กระทู้ล่าสุดของ: af0ck1sd20cx5

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: [1]
1  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ไขมันส่วนเกิน ต้นเหตุของพุงและความอ้วน เมื่อ: กันยายน 10, 2018, 04:31:27 pm
ไขมันส่วนเกิน ที่มาของท้องและความอ้วน
เดือนพฤษภาคม 19, 2018  kungtep
ไขมันส่วนเกิน เสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคร้ายหลายอย่าง ต้องรีบเผาผลาญไขมัน กำจัดไขมันส่วนเกินออกไป มิฉะนั้นจะเจอกับความอ้วน น้ำหนักตัวสูง รูปร่างอ้วนกลมบ๊อก เซลลูไลน์(cellulite)หนักอึ๊ง
ไขมันส่วนเกิ ต้นเหตุของความอ้วน จะต้องสลายไขมันออกไความอ้วน ทำให้ลักษณะท่าทางเสีย ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง
ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพนับสิบนับร้อย นับว่าเป็นความรู้สึกวิตกกังวลอย่างหนึ่งในชีวิต เนื่องจากเมื่อได้มีการเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาแล้ว มันก็ย่อมทำให้เกิดผลเสียตามมาต่อการดำนงชีพหลายประเภท ไม่ว่าจะการทำงาน การพบปะผู้คน การประกอบงานกิจวัตรต่างๆซึ่งเรื่องของปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพในขณะนี้นั้นมิได้มีเพียงแค่เรื่องโรครุนแรงหรือเรื้อรังอย่างเดียว แต่ว่ายังมีปัญหาสุขภาพในด้านของบุคลิกลักษณ์ที่มีผลต่อความไม่มั่นใจในตัวเอง
 
ไขมันส่วนเกิน
ไขมันส่วนเกินสูง cr.adrianjamesnutrition.com
ทางแก้ไขมันส่วนเกินสูง ต้องการลดความอ้วน คุณทำเองได้
ปัญหาความอ้วน เซลลูไลท์มากมาย ไขมันในร่างกายสูง ซึ่งเกิดเรื่องที่มักพบในสังคมไทยเราเดี๋ยวนี้ รวมทั้งในอีกหลายประเทศทั่วทั้งโลกเลยก็ว่าได้ แล้วก็นับได้ว่าเป็นปัญหาที่แก้ได้ยากในระดับหนึ่งเลย แม้กระนั้นก็พอมีแนวทางที่จะช่วยจัดการปัญหานี้ได้ ดังเช่นว่า
ลดอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล
ลดอาหารจำพวกที่เป็นอาหารทอด
ลดของกินที่มีไขมันสูง อย่างเช่น หมู่ เนื้อ ไก่
ออกกำลังกาย เพื่อ{เผาผลาญไขมัน|สลาไขมันส่วนเกิน

รับประทานน้ำให้มากมาย อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร
กินผัก ผลไม้ เป็นของกินหลัก อาทิเช่น สลัด
ลดอาหารมื้อเย็น รับประทานให้ลดน้อยลง
อย่าให้ความอ้วน ไขมันส่วนเกิน เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของชีวิตพวกเรา
เนื่องจากเรื่องของความอ้วนไม่ใช่เรื่องที่จะจับมาล้อเลียนกันได้ง่ายๆราวกับอย่างที่หลายท่านเคยทำกันมา ผู้ที่ล้ออาจรู้สึกสนุก และไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าการหัวเราะประทับใจ คิดเพียงแค่ขำๆหน่า แต่ว่าถูกล้อนี่สิ น่าจะไม่ขำด้วย เนื่องจากสำหรับเขาแล้วมันไม่ใช่เรื่องขำขันเอาเสียเลย แถมยังเป็นเรื่องที่รู้สึกอับอายในภาพลักษณ์ที่ดูไม่ดี แปลกกว่าธรรมดาทั่วๆไปด้วยซ้ำ บางคนที่ถูกล้อหนักๆเป็นประจำก็เก็บไปคิดมากจนถึงเป็นความทุกข์ แล้วก็สูญเสียความเชื่อมั่นไปหมดทุกเรื่องในชีวิตเลยก็มี ไม่ใช่ว่าเขาเล่านั้นต้องการอ้วนจนถูกล้อเลียนแบบงี้หรอก แต่ว่าแบบอย่างการใช้ชีวิตแต่ละคนมันเลี่ยงความอ้วนได้ยาก รวมทั้งผู้คนจำนวนมากก็อ้วนง่ายแต่ลดยากมากมายไป จริงไหม ?

เส้นทางลัด ลดหุ่น ลดหุ่น ลดไขมันส่วนเกิน
“ส้มแขก” สมุนไพรช่วยระบายไขมัน ขับความอ้วนออกไป บรรเทาท้องผูก สลายเซลลูไลน์(Cellulite) เมื่อมีปัญหาเรื่องความอ้วน ไขมันส่วนเกินสูง ทดลองใช้
2  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / รู้จัก พญายอ สมุนไพรฆ่าเชื้อไวรัส เมื่อ: สิงหาคม 19, 2018, 11:28:34 pm
[/b]
พญาย[/size][/b]
พญายอเป็นไม้พุ่งแกมเลื้อย เถาและใบมีสีเขียวใบไม้ไม่มีหนาม ใบยาวเรียวปลายแหลม ออกตรงข้ามเป็นคู่ ดอกออกเป็นช่อ อยู่ที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมี 3-6 ดอก กลีบดอกเป็นดอกปลายแยกสีแดงอมส้ม
[url=http://www.disthai.com/16913677/%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2]พญายอ
ขึ้นได้งามในดินที่สมบูรณ์ แสงแดดปานกลาง พบได้ทั่วไปตามป่าในประเทศไทย หรือปลูกกันตามบ้าน ปลูกโดยใช้ลำต้นปักชำ เป็นต้นไม้ที่ปลูกง่าย ตัดกิ่งออกมาซัก 2-3 คืบ ปักขำให้รากออกมาดีแล้วก็ย้ายไปปลูกในแปลง ดูแลรักษาเหมือน พืชไม้ทั่วไป
ใบ เป็นยา ให้เก็บขนาดกลางที่สมบูรณ์ ไม่แก่หรือไม่อ่อนจนเกินไป ใบของพญายอสามารถลดอาการักเสบของหูได้ดี โดยเฉพาะส่วนที่สกัดด้วยสารละลาย “บิวทานอล” วงศ์สถิต ฉั่วกุล และคณะได้ศึกษาพบว่าสารสำคัญตัวหนึ่งเป็น “เฟลโวนนอยต์” ส่วนด้านที่มีการต้านพิษงูยังไม่ชัดเจน แต่ปลอดภัยพอที่จะใช้
ใบพญายอรักษาอาการอักเสบเฉพาะที่ (ปวด, บวม, แดง ร้อนแต่ไม่มีไข้) จากแมลงที่มีพิษกัดต่อย เช่น ตะขาบ แมงป่อง ผึ้ง ต่อ แตน รักษาโดยการเอาใบสดจากพญายอนี้มาสัก 10-15 ใบ (มากน้อยตามบริเวณที่เป็น) ล้างให้สะอาด ใส่ลงในครกตำยา ตำให้ละเอียด เติมแอลกอฮอล์พอชุ่มยา ตั้งทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ หมั่นคนยาทุกวัน กรองน้ำยา ใช้น้ำ และกากทาบบริเวณที่เจ็บปวดบวม หรือที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
ข้อมูลจากงานวิจัยระบุว่า สารสกัดจากใบพญายอ สามารถฆ่าเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส งูสวัด (varicella zoster virus) ทั้งภายในและภายนอกเซลล์ คือ ยับยั้งไวรัสโดยตรง และยับยั้งการเพิ่มจำนสวนของไวรัส
ผู้ป่วยโรคเริมบริเวณอวัยยะสืบพันธุ์ที่ติดเชื้อครั้งแรกและติดเชื้อซ้ำ เมื่อรักษาโดยทาแผลของผู้ป่วยด้วยครีมพญายอ (5%) เปรียบเทียบกับยามาตรฐาน acyclovir พบว่า แผลของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอและ acyclovir จะตกสะเก็ดภายในวันที่ 3 และหายภายในวันที่ 7 แสดงว่าครีพญายอ[/url]และครีม acyclovir มีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยโรคเริมบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ให้หายได้เร็วพอกัน แต่ครีมพญายอ ไม่ทำให้เกิดอาการแสบระคายเคือง ในขณะที่ครีมทำให้แสบและราคาแพง
ผู้ป่วยโรคงูสวัด เมื่อรักษาโดยทาแผลด้วยครีมพญายอ (5%) วันละ 5 ครั้งทุกวัน ปรากฎว่าแผลจะตกสะเก็ดภายใน 1-3 วัน และหายภายใน 7-10 วัน พบว่าผู้ป่วยจะหายเร็วกว่าการใช้ยาชนิดอื่น และไม่พบอาการข้างเคียงใดๆ จากการใช้สารสกัดใบพญายอ
เห็นได้ชัดว่า สมุนไพรไทย พญายอ มีสรรพคุณมากมาย อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันอันตรายจากการใช้สมุนไพร คุณผู้อื่นต้องศึกษาให้ละเอียด
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
รากของพญาปล้องทอง ประกอบด้วยสาร Lupeol, B-Sitosterol, Stigmasterol และมีการทดลองพบว่าสารสกัดด้วยสารละลายบิวทานอล (butanol) จากใบของพญาปล้องทอง มีสารประกอบฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) สามารถระงับอาการอักเสบได้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงได้มีการผลิต ครีมพญายอ ขึ้นเพื่อนำมารักษาผู้ป่วยโรคงูสวัดได้ ทำให้แผลตกสะเก็ดหายเร็ว ลดอาการปวดได้ดี และไม่พบผลข้างเคียงใดๆ จากการใช้ครีมพญายอ จึงไม่ทำให้เกิดอาการแสบระคายเคือง มีการนำมาออกจำหน่ายในระดับอุตสาหกรรม
[/b]
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย สูง 1-3 เมตร มีลำต้นและกิ่งก้านสีเขียวเข้ม ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกัน รูปรีแคบขอบขนานกว้าง 1-3 ซม. ยาว 4-12 ซม. ดอกช่อ ออกเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกสีแดงส้ม มีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียยาวโผล่พ้นหลอดออกมา ปลายแยกเป็น 2 ปาก ผลเป็นผลแห้ง ไม่ค่อยออกดอก ส่วนมากขึ้นตามป่า หรือปลูกกันตามบ้าน ดังนั้นการขยายพันธุ์จึงทำได้โดยการปักชำหรือ การแยกเหง้าแขนงไปปลูก
วิธีการปลูก
การปลูกพญายอ ส่วนใหญ่ใช้กิ่งปักชำโดยเลือกกิ่งที่สมบูรณ์ปราศจากโรค ไม่แก่ หรือไม่อ่อนเกินไป ตัดกิ่งพันธุ์ให้มีความยาว 6-8 นิ้ว และมีตาบนกิ่งประมาณ 1-3 ตา ให้มีใบเหลืออยู่ที่ปลายยอด ประมาณ 1/3 ของกิ่ง ทาปูนแดงบริเวณรอยตัดของต้นตอ และกิ่งพันธุ์เพื่อป้องกันเชื้อรา ปักชำลงในถุงที่มีวัสดุปักชำเป็นดินร่วนปนทราย จะช่วยให้อัตราการออกรากของกิ่งชำสูง คุณภาพของรากดี และสะดวกในการขุดย้ายต้นไปปลูก โดยปักชำกิ่งลงในวัสดุปลูกลึกประมาณ 3 นิ้ว เอียง 45 องศา รดน้ำให้ชุ่มและรักษาความชื้นให้เพียงพอ โดยกิ่งชำไม่ควรถูกแสงแดดโดยตรง และควรดูแลความชื้นในอากาศ กิ่งปักชำจะออกรากภายใน 3-4 สัปดาห์ เมื่อกิ่งชำที่มีอายุ 3-4 สัปดาห์ ที่ชำไว้ในแปลงชำหรือในถุงชำ โดยใช้ช้อนขุดหรือเสียมแซะกิ่งชำลงปลูกในหลุมปลูกที่เตรียมไว้ 1 ต้นต่อหลุม กลบดิน และกดดินที่โคนให้แน่น รดน้ำหลังจากปลูกทันที
การเก็บ เก็บใบขนาดกลาง ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป การเก็บเกี่ยวให้ใช้วิธีการตัดต้นเหนือระดับผิวดินประมาณ 10 ซม. หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว ต้นตอเดิมยังงอกแตกแขนงเติบโตได้อีก และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตต่อไปได้
การดูแลรักษา ควรให้น้ำในระยะ 1-2 เดือนแรก ควรรดน้ำทุกวัน ถ้าแดดจัดควรรดน้ำเช้า-เย็น เมื่ออายุ 2 เดือนขึ้นไปแล้วอาจให้น้ำวันเว้นวัน ในฤดูฝนถ้ามีฝนตกอาจจะไม่ต้องให้น้ำ สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินอุดมสมบูรณ์ ชอบดินร่วนปนทรายระบายน้ำดี ไม่ชอบดินลูกรังหรือดินเหนียว ชอบอากาศร้อนชื้น ขึ้นได้ดีทั้งที่มีแดดและที่ร่ม
ลักษณะใบพญาปล้องทอง
ส่วนที่นำมาใช้ ใช้ได้ทั้งใบ และราก
ใบ

  • นำมารักษาอาการอักเสบ ถอนพิษ รักษาแผลร้อนในในปาก เริม งูสวัด ให้ใช้ใบสด 10-20 ใบ นำมาตำผสมกับเหล้าหรือ น้ำมะนาว คั้นเอาน้ำดื่มหรือเอาน้ำทาแผลและเอากากพอกแผล
  • นำมาทาบริเวณที่แมลงสัตว์กัดต่อยเป็นผื่นคัน ให้ใช้ใบสด 5-10 ใบ ตำขยี้ทาบริเวณที่เป็นแผลที่แพ้ จะยุบหายได้ผลดี
  • นำมาแก้แผลน้ำร้อนลวก ให้ใช้ใบตำเคี่ยวกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำมันงา เอากากพอกแผลที่ถูกน้ำร้อนลวกหรือไฟไหม้ แผลจะแห้ง หรือ นำใบมาตำให้ละเอียดผสมกับสุรา มีสรรพคุณดับพิษร้อนได้ดี

รากพญาย[/b]
ปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ ขับระดู แก้ปวดเมื่อยบั้นเอว
[url=http://www.disthai.com/]http://www.disthai.com/
[/b]
3  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ตะไคร้มีประโยชน์มากกว่าที่คิด เมื่อ: สิงหาคม 13, 2018, 09:48:28 am
[/b]
ตะไคร[/size][/b]
[url=http://www.disthai.com/16913433/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89]ตะไคร้
เป็นพืชสมุนไพรเขตแดนในประเทศแถบเอเชียเขตร้อน มีลักษณะคล้ายหญ้าและมีใบสูงยาวส่งกลิ่นส่วนตัว นอกจากนำมาใช้ปรุงอาหาร แต่งกลิ่นในอาหาร และก็ทำเครื่องดื่มแล้ว ตะไคร้ยังถูกเอาไปใช้ในหลากสาขา เป็นต้นว่า อุตสาหกรรมสบู่ เครื่องแต่งตัว การบำบัดด้วยกลิ่น หรือการสกัดเป็นยารักษา โดยมีความคิดกันว่าสารเคมีในตะไคร้ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ บางทีอาจสามารถช่วยปกป้องการเจริญเติบโตของแบคทีเรียกับยีสต์ได้ ช่วยลดลักษณะของการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ทุเลาลักษณะของการปวดรวมทั้งลดไข้ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตในระหว่างมีประจำเดือน รวมทั้งเป็นส่วนผสมในสารที่ช่วยไล่ยุงได้ เป็นต้น
ตะไคร้ ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cymbopogon citratus จัดเป็นไม้ล้มลุก มีลักษณะเป็นกอ มักนิยมปลูกไว้ตามบ้านและก็นำมาทำกับข้าว เป็นสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์รวมทั้งช่วยบรรเทาลักษณะของโรคบางจำพวกได้ แต่หารู้หรือเปล่าว่าในความเป็นจริงแล้ว ภายใต้ต้นแข็งแล้วก็ใบที่คมขอตะไคร้[/url]ยังหลบซ่อนคุณค่าเอาไว้เยอะมากจนถึงคิดไม่ถึง วันนี้เราไปดูคุณประโยชน์ซึ่งมาจากตะไคร้ที่ทราบดีแล้วต้องทึ่งที่เอามาจากเว็บ allwomenstalk กันเลยดีกว่าจ้ะ ใครกันแน่ที่ชอบกลิ่นหอมๆของมัน จะต้องยิ่งรักเจ้าสมุนไพรประเภทนี้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน
คุณประโยชน์ของตะไคร้ ประโยชน์ดีๆของสมุนไพรใกล้ตัว
อุดมไปด้วยวิตามิน
          อย่ามีความรู้สึกว่าตะไคร้มีประโยชน์แค่ใช้ทำกับข้าวเพียงแค่นั้น เพราะว่าในความเป็นจริงแล้วตะไคร้นั้นอุดมไปด้วยวิตามินรวมทั้งแร่ธาตุมากไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้งวิตามินเอ วิตามินซี รวมทั้งวิตามินบี ยิ่งไปกว่านี้ยังมีโฟเลต แมกนีเซียม สังกะสี ทองแดง ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แคลเซียม แมงกานีส โอ้โห้... วิตามินเยอะแยะขนาดนี้คราวหลังเจอตะไคร้ในอาหารก็อย่าเขี่ยทิ้งนะ
ช่วยไล่แมลง
          นอกเหนือจากที่จะเอามาทำอาหารแล้ว ตะไคร้ยังมีประโยชน์สำหรับเพื่อการไล่แมลงอีกด้วย เพราะในตะไคร้มีน้ำมันหอมระเหยอยู่ทั้งในใบและก็ในลำต้น ซึ่งน้ำมันหอมระเหยกลุ่มนี้มีคุณลักษณะในการไล่แมลงได้อย่างดี ก็เลยไม่น่าฉงนใจที่พวกเราจะได้เห็นผลิตภัณฑ์สบู่ สินค้าไล่แมลงที่มีส่วนผสมของตะไคร้ขายอยู่ในท้องตลาดจำนวนมาก คนใดกันแน่ที่ชอบกลิ่นตะไคร้ละก็ลองหามาใช้ได้นะคะ
[/b]
ล้างพิษ
          สำหรับรักสุขภาพและก็ชอบล้างพิษภายในร่างกายเสมอๆไม่ควรพลาดเจ้าตะไคร้เลยค่ะ เนื่องจากมันมีคุณลักษณะสำหรับเพื่อการล้างพิษภายในร่างกายด้วยวิธีการทำให้คุณปัสสาวะบ่อยขึ้น เนื่องด้วยสารเคมีที่อยู่ในตะไคร้จะช่วยชำระล้างระบบที่ทำหน้าที่สำหรับการย่อยอาหาร ได้แก่ ตับ ตับอ่อน ไต และกระเพาะปัสสาวะ ขับพิษและกรดยูริกออกจากร่างกาย ทำให้ระบบที่ทำหน้าที่ในการย่อยอาหารของคุณสะอาดขึ้น และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นค่ะ
ตะไคร้ กับ 7 คุณประโยชน์
ช่วยสำหรับการย่อยของกิน
          ตะไคร[/b]ช่วยทำให้ระบบที่ทำหน้าที่สำหรับการย่อยอาหารดำเนินงานได้ดีขึ้นจ้ะ ด้วยเหตุว่ามีการเรียนหนึ่งพบว่าการดื่มเกิดไคร้จะช่วยย่อย ลดลักษณะของการปวดท้อง แก้หวัด ลดอาการตะคริวในลำไส้ รวมทั้งท้องเสียได้ ยิ่งกว่านั้นยังช่วยคุ้มครองปกป้องรวมทั้งลดก๊าซในไส้ได้อีกด้วย
ช่วยซ่อมบำรุงและบำรุงระบบประสาท
          มีการเรียนรู้จำนวนหลายชิ้นพบว่าตะไคร้สามารถช่วยปรับปรุงแก้ไขซ่อนแซมรวมทั้งเสริมความแข็งแรงให้กับระบบประสาทได้ พิสูจน์ได้อย่างง่ายๆด้วยการนำน้ำมันหอมระเหยตะไคร้มาหยดลงบนผิว คุณจะรู้สึกได้ว่ามันอุ่นๆซึ่งมันจะทำให้กล้ามเนื้อของคุณผ่อนคลายมากรวมทั้งลดอาการตะคริวได้ แต่ว่าก็อย่าลืมว่าทุกครั้งที่จะใช้น้ำมันหอมระเหยตะไคร้คุณควรที่จะผสมมันกับน้ำมันตัวพา (Carrier oil) รวมทั้งห้ามใช้น้ำมันหอมระเหยโดยตรงกับผิวเด็ดขาดจ้ะ
ตะไคร้
ช่วยรักษาอาการอักเสบ
          ตะไคร้สามารถช่วยทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายรวมทั้งทุเลาอาการปวดต่างๆได้ นอกเหนือจากนี้ยังช่วยลดอาการอักเสบซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการปวดต่างๆเป็นต้นว่า ปวดฟัน ปวดกล้ามเนื้อ หรือการปวดตามข้อได้อีกด้วย โดยเหตุนั้นถ้าคุณรู้สึกปวดตามส่วนต่างๆของร่างกาย ทดลองหาน้ำมันที่ผสมน้ำมันหอมระเหยตะไคร้มานวดมองนะคะรับประกันว่าหายแน่ๆ
ช่วยทำนุบำรุงผิว
          ตะไคร้เป็นสมุนไพรที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ด้วยเหตุนี้มันก็เลยสามารถช่วยทำนุบำรุงผิวของคุณได้ ทำให้ผิวของคุณส่องแสงความมีสุขภาพดีออกมา แถมยังช่วยทำให้ผิวของคุณมองอ่อนวัยอยู่เป็นประจำ รวมทั้งช่วยลดสิวต่างๆได้อีกด้วย
โทษของตะไคร้
พิษของน้ำมัน[url=http://www.disthai.com/16913433/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89]ตะไคร้
ปริมาณน้ำมันตะไคร้ ที่ทำให้หนูขาวตายที่ครึ่งหนึ่งของจำนวนหนูขาวทั้งหมดทั้งปวง ด้วยการให้ทางปาก  ที่ความเข้มข้น 5,000 มก./กิโลกรัม และการให้น้ำมันหอมระเหยทางกระเพาของกินแก่กระต่ายที่ทำให้กระต่ายตายที่ครึ่งเดียว พบว่า มีจำนวนความเข้มข้นเดียวกันกับการให้แก่หนูขาว พิษทันควันของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ที่ความเข้มข้น 1,500 ppm ในช่วงเวลา 60 วัน กลับทำให้พบว่า หนูขาวที่ได้รับน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้มีการเติบโตเร็วกว่ากรุ๊ปที่ไคุณค่าทางโภชนาการของตะไคร้
การเรียนของตะไคร้ขนาด 100 กรัม พบว่าให้พลังงาน 143 กิโลแคลอรี่ มีสารอาหารสำคัญประกอบด้วย โปรตีน 1.2 กรัม ไขมัน 2.1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 29.7 กรัม เส้นใย 4.2 กรัม แคลเซียม 35 มก. ฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม เหล็ก 2.6 มิลลิกรัม วิตามินเอ 43 ไมโครกรัม ไทอามีน 0.05 มิลลิกรัม ไรโบฟลาวิน 0.02 มก. ไนอาสิน 2.2 มิลลิกรัม วิตามินซี 1 มก. และก็ ขี้เถ้า 1.4 กรัมม้ได้รับ แล้วก็ค่าทางเคมีของเลือดไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด http://www.disthai.com/[/color]

Tags : ประโยชน์ตะไคร้
4  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ทับทิมเป็นสมุนไพรผลิตภัณฑ์สำหรับการบำรุงรักษา เมื่อ: สิงหาคม 09, 2018, 04:39:55 pm
[/b]
ทับทิ[/size][/b]
ทับทิม คือผลไม้ที่นิยมรับประทานอย่างล้นหลาม โดยใช้ประโยชน์จากส่วนที่ได้ผลสดมากที่สุดแล้วก็ยังนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆดังเช่นว่า น้ำทับทิม สารสกัดจากทับทิม สินค้าด้านความสวยสดงดงาม อีกทั้งยังคงใช้ทำเป็นยารักษาโรคตามสูตรยาโบราณในหลายประเทศ
[url=http://www.disthai.com/16488281/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1]ทัมทิม
อุสูดดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระรวมทั้งสารพฤกษเคมีหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย จึงเชื่อว่าบางทีอาจเป็นประโยชน์ในการคุ้มครองป้องกันโรคหรือบรรเทาอาการ อย่างเช่น โรคปอดอุดกันเรื้อรังหรือทุเลาอาการหายใจไม่สะดวกจากโรคนี้ โรคหัวใจและเส้นโลหิต คอเลสเตอรอลสูง โรคในระบบทางเดินอาหาร โรคความดันเลือดสูง โรคในช่องปากแล้วก็โรคเหงือก โรคริดสีดวงทวาร โรคผิวหนัง และก็อื่นๆ
ในตอนนี้ยังมีงานค้นคว้าวิจัยที่ศึกษาการใช้ทับทิมในแบบแตกต่างกันกับการรักษาโรคที่ออกจะจำกัด ทำให้ยังไม่สามารถระบุสมรรถนะของทับทิมต่อการดูแลรักษาโรคได้แจ่มแจ้ง ซึ่งแบบอย่างการเล่าเรียนเรื่องทับทิมกับโรคต่างๆมีดังนี้
โรคเส้นโลหิตแดงแข็ง ทับทิมเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายตัว เป็นต้นว่า สารเอลลาจิแทนนิน (Ellagitannin) สารแทนนิน (Tannin) สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) สารโพลิฟีนอล (Polyphenol) ที่มั่นใจว่าช่วยยับยั้งปฏิกิริยาต้านทานอนุมูลอิสระของไขมันไม่ดี ลดการผลิตโฟมเซลล์ และลดการแข็งตัวของเส้นโลหิต จึงบางทีอาจช่วยลดความเสี่ยงสำหรับการเกิดโรคเส้นโลหิตแดงแข็ง
จากการเรียนฤทธิ์การต้านทานสารอนุมูลอิสระของทับทิมในคนที่มีน้ำหนักเกินจำนวน 22 คน จากการกินอาหารเสริมที่มีสารสกัดทับทิม วันละ 1,000 มิลลิกรัม (มีกรดมึงลลิค 610 มก.) รวมทั้งวัดผลจากค่า TBARS ในเลือด (Thiobarbituric Acid Reactive Substances: TBARS) ซึ่งเป็นค่าการตรวจวัดฤทธิ์สำหรับในการต่อต้านสารอนุมูลอิสระ เพื่อเปรียบเทียบกับผลก่อนจะมีการทดสอบ พบว่าค่าดังที่กล่าวถึงมาแล้วน้อยลง จึงคาดว่าการรับประทานทับทิมบางทีอาจช่วยลดการเสี่ยงของโรคหัวใจแล้วก็เส้นโลหิต
ยิ่งไปกว่านี้ ยังมีงานวิจัยอีกชิ้นให้คนไข้โรคหลอดเลือดแดงแข็งจำนวน 15 คน กินอาหารเสริมจากทับทิมเป็นระยะเวลามากยิ่งกว่า 1 ปีขึ้นไปและ 3 ปีขึ้นไป เปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่มิได้ทานอาหารเสริม ผลปรากฏว่า กลุ่มที่รับประทานอาหาร 3 ปีขึ้นไป มีระดับไขมันที่ลดน้อยลงประมาณ 16% เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่น ก็เลยชี้ให้เห็นว่าการรับประทานสารสกัดจากทัมทิมมากยิ่งกว่า 3 ปี อาจมีส่วนช่วยสำหรับในการลดการเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง ทั้งนี้ ยังคงควรจะมีการเล่าเรียนเพิ่มอีกในระยะยาวกับกรุ๊ปการทดลองขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ยังไม่สามารถที่จะสรุปผลขอทับทิม[/url]แล้วก็การดูแลรักษาโรคหลอดเลือดแดงแข็งได้อย่างแจ่มแจ้ง
โรคเหงือกอักเสบ ทับทิมเป็นผลไม้อีกจำพวกที่มีคุณสมบัติช่วยต้านทานเชื้อแบคทีเรีย ก็เลยถูกประยุกต์ใช้เป็นตัวเลือกสำหรับในการรักษาโรคเหงือก เนื่องจากการดูแลและรักษาหลักบางแนวทางที่ยังไม่มีคุณภาพเพียงพอสำหรับในการบรรเทาอาการจากโรคมากสักเท่าไหร่และก็ลดความเสี่ยงด้านที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจากการดูแลรักษาโรคนี้โดยใช้สารเคมี
จากการทดลองทางคลินิกกับคนเจ็บโรคเหงือกอักเสบเรื้อรัง จำนวน 40 คน เพื่อมองคุณภาพของเจลสารสกัดจากทับทิมเป็นระยะเวลา 21 วัน โดยในแต่ละกรุ๊ปจะใช้แนวทางรักษาที่แตกต่าง ผลพบว่า กรุ๊ปที่ใช้เจลสารสกัดจากทับทิมควบคู่กับการรักษาโรคเหงือกอักเสบโดยขั้นตอนการขูดหินน้ำลาย เกลารากฟัน (Mechanical Debridement) มีอาการดียิ่งขึ้นภายใน 7 วันแรก เมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่เหลือสำหรับเพื่อการทดลอง ซึ่งเจลสารสกัดจากทับทิมจึงบางทีอาจนำไปปรับใช้เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลโพรงปากสำหรับผู้ป่วยโรคเหงือกอักเสบพร้อมกันกับการรักษาด้วยวิธีรักษาที่เป็นมาตรฐานในอนาคต
สอดคล้องกับการทดลองอีกชิ้นที่ศึกษาเล่าเรียนประสิทธิภาพของน้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ใช้ยาหลอกรูปแบบเจลในการรักษาผู้ที่เป็นโรคเหงือกอักเสบปริมาณ 32 คน พบว่าการใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม วันละ 3 ครั้ง ตรงเวลา 4 สัปดาห์ มีสุขภาพโพรงปากดียิ่งขึ้นและก็ปัญหาโรคเหงือกอักเสบลดน้อยลงมากยิ่งกว่ากลุ่มที่ใช้ยาหลอก งานวิจัยชิ้นนี้แสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากทับทิมอาจเอาไปใช้เป็นส่วนประกอบในสินค้าสำหรับบำรุงโพรงปาก ยกตัวอย่างเช่น ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก เพื่อช่วยคุ้มครองและก็ทุเลาอาการโรคเหงือกอักเสบ
ป้องกันการเกิดคราบเปื้อนจุลินทรีย์ สารสกัดจากทับทิมมีคุณภาพสำหรับเพื่อการลดรอยเปื้อนจุลชีวันตามผิวฟัน และก็บางทีอาจก่อให้เกิดโรคทางช่องปากอีกหลายแบบ ซึ่งจากการทดลองให้อาสาสมัครที่มีสุขอนามัยในโพรงปากดี ปริมาณ 30 คน หยุดใช้น้ำยาบ้วนปากที่เคยใช้ปกติ แต่สลับมาใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกซิดีน (Chlorhexidine) รวมทั้งยาหลอกในแต่ละกลุ่ม โดยใช้บ้วนปาก วันละ 2 ครั้ง ตรงเวลา 5 วัน ผลพบว่าอาสาสมัครที่ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมมีอัตราการเกิดคราบจุลินทรีย์ลดลงอย่างเป็นจริงเป็นจังมากยิ่งกว่ายาหลอก แต่มีประสิทธิภาพไม่แตกต่างจากน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกซิดีน ก็เลยเพียงพอจะบอกได้ว่าสารสกัดจากทับทิมอาจลดช่องทางสำหรับการเกิดคราบจุลชีวันภายในช่องปาก
ช่วงเวลาเดียวกัน การเล่าเรียนอีกชิ้นก็ชี้ว่าสารสกัดทับทิมน่าจะมีส่วนช่วยสำหรับการลดการเกิดคราบจุลชีวัน ซึ่งสำหรับในการทดสอบได้เก็บคราบจุลชีวันจากช่องปากของอาสาสมัครที่มีร่างกายแข็งแรงแล้วก็กำลังจัดฟัน อายุ 9-25 ปี จำนวน 60 คน ข้างหลังงดเว้นแปรงฟันเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อเปรียบเทียบผลก่อนแล้วก็ข้างหลังการใช้น้ำยาบ้วนปากชนิดแตกต่างกันในแต่ละกรุ๊ป เช่น น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน และก็ยาหลอก ปรากฏพบว่า น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิมมีประสิทธิภาพในการลดรอยเปื้อนจุลชีวันลงมากที่สุดประมาณ 84% รองลงมาเป็นน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกซิดีน 79% และยาหลอกที่ลดน้อยลงเพียง 11% ก็เลยอาจจะกล่าวว่าสารสกัดจากทับทิมมีฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรียและเป็นตัวเลือกในการใช้กำจัดคราบจุลชีวันบนผิวฟัน ดังนี้ จากข้อมูลข้างต้นยังคงจะต้องมีการตำหนิดตามผลในระยะยาวจากการใช้สารสกัดทับทิมอย่างสม่ำเสมอ เพราะว่าช่วงเวลาสำหรับเพื่อการทดลองค่อนข้างสั้น
ภาวการณ์คอเลสเตอรอลสูง ทับทิมมีคุณประโยชน์ที่กล่าวกันว่าสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้อย่างดีเยี่ยม จากการเล่าเรียนผลของการดื่มน้ำทับทิมเข้มข้น 40 กรัม ในคนป่วยโรคเบาหวานจำพวกที่ 2 รวมทั้งมีสภาวะไขมันในเลือดสูงปริมาณ 22 คน เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์โดยระหว่างการทดสอบจะมีการเก็บข้อมูลอาหารที่รับประทานอาหารด้านใน 1 วัน ทุกๆ10 วัน (รวมทั้งของกินที่มีสารฟลาโวนอยด์) ข้างหลังจบอาทิตย์ที่ 8 พบว่าคนไข้มีระดับไขมันรวม ไขมันชนิดไม่ดี อัตราส่วนของไขมันไม่ดีกับไขมันดี รวมทั้งอัตราส่วนของไขมันรวมกับไขมันดีที่มีสะสมอยู่ในเลือดน้อยลง แต่ว่าไม่เจอการเปลี่ยนแปลงของระดับไตรกลีเซอไรด์แล้วก็ระดับความเข้มข้นของไขมันดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าน้ำทับทิมอาจมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจโดยลดระดับไขมันในคนเจ็บเบาหวานลง แม้กระนั้นยังบอกมิได้กระจ่างแจ้ง เพราะเหตุว่าอาหารชนิดอื่นที่รับประทานอาจมีส่วนช่วยสำหรับการลดไขมันในเลือดได้ด้วยเหมือนกัน แล้วก็กรุ๊ปการทดลองมีขนาดเล็ก ควรต้องขยายผลการศึกษาเล่าเรียนในกรุ๊ปที่ใหญ่ขึ้นเสริมเติม นอกนั้น การดูแลและรักษาภาวะคอเลสเตอรอลสูงจะต้องมีการควบคุมของกินแล้วก็การบริหารร่างกายไปพร้อมกัน ซึ่งอาจมีประโยชน์ต่อการลดระดับไขมันในเลือดมากขึ้นเรื่อยๆ
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ทับทิมอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายประเภท โดยเฉพาะสารโพลีฟีนอลที่มักพบในทับทิม จากรายงานผลที่เจอในห้องแลปบอกว่าสารกลุ่มนี้มีส่วนสำคัญสำหรับในการทุเลาลักษณะของโรคปอดอุดกันเรื้อรังรวมทั้งบางทีอาจชะลอไม่ให้โรคพัฒนาอย่างรวดเร็ว ก็เลยมีการศึกษาคุณภาพของสารโพลีฟีนอลในคนเสริมเติม โดยให้คนไข้โรคปอดอุดกันเรื้อรัง ปริมาณ 30 คน แบ่งเป็นกลุ่มที่กินน้ำทับทิม 400 มิลลิลิตร (มีสารโพลิฟีนอล 2.66 กรัม) เปรียบเทียบกับอีกกลุ่มที่กินยาหลอกติดต่อกันทุกเมื่อเชื่อวันเป็นระยะ 5 อาทิตย์ ผลปรากฏว่า ไม่พบสารโพลิฟีนอลทั้งยังในเลือดและปัสสาวะของคนป่วย อีกทั้งยังไม่เจอความแตกต่างอย่างเป็นจริงเป็นจังระหว่าง 2 กรุ๊ป ก็เลยคาดว่าทับทิมไม่น่ามีส่วนช่วยสำหรับการรักษาหรือทุเลาโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
โดยปกติสารอาหารที่เข้าสู่ร่างกายจะถูกเผาผลาญผ่านกระบวนเมตาบอลิซึมรวมทั้งตรวจพบได้ในเลือดหรือฉี่ แม้กระนั้นผลวิจัยกลับไม่พบสารโพลีฟีนอลจากการกิน ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการสลายตัวสารกลุ่มนี้โดยจุลชีวันในระบบที่ทำหน้าที่ในการย่อยอาหาร จำเป็นต้องทำความเข้าใจแนวทางการดูดซับสารอาหารที่ไม่เหมือนกันก่อนจะกล่าวอ้างถึงผลดีด้านสุขภาพจากการกิน เพราะสารอาหารที่เจอในอาหารที่รับประทานบางทีอาจไม่ได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์ในร่างกายคนเราทั้งหมดทั้งปวง
โรคและก็อาการอื่นๆอย่างเช่น โรคเส้นเลือดหัวใจ การหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เจ็บกล้ามเนื้อหลังการออกกำลังกาย กลุ่มอาการอ้วนลงพุง โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก เยื่อบุช่องปากอักเสบ ผิวไหม้จากแสงอาทิตย์ การต่อว่าดเชื้อทริโคโมแนส (Trichomoniasis) ท้องเดิน โรคบิด เจ็บคอ โรคริดสีดวงทวาร อาการวัยทอง รวมทั้งอื่นๆยังจำเป็นต้องศึกษาค้นคว้าศึกษาค้นคว้าเพิ่มเพื่อหาหลักฐานเกี่ยวกับความสามารถแล้วก็ความปลอดภัยของทับทิมสำหรับในการรักษาโรค
[/b]
ข้อมูลทางโภชนศาสตร์ของผลทับทิม 100 กรัม (คร่าวๆ)
น้ำ 77.93 กรัม
พลังงาน 83 กิโลแคลอรี่
โปรตีน 1.67 กรัม
ไขมัน 1.17 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 18.70 กรัม
เส้นใย 4.0 กรัม
น้ำตาล 13.67 กรัม
แคลเซียม 10 มก.
เหล็ก 0.30 มก.
แมงกานีส 12 มก.
ธาตุฟอสฟอรัส 36 มก.
โพแทสเซียม 236 มก.
โซเดียม 3 มก.
สังกะสี 0.35 มิลลิกรัม
วิตามินซี 10.2 มก.
วิตามินบี 1 0.067 มิลลิกรัม
วิตามินบี 2 0.053 มิลลิกรัม
วิตามินบี 3 0.293 มก.
วิตามินบี 6 0.075 มก.
โฟเลต 38 ไมโครกรัม
วิตามินอี 0.60 มก.
วิตามินเค 16.4 ไมโครกรัม
ความปลอดภัยในการรับประทานทับทิมหรือสินค้าจากทับทิม
โดยทั่วไปการกินน้ำทับทิมออกจะมีความปลอดภัย แต่ในบางรายที่มีลักษณะอาการแพ้ผลสดของทับทิมบางทีอาจเกิดผลใกล้กันจากการกินน้ำทับทิมได้
รากทับทิมประกอบด้วยสารที่เป็นพิษต่อสุขภาพ การรับประทานรากแล้วก็ลำต้นของทับทิมในปริมาณมากบางทีอาจไม่ปลอดภัย
สารสกัดจากทับทิมค่อนข้างไม่เป็นอันตรายในการกินหรือประยุกต์ใช้กับผิวหนัง แต่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้นิดหน่อยในบางราย ดังเช่น อาการคัน บวม น้ำมูกไหล หรือหายใจติดขัด
การรับประทานน้ำทับทิมค่อนข้างมีความปลอดภัยสำหรับหญิงมีครรภ์หรืออยู่ในตอนให้นมบุตร แต่ว่ายังไม่มีรายงานรับรองความปลอดภัยสำหรับเพื่อการกินหรือใช้ทับทิมในแบบอย่างอื่น ดังเช่น สารสกัดจากทับทิม จำเป็นต้องหารือแพทย์ก่อนจะมีการกินทุกคราว
น้ำทับทิมอาจจะทำให้ความดันเลือดลดลดน้อยลงนิดหน่อย ซึ่งอาจจะเป็นผลให้คนไข้ที่มีภาวะความดันต่ำอาการกำเริบ
ผู้ที่มีลักษณะอาการแพ้จากพิษพืชอาจมีการเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้จากการรับประทานทับทิม
คนไข้ที่จะต้องเข้ารับการผ่าตัดควรหยุดรับประทานทับทิมอย่างต่ำ 2 อาทิตย์ เพราะเหตุว่าทับทิมนำมาซึ่งการทำให้ความดันเลือดต่ำลง ก็เลยบางทีอาจกระทบต่อความดันโลหิตในขณะผ่าตัดหรือมีผลต่อเนื่องไปยังข้างหลังการผ่าตัด
การรับประทานทับทิมพร้อมกันกับยาบางประเภทอาจส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยา ได้แก่ ยาที่เกี่ยวเนื่องกับแนวทางการทำงานของตับโดยโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับ Cytochrome จำพวก P450 2D6 หรือจำพวก P450 3A4 ยาลดระดับความดันโลหิตหรือเอซีอี อินฮิบิเตอร์ ยารักษาโรคความดันเลือดสูง ยาโรสุวาสแตตำหนิน ผู้ที่รับประทานยาเสมอๆหรือมีโรคประจำตัวควรขอความเห็นแพทย์ก่อนที่จะมีการรับประทานเพื่อให้เกิดความปลอดภัย
หน้า: [1]
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย