กระทู้ล่าสุดของ: ndrank

คงไม่ต้องบอกกันแล้วว่า Digital นั้นกลายมามีความสำคัญมากเพียงใดในกาลสมัยที่ผ่านมา และนับวันเส้นคั่นแบ่งระหว่างโลก Digital และ  Traditional นั้นหายไป การที่ต้องมีวัสดุหรือการใช้งาน Digital เข้าเป็นส่วนหนึ่งของแผยการตลาดนั้นไม่ใช่ตัวเลือกอีกต่อไป แต่เป็นเหตุจำเป็นที่ต้องทำเพื่อให้อยู่รอดหรือมีความได้เปรียบทางธุรกิจในปี 2016 นี้ ทั้งนี้จะมารีวิวว่าอุปกรณ์ใดจะมีจุดสำคัญอย่างมากมายในปี 2016 นี้โดย ใช้ความเชี่ยวชาญที่อยู่ในการทำงานด้าน Agency

1. Programmatic Advertising
เราเริ่มเห็นแล้วว่าการตลาดแบบที่ใช้ Demographic นั้นกำลังหมดยุค มีน้อยมากที่ซื้อสื่อโฆษณาOnline Google adwords,SEO โดยใช้ Demogrphaic เป็นตัวตั้งตัน เนื่องมาจาก นักการตลาดหลาย ๆ คนนั้นจะใช้จะขั้นตอนซื้อโฆษณาที่เลือกสรรตามความประพฤติของกลุ่มเป้าหมาย หรือความชอบ/ความสนใจของกลุ่มเป้าหมายแทน  ด้วยเหตุว่าได้กลุ่มคนที่ตรงพึงปรารถนามากกว่าการซื้อโฆษณาออนไลน์แบบ Demogrphic และเพราะความสนใจคนนั้นจะมากมาย การซื้อเพียง webใด webหนึ่งที่กลุ่มเป้าหมายนั้นสนใจอาจจะไม่พอ

Programmatic Advertising กลายมาเป็นคำตอบในการซื้อสื่อโฆษณาOnlineในยุคนี้ ที่สามารถทำให้นักการตลาด Digital ได้กลุ่มเป้าหมายที่ต้องประสงค์  และคนที่ขายพื้นที่สื่อโฆษณาก็สามารถขายโฆษณาได้ราคาที่ยุติธรรม ทั้งนี้ทำให้นักการตลาด Digital นั้นไม่ต้องทำการตลาดแบบหว่านแหอีกต่อไป และเสียเงินเสียทองไปกับกลุ่มคนที่ไม่ได้ต้องการสื่อสารเปล่า ๆ ทำให้ใช้เงินได้มีคุณภาพได้มากที่สุด

2. Viewability
ช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ เริ่มเจอคำถามเรื่อย ๆ เรื่องการ “เห็น” ของสื่อโฆษณาที่ทำไป หรือจำนวนการดูวิดีโอคลิปในโลกOnlineนั้นถูกดูจริง หรือดูไม่จริง ซึ่งความแตกต่างที่จะเกิดขึ้นในโลกออนไลน์อีกต่อไปและจะเป็นวัสดุสำคัญในการทำการตลาดให้ได้ผลจริง ๆ นั้นคือจำนวนการ เห็นจริง ไม่ใช่จำนวนการโหลดโฆษณาอย่าง Impression ที่ผ่านมา

ในรอบปีที่ผ่านมา iab ได้ผลักดันเกณฑ์ Viewability หรือการเห็นของโฆษณาจริงบนหน้าเว็บไซต์หรือแอพต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้นักการตลาดนั้นได้จ่าย เงินกับจำนวนการเห็นที่จริงมากกว่าการจ่ายให้จำนวนการโหลด (ซึ่งอาจจะอยู่ข้างล่างของ Desktop หรือจอที่ยังไม่เลื่อนขึ้นมา) ทั้งนี้วัสดุ นี้กำลังถูกผลักดันเหมือนกันจากwebใหญ่ ๆ อย่าง Google หรือ Facebook ที่ให้แสดงผลสื่อโฆษณาแบบ Viewability และให้ 3rd Party มาวัดด้วย

3. Social Listening & Monitoring

ปีนี้เป็นปีที่เริ่มต้นสำหรับนักการตลาดที่ใช้ Social Listening & Monitoring อย่างมาก และในปีหน้านี้การใช้เครื่องไม้เครื่องมือจะทำให้นักการตลาดเข้า ถึงกลุ่มเป้าหมายหรือรับรู้ความปรารถนาและความเห็นของคนที่ใช้ผลิตภัณฑ์และบริการได้เพิ่มมากขึ้น จัดการอุปสรรคที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วเพิ่มมากขึ้นไปอีก  แถมยังทำให้นักการตลาดนั้นรู้ว่าใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ ใครกันที่ต่อต้านแบรนด์เรา

ทั้งนี้จากปีที่ผ่านมานอกจากเครื่องใช้ไม้สอยที่ใช้กันอิสระจากผู้ให้บริการ Social Listening & Monitoring แล้ว ในฝั่ง Agency เองก็มีการพัฒนาวัสดุอุปกรณ์ พวกนี้เพื่อมาใช้รองรับการทำงานกับผู้ใช้ต่าง ๆ ให้รวดเร็วมากขึ้นและได้ digital insight ที่จะสามารถช่วยเหลือผู้ซื้อตนเองให้ทำการตลาดออนไลน์ได้ตรงเยอะขึ้น ด้วยเครื่องนี้จะทำให้นักการตลาดที่มีเครื่องนี้ไว้ในมือสามารถสร้างความได้เปรียบทางการตลาดมากขึ้น คุยกันที่ตัวเลขที่ ตรงกันเยอะขึ้น และมีมาตรฐานที่เป็นค่าวัดเดียวกันเยอะขึ้นไปอีก



สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
tel : 026420450
website :http://www.netdesignrank.com/

จากการขยายตัวของการบริโภควิดีโอผ่านออนไลน์ และมือถืออย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้คนจากทั่วโลก ปรารถนาเข้าถึงและมีส่วนร่วมกับคอนเทนต์วิดีโอผ่านโทรศัพท์มือถือยิ่งขึ้น รวมถึงสื่อโฆษณาด้วย โดยในความเป็นจริง รายงานล่าสุดได้เสนอเรื่องราวที่น่าสนใจว่าประเทศ อย่างเช่น ไนจีเรีย และ ฟิลิปปินส์  ที่ซึ่งค่อนข้างมีสัญญาณInternetอ่อน มีมูลค่าแพง หรือทั้งสองปัจจัย และมีเพียงต่อโทรศัพท์ขั้นพื้นฐานที่แพร่หลาย ผู้คนเหล่านี้เองที่มีความโอนเอียงเปิด รับโฆษณามากกว่าพื้นที่อื่นๆ

แต่วิดีโอก็ได้สร้างความท้าทายให้กับผู้ลงสื่อโฆษณาSEO, google adwords เป็นพิเศษสำหรับธุรกิจการค้าขนาดเล็กและกิจการค้าที่ต้องการเจาะกลุ่มผู้คนในประเทศที่เกิดใหม่ และประเทศที่มีการขยายตัวสูงทั่วโลก ที่มีการเชื่อมต่อสัญญาณและวัสดุสื่อสารพื้นฐาน ซึ่งมักเป็นวิกฤตให้กับผู้ลงสื่อโฆษณาที่จะนำเสนอ วิดีโอไปยังกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้น การลงเงินที่จำเป็นต้องใช้โปรดักชั่นการถ่ายภาพ หรือตัดต่อวิดีโอนั้น ทำให้เกินงบประมาณสื่อโฆษณาที่ วางไว้มาก

Facebook ได้ทำให้โฆษณาวิดีโอสามารถสร้างเองได้ง่ายขึ้น และรับชมได้ผ่านทุกเครื่องไม้เครื่องมือ ในระดับความเร็วสัญญาณทุกแบบ วันนี้เราได้เปิดตัว ’ สไลด์โชว์’ (Slideshow) โฆษณาวิดีโอแนวทางใหม่ที่มีขนาดเล็ก สร้างขึ้นจากภาพนิ่งหลายๆ ภาพวางเรียงต่อกัน ผู้ลงสื่อโฆษณาสามารถใช้งานสไลด์โชว์ ได้ง่าย และง่ายต่อการเข้าถึงกลุ่มคนที่พวกเขาพึงประสงค์ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
สร้างโฆษณาวิดีโอ ในจำนวนเพียงไม่กี่คลิก

สไลด์โชว์ทำให้ผู้ลงสื่อโฆษณาสามารถสร้างโฆษณาวิดีโอจากภาพนิ่งได้ง่ายขึ้น โดยการอัพโหลดภาพนิ่งจำนวนสามถึงเจ็ดภาพ อาจจะเป็นวิดีโอที่มีอยู่ แล้ว ภาพถ่าย หรือแม้แต่รูปภาพจากคลังภาพของ Facebook และเลือกความยาวของสไลด์โชว์ที่คุณพึงประสงค์ ตั้งแต่ 5 ถึง 15 วินาที



สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
tel : 026420450
website :http://www.ndrankseo.com/product/3/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B3-%E0%B9%82%E0%B8%86%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B2-google-adwords-ppc

การทำ Content Marketing ในการทำ SEO,Google adwords นั้นหลาย ๆ นักการตลาดในแบรนด์และเอเจนซี่โดยมากจะนึกถึงกระบวนการทำwebsite และวัสดุอุปกรณ์ทาง Social Media ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แต่มี ขบวนการหนึ่งที่หลาย ๆ แบรนด์หรือนักการตลาดในสยามจะคิดว่านี่คือรูปแบบ Content Marketing แบบหนึ่ง และยังมีแบรนด์จำนวนน้อยมาก ๆ ที่ทำในไทย นั้นคือ ขบวนการใช้ Blog เพื่อสร้างเรื่องราวให้แบรนด์

ในยุคนี้นักการตลาดหลาย ๆ ท่านนั้นนิยมทำ content marketing กันเป็นเป็นส่วนใหญ่และนับจะเรียกได้ว่าเป็น type ของคำ ๆ นี้ต่อเนื่องจากคำว่า Viral Marketing ทำให้นักการตลาด หลาย ๆ ท่านสนใจในการทำ Content Marketing กันอย่างมากมาย ทั้งผ่าน Social media, Website, Influencer และสื่อ Content อื่น ๆ และโดยส่วนใหญ่จะใช้แนวทางที่กำลังฮิต ในขณะนี้คือการใช้เรื่องราว หรือการเล่าเรื่องต่าง ๆ ซึ่งเรียกว่า Storytelling แต่ในเมืองนอกนั้นกลับมาเทรนด์นึงในการทำ Content Marketing ในแบรนด์ใหญ่ ๆ ที่เป็น  Consumer Brand นั้นคือการเขียน Blog


Blog นั้นมีกำเนิดมาจากในช่วงInternetเริ่มต้นใหม่ๆ  นั้นผู้คนมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปในการใช้งานจากการจดอะไรลงสมุดหรือหนังสือ ก็เปลี่ยนมาเป็นการจดอะไรลงบน โลกOnline สิ่งหนึ่งที่ย้ายการจดจากโลกจริงมาสู่โลกออนไลน์นั้นคือ ไดอารี่ จากไดอารี่นั้นบางรายก็อยากเล่าเรื่องราวและเอาเรื่องราวนั้นมาเผยแพร่ต่อจนทำให้ไดอารี่ออนไลน์ นั้นพัฒนากลายมาเป็น Blog ได้ในที่สุด ซึ่งการเขียน Blog นั้นได้รับความนิยมในกลุ่มคนต่าง ๆ มากมายที่อยากจะจดบันทึกและเผยแพร่แนวคิด หรือประวัติการต่าง ๆ ให้คนได้รับรู้ ซึ่งทำ ให้เรามีข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ และความเห็นมากมายที่เข้าไปอ่านได้ในเวลานี้ ทั้งยังสามารถสร้างอาชีพได้เยอะแยะทำให้กำเนิด Influencer และสร้าง Personal Brand นั้นเกิดขึ้น

ในฝั่งของแบรนด์เองนั้นวิธีการทำ Content Marketing หรือเรื่องราวของแบรนด์เป็นส่วนใหญ่นั้นเกิดขึ้นในwebเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่แบรนด์อยากจะบอกหรือเป็น ภาพลักษณ์ของแบรนด์ และเป็นทางการอย่างมากมาย หรือเปลี่ยนเป็นเนื้อหาของเชิงวิชาการต่าง ๆ แต่จากการที่โลกเปลี่ยนไปและผู้ซื้อเปลี่ยนไปในยุคนี่ ที่พึงปรารถนาเนื้อหาที่ตรง เพิ่มขึ้น อยากรู้อะไรที่เกี่ยวข้องตัวเองเยอะขึ้น และปรารถนาความจริงใจของแบรนด์ ทำให้แบรนด์ต่าง ๆ นั้นต้องมีแนวทางที่ใหม่ในการเชื่อมต่อกับผู้ซื้อยุคใหม่มากขึ้น ประกอบ กับอุตสาหกรรมในขณะนี้ที่ผู้ซื้อต่างความหวังในขบวนการทำงานที่โปร่งใสเพิ่มมากขึ้น หรือรู้เพิ่มมากขึ้นในขั้นตอนทำงานหรือจัดทำของซื้อของขายของแบรนด์ต่าง ๆ ทำให้แบรนด์ นั้นต้องเปลี่ยนแนวทางสื่อสารในการสร้างความโปร่งใสผ่าน Blog ได้ เหมือนกับที่ McDonald’s โดน วิธีการโจมตีจากการจัดหาวัตถุดิบ หรือ KFC ที่โดนเรื่องไก่ GMO ว่าสร้างไก่ที่มี  6 ขา หรือแบรนด์Technologyอื่น ๆ ที่มีตัวปัญหาเรื่องการใช้แรงงานต่างชาติเหมือนแรงงานทาส

ขั้นตอนสร้าง Blog ของแบรนด์จึงได้เริ่มขึ้นนับจากนั้นเพื่อรับสนองผู้ซื้อในเรื่องนี้ ทั้งยังสร้างภาพและการสื่อสารในหนทางของ Consumer Talk ได้เยอะขึ้น ขั้นตอนทำ Blog นั้นสามารถสร้างความเชื่อใจของแบรนด์ และความเชื่อมั่นของแบรนด์ผ่านเนื้อหาที่เข้าถึง Consumer ได้เพิ่มขึ้น จากเนื้อหานี่จะทำให้ Consumer รู้สึกถึงความโปร่งใส  ความจริงใจของแบรนด์และทำให้แบรนด์นั้นรู้สึกใกล้ชิดลูกค้าเยอะขึ้น ซึ่งเนื้อหาใน Blog เองนั้นจะประกอบด้วยเรื่องราวหลาย ๆ เรื่องเพื่อสร้างความน่าดึงดูดใจให้คนเข้ามา ติดตาม แถมยังทำให้เชื่อมกับคนที่มีความโอนเอียงว่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย หรือสามารถส่งต่อข้อมูลที่อยากจะบอกให้กลุ่มคนที่ประสงค์ได้อีกดังเช่น Adobe ที่ทำ Blog เจาะกลุ่ม นักการตลาด หรือ Addidas เอง


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
tel : 026420450
website :http://www.ndrankseo.com/product/3/รับทำ-โฆษณา-google-adwords-ppc

เพราะอะไรการตลาด SEO,Google adwords ผ่าน Influencer นั้นไม่ได้ผล ในคำตอบเรื่องนี้มีหลายที่มา และนี่คือส่วนหนึ่งของมูลเหตุเหล่านั้น ได้แก่ 

    การล้ำเส้นของนักการตลาดระหว่างการทำ Content ของ Influencer นั้น ๆ เมื่อนักการตลาดคิดอยากจะขายสินค้าและบริการ โดยไม่ได้คำนึงถึงความเป็นตัวตนของ  Influencer  ทำให้เกิดการก้าวก่ายในการทำ Content นั้น ๆ ดังเช่น ต้องเชียร์แบรนด์หรือสินค้า หรือห้ามพูดแง่ลบ และการต้องมีของซื้อของขายหรือแบรนด์โชว์อย่างออกนอกหน้า
    การคัดเลือกใช้ Influencer บางท่านที่หิวกระหายในรายได้ ยอมทำทุกอย่างตามที่แบรนด์หรือนักการตลาดพึงประสงค์ ทำให้ตัวตนของ Influencer นั้นถูกกลืนกินด้วยความโอนเอียงต่อแบรนด์นั้นอยากออกหน้าออกตา ทำให้คนนั้นเริ่มหมดความน่าเชื่อถือลง และส่งผลต่อวงการ Influencer โดยรวมเข้าไปอีก
    ความน่าเชื่อถือของ Influencer ที่ใช้ นักการตลาดหลายท่านพลาดตรงที่ไม่สืบสวนภูมิหลังของ Influencer นั้น ๆ ทำให้เมื่อใช้ Influencer คนดังกล่าวแล้ว คนไม่เชื่อถือ และส่งผลลัพธ์มายังแบรนด์ที่ทำให้ไม่น่าเชื่อถือเข้าไปอีก เป็นต้นว่าการใช้ Influencer ที่ไม่เหมาะสมกับสินค้าต่าง ๆ ของตัวเอง โดยเลือกที่ตัวเลขคนติดตามมาอย่างเดียว หรือการ คัดเลือก Influencer โดยไม่ได้ตามข่าวว่าคนนี้เคยมีการกระทำอะไรที่ไม่ดีในอดีตมาหรือเปล่า
    การโปรโมทผลิตภัณฑ์ที่มากมายเกินไป อาทิเช่นในกลุ่ม Net Idol, Celeb, Online Celeb จะเห็นได้ว่าวัน ๆ หนึ่งนั้นพูดหรือโปรโมทผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมาก  ทำให้สินค้า และบริการที่ไปใช้ Influencer กลุ่มนี้ไม่มีความสืบเนื่องหรือรู้สึกว่าคนกลุ่มนี้นั้นใช้ของซื้อของขายหรือได้ใช้บริการแบรนด์นั้นจริง ๆ เพียงแต่ยกมาถือแล้วก็โพสโปรโมท หรือส่งข้อ ความโปรโมทเท่านั้น

แล้วทำอย่างใดจึงจะทำการตลาดผ่าน Influencer นี่ได้ผล และน่าเชื่อถือต่อทั้งแบรนด์และสินค้าของตัวเอง รวมทั้งทำให้ลูกค้ารู้สึกได้ว่าการตลาดที่ทำนั้นไม่ยัดเยียดเป็น โฆษณาอีกวิถีทางหนึ่ง

การทำการตลาดในยุคนี้ต้องเข้าใจผู้ซื้อเพิ่มขึ้น และอย่าคิดว่าผู้ซื้อนั้นไม่รู้ พร้อมทั้งต้องทำการตลาดแบบ Give & Take ไม่ใช่คิดแต่จะเอาอย่างเดียว แต่ต้องคิดว่าผู้ซื้ออยากรู้อะไร และอยากคิดอะไร พร้อมอยากได้จากการตลาดผ่าน Influencer ที่นักการตลาดทำ การทำการตลาดที่ยัดเยียด หรือไม่ได้มีความอินต่อสินค้านั้นไม่ได้ผล อีกต่อไป ด้วยแนวทางที่กล่าวไปก็จะเป็นวิถีทางส่วนหนึ่งที่ช่วยการทำการตลาดในปัจจุบันนี้ได้ผลเพิ่มมากขึ้น


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
tel : 026420450
website :www.netdesignrank.com/ppc.aspx

ว่ากันว่าในปีนี้ แบรนด์ต่างๆ จะทุ่มงบประมาณไปกับการทำตลาดOnlineเยอะขึ้น โดยเฉพาะอีเมล และ Social Media,SEO,google adwords ที่ใช้งบประมาณไม่มาก แต่ให้ข้อสรุปที่น่าพอใจ หนึ่ง สิ่งที่แบรนด์ต้องมีหากต้องการทำตลาดออนไลน์คือ การเตรียมการ ซึ่งจะเป็นขบวนการสำคัญที่จะช่วยให้การทำงานมีศักยภาพมากขึ้น ทั้งนี้ ก่อนจะลงมือใดๆ อย่าลืมหา ข้อมูลให้พร้อมเสียก่อน อาทิเช่น
กลุ่มเป้าหมายอยู่ไหน

หนี่งในปัญหาใหญ่ที่แบรนด์ต่างๆ ต้องเจอคือ โพสอะไรไปก็ไม่ได้รับการตอบสนอง และเข้าไม่ถึงผู้ใช้ คงต้องลองกลับมาคิดดูว่า คุณโพสถูกที่หรือเปล่า Facebook,  Twitter, Instagram, Pinterest, LinkedIn, Snapchat, Vine, Tumblr และ YouTube ทั้งนี้ แบรนด์ก็ไม่จำเป็นต้องมีบัญชีทุกช่องทาง เพราะกลุ่มเป้าหมายก็คงไม่ได้ใช้งานทุกแพ ลตฟอร์ม ยิ่งมีบัญชีหลายแพลตฟอร์มเท่าไร แบรนด์ก็ยิ่งต้องทำคอนเทนต์เพื่อรองรับกับหนทางนั้นๆ เพิ่มขึ้น ทำให้เป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์

จากการสำรวจของ Sendible ระบุว่า ผู้ใช้งาน Pinterest ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง และผู้ใช้ Tumblr ส่วนใหญ่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี นี่เป็นเพียงข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ถ้าประสงค์จะทำ ตลาดOnlineจริงๆ ก็ต้องหาข้อมูล ศึกษาพฤติกรรมลูกค้าอีกมาก ทั้งอายุ เพศ ความชอบ งานอดิเรก ฯลฯ ซึ่งช่วงปัจจุบันข้อมูลเหล่านี้ก็ไม่ได้หายากจนเกินไป เมื่อมีข้อมูล อยู่ในมือแล้ว แบรนด์ควบคุมงบได้ง่ายขึ้นด้วย

กำหนดเป้าหมาย

จริงๆ แล้วคุณสามารถโพสอะไร กี่ครั้งก็ได้บน Social Media แต่ศักยภาพ และ Engagement ก็จะลดลงไปด้วย แทนที่จะโพสแต่เรื่องทั่วๆ ไป ลองสลับมาโพสคอนเทนต์ที่ จะสร้างยอดจำหน่ายได้บ้างดีกว่า

ตัวอย่างเช่น ถ้าเป้าหมายของคุณคือ การเพิ่มยอดขาย หรือระบายสินค้าในสต็อก โดยใช้ Social Media ด้วยการขายแบบ Flash Sale ร่วมกับโปรโมชั่นต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามี การจำกัดเวลา หรือจำนวนสินค้า จะยิ่งดูดดึงความสนใจของผู้ใช้ได้ดี

ตรวจสอบการทำงานเป็นระยะ

คุณจะไม่สามารถวัดความสำเร็จได้เลย ถ้าไม่ได้กำหนดเป้าหมาย หากเจาะลึกลงไปในรายละเอียดปลีกย่อย นอกจากบทสรุปแล้ว ในวิธีการทำงาน ก็ต้องมีการวัดผลระหว่าง การทำงานด้วย หมั่นตรวจสอบความเรียบร้อยว่าเป็นไปตามแผนหรือไม่

ลงทุนกับคอนเทนต์

อย่างที่ทราบกันดีว่า Social Media เป็นอุปกรณ์ที่ให้อิสระทางความคิดอย่างมาก อยากโพสอะไรก็ได้ ภาพ วิดีโอ คำคม บทความ บล็อก ฯลฯ แต่แบรนด์เองก็ต้องเตรียมความ พร้อมเพื่อผลิตคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ เตรียมความพร้อมในที่นี้หมายถึงการลงทุน เวลา และ เงิน

ตัวอย่างเช่น การซื้อภาพจาก Stock Photo หรือการจ้างช่างภาพ รวมถึงการมีทีมโปรดักชั่นเพื่อผลิต TVC หรือวิดีโอสั้นๆ การใส่ใจในรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ ซึ่งจะต้องเสียสละ เวลา และงบที่เหมาะสม เพื่อให้ผลงานออกมามีประสิทธิภาพที่สุด
ร่างสิ่งที่จะพูด

การใช้กลวิธี Social Media เพื่อทำตลาด อันดับแรกคอนเทนต์จะต้องมีความสอดคล้องกับแบรนด์ คุณต้องร่างสิ่งที่จะพูด โดยกำหนดเป็น เวลา และสถานที่ (Social Media ที่ จะโพส) อย่างน้อย 1 เดือน จัดเรียงตามปฏิทิน กรรมวิธีนี้จะช่วยให้คุณมุ่งมั่นกับการทำคอนเทนต์เพิ่มขึ้น


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
tel : 026420450
website :nd rank

ปมปัญหาหนักใจของเด็กจบใหม่หลายท่าน คือการมองหางาน “จบการศึกษามาแล้ว สมัครงานอะไรดี” หรือ “หางานอะไรทำดี” ยังคงเป็นคำถามที่มักถูกถามเป็นประจำ การหางานของน้อง ๆ จบใหม่ เป็นเรื่องที่สร้างความกังวลใจเป็นอย่างสูง อย่างแรกคือ ไม่รู้จะเริ่มต้นหางาน ยังไงดี และเรื่องหนักใจต่อมา คือ เมื่อหางานแล้ว จะได้งานทำเลย หรือเปล่า

          น้อง ๆ จบใหม่จากคณะวิทยาศาสตร์ก็เช่นกัน แม้ว่าจะมีตำแหน่งงานที่รองรับอย่างเด่นชัด แต่การมองหางานที่เหมาะสมกับสิ่งที่ตัวเองเรียนมา เป็นเรื่องที่ยากอยู่พอ สมควร ด้วยเหตุว่าบางคราว ต้องคิดเอาเองว่าเรียนจบมา แล้วจะทำงานอะไร ความรู้ที่มีอยู่สามารถนำมาปรับใช้ได้หรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยสำหรับน้อง ๆ ที่เพิ่งเริ่มหางานเป็นครั้งแรก

          อาชีพหลัก ๆ ของคนที่เรียนจบมาจากคณะวิทยาศาสตร์ นอกจากจะเป็นงานวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย ครู อาจารย์แล้ว ยังขึ้นอยู่สาขาวิชาที่ เรียนมาอีกด้วย ซึ่งมีอยู่หลายหลาก ไม่ว่าจะเป็น สาขาวิชาคณิตศาสตร์ สาขาวิชาสถิติ สาขาวิชาเคมี สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วๆ ไป สาขาTechnology และสารสนเทศ ฯลฯ จะ เห็นได้ว่าคณะวิทยาศาสตร์มีสาขาวิชาค่อนข้างหลายหลาก ขึ้นกับว่าเด็กจบใหม่จากคณะนี้อยากทำงานประเภทไหน ลองมาดูกันค่ะว่า ตำแหน่งงานที่น้อง ๆ นักศึกษาจบ ใหม่ในคณะวิทยาศาสตร์ สามารถทำได้ตามสาขาวิชาที่เรียนมามีอะไรบ้าง

          คณิตศาสตร์: ที่ประกอบการที่เปิดรับมีทั้งภาครัฐและเอกชน ตำแหน่งงานที่เปิดรับ ได้แก่ ครู อาจารย์  นักวิจัย นักวิเคราะห์ข้อมูล  เจ้าหน้าที่วิเคราะห์วางแผนระบบงาน  เจ้า หน้าที่ควบคุมคุณภาพ  นักการธนาคาร  นักคณิตศาสตร์  เจ้าหน้าที่ประกันภัย ฯลฯ

          สถิติ: องค์กรที่เปิดรับมีทั้งภาครัฐและเอกชน ตำแหน่งงานที่เปิดรับ อาทิ นักวิชาการสถิติ นักสถิติ นักสถิติเศรษฐสังคม นักควบคุมคุณภาพกระบวนการผลิต นักการ ประกันภัย นักวิจัยในสาขาต่าง ๆ นักวิเคราะห์แผนและนโยบาย นักวิชาการศึกษา ครูคณิตศาสตร์และสถิติ ฯลฯ

          ฟิสิกส์: ที่ทำงานที่เปิดรับมีทั้งภาครัฐและเอกชน เป็นต้นว่า กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม การไฟฟ้าฝ่ายผลิต  สถาบันวิจัย และห้องวิจัยเอกชน ตำแหน่งงานที่เปิดรับ อย่างเช่น ตำแหน่งงานการตรวจสอบและควบคุมประสิทธิภาพ

          เคมี: หน่วยงานราชการที่เปิดรับ อย่างเช่น กรมทรัพยากรธรณี กรมวิทยาศาสตร์บริการ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองทัพและกองพิสูจน์หลักฐาน เป็นต้น ภาคเอกชน อาทิเช่น  โรงงานปิโตรเคมี  บริษัทน้ำมัน สิ่งทอ  พลาสติก ปูนซีเมนต์ บริษัทเคมีภัณฑ์

          ชีววิทยา: สามารถทำงานเป็นครูอาจารย์ และนักวิจัยในสถาบันภาครัฐ เช่นว่า สวนพฤกษศาสตร์  กรมประมง กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมอนามัย ห้องปฏิบัติการใน โรงพยาบาลต่าง ๆ  องค์การเภสัชกรรม สถาบันวิจัยทางการแพทย์ สถาบันวิจัยทางสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานเอกชน ได้แก่ บริษัทเกี่ยวกับผลผลิตทางการเกษตร สภาพแวดล้อม   เครื่องสำอาง อาหารและยา เป็นต้น

 วิทยาการคอมพิวเตอร์: ตำแหน่งงานสำหรับคนที่เรียนมาทางด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ทำได้ ดังเช่น นักวิทยาการคอมพิวเตอร์ ครูอาจารย์ โปรแกรมเมอร์ นักวิเคราะห์และออก แบบระบบงานสารสนเทศ ผู้ดูแลระบบเครือข่าย ผู้ดูแลระบบฐานข้อมูล ผู้ประสานงานโครงการซอฟต์แวร์ นักพัฒนาweb และนักพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์และภาพเคลื่อน ไหว

          ตำแหน่งงานต่าง ๆ ที่กล่าวมา เป็นตัวอย่างตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัครทั้งในภาครัฐ และเอกชน หวังว่าจะเป็นแนวคิดให้กับน้อง ๆ จบใหม่ที่กำลังหางานด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อย และขอให้น้อง ๆ ได้งานที่ถูกใจในไม่ช้า


ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่
Tel : 0-2711-1685 (จันทร์ – ศุกร์ 8.30 – 17.00 น.)
Website : http://www.jobtopgun.com/

เมื่อโลกมีการปฏิวัติทางเทคโนโลยี และมีอินเทอร์เนตขึ้นมา  จนถึงเป็นโลกที่เราสามารถความเกี่ยวข้องผ่านโลกออนไลน์กันได้อย่างเร็ว ทำให้เรามีหนทางการสื่อสารแบบใหม่ และทำให้นักการตลาดมีวิถีทางใหม่ จนคำว่า Digital Marketing นั้นเกิดขึ้นมา ในห้วงเวลาที่ผ่านมา สิ่งที่เกิดขึ้นคือคำว่า Digital, Digital Agency และ Digital Guru  นั้นเกิดกันมากมาย และโลก Digital ก็แปลงเป็นเหมือนทองคำในโลกของการทำการตลาดทันที

การเป็น Digital ในช่วงเวลา 10-15 ปีที่ผ่านมาทำให้ผู้บริโภค หรือคนที่เข้ามาจับพื้นที่แห่งใหม่ตรงนี้คิดว่าโลก Digital นั้นคือพื้นที่บันดาลสุข การทำ Digital Marketing จะ เป็นกระสุนเงินที่จะทำให้ครองการตลาดได้ แต่ในความจริงแล้วมันเป็นเช่นนั้นจริงไหม ??  เราลองมามองย้อนอดีตกันสักเล็กน้อย โลกของการทำการตลาดและโฆษณาอย่าง google wadords นั้น เริ่มต้นกับโฆษณาที่เป็นสื่อนอกบ้านหรือ OOH ต่อมาจึงพัฒนาเป็นสิ่งพิมพ์ตามด้วยวิทยุและวิทยุโทรทัศน์ แต่ตอนสื่อพวกนี้เกิดขึ้นมา โลกเรานั้นไม่เคยมี Outdoor Agency  ที่ทำการตลาดผ่าน Outdoor โลกเราไม่เคยมี Print Agency ที่ทำงาน Print และโลกเราก็ไม่เคยมี Radio หรือ TV Agency ที่ทำการผ่านสื่อพวกนี้ แล้ว Digital Agency นั้นเกิดมา ได้อย่างไร เมื่อ Digital นั้นมาถึง

โลกของ Digital Agency นั้นเกิดขึ้นในรอบ 10-15 ปีได้ทั้งนี้เพราะ Advertising Agnecy นั้นยังไม่เข้าใจโลก Digital ยังไม่ามารถคิดหรือค้นหาความคิดต่อสื่อใหม่ที่เกิดขึ้นมา และ พฤติกรรมผู้ซื้อที่เปลี่ยนไปอย่างเร็วจากการแค่เป็นผู้รับสาร กลายมาเป็นผู้รับและส่งสารหรือมีความสัมพันธ์กับแบรนด์หรือของซื้อของขายได้  Advertising Agency และกลุ่ม ผู้บริโภคจึงได้หาความช่วยเหลือจากกลุ่มคนที่ปรับพฤติกรรมเข้าสู่สื่อใหม่ได้ก่อนนั้นคือคนที่โตมาพร้อม Digital แล้วกลายเป็น Digital Agency นั้นเอง

เป็นเวลาหลายปีที่ผ่านมา ที่นักการตลาดและนักโฆษณาไม่ว่าจะเป็นนัก seo หรือแม้แต่ google wadords  รวมถึงบรรดา Advertising Agency นั้นพยายามเข้าใจโลก Digital  และที่ผ่านมานั้นเราทำการตลาดที่แยก  Communication กันระหว่างโลกออฟไลน์ กับ โลกOnline ทำให้ Message ที่จะสื่อสารกันนั้นไปกันคนละทิศคนละทาง จาก Big Idea ที่จะเป็น Effective Idea กลายเป็นความคิดนั้น ๆ ต้องสูญเสียศักยภาพไปเนื่องด้วยการที่ Message หรือ Communication ไม่เกี่ยวโยงกันระหว่าง 2 โลก


ยิ่งไปกว่านี้สิ่งที่เกิดขึ้นคือการที่แบรนด์หรือลูกค้านั้นต้องทำการหา Agency ที่เข้ามาทำแยกเป็นส่วน ๆ   ได้แก่ Creative Agency ทำโฆษณา Media Agency ซื้อสื่อ  Digital  Agency ทำOnline หรืออาจจะมี Below the line Agency อื่น ๆ อีก การทำงานของทุกที่รวมกันหนึ่งเคมเปญนั้นลูกค้าหรือแบรนด์หวังว่าเกี่ยวกัน แต่ปรากฏว่าจริง ๆ  แล้วต่างคนต่างทำงาน ต่างคนต่างคิดว่าจะยกประเด็นหรือ Concept อะไรมาพูด ทำให้ไม่เชื่อมโยงกันเลย

จนในที่สุดโลกนักโฆษณาและการตลาด ก็เข้าใจแล้วว่า Digital ก็แค่โอกาสหนึ่งของสื่อที่มีอยู่มากมายนั้นเอง จาก 10-15 ปีที่ผ่านมา จนมาถึงล่าสุดทำให้เรารู้แล้วว่า การ ทำการตลาดและสื่อโฆษณานั้นไม่ใช่แค่ทำทางเลือกใด ลู่ทางหนึ่ง แต่ต้องคิดให้รอบด้านและทำสื่อที่เชื่อมโยงกัน ในเดี๋ยวนี้ Digital นั้นเปลี่ยนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต และไม่ ใช่เรื่องใหม่อย่างที่เคยเป็นมาในสมัยเก่า สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นเรื่องธรรมดาและส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราแล้ว ทำให้เรื่อง Digital นั้นกลายเป็นเรื่องที่ไม่มีใครไม่รู้ หรือ มิใช่เรื่องที่แบรนด์และผู้บริโภคนั้นไม่เข้าใจ ไม่รู้หรือทำเองไม่ได้อีกต่อไป




สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
tel : 026420450
website : www.netdesignrank.co.th

เดี๋ยวนี้พอทำงานเกี่ยวกับขีดๆ เขียนๆ ก็เลยต้องศึกษาเรื่องการอ่านบนจอ smart device ต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้เพราะอยากให้ผู้อ่านได้อ่านง่ายขึ้น ลองผิดลองถูกมาแล้ว เลย สรุปมาได้ 5 ข้อที่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์เอาไว้ที่นี่

1. ใช้รูป และวิดีโออย่างเหมาะสม – การเขียนให้คนบนโทรศัพท์มือถืออ่านนั้นควรจะใส่รูป และวิดีโอด้วย จากการสำรวจ คนที่อ่านบทความบนโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้น ชอบดูรูปมากกว่าอ่านตัวอักขระ ยาวๆ แถมบางเวลาขี้เกียจอ่านเสียอย่างนั้น การใช้วิดีโอก็ช่วยได้นะ

2. ย่อหน้าบ่อยๆ – เราชอบเขียนกันยาวๆ ต้องบอกกับทีมบ่อยๆ ว่า 5 บรรทัดบนหน้า Desktop คือ 10 บรรทัดบน Mobile  การย่อหน้าบ่อยจะทำให้คนอ่านบนโทรศัพท์ได้พัก สายตาพอสมควร และทำให้ประสบการณ์การอ่านดีกว่า

3. ตรวจงานบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ – หลายท่านที่เขียนบทความนั้นมักจะเขียนบน Desktop แต่เรามักจะลืมไปว่าเราเขียนให้คนบนโทรศัพท์อ่าน เพราะฉะนี้ตรวจที่เขียนออกมาบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ดีกว่าตรวจบน  Desktop อย่างรูปที่เห็นข้างบนนี่ถ้าเปิดมามีแค่นี้อย่า publish ดีกว่า น่าจะไม่รอด ตัวอักษรเล็กไปจริงๆ

4. พาดหัวให้พอเหมาะ – พาดหัวเป็นตัวกระตุ้นให้คนคลิกมาอ่านเรื่องของเรา คนบน Social Media จะอ่านไม่อ่านก็อยู่ที่พาดหัวข่าว แต่เราต้องสร้างสมดุลย์ระหว่างความเป็น Click- bait (พาดหัวสักแต่ว่าล่อให้คลิก) กับบทความที่ดีนะ

5. เขียนให้กะทัดรัด แต่ไม่จำเป็นต้องสั้นจนอ่านไม่รู้เรื่อง – บางท่านบอกว่าไหนๆ คนบนโทรศัพท์มือถือก็ไม่อ่านยาวแล้ว เขียนมันสั้นๆ เลยละกัน ไม่ใช่อย่างนั้นนะ อย่างไรก็ดีบทความ แบบ Long form content นั้นก็ยังมีความหมาย ขอให้คิดว่าเขียนให้คนอ่านได้ง่ายๆ ก็พอ ถ้ามันจะยาวก็ต้องยาว ไม่ใช่มันยาวแต่ไปบังคับให้มันสั้น ก็จะไปกันใหญ่

นอกจากเขียนบทความให้น่าอ่านเป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่แล้วยังต้องทำให้รองต่อการทำ SEO,google adwords ด้วย



สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
tel : 026420450
website:http://www.netdesignrank.co.th/

ขณะนี้อะไรๆ ก็เอ่ยถึงเกี่ยวกับ AEC ไปหมด เนื่องมาจากมันเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของคนในแถบนี้ซึ่งก็รวมถึงประเทศไทยด้วย สำหรับในแง่ของโซเชียลเน็ตเวิร์กก็เช่นกัน  การเกิด AEC ก็มีผล และข้อมูลต่างๆ ที่น่าสนใจ ก็ได้จัดทำข้อมูลของแบรนด์ต่างๆ ที่ใช้งาน SEO และ google adwords รวมถึงโซเชียลเน็ตเวิร์ก 4 วิถีทาง ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter, YouTube และ Instagram มา ให้เราได้ดู

การเคลื่อนที่ของทั้งในเมืองไทยและเพื่อนบ้าน
       ปัจจุบันนี้หลายบริษัทให้ความเอาใจใส่กับโซเชียลเน็ตเวิร์กเพิ่มมากขึ้นจนเป็นที่รู้กันอย่าง แพร่หลายว่ามีองค์การ บริษัท แบรนด์ต่างๆเริ่มเปลี่ยนมาใช้ Social Network เป็นวิถีทางหนึ่ง เพื่อการ สื่อสารกับผู้ซื้อ บริษัทต่างๆก็มีความปรารถนาด้านคุณภาพของข้อมูลคือสิ่งที่ผู้ใช้กล่าวถึง ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่จำนวนกดไลค์บนแฟนเพจนั้นๆ ด้วยเหตุนั้นแฟนเพจควรให้ จุดสำคัญด้วยเหตุว่าจะรู้ความประสงค์จนสามารถปรับปรุง เปลี่ยนแปลงเพื่อสนองตอบลูกค้าได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย

       ปัจจุบัน เทรนพฤติกรรมของผู้ซื้อเลือก คัดที่จะเสพ รับรู้และให้ความเอาใจใส่กับการโพสรูปบนโซเชียลเน็ตเวิร์กแฟนเพจส่วนมากก็นำกระบวนการนี้  (เน้นรูปมากกว่าข้อความ) มาใช้ ในการโปรโมทของซื้อของขายและทำให้น่าดึงดูดมากกว่าการโพสแค่ข้อความ ธรรมดาๆ อย่างนั้นคนส่วนมากจึงเลือกคัดที่จะรับรู้และให้ความเอาใจใส่กับข้อความนั้นมากและการสื่อสารทางออนไลน์ก็จะมีศักยภาพเพิ่มขึ้น

และยังมี Influencer (ผู้มีอิทธิพลบนโซเชียลเน็ตเวิร์ก) ที่คนให้ความสนใจบนโซเชียลเน็ตเวิร์กไม่ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะโพสข้อความ แชร์รูป ผู้คนก็จะให้ความสนใจแชร์ ค็อมเม้นต์   กดไลค์มากเป็นพิเศษ จึงส่งผลให้เวลานี้การทำการตลาดแบบออ นไลน์มีความสลักสำคัญเพิ่มขึ้น การรับรู้ข้อมูล ความรู้สึกของลูกค้าที่ได้กล่าวถึงก็จะสามารถ นำมาปรับปรุงสินค้า ให้ดีขึ้นตรงกับความต้องการลูกค้าได้ในคราวหน้า เพราะเช่นนั้นโซเชียลเน็ตเวิร์กจึงเป็นโอกาสที่ทำการตลาด แบบOnlineและอัพเดทข่าวสารได้อย่างรวดเร็วตลอดเวลา


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
tel : 026420450
website:www.netdesignrank.co.th