กระทู้ล่าสุดของ: pslkoo1df5ds5

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: [1]
1  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ความเป็นมาของต้นราชพฤกษ์ เมื่อ: สิงหาคม 15, 2018, 03:06:50 pm
[/b]
ราชพฤกษ[/size][/b]
ความเป็นมาของต้นราชพฤกษ์
   จากอดีตกาลก่อนหน้านี้กว่า 50 ปี ทางด้านราชการมีความอุตสาหะหลายคราวสำหรับในการกำหนดให้มีสัญลักษณ์ประจำชาติไทย โดยเฉพาะการกำหนด ต้นไม้ แล้วก็ ดอกไม้ ประจำชาติ เริ่มที่กรมป่าไม้ได้ชวนให้ประชากรสนใจต้น[url=http://www.disthai.com/16488365/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C]ราชพฤกษ[/b]หรือคูณมาตั้งแต่ตอนปี พุทธศักราช2494 โดยรัฐบาลมีมติให้ถือวันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันต้นไม้ประจำปีของชาติ (arbour day) มีการชวนให้ปลูกต้นไม้ที่มีคุณประโยชน์ประเภทต่างๆเยอะแยะ ในเวลาเดียวกันก็ได้มีการเสนอว่า ต้นราชพฤกษ์ น่าจะนับว่าเป็นต้นไม้ประจำชาติ
ราชพฤกษ์
   จนกระทั่งในปี พ.ศ.2506 มีการประชุมเพื่อกำหนดเครื่องหมายต้นไม้และก็สัตว์ประจำชาติเป็นครั้งแรก โดยกรมป่าไม้ได้เสนอให้ ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูณ พืชที่มีความเป็นสิริมงคลที่มีประโยชน์และก็รู้จักกันอย่างล้นหลามฯลฯไม้ประจำชาติ สำหรับสัตว์ประจำชาติก็คือ ช้างเผือก สัตว์ที่มีคุณค่าเกี่ยวโยงกับขนบธรรมเนียมไทยและประวัติศาสตร์ไทยมายาวนาน การเสนอตอนนั้นไม่ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการ ด้วยเหตุนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาสัญลักษณ์ที่บอกถึงความเป็นอิสระยจึงมีมากมาย ตั้งแต่สถานที่สำคัญๆ สัตว์ ดอกไม้ ที่ชาวไทยเคยชินและพบเจอบ่อยมาก เป็นต้นว่า พระปรางค์วัดใกล้รุ่งฯ เรือสุพรรณหงส์ ดอกบัว ดอกมะลิ ดอกพุทธรักษา แมวไทย เหมือนกันกับ ต้นราชพฤกษ์ รวมทั้ง ช้างเผือก ยังคงถูกเชิดชูให้เป็นเครื่องหมายประจำชาติตลอดมา
            ปี พ.ศ.2530 มีการช่วยเหลือให้ปลูกต้นราชพฤกษ์อีกรอบ เพื่อเป็นการสรรเสริญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ โดยมีการเกื้อหนุนให้ปลูกต้นราชพฤกษ์ทั่วทั้งประเทศปริมาณ 99,999 ต้น ตอนนี้จึงมีต้ราชพฤกษ์
อยู่เยอะแยะทั้งประเทศไทย
            บทสรุปเรื่องเครื่องหมายประจำชาติดูเหมือนจะยังไม่ชัดเจน กระทั่งตอนปี พ.ศ.2544 คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ได้นำเรื่องดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นกลับมาเสนออีกรอบ และก็มีบทสรุปเสนอให้มีการกำหนดสัญลักษณ์ประจำชาติ 3 สิ่งคือ ดอกไม้ สัตว์แล้วก็สถาปัตยกรรม และการพิเคราะห์ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาเสนอให้ระบุดอกไม้ประจำชาติคือ ดอกราชพฤกษ์ สัตว์ประจำชาติ คือ ช้างไทย และก็สถาปัตยกรรมประจำชาติเป็น ศาลาไทย
            เหตุที่เลือก ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติด้วยเหตุว่ามีความเหมาะสมในหลายๆด้านหมายถึงเป็นดอกไม้จากต้นไม้ที่ถูกเสนอให้ฯลฯไม้ประจำชาติเมื่อครั้งที่กรมป่าไม้เสนอไว้ ฯลฯไม้ที่แก่ยืน แข็งแรง ปลูกขึ้นเจริญทั่วทุกภาคของประเทศ ฯลฯไม้ท้องถิ่นที่รู้จักแพร่หลาย มีชื่อเรียกหลายชื่อไม่เหมือนกันในแต่ละภาค เช่น ต้นลมแล้ง คูน อ๋อดิบ ราชพฤกษ์เป็นไม้มงคลใช้ประโยชน์ในพิธีสำคัญๆอาทิเช่น ลงหลักเมือง ลงเสาฤกษ์ ทำคฑาจอมพลและยอดธงชัยเฉลิมพลของกองทหาร ในช่วงฤดูร้อนราชพฤกษ์จะออกดอกสะพรั่งอีกทั้งต้น ช่อดอกมีทรงสวย สีเหลืองสวยงามเป็นเครื่องหมายของศาสนาพุทธอันเป็นศาสนาประจำชาติ และก็เป็นสีเดียวกับวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ นอกจากนี้ความสวยของช่อดอก และก็ความหมายที่ดียังถูกจำทดลองแบบตกแต่งไว้บนอินทรธนูของข้าราชการพลเรือนอีกด้วย
ดอกราชพฤกษ์ ดอกไม้ประจำชาติไทย
ส่งดอกไม้ประจำชาติไทย คือ ดอกราชพฤกษ์ (Golden shower) หรือ ชื่อทางด้านวิทยาศาสตร์ของ ดอกราชพฤกษ์เป็นCassia fistula
           ดอกไม้สีเหลืองอร่ามที่พบบ่อยมองเห็นได้ทั่วๆไปตามริมถนนสายต่างๆเป็นสีสันของ ดอกราชพฤกษ์ หรือ ดอกคูน ต้นไม้มงคลที่ได้รับการเชิดชูให้เป็น ดอกไม้ประจำชาติไทย ทั้งยังมั่นใจว่าเป็นต้นไม้ที่ปลูกไว้แล้วจะเสริมให้คนภายในบ้านทรงเกียรติขั้นชื่อ เสียงมากขึ้นเรื่อยๆด้วย ยิ่งใกล้ไปสู่เวลาที่การเปิดประตูต้อนรับเพื่อนบ้านอาเซียนกันแล้ว ในวันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยขอนำเนื้อหาสาระเกี่ยวกับดอกไม้ประจำชาติไทยอย่าง ดอกราชพฤกษ์ มาให้ทำความรู้จักกันแรง
ประวัติดอกราชพฤกษ์
           ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูน ฯลฯไม้ประจำถิ่นของทวีปเอเชียใต้ ตั้งแต่ปากีสถาน อินเดีย เมียนมาร์ รวมทั้งศรีลังกา โดยนิยมปลูกกันมากในเขตร้อน สามารถเจริญวัยได้ดิบได้ดีใน และมีชื่อเสียงในประเทศไทยมาหลายสิบปี โดยมีการเสนอให้ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทยตั้งแต่ปี พุทธศักราช 2506 แต่ว่าก็ยังมิได้ผลสรุปกระจ่าง จนตราบเท่ามีการลงนามให้เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย ตอนวันที่ 26 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2544
[/b]
ดอกไม้ประจำชาติไทย
           เนื่องจาก ต้นราชพฤกษ์ ออกดอกสีเหลืองชูช่อ มองสง่างาม ทั้งยังมีสีตรงกับ สีประจำวันพระราชการบังเกิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงถูกตั้งชื่อว่าเป็น "ต้นไม้ของพระมหากษัตริย์" รวมทั้งมีการลงนามให้ต้นราชพฤกษ์ ยอดเยี่ยมใน 3 เครื่องหมายประจำชาติไทย โดยมี 1. ช้าง เป็นสัตว์ประจำชาติไทย 2. ศาลาไทย เป็นสถาปัตยกรรมประจำชาติไทย และก็ 3. ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย
เหตุผลเลือกเป็นดอกไม้ประจำชาติไทย

  • เนื่องด้วยเป็นต้นไม้พื้นบ้านที่รู้จักกันอย่างล้นหลาม และมีอยู่ทุกภาคของเมืองไทย
  • มีประวัติเกี่ยวโยงกับจารีตประเพณีหลักๆในไทยและก็ฯลฯพืชที่มีความเป็นสิริมงคลที่นิยมนำมาปลูก
  • ใช้ประโยชน์ได้มากมาย อย่างเช่น ใช้เป็นยารักษาโรค ทั้งยังยังใช้ลำต้นเป็นเสาเรือนได้ เป็นต้น
  • มีสีเหลืองแพรวพราว พุ่มสวยเต็มต้น เปรียบเป็นสัญลักษณ์ที่ศาสนาพุทธ
  • มีอายุยืนนาน และก็แข็งแรง
ลักษณะทั่วไป
           ฯลฯไม้ขนาดกลาง สูงราว 10-20 เมตร มีดอกเป็นช่อสีเหลืองอร่าม แต่ละช่อยาวราว 20-40 เซนติเมตร โดยกลีบจะเป็นสีเหลือง 5 กลีบ ส่งผลยาวราว 30-60 เซนติเมตร มีกลิ่นแรง แล้วก็มีเมล็ดที่เป็นพิษ
การปลูกดอกราชพฤกษ์
           นิยมปลูกด้วยเมล็ด โดยจะมีการเจริญเติบโตช้าในช่วง 1-3 ปีแรก แต่หลังจากนั้นจะมีการเติบโตเร็วขึ้น และก็ออกดอกตอนอายุประมาณ 4-5 ปี
การรักษา
           แสงสว่าง : อยากแสงอาทิตย์จัด หรือกลางแจ้ง แล้วก็เจริญเติบโตได้ดิบได้ดีในเป็นพิเศษ
           น้ำ : ถูกใจน้ำน้อย ควรรดน้ำ 7-10 วันต่อครั้ง สามารถทนกับสภาพภูมิอากาศร้อนได้ดิบได้ดี
           ดิน : สามารถเติบโตได้ดิบได้ดีในดินร่วนซุย ดินร่วนผสมทราย หรือดินเหนียว
           ปุ๋ย : นิยมใส่ปุ๋ยหมัก หรือ ปุ๋ยคอก ในอัตรา 2-3 กก.ต่อต้น และควรให้ปุ๋ยปีละ 3-4 ครั้ง
การขยายพันธุ์
           วิธีเพาะพันธุ์ต้นราชพฤกษ[/b]ที่นิยมเป็นการเพาะเมล็ด โดยใช้เมล็ดใหม่ๆมาขลิบด้วยกรรไกรตัดเล็บ แต่จะต้องเลือกขลิบบริเวณด้านป้าน เนื่องจากว่าด้านแหลมจะมีต้นอ่อนอยู่ แล้วต่อจากนั้นนำไปแช่น้ำสะอาดทิ้งไว้ข้ามวัน จึงค่อยเทน้ำออกให้เหลือปริมาณพอหล่อเลี้ยงเมล็ดได้ แล้วทิ้งไว้อีกคืนก็จะเจอรากแตกออก แล้วก็สามารถนำลงปลูกได้เลย
ความเลื่อมใสเกี่ยวกับต้นราชพฤกษ์
           เชื่อว่าฯลฯพืชที่มีความมงคล ที่ควรปลูกไว้ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ แล้วก็แม้ปลูกเอาไว้ภายในบ้านจะช่วยให้มีเกียรติยศ เกียรติ และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางไสยเวท โดยใช้ใบทำน้ำพระพุทธมนต์สะเดาะเคราะห์ เพราะเป็นพืชที่มีความเป็นสิริมงคลนาม [url=http://www.disthai.com/]http://www.disthai.com/
[/b]
2  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ทับทิมเป็นสมุนไพรผลิตภัณฑ์สำหรับการบำรุงรักษา เมื่อ: สิงหาคม 08, 2018, 04:55:19 pm
[/b]
ทับทิ[/size][/b]
ทับทิม เป็นผลไม้ที่นิยมกินอย่างล้นหลาม โดยใช้ประโยชน์จากส่วนที่สำเร็จสดสูงที่สุดรวมทั้งยังนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆได้แก่ น้ำทับทิม สารสกัดจากทับทิม ผลิตภัณฑ์ด้านความงดงาม อีกทั้งยังคงใช้ทำเป็นยารักษาโรคตามสูตรยาโบราณในหลายประเทศ
[url=http://www.disthai.com/16488281/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1]ทัมทิม
อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระรวมทั้งสารพฤกษเคมีหลายแบบที่มีสาระต่อสภาพทางร่างกาย จึงเชื่อว่าอาจมีคุณประโยชน์สำหรับในการปกป้องโรคหรือบรรเทาอาการ ตัวอย่างเช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังหรือบรรเทาอาการหายใจไม่สะดวกจากโรคนี้ โรคหัวใจและเส้นเลือด คอเลสเตอรอลสูง โรคในระบบทางเดินอาหาร โรคความดันโลหิตสูง โรคในช่องปากแล้วก็โรคเหงือก โรคริดสีดวงทวาร โรคผิวหนัง รวมทั้งอื่นๆ
ในขณะนี้ยังมีงานศึกษาค้นคว้าวิจัยที่เล่าเรียนการใช้ทับทิมในต้นแบบแตกต่างกันกับการรักษาโรคที่ออกจะจำกัด ทำให้ยังไม่อาจจะเจาะจงประสิทธิภาพของทับทิมต่อการรักษาโรคได้เด่นชัด ซึ่งแบบอย่างการศึกษาเล่าเรียนเรื่องทับทิมกับโรคต่างๆมีดังนี้
โรคเส้นโลหิตแดงแข็ง ทับทิมเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายตัว ได้แก่ สารเอลลาจิแทนนิน (Ellagitannin) สารแทนนิน (Tannin) สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) สารโพลิฟีนอล (Polyphenol) ที่มั่นใจว่าช่วยยับยั้งปฏิกิริยาต่อต้านอนุมูลอิสระของไขมันไม่ดี ลดการสร้างโฟมเซลล์ และก็ลดการแข็งตัวของเส้นเลือด ก็เลยอาจช่วยลดการเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง
จากการเรียนฤทธิ์การต้านทานสารอนุมูลอิสระของทับทิมในผู้ที่มีน้ำหนักเกินจำนวน 22 คน จากการกินอาหารเสริมที่มีสารสกัดทับทิม วันละ 1,000 มก. (มีกรดแกลลิค 610 มก.) และวัดผลจากค่า TBARS ในเลือด (Thiobarbituric Acid Reactive Substances: TBARS) ซึ่งเป็นค่าการตรวจวัดฤทธิ์สำหรับเพื่อการต่อต้านสารอนุมูลอิสระ เพื่อเปรียบเทียบกับผลก่อนจะมีการทดสอบ พบว่าค่าดังที่กล่าวถึงแล้วต่ำลง ก็เลยคาดว่าการรับประทานทับทิมบางทีอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและก็เส้นโลหิต
ยิ่งไปกว่านี้ ยังมีงานศึกษาเรียนรู้วิจัยอีกชิ้นให้ผู้ป่วยโรคเส้นเลือดแดงแข็งปริมาณ 15 คน กินอาหารเสริมจากทับทิมเป็นระยะเวลามากกว่า 1 ปีขึ้นไปและก็ 3 ปีขึ้นไป เปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่มิได้ทานอาหารเสริม ผลปรากฏว่า กรุ๊ปที่รับประทานอาหาร 3 ปีขึ้นไป มีระดับไขมันที่ลดลงโดยประมาณ 16% เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่น ก็เลยทำให้เห็นว่าการรับประทานสารสกัดจากทัมทิมมากกว่า 3 ปี อาจมีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง ทั้งนี้ ยังคงจะต้องมีการศึกษาเสริมเติมในระยะยาวกับกลุ่มการทดลองขนาดใหญ่เยอะขึ้น ทำให้ยังไม่สามารถที่จะสรุปผลของทับทิมและการรักษาโรคหลอดเลือดแดงแข็งได้อย่างเห็นได้ชัด
โรคเหงือกอักเสบ ทับทิมคือผลไม้อีกจำพวกที่มีคุณสมบัติช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย จึงถูกนำมาใช้เป็นตัวเลือกสำหรับในการรักษาโรคเหงือก ด้วยเหตุว่าการรักษาหลักบางวิธีที่ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการบรรเทาอาการจากโรคมากเท่าที่ควรและลดการเสี่ยงด้านที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจากการดูแลรักษาโรคนี้โดยใช้สารเคมี
จากการทดสอบทางคลินิกกับผู้เจ็บป่วยโรคเหงือกอักเสบเรื้อรัง ปริมาณ 40 คน เพื่อมองประสิทธิภาพของเจลสารสกัดจากทับทิมเป็นระยะเวลา 224 ชั่วโมง โดยในแต่ละกลุ่มจะใช้แนวทางรักษาที่ไม่เหมือนกัน ผลพบว่า กรุ๊ปที่ใช้เจลสารสกัดจากทับทิมควบคู่กับการดูแลและรักษาโรคเหงือกอักเสบโดยกรรมวิธีขูดหินน้ำลาย เกลารากฟัน (Mechanical Debridement) มีอาการดีขึ้นภายใน 7 วันแรก เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่เหลือสำหรับเพื่อการทดสอบ ซึ่งเจลสารสกัดจากทับทิมจึงบางทีอาจนำไปประยุกต์ใช้เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากสำหรับคนเจ็บโรคเหงือกอักเสบพร้อมกันกับการดูแลและรักษาด้วยแนวทางรักษาที่เป็นมาตรฐานในอนาคต
สอดคล้องกับการทดสอบอีกชิ้นที่เรียนรู้ประสิทธิภาพของน้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ใช้ยาหลอกต้นแบบเจลสำหรับในการรักษาผู้ที่เป็นโรคเหงือกอักเสบปริมาณ 32 คน พบว่าการใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม วันละ 3 ครั้ง ตรงเวลา 4 สัปดาห์ มีสุขภาพโพรงปากดีขึ้นและก็ปัญหาโรคเหงือกอักเสบน้อยลงมากกว่ากลุ่มที่ใช้ยาหลอก การวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าสารสกัดจากทับทิมบางทีอาจนำไปใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เพื่อการบำรุงโพรงปาก อาทิเช่น ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก เพื่อช่วยคุ้มครองปกป้องและทุเลาอาการของโรคเหงือกอักเสบ
ป้องกันการเกิดคราบเปื้อนจุลินทรีย์ สารสกัดจากทับทิมมีประสิทธิภาพสำหรับในการลดคราบเปื้อนจุลอินทรีย์ตามผิวฟัน รวมทั้งบางทีอาจก่อให้เกิดโรคทางโพรงปากอีกหลายอย่าง ซึ่งจากการทดลองให้อาสาสมัครที่มีสุขลักษณะในช่องปากดี ปริมาณ 30 คน หยุดใช้น้ำยาบ้วนปากที่เคยใช้ปกติ แม้กระนั้นสลับมาใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกซิดีน (Chlorhexidine) และยาหลอกในแต่ละกรุ๊ป โดยใช้บ้วนปาก วันละ 2 ครั้ง ตรงเวลา 5 วัน ผลพบว่าอาสาสมัครที่ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมมีอัตราการเกิดคราบจุลอินทรีย์ลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญมากกว่ายาหลอก แม้กระนั้นมีคุณภาพไม่ต่างอะไรจากน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกซิดีน จึงเพียงพอจะบอกได้ว่าสารสกัดจากทับทิมอาจลดโอกาสสำหรับการกำเนิดคราบเปื้อนจุลินทรีย์ภายในช่องปาก
เวลาเดียวกัน การศึกษาอีกชิ้นก็ชี้ว่าสารสกัดทับทิมน่าจะมีส่วนช่วยสำหรับการลดการเกิดคราบจุลชีวัน ซึ่งสำหรับการทดสอบได้เก็บรอยเปื้อนจุลอินทรีย์จากโพรงปากของอาสาสมัครที่มีสุขภาพดีและกำลังจัดฟัน อายุ 9-25 ปี ปริมาณ 60 คน หลังงดเว้นแปรงฟันเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อเปรียบเทียบผลก่อนและข้างหลังการใช้น้ำยาบ้วนปากจำพวกไม่เหมือนกันในแต่ละกรุ๊ป ตัวอย่างเช่น น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน รวมทั้งยาหลอก ปรากฏพบว่า น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิมมีคุณภาพสำหรับในการลดคราบเปื้อนจุลอินทรีย์ลงมากที่สุดราวๆ 84% รองลงมาเป็นน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกซิดีน 79% รวมทั้งยาหลอกที่ลดลงเพียงแค่ 11% จึงอาจจะบอกได้ว่าสารสกัดจากทับทิมมีฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรียแล้วก็เป็นตัวเลือกสำหรับการใช้กำจัดคราบจุลชีพบนผิวฟัน ดังนี้ จากข้อมูลข้างต้นยังคงต้องมีการตำหนิดตามผลในระยะยาวจากการใช้สารสกัดทับทิมอย่างต่อเนื่อง เพราะเหตุว่าระยะเวลาในการทดสอบค่อนข้างจะสั้น
สภาวะคอเลสเตอรอลสูง ทับทิมมีคุณประโยชน์ที่กล่าวกันว่าสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้เป็นอย่างดี จากการเรียนผลการดื่มน้ำทับทิมเข้มข้น 40 กรัม ในผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 รวมทั้งมีภาวการณ์ไขมันในเลือดสูงจำนวน 22 คน เป็นระยะเวลา 8 อาทิตย์โดยระหว่างการทดสอบจะมีการเก็บข้อมูลอาหารที่ทานอาหารด้านใน 1 วัน ทุกๆ10 วัน (รวมทั้งอาหารที่มีสารฟลาโวนอยด์) หลังจบอาทิตย์ที่ 8 พบว่าคนป่วยมีระดับไขมันรวม ไขมันประเภทไม่ดี อัตราส่วนของไขมันไม่ดีกับไขมันดี และก็อัตราส่วนของไขมันรวมกับไขมันดีที่มีสะสมอยู่ในเลือดลดน้อยลง แต่ไม่เจอการเปลี่ยนแปลงของระดับไตรกลีเซอไรด์รวมทั้งระดับความเข้มข้นของไขมันดี ซึ่งชี้ให้เห็นว่าน้ำทับทิมอาจมีส่วนช่วยลดการเสี่ยงของโรคหัวใจโดยลดระดับไขมันในคนป่วยเบาหวานลง แต่ยังบอกไม่ได้กระจ่างแจ้ง เหตุเพราะของกินประเภทอื่นที่กินอาจมีส่วนช่วยในการลดไขมันในเลือดได้เช่นกัน แล้วก็กรุ๊ปการทดสอบมีขนาดเล็ก จึงควรขยายผลการเล่าเรียนในกรุ๊ปที่ใหญ่ขึ้นเพิ่มอีก ยิ่งไปกว่านี้ การรักษาภาวการณ์คอเลสเตอรอลสูงต้องมีการควบคุมอาหารและก็การออกกำลังกายไปพร้อมกัน ซึ่งอาจมีคุณประโยชน์ต่อการลดระดับไขมันในเลือดเยอะขึ้น
โรคปอดอุดกันเรื้อรัง ทับทิมอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารโพลีฟีนอลที่พบได้ทั่วไปในทับทิม จากรายงานผลที่พบในห้องทดลองกล่าวว่าสารพวกนี้มีส่วนสำคัญสำหรับเพื่อการบรรเทาอาการโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและบางทีอาจชะลอไม่ให้โรคพัฒนาอย่างเร็ว จึงมีการศึกษาเล่าเรียนความสามารถของสารโพลีฟีนอลในคนเสริมเติม โดยให้คนเจ็บโรคปอดอุดกันเรื้อรัง ปริมาณ 30 คน แบ่งเป็นกลุ่มที่ดื่มน้ำทับทิม 400 มล. (มีสารโพลิฟีนอล 2.66 กรัม) เปรียบเทียบกับอีกกลุ่มที่กินยาหลอกติดต่อกันทุกเมื่อเชื่อวันเป็นระยะ 5 อาทิตย์ ผลปรากฏว่า ไม่เจอสารโพลิฟีนอลในเลือดแล้วก็ปัสสาวะของผู้เจ็บป่วย อีกทั้งยังไม่เจอความไม่เหมือนอย่างมีนัยสำคัญระหว่าง 2 กรุ๊ป จึงคาดว่าทับทิมไม่น่ามีส่วนช่วยสำหรับในการรักษาหรือทุเลาโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
โดยปกติสารอาหารที่ไปสู่ร่างกายจะถูกเผาผลาญผ่านกระบวนเมตาบอลิซึมและก็ตรวจเจอได้ในเลือดหรือเยี่ยว แม้กระนั้นผลการศึกษากลับไม่เจอสารโพลีฟีนอลจากการกิน ซึ่งบางทีอาจมีต้นเหตุมาจากการย่อยสลายสารพวกนี้โดยจุลชีวันในระบบที่ทำหน้าที่ในการย่อยอาหาร ควรต้องทำความเข้าใจวิธีการดูดซับสารอาหารที่ต่างกันก่อนที่จะอ้างถึงคุณประโยชน์ด้านที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจากการรับประทาน เพราะสารอาหารที่เจอในของกินที่รับประทานอาจมิได้ถูกใช้ประโยชน์ประโยชน์ภายในร่างกายคนเราทั้งผอง
โรคและอาการอื่นๆยกตัวอย่างเช่น โรคเส้นโลหิตหัวใจ การหย่อนยานความสามารถทางเพศ เจ็บกล้ามข้างหลังการออกกำลังกาย กลุ่มอาการอ้วนลงพุง โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก เยื่อบุช่องปากอักเสบ ผิวไหม้จากแสงแดด การต่อว่าดเชื้อทริวัวโมแนส (Trichomoniasis) ท้องเดิน โรคบิด เจ็บคอ โรคริดสีดวงทวาร อาการวัยทอง แล้วก็อื่นๆยังจำเป็นต้องศึกษาวิจัยศึกษาค้นคว้าเพิ่มอีกเพื่อหาหลักฐานเกี่ยวกับความสามารถรวมทั้งความปลอดภัยของทับทิมสำหรับเพื่อการรักษาโรค
[/b]
ข้อมูลทางโภชนศาสตร์ของผลทับทิม 100 กรัม (โดยประมาณ)
น้ำ 77.93 กรัม
พลังงาน 83 กิโลแคลอรี่
โปรตีน 1.67 กรัม
ไขมัน 1.17 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 18.70 กรัม
เส้นใย 4.0 กรัม
น้ำตาล 13.67 กรัม
แคลเซียม 10 มก.
เหล็ก 0.30 มิลลิกรัม
แมงกานีส 12 มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส 36 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 236 มิลลิกรัม
โซเดียม 3 มิลลิกรัม
สังกะสี 0.35 มิลลิกรัม
วิตามินซี 10.2 มิลลิกรัม
วิตามินบี 1 0.067 มก.
วิตามินบี 2 0.053 มก.
วิตามินบี 3 0.293 มก.
วิตามินบี 6 0.075 มิลลิกรัม
โฟเลต 38 ไมโครกรัม
วิตามินอี 0.60 มก.
วิตามินเค 16.4 ไมโครกรัม
ความปลอดภัยสำหรับเพื่อการรับประทานทับทิมหรือสินค้าจากทับทิม
โดยปกติการรับประทานน้ำทับทิมออกจะมีความปลอดภัย แต่ว่าในบางรายที่มีอาการแพ้ผลสดของทับทิมอาจเกิดผลข้างเคียงจากการดื่มน้ำทับทิมได้
รากทับทิมมีสารที่เป็นพิษต่อสภาพร่างกาย การรับประทานรากรวมทั้งลำต้นของทับทิมในจำนวนมากบางทีอาจไม่ปลอดภัย
สารสกัดจากทับทิมออกจะไม่มีอันตรายสำหรับการกินหรือนำมาใช้กับผิวหนัง แต่ว่าอาจก่อให้กำเนิดอาการแพ้นิดหน่อยในบางราย อย่างเช่น อาการคัน บวม น้ำมูกไหล หรือหายใจลำบาก
การกินน้ำทับทิมค่อนข้างจะมีความปลอดภัยสำหรับหญิงมีครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมลูก แม้กระนั้นยังไม่มีรายงานรับรองความปลอดภัยสำหรับเพื่อการกินหรือใช้ทับทิมในแบบอย่างอื่น ได้แก่ สารสกัดจากทับทิม จำเป็นต้องหารือแพทย์ก่อนจะมีการกินทุกคราว
น้ำทับทิมอาจทำให้ความดันโลหิตลดลดน้อยลงบางส่วน ซึ่งอาจทำให้คนป่วยที่มีสภาวะความดันต่ำอาการกำเริบ
คนที่มีอาการแพ้จากพิษพืชอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้จากการกินทับทิม
คนเจ็บที่จำต้องเข้ารับการผ่าตัดควรจะหยุดรับประทานทับทิมอย่างน้อย 2 อาทิตย์ เพราะทับทิมทำให้ความดันเลือดต่ำลง จึงบางทีอาจกระทบต่อความดันโลหิตในขณะผ่าตัดหรือมีผลต่อเนื่องไปยังหลังการผ่าตัด
การกิน[url=http://www.disthai.com/16488281/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1]ทับทิม[/url]ควบคู่กับยาบางประเภทอาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยา ตัวอย่างเช่น ยาที่เกี่ยวเนื่องกับการทำงานของตับโดยโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับ Cytochrome จำพวก P450 2D6 หรือจำพวก P450 3A4 ยาลดความดันเลือดหรือเอซีอี อินฮิบิเตอร์ ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ยาโรสุวาสแตติน ผู้ที่กินยาเสมอๆหรือมีโรคประจำตัวควรขอความเห็นหมอก่อนจะมีการรับประทานเพื่อให้เกิดความปลอดภัย

Tags : สมุนไพรทับทิม
3  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / เห็ดหลินจือช่วยรักษาโรคต่างๆได้จริงหรือ?... เมื่อ: สิงหาคม 07, 2018, 04:42:52 pm
[/b]
เห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือมีผลยังไงต่อเซลล์ต่อมะเร็ง โรคหัวใจ โรคไต เบาหวาน โรคความดันสูง แล้วก็โรคอื่นๆอันแสนเหนื่อยที่จะรักษา ติดตามผลการค้นคว้ารับรองคุณประโยชน์ได้ในเนื้อหานี้จ้ะ
บทความกลุ่มนี้อ้างอิงคุณประโยชน์ของเห็ดหลินจือจากผลการศึกษาวิจัยรับรองจากที่ต่างๆเพื่อให้เพื่อนได้พินิจด้วยตัวเองว่ารักษาโรคก้าวหน้าแค่ไหนและก็น่าไว้วางใจเพียงใด ถ้าเกิดเพื่อนๆเคยอ่านบทความเกี่ยวกับสรรรพคุณหรืองานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยเกี่ยวกัเห็ดหลินจือ[/url]จากที่อื่นมาก่อน แล้วรู้สึกอ่านไม่ง่ายเท่าไรไหมเข้าใจ บทความในเว็บไซต์นี้นักเขียนได้คัดและก็เก็บจากหลายที่รวมทั้งเขียนในภาษาที่อ่านง่ายที่สุดเท่าที่จะทำเป็น
สหายๆถูกใจบทความนี้ก็จะเป็นอย่างยิ่งจิตใจให้คนเขียนได้บทความดีๆให้เพื่อนอ่านกันอีกต่อไปบทความเห็ดหลินจือรักษาโรคเด็ดๆที่เพื่อนฝูงๆต้องถูกใจ
ระบบภูมิคุ้มกันเป็นกลไกการกำจัดเชื้อโรค สารเคมีแปลกปลอม เซลล์ของมะเร็ง แล้วก็สิ่งแปลกปลอมอื่ๆที่จะเข้ามาทำอัตรายต่อสุขภาพเรานั้นเอง โดยเหตุนี้หากเพื่อนๆมีระบบภูมิต้านทานดีก็จะไม่ป่วยง่าย หรือถ้าหากเจ็บไข้ก็จะฟื้นเร็ว แต่ว่าถ้าหากระบบภูมิคุ้มกันไม่ดีก็จะเจ็บป่วยบ่อยครั้งและเป็นหนักกว่าผู้ที่มีระบบูมิคุ้มกันแข็งแรง มาถึวนี้แล้วเพื่อนพ้องๆอาจจะเห็นความสำคัญของการมีระบบภูมิต้านทานที่แข็งแรงกันแล้ว
ชาวจีนโบราณใช้เห็ดหลินจือมานานกว่า 2000 ปีแล้ว แต่ในสมัยนั้นยังไม่มีผู้ใดพิสูจน์ได้ว่าเพราะเหตุใดคนที่ทานเห็ดหลินจือถึงแก่ยืนและก็แข็งแรงไม่ค่อยเป็นโรค เวลานี้พวกเราสมารถพิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าสารกลุ่ม Polysacchayide ในเห็ดหลินจือนั้นสามารถเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับพวกเราได้จริง สารกลุ่มดังกล่าวข้างต้นสามารถกระตุ้นการสร้าง Interleukin และ Immuoglodulin ซึ่งนำมาซึ่งการทำให้ระบบภูมป้องกันดีแล้วก็แข็งแรงขึ้น
ระบบภูมิต้านทานที่ถูกเสริมด้วยสาร Polysaccharide ในเห็ดหลินจือจะสามารถต้านทานวรัส เซลล์ของโรคมะเร็ง และก็จำกัดสารอนุมูลอิสระเจริญขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ถูกผลข้างเคียงที่โดนยาต่อต้านมะเร็งบางตัวแล้วก็แนวทางการทำคีโมกดภูมิต้านทานให้มีระบบภูมิต้านทานดีขึ้นอีก รวมทั้งเห็ดหลินจือยังมีสารออกฤทธิ์ต่อต้านการแบ่งตัวของเชื้อ HIV อีกด้วย ซึ่ง กลุ่มดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นคือกลุ่ม Bitter Triterpenoids
A
นักค้นคว้าได้ศึกษาและทำการค้นพบสารหลายแบบในเหล็ดหลินจือที่ช่วยลดจำนวนไขมันในเส้นเลือด คือ Ganoderic Acid แล้วก็ Lucidenic Acid ซึ่งสาร 2 ประเภทที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น เว้นแต่ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้แล้ว ยังคุ้มครองป้องกันไม่ให้ไขมันอุดตันเส้นเลือดได้โดยตรงอีกด้วย ยิ่งกว่านั้นยังมีสารกรุ๊ป Nucleotide ที่สามารถช่วยลดการอุดตันของลิ่มเลือดในเส้นเลือด และช่วยลดอัตราเสี่ยงที่จะเป็นอัมพาตได้อีกด้วย
ได้มีนักวิทยาศาสตร์ที่ประเทศญี่ปุ่นทดลองให้สารสกัดเห็ดหลินจือกับผู้ที่เป็นโรคไขมันเส้นเลือดสูง 70 ราย และกระทำการเก็บผลการทดสอบภายหลังผ่านไป 3 เดือน พบว่าโคเรสเตอคอยลของผู้รับการทดสอบต่ำลงไปถึง 74% ซึ่งก็สอดคล้องกับผลวิจัยจากทั่วทั้งโลก และยังพบว่าเห็ดหลินจือ นอกเหนือจากช่วยลดการอุดตันของไขมันในเส้นเลือดแล้ว ยังส่งผลให้โลหิตไหลเวียนอีกด้วย
โดยเหตุนั้น ก็เลยอาจจะกล่าวว่า ข้อพิสูจน์ทางคุณลักษณะและประโยชน์ของเห็ดหลินจือยังคงมีจำกัด บาง งานศึกษาเรียนรู้เป็นการทดสอบขนาดเล็ก หลักฐานที่ได้ยังไม่มีคุณภาพพอเพียง หรือเป็นเพียงการทดลองในผู้เจ็บป่วยบางกลุ่มเท่านั้น ประสิทธิผลของเห็ดหลินจือต่อโรคมะเร็ง จึงยังคงเป็นเรื่องการค้นคว้าที่ควรปฏิบัติการทดสอบถัดไป เพื่อให้ได้เห็นผลลัพ์ที่แจ่มแจ้ง และมีประโยชน์ในวงกว้างต่อการดูแลและรักษาผู้ป่วยมะเร็งได้ในอนาคต
[/b]
ภาวการณ์ต่อมลูกหมากโต รวมทั้งการเจ็บป่วยในระบบทางเดินปัสสาวะ
มีกรรมวิธีทดลองหนึ่งที่ใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือทดสอบในผู้ป่วยเพศ 88 รายซึ่งมีอายุเกินกว่า 49 ปีขึ้นไป ที่มีลักษณะอาการเยี่ยวติดขัด หลังการทดสอบกว่า 12 อาทิตย์ ผลลัพธ์ที่ได้คือ คนป่วยต่างหรูหราคะแนน IPSS ที่ดีขึ้น ( TNE lnternational Prostate Symptom Score )ซึ่งเป็นค่าคะแนนสากลสำหรับการวัดปัญหาในระบบฟุตบาทปัสวะของคนไข้จากการตอบปัญหา แต่ไม่ปรากฏผลในเชิงการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิต การขับถ่ายปัสวะ หรือขนาดของต่อมลูกหมากแต่อย่างใด
ด้วยเหตุดังกล่าว การทดสอบดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นจึงยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาสตร์ที่แจ่มชัดเพียงพอ ควรต้องมีการค้นคว้าทดสอบในด้านนี้ต่อไปในอนาคต เพื่อค้นหาหลังฐานที่ชัดเจนสำหรับเพื่อการสรุปเกี่ยวกับประสิทธิของเห็ดหลินจือต่อการดูแลรักษาสภาวะต่อมลูกหมากโตหรือปัญหาสุขภาพอะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวเนื่อง
ลดปัจจัยเสี่ยงของโรคเส้นเลือดหัวใจ
จากการวิเคราะห์ผลของการทดลองด้านการแพทย์ 5 ราการ ซึ่งมีผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวานชนิด 2 เข้าร่วมทดลองกว่า 398 รายพบว่า เห็ดหลินจือไม่เป็นผลทางการรักษาในเชิงการลดระดับน้ำตาลในเลือดไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพพอเพียงจะช่วยเหลือผลทางการรักษาเหล่านั้น และไม่มีข้อมูลที่เพียงพอสำหรับการยืนยันด้านความปลอดภัยจากการบริโภคเห็ดหลินจือสิ่งเดียวกัน โดยหนึ่งในงานศึกษาเรียนรู้วิจัยพวกนั้น ได้แสดงถึงผลข้างเคียงจากการบริโภคเห็ดหลินจือในผู้ป่วยบางราย เป็นอาการคลื่นใส้ ท้องเสีย หรือท้องผูก
เพราะฉะนั้นควรต้องมีการค้นคว้าทดลองถึงสมรรถนะของเห็ดหลินจือสำหรับเพื่อการลดสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่างๆเหล่านี้เพื่อคุ้มครองและก็การรักษาโรคเส้นโลหิตหัวใจถัดไป และให้รู้เรื่องแจ่มกระจ่างชัดดเจนในด้านดังที่ได้กล่าวมาแล้วมากขึ้นเรื่อยๆ อันเป็นคุณประโยชน์ต่อกรรมวิธีการรักษาป้องกันโรคเส้นโลหิตหัวใจรวมทั้งอาการต่างๆที่เกี่ยวเนื่องต่อไปในอนาคต
4  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / บุก สมุนไพรไทย เพื่อหลีกไกล เรื่องอ้วนๆ เมื่อ: สิงหาคม 04, 2018, 03:16:01 pm
[/b]
บุก สมุนไพรไทย เพื่อหลีกไกล เรื่องอ้วนๆ
บุก มาแล้ว ! บุกมาแล้ว !  รีบหนีเร็ว  เอ๊ะยังไงนี่ เรากำลังดูหนังการศึกอยู่เหรอ ไม่ครับ บุกในที่นี้ไม่ได้ถึงข้าศึกบุก แต่ว่าหมายความว่าหัวบุก สมุนไพรไทยบ้านเรา ต่างหาก รวมทั้งที่จำต้องหนี ไม่ใช่คนใดตรงไหน แม้กระนั้นเป็นโรคฮอตฮิตในขณะนี้อย่างโรคอ้วน โรคเบาหวาน ต่างหากที่จะต้องหนีไป
บุก ส่วนที่มองเห็นคือ หัวบุก ตอนแรกเรื่องของบุกในเมืองไทย มันก็มิได้แพร่หลายหรือเป็นยอดนิยมราวกับเวลานี้เพราะว่าจริงๆตอนแรกมันก็เป็นพืชประจำถิ่นอยู่ดี  คนในท้องถิ่นก็นำบุกมาเตรียมอาหาร เหมือนเผือก ราวกับมันทั่วๆไปเพียงพอเริ่มมีคนมาศึกษาค้นคว้า   สรรพคุณต่างๆของมัน เลยกลายเป็นพืชสมุนไพรไทยยอดนิยม มีการแปรรูปเป็นแบบอย่างต่างๆตั้งแต่สารสกัด บุกผง วุ้นบุก และอื่นๆอีกมาก วันนี้เองก็คงจะไม่ช้าเหลือเกินที่จะนำทุกท่านมารู้จัก พืชสมุนไพรไทย ที่เรียกว่าบุกกันแบบลึกซึ้งมารู้จะบุกกัน
ชื่อไทย   บุก
ชื่อสามัญ  Konjac ,  devil’s tongue  (ลิ้นอสุรกาย  น่าสยองครับชื่อนี้ คาดว่ามาจากลักษณะของดอกบุก )   , shade palm, umbrella arum
ชื่อวิทยาศาสตร์      Amorphophallus rivieri Durieu cv. Konjac
ชื่อวงศ์    ARACEAE
ชื่อตามเขตแดน  :  บุกคุงคก (ชลบุรี) เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน) มันซูรัน (ภาคดลาง)  หัวบุก (จังหวัดปัตตานี) บุกคางคก  (ภาคกึ่งกลาง, เหนือ) บุกหนาม บุกหลวง (แม่ฮ่องสอน)  กระบุก (อิสาน)
เราพบบุกถึงที่เหมาะไหน
บุกเป็นพืชป่าล้มลุกที่เจอทั่วๆไปทุกภาคของประเทศ โดยขึ้นอยู่ตาม ชายเขา แล้วก็ครั้งคราวก็พบตามพื้นที่ ทำไร่ทำนา อาทิเช่นที่ปทุมธานี แล้วก็นนทบุรี เป็นต้น บุกขึ้นได้ในสภาพดินทุกประเภท แต่จะเติบโตได้ดีให้หัวขนาด ใหญ่ได้ในดินซึ่งร่วนซุย น้ำไม่ขังและก็ดินที่มีฮิวมัส หรือสารอินทรีย์สูง
ลักษณะของต้นบุก
รูปแบบของต้น บุก ชี้ให้เห็นส่วนประกอบคือใบบุก และหัวบุกลำต้นใต้ดิน  บุกมีลำต้นใต้ดินหรือที่เราเรียกแบบง่ายๆก็คือ หัวบุก  ลักษณะเดียวกันกับเรียกหัวเผือก หัวมัน ขนาดอยู่ที่โดยประมาณ 25 ซม. (บางพันธ์อาจเล็กกว่านี้ )ทรงกลมแป้นลักษณะทรงเดียวกับลูกฟักทอง แต่ว่าบางสายพันธ์มีลักษณะพิเศษแตกต่างออกไป  ซึ่งส่วนนี้เอง เป็นใช้ที่สะสมอาหารของบุก
 ใบบุก  ลักษณะเหมือนใบมะละกอ มีสีเขียวเข้ม บางจำพวกมีก้านใย เป็นลวดลายบางชนิดมีหนามอ่อนๆ หรือครั้งคราวบุกบางจำพวกก็มีใบมีจุดแบบไข่ปลาสีขาวด้านบน  จะมีความเห็นว่าใบบุกมีใบลักษณะที่นานาประการมาก  แต่ที่เด่นๆดูง่ายว่าเป็บุกคือ จะมีก้านตรงจากกึ่งกลางของหัว เมื่อโผล่จากดินแล้วแผ่กางออก 3 ทาง มีรูปทรงแผ่กว้างแบบร่ม แม้กระนั้นบาง พันธุ์จะแปลกตรงที่กลับขึ้นด้านบนเหมือนหงายร่ม ฉะนั้นรูปแบบของใบบุก มีหลายแบบสังกัดชนิดของบุก
ดอกของบุกลักษณะดอกดอกคล้ายต้นหน้าโค แต่ละชนิดมีขนาด สี รวมทั้งรูป ทรงแตกต่างกัน บางชนิดมีดอกใหญ่มาก โดยเฉพาะบุกคางคก ดอกบุกมีกลิ่น เหม็นราวกับเนื้อสัตว์เน่า บุกชนิดอื่นๆมีดอกเล็กก้านดอกจะโผล่ขึ้นตรง จากกึ่งกลางหัวบุก เช่นเดียวกับก้านใบ บุกชอบมีดอกในช่วงปลายฤดูแล้ง แต่บุกสามารถมีดอกได้ในตอน เวลาต่างๆกัน ระยะเวลาในการแก่เต็มที่ ของดอกที่จะติดผลก็แตกต่างกัน
 ผลบุ[/b](อย่างวยงงกับหัวบุกนะ ) ภายหลังดอก ผสมพันธุ์ก็จะเป็นผล ผลอ่อนของบุก มีสีขาวอมเหลือง พออายุ ได้ 1-2 เดือน จะส่งผลสีเขียวเข้ม มีจุดดำที่ปลายเหมือนผลกล้วย ผล ของบุกโดยมากจะมีลักษณะคล้ายกัน แม้กระนั้นเมล็ดข้างในต่างกัน พบว่าโดยมากมีเมล็ดเป็นทรงอูมยาว  บุกบางประเภทก็มีเม็ดในกลม   ผลแก่ของบุกจะมีสีแดงหรือแดงส้ม
[url=http://www.disthai.com/16488234/%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%81]
[/b]
บุกกับการนำมาทำครัว
เป็นพืชอาหารประจำถิ่นซึ่งชาวไทยนำเอาก้านใบมาแกงส้ม ลวกจิ้มน้ำพริก     ท่อนหัวบุกมีการนำไปดัดแปลงตามแต่ละภูมิภาค ตัวอย่างเช่นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการทำของหวานที่เรียกว่าของหวานบุก แกงบวชมันบุก แกงอีสาน (แกงลาว)   ภาคตะวันออกจะมีการฝาน หัวบุกเป็นแผ่น บางบาง แล้วเอามานึ่งรับประทานกับข้าว ทางภาคเหนือโดยยิ่งไปกว่านั้นชาวเขา มักนำมา ปิ้งรับประทาน ภาคกลางมักนำหัวบุกที่ฝานเป็นชิ้นบางๆมาแช่น้ำปูน แช่น้ำก่อนล้างหลายๆครั้งแล้วจึงนำไปทำเป็นอาหารหวาน
*บุกมีหลายอย่างหลายจำพวก บางทีอาจขมรวมทั้งมีพิษ ทุกประเภทมีผลึกแคลเซียมออกซาเลต (calcium oxalate) ในขณะที่ก้านใบและหัว ซึ่งอาจจะส่งผลให้คัน ก่อนเอามาทำกับข้าวจำเป็นต้องต้มเสียก่อน ไม่อย่างนั้นรับประทานเข้าไปทำให้คันปากแล้วก็ลิ้นพอง
อาหารที่แปรรูปมาจากบุก
ปัจจุบันนี้มีการนำบุกมาแปรรูป ในรูปแบบของเส้นบุก ซึ่งเป็นสินค้าดัดแปลงจากส่วนหัวบุก มีแบบเส้นใส สามารถนำมาปรุงเป็นของกินจานอร่อยได้ ผมว่าผู้ใดเคยไปรับประทานเนื้อย่างคงจะเคยเจอบ้าง เว้นเสียแต่เส้นบุกแล้วมีการนำมาผสมเครื่องดื่มต่างๆเอาแบบได้รับความนิยมๆแต่ก่อนหมายถึงเจเล่ ผสมผงบุก ถ้าจำไม่ผิดอันนี้เขามาทำเป็นรายแรก (เจ้าของบริษัทผ่านมาอ่านขอค่าโฆษณาด้วยครับ)
คุณประโยชน์ของบุก
จากการศึกษาเล่าเรียนพบว่า  แป้งบุกเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน พวกกลูวัวแมนแนน (glucomannan) เป็นสารโมเลกุลใหญ่ (polysaccharides)ที่ประกอบด้วยน้ำตาล 2 จำพวกเป็นดี-กลูโคส (D-glucose) และ (D-mannose) เป็นสารที่มีสาระต่อร่างกายในรูปของใยอาหาร (dietary fiber)  ซึ่งดูดน้ำได้มาก แต่ร่างกายสลายตัวได้ยาก ดูดซึมได้ช้า ก็เลยให้พลังงานแล้วก็สารอาหารน้อย เหลือกากมากมาย ทำให้ระบบขับถ่ายดำเนินงานดี ผู้ที่ต้องการลดความอ้วนนิยมรับประทานอาหารจากแป้งบุก เป็นต้นว่า วุ้นเส้นบุก เส้นหมี่แป้งหัวบุก ด้วยเหตุว่ากินอิ่มได้ ระบายท้อง แต่ไม่ทำให้อ้วน
ยิ่งไปกว่านี้เองเจ้า สารกลูวัวแมนแนนนี้ สามารถลดจำนวนน้ำตาลในเลือดได้ ก็เพราะเหตุว่าความเหนี่ยว ซึ่งยั้งการดูดซึมของกลูวัวลสจากทางเดินอาหาร ยิ่งหนืดมาก็ยิ่งมีผลลดการดูดซึมกลูโคลส ด้วยเหตุนี้ กลูวัวแมนแนนช่วยลดน้ำตาลได้ดีมากมาย เดี๋ยวนี้จึงใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน และสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคมีไขมันในเลือดสูง
นี่แหละครับผมคือผลดีจากบุก ทดลองหามาทานกันครับผม มีสาระขนาดนี้ สมัยปัจจุบันนี้ไม่หายากแล้วเดินไปห้าง ก็ได้บุกเส้นแล้ว ชี้แนะมามายำแบบยำวุ้นเส้นครับผม รับรองอร่อยแท้ๆ http://www.disthai.com/[/b]

Tags : สมุรไพรบุก
5  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ขิง เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณเเละประโยชน์อย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อ: สิงหาคม 03, 2018, 08:57:15 am
[/b]
ขิ[/size][/b]
ขิง ชื่อสามัญ Ginger (จิน’เจอ)
ขิง ชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber officinale Roscoe จัดอยู่ในสกุลขิง (ZINGIBERACEAE)
[url=http://www.disthai.com/16488302/%E0%B8%82%E0%B8%B4%E0%B8%87]ขิง
จัดเป็นสมุนไพรประเภทหนึ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายๆด้าน เนื่องจากอุดมไปด้วยวิตามินและก็แร่ธาตุที่มีความหมายเป็นอย่างมากต่อสภาพทางด้านร่างกายของเรา อย่างเช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี เบต้าแคโรทีน ธาตุเหล็ก ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส แถมยังมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต รวมทั้งเส้นใยไม่น้อยเลยทีเดียวอีกด้วย ซึ่งประโยช์จากขิงนั้น พวกเราสามารถนำมาใช้ได้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นราก เหง้า ต้น ใบ ดอก แก่น รวมทั้งผลก็ได้ทั้งหมด
คุณประโยชน์ของขิง
-ขิงจัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะชั้นยอด
มีสารต้านทานอนุมูลอิสระเยอะๆ ช่วยชะลอความแก่และชะลอการเกิดริ้วรอย
มีส่วนช่วยสำหรับการคุ้มครองป้องกัน ต้านทานการเกิดโรคมะเร็ง ต้านการเติบโตของเซลล์ของโรคมะเร็ง
ช่วยลดผลข้างเคียงจากสารเคมีที่ใช้สำหรับในการรักษาโรคมะเร็ง ดังนั้นควรจะกินขิงพร้อมกันไปกับการดูแลและรักษาโรคมะเร็งจะเกิดผลดี
ขิ มีฤทธิ์อุ่น ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น และก็ช่วยสำหรับเพื่อการขับเหงื่อ
ช่วยแก้อาการร้อนใน ด้วยการใช้ลำต้นใหม่ๆนำมาตีให้แหลกราวๆ 1 กำมือ แล้วต้มกับน้ำ
ช่วยลดความอ้วน ลดระดับไขมัน คอเลสเตอรอล ด้วยการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากลำไส้ แล้วปลดปล่อยให้ร่างกายกำจัดออกทางอุจจาระ
ช่วยรักษาลักษณะของการปวดหัวและก็ไมเกรน ด้วยการรับประทานน้ำขิงเป็นประจำ
ช่วยลดความต้องการของผู้ติดสิ่งเสพติดลงได้
แก้ตานขโมย ด้วยการใช้ขิง ใบกะเพรา พริกไทย ไพล มาบดผสมกันแล้วเอามารับประทาน
ช่วยรักษาโรคความดันเลือด ด้วยการนำขิงสดมาฝานต้มกับน้ำดื่ม
ช่วยบำรุงหัวใจของคุณให้แข็งแรง
ช่วยทุเลาอาการโรคประสาท ซึ่งทำให้จิตใจหม่นหมอง (ดอก)
ช่วยฟื้นฟูร่างการสำหรับคุณแม่ข้างหลังคลอดบุตร ด้วยการกินไก่ผัดขิง
มีส่วนช่วยให้เจริญอาหาร (ราก, เหง้า) ด้วยการใช้เหง้าสดราวๆ 1 องคุลีเอามาต้มกับน้ำ ก็จะได้เป็นยาขมเจริญอาหาร
ใช้กินเพื่อบำรุงเป็นยาธาตุ บำรุงธาตุไฟ (เหง้า, ดอก)
ใช้บำรุงน้ำนมของคุณแม่ (ผล)
ช่วยทำให้นอนหลับได้อย่างสบาย
การกินขิงจะช่วยทำให้เลือดแข็งตัวเป็นลิ่มเลือดได้ช้าลง
ใช้แก้ไข้ (ผล) ด้วยการนำขิงสดมาคั้นเป็นน้ำให้ได้ราวครึ่งถ้วย แล้วผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา นำมาต้มกับน้ำ 2 ถ้วย แล้วเอามาดื่มวันละ 3 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการได้
ช่วยแก้หวัด บรรเทาอาการไอ ทุเลาหวัดจับเสมหะ ด้วยการใช้ขิงสดฝนกับน้ำมะนาวใส่เกลือบางส่วน
ละอองน้ำหอมระเหยจากน้ำขิงช่วยทำลายไวรัสหวัดในทางเดินหายใจได้
แก้ลม (ราก)
ในคนเจ็บที่มีลักษณะอาการเมายาสลบหลังผ่าตัด น้ำขิงช่วยแก้เมาได้
ช่วยแก้อาการเมารถ เมาเรือได้เป็นอย่างดี ด้วยการใชขิง
สดนำมาตำให้แหลก คั้นเอาเฉพาะน้ำกิน (ไม่ต้องดื่มน้ำตาม)
ช่วยจัดการกับปัญหาผมหล่น หัวล้าน ด้วยการนำเหง้าสดไปผิงไฟจนถึงอุ่น แล้วนำมาตำให้แหลก นำมาพอกบริเวณที่มีผมหล่น วันละ 2 ครั้งจนอาการดียิ่งขึ้น หรืออีกวิธีก็คือคั้นเอาเฉพาะน้ำขิงมาผสมกับน้ำมันที่ผลิตขึ้นมาจากมะกอกแล้วเอามาหมักผม นวดให้ทั่วศีรษะโดยประมาณ 30 นาทีก็ช่วยลดปัญหาผมหล่นได้แบบเดียวกัน แถมยังช่วยทำให้ผมสวย แข็งแรง มีความอ่อนนุ่มลื่น ไม่ขาดง่ายอีกด้วย
-ช่วยบำรุงรักษาสายตา รักษาโรคเกี่ยวกับตา และก็ใช้แก้อาการตาฟาง (ผล, ใบ)
ช่วยรักษาอาการตาเฉอะแฉะ (ดอก)
ช่วยแก้โรคกำเดา (ใบ)
ใช้แก้อาการคอแห้ง เจ็บคอ (ผล)
ใช้รักษาอาการปากคอเปื่อย ท้องผูก (เหง้า,ดอก)
ช่วยรักษาลักษณะของการปวดฟัน ด้วยการนำขิงแก่มาตีอย่างระมัดระวังคั่วกับน้ำสารส้มกระทั่งเกรียม แล้วบดจนเป็นผุยผง ต่อจากนั้นนำมาพอกรอบๆฟันที่ปวดแก้เสมหะ เสลดขาวเหลวจำนวนมากมีฟอง (ผล, ราก)ช่วยรักษาภาวะน้ำลายมากมาย อ้วกเป็นน้ำใสช่วยลดกลิ่นปาก แก้อาการปากเหม็น ด้วยการนำขิงมาคั้นผสมน้ำอุ่นและก็เกลือบางส่วน เอามาอมบ้วนปาก ช่วยฆ่าเชื้อโรคในปากได้อีกด้วยช่วยบำรุงรักษาฟันแล้วก็คุ้มครองการเกิดฟันผุ
ช่วยกำจัดกลิ่นรักแร้ ด้วยการใช้เหง้าขิงแก่นำมาทุบให้แหลก แล้วนำมาคั้นเอาน้ำมาทาจั๊กกะแร้เป็นประจำ จะสามารถช่วยในการขจัดคราบกลิ่นได้
ช่วยแก้อาการสะอึก ด้วยการใช้ขิงสดตำกระทั่งแหลก คั้นเอาเฉพาะน้ำผสมกับน้ำผึ้งเล็กน้อย คนจะกว่าจะเข้ากันแล้วนำมาดื่ม
ช่วยรักษาโรคบิด (ผล, ราก, ดอก) ด้วยการใช้ขิงสดประมาณ 75 กรัม ผสมกับน้ำตาลทรายแดง นำมาตำจนกระทั่งเข้ากัน แล้วรับประทาน 3 มื้อต่อวัน
ช่วยแก้อาการคลื่นไส้ (เหง้า, ผล) ด้วยการนำขิงสดโดยประมาณ 5 กรัมหรือขนาดเท่านิ้วโป้งมือ นำมาทุบให้แตกแล้วต้มกับน้ำ
ช่วยลดการอาเจียนอาเจียนจากการแพ้ท้อง (สำหรับหญิงตั้งครรภ์ไม่ควรกินบ่อยมากจนเหลือเกิน)
แก้อาการท้องอืด จุกเสียด แน่นท้อง ขับลมในไส้ (ผล, ราก, ใบ) ด้วยการนำขิงแก่มาตีพอแหลก เทน้ำเดือดลงไปครึ่งแก้ว แล้วปิดฝาตั้งทิ้งเอาไว้ประมาณ 5 นาทีแล้วนำน้ำมาดื่มระหว่างมื้อของกิน
ช่วยรักษาอาการปวดในช่วงก่อนหรือหลังระดู ด้วยการนำขิงแก่ที่แห้งแล้วประมาณ 30 กรัมมาต้มกับน้ำเสมอๆ
ช่วยสำหรับในการย่อยของกินได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ดอก)
ช่วยป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ลดอาการจุกเสียด (เหง้า)
ช่วยในการขับถ่าย และก็ช่วยในเรื่องของระบบลำไส้ให้ดำเนินงานได้อย่างเป็นปกติ
ช่วยฆ่าพยาธิ พยาธิกลมจุกลำไส้ (ใบ) ใช้น้ำขิงผสมกับน้ำผึ้งแล้วนำมาดื่ม
ช่วยแก้อาการขัดฉี่ (ดอก, ใบ)
ช่วยรักษาฉี่รดที่นอนในคนป่วยที่มีสภาวะหยางพร่อง มีความเย็นภายในร่างกายเป็นเหตุ
ช่วยรักษาโรคนิ่ว (ใบ, ดอก)
ช่วยแก้อาการฟกช้ำ (ใบ)
ขิง ช่วยรักษาลักษณะของการปวดข้อตามร่างกายด้วยการรับประทานขิงสดบ่อยๆ
มีฤทธิ์ช่วยต้านทานเชื้อแบคทีเรีย
ใช้เป็นยาแก้คัน ด้วยการนำแก่นของขิงฝนทำเป็นยา (แก่น)
ไขปัญหาหนังที่มือลอกเป็นเกล็ด ด้วยการใช้เหง้าสดมาหั่นเป็นแผ่น แล้วนำมาแช่สุรา 1 ถ้วยชา ทิ้งเอาไว้ 24 ชั่วโมง แล้วนำแผ่นขิงมาเช็ดรอบๆดังที่กล่าวผ่านมาแล้ววันละ 2 ครั้ง
ช่วยรักษาแผลเริมบริเวณหลัง ด้วยการใช้เหง้า 1 หัว นำมาเผาเปลือกนอกจนเป็นถ่าน คอยเฉือนถ่านที่ผิวนอกออกไปเรื่อยแล้วนำผงที่ได้มาผสมกับน้ำดีหมูนำมาทาบริเวณที่เป็นแผลถ้าหากว่าถูกแมงมุมกัด ใช้ขิงสดฝานบางๆนำมาวางทับรอบๆที่ถูกกัดจะช่วยทุเลาอาการได้ช่วยรักษาอาการมือเท้าเย็น กลัวหนาว เย็นท้อง ฯลฯ ช่วยคุ้มครองปกป้องการแพ้อาหารทะเลกระทั่งเกิดผื่นคัน ลมพิษ หรือของกินช็อกประโยช์จากขิง
ช่วยรักษาแผลไฟเผาน้ำร้อนลวก ด้วยการนำขิงสดมาตำให้แหลก แล้วนำกากมาพอกบริเวณแผล เพื่อคุ้มครองการอักเสบรวมทั้งการเกิดหนองในขิงมีสารที่สามารถใช้กันบูดกันหืนในน้ำมันได้
ในด้านการทำอาหารนั้น ขิงสามารถช่วยเพิ่มรสชาติของกินได้อย่างดีเยี่ยม แล้วก็สามารถช่วยดับกลิ่นคาวของของกินได้ดิบได้ดีอีกด้วย
ในด้านความสวยงามนั้นมีผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งตัวที่ใช้บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของขิงอีกด้วย
ช่วยให้ผิวพรรณเรียบเนียนเพิ่มขึ้น ด้วยการนำขิงสดมาขูดเป็นฝอยแล้วเอามานวดบริเวณต้นขา ก้น หรือบริเวณที่มีเซลลูไลต์จะช่วยลดความขรุขระของผิวได้อีกด้วย
สินค้าจากขิงนั้นนำมาดัดแปลงได้หลายชนิด ยกตัวอย่างเช่น ขนมบัวลอยน้ำขิง ขิงแช่อิ่ม ขิงเชื่อม ขิงกระป๋อง ขิงแคปซูล น้ำขิงมะนาว ฯลฯ
[/b]
กระบวนการทำน้ำขิง
แนวทางการทำน้ำขิงแนวทางการทำน้ำขิงลำดับแรกให้เตรียมส่วนผสมดังต่อไปนี้ ขิงแก่ 1 โล / น้ำตาลทรายแดง 1 ถ้วยตวง / น้ำที่สะอาด 3 ลิตร
นำขิงที่ได้ไปล้างให้สะอาด นำมาตีให้แตก แล้วนำมาใส่ในหม้อต้ม เติมน้ำสะอาดลงไป ยกขึ้นตั้งไฟ
เมื่อต้มจนน้ำเดือดแล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยค่อยไฟลง ต้มโดยประมาณ 20 นาทีจนกระทั่งน้ำขิงละลายออกมากระทั่งหมด (น้ำจะเป็นสีเหลืองอ่อนๆ) แล้วยกลงจากเตา
เสร็จแล้วให้ตักน้ำขิงใส่แก้ว เพิ่มเติมน้ำตาลลงไป 1-2 ช้อนชา (ตามความอยากได้) แล้วคนจะกว่าจะเข้ากัน
เป็นระเบียบเรียบร้อยและสามารถนำมาดื่มได้ โดยเอามาดื่มแบบร้อนๆได้เลย
หรือจะดื่มแบบเย็นๆด้วยการใส่น้ำแข็งลงไปก็ได้เหมือนกัน แม้กระนั้นควรจะเพิ่มเติมน้ำตาลมากยิ่งกว่า 2-3 เท่า (จะช่วยไม่ให้รสจืดมากเกินไป เพราะว่ามีน้ำแข็งผสมอยู่นั่นเอง)
น้ำขิงที่คั้นมานั้นไม่ควรใช้จำนวนที่เข้มข้นจนเหลือเกิน เพราะว่าจะทำให้เป็นอันตรายต่อสภาพร่างกายได้ ด้วยเหตุว่าจะไปยับยั้งการบีบตัวของลำไส้ จนทำให้ไส้หยุดการบีบตัว โดยเหตุนี้ควรจะคั้นในจำนวนน้อยๆหรือดื่มจนเกิดความเคยชินก่อน
พวกเราชอบรู้จักคุ้นเคยกับขิงว่าเป็นอาหารที่นิยมประยุกต์ใช้สำหรับการทำครัวและก็ทำเครื่องดื่ม ซึ่งในความเป็นจริงแล้วขิงจัดเป็นสมุนไพรไทยที่ช่วยการเยียวยารักษาโรคต่างๆได้สารพัดสารพัน ถือว่าเป็นตัวช่วยสำหรับเพื่อการรักษาโรคได้เลยทีเดียว แต่ทั้งนี้พวกเราก็ไม่สมควรจะหวังพึ่งคุณประโยชน์ของขิงเพียงอย่างเดียวสำหรับการเยียวยาโรค ควรจะทำอันอื่นหรือดูแลรักษาสุขภาพร่างกายของพวกเราร่วมด้วยจะได้ผลลัพธ์ที่ดีนักแล
เรามักนิยมใช้ขิงแก่ เพราะยิ่งแก่จะยิ่งให้ความเผ็ดร้อน ก็เลยมีคุณประโยชน์ทางยาที่มากกว่าขิงอ่อน แล้วก็ยังมีใยอาหารเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย แต่เพราะว่าขิงมีรสเผ็ด มีคุณสมบัติอุ่น จึงไม่เหมาะกับคนที่มีความร้อนภายในร่างกายอยู่แล้ว ได้แก่คนที่เหงื่อออกมาก เหงื่อออกช่วงเวลาค่ำคืน ตาแดง หรือมีไฟในตัวมากยิ่งกว่าธรรมดา แม้กระนั้นถ้าเกิดจะรับประทานควรรอบคอบเป็นพิเศษ http://www.disthai.com/[/b]
หน้า: [1]
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย