กระทู้ล่าสุดของ: xcooiuty015s44

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: [1]
1  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ไขมันส่วนเกิน ต้นเหตุของพุงและความอ้วน เมื่อ: กันยายน 26, 2018, 04:00:01 pm
ไขมันส่วนเกิน ต้นเหตุของพุงรวมทั้งความอ้วน
เดือนพฤษภาคม 19, 2018  kungtep
ไขมันส่วนเกิน เสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคร้ายหลายชนิด ต้องรีบเผาผลาญไขมัน กำจัดไขมันส่วนเกินออกไป มิฉะนั้นจะพบกับความอ้วน น้ำหนักตัวสูง รูปร่างอ้วนกลมบ๊อก เซลลูไลน์(cellulite)หนักอึ๊ง
ไขมันส่วนเกิ สิ่งที่ทำให้เกิดความอ้วน จำต้องสลายไขมันออกไความอ้วน ทำให้บุคลิกเสีย ขาดความมั่นใจ
ปัญหาด้านสุขภาพนับสิบนับร้อย นับว่าเป็นความรู้สึกกลุ้มอกกลุ้มใจอย่างหนึ่งในชีวิต เพราะเมื่อได้เกิดการป่วยไข้ขึ้นมาแล้ว มันก็ย่อมส่งผลกระทบตามมาต่อการดำนงชีพหลายอย่าง ไม่ว่าจะการทำงาน การพบปะผู้คน การประกอบงานกิจวัตรต่างๆซึ่งเรื่องของปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพในตอนนี้นั้นไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องโรคร้ายแรงหรือเรื้อรังอย่างเดียว แต่ยังมีปัญหาสุขภาพในด้านของลักษณะท่าทางลักษณ์ที่ส่งผลต่อความไม่มั่นใจในตัวเอง
 
ไขมันส่วนเกิน
ไขมันส่วนเกินสูง cr.adrianjamesnutrition.com
ทางแกไขมันส่วนเกิน
สูง อยากลดความอ้วน คุณทำเองได้[/size][/b]
ปัญหาความอ้วน เซลลูไลท์มากมาย ไขมันภายในร่างกายสูง ซึ่งเป็นเรื่องที่พบได้มากในสังคมไทยพวกเราขณะนี้ รวมถึงในอีกหลายประเทศทั่วโลกเลยก็ว่าได้ และนับว่าเป็นปัญหาที่แก้ได้ยากในระดับหนึ่งเลย แม้กระนั้นก็เพียงพอมีแนวทางที่จะช่วยจัดแจงปัญหานี้ได้ ยกตัวอย่างเช่น
ลดของกินชนิดแป้งรวมทั้งน้ำตาล
ลดอาหารจำพวกที่เป็นอาหารทอด
ลดของกินที่มีไขมันสูง ดังเช่น กลุ่ม เนื้อ ไก่
บริหารร่างกาย เพื่อ{เผาผลาญไขมัน|สลายไขมันส่วนเกิน
รับประทานน้ำให้มาก อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร
กินผัก ผลไม้ เป็นของกินหลัก ดังเช่น สลัด
ลดข้าวเย็น รับประทานให้ลดลง
อย่าให้ความอ้วน ไขมันส่วนเกิน เข้ามาเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเรา
เพราะเรื่องของความอ้วนไม่ใช่เรื่องที่จะหยิบมาล้อเลียนกันได้กล้วยๆเสมือนอย่างที่ผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยเคยทำกันมา ผู้ที่ล้อบางทีอาจรู้สึกสนุก และไม่ได้คิดอะไรมากมายไปกว่าการหัวเราะชอบใจ คิดเพียงแค่ขำๆหน่า แม้กระนั้นคนที่ถูกล้อนี่สิ น่าจะไม่ขำด้วย เนื่องจากว่าสำหรับเขาแล้วมันไม่ใช่เรื่องขบขันเอาเสียเลย แถมยังเกิดเรื่องที่รู้สึกขายหน้าในรูปภาพลักษณ์ที่ดูแย่ แปลกกว่าธรรมดาทั่วไปด้วยซ้ำ บางบุคคลที่ถูกล้อหนักๆเสมอๆก็เก็บไปคิดมากจนเป็นความทุกข์ แล้วก็สูญเสียความมั่นใจและความเชื่อมั่นไปหมดทุกเรื่องในชีวิตเลยก็มี ไม่ใช่ว่าเขาเล่านั้นอยากอ้วนจนกระทั่งถูกล้อเลียนอย่างงี้หรอก แต่แบบการใช้ชีวิตแต่ละคนมันเลี่ยงความอ้วนได้ยาก รวมทั้งผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยก็อ้วนง่ายแม้กระนั้นลดยากมากมายไป จริงไหม ?

เส้นทางลัด ลดความอ้วน ลดหุ่น ลดไขมันส่วนเกิน
“ส้มแขก” สมุนไพรช่วยระบายไขมัน ขับความอ้วนออกไป บรรเทาท้องผูก สลายเซลลูไลน์(Cellulite) เมื่อมีปัญหาเรื่องความอ้วน ไขมันส่วนเกินสูง ตรวจสอบและลองใช้

Tags : ไขมันส่วนเกิน
2  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ตะไคร้มีสรรพคุณ-ประโยชน์อย่างไร เมื่อ: สิงหาคม 10, 2018, 03:24:07 pm
[/b]
ตะไคร[/size][/b]
ตะไคร้ ชื่อสามัญ Lemongrass
ตะไคร้ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cymbopogon citratus (DC.) Stapf จัดอยู่ในวงศ์ต้นหญ้า (POACEAE หรือ GRAMINEAE)
ตะไคร้จัดเป็นพืชล้มลุกเชื้อสายต้นหญ้า ใบมีลักษณะเรียวยาว ปลายใบมีขนหนาม เป็นสมุนไพรไทยที่นิยมนำมาประกอบอาหาร โดยตะไคร้แบ่งได้ 6 จำพวก ยกตัวอย่างเช่น ตะไคร้หอม ตะไคร้กอ ตะไคร้ต้น ตะไคร้น้ำ ตะไคร้หางนาค และตะไคร้หางสิงห์ ซึ่งเป็นสมุนไพรไทยที่นิยมนำมาปลูกทั่วๆไปในบ้านเรา โดยมีถื่นกำเนิดในประเทศประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย ประเทศพม่า ศรีลังกา และก็ไทย
[url=http://www.disthai.com/16913433/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89]ตะไคร[/color]เป็นทั้งยารักษาโรคแล้วก็ยังมีวิตามินแล้วก็แร่ที่มีประโยชน์ต่อสถาพทางร่างกายอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น วิตามินเอ ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก อื่นๆอีกมากมาย
คุณประโยชน์ของตะไคร้
มีส่วนช่วยสำหรับในการขับเหงื่อ
เป็นยาบำรุงธาตุไฟให้รุ่งโรจน์ (ต้นตะไคร้)
มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงธาตุ ช่วยสำหรับการเจริญอาหาร
ช่วยแก้อาการเบื่อข้าว (ต้น)
สารสกัดจากตะไคร้มีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการคุ้มครองปกป้องโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
แก้รวมทั้งบรรเทาอาการหวัด อาการไอ
ช่วยรักษาลักษณะของการมีไข้ (ใบสด)
ใช้เป็นยาแก้ไข้เหนือ (ราก)
น้ำมันหอมระเหยของใบตะไคร้สามารถบรรเทาอาการปวดได้
ช่วยแก้อาการปวดหัว
ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง (ใบสด)
ใช้เป็นยาแก้อาเจียนถ้าเอาไปใช้ร่วมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆ(หัวตะไคร้)
ช่่วยแก้อาการกษัยเส้นแล้วก็แก้ลมใบ (หัวตะไคร้)
รักษาโรคอาการหอบหืดด้วยการใช้ต้นตะไคร้
ช่วยแก้อาการเสียดแน่นแสบรอบๆอก (ราก)
ใช้เป็นยาแก้อาการปวดท้องแล้วก็อาการท้องร่วง (ราก)
ช่วยแก้และก็ทุเลาอาการปวดท้อง
ช่วยรักษาอาการท้องอืดท้องอืดท้องเฟ้อ (หัวตะไคร้)
ช่วยสำหรับในการขับน้ำดีมาช่วยย่อยอาหาร
น้ำมันหอมระเหยจาก[url=http://www.disthai.com/16913433/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89]ตะไคร้
มีส่วนช่วยลดการบีบตัวของไส้ได้
มีฤทธิ์ช่วยสำหรับเพื่อการขับฉี่
ช่วยแก้อาการเยี่ยวทุพพลภาพรวมทั้งรักษาโรคนิ่ว (หัวตะไคร้)
ช่วยแก้อาการขัดเบา (หัวตะไคร้)
ใช้เป็นยาแก้ขับลม (ต้น)
ช่วยรักษาอหิวาตกโรค
ช่วยแก้ลมอัมพาต (หัวตะไคร้)
ใช้เป็นยารักษาโรคเกลื้อน (หัวตะไคร้)
น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ สามารถช่วยต้านทานเชื้อราบนผิวหนังได้เป็นอย่างดี
ช่วยแก้โรคหนองใน ถ้านำไปผสมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ
[/b]
คุณประโยชน์ของตะไคร้
ประยุกต์ใช้ทำเป็นน้ำตะไคร้หอม น้ำตะไคร้ใบเตย ช่วยดับร้อนแก้หิวได้เป็นอย่างดี
ช่วยในการบำรุงและก็รักษาสายตา
มีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการบำรุงกระดูกรวมทั้งฟันให้แข็งแรง
มีส่วนช่วยในการบำรุงสมองและเพิ่มสมาธิ
สามารถนำมาใช้ทำเป็นยานวดได้
ช่วยไขปัญหาผมแตกปลาย (ต้น)
มีฤทธิ์เป็นยาช่วยสำหรับในการนอน
การปลูกตะไคร้ร่วมกับผักชนิดอื่นๆจะช่วยป้องกันแมลงได้เป็นอย่างดี
ประยุกต์ใช้เป็นองค์ประกอบของสารระงับกลิ่นต่างๆ
ต้นตะไคร้ช่วยดับกลิ่นคาวหรือกลิ่นคาวของปลาได้เป็นอย่างดี
กลิ่นหอมของตะไคร้สามารถช่วยไล่ยุงและกำจัดยุงได้อย่างดีเยี่ยม
เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์จำพวกยากันยุงประเภทต่างๆอย่างเช่น ยากันยุงตะไคร้หอม
สามารถนำไปดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายประเภท อย่างเช่น เครื่องปรุงอบแห้ง ตะไคร้แห้งสำหรับชงดื่ม เอามาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย ฯลฯ
มักนิยมนำมาใช้สำหรับการทำกับข้าวหลายแบบ เป็นต้นว่า ต้มยำ แล้วก็ของกินไทยอื่นๆเพื่อเพิ่มรสชาติ
วิธีทําน้ําตะไคร้หอม
สรรพคุณตะไคร้จัดเตรียมวัตถุดิบดังต่อไปนี้ ตะไคร้ 1 ต้น / น้ำเชื่อม 15 กรัม / น้ำ 240 กรัม
ล้างตะไคร้ให้สะอาด แล้วนำมาหั่นเป็นท่อน ตีให้แตก
ใส่ลงหม้อต้มกับน้ำให้เดือด จนถึงน้ำตะไคร้ออกมาปนกับน้ำกระทั่งเป็นสีเขียว
รอสักประเดี๋ยวแล้วยกลง หลังจากนั้นกรองเอาตะไคร้ออกแล้วเติมน้ำเชื่อมให้ได้รสตามพึงพอใจ
เสร็จแล้วขั้นตอนการทำน้ำตะไคร้
วิธีทําน้ําตะไคร้ใบเตย
น้ตะไคร้[/url] การทําน้ําตะไคร้ใบเตยนั้นสิ่งแรกให้ตระเตรียมวัตถุดิบดังนี้ ตะไคร้ 2 ต้น / ใบเตย 3 ใบ / น้ำ 1-2 ลิตร / น้ำตาลแดง 2 ช้อนชา (จะใส่หรือไม่ก็ได้)
นำตะไคร้มาทุบให้แหลกพอประมาณ แล้วใช้ใบเตยมัดตะไคร้ไว้ให้เป็นก้อน
ใส่ตะไคร้และใบเตยลงไปในหม้อแล้วเพิ่มน้ำ 1 ถึง 2 ลิตร แล้วต้มให้เดือดสักราวๆ 5 นาที เพียงเท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อยสำหรับวิธีการทําน้ํา ตะไคร้
โดยตะไคร้และก็ใบเตยชุดเดียวกัน สามารถเติมน้ำสุกใหม่ได้ 2-3 รอบ แต่ว่ารสบางทีอาจจืดจางลงไปบ้าง นำมาดื่มแทนน้ำช่วยเพิ่มความสดชื่น แถมช่วยบำรุงรักษาสุขภาพอีกด้วย
คุณค่าทางโภชนาการของตะไคร้
การศึกษาเล่าเรียนของตะไคร้ขนาด 100 กรัม พบว่าให้พลังงาน 143 กิโลแคลอรี่ มีสารอาหารสำคัญมี โปรตีน 1.2 กรัม ไขมัน 2.1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 29.7 กรัม เส้นใย 4.2 กรัม แคลเซียม 35 มก. ฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม เหล็ก 2.6 มก. วิตามินเอ 43 ไมโครกรัม ไทอามีน 0.05 มิลลิกรัม ไรโบฟลาวิน 0.02 มิลลิกรัม ไนอาซิน 2.2 มิลลิกรัม วิตามินซี 1 มิลลิกรัม แล้วก็ ขี้เถ้า 1.4 กรัม
โทษของตะไคร้
พิษของน้ำมันตะไคร้ จำนวนน้ำมันตะไคร้ ที่ทำให้หนูขาวตายที่ครึ่งเดียวของจำนวนหนูขาวทั้งหมด ด้วยการให้ทางปาก  ที่ความเข้มข้น 5,000 มิลลิกรัม/กิโล แล้วก็การให้น้ำมันหอมระเหยทางกระเพาอาหารแก่กระต่ายที่ทำให้กระต่ายตายที่ครึ่งเดียว พบว่า มีจำนวนความเข้มข้นเดียวกันกับการให้แก่หนูขาว พิษกระทันหันของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ที่ความเข้มข้น 1,500 ppm ในช่วงเวลา 60 วัน กลับพบว่า หนูขาวที่ได้รับน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้มีการเติบโตเร็วกว่ากรุ๊ปที่ไม้ได้รับ และก็ค่าทางเคมีของเลือดไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร
3  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / เห็ดหลินจือช่วยรักษาโรคต่างๆได้จริงหรือ?... เมื่อ: สิงหาคม 08, 2018, 02:42:47 pm
[/b]
เห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือมีผลเช่นไรต่อเซลล์ต่อมะเร็ง โรคหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน โรคความดันสูง และก็โรคอื่นๆอันแสนเพลียที่จะรักษา ติดตามผลวิจัยรับรองคุณประโยชน์ได้ในเนื้อหานี้จ้ะ
บทความเหล่านี้อ้างอิงสรรพคุณของเห็ดหลินจือจากผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยรับรองจากที่ต่างๆเพื่อเพื่อนฝูงได้พิจารณาด้วยตัวเองว่ารักษาโรคได้ดิบได้ดีขนาดไหนและน่าเชื่อถือเท่าใด หากสหายๆเคยอ่านบทความเกี่ยวกับสรรรพคุณหรืองานศึกษาเรียนรู้วิจัยเกี่ยวกับเห็ดหลินจือจากที่อื่นมาก่อน แล้วรู้สึกอ่านไม่ง่ายเท่าใดหรือเปล่าเข้าใจ บทความในเว็บแห่งนี้ผู้เขียนได้คัดเลือกรวมทั้งเก็บรวบรวมจากหลายที่และก็เขียนในภาษาที่อ่านง่ายที่สุดเท่าที่จะทำเป็น
เพื่อนฝูงๆถูกใจเนื้อหานี้ก็จะเป็นกำลังดวงใจให้คนเขียนได้บทความดีๆให้สหายอ่านกันอีกต่อไปบทความเห็ดหลินจือรักษาโรคเด็ดๆที่เพื่อนพ้องๆจะต้องถูกใจ
ระบบภูมิคุ้มกันคือกลไกการกำจัดเชื้อโรค สารเคมีปะปน เซลล์ของมะเร็ง และสิ่งแปลกปลอมอื่ๆที่จะเข้ามาทำอัตรายต่อสภาพร่างกายเรานั้นเอง โดยเหตุนี้ถ้าสหายๆมีระบบภูมิคุ้มกันดีก็จะไม่ป่วยง่าย หรือถ้าป่วยก็จะฟื้นเร็ว แม้กระนั้นถ้าระบบภูมิคุ้มกันไม่ดีก็จะเจ็บไข้บ่อยมากและเป็นหนักกว่าผู้ที่มีระบบูมิคุ้มกันแข็งแรง มาถึวตรงนี้แล้วเพื่อนๆคงจะมองเห็นความสำคัญของการมีระบบภูมิต้านทานที่แข็งแรงกันแล้ว
คนจีนโบราณใช้เห็ดหลินจือมาเป็นเวลายาวนานกว่า 2000 ปีแล้ว แต่ในยุคนั้นยังไม่มีผู้ใดพิสูจน์ได้ว่าเพราะเหตุใดผู้ที่ทานเห็ดหลินจือถึงมีอายุยืนและก็แข็งแรงไม่ค่อยเป็นโรค เวลานี้เราสมารถยนต์พิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าสารกรุ๊ป Polysacchayide ในเห็ดหลินจือนั้นสามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับพวกเราได้จริง สารกลุ่มดังที่กล่าวถึงแล้วสามารถกระตุ้นการผลิต Interleukin รวมทั้ง Immuoglodulin ซึ่งส่งผลให้ระบบภูเขามคุ้มครองดีและแข็งแรงขึ้น
ระบบภูมิคุ้มกันที่ถูกเสริมด้วยสาร Polysaccharide ในเห็ดหลินจือจะสามารถต้านทานวรัส เซลล์มะเร็ง และจำกัดสารอนุมูลอิสระก้าวหน้าขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ถูกผลข้างเคียงที่โดนยาต้านมะเร็งบางตัวและก็วิธีการทำคีโมกดภูมิต้านทานให้มีระบบภูมิต้านทานดียิ่งขึ้นอีก และเห็ดหลินจือยังมีสารออกฤทธิ์ต่อต้านการแบ่งตัวของเชื้อ HIV อีกด้วย ซึ่ง กรุ๊ปดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วเป็นกลุ่ม Bitter Triterpenoids
A
นักค้นคว้าได้ค้นพบสารหลากหลายประเภทในเหล็ดหลินจือที่ช่วยลดปริมาณไขมันในเส้นเลือด คือ Ganoderic Acid และก็ Lucidenic Acid ซึ่งสาร 2 ชนิดที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น นอกจากช่วยลดไขมันในเส้นโลหิตได้แล้ว ยังคุ้มครองไม่ให้ไขมันตันเส้นเลือดได้โดยตรงอีกด้วย นอกเหนือจากนั้นยังมีสารกลุ่ม Nucleotide ที่สามารถช่วยลดการอุดตันของลิ่มเลือดในเส้นเลือด แล้วก็ช่วยลดอัตราเสี่ยงที่จะเป็นอัมพาตได้อีกด้วย
ได้มีนักวิทยาศาสตร์ที่ประเทศญี่ปุ่นทดสอบให้สารสกัดเห็ดหลินจือกับคนที่เป็นโรคไขมันเส้นโลหิตสูง 70 ราย รวมทั้งกระทำการเก็บผลของการทดลองหลังจากผ่านไป 3 เดือน พบว่าวัวเรสเตอรอลของผู้รับการทดสอบต่ำลงไปถึง 74% ซึ่งก็สอดคล้องกับผลจากการวิจัยจากทั้งโลก แล้วก็ยังพบว่าเห็ดหลินจือ เว้นเสียแต่ช่วยลดการอุดตันของไขมันในเส้นโลหิตแล้ว ยังเป็นเหตุให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้นอีกด้วย
ดังนั้น ก็เลยอาจกล่าวได้ว่า สิ่งพิสูจน์ทางคุณลักษณะรวมทั้งคุณประโยชน์ที่ได้รับมาจากเห็ดหลินจือยังคงมีจำกัด บาง งานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยเป็นการทดสอบขนาดเล็ก หลักฐานที่ได้ยังไม่มีคุณภาพพอเพียง หรือเป็นเพียงการทดลองในคนป่วยบางกลุ่มแค่นั้น ประสิทธิผลขอเห็ดหลินจือ[/url]ต่อโรคมะเร็ง ก็เลยยังคงเป็นเรื่องการค้นคว้าที่ควรปฏิบัติการทดสอบถัดไป เพื่อได้สำเร็จลัพ์ที่แจ่มชัด และเป็นประโยชน์ในวงกว้างต่อการดูแลรักษาผู้เจ็บป่วยโรคมะเร็งได้ในอนาคต
[/b]
สภาวะต่อมลูกหมากโต และก็การเจ็บป่วยในระบบทางเท้าฉี่
มีแนวทางการทดสอบหนึ่งที่ใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือทดสอบในคนไข้เพศ 88 รายซึ่งแก่เกินกว่า 49 ปีขึ้นไป ที่มีลักษณะปัสสาวะติดขัด หลังการทดสอบกว่า 12 สัปดาห์ คำตอบที่ได้เป็น คนป่วยต่างมีระดับคะแนน IPSS ที่ดียิ่งขึ้น ( TNE lnternational Prostate Symptom Score )ซึ่งเป็นค่าคะแนนสากลในการวัดปัญหาในระบบฟุตบาทปัสวะของคนป่วยจากการตอบคำถาม แต่กลับไม่ปรากฏผลในเชิงความเคลื่อนไหวคุณภาพชีวิต การขับถ่ายปัสวะ หรือขนาดของต่อมลูกหมากแต่อย่างใด
ด้วยเหตุนั้น การทดสอบดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นก็เลยยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาสตร์ที่เด่นชัดพอเพียง จะต้องมีการค้นคว้าทดสอบในด้านนี้ถัดไปในอนาคต เพื่อค้นหาหลังฐานที่กระจ่างแจ้งสำหรับการสรุปเกี่ยวกับประสิทธิของเห็ดหลินจือต่อการดูแลรักษาภาวะต่อมลูกหมากโตหรือปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพใดๆก็ตามที่เกี่ยวพัน
ลดสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของโรคเส้นเลือดหัวใจ
จากการวิเคราะห์ผลการทดลองทางการแพทย์ 5 ราการ ซึ่งมีผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิด 2 เข้าร่วมทดลองกว่า 398 รายพบว่า เห็ดหลินจือไม่เป็นผลทางการรักษาในเชิงการลดระดับน้ำตาลในเลือดไม่มีหลักฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพพอเพียงจะเกื้อหนุนผลทางการรักษาเหล่านั้น และไม่มีข้อมูลที่เพียงพอสำหรับเพื่อการยืนยันด้านความปลอดภัยจากการบริโภคเห็ดหลินจืออย่างเดียวกัน โดยหนึ่งในงานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยพวกนั้น ได้แสดงถึงผลกระทบจากการบริโภคเห็ดหลินจือในผู้ป่วยบางราย เป็นอาการคลื่นใส้ ท้องร่วง หรือท้องผูก
ด้วยเหตุนี้ควรต้องมีการค้นคว้าทดลองถึงความสามารถของเห็ดหลินจือสำหรับในการลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆพวกนี้เพื่อคุ้มครองป้องกันและการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจต่อไป และก็ให้ได้ความแจ่มกระจ่างชัดดเจนในด้านดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นมากเพิ่มขึ้น อันเป็นผลดีต่อขั้นตอนการรักษาคุ้มครองป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจและอาการต่างๆที่เกี่ยวเนื่องถัดไปในอนาคต
4  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / เห็ดหลินจือ รักษาโรคโรคมะเร็งได้จริงหรือ?.. เมื่อ: สิงหาคม 08, 2018, 11:04:01 am
[/b]
เห็ดหลินจื[/size][/b]
เห็ดหลินจือ รักษาโรคมะเร็ง
อีกหนึ่งงานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยที่ศึกษาเล่าเรียนเกี่ยวกับประสิทธิผลของสารโพลีแซ็คคาไรค์ในเห็ดหลินจือของผู้ในผู้เจ็บป่วยโรคมะเร็งปอด จากการวิเคาะห์พบว่า สารดังที่กล่าวถึงมาแล้วมีส่วนสำหรับการยัยยั้งแนวทางการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว
จากการค้นคว้ามากถึงประสิทธิผลทางการรักษาโรคโรคมะเร็งของเห็ดหลินจืออาจมีผลต่อการต้านการอักเสบในผู้เจ็บป่วยมะเร็งปอดบางราย แม้กระนั้นยังคงไม่มีหลักฐานด้านวิทยาศาสตร์หรือการทดสอบด้านการแพทย์ที่ให้ข้อมูลเพียงพอที่ช่วยเหลือให้ใชเห็ดหลินจือ
ในการรักษามะเร็งอย่างเป็นทางการ
เมื่อวิเคราะห์เปรียบจากการรวบงานศึกษาเรียนรู้ที่เล่าเรียนประสิทธิผลของเห็ดหลินจือเพื่อรักษาโรคโรคมะเร็งในมนุษย์ 373 คน แม้จะพบว่าคนไข้ตอบสนองต่อการดูแลและรักษาด้วยเคมีบรรเทาหรือรังสีบำบัดรักษาได้ดีขึ้นเมื่อรักษาร่วมกับการใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือ แต่เมื่อตรวจสอบและลองใช้เห็ดหลินจือเพียงอย่างเดียวกลับไม่มีประสิทธิผลในสำหรับเพื่อการทำให้โรคมะเร็งลดขนาดลงประการใด
ยิ่งกว่านั้น จาการทบทวนงานวิจัยพบว่ามีงานค้นคว้าวิจัย 4 ชิ้นที่มีผลลัพธ์สนับสนุนว่าเห็ดหลินจืออาจชมรมต่อการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนป่วยให้ดียิ่งขึ้น และในเวลาเดียวกัน ก็มีผลลัพธ์จากงานศึกษาเรียนรู้วิจัยหนึ่งที่แสดงถึงผลข้างคียงของเห็ดหลินจือ เป็นอาการคลื่นใส้แล้วก็นอนไม่หลับด้วย
โดยเหตุนี้ จึงอาจพูดได้ว่า เครื่องพิสูจน์ทางคุณลักษณะและคุณประโยช์จากเห็ดหลินจือยังคงมีจำกัด บาง งานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยเป็นการทดลองขนาดเล็ก หลักฐานที่ได้ยังไม่มีประสิทธิภาพพอเพียง หรือเป็นเพียงแต่การทดสอบในผู้เจ็บป่วยบางกลุ่มแค่นั้น ประสิทธิผลของเห็ดหลินจือต่อโรคมะเร็ง ก็เลยยังคงเป็นเรื่องการค้นคว้าที่ควรปฏิบัติงานทดสอบต่อไปเพื่อได้สำเร็จลัพ์ที่แจ้งชัดแล้วก็มีประโยชน์ในวงกว้างต่อการดูแลและรักษาคนป่วยมะเร็งได้ในอนาคต
ภาวะต่อมลูกหมากโต แล้วก็การเจ็บป่วยในระบบทางเท้าปัสสาวะ
มีกรรมวิธีทดสอบหนึ่งที่ใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือทดสอบในผู้เจ็บป่วยเพศ 88 รายซึ่งแก่เกินกว่า 49 ปีขึ้นไป ที่มีลักษณะอาการปัสสาวะติดขัด หลังการทดสอบกว่า 12 สัปดาห์ ผลสรุปที่ได้เป็น คนเจ็บต่างมีระดับคะแนน IPSS ที่ดีขึ้น ( TNE lnternational Prostate Symptom Score )ซึ่งเป็นค่าคะแนนสากลสำหรับการวัดปัญหาในระบบทางเท้าปัสวะของคนเจ็บจากการตอบปัญหา แต่กลับไม่ปรากฏผลในเชิงความเคลื่อนไหวคุณภาพชีวิต การขับถ่ายปัสวะ หรือขนาดของต่อมลูกหมากแต่อย่างใด
โดยเหตุนี้ การทดสอบดังที่ได้กล่าวมาแล้วก็เลยยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาสตร์ที่กระจ่างแจ้งพอเพียง จะต้องมีการค้นคว้าทดสอบในด้านนี้ต่อไปในอนาคต เพื่อค้นหาหลังฐานที่กระจ่างสำหรับการสรุปเกี่ยวกับประสิทธิของเห็ดหลินจือต่อการรักษาภาวการณ์ต่อมลูกหมากโตหรือปัญหาสุขภาพอะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวพัน
ลดสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ
จากการวิเคราะห์ผลของการทดลองทางด้านการแพทย์ 5 ราการ ซึ่งมีผู้เจ็บป่วยเบาหวานชนิด 2 เข้าร่วมทดสอบกว่า 398 รายพบว่า เห็ดหลินจือไม่เป็นผลทางการรักษาในเชิงการลดระดับน้ำตาลในเลือดไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพพอเพียงจะช่วยเหลือผลทางการรักษาเหล่านั้น และไม่มีข้อมูลที่เพียงพอสำหรับการรับรองด้านความปลอดภัยจากการบริโภคเห็ดหลินจือเช่นกัน โดยหนึ่งในงานศึกษาเรียนรู้วิจัยเหล่านั้น ได้แสดงถึงผลกระทบจากการบริโภคเห็ดหลินจือในคนไข้บางราย เป็นอาการคลื่นใส้ ท้องร่วง หรือท้องผูก
โดยเหตุนี้จะต้องมีการค้นคว้าทดสอบถึงสมรรถนะของเห็ดหลินจือสำหรับการลดสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่างๆกลุ่มนี้เพื่อป้องกันแล้วก็การรักษาโรคเส้นโลหิตหัวใจถัดไป และก็ให้ได้เรื่องเด่นชัดชัดดเจนในด้านดังที่ได้กล่าวมาแล้วเพิ่มมากขึ้น อันเป็นคุณประโยชน์ต่อกรรมวิธีการรักษาคุ้มครองปกป้องโรคเส้นโลหิตหัวใจแล้วก็อาการต่างๆที่เกี่ยวพันถัดไปในอนาคต
จำนวนที่สมควรสำหรับในการบริโรคเห็ดหลินจืออย่างแจ่มชัด เนื่องประสิทธิผลรวมทั้งผลข้างคียงจากการบริโภค ด้วยเหตุนี้ ผู้บริโภค ควรทำการศึกษาเรียนรู้และทำการค้นคว้าเนื้อหาเกี่ยวกับเห็ดหลินจือ และขอความเห็นหมอหรือเภสัชกรก่อนจะมีการบริโรค เพราะว่าแม้เห็ดหลินจือในแต่ละแบบอย่างจะเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ แต่ว่าสารเคมีและส่วนประต่างอาจส่งผลใกล้กันที่เป็นโทษต่อสภาพทางด้านร่างกายได้เช่นเดียวกัน
[/b]
โดยธรรมดา จำนวนการบริโภคเห็ดหลินจือ/วันอาทิเช่น
-เห็ดหลินจืออบแห้ง ไม่สมควรบริโภคเกิน 1.5-9 กรัม/วัน
-ผงสารสกัดเห็ดหลินจือ ไม่สมควรบริโภคเกิน 1-1.5 กรัม
-สารละลายเห็ดหลินจือ ไม่ควรบริโภคเกิน 1 มล./วัน
ความปลอดภัยสำหรับเพื่อการบริโภคเห็ดหลินจือ
แม้ว่าจะมีการพิสูจน์ถึงคุณค่าในบางด้านที่อาจเกิดขึ้นได้จากการบริโภคเห็ดหลินจือ แต่ผู้ใช้ก็ควรทำการศึกษาเรียนรู้และทำการค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับเห็ดหลินจือ และก็ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนที่จะมีการบริโภค โดยเฉพาะ ควรรอบคอบในด้านจำนวนรวมทั้งรูปแบบเห็ดหลินจือที่บริโภค เนื่องจากว่าอาจเป็นผลข้างๆต่อร่างกายได้ในตอนหลัง
โดยข้อควรปฏิบัติตามสำหรับเพื่อการบริโภคเห็ดหลินจือยกตัวอย่างเช่น
ผู้บริโภคทั่วๆไป.......
-ควรจะบริโภคเห็ดหลินจือในปริมาณที่พอดี
-การบริโภคสารสกัดจากเห็ดหลินจือติดต่อกันเป็นเวลานานเกินกว่า 1 ปี อาจจะส่งผลให้ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้
-การบริโภคสารสกัดจากเห็ดหลินจือติดต่อกันเป็นเวลานานเกินกว่า 1 ปี อาจจะเป็นผลให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
-การบริโภคสารสกัดเห็ดหลินจืออาจก่อเกิดผลกระทบได้ ดังเช่น ปากแห้ง คอแห้งผาก คันจมูก เลือดกำเดาไหล ท้องไส้ปั่นป่วน ถ่ายเป็นเลือด
-การดื่มไวน์เห็ดหลินจืออาจก่อให้เกิดผลกระทบเป็นอาการผื่นคัน
-การดมหายใจเอาเซลล์สืบพันธุ์ หรือ สปอร์ (Spores) ของเห็ดหลินจือเข้าไปอาจจะทำให้เกิดอาการแพ้
คนที่ควรจะระวังในการบริโภคเป็นพิษ
ผู้ที่ครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร ยังไม่มีการรับรองผลข้างเคียงที่บางทีอาจเกิดขึ้นได้ในกลุ่มลูกค้านี้แม้กระนั้นผู้ที่มีครรภ์รวมทั้งคนที่กำลังให้นมบุตรควรจะหลีกเลี่ยงการบริโภคเห็ดหลินจือ เพื่อความปลอดภัยต่อร่างกายของตนเองรวมทั้งลูกน้อย
ผู้ที่จะต้องเข้ารับการผ่าตัด การบริโภคเห็ดหลินจือในปริมาณมาก อาจเพิ่มความเสี่ยงสำหรับการเกิดภาวะมีเลือดออกในคนป่วยบางรายที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด ด้วยเหตุผลดังกล่าว เพื่อลดความเสี่ยง คนไข้ควรหยุดบริโภคเห็ดหลินจือ ขั้นต่ำ 2 สัปดาห์ก่อนวันผ่าตัด
ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ
ความดันเลือดต่ำ เห็ดหลินจืออาจส่งผลให้ความดันเลือดต่ำลง ด้วยเหตุนี้ คนเจ็บภาวการณ์ความดันโลหิตต่ำจึงควรเลี่ยงการบริโภคเห็ดหลินจือ
ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ การบริโภคเห็ดหลินจือในจำนวนมากอาจเพิ่มความเสี่ยงสำหรับในการเกิดภาวะมีเลือดออกในคนที่มีเกล็ดเลือดต่ำ ด้วยเหตุผลดังกล่าวผู้ป่วยภาวการณ์เกล็ดเลือดต่ำจึงไม่ควรบริโภคเห็ดหลินจือ
ภาวการณ์มีเลือดออกแตกต่างจากปกติ การบริโภคเห็ดหลินจือในจำนวนมาก อาจเพิ่มการเสี่ยงในการเกิดภาวะมีเลือดออกในคนไข้บางราย โดยเฉพาะในคนที่มีภาวการณ์เลือกออกเปลี่ยนไปจากปกติอยู่แล้ว http://www.disthai.com/[/b]
5  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรบุกมีสรรพคุณเเละประโยชน์ที่น่าอัศจรรย์ เมื่อ: สิงหาคม 06, 2018, 03:33:23 pm

บุก (Amorphophallus spp.) มีชื่อสามัญว่า Konjac (คอนจัค)12 ในไทยจะใช้บุกที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson หรือที่เราเรียกว่า “บุกคางคก” ซึ่งเป็นพืชตระกูลเดียวกันกับบุกชนิดที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus konjac K.Koch แต่ต่างประเภทกัน ซึ่งมีคุณลักษณะรวมทั้งคุณประโยชน์ทางยาที่ใกล้เคียงกัน และสามารถประยุกต์ใช้แทนกันได้
บุ[/size][/b]
บุก ชื่อสามัญ Devil’s tongue, Shade palm, Umbrella arum
บุก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus konjac K.Koch (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus rivieri Durand ex Carrière) จัดอยู่ในวงศ์บอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุก มีชื่อเรียกอื่นว่า แพทย์ ยวี จวี๋ ยั่ว (จีนแต้จิ๋ว), หมอยื่อ (จีนกลาง) ฯลฯ
ต้นบุก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกที่แก่หลาย ลำต้นแทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน มีความสูงของต้นประมาณ 50-150 ซม. หัวที่อยู่ใต้ดินนั้นมีขนาดใหญ่ รูปแบบของหัวเป็นรูปค่อนข้างกลมแบนนิดหน่อย หรือกลมแป้น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว 25 เซนติเมตร ผิวเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ลำต้นและกิ่งมีลักษณะกลมใหญ่ เปลือกลำต้นเป็นสีเขียวมีลายแต้มสีขาวปนเปอยู่
หัวบุก
ใบบุก ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อยเรียงสลับ รูปแบบของใบเป็นรูปไข่กลมรี ปลายใบแหลม ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดยาวโดยประมาณ 15-20 เซนติเมตร
ใบบุก
ดอกบุก มีดอกเป็นดอกโดดเดี่ยว ลักษณะของดอกเป็นรูปทรงทรงกระบอกกลมแบน มีกลิ่นเหม็น สีม่วงแดงอมเขียว มีกาบใบยาวประมาณ 30 เซนติเมตร สีม่วงอมเหลือง โผล่ขึ้นพ้นจากกลีบเลี้ยงที่มีสีม่วง
ผลบุก รูปแบบของผลเป็นรูปกลมแบน เมื่อสุกจะเป็นสีส้ม
ดอกแล้วก็ผลบุก
บุกคางคก
บุกคางคก ชื่อสามัญ Stanley’s water-tub, Elephant yam
[url=http://www.disthai.com/16488234/%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%81]บุก
คางคก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus campanulatus Decne.) จัดอยู่ในสกุลบอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุกคางคก มีชื่อเขตแดนอื่นๆว่า บุกหลวง บุกหนาม เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน), บักกะเดื่อ (จังหวัดสกลนคร), กระบุก (จังหวัดบุรีรัมย์), บุกคางคก บุกระอุงคก (จังหวัดชลบุรี), หัวบุก (ปัตตานี), มันซูรัน (ภาคกึ่งกลาง), บุก (ทั่วๆไป), กระแท่ง บุกรอคอย หัววุ้น (ไทย), บุกอีรอคอยกเขา ฯลฯ
ต้นบุกคางคก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกจำพวกกะแท่งหรือเท้ายายม่อมหัว มีอายุได้นานหลายปี มีความสูงของต้นโดยประมาณ 5 ฟุต มีลักษณะของลำต้นอวบและอวบน้ำไม่มีแก่น ผิวขรุขระ ลำต้นกลมและมีลายเขียวๆแดงๆลักษณะก็จะคล้ายกับคนเป็นโรคผิวหนัง ต้นบุกนั้นขยายพันธุ์ด้วยแนวทางแยกหน่อ พรรณไม้ประเภทนี้จะงอกงามในช่วงฤดูฝน รวมทั้งจะร่วงโรยไปในตอนต้นฤดูหนาว ในประเทศไทยพบมากขึ้นเองตามป่าราบริมฝั่งรวมทั้งที่อำเภอศรีราชา ส่วนในต่างชาติบุกคางคกนั้นเป็นพืชท้องถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบได้ตั้งแต่ศรีลังกาไปจนกระทั่งอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์
ต้นบุกคางคก
หัวบุกคางคก คือส่วนของหัวที่อยู่ใต้ดิน มีลักษณะออกจะกลมแล้วก็มีขนาดใหญ่สีน้ำตาล ผิวขรุขระ เส้นผ่านศูนย์กลางของหัวบุกนั้นจะมีขนาดตั้งแต่ 15 เซนติเมตรขึ้นไป เนื้อในหัวเป็นสีเหลืองอมชมพู สีชมพูสด สีขาวขุ่น สีครีม สีเหลืองอ่อน สีเหลืองอมขาวละเอียดและเป็นเมือกลื่น มียาง โดยยิ่งไปกว่านั้นหัวสด แม้สัมผัสเข้าจะทำให้เกิดอาการคันได้ ก่อนเอามาปรุงเป็นอาหารนั้นก็เลยจำต้องทำให้เป็นเมือกโดยการต้มในน้ำเดือดซะก่อน โดยน้ำหนักของหัวนั้นมีตั้งแต่ว่า 1 กรัม ไปจนกระทั่ง 35 กิโล
บุกคางคก[/size][/b]
ใบบุกคางคก ใบเป็นใบลำพัง ออกที่ปลายยอดของต้น ใบแผ่ออกเหมือนกางร่มแล้วหยักเว้าเข้าหาเส้นกึ่งกลางใบ ส่วนขอบของใบจักเว้าลึก ก้านใบกลม อวบน้ำและยาวได้ราวๆ 150-180 ซม.
ใบบุกคางคก
ดอกบุกคางคก ออกดอกเป็นช่อ ดอกแทงขึ้นมาจากพื้นดินบริเวณของโคนต้น เป็นแท่งมีลายสีเขียวหรือสีแดงแกมสีน้ำตาล (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์) ดอกออกเป็นช่อ แทงขึ้นมาจากหัวที่อยู่ใต้ดิน ก้านช่อดอกสั้น มีใบเสริมแต่งเป็นรูปหุ้มห่อช่อดอก ขอบหยักเป็นคลื่นและก็บานออก ปลายช่อดอกเป็นรูปกรวยคว่ำขนาดใหญ่ ยับเป็นร่องลึก สีแดงอมน้ำตาลหรือสีม่วงเข้ม ดอกเพศผู้อยู่ตอนบน ส่วนดอกเพศเมียอยู่ตอนล่าง ดอกมีกลิ่นเหม็นเหมือนซากสัตว์เน่า
ดอกบุกคางตาราง
ผลบุกคางคก ผลได้ผลสด เนื้อนุ่ม รูปแบบของผลเป็นทรงรียาว ขนาดยาวราวๆ 1.2 ซม. ผลมีหลายชิ้นชิดกันเป็นช่อๆ(สิบถึงร้อยร้อยผลต่อหนึ่งช่อดอก)ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนสีเหลือง สีส้ม จนกระทั่งสีแดง ด้านในผลมีเมล็ดโดยประมาณ 1-3 เม็ด โดยมีสันขั้วเม็ดของแต่ว่าเม็ดแยกออกจากกัน เมล็ดมีลักษณะกลมรีหรือเป็นรูปไข่
คุณประโยชน์ของบุก
หัวบุกมีรสเผ็ด เป็นยาร้อน มีพิษ ออกฤทธิ์ต่อม้าม ตับ และก็ระบบทางเดินอาหาร มีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นโลหิต (หัว)
ใช้เป็นอาหารสำหรับคนป่วยเบาหวานและก็คนไข้โรคไขมันในเลือดสูง ด้วยการแยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วชงกับน้ำ โดยให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว เอามาชงกับน้ำก่อนที่จะกินอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ
หัวใช้เป็นยารักษาโรคมะเร็ง (หัว)
ใช้เป็นยาแก้ไข้จับสั่น (หัว)
ช่วยแก้อาการไอ (หัว)
หัวใช้เป็นยากัดเสลด ละลายเสมหะ ช่วยกระจายเสลดที่อุดตันรอบๆหลอดลม (หัว)
หัวบุกมีรสเบื่อคัน ใช้เป็นยากัดเสมหะเถาดาน และเลือดจับกันเป็นก้อน (หัว)
หัวเอามาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคท้องมาน (หัว)
ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (ราก)
ช่วยแก้ระดูไม่มาของสตรี (หัว)6 ช่วยขับรอบเดือนของสตรี (ราก)
หัวนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้โรคตับ (หัว)
ใช้แก้พิษงู (หัว)
ใช้เป็นยาแก้แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก (หัว)
หัวใช้หุงเป็นน้ำมัน ใช้ใส่บาดแผล กัดฝ้าและก็กัดหนองได้ดิบได้ดี (หัว)1,2,3,4 บางข้อมูลกล่าวว่ารากใช้เป็นยาพอกฝีได้ (ราก)
ใช้แก้ฝีหนองบวมอักเสบ (หัว)6
หัวใช้เป็นยาแก้ปวดบวม แก้ฟกช้ำดำเขียว (หัว)
บุก เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณมากกว่าไวอากร้า หรือเป็นยาเพิ่มสมรรถนะทางเพศ โดยคุณนิล นก (บ้านหนองพลวง ตำบลโคกกลาง อำเภอลำปลายนพคุณ จ.บุรีรัมย์) เสนอแนะให้ทดลองพิสูจน์ ด้วยการเอาไม้พาดปากหม้อแล้วนำสมุนไพรบุกคางคก เอาพวงเม็ดเอามาย่างไฟให้หอมก่อน แล้วใช้ผูกกับไม้แขวนจุ่มลงไปในหม้อต้มใส่น้ำพอท่วมเมล็ดบุก ต้มจนเมล็ดบุกร่วงลงหม้อ ตัวยาก็จะไหลลงมาด้วย เมื่อเดือดแล้วก็ให้เพิ่มน้ำตาลทรายแดงพอประมาณลงไปต้มให้พอหวาน จากนั้นลองชิมมอง ถ้าหากยังมีลักษณะอาการคันคออยู่ก็ให้เพิ่มเติมน้ำตาลเพิ่มแล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยชิมใหม่ ถ้าเกิดไม่มีอาการคันคอก็เป็นพิษว่าใช้ได้ และให้นำสมุนไพรโด่ไม่รู้จักล้มใส่เข้าไปด้วยราว 1 กำมือ แล้วต้มให้เดือด ปลดปล่อยให้เย็นรวมทั้งเก็บไว้ในตู้เย็น ใช้ดื่ม 1 เป็ก ราวๆ 30 นาที จะปวดท้องเยี่ยวโดยธรรมชาติ ภายหลังอาวุธนั้นจะพร้อมสู้โดยทันที (ผล)
หมายเหตุ : สำหรับวิธีการใช้ให้แยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วนำมาชงกับน้ำ ส่วนขนาดที่ใช้นั้นให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว ชงกับน้ำดื่มก่อนที่จะรับประทานอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ2 ส่วนการใช้ตาม 6 ให้ใช้ครั้งละ 10-15 กรัม (เข้าใจว่าเป็นส่วนของหัว) เอามาต้มกับน้ำนาน 2 ชั่วโมง ก็เลยสามารถนำมารับประทานได้ ถ้าหากเป็นยาสดให้ใช้ตำพอกหรือเอามาฝนกับน้ำส้มสายชู หรือต้มเอาน้ำใช้ชะล้างรอบๆที่เป็นแผล
ในเนื้อหัวบุกป่าจะมีผลึกของแคลเซียมออกซาเลท (Calcium oxalate) เยอะๆ ที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการคัน ส่วนเหง้าแล้วก็ก้านใบถ้าหากปรุงไม่ดีแล้วกินเข้าไปจะทำให้ลิ้นพองและคันปากได้8ก่อนเอามารับประทานจะต้องกำจัดพิษออกก่อน และไม่รับประทานกากยาหรือยาสด6
กรรมวิธีการกำจัดพิษจากหัวบุก ให้นำหัวบุกมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆตำเพียงพอแหลก คั้นเอาน้ำออกพักไว้ นำกากที่ได้ไปต้มน้ำ แล้วคั้นมัวแต่น้ำ นำไปผสมกับน้ำที่คั้นครั้งแรก แล้วค่อยนำไปต้มกับน้ำปูนใสเพื่อพิษหมดไป เมื่อเดือดก็พักไว้ให้เย็น จะจับกุมกันเป็นก้อน จึงสามารถใช้ก้อนดังกล่าวข้างต้นสำหรับในการประกอบอาหารหรือนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นยาได้6ถ้าหากอาการเป็นพิษจากการกินบุก ให้กินน้ำส้มสายชูหรือชาแก่ แล้วและก็ตามด้วยไข่ขาวสด แล้วให้รีบไปพบแพทย์
เนื่องจากวุ้นบุกสามารถขยายตัวได้มาก (ไม่ต่ำลงยิ่งกว่า 20 เท่าของเนื้อวุ้นแห้ง) จึงไม่สมควรบริโภควุ้นบกภายหลังการรับประทาน แต่ให้รับประทานก่อนกินอาหารไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง ส่วนการบริโภคของกินที่สร้างจากวุ้น ดังเช่นว่า วุ้นก้อนรวมทั้งเส้นวุ้น สามารถบริโภคพร้อมของกินหรือหลังรับประทานอาหารได้ ด้วยเหตุว่าวุ้นดังกล่าวมาแล้วข้างต้นได้ผ่านวิธีการรวมทั้งได้ขยายตัวมาก่อนแล้ว แล้วก็การการที่จะขยายตัวหรือพองตัวได้อีกนั้นจึงเป็นได้ยาก ส่วนในเรื่องของค่าทางโภชนาการนั้นพบว่าวุ้นบุกไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เพราะเหตุว่าไม่มีการเสื่อมสลายเป็นน้ำตาลภายในร่างกาย และไม่มีวิตามินและก็แร่ หรือสารอาหารอะไรก็ตามที่เป็นประโยชน์ต่อสภาพทางด้านร่างกายเลยกลูโคแมนแนนส่งผลทำให้การดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันลดน้อยลง (เป็นต้นว่า วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และก็วิตามินเค) ซึ่งจะไม่ไม่ดีต่อสุขภาพโดยรวมได้ แต่จะไม่เป็นผลต่อการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในน้ำ (ตัวอย่างเช่น วิตามินบีรวม วิตามินซี)
การกินผงวุ้นบุกในจำนวนมาก อาจจะส่งผลให้มีลักษณะท้องร่วงหรือท้องอืด มีอาการหิวน้ำมากยิ่งกว่าเดิม บางบุคคลอาจมีอาการอ่อนล้าด้วยเหตุว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดน้อยลงได้
[/b]
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของบุก
สารที่พบ ดังเช่นว่า สาร Glucomannan, Konjacmannan, D-mannose, Takadiastase, แป้ง, โปรตีนบุก, วิตามินบี, วิตามินซี แล้วก็ยังเจอสารที่เป็นพิษ คือ Coniine, Cyanophoric glycoside ก้านบุกพบสาร Uniine และวิตามินบีที่ก้านช่อดอก6 รวมทั้งหัวบุกยังมีโปรตีนอยู่จำนวนร้อยละ 5-6 แล้วก็มีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูงจำนวนร้อยละ 672หัวบุกมีสารสำคัญเป็นกลูวัวแมนแนน (Glucomannan) เป็นสารประเภทคาร์โบไฮเดรต ซึ่งมีกลูโคส แมนโนส และก็ฟรุคโตส สารกลูโคแมนแนนสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ เพราะว่ามีความเหนียว ช่วยยั้งการดูดซึมของกลูโคสจากทางเดินอาหาร ยิ่งเหนียวหนืดมากก็ยิ่งมีผลการดูดซึมเดกซ์โทรส ด้วยเหตุผลดังกล่าว กลูโคแมนแนน ซึ่งเหนียวกว่า gua gum ก็เลยสามารถลดน้ำตาลได้ดียิ่งไปกว่า ก็เลยใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นอาหารสำหรับคนไข้เบาหวานรวมทั้งสำหรับคนที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูงสารกลูโคแมนแนน (Glucomannan) จะมีจำนวนต่างกันออกไปตามจำพวกของบุก5
แป้งจากหัวบุกนั้นประกอบไปด้วยกลูโคนแมนแนนประมาณ 90% และสิ่งปลอมปนอื่นๆได้แก่ alkaloid, starch, สารประกอบไนโตเจนต่างๆsulfates, chloride, แล้วก็พิษอื่น โมเลกุลของกลูวัวแมนแนนนั้นหลักๆแล้วจะประกอบไปด้วยน้ำตาลสองจำพวก คือ กลูโคส 2 ส่วน และแมนโนส 3 ส่วน โดยประมาณ เชื่อมต่อกันระหว่างคาร์บอนตำแหน่งที่ 1 ของน้ำตาลประเภทที่สอง กับคาร์บอนตำแหน่งที่ 4 ของน้ำตาลจำพวกแรกแบบ ?-1, 4-glucosidic linkage ซึ่งต่างจากแป้งที่พบในพืชทั่วๆไป ก็เลยไม่ถูกย่อยโดยกรดและก็น้ำย่อยในกระเพาะ เพื่อให้น้ำตาลที่ให้พลังงานได้8 เว้นเสียแต่กลูโคแมนแนนจะพบได้ในบุกแล้ว ยังเจอได้ในว่านหางจระเข้อีกด้วย9
กลูโคแมนแนน (Glucomannan) สามารถดูดน้ำรวมทั้งพองตัวได้มากถึง 200 เท่า ของจำนวนเดิม เมื่อเรากินกลูโคแมนแนนก่อนที่จะกินอาหารครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงครั้งละ 1 กรัม กลูวัวแมนแนนจะดูดน้ำที่มีมากมายในกระเพาะของพวกเรา แล้วเกิดการพองตัวจนทำให้พวกเรารู้สึกอิ่มของกินได้เร็วและก็อิ่มได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้พวกเรารับประทานได้ลดลงกว่าธรรมดาด้วย ทั้งยังกลูวัวแมนแนนจากบุกก็มีพลังงานต่ำมากมาย กลูโคแมนแนนจึงช่วยสำหรับเพื่อการควบคุมน้ำหนักแล้วก็เป็นของกินของผู้ที่อยากลดหุ่นได้อย่างดีเยี่ยม8
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่รับประทานครั้งละ 15 กรัม ต่อ 1 กิโล ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลา 2-3 อาทิตย์ พบว่าระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดของหนูลดน้อยลงคิดเป็น 44% แล้วก็ Triglyceride ลดลงคิดเป็น 9.5%6
สาร Glucomannan มีฤทธิ์ดูดซึมน้ำในกระเพาะรวมทั้งไส้ก้าวหน้ามาก และก็ยังสามารถไปกระตุ้นน้ำย่อยในไส้ให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีการขับของที่คั่งค้างในลำไส้ได้เร็วขึ้น6สารสกัดแอลกอฮอล์จากหัวบุก สามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อวัณโรคในหลอดแก้วได้5
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่ที่มีลักษณะบวมที่ขากินครั้งละ 15 กรัม ต่อ 1 กก. พบว่าอาการบวมที่ขาของหนูต่ำลง6
คุณประโยชน์ของบุกคนประเทศไทยพวกเรานิ http://www.disthai.com/[/b]
6  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ขิง เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณอันน่าทึ่ง เมื่อ: สิงหาคม 06, 2018, 10:28:19 am
[/b]
ขิ[/size][/b]
ขิง เป็นพืชที่มีเหง้าใต้ดิน ด้านนอกเหง้าเป็นน้ำตาลปนเหลือง เนื้อในสีขาวหรือเหลืองอ่อน มักเอามาทำกับข้าวเนื่องจากส่งกลิ่นหอม นอกจากนั้น ขิงยังใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องดื่ม สบู่ รวมทั้งเครื่องแต่งหน้าทั้งหลายด้วยเหมือนกัน ด้านผลดีต่อสุขภาพ มีความเชื่อเกี่ยวกับการใช้ขิงรักษาโรคหลากหลายชนิดมาอย่างยาวนาน อาทิเช่น โรคเกี่ยวกับระบบที่ทำการย่อยอาหารอย่างท้องเสีย มีก๊าซในกระเพาะ อาหารไม่ย่อย อาการเมารถเมาเรือ คลื่นไส้ ไม่อยากอาหาร
คุณลักษณะของขิงเชื่อว่ามีสารที่อาจช่วยลดอาการอ้วกและลดการอักเสบ โดยนักค้นคว้าส่วนมากคาดว่าเป็นสารที่ออกฤทธิ์ในกระเพาะอาหารและลำไส้ และก็สารนี้อาจส่งผลต่อสมองหรือระบบประสาทส่วนที่ควบคุมอาการคลื่นไส้ด้วย แม้กระนั้นการสันนิษฐานดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นยังกำกวมนัก และคุณลักษณะด้านอื่นๆมีข้อมูลน้อยกว่า ซึ่งคุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากขิงต่อร่างกายที่เราเชื่อกันนั้น เดี๋ยวนี้ทางวิทยาศาสตร์มีข้อมูลแจกแจงไว้ดังนี้
การดูแลรักษาที่บางทีอาจสำเร็จ
อาการคลื่นไส้อาเจียนที่เกิดขึ้นมาจากการใช้ยาต้านเชื้อไวรัสไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องหรือโรคภูมิคุมกันบกพร่อง สรรพคุณทุเลาอาการอาเจียนคลื่นไส้ของ[url=http://www.disthai.com/16488302/%E0%B8%82%E0%B8%B4%E0%B8%87]ขิง
บางทีอาจมีประโยชน์ต่อคนเจ็บโรคนี้ที่เอาแต่ได้รับผลกระทบจากการใช้ยารักษาโรค โดยจากการเล่าเรียนผู้เจ็บป่วยจำนวน 102 คน แบ่งให้กลุ่มหนึ่งกินขิง 500 กรัม อีกกลุ่มรับประทานยาหลอกวันละ 2 ครั้ง ในช่วง 30 นาทีก่อนจะได้รับยารักษาโรคเอดส์อย่างยาต้านรีโทรเชื้อไวรัส ตรงเวลาทั้งหมดทั้งปวง 14 วัน พบว่าขิงช่วยลดอาการคลื่นไส้คลื่นไส้ที่เกิดจากการรักษาโรคติดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องได้
อาการอาเจียนอาเจียนภายหลังจากการผ่าตัด ขิงอาจช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้แล้วก็คลื่นไส้จากการผ่าตัดได้สิ่งเดียวกัน โดยการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ชี้ว่าการรับประทานขิง 1-1.5 กรัม ในช่วง 1 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัดนั้นดูเหมือนจะช่วยลดอาการคลื่นไส้อ้วกที่บางทีอาจเกิดขึ้นในระหว่าง 24 ชั่วโมงข้างหลังได้รับการผ่าตัด
งานศึกษาเรียนรู้หนึ่งทดลองแบ่งคนไข้จำนวน 122 ผู้ที่รับการผ่าตัดต้อกระจกให้กินแคปซูลขิง 1 กรัม และอีกกลุ่มได้รับแคปซูลขิง 500 มิลลิกรัมแต่ว่าแบ่งให้ 2 ครั้งที่แล้วผ่าตัด ซึ่งผลลัพธ์พบว่าผู้ป่วยในกรุ๊ปหลังมีลักษณะอาการอ้วกคลื่นไส้น้อยครั้งแล้วก็มีความร้ายแรงของอาการน้อยกว่า โดยงานค้นคว้านี้พบว่าการใช้ขิงนั้นคงจะให้ประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อรับประทานเป็นประจำและสม่ำเสมอโดยแบ่งจำนวนการใช้
ยิ่งไปกว่านี้ การทดสอบทาน้ำมันขิงรอบๆข้อมือของคนป่วยก่อนเข้ารับการผ่าตัด พบว่าช่วยป้องกันอาการอาเจียนในผู้เจ็บป่วยโดยประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์จากผู้เข้ารับการผ่าตัดทั้งสิ้น แต่ว่าการใช้ขิงช่วยลดอาการอาเจียนอาเจียนร่วมกับยาลดอาเจียนคลื่นไส้นั้นอาจให้ผลได้ไม่ดีนัก และก็การใช้ขิงกับคนไข้ที่เสี่ยงต่อการอาเจียนอ้วกน้อยอยู่แล้วหลังจากนั้นก็บางทีอาจไม่ได้เรื่องเช่นเดียวกัน
อาการแพ้ท้อง การรับประทานขิงอาจมีส่วนช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้อง ดังเช่น คลื่นไส้ อ้วก หรือเวียนหัว ผลการค้นคว้าชิ้นหนึ่งที่ช่วยยืนยันคุณลักษณะนี้เป็นการทดลองในหญิงที่แก่ครรภ์ต่ำยิ่งกว่า 20 อาทิตย์ จำนวน 120 คน ซึ่งเผชิญอาการแพ้ท้องทุกๆวันนานขั้นต่ำ 1 อาทิตย์ และไม่กระปรี้กระเปร่าขึ้นแม้ว่าจะเปลี่ยนการทานอาหารแล้วหลังจากนั้นก็ตาม ภายหลังจากกินสารสกัดจากขิง 125 มิลลิกรัม ซึ่งเท่ากันกับขิงแห้ง 1.5 กรัม วันละ 4 ครั้ง 4 วัน คำตอบได้แสดงให้เห็นว่าขิงอาจสามารถประยุกต์ใช้คุณประโยชน์ในฐานะการดูแลและรักษาหนทางต่ออาการแพ้ท้องได้
นับว่าสอดคล้องกับอีกงานศึกษาเรียนรู้วิจัยก่อนหน้าที่ชี้ว่าการรับประทานขิง 1 กรัมต่อวัน ติดต่อนาน 4 วัน สามารถช่วยลดความร้ายแรงของอาการคลื่นไส้อ้วกในหญิงมีท้องที่มีลักษณะแพ้ท้องได้ อย่างไรก็ดีการใช้ขิงสำหรับคุณค่าด้านนี้บางทีอาจเห็นการดูแลและรักษาได้ช้ากว่าหรือได้ผลดีไม่พอๆกับการใช้ยาแก้อาเจียนอ้วก ยิ่งกว่านั้น การเรียนรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติช่วยลดอาการแพ้ท้องของขิงยังมีข้อจำกัดแล้วก็พบผลสรุปที่ไม่บ่อยนัก โดยมีบางการทดสอบที่ชี้ว่าขิงอาจไม่ได้มีส่วนช่วยสำหรับในการลดอาการแพ้ท้องเหมือนกัน
อาการเวียนหัวหัว อาการที่เกิดขึ้นกับการอ้วกนี้อาจบรรเทาให้ดียิ่งขึ้นได้ด้วยการใช้คุณค่าจากขิง จากการค้นคว้าวิจัยที่ทดสอบด้วยการให้ผู้ที่มีลักษณะบ้านหมุน และตากระตุกจากการกระตุ้นโดยใช้อุณหภูมิกินผงเหง้าขิง ปรากฏว่าเหง้าขิงช่วยลดอาการหน้ามืดศีรษะได้อย่างเป็นจริงเป็นจังเมื่อเทียบกับกรุ๊ปที่รับประทานยาหลอก แม้กระนั้นมิได้ช่วยลดระยะเวลาหรือชะลอการกระตุกของตามากนัก
โรคข้อเสื่อม มีการเล่าเรียนบางงานที่ชี้ว่าขิงอาจมีคุณประโยชน์ลดอาการเจ็บที่เกิดจากโรคข้อเสื่อม จากการทดลองหนึ่งที่ให้คนป่วยกินสารสกัดจากขิงประเภทหนึ่ง (Zintona EC) ในปริมาณ 250 กรัม วันละ 4 ครั้ง พบว่าช่วยลดลักษณะของการปวดข้อหัวเข่าภายหลังจากการรักษาตรงเวลา 3 เดือน ส่วนอีกงานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยที่ใช้สารสกัดจากขิงผสมกับข่า พบว่าได้ผลลัพธ์สำหรับการช่วยลดลักษณะการเจ็บขณะยืน อาการเจ็บข้างหลังเดิน และก็อาการข้อติด
ยิ่งไปกว่านี้ มีการศึกษาเทียบคุณภาพระหว่างขิงและยาพารา โดยให้คนไข้โรคข้ออักเสบในกระดูกบั้นท้ายและข้อหัวเข่ารับประทานสารสกัดขิง 500 มก.ทุกวัน วันละ 2 ครั้ง ขิงให้ผลทุเลาลักษณะของการปวดได้เสมอกันกับการใช้ยาไอบูโพรเฟน 400 มก. วันละ 3 ครั้ง และยังมีการค้นคว้าวิจัยที่แนะนำว่าการนวดด้วยน้ำมันที่มีส่วนผสมของขิงและส้มอาจช่วยทุเลาลักษณะของการปวดแล้วก็เมื่อยล้าที่เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆของผู้ป่วยที่มีลักษณะอาการเจ็บหัวเข่าได้ด้วย
ลักษณะของการปวดเมนส์ นอกจากลักษณะของการปวดจากโรคข้อเสื่อม การศึกษาบางงานยังชี้ว่าขิงอาจมีคุณสมบัติช่วยทุเลาอาการปวดรอบเดือน ได้แก่ การทดสอบในนิสิตมหาวิทยาลัย 120 คน โดยให้รับประทานผงเหง้าขิงทีละ 500 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้งในช่วง 2 วันก่อนเริ่มมีเมนส์ตลอดไปจนกระทั่ง 3 วันแรกของการมีประจำเดือน รวมทั้งสิ้นเป็น 5 วัน พบว่าผงเหง้าขิงมีส่วนช่วยลดความร้ายแรงของลักษณะของการปวดประจำเดือนได้อย่างมีนัยสำคัญด้านการเรียนเทียบสมรรถนะของขิงรวมทั้งยาลดลักษณะของการปวดรอบเดือนอย่างเมเฟนามิค (Mefenamic acid) หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) 400 มก. ในอาสาสมัคร 150 คน โดยแบ่งกลุ่มกินแคปซูลขิงหรือยาแต่ละประเภทในจำนวน 250 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง นาน 3 วัน โดยเริ่มตั้งแต่มีรอบเดือน ผลลัพธ์ปรากฏไปในทำนองเดียวกันกับงานค้นคว้าแรกเป็นขิงมีคุณภาพทุเลาความรุนแรงของอาการปวดระดูไม่แตกต่างกับการใช้ยาเมเฟนามิคหรือไอบูโพรเฟน
การรักษาที่อาจไม่ได้เรื่อง
อาการเมารถรวมทั้งเมาเรือ นับเป็นคุณประโยชน์ของขิงที่มีการกล่าวถึงกันมากมาย แต่ว่าขิงบางทีก็อาจจะช่วยลดอาการวิงเวียนได้ แต่สำหรับเพื่อการวิงเวียนคลื่นไส้ที่เกิดจากการเดินทางนั้น งานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยส่วนมากระบุว่าขิงบางทีอาจไม่มีส่วนช่วยได้จริง ได้แก่ การแบ่งกลุ่มให้นักเรียนนายเรือ 80 ไม่คุ้นเคยกับการออกเรือท่ามกลางทะเลที่มีคลื่นแรง กินเหง้าขิง 1 กรัม เทียบกับอีกกลุ่มที่รับประทานยาหลอก ปรากฏว่ากรุ๊ปที่รับประทานขิงนั้นมีลักษณะอาการอ้วกและตาลายลดลงจริงแม้กระนั้นอยู่ในระดับบางส่วนแค่นั้น หรือในอีกงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยที่ชี้ว่าการกินผงขิงในปริมาณ 500 กรัม 1,000 กรัม หรือเหง้าขิงสด 1,000 มก. ต่างไม่มีส่วนช่วยสำหรับการคุ้มครองอาการเมารถหรือรูปแบบการทำงานของกระเพาะที่เกี่ยวพันกับอาการเมารถที่เกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญแต่ประการใด
การดูแลรักษาที่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอต่อการระบุความสามารถ
อาการคลื่นไส้คลื่นไส้จากกระบวนการทำเคมีบรรเทา อีกหนึ่งสรรพคุณคือลดอาการอ้วกรวมทั้งอาเจียน ซึ่งมีการศึกษาเล่าเรียนด้านวิทยาศาสตร์ แต่หลักฐานเกี่ยวกับการใช้ขิงในคนป่วยที่รับเคมีบรรเทานั้นยังเป็นที่โต้เถียงกันอยู่ว่าจะมีส่วนช่วยได้ใช่หรือไม่ การศึกษาหนึ่งที่ชี้ถึงประโยชน์ข้อนี้ของขิง โดยให้คนเจ็บกินแคปซูลขิงที่มีขิง 0.5-1.5 กรัม เทียบกับยาหลอก ตั้งแต่ 3 วันก่อนวันทำเคมีบำบัดนานสม่ำเสมอเป็นเวลา 6 วัน พบว่า หรูหราความร้ายแรงของอาการอาเจียนที่เกิดขึ้นภายหลังจากการดูแลและรักษาน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้กินแคปซูลขิง แม้กระนั้นได้ผลได้ชัดในกรุ๊ปที่ใช้แคปซูลขิง 0.5 กรัม กับ 1 กรัมแค่นั้น ส่วนกลุ่มที่รับประทานแคปซูลขิง 1.5 กรัมกลับได้ผลน้อยกว่า แสดงว่าการกินขิงในจำนวนมากจึงอาจไม่ได้ทำให้อาการคลื่นไส้ดีขึ้นอย่างที่น่าจะเป็น
แต่ มีหลักฐานที่แย้งข้อช่วยเหลือดังกล่าวข้างต้นซึ่งเป็นงานค้นคว้าวิจัยที่เผยว่าการกินขิงมิได้มีประสิทธิภาพดีไปกว่าการใช้ยาแก้คลื่นไส้ ดังนี้ ผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยที่ขัดแย้งกันนี้ คาดว่าอาจมีปัจจัยมาจากจำนวนขิงที่ใช้ทดลองนั้นแตกต่าง รวมถึงตอนที่เริ่มรักษาด้วยการใช้ ขิงจะนำมาใช้คุณประโยชน์ทางด้านการแพทย์ในด้านนี้แล้วได้ผลหรือไม่อาจจะจะต้องมีการยืนยันเพิ่มเติมอีกต่อไป
เบาหวาน คุณลักษณะของขิงต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของคนไข้โรคเบาหวานในปัจจุบันยังส่งผลการค้นคว้าที่ไม่แน่นอน งานค้นคว้าหนึ่งพบว่าการรับประทานขิง 2 กรัม นาน 12 อาทิตย์ สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม ระดับไขมันในเลือด และสารมาลอนไดอัลดีไฮด์ที่แสดงถึงระดับอนุมูลอิสระในคนไข้เบาหวานประเภทที่ 2 และก็อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังบางชนิดจากเบาหวานได้ ในเวลาเดียวกัน มีงานศึกษาวิจัยอื่นๆที่เสนอแนะว่าขิงนั้นส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดจริง แต่ไม่มีผลต่อระดับอินซูลิน หรือบางงานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยพูดว่าขิงส่งผลกับอินซูลิน กลับไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดน้อยลง ซึ่งผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยที่ไม่เหมือนกันนั้นอาจมาจากจำนวนขิงหรือระยะเวลาที่คนป่วยได้รับการวิเคราะห์ว่าเป็นโรคโรคเบาหวานในแต่ละการทดลองนั้นไม่เท่ากันนั่นเอง
อาหารไม่ย่อย มีการวิจัยเรียนคุณภาพของขิงในคนป่วยที่มีลักษณะอาการอาหารไม่ย่อยจำนวน 11 คน โดยให้รับประทานแคปซูลที่มีขิง 1.2 กรัมภายหลังจากการอดของกิน 8 ชั่วโมง ผลปรากฏว่าขิงช่วยกระตุ้นให้กระเพาะมีการย่อยของกินแล้วก็มีการบีบตัวของกระเพาะส่วนปลาย ทว่าการรับประทานขิงนั้นไม่มีผลต่ออาการที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหารหรือสารเปปไทด์ในไส้ อย่างไรก็ดี ผู้ร่วมการทดสอบนี้มีจำนวนน้อย ทำให้ไม่บางทีอาจระบุได้อย่างแจ่มแจ้งว่าขิงช่วยลดอาการของกินไม่ย่อยได้แน่นอนเท่าใด
อาการแฮงค์ เชื่อกันว่าการกินน้ำขิงจะสามารถช่วยทุเลาอาการแฮงค์ซึ่งเป็นผลข้างๆจากการดื่มแอลกอฮอล์ได้ สำหรับประโยชน์ข้อนี้มีงานศึกษาค้นคว้าวิจัยเมื่อนานมาแล้วที่แนะนำว่าการผสมขิงกับเปลือกด้านในของส้มเขียวหวาน แล้วก็น้ำตาลทรายแดงก่อนดื่มแอลกอฮอล์จะช่วยลดอาการแฮงค์ในคราวหลัง รวมทั้งอาการคลื่นไส้ อาเจียนแล้วก็ท้องร่วง อย่างไรก็ดี การศึกษาดังกล่าวข้างต้นยังจัดว่าไม่ชัดแจ้งอยู่มากและไม่บางทีอาจรับประกันได้ว่ามีต้นเหตุมาจากขิงจริงๆหรือส่วนผสมอื่นๆที่ใช้ประกอบ
ลดคอเลสเตอรอล คุณสมบัติของขิงซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลนั้นได้มีการทดสอบโดยให้คนเจ็บที่มีภาวการณ์ไขมันในเลือดสูงกินแคปซูลขิงวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 กรัม ผลลัพธ์ระบุว่าเมื่อเทียบกับคนไข้กลุ่มที่กินยาหลอก ขิงมีคุณภาพช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลลงได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง ซึ่งการใช้ขิงลดระดับคอเลสเตอรอลจะให้ผลดีจนสามารถประยุกต์ใช้รักษาคนเจ็บสภาวะนี้ได้หรือเปล่าอาจจะจะต้องรอการเล่าเรียนในอนาคตที่แจ่มชัดกันถัดไป
ลักษณะของการเจ็บกล้ามข้างหลังบริหารร่างกาย คุณสมบัติด้านการบรรเทาปวดแล้วก็ลดการอักเสบของขิงจะช่วยลดอาการเจ็บจากการออกกำลังกายได้ด้วยไหมนั้นยังคงไม่ชัดแจ้งและก็เป็นที่แย้งกันอยู่เหมือนกัน จากการทดลองหนึ่งที่ให้ผู้เข้าร่วมรับประทานขิงสดหรือขิงที่ทำให้สุกด้วยความร้อนแล้ว 2 กรัมอย่างต่อเนื่องนาน 124 ชั่วโมง พบว่ขิง[/url]สดและขิงสุกต่างมีส่วนช่วยลดลักษณะของการเจ็บกล้ามจากการออกกำลังกายแบบหดยืดกล้ามได้ในระดับปานกลางไปจนกระทั่งระดับมาก
แต่ว่าอีกงานวิจัยหนึ่งกลับเจอผลลัพธ์ตรงกันข้าม จากการให้ผู้เข้าร่วมการทดลองที่ทำกิจกรรมบริหารร่างกายยืดหดกล้ามเนื้อแบบเดียวกัน กินขิง 2 กรัมในช่วง 1 วันรวมทั้ง 48 ชั่วโมงภายหลังการออกกำลังกาย พบว่ามิได้นำมาซึ่งการทำให้ลักษณะของการเจ็บกล้ามเนื้อ การอักเสบ หรือเจ็บที่เกิดขึ้นมาจากการออกกำลังกายน้อยลง แต่ว่าผู้ทำการวิจัยพบว่าการกินขิงอาจช่วยทำให้ลักษณะของการเจ็บกล้ามเนื้อค่อยๆในทุกๆวัน ถึงแม้บางทีอาจไม่เห็นผลได้ในทันที
อาการปวดหัวไมเกรน มีการศึกษาเล่าเรียนกับคนไข้ 100 คน ที่เคยมีอาการปวดศีรษะไมเกรนกระทันหันโดยให้รับผงขิงหรือยารักษา http://www.disthai.com/[/b]
7  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ขิง เป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์เเละสรรพคุณที่น่าทึ่งๆ เมื่อ: สิงหาคม 04, 2018, 11:15:58 am
[/b]
ขิ[/size][/b]
ข้อดีของสรรพคุณขิง
25 สรรพคุณดีๆของ’’ผลดีในการรักษาโรค
1.ขิงสดช่วยลดความเจ็บตามข้อ ลดอาการเมื่อยล้ากล้ามเนื้อ
2.ขิงมีสรรพคุณช่วยสมานแผล ฆ่าเชื้อโรคในแผลได้
3.ขิงช่วยให้สบายท้อง ขับลม แก้ท้องผูก
4.ขิงเป็นสมุนไพรที่ช่วยทำลายเชื้อแบคทีเรียในร่างกาย ช่วยขับเสลด ทำให้หายใจสะดวก
5.ขิงช่วยแก้อาการหน้ามืด หน้ามืด คลื่นไส้ เมารถ เมาเรือ
6.ขิงช่วยเผาผลาญไขมัน รวมทั้งเป็นยาระบายอ่อนๆจึงแป็นสาเหตุที่ทำให้ขิงช่วยลดหุ่น ลดไขมัน ลดคอเลสเตอรอลได้
7.ขิงช่วยบำรุงรักษาหัวใจ เหมาะกับผู้เจ็บป่วยโรคหัวใจ
8.ขิงช่วยแก้โรคผื่นคัน แก้แพ้เกสรดอกไม้ และก็อาหารทะเลได้
9.ประโยชน์ซึ่งมาจากเนื้อขิงสดๆทำมาทาแก้ผื่นคัน แก้แมลงกัดต่อยได้
10.ขิงช่วยบำรุงรักษาสายตา คุ้มครองป้องกันโรคตาแดง อาการน้ำในตามาก ตาฝ้าฟาง
11.ขิงเป็นสมุนไพรกำจัดกลิ่น ช่วยลดกลิ่นเต่า
12.ขิงมีสรรพคุณแก้ฟันเหลือง ฟันพุ โดยนำขิงสดมาตำให้แหลก คั้นเอาน้ำผสมกับเกลือ น้ำอุ่น คนจนเข้ากัน นำมาอม กลัวปากบ่อยๆ แล้วลองสังเกตว่าอาการปวดจะเบาๆน้อยลง
13.มีสรรพคุณลดกลิ่นปากได้ โดยนำขิงสดมาตำให้แหลก คั้นเอาน้ำผสมกับเกลือ น้ำอุ่น คนจนเข้ากัน เอามาอม กลั้วปากเสมอๆ ช่วย จัดแจงกับแบคทีเรียในปาก ลดปัญหากลิ่นปากได้อย่างยอดเยี่ยม
14.[url=http://www.disthai.com/16488302/%E0%B8%82%E0%B8%B4%E0%B8%87]ขิง
ช่วยบรรเทาลักษณะของการปวดไมเกรนได้ โดยให้กินน้ำขิงเป็นประจำ แล้วลองสังเกตว่าอาการปวดจะเบาๆน้อยลง
15.ขิงทุเลาโรคประสาทอาการโรคประสาท การดื่มน้ำขิงจะช่วยลดความขุ่นมันของหัวใจ
16.ขิงช่วยการไหลเวียนของนมคุณแม่ให้ดีขึ้น ควรจะเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรสำหรับสตรีให้นมลูกอย่างดีเยี่ยม
17.ขิงช่วยบรรเทาผู้ติดสิ่งเสพติดได้ โดยคุณประโยชน์ของขิงมีส่วนช่วยลดความต้องการเสพสิ่งเสพติด
18.ประโยชน์ซึ่งมาจากขิงช่วยต้านทานโรคมะเร็ง จากการศึกษาค้นคว้าวิจัยพบว่าสาระสำคัญในขิงช่วยต้านทานการเติบโตของเซลล์ของมะเร็งได้อย่างดีเยี่ยม
19.ขิงช่วยควมคุมความดันโลหิตได้ สำหรับคนที่มีปัญหาความดันสูง และ ความดันต่อ ควรจะฝานขิงสดมาต้มกับน้า ดื่มบ่อยๆ จะช่วยควบคุมความดันให้เป็นปกติ
20.สรรพคุณของขิงช่วยผ่อมคลาย ช่วยให้นอนหลับสบาย จึงเหมาะเป็นอาหารสำหรับคนที่มีปัญหานอนไม่หลับ
21.ขิงช่วยบำรุงผิวพรรณ โดยช่วยให้ผิวเรียบเนียนเพิ่มขึ้น กำจัดเซลลูไลท์
22.ใบเหลวดอกของขิงช่วยแก้อาการขัดเยี่ยว ปกป้องโรคนิ่วได้
23.ขิงช่วยรักษาอาการมือ เท้าเย็นได้ เนื่องมาจากขิงมีฤทธิ์ร้อน ก็เลยช่วยทำให้ปรับสมดุลในร่างกายได้
24.เหง้ขิง[/url]ช่วยคุ้มครองป้องกันการเกิดแผลในกระเนื่องจากอาหารได้
25.ขิงช่วยแก้อึกได้โดยตำขิงสดให้แหลกคั้นเอาน้ำแล้วผสมกับน้ำผึ้ง น้ำอุ่น คนจะกว่าจะเข้ากันดื่มแก้สะอึกได้
การประยุกต์ใช้ทางคลินิก
1.บรรรเทาอาการเจียนรุนแรงใช้ขิงสดพอกที่จุดฝังเข็มไก่กวน(เหนือข้อมือใน 2 ชุ่น)ทิ้งเอาไว้ประมาณครึ่งชั่วโมงถึง  ชั่วโมงอาการจะดีขึ้น
2.บรรเทาอาการแผลในกระเพาะแล้วก็ลำไส้เล็กส่วนต้น ต้มขิงสดที่ตำให้ถี่ถ้วนกับน้ำ 300 มิลลิลิตร นาน 30 นาที กินวันละ 3 เวลา ตรงเวลา 2 วัน ในคนป่วยที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร รวมทั้งลำไส้เล็กส่วนต้น พบว่าลักษณะของการปวดกระเพราะเหตุว่าลดน้อยลงหรือหายไป ความรู้สึกแสบท้องเวลาหิวดียิ่งขึ้น มากท้องผูก หรือถ่ายอุจจาระสีดำ (มีความหมายว่ามีเลือดออก)ธรรมดา ความอยากอาหารดีขึ้น (พบว่าคนเจ็บเหล่านั้นส่วนใหญ่กลายเป็นซ้ำได้อีก ซึ้งบางทีอาจต้องรักษาสม่ำเสมอ หรือควบคุมเหตุอื่นๆร่วมด้วยก็เลยจะรักษาหายสนิทได้)
3.รักษาโรคบิด ใช้ขิงสด 75 กรัม น้ำตาลแดงตำเข้าด้วยกัน แบ่งรับประทานเป็น 3 มื้อต่อตำหรับ
4.ป้องกันรักษาอาการเมารถ เมารือ
-ใช้ขิงสดเป็นแผ่นปิดที่จุดไน่กวน(เหนือข้อมือข้างใน 2 ชุ่น(ใช้เหริยญ เงินขนาดพอเหมาะปิดทับแล้วใช้ปลาสเตอร์หรือยางยืดรัดไว้
-ใช้ขิงสด 25 กรัม ตำละเอียด คั้นเอาเฉพาะน้ำมันดื่ม (ไม่ต้องกินน้ำตาม)
5.รักษาฉี่รดที่นอนในคนเจ็บที่มีภาวการณ์หยางพร่อง มีความเย็นภายในร่างกายเป็นเหตุ
ให้ใช้ขิง 30 กรัม(ตำ)ยาบริวารนพนาลัยฟู่จื่อ 6 กรัม ปู่กู่จื้อ 12 กรัม บดคลุกเคล้าให้เข้ากันขัดในแอ่งสะดือ ใช้ผ้าก๊อซสะอาดปิดทับแล้วใช้ปลาสเตอร์ปิดให้แน่น
6.รักษาคอไส้อุดกั้นจากพยาธิตัวกลม
ใช้ ขิ สด 120 กรัม ตำละเอียด คั้นเอาน้ำขิงผสมกับน้ำผึ้ง 120 กรัม กินครั้งเดียว หรือเบาๆกินหมดข้างในครึ่งชั่วโมง การทดสอบในผู้เจ็บป่วย 64 คน พบว่าสามารถลดอุดกันของลำใส้ร้ยละ 96.8 ฤทธิ์สำหรับการขับพยาธิร้อยละ 61.3
7.เป็นหวัดตัวร้อนจับไข้เนื่องไข้เนื่อง จากกระทบความเย็น ดังเช่น โดนฝน โดนลม ทำให้หนาว มีไข้ต่ำ ให้หั่นขิงฝอย 30 กรัม
[url=http://www.disthai.com/16488302/%E0%B8%82%E0%B8%B4%E0%B8%87]

ชงกับน้ำตาลทรายแดง หรืออาจใส่หัวหอมทุบ 3-4 (ช่วยกระจัดกระจายลม)ดื่มขณะร้อนๆแล้วคลุมผ้าให้เหงือออก
8.ฟื้นฟูร่างกายตอนหลังคลอดลูก นิยมให้หญิงหลังคลอดลูก นิยมให้หญิงหลังคลอดกินไก่ผัดขิง โดยยิ่งไปกว่านั้นไก่ดำเพศผู้จะยิ่งมีหยางมากกว่าไก่ตัวเมีย
ร่างกายของหญิงหลังคลอดจะเสียทั้งยังพลังหยางและเลือด มีน้ำภายในร่างกายตกค้างอยู่มากการกินไก่ผัดขิงจะเสริมเลือดหยางช่วยทำให้การย่อยซึมซับอาหารดีขึ้น มีการขับระบายของเสียน้ำตกค้าง น้ำคาวปลาเจริญขึ้นทำให้ร่างกายกลับสู่ภาวะปกติเร็วขึ้น
ข้อควรปฏิบัติตามในการทานขิง
-อาจก่อให้เกิดภาวะแทรซ้อนสำหรับในการตั้งท้องได้
มีบางการศึกษาเล่าเรียนพบว่าขิงมีความเชื่อมโยงกับภาวะแทรกซ้อนสำหรับในการตั้งครรภ์ แล้วก็การแท้ง แต่ว่าสำหรับเพื่อการมีครรภ์รายอื่นๆนั้นๆไม่พบการกินขิงจะทำให้กำเนิดอาการพวกนั้นขึ้น แถมยังช่วยลดอาการอาเจียนจากการแพ้ท้องได้อีกด้วย ด้วยเหตุดังกล่าวคุณควรจะไปปรึกษาแพทย์ก่อ่นจะที่ใช้ขิงสำหรับในการรักษาอาการแพ้ท้องด้วยตัวเอง
-นำมาซึ่งการก่อให้เกิดแผลร้อนในภายในปากได้
ขิงเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน หากหารรับประทานเข้าไปในปริมาณที่มากก็จะสามารถเยื่อบุด้านในโพรงปากมีการอักเสบจนกระทั่งเป็นอาการร้อนในได้ เพราะฉะนั้นไม่สมควรกินขุงมากจนกระทั่งเกินความจำเป็น
-ยั้งการแข็งตัวของเลือด
การศึกษาเล่าเรียนหนึ่งในหนึ่งในออสเตรเลียพบว่า ขิงนั้นมีคุณประโยชน์สำหรับในการต้านการแข็งตัวของเลือดมากกว่ายาแอสไพริน สถานบันสุขภาพของออสเลียได้ออกคำตักเตือนเตือนให้งดเว้นการกินขิงขณะที่ใช้ยาละลายลิ่มเลือดเพราะจะมีผลให้เกิดความเสี่ยงสำหรับการกำเนิดอาการห้อเลือดหรืออาการเลือดหรืออาการเลือดออกได้ ฉะนั้นถ้าเกิดคุณมีอากเลือดออกเลือดออกแตกต่างจากปกติหรือหรือกำลังใข้ยาละลายลิ่มเลือด ควรจะหลีก เลียงการกินขิง
เมื่อรู้แบบงี้แล้ว หวังคนจำนวนไม่น้อยที่กำลังคิดจะใช้ขิงช่วยทุเลาลักษณะโรคต่างๆก็น่าจะต้องระมัดระวังตัวมากเพิ่มขึ้น
เนื่องจากว่าบางคราวถ้าเกิดราใช้ ขิงสำหรับในการรักษาโรคหนึ่งแม้กระนั้นก็บางทีอาจช่วยกระตุ้นให้อีกโรคนั้นอาการไม่ดีขึ้นได้ โดยเหตุนี้ควรรับประทานขิงให้ละเอียด แต่ว่าหากยังคลุมเคลือล่ะก็ ควรจะปรึกษาจากหมอก่อนเสมอ
หน้า: [1]
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย