กระทู้ล่าสุดของ: xdfmcx85df54

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: [1]
1  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / รู้จัก พญายอ สมุนไพรฆ่าเชื้อไวรัส เมื่อ: สิงหาคม 25, 2018, 02:39:05 pm
[/b]
[url=http://www.disthai.com/16913677/%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2]พญายอ[/url]
พญายอเป็นไม้พุ่งแกมเลื้อย เถาและใบมีสีเขียวใบไม้ไม่มีหนาม ใบยาวเรียวปลายแหลม ออกตรงข้ามเป็นคู่ ดอกออกเป็นช่อ อยู่ที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมี 3-6 ดอก กลีบดอกเป็นดอกปลายแยกสีแดงอมส้ม
พญายอขึ้นได้งามในดินที่สมบูรณ์ แสงแดดปานกลาง พบได้ทั่วไปตามป่าในประเทศไทย หรือปลูกกันตามบ้าน ปลูกโดยใช้ลำต้นปักชำ เป็นต้นไม้ที่ปลูกง่าย ตัดกิ่งออกมาซัก 2-3 คืบ ปักขำให้รากออกมาดีแล้วก็ย้ายไปปลูกในแปลง ดูแลรักษาเหมือน พืชไม้ทั่วไป
ใบ เป็นยา ให้เก็บขนาดกลางที่สมบูรณ์ ไม่แก่หรือไม่อ่อนจนเกินไป ใบของพญายอสามารถลดอาการักเสบของหูได้ดี โดยเฉพาะส่วนที่สกัดด้วยสารละลาย “บิวทานอล” วงศ์สถิต ฉั่วกุล และคณะได้ศึกษาพบว่าสารสำคัญตัวหนึ่งเป็น “เฟลโวนนอยต์” ส่วนด้านที่มีการต้านพิษงูยังไม่ชัดเจน แต่ปลอดภัยพอที่จะใช้
ใบพญายอรักษาอาการอักเสบเฉพาะที่ (ปวด, บวม, แดง ร้อนแต่ไม่มีไข้) จากแมลงที่มีพิษกัดต่อย เช่น ตะขาบ แมงป่อง ผึ้ง ต่อ แตน รักษาโดยการเอาใบสดจากพญายอนี้มาสัก 10-15 ใบ (มากน้อยตามบริเวณที่เป็น) ล้างให้สะอาด ใส่ลงในครกตำยา ตำให้ละเอียด เติมแอลกอฮอล์พอชุ่มยา ตั้งทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ หมั่นคนยาทุกวัน กรองน้ำยา ใช้น้ำ และกากทาบบริเวณที่เจ็บปวดบวม หรือที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
ข้อมูลจากงานวิจัยระบุว่า สารสกัดจากใบพญายอ สามารถฆ่าเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส งูสวัด (varicella zoster virus) ทั้งภายในและภายนอกเซลล์ คือ ยับยั้งไวรัสโดยตรง และยับยั้งการเพิ่มจำนสวนของไวรัส
ผู้ป่วยโรคเริมบริเวณอวัยยะสืบพันธุ์ที่ติดเชื้อครั้งแรกและติดเชื้อซ้ำ เมื่อรักษาโดยทาแผลของผู้ป่วยด้วยครีมพญายอ (5%) เปรียบเทียบกับยามาตรฐาน acyclovir พบว่า แผลของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอและ acyclovir จะตกสะเก็ดภายในวันที่ 3 และหายภายในวันที่ 7 แสดงว่าครีมพญายอและครีม acyclovir มีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยโรคเริมบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ให้หายได้เร็วพอกัน แต่ครีมพญายอ ไม่ทำให้เกิดอาการแสบระคายเคือง ในขณะที่ครีมทำให้แสบและราคาแพง
ผู้ป่วยโรคงูสวัด เมื่อรักษาโดยทาแผลด้วยครีมพญายอ (5%) วันละ 5 ครั้งทุกวัน ปรากฎว่าแผลจะตกสะเก็ดภายใน 1-3 วัน และหายภายใน 7-10 วัน พบว่าผู้ป่วยจะหายเร็วกว่าการใช้ยาชนิดอื่น และไม่พบอาการข้างเคียงใดๆ จากการใช้สารสกัดใบพญายอ
เห็นได้ชัดว่า สมุนไพรไทย พญายอ มีสรรพคุณมากมาย อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันอันตรายจากการใช้สมุนไพร คุณผู้อื่นต้องศึกษาให้ละเอียด
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
รากของพญาปล้องทอง ประกอบด้วยสาร Lupeol, B-Sitosterol, Stigmasterol และมีการทดลองพบว่าสารสกัดด้วยสารละลายบิวทานอล (butanol) จากใบของพญาปล้องทอง มีสารประกอบฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) สามารถระงับอาการอักเสบได้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงได้มีการผลิต ครีมพญายอ ขึ้นเพื่อนำมารักษาผู้ป่วยโรคงูสวัดได้ ทำให้แผลตกสะเก็ดหายเร็ว ลดอาการปวดได้ดี และไม่พบผลข้างเคียงใดๆ จากการใช้ครีมพญายอ จึงไม่ทำให้เกิดอาการแสบระคายเคือง มีการนำมาออกจำหน่ายในระดับอุตสาหกรรม
[/b]
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย สูง 1-3 เมตร มีลำต้นและกิ่งก้านสีเขียวเข้ม ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกัน รูปรีแคบขอบขนานกว้าง 1-3 ซม. ยาว 4-12 ซม. ดอกช่อ ออกเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกสีแดงส้ม มีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียยาวโผล่พ้นหลอดออกมา ปลายแยกเป็น 2 ปาก ผลเป็นผลแห้ง ไม่ค่อยออกดอก ส่วนมากขึ้นตามป่า หรือปลูกกันตามบ้าน ดังนั้นการขยายพันธุ์จึงทำได้โดยการปักชำหรือ การแยกเหง้าแขนงไปปลูก
วิธีการปลูก
การปลูกพญายอ ส่วนใหญ่ใช้กิ่งปักชำโดยเลือกกิ่งที่สมบูรณ์ปราศจากโรค ไม่แก่ หรือไม่อ่อนเกินไป ตัดกิ่งพันธุ์ให้มีความยาว 6-8 นิ้ว และมีตาบนกิ่งประมาณ 1-3 ตา ให้มีใบเหลืออยู่ที่ปลายยอด ประมาณ 1/3 ของกิ่ง ทาปูนแดงบริเวณรอยตัดของต้นตอ และกิ่งพันธุ์เพื่อป้องกันเชื้อรา ปักชำลงในถุงที่มีวัสดุปักชำเป็นดินร่วนปนทราย จะช่วยให้อัตราการออกรากของกิ่งชำสูง คุณภาพของรากดี และสะดวกในการขุดย้ายต้นไปปลูก โดยปักชำกิ่งลงในวัสดุปลูกลึกประมาณ 3 นิ้ว เอียง 45 องศา รดน้ำให้ชุ่มและรักษาความชื้นให้เพียงพอ โดยกิ่งชำไม่ควรถูกแสงแดดโดยตรง และควรดูแลความชื้นในอากาศ กิ่งปักชำจะออกรากภายใน 3-4 สัปดาห์ เมื่อกิ่งชำที่มีอายุ 3-4 สัปดาห์ ที่ชำไว้ในแปลงชำหรือในถุงชำ โดยใช้ช้อนขุดหรือเสียมแซะกิ่งชำลงปลูกในหลุมปลูกที่เตรียมไว้ 1 ต้นต่อหลุม กลบดิน และกดดินที่โคนให้แน่น รดน้ำหลังจากปลูกทันที
การเก็บ เก็บใบขนาดกลาง ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป การเก็บเกี่ยวให้ใช้วิธีการตัดต้นเหนือระดับผิวดินประมาณ 10 ซม. หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว ต้นตอเดิมยังงอกแตกแขนงเติบโตได้อีก และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตต่อไปได้
การดูแลรักษา ควรให้น้ำในระยะ 1-2 เดือนแรก ควรรดน้ำทุกวัน ถ้าแดดจัดควรรดน้ำเช้า-เย็น เมื่ออายุ 2 เดือนขึ้นไปแล้วอาจให้น้ำวันเว้นวัน ในฤดูฝนถ้ามีฝนตกอาจจะไม่ต้องให้น้ำ สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินอุดมสมบูรณ์ ชอบดินร่วนปนทรายระบายน้ำดี ไม่ชอบดินลูกรังหรือดินเหนียว ชอบอากาศร้อนชื้น ขึ้นได้ดีทั้งที่มีแดดและที่ร่ม
ลักษณะใบพญาปล้องทอง
ส่วนที่นำมาใช้ ใช้ได้ทั้งใบ และราก
ใบ

  • นำมารักษาอาการอักเสบ ถอนพิษ รักษาแผลร้อนในในปาก เริม งูสวัด ให้ใช้ใบสด 10-20 ใบ นำมาตำผสมกับเหล้าหรือ น้ำมะนาว คั้นเอาน้ำดื่มหรือเอาน้ำทาแผลและเอากากพอกแผล
  • นำมาทาบริเวณที่แมลงสัตว์กัดต่อยเป็นผื่นคัน ให้ใช้ใบสด 5-10 ใบ ตำขยี้ทาบริเวณที่เป็นแผลที่แพ้ จะยุบหายได้ผลดี
  • นำมาแก้แผลน้ำร้อนลวก ให้ใช้ใบตำเคี่ยวกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำมันงา เอากากพอกแผลที่ถูกน้ำร้อนลวกหรือไฟไหม้ แผลจะแห้ง หรือ นำใบมาตำให้ละเอียดผสมกับสุรา มีสรรพคุณดับพิษร้อนได้ดี

รากพญาย[/b]
ปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ ขับระดู แก้ปวดเมื่อยบั้นเอว
[url=http://www.disthai.com/]http://www.disthai.com/
[/b]
2  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / เหงือกปลาหมอนับว่าเป็นสมุนไพรที่น่าอัศจรรย์ เมื่อ: สิงหาคม 21, 2018, 10:07:50 am
[/b]
เหงือกปลาหม[/size][/b]
บ้านเกิดเมืองนอนเหงือกปลาหมอ
[url=http://www.disthai.com/16910138/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD]เหงือกปล[/b]หมอนับว่าเป็นสมุนไพรท้องถิ่นของไทยเราเนื่องจากว่ามีประวัติสำหรับเพื่อการนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรมาตั้งแต่โบราณแล้ว ซึ่งเหงือกปลาหมอนี้เป็นพรรณไม้ที่มักขึ้นที่โล่งแจ้งและชอบพบได้มากในรอบๆป่าชายเลน หรือตามพื้นที่ชายน้ำริมฝั่งลำคลอง เจริญเติบโตได้ดิบได้ดีในที่ร่มและก็มีความชุ่มชื้นสูง หรือในแถบที่ดินเค็มและไม่ถูกใจที่ดอน แถบภาคอีสารก็มีรายงายว่าปลูกได้ด้วยเหมือนกัน เหงือกปลาหมอ เจออยู่ 2 จำพวกหมายถึงชนิดดอกสีขาว Acanthus ebracteatus Vahl พบมากในภาคกึ่งกลางแล้วก็ภาคทิศตะวันออก ประเภทดอกสีม่วง  Acanthus ilicifolius L. เจอทางภาคใต้ ทั้งเหงือกปลาหมอยังเป็นพันธุ์ไม่ขึ้นชื่อของจังหวัดสมุทรปราการอีกด้วย
ลักษณะทั่วไป
ต้นเหงือกปลาหมอ เป็นไม้พุ่มขนาดกึ่งกลาง มีความสูงโดยประมาณ 1-2 เมตร ลำต้นแข็ง มีหนามอยู่ตามข้อของลำต้น ข้อละ 4 หนาม ลำต้นกลม กลวง ตั้งตรง มีสีขาวอมเขียว ลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 1.5 ซม.
ใบเหงือกปลาหมอ ใบเป็นใบลำพัง รูปแบบของใบมีหนามคมอยู่ขอบขอบของใบและปลายใบ ขอบใบเว้าเป็นช่วงๆผิวใบเรียบวาวลื่น แผ่นใบสีเขียว เส้นใบสีขาว มีเหลือบสีขาวเป็นแถวก้าง เนื้อใบแข็งและเหนียว ใบกว้างประมาณ 4-7 ซม. รวมทั้งยาวราวๆ 10-20 ซม. ใบจะออกเป็นคู่ตรงกันข้ามกัน ก้านใบสั้น
ดอกเหงือกปลาหมอ ออกดอกเป็นช่อตั้งตามปลายยอด ยาวราว 4-6 นิ้ว ดังนี้สีของดอกขึ้นอยู่กับประเภทของต้นเหงือกปลาหมอเป็น ดอกมีทั้งจำพวกดอกสีม่วง หรือสีฟ้า รวมทั้งชนิดดอกสีขาว แต่ลักษณะอื่นๆเหมือกันคือ  ที่ดอกมีกลีบรองดอกมี 4 กลีบ กลีบแยกจากกัน ส่วนกลีบเป็นท่อปลายบานโต ยาวโดยประมาณ 2-4 เซนติเมตร บริเวณกลางดอกจะมีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่
ผลเหงือกปลาหมอ รูปแบบของผลเป็นฝักสีน้ำตาล ลักษณะของฝักเป็นทรงกระบอกกลมรี รูปไข่ ยาวราว 2-3 เซนติเมตร เปลือกฝักมีสีน้ำตาล ปลายฝักป้าน ด้านในฝักมีเม็ด 4 เม็ด
[url=http://www.disthai.com/16910138/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD]เหงือกปลาหมอ
[/size][/b]
รักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน ขี้กลากเกลื้อน
ชื่ออื่น : แก้มหมอ แก้มแพทย์เล จะเกร็ง นางเกร็ง อีเกร็ง เหงือกปลาหมอน้ำเงิน
ในหนังสือเรียนยาไทยพูดว่า เหงือกปลาหมอสามารถแก้โรคผิวหนังได้ทุกชนิด
ในเมื่อเหงือกปลาหมอมีคุณประโยชน์เด่นแก้น้ำเหลืองเสียได้ โรคผิวหนังต่างๆแม้แต่ โรคอีสุกอีใส ที่เกิดจากเชื้อไวรัสก็จะเบาลงลง
ในกรณีโรคผิวหนังพุพองจากเชื้อไวรัสเอดส์ แม้จะร้ายแรงกว่าโรคผิวหนังทั่วๆไป แต่ว่าเมื่อใช้เหงือกปลาแพทย์เป็นยากินและก็ต้มน้ำอาบติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า 3 ข้างขึ้นไป แผลพุพอง ก็จะบรรเทาเบาบางลงอย่างชัดเจน สำหรับผู้เจ็บป่วยโรคผิวหนังด้วย
วิธีปรุงยาและวิธีการใช้ยาก็มีหลายแนวทาง เป็น
แนวทางต้มยารับประทานรวมทั้งอาบ
เอาเหงือกปลาหมอสดหรือแห้งสับเป็นท่อนเล็กๆใส่เต็มขันขนาด 1 ลิตร ใส่น้ำ 4 ขัน ต้มยาให้เดือดนาน 10 นาที ตักน้ำยาขึ้นมา 1 แก้ว แบ่งไว้สำหรับดื่มกินขณะอุ่นๆครั้งละครึ่งแก้ว วันละ 2 ครั้ง เช้าตรู่-เย็น ก่อนรับประทานอาหาร
ส่วนน้ำยาที่แบ่งไว้อาบนั้น จำเป็นต้องใช้อาบขณะน้ำยายังอุ่นอยู่ ก่อนอาบน้ำต้องชำระล้างร่างกายด้วยสบู่ให้สะอาดเสียก่อน เมื่ออาบน้ำยาแล้ว ไม่ต้องอาบน้ำปกติตามอีก อาบน้ำยาวันละ 2 ครั้ง รุ่งเช้า-เย็นครั้งละ 3-4 ขัน แต่ถ้ามีเหงือกปลาหมอไม่น้อยเลยทีเดียว บางครั้งก็อาจจะต้มยาเพื่อแช่ทั้งตัวในอ่างก็ยิ่งดี
แนวทางการทำเป็นยาลูกกลอน
นำเหงือกปลาหมออีกทั้ง 5 ทีตากแห้งมาบดเป็นผงละเอียด 2 ส่วน ผสมน้ำผึ้งแท้ 1 ส่วน ปั้นเป็นเม็ดลูกกลอนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 เซนติเมตร คนแก่รับประทานครั้งละ 2 เม็ด เด็กบางทีอาจจะกินทีละ 1 เม็ดหรือครึ่งเม็ดตามขนาดอายุและน้ำหนัก รับประทานวันละ 2 ครั้ง ก่อนที่จะรับประทานอาหาร เช้าตรู่-เย็น รับประทานไปเรื่อยๆตราบจนกระทั่งจะหาย แต่ถ้าหากเป็นโรคผิวหนังจากภูมิต้านทานผิดพลาดก็จะต้องกินตลอดไป
[/b]
ขั้นตอนการทำเป็นแคปซูล
นำผงเหงือกปลาหมอที่ผ่านการร่อนเป็นผุยผงละเอียดราวกับแป้งบรรจุแคปซูลขนาด 250 มก. ผู้ใหญ่กินทีละ 2 แคปซูลวันละ 2-3 เวลาก่อนกินอาหาร เด็กต่ำลงตามส่วน
 เหงือกปลาหมอมีคุณประโยชน์เยอะมาก เช่น
-ราก มีสรรพคุณสำหรับในการแก้โรคหืด อัมพาต แก้ไอ รวมทั้งใช้ขับเสลด
-ต้น มีสรรพคุณรักษาโรคหลายประเภท โดยใช้ต้นตำผสมน้ำรักษาวัณโรค อาการผอมแห้งแรงน้อย ถ้าใช้ทาก็ช่วยแก้โรคเหน็บชาได้
-ลำต้น ไปผสมกับสมุนไพรอื่นๆก็จะได้คุณประโยชน์ทางยาแตกต่างออกไปอีก
-ทั้งยังต้นรวมรากต้มอาบแก้พิษไข้หัวลม แก้โรคผิวหนังทุกประเภท
-อีกทั้งต้นสดตำพอกปิดหัวฝีแผลเรื้อรังถอนพิษ ต้มรับประทานแก้พิษฝีดาษ ฝีทั้งหมด ผลรับประทานเป็นยาขับเลือดประจำเดือน นอกเหนือจากนั้น ถ้าหากตาเจ็บ ตาแดง เอา
"เหงือกปลาหมอ" ต้นตำกับขิงคั้นเอาน้ำหยอดตาหาย เป็นเหน็บชา ชาทั้งตัว
- อีกทั้งต้นตำทาบริเวณที่เป็นจะ
- ตำเอาน้ำกินกากพอก งูกัด
- ต้นกับขมิ้นอ้อยตำทาป็นฝีฟกบวม เป็นริดสีดวงทวาร
- ต้นตำกับขิงกิน โรคเรื้อน โรคกุฏฐัง เจ็บป่วยจับสั่น
- ต้นตำใบส้มป่อยต้มดื่ม เจ็บข้างหลัง เจ็บเอว
- "เหงือกปลาหมอ" กับชะเอมเทศตำผงละลายน้ำผึ้งปั้นเป็นก้อนรับประทาน ริดสีดวงแห้ง
ในท้อง ซูบซีดเหลืองทั้งตัว รับประทานแต่ละวัน
- "เหงือกปลาหมอ" กับเปลือกมะรุมเท่ากันใส่หม้อ เกลือหน่อยเดียว หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ ใช้ฟืน 30 ท่อน ต้มกับน้ำจนถึงเดือดให้งวดจึงยกลง กลั้นใจรับประทานขณะอุ่นจนหมด เป็นริดสีดวง มือตายตีนตาย ร้อนตลอดตัว วิงเวียน ตามัว เจ็บระบมหมดทั้งตัว ตัวแห้ง จะหายได้
- "เหงือกปลาหมอ" ทั้ง 5 รวมราก กับ ข้าวเย็นเหนือ อาหารเย็นใต้ ปริมาณเท่ากัน กะตามอยากได้ ต้มกับน้ำจนเดือดดื่มขณะอุ่นทีละ 1 แก้ว 3 เวลา เช้าตรู่ ตอนกลางวัน เย็น ต้มดื่มปอดเริ่มมีปัญหาเป็นฝ้าจะอาการดียิ่งขึ้น ไปให้หมอเอกซเรย์ปอดไม่เป็นฝ้าอีกหยุดต้มกินได้เลย รวมทั้งต้องระวังอย่าให้เป็นอีก
ยาอายุวรรฒนะ
- "เหงือกปลาหมอ" 2 ส่วน พริกไทย 1 ส่วน ทำเป็นผงละลายน้ำผึ้งปั้นรับประทานทุกวี่วัน
กินได้ 1 เดือน ไม่มีโรค ปัญญาดี
กินได้ 2 เดือน ผิวหนังเต่งตึง
กินได้ 3 เดือน โรคริดสีดวงทุกจำพวกหาย
กินได้ 4 เดือน แก้ลม 12 ชนิด หูดี
กินได้ 5 เดือน หมดโรค
กินได้ 6 เดือน เดินไม่ทราบอ่อนแรง
กินได้ 7 เดือน ผิวสวย
กินได้ 8 เดือน เสียงไพเราะ
กินได้ 9 เดือน หนังเหนียว
-"เหงือกปลาหมอ" 1 ส่วน ดีปลี 1 ส่วน ทำผงชงรับประทานกับน้ำร้อนหากผิวแตกหมดทั้งตัวหายได้ ทั้งปวงที่บอกเป็นแบบเรียนยาโบราณ ไม่เชื่อก็ไม่ควรดูถูกเหยียดหยาม ทราบไว้เป็นวิชา http://www.disthai.com/[/b]

Tags : สมุนไพรเหงือกปลาหมอ
3  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / คูนประโยชน์-เเละสรรพคุณ ของราชพฤกษ์ เมื่อ: สิงหาคม 16, 2018, 12:01:08 pm

[/b]
ราชพฤกษ[/size][/b]

คูน ประโยชน์และคุณประโยชน์ของคูน หรือ ต้นราชพฤกษ์
เรื่องราวดอกราชพฤกษ์
           ต้น[url=http://www.disthai.com/16488365/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C]ราชพฤกษ์
หรือ ต้นคูน เป็นต้นไม้พื้นบ้านของทวีปเอเชียใต้ ตั้งแต่ปากีสถาน ประเทศอินเดีย พม่า รวมทั้งศรีลังกา โดยนิยมนำมาปลูกกันมากมายในเขตร้อน สามารถเจริญวัยได้ดีในที่โล่งแจ้ง และก็เป็นที่รู้จักในประเทศไทยมาหลายสิบปี โดยมีการเสนอให้ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทยตั้งแต่ปี พุทธศักราช 2506 แต่ก็ยังมิได้ข้อสรุปแจ้งชัด จนถึงมีการเซ็นชื่อให้เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2544
ดอกไม้ประจำชาติไทย
           เพราะว่า ต้นราชพฤกษ์ ออกดอกสีเหลืองชูช่อ ดูสง่างาม ทั้งยังมีสีตรงกับ สีประจำวันพระราชการบังเกิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็เลยถูกตั้งชื่อว่าเป็น "ต้นไม้ของพระเจ้าแผ่นดิน" และมีการลงชื่อให้ต้นราชพฤกษ์ เป็นเลิศใน 3 สัญลักษณ์ประจำชาติไทย โดยมี 1. ช้าง เป็นสัตว์ประจำชาติไทย 2. ศาลาไทย เป็นสถาปัตยกรรมประจำชาติไทย รวมทั้ง 3. ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย
เหตุผลเลือกเป็นดอกไม้ประจำชาติไทย

  • เนื่องจากว่าฯลฯไม้พื้นบ้านที่รู้จักกันอย่างล้นหลาม รวมทั้งมีอยู่ทุกภาคของประเทศไทย
  • มีประวัติเกี่ยวโยงกับประเพณีหลักๆในไทยแล้วก็ฯลฯพืชที่มีความมงคลที่นิยมนำมาปลูก
  • ใช้ประโยชน์ได้มากมาย ยกตัวอย่างเช่น ใช้เป็นยารักษาโรค อีกทั้งยังใช้ลำต้นเป็นเสาเรือนได้ ฯลฯ
  • มีสีเหลืองสวยงาม พุ่มไม้งามเต็มต้น เปรียบเทียบเป็นสัญลักษณ์แห่งพุทธศาสนา
  • มีอายุยืนนาน รวมทั้งทน

คูน หรือ ราชพฤกษ์ (Golden Shower, Indian Laburnum) เป็นพืชสมุนไพรชนิดยืนต้นขนาดกึ่งกลางถึงกับขนาดใหญ่ ที่มีชื่อเรียกตามท้องถิ่นต่างๆดังเช่น ภาคเหนือเรียก ราชพฤกษ์, ราชพฤกษ์ หรือชัยพฤกษ์ ส่วนปัตตานีเรียก ลักเคย หรือลักเกลือ แล้วก็กะเหรี่ยง-จังหวัดกาญจนบุรีเรียก กุเพยะ เป็นต้น ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรท้องถิ่นของเอเชียใต้ไปจนกระทั่งอินเดีย ศรีลังกา และพม่า รวมถึงคูนหรือราชพฤกษ์นี้ยังเป็นดอกไม้ประจำชาติของไทยอีกด้วย
————– advertisements ————–
การดูแลและรักษา
           แสงสว่าง : อยากได้แสงแดดจัด หรือที่โล่งแจ้ง รวมทั้งเจริญวัยได้ดีในเป็นพิเศษ
           น้ำ : ถูกใจน้ำน้อย ควรจะรดน้ำ 7-10 วันต่อครั้ง สามารถทนกับลักษณะอากาศร้อนก้าวหน้า
           ดิน : สามารถเจริญเติบโตได้ดิบได้ดีในดินที่ร่วนซุย ดินร่วนซุยผสมทราย หรือดินเหนียว
           ปุ๋ย : นิยมให้ปุ๋ยหมัก หรือ ปุ๋ยหมัก ในอัตรา 2-3 กิโลกรัมต่อต้น และก็ควรจะให้ปุ๋ยปีละ 3-4 ครั้ง
ดอกราชพฤกษ์ ดอกไม้ประจำชาติไทย
การขยายพันธุ์
           วิธีแพร่พันธุ์ต้น[url=http://www.disthai.com/16488365/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C]ราชพฤกษ์[/url]ที่นิยมเป็นการเพาะเม็ด โดยใช้เม็ดสดๆมาขลิบด้วยกรรไกรตัดเล็บ แม้กระนั้นจำเป็นต้องเลือกขลิบบริเวณด้านป้าน เพราะเหตุว่าด้านแหลมจะมีต้นอ่อนอยู่ แล้วนำไปแช่น้ำสะอาดทิ้งไว้ผ่านวัน จึงค่อยเทน้ำออกให้เหลือจำนวนพอหล่อเลี้ยงเมล็ดได้ แล้วหลังจากนั้นทิ้งไว้อีกคืนก็จะเจอรากแตกหน่อ และก็สามารถนำลงปลูกได้เลย
ความเชื่อเกี่ยวกับต้นราชพฤกษ์
           เชื่อว่าฯลฯพืชที่มีความมงคล ที่ควรปลูกไว้ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ รวมทั้งถ้าหากปลูกเอาไว้ในบ้านจะช่วยทำให้ทรงเกียรติตำแหน่ง เกียรติ และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางไสยเวท โดยใช้ใบทำน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ ด้วยเหตุว่าเป็นไม้มงคลนาม
ลักษณะทั่วไปของคูน
สำหรับต้นคูนนั้นจัดว่าเป็นไม้ใหญ่ขนาดกลาง โดยลำต้นมีสีน้ำตาลอมเทา มักขึ้นตามป่าผลัดใบ หรือในดินที่สามารถถ่ายเทน้ำเจริญ ส่วนใบจะมีสีเขียวเป็นเงา โคนมน เนื้อใบหมดจดและก็บาง ดอกจะออกเป็นช่อ มีกลีบรูปทรงไข่กลับอยู่ 5 กลีบ แล้วก็มองเห็นเส้นกลีบชัดแจ้ง ฝักอ่อนมีสีเขียวและก็จะเป็นสีดำเมื่อแก่จัด แล้วก็ในฝักจะมีผนังเยื่อบางๆกันเป็นช่องๆอยู่ตามแนวขวางของฝัก รวมทั้งข้างในช่องกลุ่มนี้จะมีเม็ดสีน้ำตาลแบนๆอยู่
ต้นคูน หรือ ต้นราชพฤกษ์
ผลดีและก็คุณประโยชน์ของคูน
ใบ – ช่วยฆ่าพยาธิผิวหนัง ฆ่าเชื้อโรคต่างๆช่วยระบายท้อง สามารถใช้พอกแก้อาการปวดข้อ หรือแก้ลมตามข้อ รวมถึงช่วยแก้โรคอัมพาตของกล้ามบนบริเวณใบหน้า หรือนำไปต้มรับประทานแก้เส้นทุพพลภาพ และก็โรคที่เกิดขึ้นและมีปัญหาเกี่ยวกับสมอง ให้รสเมา
ดอกราชพฤกษ์ – ช่วยระบายท้อง แก้ไข้ แก้พรรดึก (ท้องผูก) และโรคกระเพาะอาหาร รวมทั้งแผลเรื้อรัง ให้รสขมเปรี้ยว
ราก – ช่วยในการฆ่าเชื้อโรคโรคกุฏฐัง ระบายพิษไข้ แก้ขี้กลากหรือเกลื้อน แก้อาการเซื่องซึมหนักบริเวณหัว รวมถึงช่วยถ่ายสิ่งสกปรกสกปรกออกจากร่างกาย แก้อาการหายใจขัด ทำให้ชุ่มชื่นกระชุ่มกระชวยทรวงอก แก้ลักษณะของการมีไข้ ไปจนถึงรักษาโรคหัวใจ ถุงน้ำดี มีฤทธิ์ถ่ายแรงกว่าเนื้อในฝัก สามารถใช้ได้กับเด็กหรือสตรีท้อง ไม่เป็นผลข้างเคียงใดๆให้รสเมา
แก่น – ช่วยในการขับพยาธิไส้เดือน ให้รสเมา
กระพี้ – ช่วยแก้โรครำมะนาด ให้รสเมา
เนื้อในฝัก – ใช้พอกเพื่อช่วยแก้ลักษณะของการปวดข้อ แก้ต้นตานขโมย ปรับปรุงไข้จับสั่น แก้บิด ถ่ายพยาธิ หรือผู้ที่มีลักษณะท้องผูกเรื้อรัง รวมทั้งถ่ายเสมะและแก้พรรดึก (ท้องผูก) ไปจนกระทั่งระบายพิษไข้ สามารถใช้ได้ในเด็กแล้วก็สตรีท้อง ไปจนกระทั่งเป็นยาระบายที่ไม่ทำให้ปวดมวนหรือไข้ท้อง ให้รสหวานเหม็นเบื่อ
เปลือกฝัก – ทำให้แท้งลูก ทำให้อาเจียน และก็ขับรกที่ค้างอยู่ออกมา ให้รสเฝื่อนเมา
เมล็ด – ทำให้อาเจียน ให้รสเฝื่อนเมา
เปลือกต้น – ช่วยแก้อาการท้องเดิน ใช้ฝนผสมกับหญ้าฝรั่น น้ำดอกไม้เทศ แล้วก็น้ำตาล กินเพื่อกำเนิดลมเบ่ง ให้รสฝาดเมา
เปลือกราก – ช่วยแก้ไข้มาลาเรีย และระบายพิษไข้ ให้รสฝาด
ดอกคูน หรือ ดอกราชพฤกษ์
ต้นคูนมักนิยมปลูกเป็นไม้ประดับในพื้นที่เขตร้อนและก็ครึ่งหนึ่งเขตร้อน สามารถเติบโตก้าวหน้าในที่โล่ง และก็ปลูกได้ง่ายอีกทั้งในดินที่ร่วนซุย ดินร่วนซุยคละเคล้าทราย หรือดินร่วนเหนียว รวมถึงยังทนต่อลักษณะอากาศแห้งแล้งแล้วก็ดินเค็มได้ดี แต่หากอากาศหนาวจัดอาจก่อให้ติดเชื้อราหรือโรคใบจุดได้http://www.disthai.com/[/b]
4  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / มารู้จะ “ทับทิม” ผลไม้เพื่อสุขภาพ เมื่อ: สิงหาคม 09, 2018, 03:17:30 pm
[/b]
ทับทิ[/size][/b]
มารู้จะ “ทับทิม” ผลไม้เพื่อสุขภาพ
นักระบุอาหารขึ้นบัญชีวิชาชีพประเทศอเมริกา
ในยุคที่คนไหนก็ห่วงสุขภาพ รักการออกกำลังกาย หมั่นรับประทานผัก ผลไม้ต่างๆเมื่อกล่าวถึง “[url=http://www.disthai.com/16488281/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1]ทับทิม
” ผู้คนจำนวนมากอาจจะคุ้นเคยกันดีกับผลไม้ที่มีกลิ่นหอมหวน รสอร่อยเชิญชวนพึงใจ ทับทิมนั้นมีต้นกำเนิดมาจากอินเดียแล้วก็อิหร่าน โดยในบันทึกโบราณด้านการแพทย์กล่าวว่า ทับทิมถูกใช้เป็นยารักษาโรคและก็ใช้สำหรับในการดูแลสุขภาพมานานนับพันๆปี
ปัจจุบันทับทิมจัดเป็นผลไม้ในกรุ๊ป ซุปเปอร์ฟรุ๊ต ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุสารพฤกษเคมีและสารแอนติออกซิแดนท์ซึ่งมีปริมาณสูงยอดเยี่ยมในทับทิมโดยสูงเป็น 3 เท่าของของกินอื่นที่มีสารแอนติออกซิแดนท์สูง ทั้งมีใยอาหารสูงมากมาย ยิ่งไปกว่านี้ยังมีวิตามินซีสูง มีวิตามินบี 5 (กรดแพนโทธีนิค) วิตามินเอ วิตามินอี ส่วนแร่ธาตุที่มีมากมายคือ แคลเซียม โพแตสเซียม รวมทั้งธาตุเหล็ก
จากการศึกษาเล่าเรียนพบว่ทับทิม[/url]มีสารที่มีฤทธิ์สำหรับในการต่อต้านขบวนการออกซิเดชันที่เกี่ยวกับการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยคุ้มครองปกป้องโรคมะเร็ง และก็โรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระในทับทิมสูงยิ่งกว่า ไวน์แดงและก็ใบชาเขียวถึง 3 เท่า รวมทั้งยังมีปริมาณสารโพลีฟีนอลในทับทิมสูงกว่าน้ำผลไม้อื่นๆได้แก่ ส้ม องุ่น แคนเบอร์รี่ ลูกแพร แอปเปิ้ล อีกด้วย
ทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในกลุ่มสารโพลีฟีนอล ที่สำคัญเป็น สารพูนิค้างลาจิน พูนิค้างลิน รวมทั้งกรดกัลลาจิก ทั้งสิ้นนี้อาจมีผลต่อการป้องกันอันตรายต่อเยื่อภายในร่างกายที่จะส่งผลต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังรังต่างๆการศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยพบว่าสารต้านอนุมูลอิสระในทับทิมบางทีอาจช่วยยั้งการก้าวหน้าของเซลล์ของมะเร็ง ทับทิมยังมีสารอโรมาเทสอินฮิบิเตอร์ธรรมชาติ ซึ่งช่วยยับยั้งการสร้างฮอร์โมนเอสโทรเจนที่อาจช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม นอกจากนั้นสารอาหารแล้วก็สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำทับทิมสกัดยังมีคุณประโยชน์ต่อผิวพรรณ อาจต้านการเกิดริ้วรอย ช่วยให้มีผิวพรรณอ่อนกว่าวัยแล้วก็มีสุขภาพแข็งแรง นอกเหนือจากนี้ทับทิมยังจัดเป็นผลไม้ที่มีพลังงานต่ำ จึงบางทีอาจให้ประโยชน์ต่อการลดพลังงานในการควบคุมน้ำหนัก โดยการกินทับทิมแทนขนมหวาน
ด้วยสารสำคัญต่างๆในทับทิม นักวิจัยก็เลยสนใจศึกษาวิจัยถึงประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยมีรายงานการวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่า สารสกัดจากทับทิมช่วยชะลอการก้าวหน้าของเซลล์ของมะเร็ง และก็สามารถฆ่าเซลล์ของมะเร็งในห้องแลปได้ นอกเหนือจากนั้นยังมีการวิจัยชี้ว่า น้ำทับทิมสกัดยังสามารถช่วยลดแอลดีแอลคอเลสเทอรอล ซึ่งเป็นคอเลสเทอรอคอยลไม่ดี ทำให้เส้นโลหิตแดงแข็งอุดตัน รวมทั้งยังช่วยลดความดันเลือด มีผลสำหรับเพื่อการช่วยคุ้มครองปกป้องโรคหัวใจ โรคเส้นโลหิตสมองตีบแล้วก็หัวใจวาย
ด้วยคุณประโยช์จากทับทิมที่มีต่อสุขภาพและก็มาจากธรรมชาติ ทำให้ทับทิมเป็นที่นิยมอย่างมากมายทั่วโลก เดี๋ยวนี้มีการนำทับทิมมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์น้ำทับทิมสกัดแบบพร้อมดื่ม เพื่อความสะดวกสำหรับผู้ใช้หวานใจและปรารถนาดีสำหรับในการดูแลสุขภาพ
การค้นคว้าวิจัยของ Sharma, Mc Clees and Afaq ล่าสุดในปี 2017 ระบุว่า สารสกัดจากทับทิมมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ยับยั้งการเกิดเซลล์กลายพันธุ์ที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดเซลล์มะเร็ง
ด้วยสรรพคุณมากไม่น้อยเลยทีเดียวดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ทำให้ทับทิมได้รับการขนานนามว่าเป็น “ซุปเปอร์ฟรุต” (Super fruit) ที่ได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วทั้งโลก เพราะมีวิตามินและก็แร่
ความเชื่อรวมทั้งตำนาน
ชาวภาษากรีกโบราณเชื่อว่า ต้นทับทิมมีต้นเหตุมาจากโลหิตของไดโอนีซุส (Di-onysus) ซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งเทพเจ้าทั้งสิ้นแล้วก็เทวีนาน่า(Nana) ซึ่งเป็นพรหมจารีย์ มีครรภ์ขึ้นโดยการสอดใส่ผลทับทิม และให้กำเนิดเทพเทวดาแอตตำหนิส (Attis) ขึ้น ด้วยเหตุดังกล่าว ผู้ที่เคารพนับถือเทวดาแอตตำหนิสจึงไม่รับประทานผลทับทิม ชาวยิวในสมัยพระเจ้าโซโลมอนก็จัดว่า ทับทิมเป็นผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ ดังปรากฏอยู่บนยอดเสาของวิหารกษัตริย์โซโลมอน ชาวฮินดู ในอินเดียเชื่อว่า พระวิฆเนศทรงโปรดทับทิม ผู้ที่ยกย่องพระพิฆเนศวรจึงนิยมนำผลทับทิมไปถวาย นอกเหนือจากนี้ ยังใช้ดอกทับทิมบวงสรวงบูชาพระอาทิตย์ พระนารายณ์ และก็เทวีลักษมี อีกด้วย
คนจีนจัดว่า ต้นทับทิมเป็นพืชที่มีความมงคล (โดยยิ่งไปกว่านั้นทับทิมประเภทดอกสีขาว) และนับว่าทับทิมเป็นสัญลักษณ์ที่ความอุดมสมบูรณ์ ความมีลูกหลานมากมายก่ายกอง (เนื่องด้วยผลทับทิมมีเม็ดมาก) จึงนิยมได้ผลทับทิมเป็นของขวัญแก่บ่าวสาวในพิธีแต่งงาน (เพื่อมีลูกหลานมากมายๆ) ในพิธีสมรสนิยมปักยอดทับทิมไว้ที่ผมเจ้าสาว และปักยอดทับทิมไว้ที่สิ่งของเซ่นสรวงเจ้า คนจีนยังมั่นใจว่า ใบหรือกิ่งทับทิมมีอำนาจไล่ภูตผีปีศาจได้ จึงนิยมปลูกทับทิมไว้ในบริเวณบ้าน และใช้ใบทับทิมแช่น้ำล้างหน้าล้างตา ล้างมือ ข้างหลังกลับจากงานฌาปนกิจศพ (เพื่อมิให้ปีศาจติดตามมา)
ในประเทศญี่ปุ่นอาจจะรับความเลื่อมใสเกี่ยวกับทับทิมไปจากจีน กลายเป็นเครื่องหมายของเจ้าแม่ที่รอปกป้องรักษาเด็กๆให้ปลอดภัย รวมทั้งมั่นใจว่าเมื่อเด็กๆได้รับประทานผลทับทิมแล้วจะไม่มีอันตรายแล้วยังปลอดภัยจากภูตผีปีศาจทั้งปวง คนไทยก็คงได้รับถ่ายทอดความศรัทธาเกี่ยวกับทับทิมมาจากคนจีนบ้าง ดังปรากฏว่า มีศาลเจ้าหลายที่ในประเทศไทย ชื่อเจ้าแม่ทับทิม ซึ่งคงเป็นเจ้าแม่ที่มีกำเนิดจากเมืองจีนแล้วกลายเป็นชื่อไทยคราวหน้า
5  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ทับทิม รู้หรือไม่ว่าเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณ-ประโยชน์มากอย่างน่าทึ่ง เมื่อ: สิงหาคม 08, 2018, 01:42:25 pm
[/b]
ทับทิ[/size][/b]
ทับทิม ชื่อสามัญ Pomegranate
ทับทิม ชื่อวิทยาศาสตร์ Punica granatum L. จัดอยู่ในวงศ์ตะแบก (LYTHRACEAE)
[url=http://www.disthai.com/16488281/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1]ทับทิ[/b] เป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอิหร่านทางตอนใต้ของอัฟกานิสถาน ผลไม้ชนิดนี้จะชอบอากาศหนาวเป็นพิเศษ ยิ่งหนาวมากเท่าไหร่ เนื้อทับทิมนั้นจะมีสีแดงเข้มมากขึ้นเท่านั้น และยังเป็นผลไม้มงคลของคนจีนอีกด้วย ด้วยความที่ทับทิมมีเมล็ดมากจึงสื่อความหมายถึงการมีลูกชายมาก ๆ ด้วยนั่นเอง โดยกิ่งใบของทับทิมก็นำมาใช้ในพิธีการต่าง ๆ ที่มีน้ำมนต์ในการประกอบพิธีหรือนำมาใช้พรมน้ำมนต์เพราะเชื่อว่ามีไว้ติดตัวจะช่วยในเรื่องการคุ้มครองจากภัยอันตรายต่าง ๆ ได้ด้วย
ทับทิมยังถือว่าเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ โดยประโยชน์ของทับทิมและสรรพคุณของทับทิมนั้นมีมากมาย ด้วยทับทิมนั้นเป็นผลไม้ที่มีรสหวานออกเปรี้ยว น้ำทับทิมจึงมีวิตามินซีสูงและยังประกอบด้วยเกลือแร่ต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จึงช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และนอกจากนี้ยังมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย อย่างเช่น บรรเทาอาการของโรคหัวใจ รักษาความดันโลหิตสูง ช่วยลดสภาวะการแข็งตัวขอเลือด รักษาโรคท้องเดิน โรคบิด เป็นต้น
ประโยชน์ขอทับทิม
[/size][/b]
ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกายและช่วยในการชะลอวัย
น้ำทับทิมมีคุณสมบัติช่วยให้ผิวหน้าเต่งตึง ด้วยการนำน้ำทับทิมประมาณ 1 ช้อนชามาทาทิ้งไว้บนใบหน้าประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออก
น้ำทับทิมช่วยเพิ่มความสดชื่น แก้กระหาย คลายร้อนได้เป็นอย่างดี
ช่วยระงับกลิ่นปากได้อีกด้วย
ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง บรรเทาอาการหวัด
ช่วยปกป้องผิวของคุณจากแสงแดด
ทับทับมีวิตามินซีสูงมาก และยังมีวิตามินเอ วิตามินอี และกรดโฟลิกอีกด้วย
ใบทับทิมใช้ในการประกอบพิธีต่าง ๆ ที่ใช้น้ำมนต์ในการประกอบพิธี
ช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องในหญิงตั้งครรภ์
ช่วยในการปรับฮอร์โมนวัยหมดประจำเดือน
ช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อมในผู้สูงอายุ
ช่วยในการบำบัดอาการของโรคเบาหวาน
ช่วยบำรุงสายตา แก้อาการตาอักเสบ
น้ำต้มเปลือกทับทิมช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้
ช่วยบรรเทาอาการของโรคหัวใจ ด้วยการช่วยเสริมสุขภาพหัวใจให้ดียิ่งขึ้น
ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
ช่วยบำรุงสุขภาพฟันให้แข็งแรง
ช่วยส่งเสริมสุขภาพกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน
ช่วยลดความดันโลหิตสูง
ช่วยส่งเสริมการทำงานของหลอดเลือด
ช่วยในการฟอกไตและท่อปัสสาวะ
ช่วยลดสภาวะการแข็งตัวของเลือดจากไขมันในเลือดสูง
มีฤทธิ์ในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
ช่วยแก้อาการระดูขาว ตกเลือด
ช่วยบำรุงสุขภาพตับให้แข็งแรง
มีส่วนช่วยบำรุงและต่อต้านอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ด้วย
เปลือกทับทิมสามารถรักษาโรคท้องเดินและโรคบิดได้ เพราะมีสารในกลุ่มแทนนินอยู่ในปริมาณมาก
เปลือกทับทิมมีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบ
เปลือกผลช่วยรักษาแผลหิด กลากเกลื้อน
เปลือกของทับทิมช่วยต้านการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ
ยาต้มจากเปลือกผลช่วยรักษาอาการอุจจาระร่วงได้ โดยช่วยลดจำนวนครั้งในการขับถ่ายและทำให้ระยะเวลาเริ่มถ่ายครั้งแรกนานขึ้น

เปลือกต้นและเปลือกรากของทับทิมสามารถใช้เป็นยาขับพยาธิตัวตืดและพยาธิตัวกลมได้เป็นอย่างดี ด้วยการนำเปลือกของรากและต้นที่ยังสด ๆ ประมาณครึ่งกำมือ เติมกานพลูลงไปเล็กน้อยเพื่อแต่งรส นำมาต้มกับน้ำ 3 ถ้วยแก้ว เคี่ยวจนเหลือถ้วยครึ่ง แล้วนำมารับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ หลังจากนั้น 2 ชั่วโมงจึงรับประทานยาถ่าย เช่น ดีเกลืออีก 2 ช้อนโต๊ะตามไปอีกครั้งหนึ่ง
ดอกทับทิมใช้ห้ามเลือดได้ ด้วยการนำดอกแห้งมาบดให้ละเอียดแล้วนำมาทาหรือโรยใส่บริเวณบาดแผล
ดอกทับทิมช่วยแก้อาการหูชั้นในอักเสบ
ใบของทับทิมสามารถนำมาอมกลั้วคอหรือทำเป็นยาล้างตาก็ได้
ทับทิมช่วยลดปัญหาผมร่วง ด้วยการนำยาพอกที่ได้จากใบ แล้วนำมาพอกหนังศีรษะ
ชาวอินเดียนำน้ำคั้นจากผลทับทิมและดอกของทับทิมมาปรุงเป็นยาธาตุ สมานลำไส้ บำรุงหัวใจ
ทับทิมช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็งได้มากกว่า 13 ชนิด โดยช่วยให้เซลล์มะเร็งไม่เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ เป็นต้น
ช่วยในการทำลายเซลล์มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่
คุณค่าทางโภชนาการของเนื้อ ทับทิม ต่อ 100 กรัม
พลังงาน 83 กิโลแคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 18.7 กรัม
ประโยชน์ของทับทิมน้ำตาล 13.67 กรัม
เส้นใย 4 กรัม
ไขมัน 1.17 กรัม
โปรตีน 1.67 กรัม
วิตามินบี 1 0.067 มิลลิกรัม 6%
วิตามินบี 2 0.053 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 3 0.293 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 5 0.377 มิลลิกรัม 8%
วิตามินบี 6 0.075 มิลลิกรัม 6%
วิตามินบี 9 38 ไมโครกรัม 10%
โคลีน 7.6 มิลลิกรัม 2%
วิตามินซี 10.2 มิลลิกรัม 12%
วิตามินอี 0.6 มิลลิกรัม 4%
วิตามินเค 16.4 ไมโครกรัม 4%
ธาตุแคลเซียม 10 มิลลิกรัม 1%
ธาตุเหล็ก 0.3 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม 3%
ธาตุแมงกานีส 0.119 มิลลิกรัม 6%
ธาตุฟอสฟอรัส 36 มิลลิกรัม 5%
ธาตุโพแทสเซียม 236 มิลลิกรัม 5%
ธาตุโซเดียม 3 มิลลิกรัม 0%
ธาตุสังกะสี 0.35 มิลลิกรัม 4%
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ http://www.disthai.com/[/b]

Tags : สมุนไพรทับทิม
6  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / เห็ดหลินจือ รักษาโรคโรคมะเร็งได้จริงหรือ?.. เมื่อ: สิงหาคม 07, 2018, 04:37:55 pm
[/b]
เห็ดหลินจื[/size][/b]
เห็ดหลินจือ รักษาโรคโรคมะเร็ง
อีกหนึ่งการค้นคว้าวิจัยที่เล่าเรียนเกี่ยวกับประสิทธิผลของสารโพลีแซ็คคาไรค์ในเห็ดหลินจือของผู้ในผู้เจ็บป่วยโรคมะเร็งปอด จากการวิเคาะห์พบว่า สารดังกล่าวมาแล้วข้างต้นมีส่วนสำหรับในการยัยยั้งหลักการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว
จากการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยล้นหลามถึงประสิทธิผลทางการรักษาโรคมะเร็งของเห็ดหลินจืออาจส่งผลต่อการต้านการอักเสบในคนเจ็บมะเร็งปอดบางราย แต่ยังคงไม่มีหลักฐานทางด้านวิทยาศาสตร์หรือการทดสอบทางด้านการแพทย์ที่ให้ข้อมูลเพียงพอที่เกื้อหนุนให้ใช้เห็ดหลินจือในการรักษามะเร็งอย่างเป็นทางการ
เมื่อวิเคราะห์เปรียบจากการรวบงานค้นคว้าวิจัยที่เรียนรู้ประสิทธิผลของ[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจือ
เพื่อรักษาโรคโรคมะเร็งในมนุษย์ 373 คน แม้จะพบว่าคนเจ็บสนองตอบต่อการดูแลและรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีบรรเทาก้าวหน้าขึ้นเมื่อรักษาร่วมกับการใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือ แต่เมื่อทดลองใช้เห็ดหลินจือเพียงอย่างเดียวกลับไม่มีประสิทธิผลในสำหรับการทำให้มะเร็งลดขนาดลงอย่างใด
นอกนั้น จาการทวนงานค้นคว้าวิจัยพบว่ามีงานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัย 4 ชิ้นที่มีผลลัพธ์ช่วยเหลือว่าเห็ดหลินจืออาจสัมพันธ์ต่อการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนเจ็บให้ดีขึ้น แล้วก็ในเวลาเดียวกัน ก็มีผลลัพธ์จากงานวิจัยหนึ่งที่แสดงถึงผลข้างคียงของเห็ดหลินจือ เป็นอาการคลื่นใส้รวมทั้งนอนไม่หลับด้วย
ด้วยเหตุดังกล่าว ก็เลยอาจกล่าวได้ว่า สิ่งที่ใช้ในการพิสูจน์ทางคุณลักษณะรวมทั้งคุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากเห็ดหลินจือยังคงมีจำกัด บาง งานศึกษาเรียนรู้วิจัยเป็นการทดสอบขนาดเล็ก หลักฐานที่ได้ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ หรือเป็นเพียงแต่การทดลองในคนไข้บางกรุ๊ปเพียงแค่นั้น ประสิทธิผลของเห็ดหลินจือต่อโรคมะเร็ง ก็เลยยังคงเป็นประเด็นการค้นคว้าที่ควรจะปฏิบัติการทดลองต่อไปเพื่อได้ได้ผลลัพ์ที่ชัดเจนและเป็นประโยชน์ในวงกว้างต่อการรักษาผู้เจ็บป่วยโรคมะเร็งได้ในอนาคต
ภาวะต่อมลูกหมากโต รวมทั้งการเจ็บป่วยในระบบฟุตบาทฉี่
มีแนวทางการทดลองหนึ่งที่ใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือทดลองในผู้เจ็บป่วยเพศ 88 รายซึ่งแก่เกินกว่า 49 ปีขึ้นไป ที่มีลักษณะอาการฉี่ติดขัด ข้างหลังการทดสอบกว่า 12 สัปดาห์ ผลสรุปที่ได้เป็น คนป่วยต่างหรูหราคะแนน IPSS ที่ ( TNE lnternational Prostate Symptom Score )ซึ่งเป็นค่าคะแนนสากลสำหรับเพื่อการวัดปัญหาในระบบทางเท้าปัสวะของคนป่วยจากการตอบคำถาม กลับไม่ปรากฏผลในเชิงความเคลื่อนไหวคุณภาพชีวิต การขับถ่ายปัสวะ หรือขนาดของต่อมลูกหมากแต่อย่างใด
ด้วยเหตุผลดังกล่าว การทดสอบดังกล่าวจึงยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาสตร์ที่ชัดแจ้งพอเพียง จำเป็นต้องมีการค้นคว้าทดสอบในด้านนี้ถัดไปในอนาคต เพื่อค้นหาข้างหลังฐานที่แจ่มแจ้งสำหรับการสรุปเกี่ยวกับประสิทธิของเห็ดหลินจือต่อการรักษาภาวการณ์ต่อมลูกหมากโตหรือปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพอะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวพัน
ลดสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของโรคเส้นเลือดหัวใจ
จากการวิเคราะห์ผลการทดลองด้านการแพทย์ 5 ราการ ซึ่งมีคนเจ็บโรคเบาหวานชนิด 2 ร่วมทดลองกว่า 398 รายพบว่า เห็ดหลินจือไม่เป็นผลทางการรักษาในเชิงการลดระดับน้ำตาลในเลือดไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพเพียงพอจะเกื้อหนุนผลทางการรักษาเหล่านั้น และไม่มีข้อมูลที่พอเพียงสำหรับเพื่อการรับรองด้านความปลอดภัยจากการบริโภคเห็ดหลินจือเช่นกัน โดยหนึ่งในงานศึกษาเรียนรู้วิจัยพวกนั้น ได้แสดงถึงผลกระทบจากการบริโภคเห็ดหลินจือในคนป่วยบางราย เป็นอาการคลื่นใส้ ท้องเดิน หรือท้องผูก
โดยเหตุนี้จึงควรมีการค้นคว้าทดสอบถึงประสิทธิภาพของเห็ดหลินจือในการลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆกลุ่มนี้เพื่อปกป้องและการดูแลและรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจถัดไป และให้ได้ความแจ่มชัดชัดดเจนในด้านดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นเพิ่มมากขึ้น อันเป็นประโยชน์ต่อกรรมวิธีการรักษาคุ้มครองป้องกันโรคเส้นโลหิตหัวใจแล้วก็อาการต่างๆที่เกี่ยวข้องถัดไปในอนาคต
ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการบริโรคเห็ดหลินจืออปิ้งชัดแจ้ง เนื่องประสิทธิผลและผลข้างคียงจากการบริโภค ดังนั้น ผู้บริโภค ควรศึกษาเรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเห็ดหลินจือ และก็ปรึกษาหมอหรือเภสัชกรก่อนที่จะมีการบริโรค ด้วยเหตุว่าเห็ดหลินจือในแต่ละแบบจะเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ แม้กระนั้นสารเคมีรวมทั้งส่วนประต่างอาจมีผลข้างๆที่เป็นอันตรายต่อสภาพทางด้านร่างกายได้เช่นกัน
[/b]
โดยธรรมดา จำนวนการบริโภคเห็ดหลินจือ/วันยกตัวอย่างเช่น
-เห็ดหลินจืออบแห้ง ไม่สมควรบริโภคเกิน 1.5-9 กรัม/วัน
-ผงสารสกัดเห็ดหลินจือ ไม่ควรบริโภคเกิน 1-1.5 กรัม
-สารละลายเห็ดหลินจือ ไม่ควรบริโภคเกิน 1 มล./วัน
ความปลอดภัยสำหรับในการบริโภคเห็ดหลินจือ
แม้ว่าจะมีการพิสูจน์ถึงคุณประโยชน์ในบางด้านที่บางทีอาจเกิดขึ้นได้จากการบริโภคเห็ดหลินจือ แต่ผู้ซื้อก็ควรศึกษาค้นคว้าเนื้อหาสาระเกี่ยวกับเห็ดหลินจือ รวมทั้งหารือแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการบริโภค โดยเฉพาะ ควรรอบคอบในด้านปริมาณและแบบอย่างเห็ดหลินจือที่บริโภค เนื่องจากอาจเป็นผลข้างๆต่อร่างกายได้ในคราวหลัง
โดยข้อควรคำนึงสำหรับในการบริโภคเห็ดหลินจือยกตัวอย่างเช่น
ผู้ใช้ทั่วๆไป.......
-ควรบริโภคเห็ดหลินจือในปริมาณที่พอดิบพอดี
-การบริโภคสารสกัดจากเห็ดหลินจือติดต่อกันเป็นเวลานานเกินกว่า 1 ปี อาจส่งผลให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
-การบริโภคสารสกัดจากเห็ดหลินจือติดต่อกันเป็นเวลานานเกินกว่า 1 ปี อาจจะส่งผลให้ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้
-การบริโภคสารสกัดเห็ดหลินจืออาจนำมาซึ่งผลกระทบได้ ยกตัวอย่างเช่น ปากแห้ง คอแห้งผาก คันจมูก เลือดกำเดาไหล ท้องไส้ป่วนปั่น ถ่ายเป็นเลือด
-การดื่มไวน์เห็ดหลินจืออาจนำไปสู่ผลกระทบเป็นอาการผื่นคัน
-การดมหายใจเอาเซลล์ขยายพันธุ์ หรือ สปอร์ (Spores) ของเห็ดหลินจือเข้าไปอาจทำให้กำเนิดอาการแพ้
คนที่ต้องระวังสำหรับในการบริโภคเป็นพิษ
ผู้ที่ครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร ยังไม่มีการรับรองผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ในกลุ่มผู้ซื้อนี้แต่ว่าผู้ที่มีครรภ์และผู้ที่กำลังให้นมบุตรควรจะหลบหลีกการบริโภคเห็ดหลินจือ เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของตนรวมทั้งลูกน้อย
คนที่จำต้องเข้ารับการผ่าตัด การบริโภคเห็ดหลินจือในปริมาณมาก บางทีอาจเพิ่มความเสี่ยงสำหรับการเกิดภาวะมีเลือดออกในผู้เจ็บป่วยบางรายที่จะต้องเข้ารับการผ่าตัด ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยง คนไข้ควรหยุดบริโภคเห็ดหลินจือ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนวันผ่าตัด
คนที่มีปัญหาสุขภาพ
ความดันเลือดต่ำ เห็ดหลินจืออาจนำมาซึ่งการทำให้ความดันโลหิตต่ำลง ด้วยเหตุดังกล่าว คนไข้สภาวะความดันโลหิตต่ำจำเป็นที่จะต้องหลบหลีกการบริโภคเห็ดหลินจือ
ภาวการณ์เกล็ดเลือดต่ำ การบริโภคเห็ดหลินจือในปริมาณมากบางทีอาจเพิ่มความเสี่ยงสำหรับเพื่อการเกิดภาวะมีเลือดออกในคนที่มีเกล็ดเลือดต่ำ ฉะนั้นผู้ป่วยภาวะเกล็ดเลือดต่ำจึงไม่สมควรบริโภคเห็ดหลินจือ
สภาวะมีเลือดออกแตกต่างจากปกติ การบริโภคเห็ดหลินจือในจำนวนมาก บางทีอาจเพิ่มความเสี่ยงสำหรับในการเกิดภาวะมีเลือดออกในผู้เจ็บป่วยบางราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีภาวะเลือกออกเปลี่ยนไปจากปกติอยู่แล้ว http://www.disthai.com/[/b]
หน้า: [1]
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย