ชุมเห็ดเทศชื่อสมุนไพร ชุมเห็ดเทศชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น ขี้คาก , ลับมืนหลวง , หมากกะลิงเทศ ,หญ้าเล็บมือหลวง (ภาคเหนือ) , ส้มเห็ด (เชียงราย) ,จุมเห็ด (มหาสารคาม) , ชุมเห็ดใหญ่ (ภาคกลาง) , ตะสีพอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , ตุ๊ยเฮียะเต่า , ฮุยจิวบักทง (จีน) , ตุ้ยเย่โต้ว (จีนกลาง)ชื่อวิทยาศาสตร์ Senna alata (L.) Roxb.ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Cassia alata (L.) Roxb. , Cassia bracteata L.f.ชื่อสามัญ Acapulo, Candelabra bush, Candle bush, Ringworm bushวงศ์ FABACEAE (LEGUMINOSAE ) - Caesalpinioideaeถิ่นกำเนิดชุมเห็ดเทศ มีบ้านเกิดในเขตร้อนของทวีปแอฟริกา อเมริกาออสเตรเลีย รวมทั้งเขตร้อนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับในประเทศไทย สามารถพบได้มากในประเทศไทย ตามที่เปียกชื้น ทุกภาวะดินแต่ไม่ขอบที่ร่มมากมาย พบได้มากทั้งบริเวณที่ราบแล้วก็บนเขาที่มีความสูงไม่เกิน 1500 เมตร จากระดับน้ำทะเล
ลักษณะทั่วไป
ชุมเห็ดเทศจัดเป็นพุ่มไม้ขนาดกลาง สูง 1.5-3 เมตร ลำต้นแข็งมีเนื้อไม้ ลำต้นแตกกิ่งก้านเป็นแนวขนานกับพื้นดิน กิ่งจะแผ่ขยายออกทางข้างๆ มีขนสั้นนุ่ม เปลือกลำต้นเรียบเป็นสีน้ำตาล ใบเป็นใบประกอบแบบขนปลายคู่ ออกเรียงสลับ ใบย่อย 8-20 คู่ ยาว 5-15 ซม. ใบย่อยรูปขอบขนาน ยาว5-15 ซม. แกมรูปรี โคนใบมน ปลายใบมน กลม หรือเว้านิดหน่อย ไม่มีต่อม ฐานใบมนไม่เท่ากันทั้งสองด้าน ขอบของใบเรียบมีสีแดง ศูนย์กลางใบครึ้ม ยาวโดยประมาณ 30-60 ซม. ก้านใบประกอบยาวประมาณ 2 เซนติเมตร หูใบรูปติ่งหู สามเหลี่ยม ยาว 6-8 มม. ติดทน ดอกย่อยมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4 เซนติเมตร ก้านดอกย่อยสั้นมากมาย ใบประดับประดาเป็นแผ่นบางๆกลีบเลี้ยงสีเขียวปลายแหลมมี 5 กลีบ กลีบดอกสีเหลืองปลายมนมี 5 กลีบ ลายเส้นที่กลีบดอกเห็นได้ชัด เกสรตัวผู้ยาว ไม่เท่ากัน เกสรตัวเมียมี 1 อัน ผลมีลักษณะเป็นฝักรูปแถบ ยาว แบน รวมทั้งเกลี้ยงไม่มีขน ฝักมีขนาดยาวโดยประมาณ 10-20 เซนติเมตรและกว้างประมาณ 1.5-2 ซม. มีสันหรือปีกกว้าง 4 ปีก ปีกกว้างโดยประมาณ 5 มิลลิเมตรตามความยาวของฝัก ฝักมีฝาผนังกั้น ฝักเมื่อแก่จะเป็นสีดำและก็แตกตามยาว ด้านในฝักมีเมล็ดประมาณ 50-60 เม็ด เม็ดเป็นสามเหลี่ยมสีดำ มีผิวตะปุ่มตะป่ำ มีขนาดกว้างโดยประมาณ 5-8 มิลลิเมตรและก็ยาวราว 7-10 มม.
การขยายพันธุ์ ชุมเห็ดเทศสามารถแพร่พันธุ์ได้ 2 วิธีเป็นการใช้เมล็ดและก็การปักชำ แต่ว่าส่วนมากจะนิยมเพาะพันธุ์ด้วยเม็ดมากยิ่งกว่าซึ่งมีวิธีการปลูกดังต่อไปนี้
1. การเตรียมดินให้กำจัดวัชพืชและก็เศษสิ่งของ พร้อมกับไถลูกพรวนแล้วก็ตากดินไว้ 7-15 วัน แล้วให้ปุ๋ยคอกอัตรา 2 ตันต่อไร่
2. การเตรียมชนิด คัดเลือดเม็ดที่แก่จัดแล้วนำมาแช่น้ำไว้ 1 คืน แล้วคลุกกับทรายในอัตรา 1: 1-2 แล้วหุ้มด้วยผ้าขาวบาง รดน้ำให้เปียกแฉะ เก็บในที่ร่ม 1-2 วัน เม็ดก็จะเริ่มแตกหน่อ
3. การปลูก แม้ปลูกแบบหยอดหลุมด้วยเม็ดที่เริ่มงอก ให้หยอดหลุมละ 5-6 เมล็ดให้มีระยะห่างระหว่างต้น และก็ระหว่างแถว 3x4 เมตร เมื่อปลูกเสร็จใช้ผางปกคลุมบางๆรดน้ำให้เปียกแฉะ ถ้าหากปลูกแบบใช้ต้นกล้าให้น้ำต้นกล้าที่เพาะจากเม็ดที่แก่ 30 วัน หรือมีใบจริง 5-7 ใบ มาปลูกลงแปลง รดน้ำให้เปียก ปักไม้ค้ำยันไว้รวมทั้งผูกชิดกับต้นกล้าแล้วคลุมโคนต้นด้วยผางและก็ควรจะรดน้ำให้ชุ่มเสมอในช่าง 2 เดือนแรก
ส่วนประกอบทางเคมี ชุมเห็ดเทศมีส่วนประกอบทางเคมีที่สำคัญมีสารกลุ่ม Anthraquinone โดยในใบชุมเห็ดเทศ ต้องมีสาระสำคัญ Hydroxy-anthracene derives ไม่น้อยกว่า 1.0% w/w (โดยคำนวณเป็น rhein-8-glucoside) อย่างเช่น Aloe-emodin, Chrysophanol , Chrysophanic acid, lsochrysophanol, Physcion glycoside, Terpenoids, Sennoside, Sitosterols, Lectin, Rhein.
ผลดี / สรรพคุณ [/size][/b]
หนังสือเรียนยาไทย: ใช้ด้านในแก้ท้องผูก เป็นยาระบาย ไปกระตุ้นทำให้ลำไส้ใหญ่บีบตัวดีขึ้น สมานธาตุรักษากระเพาะอักเสบ แก้กษัยเส้น ทำหัวใจให้ปกติขับฉี่ ขับพยาธิ ใช้ด้านนอก รักษาฝี และก็แผลพุพอง รักษากลาก เกลื้อน โรคผิวหนัง อมบ้วนปาก รักษาผิวหนังอักเสบเป็นผื่นคัน เส้นประสาทอักเสบ โดยใช้ส่วนของ ใบ เป็นยาถ่าย ใช้ข้างนอกรักษากลาก แก้แมลงสัตว์กัดต่อย และก็โรคผิวหนังอื่นๆใช้ถ่ายพยาธิตัวตืด ใบสด ใช้รักษากลากเกลื้อน ตำพอก เร่งหัวฝี ใบแล้วก็ดอก ทำยาต้มรับประทาน เป็นยาระบายแก้ท้องผูกขับเสลดในรายที่หลอดลมอักเสบ รวมทั้งแก้หืด เม็ด มีกลิ่นเบื่อ รสเหม็นเบื่อน้อยใช้ขับพยาธิ แก้ตานซาง แก้ท้องเฟ้อ แก้นอนไม่หลับ ฝัก มีรสเหม็นเบื่อเบื่อ แก้พยาธิ เป็นยาระบาย ขับพยาธิตัวตืด พยาธิไส้เดือน ต้นและก็ราก แก้กษัยเส้น แก้ท้องผูก บำรุงหัวใจเปลือกและแก่นไม้ ใช้ขับน้ำเหลืองเสีย ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบันระบุว่า ชุมเห็ดเทศเป็นยาระบายที่ดี เนื่องจากมีทั้งแอนทราควิโนน ซึ่งเป็นยาระบาย และแทนนิน ซึ่งเป็นยาฝาดสมาน จึงเป็นยาระบายที่สมานธาตุในตัว รวมทั้งในชุมเห็ดเทศยังมีพฤกษเคมีที่เป็นยาและก็สารต้านนุมูลิอิสระสำคัญหลายแบบ โดยมีการทดสอบสารสกัดหยาบคายจากใบ เปลือกลำต้น ดอก ผล สกัด โดยใช้เอทิลอะสิเตทแล้วก็เมทานอล พบสารฟลาโวนอยด์ แอนทราควิโนน คูมาริน ซาโปนิน แทนนิน เทอร์ปินอยด์ สเตอร์รอยด์ แล้วก็คาดิแอคไกลโคไซด์ แต่ว่าไม่เจอสารแอลคาลอยด์ ในทุกส่วนของชุมเห็ดเทศ และก็พบว่าสารสกัดอีกทั้ง 8 แบบอย่าง มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ยิ่งไปกว่านี้ สารสกัดทั้งยัง 8 แบบอย่างสารมารถต้านเชื้อ Bacillus subtilis และก็ Staphy-lococcus aureus ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารสกัดเมทานอลจากดอกชุมเห็ดเทศประเภทเดียวเท่านั้นที่ต่อต้านเชื้อ Pseudomonas auroginosa ได้ แต่ไม่มีสารใดที่มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อ E.coli การศึกษาเล่าเรียนการออกฤทธิ์ของ Senna alata (L.) Roxb. หรือชุมเห็ดเทศสำหรับการยับยั้งการก้าวหน้าของเชื้อก่อโรคพบว่าสารสกัดจากชุมเห็ดเทศสามารถยั้งการเจริญของเชื้อก่อโรคได้หลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น เชื้อรา แบคทีเรีย เชื้อไวรัส ปรสิต รวมทั้งยังมีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด ต่อต้านการก่อยั้งเนื้องอก เป็นยาระบาย ขับปัสสาวะ ลดการอักเสบ แก้ปวดอีกด้วย
รูปแบบ/ขนาดวิธีใช้ท้องผูก ใช้ใบจำนวน 12-15 ใบย่อย ตากแห้ง คั่ว (หากไม่คั่วซะก่อน จะกำเนิดอาการข้างๆ เป็นอาจมีอาการอาเจียนอ้วก เมื่อคั่วความร้อนจะช่วยให้สารที่ออกฤทธิ์ทำให้อ้วกอาเจียนสลายไป) และจากนั้นจึงนำไปต้มกับน้ำพอเหมาะ ดื่มครั้งเดียวก่อนกินอาหารช่วงเช้ามืด หรือก่อนนอน หรือใช้ผงใบ 3-6 กรัม ชงน้ำเดือด 120 มิลลิลิตร เป็นเวลา 10 นาที ดื่มก่อนนอน บางทีอาจทำเป็นยาลูกกลอนก็ได้ หรือใช้ช่อดอกสด 1-3 ช่อดอก ลวก จิ้มน้ำพริก หรือใช้ดอก 1 ช่อ กินใหม่ๆเป็นยาระบาย รวมถึงใช้ใบแล้วก็ก้านขนาดใหญ่ ราวๆ 3-5 ช่อ เอามาต้มกับน้ำราวๆ 2 ขัน(1500 ซี.ซี.) ต้มให้เดือดเหลือน้ำราว 1/2 ขัน ใส่เกลือพอมีรสเค็มน้อย ดื่มวันละ 1 แก้ว (250 ซี.ซี.)ครั้งถัดมา รับประทานดอกครั้งละโดยประมาณ 1 ช่อ
การใช้ชุมเห็ดเทศรักษากลาก เกลื้อน นำใบสดมาตำอย่างละเอียดใช้ทาบริเวณที่เป็นขี้กลากหรือผื่นคัน หรืออาจนำใบชุมเห็ดเทศ 3-4 ใบ มาตำให้รอบคอบเพิ่มน้ำมะนาวหน่อยเดียว ทาบริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้ง หรือใช้ใบสดขยี้ถูนานๆแล้วก็บ่อยๆตรงบริเวณที่เป็น
รวมถึงใช้ใบสด 4-5 ใบ ตำรวมกับกระเทียม 4-5 กลีบ แล้วเพิ่มปูนแดงบางส่วน ทาบริเวณที่เป็นซึ่งได้ใช้ไผ่บางๆฆ่าเชื้อโรคแล้วขูดผิวบริเวณที่นั้นให้มีสีแดง(กรณีกลาก) ทาวันละ3-4 ครั้ง จนกว่าจะหาย รวมทั้งเมื่อหายแล้วให้ทาไปอีก 1 อาทิตย์ หรือจะใช้ใบสดตำแช่สุรา เอาส่วนเหล้าทาบริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้ง จนกว่าจะหาย พบว่าได้ผลลัพธ์ที่ดี แต่ว่าไม่ค่อยเห็นผลในขี้กลากที่ผมรวมทั้งเล็บ
รักษาฝีแผลพุพอง ใช้ใบชุมเห็ดเทศ 1 กำมือ ต้มกับน้ำพอท่วม ต้มให้เหลือ 1 ใน 3 นำมาล้างฝีที่แตกแล้ว หรือแผลพุพอง วันละ 2 ครั้งเช้า เย็น ถ้าเกิดรอบๆที่เป็นกว้างมากใช้สมุนไพร 10-12 กำมือ ต้มกับน้ำใช้อาบตอนเช้าเย็น จนกว่าจะหาย
ใช้ใบสดตำพอก เพื่อเร่งให้หัวฝีออกเร็วขึ้น หรือจะใช้ใบผสมกับน้ำปูนใสหรือเกลือหรือน้ำมันตำพอก รักษาขี้กลาก แมลงสัตว์กัดต่อย โรคผิวหนัง ยิ่งไปกว่านี้ยังคงใช้ใบตำพอกหรือคั้นเอาน้ำผสมน้ำปูนใสทาหรือผสมวาสลิน ใช้ทำเป็นยาขี้ผึ้งทาได้อีกด้วย
ส่วนยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติที่ชี้แนะให้ใช้เป็น กินครั้งละ 1 – 2 ซอง (ใบชุมเห็ดเทศแห้งซองละ 3 กรัม) (3 – 6 กรัม) ชงในน้ำเดือด 120 มล. นาน 10 นาที วันละ 1 คราวก่อนนอน บรรเทาอาการท้องผูก
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์กระตุ้นการเคลื่อนไหวของไส้ สารสกัดจากใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำขนาดเท่ากันผงใบชุมเห็ดเทศแห้ง 5 กรัม/กก. ทำให้ลำไส้เล็กส่วนปลายของหนูตะเภาหดตัวได้ปริมาณร้อยละ 25 ของฤทธิ์จากฮีสตามีน 1 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำขนาดเสมอกันผงใบ
ชุมเห็ดเทศแห้ง 10 แล้วก็ 20 กรัม/กิโลกรัม มีผลเพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้ของหนูเม้าส์ได้มากกว่ากรุ๊ปควบคุมอย่างเป็นจริงเป็นจัง สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำในขนาด 15 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ทำให้ลำไส้เล็กส่วนปลายของหนูตะเภาหดตัวได้ในหลอดทดสอบ ในขณะที่สารกลัยโคไซด์จากใบชุมเห็ดเทศมีฤทธิ์กระตุ้นกล้ามเรียบในลำไส้
ฤทธิ์สำหรับในการรักษาอาการท้องผูก เมื่อให้สารสกัดจากใบชุมเห็ดเทศแห้งด้วยน้ำร้อนกับหนูแรททางปากในขนาด 500 และ 800 มิลลิกรัม/กิโลกรัม พบว่ามีฤทธิ์ช่วยระบาย และก็เมื่อให้สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำกับหนูเม้าส์ทางปากในขนาดเทียบเท่าผงใบชุมเห็ดเทศแห้ง 5, 10 แล้วก็ 20 กรัม/กิโลกรัม จะทำให้หนูเม้าส์ถ่ายเหลว โดยการให้ในขนาดต่ำ (5 กรัม/กก.) จะออกฤทธิ์ช้ากว่าในขนาดสูง (10 แล้วก็ 20 กรัม/โล) สาร anthraquinone glycoside จากใบตัวอย่างเช่น isocrysophanol, physcion-l-glycoside, chrysophanol, emodine, rhein, แล้วก็ aloe-emodin มีฤทธิ์เป็นยาถ่าย
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อจุลชีวัน สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำ สารสกัดด้วยเอทานอล สารสกัดด้วยเมทานอล แล้วก็สาร aloe-emodin, rhein emodol, 4,5-dihydroxy-1-hydroxymethylanthrone, 4,5-dihydroxymethylanthraquinone รวมทั้ง chrysophanol จากใบชุมเห็ดเทศ มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อราที่ผิวหนังยกตัวอย่างเช่น Epidermophyton floccosum , Microsporium gypseum, Trichophyton rubrum , T. mentagrophytes รวมทั้ง M. canis เมื่อเทียบกับยา tolnaftate สารสกัดด้วยน้ำรวมทั้งเอทานอลจากเปลือกต้นชุมเห็ดเทศสามารถยับยั้งเชื้อยีสต์ Candida albicans ได้ โดยที่ความเข้มข้น 30 ไมโครกรัม/ไมโครลิตร จะได้ผลดีเมื่อเปรียบเทียบกับยา ticonazole 30 ไมโครกรัม/ไมโครลิตร แม้กระนั้นสารสกัดจากใบด้วยน้ำและก็เอทานอลไม่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อยีสต์ น้ำมันหอมระเหยจากใบชุมเห็ดเทศ สารสกัดจากเปลือกต้นด้วยเมทานอล มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย Bacillus subtilis ในจานเพาะเชื้อได้ปานกลาง สารสกัดด้วยน้ำจากใบชุมเห็ดเทศสามารถยั้งเชื้อ Escherichia coli ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อพอดีความเข้มข้นมากกว่า 21.8 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร
ผลที่เกิดจากการวิจัยทางคลินิก (clinical pharmacology) การเรียนฤทธิ์สำหรับการรักษาอาการท้องผูก การเรียนทางสถานพยาบาลแบบสุ่มมีกลุ่มควบคุมระหว่างชงชาชุมเห็ดเทศ มิสท์แอลบา แล้วก็ยาหลอก ในโรงหมอชุมชน 5 ที่ และก็โรงหมอทั่วไป 1 ที่ ผู้ป่วยที่ไม่อุจจาระติดต่อกันเกิน 72 ชั่วโมง ปริมาณ 80 ราย แบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรก รับยาหลอกเป็นน้ำ เติมสีคาราเมล 120 มล. จำนวน 28 ราย กรุ๊ปที่สองรับยามิสท์แอทบา 30 มิลลิลิตร น้ำ 90 มิลลิลิตร จำนวน 28 รายและกรุ๊ปที่สามรับน้ำละลายชุมเห็ดเทศ ได้จากการชงผงชุมเห็ดเทศจำนวน 3-6 กรัม ในถุงกระดาษ แช่ลงไปภายในน้ำเดือด 120 มิลลิลิตร นาน 10 นาที ปริมาณ 24 ราย คนป่วยทั้ง 3 กรุ๊ปมีลักษณะไม่มีความต่างกัน ได้รับยารับประทานก่อนนอนประเมินผลจากการขี้หรือเปล่าขี้ข้างใน 24 ชั่วโมง พบว่า เห็นผลอึข้างใน 24 ชั่วโมง ร้อยละ 18,86 รวมทั้ง 83 ตามลำดับ ซึ่งพบว่าผลของกลุ่มชุมเห็ดเทศและมิสท์แอลบาดีกว่ายาหลอกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติแต่ว่าเจออาการท้องเดินในกรุ๊ปที่ได้รับมิสท์แอลบามากยิ่งกว่า ผู้ป่วยกรุ๊ปที่ได้รับชุมเห็ดเทศมีความพึงพอใจมากกว่ายาหลอก สรุป ยาชงชุมเห็ดเทศมีประสิทธิภาพที่ดีสำหรับในการรักษาท้องผูก
ส่วนอีกการทดสอบหนึ่งพบว่าเมื่อผสมผงใบชุมเห็ดเทศในของกินในขนาดปริมาณร้อยละ 2 แล้วก็ 10 ของของกิน แล้วให้หนูแรทรับประทานนาน 4 อาทิตย์ จะเจอแผลในไส้ ตับ และก็ไต รวมทั้งหรูหราฮีโมโกลบินรวมทั้ง packed cell volume (PCV) สูงขึ้น แม้กระนั้นจำนวนเม็ดเลือดแดงต่ำลงใน 2 สัปดาห์แรก เมื่อใส่สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยเอทานอลขนาด 100 มิลลิกรัมในน้ำให้หนูแรทกินนาน 14 วัน พบว่ากำเนิดแผลในตับ เซลล์ตับตายขจัดขจายและก็มีการคั่งของเลือดในเส้นเลือดดำ การฉีดสารemodin แล้วก็ kaemferol ขนาด
10 มิลลิกรัม เข้าช่องท้องหนูแรทติดต่อกัน 14 วัน หรือฉีดสาร aloe-emodin ขนาด 100 มิลลิกรัม สาร rhein ขนาด 70 มก. เข้าท้องนาน 4 วัน พบว่ากำเนิดแผลในตับของหนูทุกกรุ๊ป กลุ่มที่ได้รับ aloe-emodin จะพบเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลาย หนูทุกกลุ่มหรูหราฮีโมโกลบิน แล้วก็ PCV น้อยลงภายใน 14 วัน เมื่อป้อนสารสกัดจากใบด้วยน้ำขนาด 10, 50, 100 และ 250 มิลลิกรัม/กก. ให้หนูแรทนาน 14 วัน จะพบระดับฮีโมโกลบินและก็ เม็ดเลือดแดงมากขึ้น ในขณะเดียวกันหนูมีลักษณะอาการเบื่ออาหาร ผอมแห้งแรงน้อยและก็น้ำหนักลด
การเล่าเรียนในผู้เจ็บป่วยที่เป็นโรคกลากและเกลื้อนสารสกัดจากใ
ชุมเห็ดเทศ[/url]ด้วยแอลกอฮอล์และครีมชุมเห็ดเทศเข้มข้นปริมาณร้อยละ 20 สามารถรักษาคนไข้โรคกลาก 30 ราย และโรคเกลื้อน 10 ราย ได้ดิบได้ดีเท่ากันกับยาขี้ผึ้ง whitfield แต่ว่าไม่เป็นผลรักษาราที่เล็บรวมทั้งหนังหัว ยาจัดแจงชุมเห็ดเทศในรูปแบบทิงเจอร์แล้วก็ครีม(ซึ่งมีสารสำคัญ rhein 600 ไมโครกรัม/กรัม) ได้ผลสำหรับในการรักษาผู้ป่วยโรคกลากเกลื้อนที่ผิวหนังได้เหมือนกับยาครีมโคลตรีมาโซลร้อยละ 1 สารสกัดใบชุมเห็ดเทศสดด้วยน้ำ (ใบสด 100 กรัมต่อน้ำ 50 มิลลิลิตร) ความเข้มข้นปริมาณร้อยละ 100 ทาบริเวณแขน และก็ขา หรือความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 90 ทาบริเวณคอ และมือ แล้วก็ความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 80 ทาบริเวณหน้า วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน 2 ชั่วโมง มีผลรักษาโรคกลากโรคเกลื้อนชนิด Pityraisis versicolor ที่มีต้นเหตุมาจากเชื้อรา Malassezia furfur ในผู้ป่วยปริมาณ200 คนได้
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา การทดสอบความเป็นพิษ การทดลองความเป็นพิษกระทันหัน พบว่าสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์จำนวนร้อยละ 50 ในขนาด 15 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 โล ไม่มีพิษเมื่อให้หนูเม้าส์ทางปากและก็ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง แต่ว่ามีความเป็นพิษน้อยเมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องหนูเม้าส์ และเมื่อฉีดสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์ร้อยละ85 เข้าทางช่องท้องหนูเม้าส์ในขนาด 2 กรัม/โลก็ไม่เจอความเป็นพิษ สารสกัดจากใบด้วยน้ำและสารสกัดจากส่วนเหนือดินของชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์ร้อยละ 50 มีความเป็นพิษปานกลางเมื่อฉีดเข้าทางท้องหนูเม้าส์
โดยขนาดของสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์ปริมาณร้อยละ 50 ที่ทำให้หนูถีบจักรตายจำนวนร้อยละ 50 (LD50) คือ ขนาดที่ให้ทางปากรวมทั้งทางผิวหนังมากกว่า 15 กรัมต่อกิโลกรัมและทางท้อง 8.03 กรัมต่อกิโล
การทดลองพิษครึ่งหนึ่งเรื้อรังของผงใบ
ชุมเห็ดเทศในหนูขาววิสตาร์ 4 กลุ่ม กลุ่มละ 24 ตัว (เพศผู้ 12 ตัว เพศเมีย 12 ตัว) เป็นกลุ่มควบคุมและกรุ๊ปที่ได้รับยาทางปากขนาด 0.03 , 0.15 แล้วก็0.75 กรัมต่อกิโลต่อวัน (ซึ่งเทียบได้กับได้รับ 1 5 และก็ 25 เท่า ของขนาดที่รักษาในคน) ผลคือ ไม่เจอพิษทุกกลุ่ม มีการเจริญวัยปกติการตรวจทางโลหิตวิทยาและชีวเคมีปกติ ไม่เจอพยาธิสภาพและจุลพยาธิวิทยาของอวัยวะภายในที่ไม่ดีเหมือนปกติ
พิษต่อระบบสืบพันธุ์ เมื่อฉีดสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์ร้อยละ 50 เข้าช่องท้องหนูแรทในขนาด 125 มก./โล ไม่มีผลทำให้แท้งและไม่เจอพิษต่อตัวอ่อนแต่ผลต่อความเคลื่อนไหวของรอบเดือนไม่ชัดแจ้ง ส่วนสารสกัดจากใบด้วยน้ำขนาด300ไมโครกรัม/มล. มีฤทธิ์ทำให้มดลูกหนูแรทหดตัวในหลอดทดลองรวมทั้งมีฤทธิ์เสริม oxytocin
พิษต่อเซลล์ การทดลองความเป็นพิษต่อเซลล์โดยใช้ brine shrimp พบว่าสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำในขนาด 7.74 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ทำให้ brine shrimp ตายไปกึ่งหนึ่ง และก็สารสกัดนี้มีความเป็นพิษต่อเซลล์ Vero โดยความเข้มข้น 1,414 ไมโครกรัม/มล. ทำให้เซลล์ Vero ตายไปครึ่งเดียว
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยเอทานอล มีผลก่อกลายพันธุ์ในSalmonella typhimurium strain TA98 และพบว่าสารสกัดชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์ มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ S. typhimurium strain TA98 และก็TA100 โดยสำหรับเพื่อการออกฤทธิ์ปรารถนาเอนไซม์จากตับหนูกระตุ้นการออกฤทธิ์
ข้อเสนอ/ข้อควรปฏิบัติตาม1. รอบคอบการใช้ในเด็กอายุต่ำยิ่งกว่า 12 ปี ผู้เจ็บป่วย inflammatory bowel disease รวมทั้งภาวะทางเดินอาหารอุดตัน คนสูงอายุ หญิงให้นมบุตร เพราะเหตุว่าสารmetabolite บางตัวเช่น rhein ถูกคัดเลือกหลั่งทางน้ำนม
2. ควรที่จะใช้ยาระบายเป็นครั้งคราว ไม่ควรใช้ติดต่อกัน เพราะว่าสารแอนทราควิโนนในใบชุมเห็ดเทศ มีฤทธิ์ทำให้ลำไส้บีบตัวและขยับเขยื้อนเร็ว ใช้ติดต่อนานจะมีผลให้ลำไส้เคยชินต่อการใช้ยา ถัดไปถ้าไม่ใช้จะมีผลให้ไส้ไม่บีบตัวไม่ขยับเขยื้อนกำเนิดอาการท้องผูก
https://www.disthai.com/[/b]
3. การรับประทานยาในขนาดสูงอาจจะเป็นผลให้เกิดไตอักเสบ มีเลือดหรือโปรตีนในฉี่มากยิ่งกว่าปกติ
4. การใช้ต่อเนื่องนานๆอาจมีผลลดจำนวนเม็ดเลือดแดง และฮีโมโกลบิตแล้วก็อาจก่อให้เกิดแผลที่ตับ
5. การใช้ตลอดในขนาดสูงนานๆอาจกำเนิดระบบการดูดซึมผิดปกติ มีการดูดกลับของเหลวลดลง เกิดภาวะระดับโพเทสเซียมรวมทั้งแคลเซียมในเลือดต่ำ
6. ห้ามใช้ในสตรีท้อง
7. การใช้ชุมเห็ดเทศในระยะแรกๆอาจส่งผลให้เกิดอาการไม่ปรารถนา ดังเช่นว่า ลักษณะของการปวดมวนท้องเนื่องด้วยการบีบตัวของลำไส้ใหญ่และก็อาจมีอาการอาเจียน อาหารไม่ย่อยแล้วก็ปวดท้องได้
หนังสืออ้างอิง
1. ภก.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ.ชุมเห็ดไทย/ชุมเห็ดเทศ.คอลัมน์ สมุนไพรน่ารู้.แมกกาซีนหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 26 .ก.ค. .2524
2. ฉัตรโย สวัสดิไชย,สุรศักดิ์ อิ่มใหม่.ชุมเห็ดเทศ.ยาน่ารู้.วารสารศูนย์การเล่าเรียนแพทยศาสตร์คลินิก โรงพยาบาลพระปกเกล้า.ปีที่ 34 ฉบับที่4.ตุลาคม-ธ.ค..2560 หน้า.352-355
3. ดร.วิทย์ เที่ยงตรงบูรณธรรม.“ชุมเห็ดเทศ”. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. หน้า 271-274.
4. เปี่ยม บุณยะโชติ. ตำราเรียนโบราณเกี่ยวกับโรคเด็กแล้วก็สุภาพสตรี. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เฟื่องอักษร, 2514. หน้า 39.
5. กองวิจัยทางการแพทย์. สมุนไพรประจำถิ่น ในตอนที่ 1. กรุงเทพมหานคร: กรมวิทยาศาตร์การแพทย์. กระทรวงสาธารณสุข, 2526. หน้า 34.
6. ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, เครื่องหมายชัย มังคละปะทุปต์. “ชุมเห็ดเทศChumhet Tet)”. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1 หน้า 108.
7. พระเทวดากระจ่างเมาลี. หนังสือเรียนยากลางบ้าน. จังหวัดกรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มงกุฏราชวิทยาลัย, 2524. หน้า 140.
8. ชุมเห็ดเทศ.ฐานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ม.อบ..
9. วิทยา บุญวรพัฒน์. “ชุมเห็ดเทศ”. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีนที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. หน้า 208.
10. เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก. “ชุมเห็ดเทศ”. หนังสือสมุนไพรบรรเทาเบาหวาน 150 จำพวก. หน้า 74-75.
11. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ชุมเห็ดเทศ Ringworm Bush”. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีต้นไม้. หน้า 75.
12. ชุมเห็ดเทศ.ฐานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ม.อบ..
13. คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา. บัญชียาจากสมุนไพร พ.ศ. 2549 ตามประกาศคณะกรรมการแห่งชาติด้านยา (ฉบับที่ 5) พุทธศักราช2549 เรื่องบัญชียาหลักแห่งชาติพ.ศ. 2547 (ฉบับที่ 4). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์รวมกันสหกรณ์การเกษตรที่เมืองไทยจำกัด, 2549
14. วันดี กฤษณพันธ์ แม้นสรวง วุฒิอุดมเลิศ ดอกมะลิ ตรีบารมี สุภาวี อาชวาคม. การศึกษาฤทธิ์ต้านเชื้อราของสารแอนทราควิโนนจากใบชุมเห็ดเทศ. การสัมมนาวิชาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เมืองไทย ครั้งที่ 24, 19-21 ตุลาคม ณ. ศูนย์สัมมนาแห่งชาติสิริกิตติ์ กรุงเทพฯ, 2541.
15. Harrison J, Garro CV. Study on anthraquinone derivatives from Cassia alata L. (Leguminosae). Rev Peru Bioquim 1977;(1):31-2.
16. จินตนาการ สุทธชนาความรื่นเริง และก็ภาควิชา. ฤทธิ์ต้านทานเชื้อราของใบชุมเห็ดเทศ. รวมบทคัดย่องานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยการแพทย์แผนไทยรวมทั้งทิศทางการค้นคว้าในอนาคต สถาบันการแพทย์แผนไทย, 2543.
17. Akah PA. Abortifacient activity of some Nigerian medicinal plants. Phytother Res 1994;8(2):106-8.
18. Plengvidhya P, Suvagondha C. A study of diagnostic contents of leaves of some members in genus Cassia. J Pharm Assoc Siam, Third series 1957;10(1):10-2.
19. เกษร นันทจิต. ฤทธิ์ต้านทานจุลชีพของใบชุมเห็ดเทศ (Cassia alata Linn.). รายงานการวิจัย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, 2538.
20. เสาวลักษณ์ ดงษ์งาม. ฤทธิ์ต้านจุลอินทรีย์ของสารสกัดจากพืชสกุล Cassia sp. รายงานการวิจัย ที่ทำการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, 2543.
21. Thamlikitkul V, Dechatiwonges T, Chantrakul C, et al. Randomized controlled trial of Cassia Alata Linn. for constipation. J Med Assoc Thai 1990;73(4):217-21.
22. Mokkhasmit M, Swatdimongkol K, Satrawaha P. Study on toxicity of Thai medicinal plants. Bull Dept Med Sci 1971;12(2/4):36-65.
23. Rao JVLN, Sastry PSR, Poa RVK, Vimaladevi M. Occurrence of kaempferol and aloe-emodin in the leaves of Cassia alata. Curr Sci 1975;44(20):736-7.
24. ทุ่งนาถฤดี สิทธิสมตระกูล ทรงพล ชีวะพัฒน์ เอมมโน หวังหมัด สุธิดา ไชยราช พัชรินทร์ รักษามั่น จรินทร์ จันทรฉายะ. พิษของใบชุมเห็ดเทศ. นิตยสารกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์2534;33(4):145-54.
25. Somchit MN, Reezal I, Nur IE, Mutalib AR. In vitro antimicrobial activity of ethanol and water extracts of Cassia alata. J Ethnopharmacol 2003;84:1-4.
26. Fuzellier MC, Mortier F, Lectard P. Antifunga