กระทู้ล่าสุดของ: qq111111

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: [1]
1  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / พญายอเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณ-ประโยชน์ที่น่าทึ่ง เมื่อ: สิงหาคม 30, 2018, 09:53:15 am
[/b]
สมุนไพรพญาย[/size][/b]
ชื่อสมุนไพร พญายอ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau
ชื่อสกุล ACANTHACEAE
ชื่อพ้อง Clinacanthus burmanni  Nees
ชื่ออังกฤษ ไม่มี
ชื่อแคว้นผักมันไก่  ผักลิ้นเขียด  พญาบ้องคำ  พญาข้อดำ พญายอ  โพะโซ่จาง  เสมหะพังพอนตัวเมีย


ลักษณะทางวิชาพฤกษศาสตร์


          ไม้พุ่มรอคอยเลื้อย ลำต้นแล้วก็กิ่งก้านสะอาดวาว สูงได้ถึง 3 เมตร ใบโดดเดี่ยวออกเรียงตรงกันข้าม รูปขอบขนานหรือขอบขนานแกมใบหอก กว้าง 2-3 เซนติเมตร ยาว 7-9 เซนติเมตร โคนใบมน ปลายใบแหลม ก้านใบยาว 0.5 เซนติเมตร ดอกเป็นช่อ ออกเป็นกระจุกที่ปลายยอด กลีบดอกสีส้มแดงเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว ปลายแยกเป็น 2 ปาก ยาว 3-4 ซม. ไม่ติดฝัก


ส่วนที่ใช้เป็นยาและสรรพคุณ


-ส่วนใบ รักษาอาการเนื่องจากว่าแมลงกัดต่อยและก็โรคเริม


สารสำคัญที่ออกฤทธิ์


สารฟลาโวนอยด์ มีฤทธิ์ลดการอักเสบ สารกลุ่ม monoglycosyl diglycerides ดังเช่น 1,2-O-dilinolenoyl-3-O-b-d-glucopyranosyl-sn-glycerol และก็สารกลุ่ม glycoglycerolipids จากใบ  มีฤทธิ์ยั้งเชื้อไวรัสเริม


ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา


ฤทธิ์ลดการอักเสบ
       เมื่อป้อนสารสกัดจากใบด้วยเอ็นบิวทานอลให้หนูแรท  หรือฉีดสารสกัดด้วยน้ำจากใบเข้าช่องท้องของหนูแรท  จะลดการอักเสบของข้อเท้าหนูแรทที่ทำให้บวมด้วยสารคาราจีแนน (carrageenan) ได้   ตำรับยาที่มีพญายอจำนวนร้อยละ 5  ใน cold cream และสารสกัดด้วยเอทานอลจากใบ เมื่อนำมาทาเฉพาะที่ให้หนูแรท จะสามารถลดการอักเสบเรื้อรังได้  แต่เมื่อใช้สารสกัดด้วยนเอ็นบิวทานอลทาที่ผิวหนังจะไม่เป็นผล
ฤทธิ์ลดอาการปวด
                 เมื่อให้หนูเม้าส์กินสารสกัดด้วยเอ็นบิวทานอลจากใบ จะลดความเจ็บของหนูที่ถูกรั้งนำให้ปวดด้วยกรดอะซีติเตียนค  โดยสารสกัดความแรง 90 มก./กิโล จะมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับเฟนนิวบิวทาโซนขนาด 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม (5)  ส่วนสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม (2)  สารสกัดด้วยน้ำ แล้วก็สารสกัดด้วยเอทานอล 50% จากใบ (3) ไม่มีผลลดความเจ็บปวด
[url=http://www.disthai.com/16913677/%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2]
[/b]
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัส
เชื้อไวรัสเริม
       พญายอสารสกัดด้วยเฮกเซน บิวทานอล รวมทั้งเอทิลอะสิเตทจากใบ มีฤทธิ์ต้านไวรัสเชื้อเริม HSV-1  แล้วก็เมื่อนำไปทำเป็นตำรับเจลโดยใช้สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ที่ความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 4 รวมทั้งใช้ carbopol 940 เป็นสารก่อเจล  พบว่า มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสเจริญและไม่เป็นพิษต่อเซลล์  เวลาที่เมื่อใช้สารก่อเจล poloxamer 407 จะเป็นพิษต่อเซลล์
                 จากรายงานการดูแลและรักษาผู้เจ็บป่วยโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ประเภทเป็นซ้ำด้วยยาจากสารสกัดพญายอ เปรียบเทียบกับยา acyclovir  และก็ยาหลอก  โดยให้คนป่วยทายาวันละ 4 ครั้ง ตรงเวลา 6 วัน พบว่าไม่ได้ต่างอะไรในระยะเวลาการตกสะเก็ดของแผลคนป่วยที่ใช้ยาจากสารสกัดใบพญายอและก็ยา acyclovir   โดยแผลจะเป็นสะเก็ดด้านใน 3 วัน รวมทั้งหายสนิทภายใน 7 วัน ซึ่งผิดแผกแตกต่างกับยาหลอกอย่างเป็นจริงเป็นจัง ยาที่สกัดจากใบพญายอไม่ทำให้มีการเกิดการอักเสบ ระคายเคือง ขณะที่ acyclovir ทำให้แสบ   นอกจากนี้มีการใช้ยาที่ทำจากพญายอ ในผู้ป่วยโรคเริม งูสวัด และแผลอักเสบในปาก พบว่าสามารถรักษาแผลรวมทั้งลดการอักเสบได้ดิบได้ดี   
ไวรัส Varicella zoster
                 สารสกัดจากใบพญายอออกฤทธิ์ทำลายเชื้อไวรัส Varicella zoster ที่เป็นสาเหตุโรคงูสวัดแล้วก็อีสุกอีใสได้โดยตรงก่อนที่จะเชื้อไวรัสจะเข้าสู่เซลล์
จากรายงานการดูแลรักษาคนป่วยโรคงูสวัดด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอเปรียบเทียบกับยาหลอก  โดยให้ป้ายยาวันละ 5 ครั้ง ตรงเวลา 7-14 วัน จนกระทั่งแผลจะหาย  พบว่าผู้เจ็บป่วยที่รักษาด้วยสารสกัดจากใบพญายอ แล้วมีแผลตกสะเก็ดภายใน 3 วัน และก็หายข้างใน 7-10 วัน จะมีเยอะแยะกว่ากรุ๊ปที่รักษาด้วยยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ระดับความเจ็บปวดลดลงเร็วกว่ากรุ๊ปยาหลอก และไม่พบผลข้างเคียงอะไรก็ตาม


อาการข้างเคียง


ความเป็นพิษทั่วไปรวมทั้งต่อระบบสืบพันธุ์


การทดลองความเป็นพิษ
เมื่อป้อนสารสกัดด้วยเอ็นบิวทานอลจากใบให้หนูเม้าส์ พบว่ามีพิษน้อย แม้กระนั้นเป็นพิษปานกลางเมื่อฉีดเข้าช่องท้อง  ส่วนสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1.3 กรัม/กก. (หรือเทียบเท่าใบแห้ง 5.44 กรัม/กิโลกรัม) เมื่อป้อนเข้าทางปากหรือฉีดเข้าช่องท้องหนูเม้าส์ ไม่นำมาซึ่งอาการพิษอะไรก็ตาม
การศึกษาเล่าเรียนพิษ
พญายอกึ่งเรื้อรัง พบว่าเมื่อป้อนหนูแรทด้วยสารสกัดเอ็นบิวทานอลจากใบขนาด 270 มิลลิกรัม/กิโล และก็ 540 มก./โล ทุกๆวัน นาน 6 สัปดาห์ พบว่าไม่มีผลต่อการเติบโต แม้กระนั้นน้ำหนักต่อมธัยมัเสียใจลง ขณะที่น้ำหนักตับมากขึ้น ไม่เจอความไม่ปกติต่ออวัยวะอื่น และไม่เจออาการไม่ประสงค์อะไรก็ตาม หนูแรทที่รับประทานสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1 กรัม/กก. วันแล้ววันเล่านาน 90 วัน พบว่าการกินอาหารของกลุ่มที่ได้รับสารสกัดและก็กรุ๊ปควบคุมไม่มีความแตกต่างกัน แต่น้ำหนักของหนูเพศผู้ที่ได้สารสกัดขนาด 1.0 กรัม/โล น้อยกว่า[url=http://www.disthai.com/16913677/%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2]พญายอ[/url]กรุ๊ปควบคุม  เกร็ดเลือดของหนูแรททั้งคู่เพศสูงกว่า และก็ครีอาติเตียนนินต่ำลงมากยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุม  แต่ว่าไม่พบความไม่ดีเหมือนปกติด้านจุลพยาธิวิทยาของอวัยวะภายใน แล้วก็พยาธิภาวะข้างนอกhttp://www.disthai.com/[/b]

Tags : สมุนไพร เสลดพังพอน (พญายอ)
2  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / รู้จัก พญายอ สมุนไพรฆ่าเชื้อไวรัส เมื่อ: สิงหาคม 25, 2018, 02:13:23 pm
[/b]
พญาย[/size][/b]
พญายอเป็นไม้พุ่งแกมเลื้อย เถาและใบมีสีเขียวใบไม้ไม่มีหนาม ใบยาวเรียวปลายแหลม ออกตรงข้ามเป็นคู่ ดอกออกเป็นช่อ อยู่ที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมี 3-6 ดอก กลีบดอกเป็นดอกปลายแยกสีแดงอมส้ม
[url=http://www.disthai.com/16913677/%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2]พญายอ
ขึ้นได้งามในดินที่สมบูรณ์ แสงแดดปานกลาง พบได้ทั่วไปตามป่าในประเทศไทย หรือปลูกกันตามบ้าน ปลูกโดยใช้ลำต้นปักชำ เป็นต้นไม้ที่ปลูกง่าย ตัดกิ่งออกมาซัก 2-3 คืบ ปักขำให้รากออกมาดีแล้วก็ย้ายไปปลูกในแปลง ดูแลรักษาเหมือน พืชไม้ทั่วไป
ใบ เป็นยา ให้เก็บขนาดกลางที่สมบูรณ์ ไม่แก่หรือไม่อ่อนจนเกินไป ใบของพญายอสามารถลดอาการักเสบของหูได้ดี โดยเฉพาะส่วนที่สกัดด้วยสารละลาย “บิวทานอล” วงศ์สถิต ฉั่วกุล และคณะได้ศึกษาพบว่าสารสำคัญตัวหนึ่งเป็น “เฟลโวนนอยต์” ส่วนด้านที่มีการต้านพิษงูยังไม่ชัดเจน แต่ปลอดภัยพอที่จะใช้
ใบพญายอรักษาอาการอักเสบเฉพาะที่ (ปวด, บวม, แดง ร้อนแต่ไม่มีไข้) จากแมลงที่มีพิษกัดต่อย เช่น ตะขาบ แมงป่อง ผึ้ง ต่อ แตน รักษาโดยการเอาใบสดจากพญายอนี้มาสัก 10-15 ใบ (มากน้อยตามบริเวณที่เป็น) ล้างให้สะอาด ใส่ลงในครกตำยา ตำให้ละเอียด เติมแอลกอฮอล์พอชุ่มยา ตั้งทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ หมั่นคนยาทุกวัน กรองน้ำยา ใช้น้ำ และกากทาบบริเวณที่เจ็บปวดบวม หรือที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
ข้อมูลจากงานวิจัยระบุว่า สารสกัดจากใบพญายอ สามารถฆ่าเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส งูสวัด (varicella zoster virus) ทั้งภายในและภายนอกเซลล์ คือ ยับยั้งไวรัสโดยตรง และยับยั้งการเพิ่มจำนสวนของไวรัส
ผู้ป่วยโรคเริมบริเวณอวัยยะสืบพันธุ์ที่ติดเชื้อครั้งแรกและติดเชื้อซ้ำ เมื่อรักษาโดยทาแผลของผู้ป่วยด้วยครีมพญายอ (5%) เปรียบเทียบกับยามาตรฐาน acyclovir พบว่า แผลของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอและ acyclovir จะตกสะเก็ดภายในวันที่ 3 และหายภายในวันที่ 7 แสดงว่าครีมพญายอและครีม acyclovir มีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยโรคเริมบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ให้หายได้เร็วพอกัน แต่ครีมพญายอ ไม่ทำให้เกิดอาการแสบระคายเคือง ในขณะที่ครีมทำให้แสบและราคาแพง
ผู้ป่วยโรคงูสวัด เมื่อรักษาโดยทาแผลด้วยครีมพญายอ (5%) วันละ 5 ครั้งทุกวัน ปรากฎว่าแผลจะตกสะเก็ดภายใน 1-3 วัน และหายภายใน 7-10 วัน พบว่าผู้ป่วยจะหายเร็วกว่าการใช้ยาชนิดอื่น และไม่พบอาการข้างเคียงใดๆ จากการใช้สารสกัดใพญายอ[/url]
เห็นได้ชัดว่า สมุนไพรไทย พญายอ มีสรรพคุณมากมาย อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันอันตรายจากการใช้สมุนไพร คุณผู้อื่นต้องศึกษาให้ละเอียด
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
รากของพญาปล้องทอง ประกอบด้วยสาร Lupeol, B-Sitosterol, Stigmasterol และมีการทดลองพบว่าสารสกัดด้วยสารละลายบิวทานอล (butanol) จากใบของพญาปล้องทอง มีสารประกอบฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) สามารถระงับอาการอักเสบได้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงได้มีการผลิต ครีมพญายอ ขึ้นเพื่อนำมารักษาผู้ป่วยโรคงูสวัดได้ ทำให้แผลตกสะเก็ดหายเร็ว ลดอาการปวดได้ดี และไม่พบผลข้างเคียงใดๆ จากการใช้ครีมพญายอ จึงไม่ทำให้เกิดอาการแสบระคายเคือง มีการนำมาออกจำหน่ายในระดับอุตสาหกรรม
[/b]
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย สูง 1-3 เมตร มีลำต้นและกิ่งก้านสีเขียวเข้ม ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกัน รูปรีแคบขอบขนานกว้าง 1-3 ซม. ยาว 4-12 ซม. ดอกช่อ ออกเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกสีแดงส้ม มีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียยาวโผล่พ้นหลอดออกมา ปลายแยกเป็น 2 ปาก ผลเป็นผลแห้ง ไม่ค่อยออกดอก ส่วนมากขึ้นตามป่า หรือปลูกกันตามบ้าน ดังนั้นการขยายพันธุ์จึงทำได้โดยการปักชำหรือ การแยกเหง้าแขนงไปปลูก
วิธีการปลูก
การปลูกพญายอ ส่วนใหญ่ใช้กิ่งปักชำโดยเลือกกิ่งที่สมบูรณ์ปราศจากโรค ไม่แก่ หรือไม่อ่อนเกินไป ตัดกิ่งพันธุ์ให้มีความยาว 6-8 นิ้ว และมีตาบนกิ่งประมาณ 1-3 ตา ให้มีใบเหลืออยู่ที่ปลายยอด ประมาณ 1/3 ของกิ่ง ทาปูนแดงบริเวณรอยตัดของต้นตอ และกิ่งพันธุ์เพื่อป้องกันเชื้อรา ปักชำลงในถุงที่มีวัสดุปักชำเป็นดินร่วนปนทราย จะช่วยให้อัตราการออกรากของกิ่งชำสูง คุณภาพของรากดี และสะดวกในการขุดย้ายต้นไปปลูก โดยปักชำกิ่งลงในวัสดุปลูกลึกประมาณ 3 นิ้ว เอียง 45 องศา รดน้ำให้ชุ่มและรักษาความชื้นให้เพียงพอ โดยกิ่งชำไม่ควรถูกแสงแดดโดยตรง และควรดูแลความชื้นในอากาศ กิ่งปักชำจะออกรากภายใน 3-4 สัปดาห์ เมื่อกิ่งชำที่มีอายุ 3-4 สัปดาห์ ที่ชำไว้ในแปลงชำหรือในถุงชำ โดยใช้ช้อนขุดหรือเสียมแซะกิ่งชำลงปลูกในหลุมปลูกที่เตรียมไว้ 1 ต้นต่อหลุม กลบดิน และกดดินที่โคนให้แน่น รดน้ำหลังจากปลูกทันที
การเก็บ เก็บใบขนาดกลาง ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป การเก็บเกี่ยวให้ใช้วิธีการตัดต้นเหนือระดับผิวดินประมาณ 10 ซม. หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว ต้นตอเดิมยังงอกแตกแขนงเติบโตได้อีก และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตต่อไปได้
การดูแลรักษา ควรให้น้ำในระยะ 1-2 เดือนแรก ควรรดน้ำทุกวัน ถ้าแดดจัดควรรดน้ำเช้า-เย็น เมื่ออายุ 2 เดือนขึ้นไปแล้วอาจให้น้ำวันเว้นวัน ในฤดูฝนถ้ามีฝนตกอาจจะไม่ต้องให้น้ำ สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินอุดมสมบูรณ์ ชอบดินร่วนปนทรายระบายน้ำดี ไม่ชอบดินลูกรังหรือดินเหนียว ชอบอากาศร้อนชื้น ขึ้นได้ดีทั้งที่มีแดดและที่ร่ม
ลักษณะใบพญาปล้องทอง
ส่วนที่นำมาใช้ ใช้ได้ทั้งใบ และราก
ใบ

  • นำมารักษาอาการอักเสบ ถอนพิษ รักษาแผลร้อนในในปาก เริม งูสวัด ให้ใช้ใบสด 10-20 ใบ นำมาตำผสมกับเหล้าหรือ น้ำมะนาว คั้นเอาน้ำดื่มหรือเอาน้ำทาแผลและเอากากพอกแผล
  • นำมาทาบริเวณที่แมลงสัตว์กัดต่อยเป็นผื่นคัน ให้ใช้ใบสด 5-10 ใบ ตำขยี้ทาบริเวณที่เป็นแผลที่แพ้ จะยุบหายได้ผลดี
  • นำมาแก้แผลน้ำร้อนลวก ให้ใช้ใบตำเคี่ยวกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำมันงา เอากากพอกแผลที่ถูกน้ำร้อนลวกหรือไฟไหม้ แผลจะแห้ง หรือ นำใบมาตำให้ละเอียดผสมกับสุรา มีสรรพคุณดับพิษร้อนได้ดี

รากพญาย[/b]
ปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ ขับระดู แก้ปวดเมื่อยบั้นเอว
[url=http://www.disthai.com/]http://www.disthai.com/
[/b]
3  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ใบบัวบกเป็นสมุนไพรที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีเเละยังมีสรรพคุณที่น่าอัศจรรย์อีกด้ว เมื่อ: สิงหาคม 23, 2018, 09:44:16 am
[/b]
บัวบ[/size][/b]
ใบบัวบกสมุนไพรจีนโบราณที่ได้ยินชื่อกันมานาน นี่เป็น สรรพคุณของใบบัวบกที่ทราบแล้วจะต้องรักเจ้าสมุนไพรนี้มากกว่าเดิม
          เชื่อว่าคนไม่ใช่น้อยก็คงจะเคยทราบกันมานักต่อนักว่าเวลาช้ำในให้ดื่มน้ำใบบัวบก เนื่องจากจะช่วยทำให้หายจากอาการบอบช้ำในเร็วขึ้น แม้กระนั้นหารู้ไม่ว่าในความเป็นจริงแล้วเจ้าสมุนไพรที่มีนามว่าใบ[url=http://www.disthai.com/16913509/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%81]บัวบ[/b] ซึ่งเป็นสมุนไพรจีนที่ประยุกต์ใช้กันตั้งแต่โบราณนั้นก็ยังมีคุณประโยชน์อื่นๆอีกมากมาย อีกทั้งช่วยบำรุงสุขภาพ รักษาโรค หรือแม้แต่ช่วยบำรุงความงดงาม ใคร่รู้กันแล้วใช่ไหมล่ะว่าใบบัวบก สมุนไพรที่เชิญชวนให้รู้สึกเหม็นเขียวจะมีคุณประโยชน์อะไรดีๆอีกบ้าง ถ้าอย่างนั้นลองไปดูที่เราจับมานำเสนอในวันนี้กันเลยดีกว่า บอกได้คำเดียวเลยว่า รู้แล้วต้องลืมกลิ่นเขียวๆพวกนั้นไปเลยแน่นอน

  • ไขปัญหาเส้นโลหิตขอด

          เมื่อหลอดเลือดสูญเสียความยืดหยุ่นก็ทำให้หลอดเลือดดำมีการฉีกขาดและก็ทำให้เลือดไหลออกมาคั่งอยู่บริเวณขา เป็นต้นเหตุที่นำมาซึ่งอาการบวมที่เรียกว่าอาการเส้นโลหิตขอดนั่นเอง โดยมีการศึกษาเล่าเรียนพบว่าการกินใบบัวบก สามารถลดอาการบวมแล้วก็กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น โดยในการค้นคว้านั้นได้ทำการทดสอบกับอาสาสมัครกว่า 90 คน ที่มีอาการของเส้นเลือดขอด รวมทั้งเมื่อกินใบบัวบกเข้าไปแล้วหลังจากนั้นก็พบว่าอาการเส้นเลือดขอดนั้นดียิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับคนที่กินยาหลอก รวมทั้งเมื่อกระทำการอัลตราซาวด์ก็พบว่าผู้ที่รับประทานใบบัวบกมีการรั่วไหลของเส้นเลือดดำลดลงค่ะ

  • สมานแผลแล้วก็รักษาโรคผิวหนังบางประเภท

          หนึ่งในสารสำคัญที่นำมาซึ่งการทำให้ใบบัวบกเปลี่ยนเป็นสมุนไพรที่มากคุณประโยชน์ก็คือสารตรีเตอร์ปินอยด์ (Triterpenoids) ที่มีการเรียนกับสัตว์แล้วพบว่าสามารถช่วยสมานรอยแผลได้ โน่นก็เป็นเพราะว่าสารดังกล่าวมาแล้วข้างต้นจะปฏิบัติหน้าที่สำหรับในการเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระให้กับบาดแผล และช่วยกระตุ้นให้โลหิตไหลเวียนไปยังรอบๆบาดแผลเยอะขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รอยแผลเบาๆหายดียิ่งขึ้นในช่วงเวลาที่ลดลง อีกทั้งสารจากใบบัวบกก็ยังช่วยคุ้มครองป้องกันการเกิดแผลได้อีกด้วย วิธีใช้ก็ไม่จำเป็นที่ต้องนำใบบัวบกมาตำแล้วพอกให้ยาก เพราะว่าปัจจุบันนี้มีแบบที่เป็นครีมผสมสารสกัดไว้ทาโดยยิ่งไปกว่านั้น แค่เพียงเลือกให้เหมาะสมกับจำพวกรอยแผลก็ช่วยได้มากเลยล่ะ

  • ระบายความร้อน

          ความร้อนในร่างกายแม้สูงมากเกินความจำเป็นอาจจะทำให้ร่างกายกำเนิดอาการไข้ ตัวร้อน หิวน้ำ ตลอดจนการอักเสบ ด้วยเหตุดังกล่าวการรับประทานใบบัวบกที่มีฤทธิ์เย็น จึงสามารถช่วยลดความร้อนภายในร่างกายได้ ทั้งยังช่วยขับพิษร้อนออกมาจากร่างกายได้อีกด้วย

  • ขับพิษร้อน และก็ความชื้น

          โรคต่างๆที่เกิดขึ้นจากความร้อนแล้วก็ความชุ่มชื้น เป็นต้นว่า โรคตับเหลือง นิ่วในทางเดินฉี่ หรือโรคบิด สามารถบรรเทาได้ด้วยการรับประทานใบ[url=http://www.disthai.com/16913509/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%81]บัวบก
เนื่องด้วยใบบัวบกนั้นมีฤทธิ์ขมเย็น สามารถช่วยสลายความชื้นภายในร่างกายและก็ขับความร้อนออกมาได้ แต่ว่าก็ควรกินในจำนวนที่เหมาะสม เพราะเหตุว่าถ้าเกิดรับประทานมากๆอาจจะทำให้ร่างกายเย็นจนถึงเกินความจำเป็นรวมทั้งก่อให้เกิดอันตรายได้
คุณประโยชน์ใบบัวบก ผลดีเลอค่า

  • ลดความกระวายกระวน ช่วยทำให้จิตใจสงบ

          สารตรีเตอร์ปินอยด์ (Triterpenoids) ซึ่งเป็นสารที่อยู่ในใบบัวบกนั้น นอกเหนือจากที่จะช่วยสำหรับเพื่อการรักษาแผลและก็รักษาโรคผิวหนังบางประเภทได้และจากนั้นก็ยังมีฤทธิ์สำหรับในการลดความกระวนกระวายแล้วก็ช่วยกระตุ้นกลไกการทำงานของสมอง โดยมีการเล่าเรียนหนึ่งพบว่าผู้ที่รับประทานใบบัวบกมีทิศทางที่จะสะดุ้งกับเสียงดังรบกวนน้อยกว่าผู้ที่รับประทานยาหลอก แม้กระนั้นก็จำต้องใช้ในปริมาณที่สูงมากมาย จึงยังไม่มีการรับรองเด่นชัดว่าควรใช้จำนวนใดก็เลยจะเห็นผลและไม่ส่งผลข้างๆต่อร่างกายตามมาจ้ะ

  • รักษาโรคหนังแข็ง

          เนื่องด้วยใบบัวบก มีฤทธิ์สำหรับการลดการอักเสบต่างๆภายในร่างกาย ก็เลยสามารถใช้ทุเลาลักษณะของคนไข้โรคหนังแข็งได้ โดยมีการศึกษากับหญิง 13 คนที่มีลักษณะอาการของโรคหนังแข็งพบว่า การใช้ใบบัวบกสามารถลดลักษณะของการปวดตามข้อ รวมทั้งลดการเกิดหนังแข็ง และทำให้การเคลื่อนไหวของนิ้วมือเป็นไปในทางที่ดียิ่งขึ้น แม้กระนั้นทั้งนี้ก็ต้องอยู่ในจำนวนที่หมอควบคุมเพียงแค่นั้น

  • ช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับ

          ใครกันแน่ที่ชอบนอนไม่หลับเป็นประจำลองหาใบบัวบกมารับประทานก็ดีแล้วเช่นเดียวกันนะ เพราะใบบัวบกไม่เพียงแค่ช่วยลดความกระวนกระวายใจเท่านั้น แต่ว่าก็ยังช่วยทำให้จิตใจสงบและก็บรรเทาลงได้ ทำให้สามารถนอนได้ง่ายมากยิ่งขึ้น โดยแค่เพียงกินเสมอๆก่อนนอน ก็จะสามารถช่วยให้การนอนได้อย่างน่ามหัศจรรย์เลย
สรรพคุณใบบัวบก คุณประโยชน์เลอค่า

  • ลดความดันโลหิต

        กรมความเจริญแพทย์แผนไทยแล้วก็การแพทย์ลู่ทาง ได้ออกมาเสนอแนะว่าใบบัวบกเป็นเลิศในสมุนไพรที่ช่วยลดความดันโลหิตได้ เพราะเหตุว่าเจ้าใบบัวบกนั้นจะไปทำให้เส้นเลือดดำและก็เส้นเลือดฝอยแข็งแรงขึ้น ทั้งยังยังช่วยลดภาวการณ์ความเคร่งเครียดอันเป็นสาเหตุที่ส่งผลให้เกิดความดันโลหิตสูง ทั้งนี้กรรมวิธีการกินก็ง่ายดายมาก แค่เพียงนำใบบัวบกไปคั้นน้ำแล้วนำมาดื่ม จะนำไปผสมกับน้ำผึ้งสักบางส่วน หรือผสมกับน้ำผลไม้อื่นๆเพื่อลดความเหม็นเขียวก็ทำได้จ้ะ

  • ลดอาการบวม

          อาการบวมช้ำเกิดจากการที่ระบบไหลเวียนเลือดรอบๆดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วปฏิบัติงานเปลี่ยนไปจากปกติทำให้เกิดอาการคั่งของเลือด การกินใบบัวบกไม่ว่าจะเป็นแบบน้ำคั้นดื่ม หรือแบบที่เป็นสารสกัดแคปซูล สามารถช่วยลดอาการบวมช้ำบริเวณรอยแผลได้ รวมถึงยังลดอาการอักเสบที่นำมาซึ่งอาการบวมได้อีกด้วย

  • บำรุงสมอง

          ใบบัวบกเป็นพืชอีกจำพวกที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ก็เลยช่วยคุ้มครองป้องกันสารอนุมูลอิสระเข้าไปทำลายเซลล์สมอง และก็ช่วยคลายความอ่อนแรงของสมอง เพิ่มแนวทางการทำงานของสมองแล้วก็ความจำ แถมยังสามารถลดภาวะซึมเศร้า แล้วก็สามารถช่วยยับยั้งอาการโรคอัลไซเมอร์ที่เกิดขึ้นในสมองได้
สรรพคุณใบบัวบก ประโยชน์เลอค่า

  • รักษาอาการติดโรค

          ใบบัวบกเป็นสมุนไพรอีกหนึ่งประเภทที่ช่วยรักษาโรคหวัดได้อย่างมีคุณภาพ แถมช่วยรักษาอาการติดเชื้อโรคในทางเดินเยี่ยว รวมทั้งอาการติดเชื้อโรคแบคทีเรียและก็เชื้อไวรัสต่างๆได้อีกเยอะแยะ พูดได้ว่าไม่ว่าจะติดเชื้อใดๆก็ตาม ใบบัวบกสามารถช่วยรักษาได้หมด แต่ว่าทั้งนี้ก็ต้องใช้ในจำนวนที่สมควร แล้วก็ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญนะ

  • บรรเทาอาการอ่อนเพลีย

          เว้นเสียแต่รักษาอาการป่วยต่างๆแล้ว ใบบัวบกยังสามารถช่วยฟื้นฟูร่างกายจากความอ่อนแรงได้ และก็หากรับประทานในตอนอากาศร้อนๆด้วยละก็ น้ำใบบัวบกก็สามารถช่วยลดความร้อนภายในร่างกายและก็ดับกระหายได้อย่างดีเยี่ยมเลยเชียวล่ะ
[/b]
สรรพคุณใบบัวบก ผลดีเลอค่า

  • บำรุงผิวพรรณให้อ่อนเยาว์

          ใบบัวบก เป็นอีกหนึ่งในสมุนไพรเพื่อความสวยงามที่อยู่ใกล้ตัวมากๆที่เป็นแบบนี้ก็เพราะใบบัวบกมีสารที่ช่วยส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนและอิลาสตินในร่างกาย ช่วยให้ผิวพรรณนุ่มเปียกชื้น ดูอ่อนเยาว์ ยิ่งกว่านั้นสารต้านอนุมูลอิสระในใบบัวบกก็ยังช่วยยั้งการเกิดริ้วรอยที่วัย ก็เลยไม่น่าแปลกเลยล่ะถ้าหากคุณจะได้มองเห็นชื่อของเจ้าใบบัวบกเป็นหนึ่งในส่วนประกอบของเครื่องประทินโฉมผิว ดังนี้ยังสามารถนำใบบัวบกสดๆมาใช้พอกหน้าได้อีกด้วย โดยมีวิธีดังต่อไปนี้ค่ะ
           - ใบบัวพอกหน้า บำรุงผิวสวยใส ลบรอยตีนกา
วิธีทำ

  • นำใบบัวบกสดมาล้างทำความสะอาด แล้วก็ค่อยนำไปหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
  • นำมาปั่นหรือบดกับน้ำที่สะอาด 1 แก้ว
  • เอามาพอกหน้า หรือนำสำลีชุบน้ำใบบัวบกขึ้นมาทาให้ทั่วบริเวณใบหน้า ทิ้งเอาไว้โดยประมาณ 15 นาที
  • ล้างออกด้วยน้ำเย็น ทำบ่อยเป็นประจำทุกวี่ทุกวันก่อนนอนจะช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย
  • กำจัดเซลลูไลท์

          สาวๆที่ไม่สบายใจกับเซลลูไลท์ที่เป็นศัตรูความงามของคุณผู้หญิงอยู่ ขอบอกใบบัวบกช่วยคุณได้จ้ะ แค่เพียงรับประทานใบัวบก[/url]เสมอๆก็สามารถที่จะช่วยให้เซลล์ไขมันเซลลูไลท์ถูกขับออกมาจากร่างกายได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น รวมถึงช่วยทำให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานเจริญขึ้น แล้วก็ลดการอักเสบอันมีสาเหตุมาจากเซลลูไลท์ได้อีกด้วยล่ะ

  • บำรุงเส้นผมรวมทั้งหนังหัว

          หลายๆคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับผมหล่นก็อาจจะแสวงหาทุกวิธีการเพื่อบำรุงให้เส้นผมและหนังศีรษะแข็งแรงเพื่อจะได้มีผมดกดำ ใบบัวบกก็เป็นอีกสมุนไพรหนึ่งที่มีคุณประโยชน์เด่นในด้านนี้ โดยปัญหาผมตกโดยมากก็มีสาเหตุจากรากผมที่อ่อนแอแล้วก็การไหลเวียนของเลือดบนหนังศีรษะไม่ดี ซึ่งใบบัวบกนี้มีฤทธิ์ในการกระตุ้นการไหลเวียนเลือดบริเวณหนังหัว แล้วก็ยังช่วยบำรุงรักษาให้รากผมแข็งแรง ปกป้องผมร่วงทำให้ผมที่ขึ้นใหม่มีความแข็งแรงและก็ดกดำเงางามได้โดยไม่ต้องพึ่งสารเคมีแต่อย่างใด
          ได้เห็นผลดีดีๆของใบบัวบกกันไปแล้วอย่างงี้ คนใดกันที่ยังส่ายหน้าให้กับกลิ่นเขียวๆของใบบัวบก ก็น่าจะทดลองหันกลับมามองดูเสียใหม่ ถึงอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีกลิ่นแรงไปเสียหน่อย แต่ผลดีที่ได้รับดีแล้วไม่น้อยเลย ถ้าเกิดไม่ทดลองเสียดายห่วยแตกเลยนะ http://www.disthai.com/[/b]
4  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรใบบัวบกมีสรรพคุณที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เมื่อ: สิงหาคม 19, 2018, 02:34:50 am
[/b]
บัวบ[/size][/b]
ใบ[url=http://www.disthai.com/16913509/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%81]บัวบก
เป็นพืชสมุนไพรที่เราต่างรู้จักกันดีในฐานะของผักประจำถิ่น นิยมนำมากินกับน้ำพริกหรือเมนูอาหารต่างๆแบบใหม่ๆรวมทั้งยังนิยมเอามาทำเป็นเครื่องดื่มน้ำใบัวบก[/url]เพื่อดับหิว แก้ช้ำใน และเพื่อช่วยบำรุงรักษาร่างกาย ซึ่งจัดว่าเป็นพืชสมุนไพรที่อยู่ในแถบเอเชียพวกเรานี้เอง ด้วยคุณค่าที่นานัปการ จึงทำให้มันเป็นทั้งยังยารักษาโรคและตัวช่วยเลี้ยงดูสุขภาพ ในตอนนี้เริ่มมีการทำวิจัย สกัดสารสำคัญในใบบัวบกประยุกต์ใช้ในการรักษาในรูปของยาแคปซูล แล้วก็บัวบกผงสำหรับชงดื่มอีกด้วย
รูปแบบของใบบัวบก
บัวบก มีชื่อเรียกด้านวิทยาศาสตร์ว่า Centella asiatica อยู่ในตระกูล Umbelliferae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกันกับผักชี ส่วนชื่อเขตแดนถูกเรียกในชื่อที่นานาประการ ได้แก่ ผักแว่น ผักหนอก และก็กะโต่ ฯลฯ  ลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นพืชล้มลุก มีกอติดอยู่กับพื้นดิน ลำต้นจะเลื้อยแพร่แขนงไปตามพื้นดินในแนวนอน มีอายุยืนยาวได้นานยาวนานหลายปี การแตกรากและใบจะเกิดขึ้นตามข้อ ลักษณะเป็นใบโดดเดี่ยว มีรูปร่างเสมือนไต จะออกเป็นกรุ๊ปตามข้อ ขอบของใบหยัก มีก้านใบยื่นยาวออกมา ดอกเป็นสีม่วงผสมแดง ผลแบน ออกเป็นดอกเดี่ยวหรือช่อขนาดเล็กโดยประมาณ 3-4 ดอก มีเอกลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ในเรื่องของกลิ่น แล้วก็รสที่ขมปนหวาน
คุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากใบบัวบักที่นิยมเอามากิน
พวกเราอาจคุ้นชินว่าบัวบกเป็นพืชสมุนไพรแก้บอบช้ำในเป็นหลัก แม้กระนั้นอันที่จริงแล้วสมุนไพรจำพวกนี้มีสาระสำหรับเพื่อการรักษาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การรักษาโรคลมชัก โรคผิวหนัง ท้องเสีย รักษาโรคในกระเพาะอาหาร ช่วยบำรุงรักษาสมอง และช่วยเพิ่มความจำ เป็นต้น การรับประทานใบบัวบกแบบสดๆจะก่อให้ร่างกายได้สารสำคัญหลายอย่าง ที่พบมากคือ "สารไกลโคไซด์" (Glycosides) ซึ่งจัดว่าเป็นสารที่ผลเข้าไปกีดกันการเกิดสารอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสื่อมถอยสภาพของเซลล์และก็เนื้อเยื่อต่างๆในร่างกาย มีส่วนช่วยรีบการสร้างคอลลาเจนที่ผิว กระดูก รวมทั้งเส้นเอ็น ทำให้แผลสมานตัวเข้าพบกันได้เร็วขึ้นกว่าเดิม
คุณประโยชน์ของใบบัวบก ไม่ว่าจะเป็นการทานเป็นต้นดิบๆหรือเอามาคั้นเป็นน้ำดื่ม ล้วนมีสรรพคุณทางยาที่ไม่ได้ต่างอะไรกัน
เนื่องจากมีฤทธิ์เป็นยาเย็น จะช่วยลดการเกิดอาการร้อนใน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อม ในกลุ่มสตรีที่อยู่ในวัยใกล้หมดระดู คนที่จะต้องใช้สมองสำหรับเพื่อการทำงานมากๆใบบัวบกจะเป็นตัวช่วยเพิ่มความจำเจริญ ช่วยลดความเครียด ลดการอักเสบที่ผิวหนัง อาการฟกช้ำรวมทั้งร่องรอยเปลี่ยนไปจากปกติที่เกิดบนผิวหนัง นอกจากนี้ผู้ที่บริโภคใบบัวบกหลังการผ่าตัด จะช่วยทำให้แผลสมานตัวได้เร็วขึ้น แล้วก็ลดการต่อว่าดเชื้อได้
สรรพคุณของบัวบกกับผลของการวิจัย
งานศึกษาเรียนรู้ได้กล่าวถึงบัวบกเอาไว้ว่า เป็นพืชที่มีสรรพคุณสะดุดตาในด้านการบำรุงสมองเช่นเดียวกันกับแปะก๊วย ช่วยกระตุ้นสมองในการจำสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น แล้วก็ช่วยความเจริญทำความเข้าใจทางสมอง และด้วยลักษณะเด่นพวกนี้ทำให้มันแปลงเป็นพืชที่ถูกจดสิทธิบัตรสารสกัดจากบัวบกที่มีหน้าที่่ช่วยเพิ่มความจำ
จากการทดสอบในลูกหนู พบว่ามีความจำและก็การเรียนที่ดียิ่งขึ้น ส่วนในคน มีการทดลองในเด็กพิเศษ ด้วยการกินบัวบกวันละ 500 มิลลิกรัม ต่อเนื่องกัน 3 เดือน เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม พบว่ามีความรู้และมีความเข้าใจในการเรียนรู้ที่ดีมากยิ่งกว่า ส่วนในผู้สูงวัยให้ทดลองรับประทานสารสกัดบัวบก 750 มิลลิกรัม ต่อเนื่องกัน 2 เดือน พบว่า ทั้งความจำและการเรียนดีขึ้น ทั้งยังช่วยลดอารมณ์แปรปรวน ทำให้คนแก่มีอารมณ์ดีเพิ่มมากขึ้นด้วย ในรายที่เป็นวัยทำงาน ได้กระทำการทดลองกับผู้หญิงอายุประมาณ 33 ปี รับประทานสารสกัดบัวบก 500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง พบว่าช่วยลดความตึงเครียด ความหนักใจ และก็สภาวะเหงาหงอยลงได้
เมื่อเจาะลึกลงไปถึงระดับเซลล์ พบแนวทางการทำงานของสารสกัดบัวบกที่ตรงเข้าออกฤทธิ์กับสมอง ช่วยทำให้การหายใจระดับเซลล์ภายในสมองดำเนินงานได้ดีขึ้น มีสารต้านอนุมลอิสระ ช่วยสร้างสมดุลสารสื่อประสาท แล้วก็ต่อต้านการย่อยสลายของเซลล์สมองได้
การนำใบบัวบกมาใช้บริโภคเพื่อเป็นยา
บัวบ[/b]สามารถนำมาใช้เป็นยาได้นานัปการ ไม่ว่าจะเป็นส่วนของต้นสด เมล็ด หรือใบ ซึ่งได้รับความนิยมนำมาใช้มากที่สุด การเลือกใบบัวบกที่ดี ควรที่จะเลือกใบที่โตสุดกำลังรวมทั้งบริบูรณ์ นำมาใช้ตากแห้งป่นเป็นผงใส่ลงในแคปซูลโดยประมาณ 500 มิลลิกรัม รับประทานเป็นยาบำรุงร่างกาย
นำเอาใบบัวบกสด 1 กำมือ มาคั้นให้ได้น้ำ หรือตำอย่างละเอียดแล้วผสมกับน้ำ 1 แก้ว คนจะกว่าจะเข้ากันแล้วกรองให้เหลือแต่น้ำ ผสมน้ำตาลหรือเกลือก็ได้ตามชอบ ดื่มครั้งละ 1 แก้ว ก่อนรับประทานอาหาร 3 มื้อ ราว 5-7 วัน จะช่วยลดอาการร้อนในและแก้บอบช้ำในได้
ในกรณีที่เป็นคนไข้โรคความดันเลือดสูง ให้สามารถดื่มน้ำใบบัวบกทุกวัน ต่อเนื่องกันราวๆ 7 วัน จะช่วยลดความดันให้อยู่ในระดับธรรมดา
เมล็ดของบัวบกที่มีรสขมรวมทั้งเย็น นิยมประยุกต์ใช้แก้ไข้ ลดลักษณะของการปวดหัว และก็แก้บิด
[url=http://www.disthai.com/16913509/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%81]
[/b]
ข้อควรไตร่ตรองในการใช้ใบบัวบก
ก่อนกินใบบัวบกเพื่อเป็นยา ต้องพิจารณาสุขภาพทางร่างกายของตนเองก่อนว่าฐานรากแล้วมีโรคประจำตัวอะไรที่มีความเสี่ยงหรือไม่ เพราะสารบางชนิดในใบบัวบก จะเข้าไปทำให้อาการของโรคกำเริบเสิบสานมากขึ้นได้
เนื่องจากว่าบัวบกเป็นยาที่มีฤทธิ์เย็น การกินมากจนเกินไปจะทำให้สะสมในร่างกายจนรู้สึกหนาวมากขึ้นได้
เลี่ยงการกินใบบัวบกติดต่อกันวันแล้ววันเล่า หรือกินครั้งละมากๆเมื่อกินติดต่อกันประมาณ 1 อาทิตย์แล้ว ก็ควรหยุดพัก 1 อาทิตย์ แล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยกลับมากินใหม่
สำหรับรับประทานใบบัวบกสดๆติดต่อกันทุกเมื่อเชื่อวัน ควรจะกินในสัดส่วนราวๆวันละ 3-6 ใบ ไม่ควรเกินความจำเป็นกว่านี้
แม้ร่างกายมีลักษณะเมื่อยล้า เวียนหัว ใจสั่น หรือหัวใจเต้นผิดปกติ รู้สึกคันตามผิวหนัง ท้องร่วง หลังจากการกิน ควรหยุดกินในทันทีและก็รีบเข้าพบแพทย์อย่างเร่งด่วน
ในฝูงคนที่จะต้องรับประทานยาแก้แพ้ ยานอนหลับ หรือยากันชัก ไม่สมควรกินใบบัวบก เนื่องด้วยจะยิ่งไปเพิ่มฤทธิ์ให้รู้สึกง่วงซึมมากขึ้น
ใบบัวบกเป็นพืชสมุนไพรไทยที่หาได้ง่ายทั่วไปตามท้องตลาด แพงถูก แต่เยอะมากด้วยคุณประโยชน์ทางยา ที่จะเป็นทางเลือกสำหรับการรักษาโรคต่างๆและก็ใช้สำหรับบำรุงร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ http://www.disthai.com/[/b]

Tags : สมุนไพรบัวบก
5  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / กระเทียมนั้นมีสรรพคุณ-เเละประโยชน์ดีนักหนาอย่างไร เมื่อ: สิงหาคม 14, 2018, 09:50:23 am
[/b]
กระเทีย[/size][/b]
ลักษณะทางด้านกายภาพและก็เคมีที่ดี:
           จำนวนน้ำไม่เกิน 68% w/w  ปริมาณเถ้ารวมไม่เกิน 2.5% w/w  จำนวนเถ้าที่ไม่ละลายในกรดไม่เกิน 1% รวมทั้งปริมาณสารสกัดเฮกเซน แอลกอฮอล์ และก็น้ำ โดยประมาณ 0.52, 0.50 และก็ 15% w/w  ตามลำดับ เภสัชตำรับอังกฤษระบุจำนวนสาร alliin ไม่น้อยกว่า 0.45 % w/w
สรรพคุณ:
           แบบเรียนยาไทยใช้หัว[url=http://www.disthai.com/16488280/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1]กระเทียม
เป็นยาขับลม แก้ลมจุกเสียด แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ธาตุพิการ  ของกินไม่ย่อย ขับเสมหะ ขับเหงื่อ ลดไขมัน รักษาปอด แก้ปอดพิการ  แก้อุจจาระเป็นมูกเลือด  บำรุงธาตุ  กระจัดกระจายโลหิต  ขับเยี่ยว แก้บวมพุพอง  ขับพยาธิ  แก้ตาปลา  แก้ตาแดง ร้องไห้  ตาฟาง รักษาโรคลักปิดลักเปิด  รักษาโรคมะเร็งคุด   รักษาริดสีดวง แก้ไอ  คุมกำเนิด แก้สะอึก  บำบัดรักษาโรคในอก แก้พรรดึก รักษาฟันเป็นรำมะนาด  แก้หูอื้อ แก้อัมพาต  ลมเข้าข้อ  แก้อาการชักกระตุกของเด็ก พอกหัวเหน่าแก้ขัดเบา รักษาวัณโรค  แก้โรคประสาท แก้หืด แก้ปวดมวนในท้อง บำรุงสุขภาพทางกามคุณ  ขับโลหิตเมนส์  บำรุงเส้นประสาท   แก้ไข้   แก้บวมช้ำ แก้ปวดกระบอกตา แก้โรคในปาก แก้หวัดคัดจมูก   แก้ไข้เพื่อเสมหะ ทำให้ผมเงางาม  บำรุงเส้นผมให้ดกดำ ใช้ด้านนอก รักษาแผลเรื้อรัง รักษาขี้กลากโรคเกลื้อน แก้โรคผิวหนัง  ทาภายนอกบรรเทาอาการปวดบวมตามข้อด้วยเหตุว่าเป็นยาพอกให้ร้อน ใช้พอกตรงที่ถูกแมลง ตะขาบ แมงป่องต่อยเป็นส่วนประกอบในตำรับยาเหลืองปิดสมุทร (แก้ท้องเดิน), ยาประสะไพล (ขับน้ำคาวปลา ในสตรีหลังคลอด), ยาธาตุบรรจบ (แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ  ท้องเสีย ใช้กระเทียม 3 กลีบ ตีชงน้ำร้อน ใช้เป็นน้ำกระสายยา สำหรับยาผง)
         บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์วิชาความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศคณะกรรมการปรับปรุงระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ กำหนดการใช้กระเทียมในตำรับ “ยาแก้ลมอัมพฤกษ์” มีส่วนประกอบของหัวกระเทียมร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆในตำรับ มีคุณประโยชน์บรรเทาอาการปวดตามเอ็น กล้าม มือ เท้า ตึงหรือชา ตำรับ "ยาประสะไพล" มีส่วนประกอบของหัวกระเทียมร่วมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณรักษาระดูมาไม่สม่ำเสมอหรือมาน้อยกว่าปกติ บรรเทาลักษณะของการปวดประจำเดือน  แล้วก็ขับน้ำคาวปลาในหญิงข้างหลังคลอดบุตร
แบบอย่างรวมทั้งขนาดวิธีใช้ยา:
กระเทียมสด 2-5 กรัมต่อวัน กระเทียมแห้ง 0.4-1.2 กรัมต่อวัน น้ำมันกระเทียม 2-5 มิลลิกรัมต่อวัน สารสกัด 300-1,000 มก.ต่อวัน หรือรูปแบบยาอื่นๆที่มีสาร alliin 4-12 มก.หรือสาร allicin 2-5 มก.
ขนาดรวมทั้งวิธีการใช้สำหรับอาการท้องอืดท้องอืดแน่นจุกเสียด:
ใช้กระเทียม  5-10  กลีบ ซอกซอยละเอียด  รับประทานหลังอาหาร หรือพร้อมของกิน
ขนาดและก็วิธีการใช้สำหรับรักษากลากโรคเกลื้อน:
                   ฝานกระเทียมถูเป็นประจำรอบๆที่เป็น  หรือตำแล้วขยี้ทาบริเวณที่เป็น  วันละ 2 ครั้ง ก่อนที่จะป้ายยาใช้ไม้บางๆเล็กๆที่ได้ฆ่าเชื้อโรคแล้ว (โดยการแช่ในแอลกอฮอล์ 70%  หรือต้มในน้ำเดือด 10-15 นาที) ขูดบริเวณที่เป็น ให้ผิวหนังแดงๆก่อนทา เพื่อตัวยาซึมลงไปเจริญขึ้น เมื่อหายแล้วให้ทายาต่ออีก 7-10 วัน
ขนาดแล้วก็วิธีใช้สำหรับแก้ไอ:
                   แบบเรียนยาไทยให้ใช้กระเทียม และขิงสดอย่างละเท่ากันตำละเอียด ละลายน้ำอ้อยสด คั้นเอาน้ำจิบแก้ไอ กัดเสลด ทำให้เสลดแห้ง แบบเรียนยาไทยบางตำรับให้คั้นกระเทียมกับน้ำมะนาวเติมเกลือใช้จิดหรือกวาดคอ
องค์ประกอบทางเคมี:
           น้ำมันหอมระเหย ราว 0.1-0.4% มีส่วนประกอบหลักเป็น allicin  ajoene  alliin  allyldisulfide diallyldisulfide ซึ่งเป็นสารประกอบกรุ๊ปกรุ๊ป organosulfur  สารในกลุ่มนี้ที่เจอในกระเทียมตัวอย่างเช่น  สารกรุ๊ป S-(+)-alkyl-L-cysteine sulfoxides , alliin 1% , methiin 0.2% , isoalliin 0.06% รวมทั้ง cycloalliin 0.1% และสารที่ไม่ระเหยเป็น สารกรุ๊ป gamma-L-glutamyl-S-alkyl-L-cysteines , gamma-glutamyl-S-trans-1-propenylcysteine 0.6% รวมทั้ง gamma-glutamyl-S-allylcysteine รวมราว 82% ของสารกรุ๊ป organosulpur ทั้งสิ้น ส่วนสารกลุ่ม thiosulfinates (allicin) สารกรุ๊ป ajoenes (E-ajoene แล้วก็ Z-ajoene) สารกลุ่ม vinyldithiins (2-vinyl-(4H)-1,3-dithiin , 3-vinyl-(4H)-1,2-dithiin) รวมทั้งสารกรุ๊ป sulfides (diallyl disulfide , diallyl trisulfide) ซึ่งเป็นสารที่มิได้พบในธรรมชาติแต่ว่าเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากการย่อยสลายของสาร allin ซึ่งถูกเสื่อมสภาพด้วยเอนไซม์ alliinase จากนั้นก็เลยเกิดการรวมตัวกันใหม่ได้สาร allicin ซึ่งเป็นสารที่ไม่เสถียร สลายตัวได้สารกลุ่ม sulfides อื่นๆด้วยเหตุนั้นกระเทียมที่ผ่านกรรมวิธีการสกัด การกลั่นน้ำมัน หรือความร้อน สารประกอบส่วนมากที่เจอเป็นสารกลุ่ม diallyl sulfide , diallyl disulfide , diallyl trisulfide และก็ diallyl tetrasulfide ส่วนกระเทียมที่ผ่านกรรมวิธีการหมักในน้ำมัน สารประกอบที่พบจำนวนมากเป็น 2-vinyl-(4H)-1,3-dithiin , 3-vinyl-(4H)1,2-dithiin , E-ajoene และ Z-ajoene จำนวนของ alliin ที่พบในกระเทียมสด โดยประมาณ 0.25-1.15% สารกรุ๊ปอื่นๆที่พบ ได้แก่ สารเมือก และ albumin, scordinins, saponins 0.07% , beta-sitosterol 0.0015%, steroids, triterpenoids รวมทั้ง flavonoids
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา: 
ฤทธิ์คุ้มครองตับจากพิษ
      การทดลองป้อนสาร diallyl disulfide (DADS) จากกระเทียมให้แก่หนูขาว ขนาดวันละ 50 แล้วก็ 100 มก./กก. น้ำหนักตัว ในหนูแต่ละกลุ่ม นานติดต่อกัน 5 วัน ก่อนรั้งนำให้ตับมีการเสียหายด้วยสาร carbon tetrachloride (CCl4) พบว่า DADS ทั้งคู่ขนาดสามารถคุ้มครองป้องกันตับเป็นพิษได้ การตรวจตราลักษณะทางจุลกายตอนศาสตร์พบว่าสามารถยับยั้งความเสียหายของเซลล์ตับ โดยลดการทำงานของเอนไซม์ aspartate transaminase (AST) และ alanine transaminase (ALT) ในตับลงได้ ลดการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวเนื่องในวิธีการอักเสบ รวมทั้งการตายของเซลล์ตับ อย่างเช่น Bax, cytochrome C, caspase-3, nuclear factor-kappa B, I kappa B alpha นอกนั้นยังส่งผลเพิ่มการแสดงออกของโปรตีน รวมทั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีที่เกี่ยวข้องในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้นว่า catalase, superoxide dismutase, glutathione peroxidase, glutathione reductase, glutathione S-transferase ผลจากการเรียนรู้ชี้ให้เห็นว่า สาร DADS จากกระเทียมมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและป้องกันตับจากสารพิษ โดยกลไกกระตุ้นแนวทางการทำงานของ nuclear factor E2-related factor 2 (Nrf2) ซึ่งเป็น transcription factor หรือโปรตีนที่ควบคุมการแสดงออกของยีนที่ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องเซลล์ และเยื่อจากอนุมูลออกสิเจนที่คล่องแคล่วต่อปฏิกิริยา การกระตุ้น Nrf2 มีผลเหนี่ยวนำการสร้างโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีต่อต้านอนุมูลอิสระ และก็สร้างโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีในระบบการกำจัดสารพิษออกมาจากร่างกายในขั้นตอนที่ 2 (detoxifying Phase II  enzyme) และก็ยั้ง nuclear factor-kappa B มีผลให้ลดการสร้างสารที่เกี่ยวโยงกับการอักเสบลง รวมทั้งคุ้มครองปกป้องตับจากพิษได้ (Lee, et al, 2014)
ฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ
      เล่าเรียนฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบของสารสกัดน้ำโดยไม่ผ่านความร้อน (raw garlic) แล้วก็สารสกัดกระเทียมที่ผ่านการต้มแล้ว นำมาทดลองในหลอดทดสอบ โดยใช้เนื้อเยื่อของกระต่าย พบว่า raw garlic สามารถยับยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี cyclooxygenase (ที่กระตุ้นให้เกิดการผลิตสารอักเสบ) แบบ non-competitive และก็ irreversible จากการเรียนรู้พบว่า raw garlic สามารถยั้งเอนไซม์ cyclooxygenase ได้ โดยมีค่า IC50 ต่อเกล็ดเลือด,ปอด และเส้นโลหิตแดงในกระต่ายเท่ากับ 0.35, 1.10 และ 0.90 mg ในช่วงเวลาที่กระเทียมที่ต้มแล้วมีฤทธิ์ยับยั้ง cyclooxygenase ได้นิดหน่อยเมื่อเปรียบเทียบกับกระเทียมที่ไม่ผ่านความร้อน เนื่องจากส่วนประกอบสำคัญในกระเทียมนั้นถูกทำลายขณะที่ให้ความร้อน จากผลการศึกษาทำให้เห็นว่ากระเทียมคงจะมีสาระสำหรับเพื่อการคุ้มครองโรคเส้นโลหิตอุดตันได้ (Ali, 1995)
      จากการรวบรวมงานศึกษาค้นคว้าและการวิจัย ที่เรียนรู้ฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบของกระเทียม โดยสรุปพบว่ากระเทียมมีฤทธิ์ต้านการอักเสบผ่านหลายกลไก ดังนี้เป็น ต้านการอักเสบผ่าน T-cell lymphocytes โดยไปยับยั้ง SDF1a-chemokine-induced chemotaxis มีผลให้การมารวมกรุ๊ปกันของสารที่ทำให้เกิดการอักเสบต่ำลง, ยั้ง transendothelial migration of neutrophils มีผลให้ลดการเคลื่อนที่ของเม็ดเลือดขาวชนิด neutrophil ในกรรมวิธีอักเสบลง, ยั้งการหลั่งสาร TNFα ซึ่งเป็นสารเริ่มต้นในกรรมวิธีอักเสบ, กดการผลิตอนุมูลไนโตรเจนที่ว่องต่อการเกิดปฏิกิริยาการอักเสบ และก็การทำงานผ่าน ERK1/2 ทั้ง 2 กลไก ดังเช่นว่า การหยุดยั้ง phosphatase-activity (directly related with ERK1/2 phosphorylation) และก็การเพิ่ม phosphorylation of ERK1/2 kinase (ผ่านทาง p21ras protein thioallylation) ส่งผลทำให้การอักเสบลดน้อยลง (Martins, et al, 2016)
[/b]
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย
      การทดลองความสามารถสำหรับการต้านเชื้อ Escherichia coli ซึ่งป็นเชื้อก่อโรคทางเดินอาหาร ของสารสกัดหัวกระเทียมด้วย เอทานอล เมทานอล  อะซิโตน  และก็การสกัดสดโดยแนวทางกดดันแบบเย็น โดยใช้วิธี microdilution broth susceptibility test พบว่าการสกัดสดมีค่า MIC แล้วก็ค่า MBC น้อยที่สุด (3.125กรัมต่อลิตร) และรองลงมาคือ สารสกัดจากตัวทำละลาย เอทานอล เมทานอล และก็อะซิโตน ให้ค่า MIC รวมทั้ง MBC เท่ากัน (6.25กรัมต่อลิตร) หมายความว่าสารสกัดสดมีทรัพย์สินสำหรับการยับยั้ง และฆ่าเชื้อโรคแบคทีเรียดีที่สุด เพราะว่าในกระเทียมสดมี allin เป็นสารประกอบกำมะถันที่สำคัญ เมื่กระเทียม[/url]สดถูกบด หรือผ่านวิธีการดัดแปลง allinase จะถูกปล่อยออกมาจากภายใน vacuole ของเซลล์ และอาศัยน้ำเป็นกลไกสำหรับในการทำปฏิกิริยาได้เป็น allicin ซึ่งเป็นสารที่มีความรู้ความสามารถสำหรับเพื่อการยั้งเชื้อจุลินทรีย์ ซึ่งวิธีการสกัดสดช่วยทำให้แนวทางการทำปฏิกิริยาระหว่างสาร allin และก็ allinase  เนื่องจากว่าต้องใช้เวลาในการบีบเค้นน้ำกระเทียมซึ่งช่วงเวลาดังที่กล่าวมาข้างต้นช่วยทำให้กระบวนการทำปฏิกิริยาระหว่างสารมากเพิ่มขึ้น อาจจะเป็นผลให้ได้ allicin มากขึ้น (ภรเจริญ และรังสินี, 2554)
ฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ
         เมื่อนำสารสกัดกระเทียมที่ได้จากการบ่มสกัด (aged garlic extract (AGE) ด้วย 20 % เอทานอล ตรงเวลา 20 เดือน ที่อุณหภูมิปกติ นำมาทดลองการต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของไลโปโปรตีนจำพวกความหนาแน่นต่ำ หรือต้านการเกิด oxidized LDL (ซึ่งเป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวการณ์เส้นเลือดแดงแข็งตัว) โดยนำ LDL ที่แยกได้จากคนมาทดลองในภาวการณ์ที่มีไหมมี AGE โดยใช้ CuSO4 และก็ 5-lipoxygenase เหนี่ยวนำให้กำเนิด oxidized LDL และก็ทดสอบสารสกัดของ AGE ผลของการทดลองพบว่า AGE มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระโดยลดการผลิต superoxide ion (อนุมูลอิสระของออกซิเจน) และก็ลดการเกิด lipid peroxide (ออกซิเดชันของไขมัน)  โดย AGE 10%v/v เมื่อใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย สามารถยับยั้งการเกิด superoxide ได้อย่างสมบูรณ์ ส่วนสารสกัด 10% v/v จาก diethyl ether ของ AGE ได้ผล 34%  ฤทธิ์ลดการเกิด lipid peroxidation ของ LDL พบว่าสารสกัด 10% v/v จาก diethyl ether ลดการเกิด lipid peroxidation ที่เกิดขึ้นมาจากการเหนี่ยวนำของ Cu2+ รวมทั้ง 5-lipoxygenase ได้ 81% และก็ 37% ตามลำดับ สรุปได้ว่า AGE ส่งผลยับยั้งการเกิด oxidation ของ LDL โดยลดการสร้าง superoxide และยับยั้งการเกิด lipid peroxide  ด้วยเหตุดังกล่าว AGE ก็เลยอาจมีบทบาทในการปกป้องการเกิดภาวะเส้นเลือดแดงแข็งตัว (atherosclerotic disease) ได้ (Dillon, et al, 2003)
      การศึกษาเล่าเรียนฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดหัวกระเทียมด้วย เอทานอล เมทานอล  อะซิโตน  และการสกัดสดโดยแนวทางบีบบังคับแบบเย็น ทดลองโดยแนวทางการยั้งอนุมูลอิสระ DPPH, การต้านออกซิไดส์จากสาร hydrogen peroxide (hydrogen peroxide (H2O2) scavenging activity ผลของการทดลองฤทธิ์ยับยั้งอนุมูลอิสระ DPPH พบว่าการสกัดกระเทียมด้วยตัวทำละลายอะซิโตน ให้ค่า IC50 ต่ำที่สุด เท่ากับ 3.58±0.02 mg/ml รองลงมา ยกตัวอย่างเช่น สารสกัดเมทานอล เอทานอล รวมทั้งการสกัดสด ตามลำดับ โดยมีค่า IC50 พอๆกับ 3.72±0.03, 4.47±0.20 และ 55.36±3.96 mg/ml เป็นลำดับ  ผลของการต้านทานสารออกซิไดซ์ที่รุนแรง ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H2O2) พบว่าสารสกัดด้วยตัวทำละลายเมทานอล มีโภคทรัพย์การต้านออกซิไดส์ของสาร H http://www.disthai.com/[/b]

Tags : สมุนไพรกระเทียม
6  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ตะไคร้มีสรรพคุณ-ประโยชน์อย่างไร เมื่อ: สิงหาคม 09, 2018, 04:28:05 pm
[/b]
ตะไคร[/size][/b]
ตะไคร้ ชื่อสามัญ Lemongrass
ตะไคร้ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cymbopogon citratus (DC.) Stapf จัดอยู่ในสกุลต้นหญ้า (POACEAE หรือ GRAMINEAE)
ตะไคร้จัดเป็นพืชล้มลุกตระกูลหญ้า ใบมีลักษณะเรียวยาว ปลายใบมีขนหนาม เป็นสมุนไพรไทยชนิดหนึ่งที่นิยมเอามาทำกับข้าว โดยตะไคร้แบ่งได้ 6 ชนิด ได้แก่ ตะไคร้หอม ตะไคร้กอ ตะไคร้ต้น ตะไคร้น้ำ ตะไคร้หางนาค และตะไคร้หางราชสีห์ ซึ่งเป็นสมุนไพรไทยที่นิยมปลูกทั่วไปในบ้านพวกเรา โดยมีถื่นกำเนิดในประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย ประเทศพม่า ศรีลังกา แล้วก็ไทย
[url=http://www.disthai.com/16913433/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89]ตะไคร[/color]เป็นทั้งยารักษาโรคและก็ยังมีวิตามินแล้วก็แร่ธาตุที่มีสาระต่อสภาพทางด้านร่างกายอีกด้วย เช่น วิตามินเอ ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก อื่นๆอีกมากมาย
สรรพคุณของตะไคร้
มีส่วนช่วยในการขับเหงื่อ
เป็นยาบำรุงธาตุไฟให้เจริญรุ่งเรือง (ต้นตะไคร้)
มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงธาตุ ช่วยสำหรับในการเจริญอาหาร
ช่วยแก้อาการไม่อยากอาหาร (ต้น)
สารสกัดจากตะไคร้มีส่วนช่วยสำหรับการปกป้องโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
แก้รวมทั้งทุเลาอาการหวัด อาการไอ
ช่วยรักษาลักษณะของการมีไข้ (ใบสด)
ใช้เป็นยาแก้ไข้เหนือ (ราก)
น้ำมันหอมระเหยของใบตะไคร้สามารถทุเลาอาการปวดได้
ช่วยแก้ลักษณะของการปวดศีรษะ
ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง (ใบสด)
ใช้เป็นยาแก้อาเจียนถ้าหากใช้ประโยชน์ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ(หัวตะไคร้)
ช่่วยแก้อาการกษัยเส้นและแก้ลมใบ (หัวตะไคร้)
รักษาโรคอาการหอบหืดด้วยการใช้ต้นตะไคร้
ช่วยแก้อาการเสียดแน่นแสบรอบๆอก (ราก)
ใช้เป็นยาแก้ลักษณะของการปวดท้องและอาการท้องร่วง (ราก)
ช่วยแก้และบรรเทาลักษณะของการปวดท้อง
ช่วยรักษาอาการท้องอืดท้องอืด (หัวตะไคร้)
ช่วยสำหรับในการขับน้ำดีมาช่วยสำหรับในการย่อยของกิน
น้ำมันหอมระเหยจาก[url=http://www.disthai.com/16913433/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89]ตะไคร้
มีส่วนช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ได้
มีฤทธิ์ช่วยสำหรับการขับฉี่
ช่วยแก้อาการปัสสาวะทุพพลภาพและก็รักษาโรคนิ่ว (หัวตะไคร้)
ช่วยแก้อาการขัดเบา (หัวตะไคร้)
ใช้เป็นยาแก้ขับลม (ต้น)
ช่วยรักษาอหิวาต์
ช่วยแก้ลมอัมพาต (หัวตะไคร้)
ใช้เป็นยารักษาเกลื้อน (หัวตะไคร้)
น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ สามารถช่วยต้านทานเชื้อราบนผิวหนังได้อย่างดีเยี่ยม
ช่วยแก้โรคหนองใน ถ้าเกิดนำไปผสมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆ
[/b]
คุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากตะไคร้
นำมาใช้ทำเป็นน้ำตะไคร้หอม น้ำตะไคร้ใบเตย ช่วยดับร้อนแก้กระหายได้อย่างดีเยี่ยม
ช่วยสำหรับเพื่อการบำรุงและรักษาสายตา
มีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการบำรุงกระดูกแล้วก็ฟันให้แข็งแรง
มีส่วนช่วยสำหรับการบำรุงสมองและก็เพิ่มสมาธิ
สามารถนำมาใช้ทำเป็นยานวดได้
ช่วยขจัดปัญหาผมแตกปลาย (ต้น)
มีฤทธิ์เป็นยาช่วยสำหรับเพื่อการนอนหลับ
การปลูกตะไคร้ร่วมกับผักประเภทอื่นๆจะช่วยคุ้มครองปกป้องแมลงได้เป็นอย่างดี
ประยุกต์ใช้เป็นส่วนประกอบของสารยับยั้งกลิ่นต่างๆ
ต้นตะไคร้ช่วยขจัดกลิ่นคาวหรือกลิ่นคาวของปลาได้อย่างดีเยี่ยม
กลิ่นหอมสดชื่นของตะไคร้สามารถช่วยไล่ยุงรวมทั้งกำจัดยุงได้เป็นอย่างดี
เป็นองค์ประกอบของสินค้าพวกยากันยุงชนิดต่างๆยกตัวอย่างเช่น ยากันยุงตะไคร้หอม
สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายประเภท ดังเช่นว่า เครื่องปรุงอบแห้ง ตะไคร้แห้งสำหรับชงดื่ม นำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย เป็นต้น
มักนิยมประยุกต์ใช้สำหรับเพื่อการทำครัวหลายอย่าง เป็นต้นว่า ต้มยำ รวมทั้งของกินไทยอื่นๆเพื่อเพิ่มรส
แนวทางทําน้ําตะไคร้หอม
สรรพคุณตะไคร้เตรียมวัตถุดิบดังนี้ ตะไคร้ 1 ต้น / น้ำเชื่อม 15 กรัม / น้ำกิน 240 กรัม
ล้างตะไคร้ให้สะอาด แล้วเอามาหั่นเป็นท่อน ทุบให้แตก
ใส่ลงหม้อต้มกับน้ำให้เดือด ตราบจนกระทั่งน้ำตะไคร้ออกมาคละเคล้ากับน้ำกระทั่งเป็นสีเขียว
รอคอยสักประเดี๋ยวแล้วยกลง ต่อจากนั้นกรองเอาตะไคร้ออกแล้วเติมน้ำเชื่อมให้ได้รสตามพึงพอใจ
เสร็จแล้วกระบวนการทำน้ำตะไคร้
แนวทางทําน้ําตะไคร้ใบเตย
น้ำตะไคร[/color]การทําน้ําตะไคร้ใบเตยนั้นอย่างแรกให้จัดเตรียมวัตถุดิบดังต่อไปนี้ ตะไคร้ 2 ต้น / ใบเตย 3 ใบ / น้ำ 1-2 ลิตร / น้ำตาลทรายแดง 2 ช้อนชา (จะใส่หรือไม่ก็ได้)
นำตะไคร้มาตีให้แหลกพอควร แล้วใช้ใบเตยมัดตะไคร้ไว้ให้เป็นก้อน
ใส่ตะไคร้และใบเตยลงไปในหม้อแล้วเพิ่มเติมน้ำ 1 ถึง 2 ลิตร แล้วต้มให้เดือดสักประมาณ 5 นาที เพียงเท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อยสำหรับวิธีการทําน้ํา ตะไคร้
โดยตะไคร้แล้วก็ใบเตยชุดเดียวกัน สามารถเพิ่มน้ำสุกใหม่ได้ 2-3 รอบ แต่ว่ารสอาจจืดจางลงไปบ้าง เอามาดื่มแทนน้ำช่วยเพิ่มความสดชื่น แถมช่วยบำรุงรักษาสุขภาพอีกด้วย
ค่าทางโภชนาการของตะไคร้
การเล่าเรียนขอตะไคร้
ขนาด 100 กรัม พบว่าให้พลังงาน 143 กิโลแคลอรี่ มีสารอาหารสำคัญประกอบด้วย โปรตีน 1.2 กรัม ไขมัน 2.1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 29.7 กรัม เส้นใย 4.2 กรัม แคลเซียม 35 มก. ธาตุฟอสฟอรัส 30 มก. เหล็ก 2.6 มิลลิกรัม วิตามินเอ 43 ไมโครกรัม ไทอามีน 0.05 มก. ไรโบฟลาวิน 0.02 มก. ไนอาสิน 2.2 มิลลิกรัม วิตามินซี 1 มิลลิกรัม รวมทั้ง ขี้เถ้า 1.4 กรัม
โทษของตะไคร้
พิษของน้ำมันตะไคร้ ปริมาณน้ำมันตะไคร้ ที่ทำให้หนูขาวตายที่ครึ่งหนึ่งของจำนวนหนูขาวทั้งผอง ด้วยการให้ทางปาก  ที่ความเข้มข้น 5,000 มก./กิโล รวมทั้งการให้น้ำมันหอมระเหยทางกระเพาอาหารแก่กระต่ายที่ทำให้กระต่ายตายที่ครึ่งหนึ่ง พบว่า มีปริมาณความเข้มข้นเดียวกันกับการให้แก่หนูขาว พิษเฉียบพลันของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ที่ความเข้มข้น 1,500 ppm ในช่วงเวลา 60 วัน กลับต้องมาพบว่า หนูขาวที่ได้รับน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้มีการเติบโตเร็วกว่ากรุ๊ปที่ไม้ได้รับ รวมทั้งค่าทางเคมีของเลือดไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร
7  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ทับทิม รู้หรือไม่ว่าเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณ-ประโยชน์มากอย่างน่าทึ่ง เมื่อ: สิงหาคม 08, 2018, 02:14:37 pm
[/b]
ทับทิ[/size][/b]
[url=http://www.disthai.com/16488281/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1]ทับทิม
ชื่อสามัญ Pomegranate
ทับทิม ชื่อวิทยาศาสตร์ Punica granatum L. จัดอยู่ในวงศ์ตะแบก (LYTHRACEAE)
ทับทิ[/b] เป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอิหร่านทางตอนใต้ของอัฟกานิสถาน ผลไม้ชนิดนี้จะชอบอากาศหนาวเป็นพิเศษ ยิ่งหนาวมากเท่าไหร่ เนื้อทับทิมนั้นจะมีสีแดงเข้มมากขึ้นเท่านั้น และยังเป็นผลไม้มงคลของคนจีนอีกด้วย ด้วยความที่ทับทิมมีเมล็ดมากจึงสื่อความหมายถึงการมีลูกชายมาก ๆ ด้วยนั่นเอง โดยกิ่งใบของทับทิมก็นำมาใช้ในพิธีการต่าง ๆ ที่มีน้ำมนต์ในการประกอบพิธีหรือนำมาใช้พรมน้ำมนต์เพราะเชื่อว่ามีไว้ติดตัวจะช่วยในเรื่องการคุ้มครองจากภัยอันตรายต่าง ๆ ได้ด้วย
ทับทิมยังถือว่าเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ โดยประโยชน์ของทับทิมและสรรพคุณของทับทิมนั้นมีมากมาย ด้วยทับทิมนั้นเป็นผลไม้ที่มีรสหวานออกเปรี้ยว น้ำทับทิมจึงมีวิตามินซีสูงและยังประกอบด้วยเกลือแร่ต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จึงช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และนอกจากนี้ยังมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย อย่างเช่น บรรเทาอาการของโรคหัวใจ รักษาความดันโลหิตสูง ช่วยลดสภาวะการแข็งตัวขอเลือด รักษาโรคท้องเดิน โรคบิด เป็นต้น
ประโยชน์ของทับทิม
ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกายและช่วยในการชะลอวัย
น้ำทับทิมมีคุณสมบัติช่วยให้ผิวหน้าเต่งตึง ด้วยการนำน้ำทับทิมประมาณ 1 ช้อนชามาทาทิ้งไว้บนใบหน้าประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออก
น้ำทับทิมช่วยเพิ่มความสดชื่น แก้กระหาย คลายร้อนได้เป็นอย่างดี
ช่วยระงับกลิ่นปากได้อีกด้วย
ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง บรรเทาอาการหวัด
ช่วยปกป้องผิวของคุณจากแสงแดด
ทับทับมีวิตามินซีสูงมาก และยังมีวิตามินเอ วิตามินอี และกรดโฟลิกอีกด้วย
ใบทับทิมใช้ในการประกอบพิธีต่าง ๆ ที่ใช้น้ำมนต์ในการประกอบพิธี
ช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องในหญิงตั้งครรภ์
ช่วยในการปรับฮอร์โมนวัยหมดประจำเดือน
ช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อมในผู้สูงอายุ
ช่วยในการบำบัดอาการของโรคเบาหวาน
ช่วยบำรุงสายตา แก้อาการตาอักเสบ
น้ำต้มเปลือกทับทิมช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้
ช่วยบรรเทาอาการของโรคหัวใจ ด้วยการช่วยเสริมสุขภาพหัวใจให้ดียิ่งขึ้น
ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
ช่วยบำรุงสุขภาพฟันให้แข็งแรง
ช่วยส่งเสริมสุขภาพกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน
ช่วยลดความดันโลหิตสูง
ช่วยส่งเสริมการทำงานของหลอดเลือด
ช่วยในการฟอกไตและท่อปัสสาวะ
ช่วยลดสภาวะการแข็งตัวของเลือดจากไขมันในเลือดสูง
มีฤทธิ์ในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
ช่วยแก้อาการระดูขาว ตกเลือด
ช่วยบำรุงสุขภาพตับให้แข็งแรง
มีส่วนช่วยบำรุงและต่อต้านอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ด้วย
เปลือก[url=http://www.disthai.com/16488281/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1]ทับทิม
สามารถรักษาโรคท้องเดินและโรคบิดได้ เพราะมีสารในกลุ่มแทนนินอยู่ในปริมาณมาก
เปลือกทับทิมมีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบ
เปลือกผลช่วยรักษาแผลหิด กลากเกลื้อน
เปลือกของทับทิมช่วยต้านการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ
ยาต้มจากเปลือกผลช่วยรักษาอาการอุจจาระร่วงได้ โดยช่วยลดจำนวนครั้งในการขับถ่ายและทำให้ระยะเวลาเริ่มถ่ายครั้งแรกนานขึ้น

เปลือกต้นและเปลือกรากของทับทิมสามารถใช้เป็นยาขับพยาธิตัวตืดและพยาธิตัวกลมได้เป็นอย่างดี ด้วยการนำเปลือกของรากและต้นที่ยังสด ๆ ประมาณครึ่งกำมือ เติมกานพลูลงไปเล็กน้อยเพื่อแต่งรส นำมาต้มกับน้ำ 3 ถ้วยแก้ว เคี่ยวจนเหลือถ้วยครึ่ง แล้วนำมารับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ หลังจากนั้น 2 ชั่วโมงจึงรับประทานยาถ่าย เช่น ดีเกลืออีก 2 ช้อนโต๊ะตามไปอีกครั้งหนึ่ง
ดอกทับทิมใช้ห้ามเลือดได้ ด้วยการนำดอกแห้งมาบดให้ละเอียดแล้วนำมาทาหรือโรยใส่บริเวณบาดแผล
ดอกทับทิมช่วยแก้อาการหูชั้นในอักเสบ
ใบของทับทิมสามารถนำมาอมกลั้วคอหรือทำเป็นยาล้างตาก็ได้
ทับทิมช่วยลดปัญหาผมร่วง ด้วยการนำยาพอกที่ได้จากใบ แล้วนำมาพอกหนังศีรษะ
ชาวอินเดียนำน้ำคั้นจากผลทับทิมและดอกของทับทิมมาปรุงเป็นยาธาตุ สมานลำไส้ บำรุงหัวใจ
ทับทิมช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็งได้มากกว่า 13 ชนิด โดยช่วยให้เซลล์มะเร็งไม่เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ เป็นต้น
ช่วยในการทำลายเซลล์มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่
คุณค่าทางโภชนาการของเนื้อ ทับทิม ต่อ 100 กรัม
พลังงาน 83 กิโลแคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 18.7 กรัม
ประโยชน์ของทับทิมน้ำตาล 13.67 กรัม
เส้นใย 4 กรัม
ไขมัน 1.17 กรัม
โปรตีน 1.67 กรัม
วิตามินบี 1 0.067 มิลลิกรัม 6%
วิตามินบี 2 0.053 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 3 0.293 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 5 0.377 มิลลิกรัม 8%
วิตามินบี 6 0.075 มิลลิกรัม 6%
วิตามินบี 9 38 ไมโครกรัม 10%
โคลีน 7.6 มิลลิกรัม 2%
วิตามินซี 10.2 มิลลิกรัม 12%
วิตามินอี 0.6 มิลลิกรัม 4%
วิตามินเค 16.4 ไมโครกรัม 4%
ธาตุแคลเซียม 10 มิลลิกรัม 1%
ธาตุเหล็ก 0.3 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม 3%
ธาตุแมงกานีส 0.119 มิลลิกรัม 6%
ธาตุฟอสฟอรัส 36 มิลลิกรัม 5%
ธาตุโพแทสเซียม 236 มิลลิกรัม 5%
ธาตุโซเดียม 3 มิลลิกรัม 0%
ธาตุสังกะสี 0.35 มิลลิกรัม 4%
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ http://www.disthai.com/[/b]
8  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรบุกมีสรรพคุณเเละประโยชน์ที่น่าอัศจรรย์ เมื่อ: สิงหาคม 04, 2018, 10:16:48 am

บุก (Amorphophallus spp.) มีชื่อสามัญว่า Konjac (คอนจัค)12 ในไทยจะใช้บุกที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson หรือที่เราเรียกว่า “บุกคางคก” ซึ่งเป็นพืชตระกูลเดียวกันกับบุกชนิดที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus konjac K.Koch แต่ว่าต่างประเภทกัน ซึ่งมีคุณลักษณะและก็สรรพคุณทางยาที่ใกล้เคียงกัน แล้วก็สามารถนำมาใช้แทนกันได้
บุ[/size][/b]
บุก ชื่อสามัญ Devil’s tongue, Shade palm, Umbrella arum
บุก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus konjac K.Koch (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus rivieri Durand ex Carrière) จัดอยู่ในตระกูลบอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุก มีชื่อเรียกอื่นว่า หมอ ยวี จวี๋ ยั่ว (จีนแต้จิ๋ว), หมอยื่อ (ภาษาจีนกลาง) ฯลฯ
ต้นบุก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกที่แก่หลาย ลำต้นแทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน มีความสูงของต้นราว 50-150 ซม. หัวที่อยู่ใต้ดินนั้นมีขนาดใหญ่ ลักษณะของหัวเป็นรูปค่อนข้างกลมแบนเล็กน้อย หรือกลมแป้น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางโดยประมาณ 25 ซม. ผิวเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ลำต้นและก็กิ่งไม้มีลักษณะกลมใหญ่ เปลือกลำต้นเป็นสีเขียวมีลายแต้มสีขาวปนเปอยู่
หัวบุก
ใบบุก ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อยเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กลมรี ปลายใบแหลม ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีปริมาณยาวราวๆ 15-20 ซม.
ใบบุก
ดอกบุก ออกดอกเป็นดอกเดี่ยว รูปแบบของดอกเป็นรูปทรงทรงกระบอกกลมแบน มีกลิ่นเหม็น สีม่วงแดงอมเขียว มีกาบใบยาวราวๆ 30 เซนติเมตร สีม่วงอมเหลือง โผล่ขึ้นพ้นจากกลีบเลี้ยงที่มีสีม่วง
ผลบุก ลักษณะของผลเป็นรูปกลมแบน เมื่อสุกจะเป็นสีส้ม
ดอกและก็ผลบุก
บุกคางคก
บุกคางคก ชื่อสามัญ Stanley’s water-tub, Elephant yam
[url=http://www.disthai.com/16488234/%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%81]บุก
คางคก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus campanulatus Decne.) จัดอยู่ในสกุลบอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุกคางคก มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆว่า บุกหลวง บุกหนาม เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน), บักกะเดื่อ (สกลนคร), กระบุก (จังหวัดบุรีรัมย์), บุกคางคก บุกระอุงคก (ชลบุรี), หัวบุก (จังหวัดปัตตานี), มันซูรัน (ภาคกึ่งกลาง), บุก (ทั่วไป), กระแท่ง บุกรอคอย หัววุ้น (ไทย), บุกอีรอคอยกเขา ฯลฯ
ต้นบุกคางคก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกชนิดกะแท่งหรือเท้ายายม่อมหัว แก่ได้นานหลายปี มีความสูงของต้นประมาณ 5 ฟุต มีลักษณะของลำต้นอวบแล้วก็อวบน้ำไม่มีแก่น ผิวขรุขระ ลำต้นกลมและก็มีลายเขียวๆแดงๆลักษณะซึ่งคล้ายกับคนเป็นโรคผิวหนัง ต้นบุกนั้นแพร่พันธุ์ด้วยวิธีการแยกหน่อ พรรณไม้ประเภทนี้จะเจริญเติบโตในช่วงฤดูฝน และจะเหี่ยวเฉาไปในตอนต้นฤดูหนาว ในประเทศไทยพบมากขึ้นเองตามป่าราบชายฝั่งทะเลแล้วก็ที่อำเภอศรีราชา ส่วนในต่างประเทศบุกคางคกนั้นเป็นพืชประจำถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เจอได้ตั้งแต่ศรีลังกาไปจนกระทั่งอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์
ต้นบุกคางคก
หัวบุกคางคก เป็นส่วนของหัวที่อยู่ใต้ดิน มีลักษณะออกจะกลมและก็มีขนาดใหญ่สีน้ำตาล ผิวขรุขระ เส้นผ่าศูนย์กลางของหัวบุกนั้นจะมีขนาดตั้งแต่ 15 ซม.ขึ้นไป เนื้อในหัวเป็นสีเหลืองอมชมพู สีชมพูสด สีขาวขุ่น สีครีม สีเหลืองอ่อน สีเหลืองอมขาวละเอียดแล้วก็เป็นเมือกลื่น มียาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวสด ถ้าหากสัมผัสเข้าจะทำให้เกิดอาการคันได้ ก่อนนำมาปรุงเป็นอาหารนั้นจึงจะต้องทำให้เป็นเมือกโดยการต้มในน้ำเดือดซะก่อน โดยน้ำหนักของหัวนั้นมีตั้งแต่ 1 กรัม ไปจนถึง 35 โล
บุกคางคก
ใบบุกคางคก ใบเป็นใบผู้เดียว ออกที่ปลายยอดของต้น ใบแบออกเหมือนกางร่มแล้วหยักเว้าเข้าพบเส้นกึ่งกลางใบ ส่วนขอบของใบจักเว้าลึก ก้านใบกลม อวบน้ำแล้วก็ยาวได้ราว 150-180 ซม.
ใบบุกคางคก
ดอกบุกคางคก ออกดอกเป็นช่อ ดอกแทงขึ้นมาจากพื้นดินรอบๆของโคนต้น เป็นแท่งมีลายสีเขียวหรือสีแดงแกมสีน้ำตาล (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์) ดอกออกเป็นช่อ แทงขึ้นมาจากหัวที่อยู่ใต้ดิน ก้านช่อดอกสั้น มีใบประดับประดาเป็นรูปหุ้มห่อช่อดอก ขอบหยักเป็นคลื่นรวมทั้งบานออก ปลายช่อดอกเป็นรูปกรวยคว่ำขนาดใหญ่ ยับเป็นร่องลึก สีแดงอมน้ำตาลหรือสีม่วงเข้ม ดอกเพศผู้อยู่ตอนบน ส่วนดอกเพศภรรยาอยู่ตอนล่าง ดอกมีกลิ่นเหม็นเหมือนซากสัตว์เน่า
ดอกบุกคางคุก
ผลบุกคางคก ผลได้ผลสด เนื้อนุ่ม ลักษณะของผลเป็นทรงรียาว ปริมาณยาวราว 1.2 ซม. ผลมีจำนวนมากชิดกันเป็นช่อๆ(สิบถึงร้อยร้อยผลต่อหนึ่งช่อดอก)ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนสีเหลือง สีส้ม จนกระทั่งสีแดง ด้านในผลมีเม็ดราวๆ 1-3 เมล็ด โดยมีสันขั้วเมล็ดของแต่ว่าเมล็ดแยกออกจากกัน เม็ดมีลักษณะกลมรีหรือเป็นรูปไข่
คุณประโยชน์ของบุก
หัวบุกมีรสเผ็ด เป็นยาร้อน มีพิษ ออกฤทธิ์ต่อม้าม ตับ และระบบทางเดินอาหาร มีคุณประโยชน์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นโลหิต (หัว)
ใช้เป็นของกินสำหรับคนเจ็บเบาหวานและผู้เจ็บป่วยโรคไขมันในเลือดสูง ด้วยการแยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วชงกับน้ำดื่ม โดยให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว นำมาชงกับน้ำกินก่อนที่จะกินอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ
หัวใช้เป็นยารักษาโรคโรคมะเร็ง (หัว)
ใช้เป็นยาแก้ไข้จับสั่น (หัว)
ช่วยแก้อาการไอ (หัว)
หัวใช้เป็นยากัดเสมหะ ละลายเสลด ช่วยกระจายเสมหะที่อุดตันรอบๆหลอดลม (หัว)
หัวบุกมีรสเบื่อคัน ใช้เป็นยากัดเสลดเถาดาน รวมทั้งเลือดจับกันเป็นก้อน (หัว)
หัวนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคท้องมาน (หัว)
ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (ราก)
ช่วยแก้รอบเดือนไม่มาของสตรี (หัว)6 ช่วยขับระดูของสตรี (ราก)
หัวเอามาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคตับ (หัว)
ใช้แก้พิษงู (หัว)
ใช้เป็นยาแก้แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก (หัว)
หัวใช้หุงเป็นน้ำมัน ใช้ใส่บาดแผล กัดฝ้ารวมทั้งกัดหนองเจริญ (หัว)1,2,3,4 บางข้อมูลกล่าวว่ารากใช้เป็นยาพอกฝีได้ (ราก)
ใช้แก้ฝีหนองบวมอักเสบ (หัว)6
หัวใช้เป็นยาพาราบวม แก้บวมช้ำ (หัว)
บุก เป็นสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์มากกว่าไวอากร้า หรือเป็นยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ โดยคุณนิล สกุณา (บ้านหนองพลวง ต.โคกกลาง อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์) แนะนำให้ลองพิสูจน์ ด้วยการเอาไม้พาดปากหม้อแล้วนำสมุนไพรบุกคางคก เอาพวงเม็ดเอามาปิ้งไฟให้หอมก่อน แล้วใช้ผูกกับไม้แขวนจุ่มลงไปในหม้อต้มใส่น้ำพอเพียงท่วมเมล็ดบุก ต้มจนกระทั่งเมล็ดบุกตกลงหม้อ ตัวยาก็จะไหลลงมาด้วย เมื่อเดือดแล้วก็ให้เพิ่มเติมน้ำตาลทรายแดงพอควรลงไปต้มให้พอเพียงหวาน ต่อจากนั้นทดลองลองดู ถ้าเกิดยังมีอาการคันคออยู่ก็ให้เพิ่มน้ำตาลเพิ่มและหลังจากนั้นก็ค่อยลองใหม่ ถ้าไม่มีอาการคันคอก็แสลงว่าใช้ได้ แล้วก็ให้นำสมุนไพรโด่ไม่ทราบล้มใส่เข้าไปด้วยราวๆ 1 กำมือ แล้วต้มให้เดือด ปลดปล่อยให้เย็นและเก็บเอาไว้ภายในตู้เย็น ใช้ดื่ม 1 เป็ก โดยประมาณ 30 นาที จะปวดปัสสาวะโดยธรรมชาติ หลังจากอาวุธนั้นจะพร้อมสู้ทันที (ผล)
หมายเหตุ : สำหรับวิธีการใช้ให้แยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วนำมาชงกับน้ำดื่ม ส่วนขนาดที่ใช้นั้นให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว ชงกับน้ำก่อนที่จะรับประทานอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ2 ส่วนการใช้ตาม 6 ให้ใช้ครั้งละ 10-15 กรัม (เข้าใจว่าเป็นส่วนของหัว) นำมาต้มกับน้ำนาน 2 ชั่วโมง ก็เลยสามารถเอามากินได้ ถ้าเกิดเป็นยาสดให้ใช้ตำพอกหรือนำมาฝนกับน้ำส้มสายชู หรือต้มเอาน้ำใช้ชะล้างรอบๆที่เป็นแผล
ในเนื้อหัวบุกป่าจะมีผลึกของแคลเซียมออกซาเลท (Calcium oxalate) เยอะๆ ที่ทำให้มีการเกิดอาการคัน ส่วนเหง้าและก็ก้านใบถ้าหากปรุงไม่ดีแล้วกินเข้าไปจะก่อให้ลิ้นพองและก็คันปากได้8ก่อนนำมากินต้องกำจัดพิษออกก่อน และไม่กินกากยาหรือยาสด6
แนวทางการกำจัดพิษจากหัวบุก ให้นำหัวบุกมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆตำเพียงพอแหลก คั้นเอาน้ำออกพักไว้ นำกากที่ได้ไปต้มน้ำ แล้วคั้นเอาแต่น้ำ นำไปผสมกับน้ำที่คั้นทีแรก แล้วก็ค่อยนำไปต้มกับน้ำปูนใสเพื่อพิษหมดไป เมื่อเดือดก็พักไว้ให้เย็น จะจับกันเป็นก้อน จึงสามารถใช้ก้อนดังที่ได้กล่าวมาแล้วสำหรับเพื่อการทำอาหารหรือนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นยาได้6หากอาการเป็นพิษจากการกินบุก ให้กินน้ำส้มสายชูหรือชาแก่ แล้วตามด้วยไข่ขาวสด แล้วให้รีบไปพบแพทย์
เนื่องจากวุ้นบุกสามารถขยายตัวได้มาก (ไม่ต่ำยิ่งกว่า 20 เท่าของเนื้อวุ้นแห้ง) จึงไม่ควรบริโภควุ้นบกภายหลังการกิน แต่ว่าให้กินก่อนอาหารไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง ส่วนการบริโภคอาหารที่สร้างขึ้นจากวุ้น อย่างเช่น วุ้นก้อนและก็เส้นวุ้น สามารถบริโภคพร้อมของกินหรือหลังอาหารได้ ด้วยเหตุว่าวุ้นดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วได้ผ่านกระบวนการแล้วก็ได้ขยายตัวมาก่อนแล้ว และการการที่จะขยายตัวหรือขยายตัวได้อีกนั้นก็เลยเป็นไปได้ยาก ส่วนในเรื่องของคุณค่าทางโภชนาการนั้นพบว่าวุ้นบุกไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เนื่องจากว่าไม่มีการเสื่อมสภาพเป็นน้ำตาลในร่างกาย และไม่มีวิตามินและแร่ หรือสารอาหารอะไรก็แล้วแต่ที่มีคุณประโยชน์ต่อสถาพทางร่างกายเลยกลูวัวแมนแนนมีผลทำให้การดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันต่ำลง (ดังเช่นว่า วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี รวมทั้งวิตามินเค) ซึ่งจะไม่เกิดโทษต่อสุขภาพโดยรวมได้ แม้กระนั้นจะไม่เป็นผลต่อการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในน้ำ (อย่างเช่น วิตามินบีรวม วิตามินซี)
การกินผงวุ้นบุกในจำนวนมาก อาจก่อให้มีลักษณะท้องเสียหรืออาการท้องอืด มีอาการอยากกินน้ำมากยิ่งกว่าเดิม บางคนอาจมีอาการเหน็ดเหนื่อยด้วยเหตุว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงได้
[/b]
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของบุก
สารที่เจอ ยกตัวอย่างเช่น สาร Glucomannan, Konjacmannan, D-mannose, Takadiastase, แป้ง, โปรตีบุก[/url], วิตามินบี, วิตามินซี และยังเจอสารที่เป็นพิษ คือ Coniine, Cyanophoric glycoside ก้านบุกเจอสาร Uniine รวมทั้งวิตามินบีที่ก้านช่อดอก6 และก็หัวบุกยังมีโปรตีนอยู่ร้อยละ 5-6 แล้วก็มีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูงจำนวนร้อยละ 672หัวบุกมีสารสำคัญหมายถึงกลูโคแมนแนน (Glucomannan) เป็นสารประเภทคาร์โบไฮเดรต ซึ่งมีกลูโคส แมนโนส รวมทั้งฟรุคโตส สารกลูวัวแมนแนนสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ เนื่องจากว่ามีความเหนียว ช่วยยับยั้งการดูดซึมของกลูโคสจากทางเดินอาหาร ยิ่งหนืดมากมายก็ยิ่งมีผลการดูดซึมเดกซ์โทรส ด้วยเหตุดังกล่าว กลูโคแมนแนน ซึ่งเหนียวกว่า gua gum ก็เลยสามารถลดน้ำตาลได้ดียิ่งไปกว่า ก็เลยใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นของกินสำหรับผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวานรวมทั้งสำหรับผู้ที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูงสารกลูวัวแมนแนน (Glucomannan) จะมีจำนวนแตกต่างกันออกไปตามชนิดของบุก5
แป้งจากหัวบุกนั้นประกอบไปด้วยกลูโคนแมนแนนโดยประมาณ 90% และสิ่งปลอมปนอื่นๆอาทิเช่น alkaloid, starch, สารประกอบไนโตเจนต่างๆsulfates, chloride, และก็สารพิษอื่น โมเลกุลของกลูโคแมนแนนนั้นสำคัญๆแล้วจะประกอบไปด้วยน้ำตาลสองจำพวกหมายถึงเดกซ์โทรส 2 ส่วน และก็แมนโนส 3 ส่วน โดยประมาณ เชื่อมต่อกันระหว่างคาร์บอนตำแหน่งที่ 1 ของน้ำตาลจำพวกลำดับที่สอง กับคาร์บอนตำแหน่งที่ 4 ของน้ำตาลจำพวกแรกแบบ ?-1, 4-glucosidic linkage ซึ่งไม่เหมือนกับแป้งที่พบในพืชทั่วไป ก็เลยไม่ถูกย่อยโดยกรดและน้ำย่อยในกระเพาะ เพื่อให้น้ำตาลที่ให้พลังงานได้8 เว้นเสียแต่กลูโคแมนแนนจะพบได้ในบุกแล้ว ยังพบได้ในว่านหางจระเข้อีกด้วย9
กลูโคแมนแนน (Glucomannan) สามารถดูดน้ำแล้วก็ขยายตัวได้มากถึง 200 เท่า ของจำนวนเดิม เมื่อเรากินกลูวัวแมนแนนก่อนที่จะกินอาหารครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงทีละ 1 กรัม กลูโคแมนแนนจะดูดน้ำที่มีมากในกระเพาะอาหารของเรา แล้วเกิดการพองตัวกระทั่งทำให้พวกเรารู้สึกอิ่มของกินได้เร็วและอิ่มได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้เรากินได้น้อยลงกว่าธรรมดาด้วย ทั้งกลูวัวแมนแนนจากบุกก็มีพลังงานต่ำมาก กลูวัวแมนแนนก็เลยช่วยในการควบคุมน้ำหนักและก็เป็นอาหารของผู้ที่ต้องการลดหุ่นได้เป็นอย่างดี8
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่รับประทานทีละ 15 กรัม ต่อ 1 โล ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 2-3 อาทิตย์ พบว่าระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดของหนูน้อยลงคิดเป็น 44% และ Triglyceride ลดลงคิดเป็น 9.5%6
สาร Glucomannan มีฤทธิ์ดูดซึมน้ำในกระเพาะรวมทั้งลำไส้เจริญมากมาย รวมทั้งยังสามารถไปกระตุ้นน้ำย่อยในลำไส้ให้เยอะขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีการขับของที่ค้างในไส้ได้เร็วขึ้น6สารสกัดแอลกอฮอล์จากหัวบุก สามารถยับยั้งการเจริญก้าวหน้าของเชื้อวัณโรคในหลอดแก้วได้5
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่ที่มีลักษณะอาการบวมที่ขารับประทานทีละ 15 กรัม ต่อ 1 กก. พบว่าอาการบวมที่ขาของหนูลดน้อยลง6
คุณประโยช์จากบุกคนไทยพวกเรานิ http://www.disthai.com/[/b]
หน้า: [1]
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย