
ด้านการใช้คุณประโยชน์จากงาดำนั้นอินเดีย จีน แล้วก็ประเทศอื่นๆในแถบเอเซียจะใช้งาทำเป็นนํ้ามันเพื่อทำอาหาร ส่วนคนยุโรปจะนำงามาทำขนมเค้ก ไวน์ และก็นํ้ามัน รวมถึงใช้สำหรับในการปรุงอาหาร แล้วก็เป็นเครื่องหอม ส่วนชาวแอฟริกันใช้ใบงาทำ พลุ รวมทั้งพอกผิวหนัง และใช้เป็นสารไล่แมลงให้สัตว์เลี้ยงฯลฯ
ลักษณะทั่วไป
งาดำ เป็นพืชล้มลุกที่มีอายุฤดูเดียว มีลำต้นตั้งชัน อาจแตกกิ่งหรือเปล่าแตกกิ่งกิ้งก้าน ลำต้นสูงราวๆ 50-150 เซนติเมตร ลำต้นมีลักษณะสีเหลี่ยม มีร่องตามทางยาว ไม่มีแก่น มีลักษณะอวบน้ำ รวมทั้งมีขนสั้นปกคลุม เปลือกลำต้นบาง มีสีเขียว  ใบงาดำ ออกเป็นใบเดี่ยว เรียงตรงกันข้ามกันเป็นชั้นๆตามความสูง ประกอบด้วยก้านใบสั้น ยาวประมาณ แผ่นใบมีรูปหอก สีเขียวสด กว้างราว 3-6 ซม. ยาวโดยประมาณ 8-16 ซม. โคนใบมนกว้าง ปลายใบแหลม ขอบใบหยักเล็กน้อย มีเส้นกิ้งก้านใบตรงข้ามกันเป็นคู่ๆยาวจรดขอบของใบ ดอกงาดำเป็นดอกโดดเดี่ยวหรือเป็นกรุ๊ปตรงซอกใบ ปริมาณ 1-3 ดอก ดอกย่อยมีก้านดอกสั้น มีกลีบรองดอก ปริมาณ 5 กลีบ ส่วนกลีบดอกมีลักษณะเป็นกรวย ห้วยลงดิน กลีบดอกอ่อนมีสีเขียวอมเหลือง กลีบดอกเมื่อบานมีสีขาว ยาวราว 4-5 เซนติเมตร แบ่งเป็น 2 ส่วนหมายถึงกลีบด้านล่าง รวมทั้งกลีบบน โดยกลีบข้างล่างจะยาวกว่ากลีบบน ภายในดอกมีเกสรตัวผู้ 2 คู่ มี 1 คู่ยาว ส่วนอีกคู่สั้นกว่า ส่วนเกสรตัวเมียมี 1 อัน มีก้านเกสรยาว 1.5-2 เซนติเมตร ปลายก้านเกสรแหว่งเป็น 2-4 แฉก  ผลงาดำเรียกว่า ฝัก มีลักษณะทรงกระบอกยาว ผิวฝักเรียบ ปลายฝักแหลมเป็นติ่ง แล้วก็แบ่งได้ร่องพู 2-4 ร่อง กว้างโดยประมาณ 1 ซม. ยาวโดยประมาณ 2-3 เซนติเมตร ฝักอ่อนมีสีเขียว รวมทั้งมีขนปกคลุม ฝักแก่กลายเป็นสีน้ำตาล แล้วก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำอมเทา แล้วหลังจากนั้น ร่องพูจะปริแตก เพื่อให้เมล็ดหล่นลงดิน  ภายในฝักมีเม็ดขนาดเล็ก สีดำเยอะมากๆ เมล็ดเรียงซ้อนในร่องพู เม็ดมีรูปรี และก็แบน ขนาดเม็ดราว 2-3 มม. เปลือกเมล็ดบางมีสีดำ มีกลิ่นหอม แต่ละฝักมีเม็ดราวๆ 80-100 เมล็ด
การขยายพันธุ์ งาดำแพร่พันธุ์ด้วยการใช้เมล็ด ซึ่งนิยมปลูกด้วยกัน 2 แบบหมายถึงการหว่านเมล็ด และก็โรยเม็ดเป็นแนว แบ่งช่วงปลูกออกเป็น 3 ช่วง เป็น

  • ช่วงต้นหน้าฝน ราวๆพ.ค.-มิถุนายน และเก็บเกี่ยวในช่วงก.ค.-ส.ค.
  • ช่วงปลายฤดูฝน ราวกรกฎาคม-เดือนสิงหาคม และก็เก็บเกี่ยวในช่วงก.ย.-ตุลาคม
  • ระยะหลังการเก็บเกี่ยวข้าว โดยประมาณพ.ย.-เดือนธันวาคม รวมทั้งเก็บเกี่ยวในตอนม.ค.-เดือนกุมภาพันธ์

การเตรียมแปลงปลูก ในพื้นที่ที่มีระบบระเบียบชลประทานเข้าถึง สามารถปลูกงาดำได้ทุกฤดู ส่วนพื้นที่ที่ไม่มีระบบชลประทานมักปลูกไว้ในตอนหลังเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ
พื้นที่แปลงปลูกต้องไถกลบดิน 1 รอบก่อน และก็ตากดินนาน 7-10 วัน แล้ว หว่านด้วยปุ๋ยหมัก โดยประมาณ 1-2 ตัน/ไร่ ก่อนไถกระพรวนดินกลบอีกครั้ง หรือหว่านปุ๋ยมูลสัตว์ตั้งแต่ตอนไถรอบแรก (ใช้สำหรับพื้นที่ไม่เกลื่อนกลาดมาก) เนื่องจากรอบถัดมาจะเป็นการหว่านเม็ดได้เลย ส่วนการปลูกแบบหยอดเม็ด ให้ไถร่องตื้นหรือใช้คราดดึงทำแนวร่องก่อน
การปลูก

  • การปลูกแบบหว่านลงแปลง หลังไถกลบรอบแรกหรือไถลูกพรวนดินในรอบ 2 แล้ว ให้หว่านเมล็ดงาดำ อัตรา 0.5-1 กก./ไร่ ควรจะหว่านเมล็ดให้กระจัดกระจายให้เยอะที่สุด ก่อนไถลูกพรวนหน้าดินตื้นๆกลบ
  • การปลูกแบบหยดเมล็ดเป็นแถว หลังไถชูร่องหรือดึงคราดทำแนวร่องเสร็จ ให้โรยเม็ดตามความยาวของร่อง ให้เม็ดห่างกันอย่างสม่ำเสมอ ใช้เม็ดในอัตราเดียวกับการโปรยเมล็ด ก่อนคราดหรือเกลี่ยหน้าดินกลบ

การดูแลรักษา หลังการโปรยเมล็ด ถ้าเกิดปลูกเอาไว้ในช่วงแล้ง เกษตรมักจัดตั้งระบบให้น้ำ ซึ่งควรให้เสมอๆ 2-3 ครั้ง/อาทิตย์ ส่วนการปลูกภายในฤดูฝน เกษตรมักปล่อยให้งาดำเติบโตโดยอาศัยน้ำฝนจากธรรมชาติ ดังนี้ ถ้าเจอโรคหรือแมลงให้ฉีดพ่นด้วยสารเคมีกำจัด ส่วนการใส่ปุ๋ย ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 ในระยะ 1-1.5 เดือน แรกข้างหลังปลูก และก็บางทีอาจใส่ร่วมกับปุ๋ยหมัก อัตรา 1-2 ตัน/ไร่ ส่วนการกำจัดวัชพืช ให้ลงแปลงถอนวัชพืชด้วยมือบ่อยๆ ทุก 2 ครั้ง/ เดือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 1-1.5 เดือนแรก
การเก็บเกี่ยวผลิตผล งาดำ สามารถเก็บเกี่ยวเมล็ดได้หลังการปลูกโดยประมาณ 70-120 วัน ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ โดยดูจากฝักที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือน้ำตาลอมดำ ส่วนใบจะเริ่มสีเหลือง และบางจำพวกมีการร่วงแล้ว ดังนี้ ต้องเก็บฝักก่อนที่จะเปลือกฝักจะปริแตก ส่วนจำพวกงาดำที่นิยมนำมาปลูกในขณะนี้นั้นมีด้วยกัน 4 จำพวกคือ

  • งาดำ จังหวัดบุรีรัมย์ จัดเป็นจำพวกพื้นบ้าน มีลักษณะเด่นเป็นฝักแบ่งออกเป็น 4 กลีบใหญ่ เม็ดมีขนาดใหญ่ สีเกือบดำสนิท แก่เก็บเกี่ยวปานกลาง ราวๆ 90-100 วัน ให้ผลผลิต โดยประมาณ 60-130 กิโล/ไร่
  • งาดำ จังหวัดนครสวรรค์ จัดเป็นพันธุ์พื้นบ้านที่นิยมมากในเกือบทุกภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคกลาง เหนือ และอีสาน มีลักษณะเด่น คือ ลำต้นออกจะสูง มีการเลื้อย รวมทั้งแตกกิ่งก้านมากมาย ใบมีขนาดใหญ่ มีลักษณะค่อนข้างจะกลม ส่วนเม็ดมีสีดำ เจ้าเนื้อ และขนาดใหญ่ แก่เก็บเกี่ยวปานกลาง ราวๆ 95-100 วัน ให้ผลผลิต 60-130 กิโล/ไร่
  • งาดำ มก.18 เป็นจำพวกงาดำแท้ ที่ปรับปรุงขึ้นโดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในตอนปี 2528-2530 ที่ได้จากการผสมของงาจำพวก col.34 กับงาดำ นครสวรรค์ มีลักษณะเด่นเป็นลำต้นออกจะสูง มีการทอดยอด แม้กระนั้นไม่แตกกิ่ง ลำต้นมีข้อสั้น ทำให้ปริมาณของฝักต่อต้นสูง เม็ดมีสีดำสนิท 1,000 เม็ด มีน้ำหนักราวๆ 3 กรัม แม้ในฤดูฝนจะมีอายุการเก็บเกี่ยวราวๆ 85 วัน ถ้าเกิดปลูกหน้าหนาวหรือฤดูแล้ง แก่การเก็บเกี่ยว ประมาณ 90 วัน ได้ผลผลิต แต่ว่าค่อนข้างสูง ในตอน 60-148 โล/ไร่
  • งาดำ มข.2 เป็นชนิดไม่ไวต่อช่วงแสงที่ปรับปรุงขึ้นโดยมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีชนิดดั้งเดิมเป็นงาดำ จำพวก ซีบี 80 ที่นำเข้ามาจากเมืองจีน มีลักษณะเด่น คือ ลำต้นสูงราวๆ 105-115 เซนติเมตร ลำต้นมีการแตกกิ่ง แต่ว่าแตกน้อย โดยประมาณ 3-4 กิ่ง/ต้น เม็ดสีดำสนิท 1,000 เมล็ด หนักประมาณ 2.77 กรัม มีอายุเก็บเกี่ยวสั้นกว่าประเภทอื่นๆราว 70-75 วัน ให้ผลผลิตปานกลางถึงสูง ราวๆ 80-150 กก./ไร่ เป็นชนิดที่ทนแล้ง รวมทั้งต้านต่อโรค เน่าดำได้ดี
ส่วนประกอบทางเคมี
ในเม็ดมีน้ำมันอยู่ราว 45-55% ประกอบด้วยกรดไขมันได้แก่ oleic acid, linoleic acid, palmitic acid, stearic acid, นอกเหนือจากนี้ยังมี สารกรุ๊ป lignan, ชื่อ Sesamin , sesamol, 
d-sesamin, sesamolin, สารอื่นๆเป็นต้นว่า sitosterol  (สารกันเหม็นหืนคือ sesamol ทำให้น้ำมันงาไม่กลิ่นหืน)
                นอกจากนี้งาดำยังมีคุณค่าทางโภชนาการดังต่อไปนี้
คุณค่าทางโภชนาการของงาดำ (งาดำ 100 กรัม)
น้ำ                           4.2          กรัม
พลังงาน                 603         กิโลแคลอรี่
โปรตีน                    20.6        กรัม
ไขมัน                       48.2        กรัม
คาร์โบไฮเดรต                        21.8        กรัม
ใยอาหาร                                9.9          กรัม
เถ้า                           5.2          กรัม
แคลเซียม                               1228       มก.
เหล็ก                       8.8          มก.
ฟอสฟอรัส                              584         มก.
 
ไทอะมีน                 0.94        มิลลิกรัม
ไรโบฟลาวิน                           0.27        มิลลิกรัม
ไนอะซีน                  3.5          มก.
กรดกลูดามิก                         3.955     กรัม
กรดแอสพาร์ติก                     1.646     กรัม
เมไธโอนีน                              0.586     กรัม
ทรีโอนีน                  0.736     กรัม
ซีสคราวอีน                   0.358     กรัม
ซีรีน                         0.967     กรัม
ฟีนิลอะลานีน                        0.940     กรัม
อะลานีน                 0.927     กรัม
อาร์จินีน                 2.630     กรัม
โปรลีน                    0.810     กรัม
ไกลซีน                    1.215     กรัม
ฮิสทิดีน                   0.522     กรัม
ทริปโตเฟน                             0.388     กรัม
ไทโรซีน                   0.743     กรัม
วาลีน                      0.990     กรัม
ไอโซลิวซีน                              0.763     กรัม
ลิวซีน                      1.358     กรัม
ไลซีน                       0.569     กรัม
ธาตุแคลเซียม                        975         มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก                               14.55     มก.
ธาตุซีลีเนียม                          5.7          มก.
ธาตุโซเดียม                           11           มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส                      629         มิลลิกรัม
ธาตุสังกะสี                            7.75        มิลลิกรัม
ธาตุโพแทสเซียม                   468         มก.
ธาตุแมกนีเซียม                     351         มก.
ธาตุแมงกานีส                       2.460     มก.
ธาตุทองแดง                          4.082     มิลลิกรัม
 
ประโยชน์/คุณประโยชน์ งาดำนิยมประยุกต์ใช้เป็นสัดส่วนผสมของของหวานต่างๆดังเช่น ไอศกรีมงาดำ , คุกกี้งาดำ , เค้กงาดำ , นมงาดำ , กระยาสารท ฯลฯ หรือใช้เป็นส่วนประกอบภัณฑ์เสริมความสวยงามต่างๆอย่างเช่น สบู่ ครีมที่เอาไว้ดูแลผิว ฯลฯ ส่วนคุณประโยชน์ทางยาของงาดำนั้นสามารถช่วยทำนุบำรุงร่างกายเกือบทุกรูปทรง ไม่ว่าจะเป็น ผม ผิวพรรณ กระดูก เล็บ ระบบขับถ่าย การบำรุงหัวใจ จึงเหมาะกับทุกวัย ถึงแม้ว่าจะเด็กที่มีอาการป่วยไข้อยู่แล้ว หรือสตรีที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยทอง งาดำจะจำเป็นมากอย่างยิ่ง เนื่องจากว่าจะช่วยคุ้มครองปกป้องโรคภาวการณ์กระดูกพรุนอย่างสำเร็จ โดยในตำราเรียนยาไทยบอกว่า ใช้น้ำมันระเหยยากที่บีบจากเมล็ด หุงเป็นน้ำมันใส่บาดแผล และก็ผสมเป็นน้ำมันทาถูนวดแก้กลยุทธ์ขัดยอก ฟกช้ำ ปวดบวม ลดการอักเสบ ใส่แผลรักษาอาการผื่นคัน ทำน้ำมันใส่ผม เป็นยาระบายอ่อนๆทาผิวหนังให้นุ่มและก็เปียกชื้น หญิงไทยโบราณใช้ทาเพื่อทำความสะอาดผิว สรรพคุณพื้นเมืองบอกว่า เมล็ด นำมาซึ่งกำลัง ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย แม้กระนั้นทำให้ดีกำเริบเสิบสาน น้ำมัน ทำน้ำมันใส่แผล ใส่แผลเปื่อยยุ่ย มักใช้ผสมยาทาสำหรับกระดูกหัก บำรุงเอ็น ไขข้อ ทานวดแก้เคล็ดยอก ปวดบวม หรือใช้ทาบำรุงรากผม
ตำรับยาสมุนไพรล้านนา: ใช้รักษาโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน น้ำร้อนลวก ไฟเผา
           ตำรับยาน้ำมันที่เจาะจงในตำราพระยารักษาโรคพระนารายณ์: มีรวม 3 ตำรับ ที่ใช้น้ำมันงาเป็นส่วนประกอบ ดังนี้ “น้ำมันทรงแก้พระเส้นผมตก (ผมหล่น)ให้คันให้หงอก” ประกอบด้วยสมุนไพร 19 จำพวก นำมาต้มแล้วกรองกากออก เติมน้ำมันงา แล้วหุงให้เหลือแต่น้ำมันใช้แก้พระเกศเธอ คัน ขาว “น้ำมันแก้ยุ่ยพังทลาย” มีคุณประโยชน์ แก้ขัดค่อยหรือปัสสาวะไม่ออก แก้ปวดขบ แก้หนอง มีรวม 2 ตำรับ แต่ละตำรับ มีสมุนไพร 12 ชนิด และก็น้ำมันงาพอเหมาะ หุงให้เหลือแค่น้ำมัน ยานี้ใช้ ยอนเป่าเข้าไปในลำกล้อง (ฟุตบาทปัสสาวะในองคชาติ)
ส่วนหนังสือเรียนแพทย์แผนปัจจุบันระบุว่าสารออกฤทธิ์ในงาดำมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต่อต้านการอักเสบ ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ต้านทานเซลล์ของมะเร็ง  รักษาอาการไอ จากการเจาะจงความสามารถการดูแลรักษาโรคของเม็ดงาโดยฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ว่าช่วยบรรเทาอาการไอ นับเป็นประโยชน์ข้อเดียวของงาดำแล้วก็งาขาวที่มีข้อมูลเยอะที่สุดในตอนนี้  ลดระดับคอเลสเตอรอล น้ำมันงายอดเยี่ยมในน้ำมันจากพืชที่พูดกันว่าดีต่อร่างกาย โดยมั่นใจว่าอุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งเป็นไขมันชนิดดีที่ช่วยลดจำนวนคอเลสเตอรอลและก็ในน้ำมันงานี้ยังเจอไขมันอิ่มตัวในปริมาณน้อย วัยทอง หญิงที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือนซึ่งเป็นสภาวะของการเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายและจิตใจจากการที่ร่างกายไม่ผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนอีกต่อไป บางทีอาจได้ใช้ประโยชน์จากสารเซซามิน (Sesamin) ในเมล็ดงาที่มั่นใจว่าเมื่อไปสู่ร่างกายจะถูกจุลอินทรีย์ในลำไส้แปรไปเป็นสารสำคัญอย่างเอนเทอโรแลกโตน (Enterolactone) ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์เอสโตรเจนและก็มีองค์ประกอบทางเคมีคล้ายฮอร์โมนเอสโตเจนของเพศหญิงอย่างไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogens) งาเป็นอาหารที่มีแร่มากมายที่สำคัญหมายถึงธาตุเหล็ก ไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส โดยจำนวนแคลเซียมที่พบจะมีมากกว่าผักทั่วไปกว่า 40 เท่า และก็ฟอสฟอรัสมากกว่าผักทั่วไปกว่า 20 เท่า ซึ่งเป็นธาตุที่ปฏิบัติหน้าที่สร้างเสริมกระดูก โดยเฉพาะเด็กเล็ก รวมทั้งสตรีวัยหมดระดู กรดไขมันไลโนเลอิค และก็กรดไขมันชนิดโอเลอิค ช่วยสำหรับเพื่อการลดระดับไขมันจำพวกต่างๆในเส้นเลือด รวมทั้งช่วยป้องกันการเกิดเกล็ดเลือด แล้วก็ลิ่มเลือด  งามีคาร์โบไฮเดรตในปริมาณตํ่า แต่ว่ามีวิตามินบีทุกจำพวกสูงก็เลยนับได้ว่างามีวิตามินบีอยู่แทบทุกประเภท จึงมีคุณประโยชน์ช่วยทำนุบำรุงระบบประสาท บำรุงสมอง ทุเลาอาการเหน็บชา แก้ร่างกายอ่อนแรง แก้ลักษณะของการปวดเมื่อยล้า และแก้การเบื่ออาหาร  งามีปริมาณใยอาหารในปริมาณสูง ปฏิบัติภารกิจสร้างเสริม แล้วก็กระตุ้นการทำงานของไส้ อีกทั้งการย่อย การดูดซึม และการขับถ่าย ช่วยคุ้มครองท้องผูก ยั้ง แล้วก็ซึมซับสารพิษ พร้อมขับออกทางอุจจาระ ทำให้คุ้มครองมะเร็งในไส้ แล้วก็ควบคุมระดับไขมันในเลือด      กรดไลโนเลอิคพบในเมล็ดงาเยอะมากๆ เป็นกรดที่มีบทบาทสำคัญต่อการเติบโต รวมทั้งช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนัง เพราะเหตุว่าทำให้ฝาผนังเซลล์ภายในภายนอกดำเนินการอย่างปกติ
แบบ/ขนาดวิธีใช้ ในปัจจุบันงาดำนั้นส่วนใหญ่จะนิยมเอามาทำเป็นขนมหรือส่วนประกอบของขนมแล้วก็ผลิตภัณฑ์ที่ใช้บริโภคมากกว่าการใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆแต่ก็มีตำรายาไทยแผนโบราณที่ได้เจาะจงจำนวนการใช้เพื่อบรรเทาโรคต่างๆอาทิเช่น

  • รักษาลักษณะของการปวดตามข้อ ใช้งาคั่วรับประทาน 2-3 ช้อนโต๊ะ 2-3 อาทิตย์
  • รักษาอาการเหน็ดเหนื่อย เมื่อตามร่างกาย กินงาคั่ว 2-3 ช้อนโต๊ะ 2-3 อาทิตย์
  • รักษาอาการเหน็บชา คั่วเม็ดงา 1 ลิตร ร่วมกับรำข้าว 1 ลิตร แล้วก็กระเทียมหั่น 1 กำมือ แล้ว ตำบดผสมกัน แล้วก็ผสมน้ำผึ้งหรือน้ำตาลรับประทาน 1 เดือน
  • รักษาอาการคัดจมูก ใช้งาคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับกับข้าวสุกหรือน้ำนมถั่วเหลืองรับประทาน 2-3 วัน
  • รักษาอาการเป็นหวัด รับประทานงาคั่ว วันละ 4 ช้อนโต๊ะ
  • รักษาท้องผูก ใช้งาคั่วผสมกับเกลือกินร่วมกับข้าว
  • รักษาอาการปวดระดู รับประทานงาผง ½ ช้อนชา วันละ 2 ครั้ง
  • ใช้บำรุงสมอง แล้วก็ระบบประสาท ใช้งาคั่วผสมกับมะขามป้อม และก็น้ำผึ้ง กินวันละ 1 ครั้ง
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ลดการอักเสบ      สาร sesamin จากน้ำมันเมล็ดงา เมื่อทำการทดสอบโดยผสมลงในของกินของหนูถีบจักร รวมทั้งป้อนให้หนูที่ถูกรั้งนำให้มีการติดเชื้อโรค แล้วก็การอักเสบที่ลำไส้ใหญ่ ซึ่งหนูที่มีการอักเสบจะมีการหลั่งสาร dienoic, eicosanoids, TNF-a (tumor necrosis factor-a) และก็ cyclooxygenase เพิ่มมากขึ้น จากผลของการทดลอง พบว่าสาร sesamin ในน้ำมันเม็ดงา มีฤทธิ์ลดการอักเสบที่ไส้ของหนูได้ โดยลดการสร้างสารจำพวก Prostaglandin E2 (PGE2), Thromboxane B2 (TXB2) และก็ TNF-a อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (1) เมื่อกระทำทดลองในชายธรรมดา 11 คน โดยฉีดสารที่นำไปสู่การอักเสบ Auromyose ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ของ TNF-a, PGE2 รวมทั้ง leukotriene B4 (LTB4) แล้วให้ชายทั้ง 11 คน กินอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของน้ำมันงา 18 ก./วัน นาน 12 สัปดาห์ แล้วก็กระทำวัดระดับ TNF-a, PGE2  และ LTB4 ในกระแสโลหิตอีกทั้งก่อนรวมทั้งหลังให้อาหารเสริมที่มีส่วนผสมของน้ำมันงา พบว่าระดับของสารที่ส่งผลให้เกิดการอักเสบดังกล่าวมาแล้วก่อนหน้านี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง หมายความว่าน้ำมันงาไม่มีฤทธิ์ลดการอักเสบ (2) 0.5 กรัม ของสารสกัดเมทานอล 100% จากเม็ดงา 100 ก. ไม่มีผลยับยั้ง cyclooxygenase 2 รวมทั้ง nitric oxide ในเซลล์ RAW 264.7 ที่ถูกรั้งนำโดย lipopolysaccharide (3)
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย        สารสกัดอัลกอฮอล์หรืออะซีโตนจากเมล็ดงา ความเข้มข้น 25 มคกรัม/มิลลิลิตร (4) แล้วก็สารสกัดเอทานอล 80% จากใบ ลำต้น ราก และผล ความเข้มข้น 500 มิลลิกรัม/มล. (5) ไม่เป็นผลยั้งเชื้อ Staphylococcus aureus (4, 5) และก็เชื้อ Pseudomonas aeruginosa (5)
การเรียนเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของงาดำและงาขาวที่ช่วยรักษาอาการไอ เป็นการทดลองในเด็กอายุ 2-12 ปี จำนวน 107 คน ที่มีลักษณะอาการไอจากโรคไข้หวัด โดยให้กินน้ำมันงา 5 มิลลิลิตรก่อนนอนติดต่อกัน 3 วัน เพื่อลดความรุนแรงรวมทั้งความถี่ของการไอ คำตอบพบว่าในวันแรกอาการไอของเด็กที่รับประทานน้ำมันงาดียิ่งขึ้นกว่ากรุ๊ปรับประทานยาหลอก แม้กระนั้นอยู่ในระดับไม่มากเท่าไรนัก และเมื่อผ่านไป 3 วัน เด็กอีกทั้ง 2 กรุ๊ปต่างมีลักษณะอาการดีขึ้น และไม่พบว่าการใช้น้ำมันงานำมาซึ่งผลกระทบใดๆก็ตามทำการศึกษาผู้ป่วยที่เจ็บในโรงพยาบาลทั้งสิ้น 150 คน โดยกรุ๊ปหนึ่งให้การรักษาด้วยการใช้การทาน้ำมันงาควบคู่ไปกับการรักษาธรรมดา ส่วนอีกกรุ๊ปให้การรักษาปกติเพียงอย่างเดียว ผลปรากฏว่าน้ำมันงาช่วยลดความร้ายแรงของความเจ็บปวดและนำมาซึ่งการทำให้คนไข้กินยาพาราลดลง
ภาควิชาแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ศึกษาและทำการค้นพบว่าในเม็ดงาดำ มีสารเซซามินอยู่ด้านในซึ่งสารตัวนี้สามารถที่จะช่วยสำหรับเพื่อการยั้งการพัฒนาเซลล์ต้นกำเนิดของเซลล์สลายกระดูก ที่ให้กำเนิดโรคข้อเสื่อม โรคกระดูกพรุน ได้โดยจะเข้าไปทำให้แคลเซียมผสานกับกระดูกมากยิ่งขึ้นยิ่งกว่านั้นยังช่วยในเรื่องของโรคสมอง ไม่ว่าจะเป็นเส้นเลือดตันในสมองเส้นเลือดแตก ที่ทำให้เป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตโดยสารเซซาไม่นจะเข้าไปช่วยปกป้องเซลล์ประสาทที่ยังดีอยู่ และช่วยฟื้นฟูเซลล์ประสาทที่สลายตัวสุดท้ายก็เป็นโรคมะเร็ง ที่นับว่าเป็นโรคที่เกิดมากเป็นอันดับ 1 เดี๋ยวนี้ซึ่งเซลล์ของมะเร็งนั้นจะแพร่ไปอย่างเร็วด้วยเหตุว่ามีเส้นโลหิตใหม่ที่เกิดขึ้นมาแล้วไปสร้างการหลอมเลี้ยงให้กับเซลล์มะเร็งนั้นๆแล้วก็จะแพร่ระบาดไปเรื่อยๆซึ่งสารเซซามิน ก็จะเข้าไปปกป้องรักษาเซลล์พร้อมทั้งตัดวงจรหรือลดเส้นเลือดใหม่ที่เป็นน้ำเลี้ยงให้กับเซลล์ของมะเร็งพร้อมกับค่อยๆฟื้นฟูสภาพเซลล์ให้กลับมา
โดยผลที่เกิดขึ้นจากการวิจัยในห้องแลปที่ได้ร่วมกับนักศึกษาปริญญาโท ได้ทดลองกับไข่ไก่ที่ปกติต่อจากนั้นได้กระทำฉีดเซลล์หรือพิษเข้าไป ก็พบว่าไข่ไก่จะกำเนิดอาการเป็นพิษหรือคล้ายกับการเป็นโรคมะเร็ง แล้วต่อจากนั้นก็ทำการฉีดสารเซซามิน เข้าไปก็พบว่าการบูรณะของเซลล์เริ่มคืนมารวมทั้งได้ทดสอบด้วยการฉีดสารเซซามินเข้าไปในไข่ไก่ปกติ แล้วเมื่อเวลาผ่านไป 6 ชั่วโมงถึงฉีดพิษ หรือเซลล์มะเร็งเข้าไป ก็พบว่ามีการปกป้องรักษาเซลล์ได้มากกว่าไข่ไก่ที่ไม่ถูกฉีดสารเซซามินอปิ้งเห็นได้ชัด
การเรียนรู้ทางพิษวิทยา

  • การทดสอบความเป็นพิษ เมื่อฉีดสารสกัดเมล็ดด้วยเอทานอลรวมทั้งน้ำ (1:1) เข้าทางช่องท้องของหนูถีบจักร พบว่าขนาดที่ทำให้หนูตายเป็นปริมาณครึ่งหนึ่ง (LD50) มีค่าพอๆกับ 500 มก./กิโลกรัม น้ำมันจากเม็ดงาไม่ระบุความเข้มข้น พบว่าเป็นพิษต่อเซลล์เม็ดเลือดแดง แล้วก็เมื่อฉีดน้ำมันจากเมล็ดงาเข้าทางเส้นเลือดดำของกระต่าย พบว่า MIC มีค่าเท่ากับ 0.74 มิลลิลิตร/กก. เมื่อป้อนอาหารที่มีส่วนผสมของข้าวโพด เมล็ดฝ้าย น้ำมันที่ผลิตขึ้นมาจากมะกอก แล้วก็น้ำมันงาให้กับหนูเพศผู้-ภรรยา ในขนาด 0.1, 0.5% ของของกินเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน 105 วัน พบว่าหนูทุกตัวมีการเปลี่ยนของระดับไขมันที่ตับ และในหนูเพศภรรยา เยื่อที่
ต่อม thyroid ชนิด microfollicular จะมีจำนวนเซลล์เพิ่มขึ้นมากผิดปกติ  และในหนูทุกตัวที่ป้อนอาหารที่มีส่วนผสมในขนาด 0.5% ของอาหาร พบว่าน้ำหนักของหัวใจเพิ่มมากขึ้น

  • ทำให้เกิดอาการแพ้ มีรายงานว่าคนรับประทานเมล็ดงา แล้วเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง เช่น ในคนเพศชายพบว่ามีอาการแพ้ด้วยการสูดดม และทำ skin prick tests ผล positive และเมื่อรับประทานเมล็ดงาขนาด 2 มก./วัน พบว่าเกิดอาการผื่นขึ้นคล้ายลมพิษ นอกจากนี้มีรายงานในคนเพศหญิง เมื่อรับประทานเมล็ดงาขนาด 10 ก./คน และสูดดม พบว่าเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง มีอาการหอบ จมูกอักเสบ และมีผื่นขึ้นคล้ายลมพิษ และมีรายงานว่าผู้ที่รับประทานเมล็ดงา  และเกิดอาการแพ้แบบ anaphylactic shock เนื่องจากสารในเมล็ดงาไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันชนิด non-IgE ผู้ป่วยอายุ 46 ปี เกิดอาการแพ้หลังจากการใช้น้ำมันงาในเยื่อหุ้มฟัน ทำให้เกิด anaphylactic shock ด้วยเช่นกัน มีรายงานในผู้ป่วยที่รับประทานอาหารที่มีงาเป็นส่วนผสม และเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง 10 ราย ผู้ป่วยทุกคนทำ skin prick test ต่องา และตรวจ IgE antibodies พบว่าได้ผล positive ทั้ง 2 ชนิด ทุกคน  และพบว่าสารที่ทำให้เกิดการแพ้อย่างรุนแรงในงาคือ 2S albumin
  • พิษต่อระบบสืบพันธุ์ สารสกัดเมล็ดด้วยบิวทานอล เอทานอล (95%) และน้ำ เมื่อป้อนให้กับหนูขาวเพศเมียขนาด 3.05 ก./กก. กรอกเข้าทางกระเพาะอาหาร พบว่าไม่มีผลต้านการฝังตัวของตัวอ่อน สารสกัดเมล็ดด้วยเอทานอล เมื่อป้อนให้กับหนูขาวที่ตั้งครรภ์ขนาด 200 มก./กก. กรอกเข้าทางกระเพาะอาหาร พบว่าไม่มีผลทำให้แท้ง และไม่มีผลต้านการฝังตัวของตัวอ่อน สารสกัดเมล็ดด้วยเอทานอล:น้ำ (1:1) เมื่อป้อนให้กับหนูขาวเพศเมียทางปากขนาด 200 มก./กก.  พบว่าไม่มีพิษต่อตัวอ่อน สารสกัดเมล็ดด้วยเบนซีนและปิโตรเลียมอีเทอร์  เมื่อป้อนให้กับหนูขาวที่ตั้งครรภ์ทางสายยางให้อาหารขนาด 150 มก./กก. พบว่าไม่เป็นพิษต่อตัวอ่อน น้ำมันจากเมล็ดงาเมื่อป้อนให้หนูที่ตั้งครรภ์ทางสายยางสู่กระเพาะอาหาร ในขนาด 4 มล./ตัว  โดยให้ในช่วงสัปดาห์ที่ 6-10 ของการตั้งครรภ์ พบว่าไม่มีผลทำให้เกิดความพิการของตัวอ่อน
  • พิษต่อเซลล์ สารสกัดทั้งต้นด้วยเอทานอล (90%) ขนาด 0.25 มก./มล. พบว่ามีพิษต่อเซลล์เม็ดเลือดขาวในคน (Lymphocytes Human) และสารสกัดเดิมเมื่อทำการทดสอบกับ Cells vero, Cell-CHO (Chinese Hamster Ovary) และเซลล์ Lymphoma Daltons พบว่าขนาดที่มีผลทำให้เกิดพิษต่อเซลล์เป็นจำนวนครึ่งหนึ่ง (ED5
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 44
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย