กระทู้ล่าสุดของ: one005464a5

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: [1]
1  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: ขิง เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณเเละประโยชน์อย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อ: กันยายน 01, 2018, 09:17:48 am
ขิงเป็นสมุนไพรที่น่าอัศจรรย์อย่างไร
2  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรพญายอนั้นมีสรรพคุณ-ประโยชน์ที่น่าอัศจรรย์ เมื่อ: สิงหาคม 30, 2018, 01:07:05 am
[/b]
สมุนไพรพญาย[/size][/b]
เสมหะพังพอนตัวเมีย
เสลดพังพอนตัวเมีย ชื่อสามัญ Snake Plant
เสมหะพังพอนตัวเมีย ชื่อวิทยาศาสตร์ Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Clinacanthus burmanni Nees, Clinacanthus siamensis Bremek., Justicia nutans Burm. f.) จัดอยู่ในวงศ์เหงือกปลาหมอ (ACANTHACEAE)
สมุนไพรเสมหะพังพอนตัวเมีย [url=http://www.disthai.com/16913677/%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2][url=http://www.disthai.com/16913677/%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2]พญายอ
[/url] มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆว่า ลิ้นมังกร ผักมันไก่ ผักลิ้นเขียด (จังหวัดเชียงใหม่), พญาปล้องคำ (ลำปาง), เสมหะพังพอนตัวเมีย (พิษณุโลก), พญาข้อดำ พญาบ้องทอง (ภาคกลาง), ลิ้นงูเห่า พญายอ (ทั่วไป), โพะโซ่จาง (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ชิงเจี้ยน หนิ่วซิ้วฮวา (จีนแมนดาริน) ฯลฯ
รูปแบบของเสลดพังพอนตัวเมีย
ต้นเสมหะพังพอนตัวเมีย จัดเป็นพรรณไม้พุ่มแกมเถา มักเลื้อยพาดไปตามต้นไม้อื่นๆมีความสูงได้ราวๆ 1-3 เมตร ลำต้นมีลักษณะหมดจด ต้นอ่อนเป็นสีเขียว ลำต้นมีลักษณะกลม ผิวเรียบเป็นปล้องสีเขียว เพาะพันธุ์ด้วยแนวทางปักชำหรือแยกเหง้ากิ้งก้านไปปลูก เจริญเติบโตเจริญในดินทุกชนิด ถูกใจดินร่วน ระบายน้ำดี มีแสงอาทิตย์จัด มีเขตผู้กระทำระจายจำพวกในจีน เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย และก็ไทย ในประเทศไทยพบได้บ่อยขึ้นตามป่าเบญจพรรณทั่วทุกภาคของประเทศ หรือเจอปลูกกันตามบ้านทั่วไป
ต้นเสลดพังพอนตัวเมีย
ต้นพญายอ
ใบเสลดพังพอนตัวเมีย ใบเป็นใบลำพัง ออกเรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ๆลักษณะของใบเป็นรูปใบหอก รูปรีแคบขอบขนาน ปลายใบแล้วก็โคนใบแหลม ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2-3 ซม. และก็ยาวราว 7-9 ซม. แผ่นใบเป็นสีเขียวเข้ม ผิวใบเรียบ
ใบเสลดพังพอนตัวเมีย
ดอกพญายอเสลดพังพอนตัวเมีย ออกดอกเป็นช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมีดอกราวๆ 3-6 ดอก กลีบดอกเป็นสีแดงส้ม โคนกลีบเชื่อมชิดกันเป็นหลอด ยาวประมาณ 3-4 ซม. ปลายแยกออกเป็น 2 ปาก คือ ปากข้างล่างและปากบน ดอกหนึ่งมี 5 กลีบ กลีบดอกเป็นรูปทรงกระบอก ส่วนกลีบรองกลีบดอกนั้นเป็นสีเขียว ยาวเท่าๆกัน มีขนคือต่อมเหนียวๆอยู่รอบๆ ดอกมีเกสรเพศผู้ 2 อัน ส่วนเกสรเพศเมียสะอาดไม่มีขน มีดอกในช่วงประมาณต.ค.ถึงมกราคม (แม้กระนั้นชอบไม่ค่อยมีดอก)
ดอกเสลดพังพอนตัวเมีย
พญาปล้องทอง
ลิ้นงูเห่า
ผลเสมหะพังพอนตัวเมีย ผลได้ผลแห้งรวมทั้งแตกได้ (แม้กระนั้นผลไม่เคยติดเป็นฝักในประเทศไทย) รูปแบบของผลเป็นรูปกลมยาวรี ยาวได้ราว 0.5 เซนติเมตร ก้านสั้น ข้างในผลมีเม็ดราวๆ 4 เมล็ด
หมายเหตุ : เสมหะพังพอน เป็นชื่อพ้องของพรรณไม้ 2 จำพวกเป็นเสลดพังพอนตัวผู้ และเสมหะพังพอนตัวเมีย ซึ่งจะต่างกันตรงที่เสมหะพังพอนเพศผู้ลำต้นจะมีหนามและก็มีดอกเป็นสีเหลือง ส่วนเสมหะพังพอนตัวเมียลำต้นจะไม่มีหนามและมีดอกเป็นสีแดงส้ม เพื่อไม่ให้เป็นการงงมากหลายๆตำราเรียนจึงนิยมเรียกเสลดพังพอนตัวเมียว่า “พญายอ” หรือ “พญาบ้องทองคำ” โดยเสลดพังพอนตัวผู้นั้นจะมีคุณประโยชน์ทางยาอ่อนกว่าเสมหะพังพอนตัวเมีย แล้วก็ตำราเรียนยาไทยนิยมประยุกต์ใช้ทำยากันมาก
สรรพคุณของเสมหะพังพอนตัวเมีย
รากรวมทั้งเปลือกต้นใช้ต้มกับน้ำเป็นยาบำรุงกำลัง (รากรวมทั้งเปลือกต้น)
ทั้งยังต้นรวมทั้งใบใช้รับประทานเป็นยาทำลายพิษไข้ ดับพิษร้อน (ทั้งยังต้นแล้วก็ใบ)1,3 ใช้เป็นยาลดไข้ ด้วยการกางใบสด 1 กำมือ ตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำซาวข้าว ใช้พอกบนหัวคนป่วยประมาณ 30 นาที ลักษณะของการมีไข้แล้วก็ลักษณะของการปวดหัวจะหายไป (ใบ)6
ช่วยแก้อาการผิดสำแดง (รับประทานอาหารเป็นพิษไข้ แล้วทำให้โรคกำเริบเสิบสาน) ด้วยการใช้รากสดเอามาต้มกินทีละประมาณ 2 ช้อนแกง (ราก)
ใช้เป็นยาแก้เจ็บคอ ด้วยการนำใบสดมาบดโดยประมาณ 10 ใบ กลืนมัวแต่น้ำยาพอให้ยาจืด แล้วจึงคายกากทิ้ง (ใบ)6
ช่วยแก้คางทูม ด้วยการใช้ใบสดราวๆ 10-15 ใบ ตำอย่างระมัดระวังผสมกับเหล้าโรง คั้นเอาน้ำมาทาบริเวณที่บวม อาการบวมจะหายไป รวมทั้งอาการเจ็บปวดจะหายไปด้านใน 30 นาที (ใบ)
ใช้เป็นยารักษาโรคบิด (ต้นรวมทั้งใบ)
รากใช้ปรุงเป็นยาขับเยี่ยว ขับเมนส์ (ราก)
ใช้เป็นยาแก้ประจำเดือนมาเปลี่ยนไปจากปกติ (ทั้งยังต้น)
ช่วยแก้อักเสบแบบดีซ่าน (ทั้งยังต้น)
ใช้เป็นยาแก้แผลอักเสบจับไข้ ไข่ดันบวม ด้วยการใช้ใบสดราวๆ 3-4 ใบ นำมาตำกับข้าวสาร 3-4 เม็ด ผสมกับน้ำพอแฉะ ใช้พอกโดยประมาณ 2-3 รอบ จะช่วยทำให้อาการดีขึ้น (ใบ)
ลำต้นนำมาฝนแล้วใช้ทาแผลสดจะช่วยทำให้แผลหายเร็ว (ลำต้น)ใช้รักษาแผลจากสุนัขกัดมีเลือดไหล ด้วยการกางใบสดประมาณ 5 ใบ นำมาตำพอกบริเวณแผลสัก 10 นาที (ใบ)
ใช้รักษาแผลไฟลุกน้ำร้อนลวก ด้วยการกางใบสดเอามาตำเคี่ยวกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำมันงา เอากากพอกแผล แผลจะแห้ง หรือจะใช้ใบสดนำมาตำอย่างระมัดระวังผสมกับสุรา ใช้เป็นยาพอกรอบๆที่ถูกไฟลุกหรือน้ำร้อนลวก จะมีคุณประโยชน์ช่วยดับพิษร้อนได้ดิบได้ดี4 ส่วนอีกหนังสือเรียนกล่าวว่า นอกจากจะใช้รักษาแผลไฟเผาน้ำร้อนลวกได้แล้ว ยังช่วยรักษาแผลยุ่ยเนื่องด้วยถูกแมงกะพรุนไฟ แผลสุนัขกัด และก็แผลที่เกิดขึ้นจากการถูกกรดได้อีกด้วย แค่เพียงนำใบไปหุงกับน้ำมันแล้วนำมาทาบริเวณที่เป็น (ใบ)
ใช้รักษาแผลน้ำเหลืองเสีย ด้วยการกางใบราวๆ 3-4 ใบ กับข้าวสาร 5-6 เม็ด เพิ่มน้ำลงไปให้พอเปียก แล้วเอามาพอก จะรู้สึกเย็นๆซึ่งยาจะช่วยดูดน้ำเหลืองเจริญ ทำให้แผลแห้งไว โดยให้แปลงยาวันละ 2 ครั้ง พอกไปสักพักหนึ่งแล้วให้เอาน้ำมาหยอดกันยาแห้งด้วย (ใบ)
ใช้แก้โรคผิวหนังผื่นคัน ด้วยการใช้ใบสดตำผสมกับเหล้าใช้ทา หรือใช้เหล้าสกัดใบเสมหะพังพอน จะได้น้ำยาสีเขียวเอามาทาแก้ผื่นคัน (ใบ)
ใช้แก้สิวเม็ดผดผื่นคัน ด้วยการนำใบมาดองกับสุรา แล้วผสมดินสอพองใช้ทาแก้สิวรวมทั้งเม็ดผดผื่นคัน (ใบ)
ใช้แก้ฝี ด้วยการใช้ใบนำมาตำผสมกับเกลือแล้วก็เหล้า ใช้พอกรอบๆที่เป็น เปลี่ยนยาทุกเช้ารวมทั้งเย็น (ใบ)
ทั้งต้นและใบใช้เป็นยาขับพิษ ทำลายพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ได้แก่ งู ตะขาบ แมงป่อง มด ยุง อื่นๆอีกมากมาย รวมถึงผื่นคัน ไฟลามทุ่ง ผื่นคัน แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 5-10 ใบ นำมาขยี้หรือตำใช้ทาบริเวณที่เป็น หรือใช้ใบสดเอามาตำให้เพียงพอแหลก แช่ในเหล้าขาวโดยประมาณ 1 อาทิตย์ แล้วหลังจากนั้นก็ให้นำมาใช้ทาบริเวณที่เป็นแผลส่วนอีกตำรับยาแก้ผื่นคัน ตามข้อมูลบอกว่า ให้ใช้ใบตำผสมกับดินสอพอง ใส่น้ำน้อย ใช้ทาบริเวณที่เป็น (ใบ)
[/b]
คนกรุงจะนำใบมาตากแห้งแล้วตำผสมกับแมงป่องปิ้ง ใช้เป็นยาแก้พิษงู (ใบ)
พญายอ ใช้รักษาอาการอักเสบ รักษาแผลร้อนในปาก แก้เริม (แผลผิวหนังชนิดเริม) อีสุกอีใส แก้งูสวัด ขยุ้มตีนหมา และก็ใช้เป็นยาทำลายพิษต่างๆด้วยการใช้ใบเสลดพังพอนตัวเมียสดราวๆ 10-20 ใบ (เลือกเอาเฉพาะใบสดสีเขียวเข้มวาว ไม่อ่อนหรือแก่กระทั่งเกินความจำเป็น) แล้วเอามาตำผสมกับเหล้าหรือน้ำมะนาว คั้นเอาน้ำมาดื่มหรือเอาน้ำมาทาแผลและเอากากพอกบริเวณแผล หรืออีกแนวทางให้เตรียมเป็นทิงเจอร์เพื่อใช้ทารักษาอาการอักเสบจากเริมในปาก โดยใช้ใบสด 1 กิโล เอามาปั่นอย่างระมัดระวัง เพิ่มเติมแอลกอฮอล์ 70% ลงไป 1 ลิตร แล้วหมักทิ้งไว้ 7 วัน ระเหยบนเครื่องอังไอน้ำให้ปริมาตรลดลงครึ่งหนึ่ง (ห้ามตั้งบนเตาไฟโดยเด็ดขาด) รวมทั้งเติมกลีเซอรีน (Glycerine pure) อีกเท่าตัว (ครึ่งลิตร) แล้วนำน้ำยาเสลดพังพอนกลีเซอรีนที่ได้มาใช้ทาแผลเริม งูสวัด แผลร้อนในปาก รวมทั้งใช้ถอนพิษต่างๆสำหรับตำราเรียนยาแก้งูสวัดอีกตำรับจะใช้ใบสดผสมกับลำโพง โกฐน้ำเต้า อย่างละเสมอกัน รวมกันตำให้เพียงพอแหลก แช่กับเหล้า แล้วนำมาใช้ทาแก้แผลงูสวัด (ใบ)
พญายอ ใช้แก้ถูกหนามท้องดอตำหรือถูกใบตะลังตังช้าง ด้วยการนำขี้ผึ้งแท้มาลุกลี้ลุกลนไฟให้ร้อน แล้วนำมากดเพื่อดูดเอาขนย้ายใบตะลังตังช้างออกเสียก่อน แล้วจึงใช้ใบเสลดพังพอนผสมกับสุราทาบริเวณที่เป็น (ใบ)
ใช้เป็นยาแก้แพ้เกสรรักษาป่า ยางรักป่า แล้วก็ยางสาวน้อยผัดแป้ง ด้วยการใช้ใบผสมกับเหล้า เอามาทาบริเวณที่คัน (ใบ
ใช้แก้ฝึก เหือด ด้วยการกางใบสดราว 7 กำมือ เอามาต้มกับน้ำ 8 แก้ว ต้มให้เดือด 30 นาที เทยาออกแล้วก็ผึ่งให้เย็น แล้วนำใบสดมาอีก 7 กำมือ ตำผสมกับน้ำ 8 แก้ว แล้วเอาน้ำยาทั้งคู่มาผสมกัน ใช้อีกทั้งกินแล้วก็ทาทา (ยาชโลมให้ใส่พิมเสนลงไปน้อย) เด็กที่เป็นหัด เหือด ให้กินวันละ 3 ครั้ง ทีละครึ่งแก้ว (ใบ)
พญายอ ทั้งยังต้นใช้เป็นยาแก้ปวดบวม เคล็ดขัดยอก ฟกช้ำ กระดูกร้าว ช่วยขับความชุ่มชื้นในร่างกาย แก้อาการปวดเมื่อยเพราะเหตุว่าเย็นเปียกชื้น (ทั้งต้น)
รากใช้เป็นยาแก้อาการปวดปวดเมื่อยบั้นเอว (ราก)
ขนาดและก็การใช้ : ยาแห้งให้ใช้ครั้งละ 5-10 กรัม เอามาต้มกับน้ำกิน ส่วนยาสดให้ใช้ทีละ 30 กรัม นำมาตำคั้นเอาน้ำกิน หรือตำพอกแผลข้างนอก
สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวังพญายอ
: แม้ในอดีตกาลจะมีการใช้ใบสดเอามาตำแล้วพอกบริเวณที่เป็นแผล แต่ในขณะนี้วิธีนี้ไม่เป็นที่ชื่นชอบแล้ว เพราะจะชำระล้างได้ยาก ทำให้กากติดแผล แล้วก็อาจจะก่อให้ติดเชื้อเป็นหนองได้
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของเสลดพังพอนตัวเมีย
พญายอ รากเจอสาร Betulin, Lupeol, β-sitosterol ส่วนใบเจอสาร Flavonoids ซึ่งมีฤทธิ์ลดการอักเสบ สารกรุ๊ป monoglycosyl diglycerides เป็นต้นว่า 1,2-O-dilinolenoyl-3-O-b-d-glucopyranosyl-sn-glycerol รวมทั้งสารกรุ๊ป glycoglycerolipids ซึ่งมีฤทธิ์ยั้งไวรัสเริม
จากการทดลองในสัตว์ใช้สกัดจากใบสดของเสมหะพังพอนตัวเมียด้วย n-butanol พบว่า สามารถลดการอักเสบได้2 โดยพบว่าจะช่วยลดการอักเสบของข้อเท้าหนูที่ทำให้บวมด้วยสาร carrageenan ได้ เมื่อใช้ตำรับยาที่มีเสมหะพังพอนตัวเมียปริมาณร้อยละ 5 ใน Cold cream และสารสกัดด้วยเอทานอลจากใบ นำมาทาเฉพาะที่ให้หนูแรท จะช่วยลดการอักเสบเรื้อรังได้ แต่เมื่อใช้สารสกัดด้วย n-butanol มาทาที่ผิวหนังจะไม่ได้ผล
สารสกัดจากใบความเข้ม 15 กรัม ต่อ 1 โล มีคุณภาพต่อต้านการอักเสบได้ดิบได้ดี
เมื่อให้หนูเม้าส์กินสารสกัดด้วย n-butanol จากใบ พบว่า จะช่วยลดความเจ็บปวดของหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้ปวดด้วยกรดอะซีตำหนิคได้ โดยสารสกัดความแรง 90 มิลลิกรัมต่อกก. จะมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับเฟนนิวบิวทาโซนขนาด 100 มก.ต่อกิโลกรัม ส่วนสารสกัดด้วยน้ำรวมทั้งสารสกัดด้วยเอทานอล 60 จากใบ พบว่าไม่เป็นผลลดความเจ็บปวด
สารสกัดด้วยเฮกเซน บิวทานอล แล้วก็เอทิลอะสิเตทจากใบเสมหะพังพอนตัวเมียมีฤทธิ์ต้านทานไวรัสเชื้อเริม HSV-1 เมื่อนำไปทำเป็นตำรับเจลโดยใช้สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ที่ความเข้มข้นร้อยละ 4 และใช้ carbopol 940 เป็นสารก่อเจล พบว่าจะมีฤทธิ์ต่อต้านไวรัสได้ดิบได้ดีและไม่เป็นพิษต่อเซลล์ ตอนที่เมื่อใช้สารก่อเจล poloxamer 407 จะเป็นพิษต่อเซลล์ และจากรายงานการรักษาผู้เจ็บป่วยโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ประเภทเป็นซ้ำด้วยการใช้ยาจากสารสกัดเสลดพังพอนตัวเมีย เปรียบเทียบกับยา acyclovir รวมทั้งยาหลอก โดยให้คนป่วยป้ายยาวันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 6 วัน พบว่าไม่มีความแตกต่างในช่วงเวลาการตกสะเก็ดของแผลผู้เจ็บป่วยที่ใช้ยาจากสารสกัดใบรวมทั้งยา acyclovir โดยแผลจะเป็นสะเก็ดภายใน 3 วัน รวมทั้งหายสนิทภายใน 7 วัน ซึ่งไม่เหมือนกันกับยาหลอกอย่างเป็นจริงเป็นจัง โดยยาที่สกัดจากใบเสมหะพังพอนตัวเมียจะไม่นำมาซึ่งการอักเสบแล้วก็ระคายเคือง ในตอนที่ acyclovir จะมีผลให้แสบ นอกเหนือจากนี้ยังมีการใช้ยาที่ทำจากเสลดพังพอนตัวเมียในผู้เจ็บป่วยโรคเริม งูสวัด และแผลอักเสบในปาก แล้วพบว่าสามารถรักษาแผลรวมทั้งลดการอักเสบได้ดิบได้ดี
พญายอ สารที่สกัดจากบิวทานอล (Butanol) ของใบเสมหะพังพอนตัวเมีย มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัส Varicella zoster ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสชนิดที่ก่อให้เกิดเริมและก็อีสุกอีใส3 จากรายงานการดูแลรักษาคนไข้โรคงูสวัดด้วยยาจากสารสกัดจากใบเปรียบเทียบกับยาหลอก โดยให้ป้ายยาวันละ 5 ครั้ง ตรงเวลา 1-2 อาทิตย์ จนกระทั่งแผลจะหาย พบว่าคนไข้สุดที่รักษาด้วยสารสกัดจากใบเสมหะพังพอนตัวเมีย แล้วมีแผลเป็นสะเก็ดข้างใน 3 วัน และหายภายใน 7-10 วัน จะมีจำนวนหลายชิ้นกว่ากลุ่มสุดที่รักษาด้วยยาหลอกอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ รวมทั้งระดับความเจ็บจะต่ำลงเร็วกว่ากลุ่มที่ใช้ยาหลอก โดยไม่เจอผลกระทบอะไรก็แล้วแต่9
จากการทดลองความเป็นพิษ เมื่อป้อนสารสกัด n-butanol จากใบให้หนูเม้าส์ พบว่าเป็นพิษนิดหน่อย แม้กระนั้นจะมีพิษปานกลางเมื่อฉีดเข้าช่องท้อง ส่วนสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1.3 กรัมต่อกิโล (เสมอกันใบแห้ง 5.44 กรัมต่อกก.) เมื่อเอามาป้อนเข้าทางปากหรือฉีดเข้าช่องท้องหนูเม้าส์ พบว่าไม่ทำให้เกิดอาการเป็นพิษใดๆ
จากการศึกษาพิษครึ่งหนึ่งเรื้อรัง
ด้วยการป้อนสารสกัด n-butanol จากใบในขนาด 270 รวมทั้ง 540 มิลลิกรัมต่อกก. ให้หนูแรทแต่ละวัน นาน 6 สัปดาห์ พบว่าไม่เป็นผลต่อการเติบโต แต่พบว่ามีน้ำหนักต่อมธัยมัสลดลง ในตอนที่น้ำหนักของตับเพิ่มขึ้น และไม่พบว่ามีความผิดธรรมดาต่ออวัยวะอื่นๆหรืออาการไม่พึงประสงค์แม้กระนั้นอ http://www.disthai.com/[/b]
3  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรเหงือกปลาหมอมีสรรพคุณ-เเละประโยชน์ที่น่าทึ่ง เมื่อ: สิงหาคม 23, 2018, 10:05:48 am
[/b]
สมุนไพรเหงือกปลาหมอ[/size][/b]
ชื่อสกุล : ACANTHACEAE
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Acanthus ebracteatus Vahl
ชื่อพ้อง : Acanthus ilicfolius L. ; Acanthus ilicfolius L. var intergrifolia T.Anderson
ชื่อสามัญ : Sea holly
ชื่อประจำถิ่นอื่น : แก้มหมอ, แก้มแพทย์เล (กระบี่) ; จะเกร็ง, นางเกร็ง, เหงือกปลาหมอ, เหงือกปลาหมอน้ำเงิน (ทั่วๆไป) ; อีเกร็ง (ภาคกลาง)
ลักษณะทางวิชาพฤกษศาสตร์
ไม้พุ่มขนาดเล็ก (US) สูงราวๆ 30-100 เซนติเมตร ลักษณะลำต้นเป็นข้อ แข็ง แล้วก็มีหนามอ่อนๆตามข้อๆละ 4 หนาม
ใบ เป็นใบโดดเดี่ยว ออกตรงกันข้ามกันเป็นคู่ๆสีเขียวเข้ม ลักษณะใบรูปไข่หรือรูปขอบขนาน ขอบของใบเว้าหรือเรียบ และมีหนามแหลม ปลายใบแหลม มีก้านใบสั่นๆ
ดอกเหงือกปลาหมอ ออกเป็นช่อตั้งตรงที่ยอด ช่อดอกยาว กลีบรองกลีบดอกไม้ มี 4 กลีบ แยกจากกันสีเขียวอ่อน กลีบดอกไม้สีขาว สีขาวขริบฟ้า หรือสีฟ้าอมม่วง แยกเป็น 2 ทาง กลีบบนยาวเท่ากับกลีบรองกลีบดอกไม้ แม้กระนั้นกลีบด้านล่างแผ่กว้างและโค้งลง ปลายกลีบหยักเว้าเป็น 3 หยักตื้นๆ
ผล เป็นฝักสีน้ำตาล ปลายฝักป้าน มีเมล็ดภายใน 4 เม็ด
นิเวศวิทยา
เป็นไม้กลางแจ้ง มีอยู่ทั่วไปในป่าชายเลน จากที่ลุ่มริมน้ำคลอง ส่วนมากชอบขึ้นในที่น้ำกร่อย บางคราวก็เจอในน้ำจืดบ้างแบบเดียวกัน
การปลูกรวมทั้งเพาะพันธุ์
เจริญเติบโตได้ดิบได้ดีในดินแทบทุกประเภท ความชื้นปานกลาง เพาะพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด
ผลดีทางยา
รสรวมทั้งคุณประโยชน์ในตำราเรียนยา
อีกทั้งต้น รสเค็มกร่อย แก้อาการผดผื่นคัน
ใบ รสเค็มกร่อย รักษาโรคปวดบวมแล้วก็แผลอักเสบ แก้ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ หมอแผนไทยตามบ้านนอกใช้อีกทั้ง 5 เป็นยาแก้ไข้หัว พิษฝี พิษรอยแดงได้ดิบได้ดี แก้น้ำเหลืองเสีย ใช้ปรุงกับฟ้าทลายมิจฉาชีพรมหัวริดสีดวงทวาร ตำใบผสมกับขิงคั้นเอาน้ำหยอดตาแก้อาการตาเจ็บหรือตาแดง
ผล รสเค็มกร่อย ใช้เป็นยาขับเลือดอย่างแรง และก็แก้ฝีซาง ฝีตาน
ในประเทศอินเดีย ใช้ยอดและใบอ่อนตำผสมน้ำนิดหน่อยปิดแผลที่ถูกงูกัด อีกทั้งต้นใช้รักษาแก้โรคที่เกี่ยวกับหลอดลมรวมทั้งแก้ไอ รวมทั้งนำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยารักษาธาตุพิการ
ในประเทศสิงคโปร์ ใช้เม็ดเป็นยาแก้ไอ โดยต้มเม็ดกับดอกมะเฟืองหรือดอกตะลิงปลิง แล้วเพิ่มเติมเปลือกอบเชย และก็น้ำตาลกรวด จิบแก้ไอ เมล็ดบดเป็นผุยผงใช้พอกแก้ฝี หรือนำไปคั่วแล้วป่นละลายน้ำดื่มแก้ฝี ฝักต้มกินเป็นยาขับเลือด และแก้ฝี รากต้มเป็นยาดื่มแก้โรคงูสวัด
แนวทางแล้วก็จำนวนที่ใช้
รักษาโรคผิวหนัง แผลพุพอง น้ำเหลืองเสีย โดยใช้อีกทั้งต้นรวมทั้งใบสด 3-4 กำมือ ล้างให้สะอาด สับเป็นชิ้นนำไปต้มน้ำ แล้วใช้น้ำอาบ เช้า-เย็น ตรงเวลา 1 อาทิตย์
ข้อควรจะรู้
เหงือกปลาหมอมีอยู่ด้วยกัน 2 จำพวก คือ
เหงือกปลาหมอ Acanthus ilifolius L. หรือ Acanthus ilifolius L. var intergrifolia T.Anderson ลักษณะจะมีดอกสีฟ้าอมม่วง มีประสีเหลืองกึ่งกลางกลีบ มีใบประดับสีเขียวอีก 2 กลีบ รองรับดอกอยู่เป็นประจำไป
เหงือกปลาหมอ Acanthus ebracteatus Vahl ลักษณะจะมีดอกสีขาวค่อนข้างจะเล็ก มีใบแต่งแต้มรองรับช่อดอก แต่ตกหลุดไปก่อน
คุณประโยชน์ของเหงือกปลาหมอ
ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้อายุยืน สุขภาพแข็งแรง เลือดลมไหลเวียนดี เส้นเลือดไม่อุดตัน บำรุงผิวพรรณ ด้วยการใช้ต้นเหงือกปลาหมอนำมาตำผสมกับพริกไทยในอัตราส่วน 2:1 แล้วคลุกผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นยาลูกกลอน ว่ากันว่าถ้าเกิดกินต่อเนื่องกัน 1 เดือน จะมีผลให้ปัญญาดี ไม่มีโรค / 2 เดือน ผิวหนังเต่งตึง / 3 เดือน ทำให้ริดสีดวงหาย / 4 เดือน ช่วยแก้ลม 12 จำพวก หูไว / 5 เดือน หมดโรค / 6 เดือน ทำให้เดินไม่รู้จักเหนื่อย / 7 เดือนผิวสวย / 8 เดือน เสียงน่าฟัง / 9 เดือน หนังเหนียว (ทั้งต้น, ราก)
เหงือกปลาหมอมีสรรพคุณช่วยบำรุงประสาท (ราก)
ช่วยรักษาอาการธาตุเปลี่ยนไปจากปกติ (อีกทั้งต้น)
ช่วยให้เลือดลมปกติ (ทั้งยังต้น)เหงือกปลาหมอขาว
ช่วยทำให้เจริญอาหาร (ทั้งต้น)
ช่วยแก้โรคกระษัย อาการผ่ายผอมเหลืองตลอดตัว ด้วยการใช้อีกทั้งต้นของเหงือกปลาหมอนำมาตำเป็นผงรับประทานทุกเมื่อเชื่อวัน (ต้น)
ช่วยแก้อาการร้อนตลอดตัว เจ็บระบบตลอดตัว ตัวแห้ง เวียนหัว หน้ามืดตามัว มือตายตีนตาย ด้วยการใช้อีกทั้งต้นของเหงือกปลาหมอรวมทั้งเปลือกมะรุมอย่างละเท่ากัน ใส่หม้อต้มผสมกับเกลือนิดหน่อย หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ แล้วก็ใช้ฟืน 30 ดุ้น ต้มกับน้ำเดือดจนถึงงวดแล้วยกลง เมื่อเสร็จให้กลั้นใจรับประทานขณะอุ่นๆกระทั่งหมด อาการก็จะดียิ่งขึ้น (ทั้งต้น)
ช่วยยั้งมะเร็ง ต้านโรคมะเร็ง (ทั้งต้น)
ช่วยรักษาอาการปอดอักเสบ ด้วยการใช้เหงือกปลาหมอทั้งยังต้นรวมทั้งอาหารเย็นเหนือ อาหารเย็นใต้ในรูปร่างที่เสมอกัน นำมาต้มกับน้ำกระทั่งเดือดแล้วนำมาดื่มในขณะอุ่นๆทีละ 1 แก้ว เช้าตรู่ ช่วงกลางวัน เย็น อาการจะดียิ่งขึ้น (ทั้งต้น)
รักษาปอดบวม ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ใบ)
ต้นมีรสเค็มกร่อย คุณประโยชน์ช่วยแก้อาการปวดหัว (ต้น)
รากช่วยแก้แล้วก็ทุเลาอาการไอ หรือจะใช้เม็ดนำมาต้มดื่มแก้อาการไอก็ได้เช่นกัน (ราก, เม็ด)
ช่วยแก้หืดหอบ (ราก)
ช่วยรักษาวัณโรค ด้วยการใช้ต้นนำมาตำผสมเป็นน้ำดื่ม (ต้น)
ช่วยแก้ลักษณะการเจ็บตา ตาแดง ด้วยการใช้เหงือกปลาหมออีกทั้งต้นนำมาตำผสมกับขิง คั้นเอาแต่น้ำใช้หยอดตาแก้อาการ (ต้น)
ใบช่วยแก้ไข้ (ใบ)
ช่วยแก้ไข้จับสั่น ด้วยการใช้ทั้งต้นเหงือกปลาหมอมาตำผสมกับขิง (ต้น)
ช่วยแก้พิษไข้หัว ด้วยการใช้ทั้งต้นแล้วก็รากเอามาต้มอาบแก้อาการ (ทั้งยังต้น)
แก้อาการไอ เมล็ดใช้ผสมกับดอกมะเฟือง เปลือกอบเชย น้ำตาลกรวด นำมาต้มรวมกันแล้วมัวแต่น้ำมากินเป็นยาแก้ไอ (เมล็ด)
ช่วยขับเสลด (ราก)
ถ้าเป็นลมเป็นแล้ง ให้ใช้ต้นเหงือกปลาหมอ 1 ส่วน / พริกไทย 2 ส่วน ผสมรวมกัน ตำให้ถี่ถ้วนเป็นผุยผงแล้วเอามาละลายน้ำร้อนดื่ม (ต้น)
ช่วยแก้โรคกระเพาะ ด้วยการใช้ทั้งต้นแล้วก็พริกไทย (10:5 ส่วน) ตำผสมปั้นเป็นยาลูกกลอน (อีกทั้งต้น)
ช่วยขับพยาธิ (เมล็ด)
ช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร ด้วยการใช้ต้เหงือกปลาหมอ[/url]กับขมิ้นอ้อย เอามาตำละลายกับน้ำแล้วทาบริเวณที่เป็นริดสีดวง หรือจะใช้ปรุงกับฟ้าทะลายมิจฉาชีพ ใช้รมหัวริดสีดวงก็ได้ (ต้น, ใบ)
ช่วยขับปัสสาวะ ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
ช่วยรักษามุตกิดตกขาว ตกขาวของสตรี ด้วยการใช้ใบและก็ต้นเอามาตำเป็นผุยผง ผสมกับน้ำผึ้งหรือน้ำมันมันงา ปั้นเป็นยาลูกกลอนรับประทานแก้อาการ (ต้น, ใบ, ราก)
ช่วยแก้ระดูมาไม่เป็นปกติของสตรี ด้วยการใช้อีกทั้งต้นเอามาตำผสมกับน้ำผึ้ง น้ำมันงา (ต้น)
ช่วยรักษานิ่วในไต ด้วยการใช้ใบเอามาต้มเป็นน้ำดื่ม (ใบ)
ช่วยแก้ไตทุพพลภาพ ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)

ผลช่วยขับโลหิต หรือจะใช้เมล็ดผสมกับดอกมะเฟือง เปลือกอบเชย น้ำตาลกรวด เอามาต้มรวมกันแล้วมัวแต่น้ำมากิน หรือใช้ต้น 10 ส่วนและก็พริกไทย 5 ส่วน ผสมทำเป็นยาลูกกลอนกินก็ได้ (เมล็ด, ผล, อีกทั้งต้น)
ช่วยฟอกโลหิต ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
แก้พิษเลือด ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (เปลือกต้น)
ช่วยสมานแผล ด้วยการใช้ต้นเอามาตำผสมกับหัวสามสิบ ในอัตราส่วน 2:1 (อีกทั้งต้น)
ต้นเหงือกปลาหมอมีสรรพคุณช่วยรักษาแผลพุพอง (ต้น)
ใบมีรสเค็มกร่อย คุณประโยชน์ช่วยรักษาแผลอักเสบ (ใบ)
ช่วยแก้น้ำเหลืองเสีย ด้วยการใช้ต้น 3-4 ต้น เอามาหั่นเป็นชิ้น แล้วต้มน้ำอาบแก้อาการ (ต้น, ใบ, เมล็ด)
สำหรับคนเจ็บเอดส์ที่มีแผลพุพองตามผิวหนัง ถ้าใช้ต้นมาต้มอาบรวมทั้งทำเป็นยากินต่อเนื่องกันประมาณ 3 เดือนจะช่วยให้อาการของแผลพุพองทุเลาลงอย่างเห็นได้ชัด (ต้น)
ช่วยรักษาโรคผิวหนังหรือประดง รักษากลากเกลื้อน อีสุกอีใส (ใบ)
ช่วยรักษาโรคขี้เรื้อน โรคกุฏฐัง ด้วยการใช้อีกทั้งต้นเอามาตำเอาแต่น้ำกิน (ทั้งยังต้น)
ช่วยแก้ผื่นผื่นคันตามร่างกาย ใช้ล้างแผลเรื้อรัง ด้วยการใช้ต้นสดแล้วก็ใบสดล้างสะอาดประมาณ 3-4 กำมือ เอามาสับแล้วต้มกับน้ำอาบแก้ผื่นคันต่อเนื่องกัน 3-4 ครั้ง (ต้น, ใบ)
เหงือกปลาหมอมีสรรพคุณทางยาช่วยแก้ผื่นคัน (ต้น)
รากสดเอามาต้มมัวแต่น้ำ ใช้ดื่มเป็นยารักษาโรคงูสวัดได้ (ราก)
ช่วยรักษาฝี ฝีเรื้อรัง แผลฝีหนอง โรคฝีดาษ ตัดรากฝี แก้พิษฝีทุกชนิดทั้งภายในภายนอก ด้วยการใช้ต้นแล้วก็ใบสดและแห้งราวๆ 1 กำมือ เอามาบดให้ถี่ถ้วน แล้วนำมาพอกบริเวณที่เป็นฝี หรือแนวทางที่สองจะเอามาสับเป็นชิ้นเล็กๆใส่น้ำให้ท่วมแล้วต้มในน้ำเดือดทิ้งไว้ 10 นาที แล้วเอามาดื่มก่อนรับประทานอาหารครั้งละครึ่งแก้ว วันละ 3 ครั้ง ราว 2-3 อาทิตย์ หรือจะใช้เม็ดนำมาคั่วให้เกรียมแล้วป่นอย่างระมัดระวัง ชงกับน้ำกินเป็นยาแก้ฝีก็ได้ (ต้น, ใบ, เมล็ด)
เม็ดใช้ปิดพอกฝี (เม็ด)
ผลมีรสเผ็ดร้อน สรรพคุณช่วยถอนพิษ (ผล, ต้น)
ใบสดเอามาตำให้ละเอียด สามารถใช้พอกบริเวณแผลที่ถูกงูกัดได้ (ใบ)
ช่วยแก้ผิวแตกตลอดตัว ด้วยการใช้ทั้งยังต้นของเหงือกปลาหมอ1 ส่วน / ดีปลี 1 ส่วน ใช้ผสมกันบดให้เป็นผงชงกับน้ำร้อนดื่มแก้อาการ (อีกทั้งต้น)
ต้น หากนำมาใช้จะช่วยแก้โรคเหน็บชา อาการชาทั้งตัวได้ (ต้น)
รากมีสรรพคุณช่วยแก้อัมพาต (ราก)
แก้ลักษณะการเจ็บข้างหลังเจ็บเอว ด้วยการใช้ต้นกับชะเอมเทศนำมาบดเป็นผง ผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นยาลูกกลอนรับประทาน (ต้น)
ใบใช้เป็นยาประคบปรับปรุงข้ออักเสบแล้วก็แก้ลักษณะของการปวดต่างๆ(ใบ)
ช่วยบำรุงรากผม ด้วยการใช้น้ำคั้นจากใบนำมาทาให้ทั่วหัว จะช่วยบำรุงรักษารากผมได้ (ใบ) http://www.disthai.com/[/b]

Tags : สมุนไพรเหงือกปลาหมอ
4  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรเหงือกปลาหมอ - ฐานข้อมูลสมุนไพร เมื่อ: สิงหาคม 20, 2018, 02:03:48 pm
[/b]
เหงือกปลาหม[/size][/b]
เหงือกปลาหมอ ชื่อสามัญ Sea holly, Thistleplike plant
[url=http://www.disthai.com/16910138/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD]เหงือกปลาหมอ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Acanthus ebracteatus Vahl (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Acanthus ilicifolius Lour., Acanthus ilicifolius var. ebracteatus (Vahl) Benoist, Dilivaria ebracteata (Vahl) Pers.) จัดอยู่ในสกุลเหงือกปลาหมอ(ACANTHACEAE)
สมุนไพรเหงือกปลาหมอ มีชื่อแคว้นอื่นๆว่า แก้มหมอ (จังหวัดสตูล), แก้มหมอเล (กระบี่), อีเกร็ง (ภาคกึ่งกลาง), นางเกร็ง จะเกร็ง เหงือกปลาหมอน้ำเงิน เป็นต้น
เหงือกปลาแพทย์มีอยู่ร่วมกัน 2 สายพันธุ์ คือ ประเภทที่เป็นดอกสีม่วง (Acanthus ilicifolius L.) ที่มักพบทางภาคใต้ แล้วก็จำพวกที่เป็นดอกสีขาว (Acanthus ebracteatus Vahl) ที่พบได้ทั่วไปทางภาคกลางและภาคทิศตะวันออก และก็เป็นพรรณไม้ที่ขึ้นชื่อของจังหวัดสมุทรปราการ
เหงือกปลาแพทย์ สมุนไพรใกล้ตัวหรือบางทีก็อาจจะเรียกว่าเป็นสมุนไพรชายน้ำหรือชายเลนก็ได้ สามารถนำคุณประโยชน์ทางยามาใช้สำหรับการรักษาโรคได้หลากหลายประเภท ที่โดดเด่นมากมายก็คือการนำมารักษาโรคผิวหนังได้แทบทุกชนิด แก้น้ำเหลืองเสีย แล้วก็การนำมาใช้รักษาริดสีดวงทวาร ฯลฯ โดยส่วนที่นำมาใช้เป็นยาสมุนไพรก็ได้แก่ ส่วนลำต้นอีกทั้งสดรวมทั้งแห้ง ใบสดรวมทั้งแห้ง ราก เมล็ด แล้วก็อีกทั้งต้น (ส่วนทั้งยัง 5 ประกอบไปด้วย ต้น ราก ใบ ผล เมล็ด)
ลักษณะของเหงือกปลาหมอ
ต้นเหงือกปลาแพทย์ เป็นไม้พุ่มขนาดกึ่งกลาง มีความสูงราว 1-2 เมตร ลำต้นแข็ง มีหนามอยู่ตามข้อของลำต้น ข้อละ 4 หนาม ลำต้นกลม กลวง ตั้งตรง มีสีขาวอมเขียว ลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางราวๆ 1.5 เซนติเมตร เพาะพันธุ์ด้วยแนวทางเพาะเมล็ดและการใช้กิ่งปักชำ เป็นพรรณไม้ที่มักขึ้นที่โล่งแจ้ง เจริญวัยเจริญในที่ร่มแล้วก็ในที่ที่มีความชุ่มชื้นสูง ถูกใจขึ้นตามชายน้ำหรือบริเวณริมฝั่งลำคลองบริเวณปากแม่น้ำ ตัวอย่างเช่น บริเวณริมน้ำเจ้าพระยาฝั่งทิศตะวันออกเหนือปากคลองมหาวงก์ และที่สถานที่เรียนนายเรือ เป็นต้น
ต้นเหงือกปลาหมอ
ใบเหงือกปลาหมอ ใบเป็นใบผู้เดียว ลักษณะของใบมีหนามคมอยู่ริมขอบของใบแล้วก็ปลายใบ ขอบใบเว้าเป็นช่วงๆผิวใบเรียบเป็นเงาลื่น แผ่นใบสีเขียว เส้นใบสีขาว มีชำเลืองสีขาวเป็นแถวก้างปลา เนื้อใบแข็งและก็เหนียว ใบกว้างราวๆ 4-7 ซม. และก็ยาวโดยประมาณ 10-20 เซนติเมตร ใบจะออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน ก้านใบสั้น
ใบเหงือกปลาหมอ
ดอกเหงือกปลาหมอ มีดอกเป็นช่อตั้งตามปลายยอด ยาวราวๆ 4-6 นิ้ว ดอกมีทั้งยังจำพวกดอกสีม่วง (หรือสีฟ้า) และก็จำพวกดอกสีขาว ที่ดอกมีกลีบรองดอกมี 4 กลีบ กลีบแยกจากกัน รอบๆกึ่งกลางดอกจะมีเกสรตัวผู้และก็เกสรตัวเมียอยู่
ดอกเหงือกปลาหมอ
สมุนไพรเหงือกปลาหมอ
ผลเหงือกปลาหมอ รูปแบบของผลเป็นฝักสีน้ำตาล รูปแบบของฝักเป็นทรงกระบอก รูปไข่ หรือกลมรี ยาวโดยประมาณ 2-3 ซม. เปลือกฝักมีสีน้ำตาล ปลายฝักป้าน ด้านในฝักมีเม็ด 4 เม็ด
สรรพคุณของเหงือกปลาหมอ
ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้อายุยืน สุขภาพดี เลือดลมไหลเวียนดี เส้นโลหิตไม่อุดตัน บำรุงผิวพรรณ ด้วยการใช้ทั้งต้นเหงือกปลาหมอนำมาตำผสมกับพริกไทยในอัตราส่วน 2:1 แล้วเคล้าผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นยาลูกกลอน ว่ากันว่าแม้กินต่อเนื่องกัน 1 เดือน จะทำให้ปัญญาดี ไม่มีโรค / 2 เดือน ผิวหนังเต่งตึง / 3 เดือน ทำให้ริดสีดวงหาย / 4 เดือน ช่วยแก้ลม 12 จำพวก หูดี / 5 เดือน หมดโรค / 6 เดือน ทำให้เดินไม่เคยรู้อ่อนเพลีย / 7 เดือนผิวสวย / 8 เดือน เสียงน่าฟัง / 9 เดือน หนังเหนียว (ทั้งต้น, ราก)
เหงือกปลาหม[/b]มีคุณประโยชน์ช่วยบำรุงประสาท (ราก)
ช่วยรักษาอาการธาตุไม่ปกติ (อีกทั้งต้น)
ช่วยให้เลือดลมเป็นปกติ (ต้น)เหงือกปลาหมอขาว
ช่วยทำให้เจริญอาหาร (ต้น)
ช่วยแก้โรคกระษัย อาการผอมแห้งเหลืองตลอดตัว ด้วยการใช้ต้นของเหงือกปลาหมอนำมาตำเป็นผุยผงรับประทานทุกๆวัน (ต้น)
ช่วยแก้อาการร้อนหมดทั้งตัว เจ็บระบบหมดทั้งตัว ตัวแห้ง เวียนศีรษะ หน้ามืดตามัว มือตายตีนตาย ด้วยการใช้ทั้งต้นของเหงือกปลาหมอรวมทั้งเปลือกมะรุมอย่างละเสมอกัน ใส่หม้อต้มผสมกับเกลือน้อย หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ แล้วใช้ฟืน 30 ดุ้น ต้มกับน้ำเดือดจนถึงงวดแล้วยกลง เมื่อเสร็จให้กลั้นใจรับประทานขณะอุ่นๆกระทั่งหมด อาการก็จะดีขึ้น (ทั้งต้น)ช่วยยับยั้งมะเร็ง ต้านมะเร็ง (อีกทั้งต้น)
ช่วยรักษาอาการปอดอักเสบ ด้วยการใช้เหงือกปลาหมออีกทั้งต้นและอาหารมื้อเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ในสัดส่วนที่เสมอกัน เอามาต้มกับน้ำจนกระทั่งเดือดแล้วเอามาดื่มในขณะอุ่นๆครั้งละ 1 แก้ว ยามเช้า ตอนกลางวัน เย็น อาการจะ (ทั้งต้น)
รักษาปอดอักเสบ ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ใบ)
ต้นมีรสเค็มกร่อย คุณประโยชน์ช่วยแก้ลักษณะของการปวดหัว (ต้น)
รากช่วยแก้แล้วก็ทุเลาอาการไอ หรือจะใช้เมล็ดเอามาต้มดื่มแก้อาการไอก็ได้เช่นกัน (ราก, เมล็ด)
ช่วยแก้หืดหอบ (ราก)
ช่วยรักษาวัณโรค ด้วยการใช้ต้นเอามาตำผสมเป็นน้ำดื่ม (ต้น)
ช่วยแก้อาการเจ็บตา ตาแดง ด้วยการใช้เหงือกปลาหมออีกทั้งต้นเอามาตำผสมกับขิง คั้นเอาแต่น้ำใช้หยอดตาแก้อาการ (อีกทั้งต้น)
ใบช่วยแก้ไข้ (ใบ)
ช่วยแก้ไข้จับสั่น ด้วยการใช้ทั้งยังต้นเหงือกปลาหมอมาตำผสมกับขิง (อีกทั้งต้น)
ช่วยแก้พิษไข้หัว ด้วยการใช้ต้นรวมทั้งรากเอามาต้มอาบแก้อาการ (ทั้งต้น)
แก้อาการไอ เม็ดใช้ผสมกับดอกมะเฟือง เปลือกอบเชย น้ำตาลกรวด นำมาต้มรวมกันแล้วมัวแต่น้ำมากินเป็นยาแก้ไอ (เมล็ด)
ช่วยขับเสลด (ราก)
ถ้าหากเป็นลม ให้ใช้ต้นเหงือกปลาหมอ 1 ส่วน / พริกไทย 2 ส่วน ผสมรวมกัน ตำให้รอบคอบเป็นผุยผงแล้วเอามาละลายน้ำร้อนดื่ม (ต้น)
ช่วยแก้โรคกระเพาะ ด้วยการใช้ทั้งยังต้นรวมทั้งพริกไทย (10:5 ส่วน) ตำผสมปั้นเป็นยาลูกกลอน (ทั้งต้น)
[url=http://www.disthai.com/16910138/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD]

ช่วยขับพยาธิ (เม็ด)
ช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร ด้วยการใช้ต้นเหงือกปลาหมอกับขมิ้นอ้อย นำมาตำละลายกับน้ำแล้วทาบริเวณที่เป็นริดสีดวง หรือจะใช้ปรุงกับฟ้าทะลายขโมย ใช้รมหัวริดสีดวงก็ได้ (ต้น, ใบ)
ช่วยขับเยี่ยว ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
ช่วยรักษามุตกิดระดูขาว ตกขาวของสตรี ด้วยการใช้ใบรวมทั้งต้นนำมาตำเป็นผุยผง ผสมกับน้ำผึ้งหรือน้ำมันมันงา ปั้นเป็นยาลูกกลอนรับประทานแก้อาการ (ต้น, ใบ, ราก)
ช่วยแก้รอบเดือนมาไม่เป็นปกติของสตรี ด้วยการใช้ทั้งต้นเอามาตำผสมกับน้ำผึ้ง น้ำมันงา (ต้น)
ช่วยรักษานิ่วในไต ด้วยการใช้ใบนำมาต้มเป็นน้ำดื่ม (ใบ)
ช่วยแก้ไตพิการ ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
ผลช่วยขับโลหิต หรือจะใช้เม็ดผสมกับดอกมะเฟือง เปลือกอบเชย น้ำตาลกรวด นำมาต้มรวมกันแล้วมัวแต่น้ำมากิน หรือใช้ต้น 10 ส่วนและพริกไทย 5 ส่วน ผสมทำเป็นยาลูกกลอนรับประทานก็ได้ (เมล็ด, ผล, ต้น)
ช่วยฟอกโลหิต ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่เจาะจงส่วนที่ใช้)
แก้พิษเลือด ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (เปลือกต้น)
ช่วยรักษาแผล ด้วยการใช้อีกทั้งต้นนำมาตำผสมกับหัวสามสิบ ในอัตราส่วน 2:1 (ทั้งยังต้น)
ต้นเหงือกปลาหมอมีสรรพคุณช่วยรักษาแผลพุพอง (ต้น)
ใบมีรสเค็มกร่อย คุณประโยชน์ช่วยรักษาแผลอักเสบ (ใบ)
ช่วยแก้น้ำเหลืองเสีย ด้วยการใช้ต้น 3-4 ต้น นำมาหั่นเป็นชิ้น แล้วต้มน้ำอาบแก้อาการ (ต้น, ใบ, เมล็ด)
สำหรับคนป่วยโรคภูมิคุมกันบกพร่องที่มีแผลพุพองตามผิวหนัง ถ้าเกิดใช้ต้นมาต้มอาบแล้วก็ทำเป็นยารับประทานติดต่อกันประมาณ 3 เดือนจะช่วยทำให้ลักษณะของแผลพุพองทุเลาลงอย่างเห็นได้ชัด (ต้น)
ช่วยรักษาโรคผิวหนังหรือประป่าดง รักษากลากโรคเกลื้อน อีสุกอีใส (ใบ)
ช่วยรักษาโรคโรคเรื้อน คุดทะราด ด้วยการใช้ทั้งยังต้นนำมาตำเอาแต่น้ำดื่ม (อีกทั้งต้น)
ช่วยแก้ผื่นผื่นคันตามร่างกาย ใช้ล้างแผลเรื้อรัง ด้วยการใช้ต้นสดแล้วก็ใบสดล้างสะอาดประมาณ 3-4 กำมือ เอามาสับแล้วต้มกับน้ำอาบแก้ผื่นคันต่อเนื่องกัน 3-4 ครั้ง (ต้น, ใบ)
เหงือกปลาหมอมีคุณประโยชน์ทางยาช่วยแก้ผื่นคัน (ต้น)
รากสดเอามาต้มเอาแต่น้ำ ใช้ดื่มเป็นยารักษาโรคงูสวัดได้ (ราก)
ช่วยรักษาฝี ฝีเรื้อรัง แผลฝีหนอง โรคฝีดาษ ตัดรากฝี แก้พิษฝีทุกชนิดอีกทั้งภายในด้านนอก ด้วยการใช้ต้นและก็ใบทั้งยังสดและแห้งโดยประมาณ 1 กำมือ เอามาบดให้ถี่ถ้วน แล้วนำมาพอกรอบๆที่เป็นฝี หรือแนวทางที่สองจะเอามาสับเป็นชิ้นเล็กๆใส่น้ำให้ท่วมแล้วต้มในน้ำเดือดทิ้งไว้ 10 นาที แล้วนำมาดื่มก่อนที่จะรับประทานอาหารครั้งละครึ่งแก้ว วันละ 3 ครั้ง ราว 2-3 อาทิตย์ หรือจะใช้เมล็ดเอามาคั่วให้เกรียมแล้วป่นอย่างรอบคอบ ชงกับน้ำกินเป็นยาแก้ฝีก็ได้ (ต้น, ใบ, เมล็ด)
เม็ดใช้ปิดพอกฝี (เม็ด)
ผลมีรสเผ็ดร้อน คุณประโยชน์ช่วยถอนพิษ (ผล, ต้น)
ใบสดเอามาตำอย่างถี่ถ้วน สามารถใช้พอกบริเวณแผลที่ถูกงูกัดได้ (ใบ)
ช่วยแก้ผิวแตกหมดทั้งตัว ด้วยการใช้อีกทั้งต้นของเหงือกปลาหมอ 1 ส่วน / ดีปลี 1 ส่วน ใช้ผสมกันบดให้เป็นผงชงกับน้ำร้อนดื่มแก้อาการ (ทั้งต้น)
ต้น หากนำมาใช้จะช่วยแก้โรคเหน็บชา อาการชาตลอดตัวได้ (ต้น)
รากมีสรรพคุณช่วยแก้อัมพาต (ราก)
แก้ลักษณะการเจ็บข้างหลังเจ็บเอว ด้วยการใช้ต้นกับชะเอมเทศนำมาบดเป็นผง ผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นยาลูกกลอนกิน (ต้น)
ใบใช้เป็นยาประคบปรับปรุงข้ออักเสบรวมทั้งแก้อาการปวดต่างๆ(ใบ)
ช่วยบำรุงรักษารากผม ด้วยการใช้น้ำคั้นจากใบเอามาทาให้ทั่วหัว จะช่วยบำรุงรักษารากผมได้ (ใบ)
ประโยชน์ที่ได้รับมาจากเหงือกปลาหมอ
ในขณะนี้สมุนไพรเหงือกปลาหมอมีการนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นยาแคปซูลสมุนไพร (เหงือกปลาหมอแคปซูล) หรือเป็นยาชงสมุนไพร (เหงือกปลาหมอผงสำเร็จรูป) หรือในรูปแบบของยาเม็ด
นอกจากการใช้เป็นยาสมุนไพรที่ใช้ในการอบตัวหรืออบด้วยละอองน้ำ สมุนไพร[url=http://www.disthai.com/16910138/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD]เหงือกปลาหมอ[/url]ยังใช้เป็นส่วนผสมสำหรับในการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งตัวอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น สบู่ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการเปลี่ยนสีผม จนตราบเท่าแชมพูของสุนัข ฯลฯ
แหล่งอ้างอิง
: เว็บสำนักงานแผนการสงวนพันธุกรรมพืชสาเหตุจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ ม.อบ., หนังสือพิมพ์บ้านเรือน (ชำนาญ หิมะคุณ), หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 4, ฐานข้อมูลพันธุ์ไม้ องค์การส่วนพฤกษศาสตร์, สำนักงานกองทุนช่วยเหลือการผลิตเสริมสุขภาพ (สสส.), หนังสือยอดสมุนไพรยาอายุวัฒนะ (คุณครูยุยงวดี จอมป้องกัน), หนังสือกายบริหารแกว่งไกวแขน (โชคชัย ปัญจสินทรัพย์) http://www.disthai.com/[/b]
5  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ขิง เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณเเละประโยชน์อย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อ: สิงหาคม 17, 2018, 03:16:17 pm
[/b]
ขิ[/size][/b]
ขิง ชื่อสามัญ Ginger (จิน’เจอะ)
ขิง ชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber officinale Roscoe จัดอยู่ในวงศ์ขิง (ZINGIBERACEAE)
[url=http://www.disthai.com/16488302/%E0%B8%82%E0%B8%B4%E0%B8%87]ขิง
จัดเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในหลายๆด้าน เพราะเหตุว่าอุดมไปด้วยวิตามินและธาตุที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อสุขภาพของเรา เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี เบต้าแคโรทีน ธาตุเหล็ก ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส แถมยังมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และก็เส้นใยมากไม่น้อยเลยทีเดียวอีกด้วย ซึ่งประโยชน์ที่ได้รับมาจากขิงนั้น พวกเราสามารถนำมาใช้ได้หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นราก เหง้า ต้น ใบ ดอก แก่น แล้วก็ผลก็ได้ทั้งนั้น
คุณประโยช์จากขิง
-ขิงจัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะชั้นยอด
มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระเยอะๆ ช่วยชะลอความแก่รวมทั้งชะลอการเกิดริ้วรอย
มีส่วนช่วยในการปกป้อง ต้านการเกิดโรคมะเร็ง ต่อต้านการเจริญเติบโตของเซลล์ของมะเร็ง
ช่วยลดผลกระทบจากสารเคมีที่ใช้สำหรับการรักษามะเร็ง ดังนั้นควรกินขิงควบคู่ไปกับการดูแลและรักษาโรคมะเร็งจะเป็นผลดี
ขิ มีฤทธิ์อุ่น ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น และช่วยสำหรับเพื่อการขับเหงื่อ
ช่วยแก้อาการร้อนใน ด้วยการใช้ลำต้นสดๆนำมาทุบให้แหลกโดยประมาณ 1 กำมือ แล้วต้มกับน้ำกิน
ช่วยลดความอ้วน ลดระดับไขมัน คอเลสเตอรอล ด้วยการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากไส้ แล้วปล่อยให้ร่างกายกำจัดออกทางอุจจาระ
ช่วยรักษาอาการปวดหัวและไมเกรน ด้วยการรับประทานน้ำขิงบ่อยๆ
ช่วยลดความต้องการของผู้ติดยาเสพติดลงได้
แก้ต้นตานขโมย ด้วยการใช้ขิง ใบกะเพรา พริกไทย ไพล มาบดผสมกันแล้วเอามารับประทาน
ช่วยรักษาโรคความดันโลหิต ด้วยการนำขิงสดมาฝานต้มกับน้ำกิน
ช่วยบำรุงหัวใจของคุณให้แข็งแรง
ช่วยบรรเทาลักษณะของโรคประสาท ซึ่งทำให้จิตใจขุ่นมัว (ดอก)
ช่วยฟื้นฟูร่างการสำหรับคุณแม่หลังคลอดลูก ด้วยการรับประทานไก่ผัดขิง
มีส่วนช่วยให้เจริญอาหาร (ราก, เหง้า) ด้วยการใช้เหง้าสดราว 1 องคุลีนำมาต้มกับน้ำกิน ก็จะได้เป็นยาขมเจริญอาหาร
ใช้รับประทานเพื่อบำรุงเป็นยาธาตุ บำรุงธาตุไฟ (เหง้า, ดอก)
ใช้บำรุงนมของคุณแม่ (ผล)
ช่วยให้นอนได้อย่างสบาย
การกินขิงจะช่วยทำให้เลือดแข็งเป็นลิ่มเลือดได้ช้าลง
ใช้แก้ไข้ (ผล) ด้วยการนำขิงสดมาคั้นเป็นน้ำให้ได้ราวๆครึ่งถ้วย แล้วผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา เอามาต้มกับน้ำ 2 ถ้วย แล้วเอามาดื่มวันละ 3 ครั้ง จะช่วยทุเลาอาการได้
ช่วยแก้หวัด บรรเทาอาการไอ บรรเทาหวัดจับเสมหะ ด้วยการใช้ขิงสดฝนกับน้ำมะนาวใส่เกลือนิดหน่อย
ละอองน้ำหอมระเหยจากน้ำขิงช่วยทำลายเชื้อไวรัสหวัดในทางเดินหายใจได้
แก้ลม (ราก)
ในคนไข้ที่มีอาการเมายาสลบข้างหลังผ่าตัด น้ำขิงช่วยแก้เมาได้
ช่วยแก้อาการเมารถ เมาเรือได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยการใช้ขิงสดเอามาตำให้แหลก คั้นเอาเฉพาะน้ำดื่ม (ไม่ต้องดื่มน้ำตาม)
ช่วยจัดการกับปัญหาผมร่วง หัวล้าน ด้วยการนำเหง้าสดไปผิงไฟจนอุ่น แล้วนำมาตำให้แหลก นำมาพอกบริเวณที่มีผมหล่น วันละ 2 ครั้งกระทั่งอาการ หรืออีกแนวทางก็คือคั้นเอาเฉพาะน้ำขิงมาผสมกับน้ำมันที่ทำขึ้นมาจากมะกอกแล้วเอามาหมักผม นวดให้ทั่วหัวราวๆ 30 นาทีก็ช่วยลดปัญหาผมตกได้เช่นเดียวกัน แถมยังช่วยให้ผมงาม แข็งแรง มีความอ่อนนุ่มลื่น ไม่ขาดง่ายอีกด้วย
-ช่วยทำนุบำรุงสายตา รักษาโรคเกี่ยวกับตา แล้วก็ใช้แก้อาการตาฝ้า (ผล, ใบ)
ช่วยรักษาอาการตาแฉะ (ดอก)
ช่วยแก้โรคกำเดา (ใบ)
ใช้แก้อาการคอแห้ง เจ็บคอ (ผล)
ใช้รักษาอาการปากคอเปื่อย ท้องผูก (เหง้า,ดอก)
ช่วยรักษาลักษณะของการปวดฟัน ด้วยการนำขิงแก่มาทุบให้ถี่ถ้วนคั่วกับน้ำสารส้มจนเกรียม แล้วบดจนถึงเป็นผง แล้วต่อจากนั้นเอามาพอกบริเวณฟันที่ปวดแก้เสลด เสลดขาวเหลวปริมาณมากมีฟอง (ผล, ราก)ช่วยรักษาภาวะน้ำลายมากมาย อ้วกเป็นน้ำใสช่วยลดกลิ่นปาก แก้อาการปากเหม็น ด้วยการนำขิงมาคั้นผสมน้ำอุ่นแล้วก็เกลือน้อย เอามาอมบ้วนปาก ช่วยฆ่าเชื้อโรคในปากได้อีกด้วยช่วยบำรุงรักษาฟันและคุ้มครองปกป้องการเกิดฟันผุ
ช่วยดับกลิ่นจั๊กกะแร้ ด้วยการใช้เหง้าขิงแก่นำมาตีให้แหลก แล้วเอามาคั้นเอาน้ำมาทารักแร้เป็นประจำ จะสามารถที่จะช่วยในการกำจัดรอยคราบกลิ่นได้
ช่วยแก้อาการสะอึก ด้วยการใช้ขิงสดตำจนกระทั่งแหลก คั้นเอาเฉพาะน้ำผสมกับน้ำผึ้งบางส่วน คนให้เข้ากันแล้วนำมาดื่ม
ช่วยรักษาโรคบิด (ผล, ราก, ดอก) ด้วยการใช้ขิงสดราว 75 กรัม ผสมกับน้ำตาลทรายแดง เอามาตำจนกระทั่งเหมาะ แล้วกิน 3 มื้อต่อวัน
ช่วยแก้อาการอาเจียน (เหง้า, ผล) ด้วยการนำขิงสดราวๆ 5 กรัมหรือขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ เอามาทุบให้แตกแล้วต้มกับน้ำดื่ม
ช่วยลดการอ้วกคลื่นไส้จากการแพ้ท้อง (สำหรับหญิงตั้งท้องไม่สมควรกินบ่อยมากจนเหลือเกิน)
แก้อาการท้องอืด จุกเสียด แน่นท้อง ขับลมในลำไส้ (ผล, ราก, ใบ) ด้วยการนำขิงแก่มาทุบพอแหลก เทน้ำเดือดลงไปครึ่งแก้ว แล้วปิดฝาตั้งทิ้งเอาไว้ประมาณ 5 นาทีแล้วนำน้ำมาดื่มระหว่างมื้ออาหาร
ช่วยรักษาอาการปวดในตอนหลังหรือก่อนระดู ด้วยการนำขิงแก่ที่แห้งแล้วราว 30 กรัมมาต้มกับน้ำเป็นประจำ
ช่วยสำหรับในการย่อยอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ดอก)
ช่วยคุ้มครองการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ลดอาการจุกเสียด (เหง้า)
ช่วยสำหรับในการถ่าย แล้วก็ช่วยในเรื่องของระบบลำไส้ให้ปฏิบัติงานได้อย่างเป็นปกติ
ช่วยฆ่าพยาธิ พยาธิกลมจุกไส้ (ใบ) ใช้น้ำขิงผสมกับน้ำผึ้งแล้วนำมาดื่ม
ช่วยแก้อาการขัดฉี่ (ดอก, ใบ)
ช่วยรักษาฉี่รดที่พักผ่อนในผู้ป่วยที่มีภาวการณ์หยางพร่อง มีความเย็นในร่างกายเป็นเหตุ
ช่วยรักษาโรคนิ่ว (ใบ, ดอก)
ช่วยแก้อาการฟกช้ำ (ใบ)
[url=http://www.disthai.com/][url=http://www.disthai.com/16488302/%E0%B8%82%E0%B8%B4%E0%B8%87]ขิง
[/url] ช่วยรักษาลักษณะของการปวดข้อตามร่างกายด้วยการกินขิงสดเป็นประจำ
มีฤทธิ์ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย
ใช้เป็นยาแก้คัน ด้วยการนำแก่นของขิงฝนทำเป็นยา (แก่น)
แก้ไขปัญหาหนังที่มือลอกเป็นขุย ด้วยการใช้เหง้าสดมาหั่นเป็นแผ่น แล้วนำมาแช่เหล้า 1 ถ้วยชา ทิ้งเอาไว้ 1 วัน แล้วนำแผ่นขิงมาถูรอบๆดังที่กล่าวถึงแล้ววันละ 2 ครั้ง
ช่วยรักษาแผลเริมรอบๆข้างหลัง ด้วยการใช้เหง้า 1 หัว เอามาเผาผิวนอกจนถึงเป็นถ่าน รอปาดถ่านที่ผิวนอกออกไปเรื่อยแล้วนำผงที่ได้มาผสมกับน้ำดีหมูเอามาทาบริเวณที่เป็นแผลหากถูกแมงมุมกัด ใช้ขิงสดฝานบางๆเอามาวางทับรอบๆที่ถูกกัดจะช่วยทุเลาอาการได้ช่วยรักษาอาการมือเท้าเย็น กลัวหนาว เย็นท้อง เป็นต้น ช่วยป้องกันการแพ้อาหารทะเลจนเกิดผื่นคัน ลมพิษ หรืออาหารช็อกประโยชน์ซึ่งมาจากขิง
ช่วยรักษาแผลไฟลุกน้ำร้อนลวก ด้วยการนำขิงสดมาตำให้แหลก แล้วนำกากมาพอกรอบๆแผล เพื่อคุ้มครองปกป้องการอักเสบรวมทั้งการเกิดหนองในขิงมีสารที่สามารถใช้กันบูดกันหืนในน้ำมันได้
ในด้านการทำอาหารนั้น ขิงสามารถช่วยเพิ่มรสชาติของกินได้อย่างดีเยี่ยม และก็สามารถช่วยขจัดกลิ่นคาวของอาหารได้ดีอีกด้วย
ในด้านความสวยงามนั้นมีผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งหน้าที่ใช้บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของขิงอีกด้วย
ช่วยทำให้ผิวพรรณเรียบเนียนเพิ่มขึ้น ด้วยการนำขิงสดมาขูดเป็นฝอยแล้วนำมานวดรอบๆต้นขา ก้น หรือบริเวณที่มีเซลลูไลต์จะช่วยลดความตะปุ่มตะป่ำของผิวได้อีกด้วย
สินค้าจากขิงนั้นนำมาดัดแปลงได้หลายอย่าง ได้แก่ บัวลอยน้ำขิง ขิงแช่อิ่ม ขิงเชื่อม ขิงกระป๋อง ขิงแคปซูล น้ำขิงมะนาว ฯลฯ
[/b]
วิธีการทำน้ำขิง
ขั้นตอนการทำน้ำขิงวิธีทำน้ำขิงลำดับแรกให้จัดเตรียมส่วนประกอบดังต่อไปนี้ ขิงแก่ 1 โล / น้ำตาลทรายแดง 1 ถ้วยตวง / น้ำที่สะอาด 3 ลิตร
นำขิงที่ได้ไปล้างให้สะอาด เอามาทุบให้แตก แล้วเอามาใส่เอาไว้ข้างในหม้อต้ม เติมน้ำสะอาดลงไป ยกขึ้นตั้งไฟ
เมื่อต้มจนน้ำเดือดและหลังจากนั้นก็ค่อยค่อยไฟลง เคี่ยวราวๆ 20 นาทีจนกระทั่งน้ำขิงละลายออกมาจนถึงหมด (น้ำจะเป็นสีเหลืองอ่อนๆ) แล้วชูลงจากเตา
เสร็จแล้วให้ตักน้ำขิงใส่แก้ว เพิ่มเติมน้ำตาลทรายแดงลงไป 1-2 ช้อนชา (ตามความอยากได้) แล้วคนจนเข้ากัน
เรียบร้อยและจากนั้นก็สามารถเอามาดื่มได้ โดยนำมาดื่มแบบร้อนๆได้เลย
หรือจะดื่มแบบเย็นๆด้วยการใส่น้ำแข็งลงไปก็ได้เหมือนกัน แต่ว่าควรเติมน้ำตาลมากยิ่งกว่า 2-3 เท่า (จะช่วยไม่ให้รสจืดมากเกินความจำเป็น เพราะมีน้ำแข็งผสมอยู่นั่นเอง)
น้ำขิงที่คั้นมานั้นไม่สมควรใช้ปริมาณที่เข้มข้นกระทั่งเกินไป เพราะจะทำให้เป็นอันตรายต่อสภาพร่างกายได้ ด้วยเหตุว่าจะไประงับการบีบตัวของลำไส้ จนทำให้ลำไส้หยุดการบีบตัว ดังนั้นควรคั้นในจำนวนน้อยๆหรือดื่มจนชินก่อน
เราชอบรู้จักคุ้นเคยกับขิงว่าเป็นอาหารที่นิยมนำมาใช้ในการปรุงอาหารรวมทั้งทำเครื่องดื่ม ซึ่งอันที่จริงแล้วขิงจัดเป็นสมุนไพรไทยที่ช่วยการเยียวยารักษาโรคต่างๆได้สารพัน ถือได้ว่าตัวช่วยสำหรับเพื่อการรักษาโรคได้อย่างยิ่งจริงๆ แต่ว่าดังนี้เราก็ไม่ควรจะหวังพึ่งสรรพคุณของขิงเพียงอย่างเดียวสำหรับการบรรเทาโรค ควรจะทำอย่างอื่นหรือดูแลสุขภาพของเราร่วมด้วยจะได้ผลดีนักแล
พวกเรามักนิยมใช้ขิงแก่ เนื่องจากว่ายิ่งแก่จะยิ่งให้ความเผ็ดร้อน จึงมีคุณประโยชน์ทางยาที่มากกว่าขิงอ่อน และก็ยังมีใยอาหารมากขึ้นเรื่อยๆตามไปด้วย แม้กระนั้นเพราะขิงมีรสเผ็ด มีคุณลักษณะอุ่น จึงไม่เหมาะกับผู้ที่มีความร้อนในร่างกายอยู่แล้ว อย่างเช่นผู้ที่เหงื่อออกมาก เหงื่อออกช่วงเวลาค่ำคืน ตาแดง หรือมีไฟในตัวมากยิ่งกว่าธรรมดา แต่ถ้าเกิดจะรับประทานควรรอบคอบเป็นพิเศษ http://www.disthai.com/[/b]

Tags : สมุนไพรขิง
6  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ความเป็นมาของต้นราชพฤกษ์ เมื่อ: สิงหาคม 15, 2018, 09:22:32 am
[/b]
ราชพฤกษ[/size][/b]
ราชพฤกษ์ ชื่อสามัญ Golden shower, Indian laburnum, Pudding-pine tree, Purging Cassia
[url=http://www.disthai.com/16488365/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C]ราชพฤกษ์
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cassia fistula L. จัดอยู่ในสกุลถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) แล้วก็อยู่ในวงศ์ย่อราชพฤกษ์[/url] (CAESALPINIOIDEAE หรือ CAESALPINIACEAE)
สมุนไพรราชพฤกษ์ มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆว่า กุเพยะ (กะเหรี่ยง-จังหวัดกาญจนบุรี), ปูโย ปีอยู เปอโซ แมะหล่าอยู่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ลักเกลือ ลักเคย (กะเหรี่ยง), ราชพฤกษ์ ชัยพฤกษ์ (ภาคกึ่งกลาง), ลมแล้ง (ภาคเหนือ), ราชพฤกษ์ (ภาคใต้), คูน (ทั่วๆไปเรียกและมักจะเขียนไม่ถูกหรือสะกดไม่ถูกเป็น “ต้นคูณ” หรือ “คูณ“) เป็นต้น
คำว่า “ราชพฤกษ์” มีความหมายว่า “ต้นไม้ของพระมหากษัตริย์” ซึ่งเป็นเครื่องหมายของงานนิทรรศการพืชสวนโลกซึ่งจัดขึ้นเพื่อสังสรรค์ในวโรกาสอันเป็นมหามงคลที่พระเจ้าอยู่หัวของเราทรงครองสิริราชสมบัติครบรอบ 60 ปี
ต้นราชพฤกษ์ ต้นไม้ประจำชาติไทย
เมื่อปี พ.ศ.2544 คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติได้มีข้อแนะนำแล้วก็สรุปให้มีการกำหนดสัญลักษณ์ประจำชาติ 3 สิ่ง ซึ่งประกอบไปด้วย ดอกไม้ สัตว์ และสถาปัตยกรรม ซึ่งจากการพินิจได้ผลสรุปว่า ให้สัตว์ประจำชาติคือ “ช้างไทย” ส่วนในด้านสถาปัตยกรรมประจำชาติคือ “ศาลาไทย” และก็ในส่วนของดอกไม้ประจำชาติก็คือ “ดอกราชพฤกษ์” โดยมีเหตุมีผลสำหรับเพื่อการเลือกดังต่อไปนี้
ต้นคูน หรือ ต้นราชพฤกษ์ จัดเป็นต้นไม้ประจำชาติไทย (ตามประกาศของกรมป่าไม้)ต้นไม้ราชพฤกษ์ เป็นต้นไม้ที่ชาวไทยทั่วๆไปรู้จักกันอย่างมากมาย ในนามของ “ต้นคูน” สามารถพบเจอได้ทั่วๆไปของทุกภาคในประเทศ
ต้นราชพฤกษ์มีความเกี่ยวข้องกับจารีตประเพณีคนไทยมาอย่างช้านาน เพราะว่าเป็นพืชที่มีความมงคลนามแล้วก็ใช้สำหรับการประกอบพิธีหลักๆต่างๆหลายพิธี อาทิเช่น พิธีลงเสาหลักเมือง ทำคทาจอมพล ใช้ทำยอดธงชัยเฉลิมพล ฯลฯ
ต้นราชพฤกษ์นั้นสามารถนำมาใช้คุณประโยชน์ได้อย่างนานัปการ เช่น การใช้เป็นยาสมุนไพรหรือนำมาใช้ทำเป็นเสาบ้านเสาเรือนได้ อื่นๆอีกมากมาย
ต้นราชพฤกษ์เป็นต้นไม้ที่มีอายุยืนนานแล้วก็แข็งแรงทนทาน
ต้นราชพฤกษ์มีรูปทรงรวมทั้งพุ่มที่งดงาม มีดอกเหลืองอร่ามเต็มต้น แลดูงามยิ่งนัก
ดอกราชพฤกษ์มีสีเหลือง ซึ่งเป็นเครื่องหมายของชาติไทย เป็นสัญลักษณ์แห่งพระพุทธศาสนา และก็ยังเป็นสัญลักษณ์ของวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันพระราชการบังเกิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นอกจากนั้นตามตำราพืชที่มีความเป็นสิริมงคล 9 ประเภทยังระบุไว้ว่า ต้นราชพฤกษ์เป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงความเป็นใหญ่ ความมีอำนาจวาสนา มีโชคมีชัย
สมุนไพรราชพฤกษ์ กับการนำมาใช้รักษาโรคและอาการต่างๆโดยส่วนที่ประยุกต์ใช้เป็นคุณประโยชน์ทางยานั้น ยกตัวอย่างเช่น ส่วนของใบ ดอก เปลือก ฝัก แก่น กระพี้ ราก และก็เมล็ด ซึ่งสมุนไพรราชพฤกษ์ เป็นสมุนไพรซึ่งสามารถใช้ได้อีกทั้งกับเด็ก สตรี รวมไปถึงคนวัยแก่ โดยไม่มีอันตรายอะไรก็แล้วแต่
ลักษณะของต้นราชพฤกษ์
ต้นราชพฤกษ์ (ต้นคูน) เป็นพืชท้องถิ่นในแถบเอเชียใต้ ไล่ตั้งแต่ทางตอนใต้ของปากีสถานไปจนถึงประเทศอินเดีย ประเทศพม่า รวมทั้งประเทศศรีลังกา โดยจัดเป็นพรรณไม้ขนาดกึ่งกลาง มีลำต้นสีน้ำตาลแกมเทาเกลี้ยง มักขึ้นทั่วๆไปตามป่าผลัดใบหรือในดินที่มีการระบายน้ำดี แพร่พันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเม็ดแล้วย้ายกล้ามาปลูกลงในถุงเพาะชำ เมื่อโตพอแล้วก็ย้ายมาปลูกเอาไว้ในพื้นที่ แต่ในปัจจุบันอาจจะใช้ขั้นตอนการทาบกิ่งและก็ทิ่มยอดก็ได้ แต่โอกาสสำเร็จจะน้อยกว่ากระบวนการเพาะเม็ด
ใบราชพฤกษ์ (ใบคูน) รูปแบบของใบออกเป็นช่อ ใบสีเขียวเป็นมัน ช่อหนึ่งยาวราว 2.5 ซม. แล้วก็มีใบย่อยเป็นไข่หรือรูปป้อมๆราวๆ 3-6 คู่ ใบย่อยมีความกว้างราวๆ 5-7 เซนติเมตร และก็ยาวโดยประมาณ 9-15 ซม. โคนใบมนและก็สอบไปทางปลายใบ เนื้อใบบางเกลี้ยง มีเส้นแขนงใบถี่แล้วก็โค้งไปตามรูปใบ
ใบราชพฤกษ์
ดอกราชพฤกษ์ (ดอกคูน) ออกดอกเป็นช่อ ยาวโดยประมาณ 20-45 ซม. มีกลีบรองดอกรูปขอบขนาน มีความยาวประมาณ 1 เซนติเมตร กลีบมี 5 กลีบ หลุดตกได้ง่าย และกลีบดอกยาวกว่ากลีบรองดอกราวๆ 2-3 เท่า รวมทั้งมีกลีบรูปไข่ปริมาณ 5 กลีบ รอบๆพื้นกลีบจะมองเห็นเส้นกลีบกระจ่างแจ้ง ที่ดอกมีเกสรตัวผู้ขนาดไม่เหมือนกันปริมาณ 10 ก้าน มีก้านอับเรณูโค้งงอขึ้น ดอกมักจะบานในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม แต่ว่าก็มีบางครั้งที่ออกดอกนอกฤดูเหมือนกัน ดังเช่น ในตอนธันวาคมถึงมกราคม
ดอกราชพฤกษ์ดอกคูน
ผลราชพฤกษ์ หรือ ฝักราชพฤกษ์ (ฝักคูณ) ผลมีลักษณะเป็นฝักรูปทรงกระบอกเกลี้ยงๆฝักยาวราว 20-60 ซม. รวมทั้งวัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ราว 2-2.5 เซนติเมตร ฝักอ่อนจะมีสีเขียว ส่วนฝักแก่จัดจะมีสีดำ ในฝักจะมีฝาผนังเยื่อบางๆติดกันอยู่เป็นช่องๆตามขวางของฝัก รวมทั้งในช่องจะมีเมล็ดสีน้ำตาลแบนๆอยู่ มีขนาดราว 0.8-0.9 ซม.
ฝักคูนฝักราชพฤกษ์
คุณประโยชน์ของราชพฤกษ์
ช่วยทำนุบำรุงโลหิตภายในร่างกาย (เปลือก)
สารสกัดจากลำต้นและก็ใบของราชพฤกษ์มีฤทธิ์ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ (ลำต้น, ใบ)
สารสกัดจากเมล็ดมีฤทธิ์ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล (เม็ด)
ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับหัวใจหรือถุงน้ำดี (ราก)
ราชพฤกษ์มีสรรพคุณช่วยแก้ไข้ (ราก)
ฝักราชพฤกษ์มีสรรพคุณทางยาช่วยแก้ไข้ไข้มาลาเรีย (ฝัก)
ช่วยแก้ไข้รูมาติกด้วยการกางใบอ่อนนำมาต้มกับน้ำ (ใบ)
ฝักอ่อนมีรสหวานอมเปรี้ยวนิดหน่อย มีกลิ่นเหม็นเหม็นเบื่อ เย็นจัด สรรพคุณสามารถใช้ขับเสลดได้ (ฝักอ่อน)
ช่วยแก้อาการหิวน้ำ (ฝัก)
เปลือกเม็ดและเปลือกฝักมีสรรพคุณช่วยถอนพิษ ทำให้คลื่นไส้ หรือจะใช้เม็ดประมาณ 5-6 เมล็ด นำมาบดเป็นผงแล้วรับประทานก็ได้ (เมล็ด, ฝัก)
ต้นราชพฤกษ์ สรรพคุณของกระพี้ใช้แก้ลักษณะของการปวดฟัน (กระพี้)
ในอินเดียมีการใช้ฝัก เปลือก ราก ดอก และก็ใบมาทำเป็นยา ใช้เป็นยาแก้ไข้รวมทั้งหัวใจ แก้อาการหายใจขัด ช่วยถ่ายของเสียออกจากร่างกาย แก้อาการไม่มีชีวิตชีวา หนักหัว หนักตัว ทำให้สดชื่นทรวงอก (เปลือก, ราก, ดอก, ใบ, ฝัก)
สรรพคุณราชพฤกษ์ช่วยแก้โรครำมะนาด (กระพี้, แก่น)
ช่วยรักษาเด็กเป็นต้นตานขโมยด้วยการใช้ฝักแห้งราว 30 กรัมนำมาต้มกับน้ำกิน (ฝัก)
ช่วยทุเลาอาการแน่นหน้าอก (เนื้อในฝัก)
ฝักแก่ใช้เป็นยาระบาย ช่วยสำหรับในการขับถ่าย ทำให้ถ่ายได้สะดวก ไม่มวนท้อง แก้ท้องผูก เหมาะกับผู้ที่มีลักษณะอาการท้องผูกเป็นประจำและก็สตรีตั้งครรภ์ เนื่องจากมีสารแอนทราควิโนน (Anthraquinone glycoside) เป็นตัวช่วยระบาย สำหรับวิธีการใช้ ให้ใช้ฝักแก่ขนาดก้อนเท่านิ้วโป้ง (หนักราวๆ 4 กรัม) และก็น้ำอีก 1 ถ้วยแก้วใส่หม้อต้ม แล้วผสมเกลือเล็กน้อย ใช้ดื่มก่อนอาหารรุ่งเช้าหรือช่วงก่อนนอนเพียงครั้งเดียว (ฝักแก่, ดอก, เนื้อในฝัก, ราก, เม็ด)
เมล็ดมีรสฝาดเมา สรรพคุณช่วยแก้ท้องเดิน (เมล็ด)
ช่วยหล่อลื่นไส้ รักษาโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหารและก็แผลเรื้อรัง (ดอก)
ช่วยรักษาโรคบิด (เมล็ด)
สรรพคุณของราชพฤกษ์ ฝักช่วยแก้อาการจุกเสียด (ฝัก)
ช่วยให้เกิดลมเบ่ง ด้วยการใช้เม็ดฝนกับต้นหญ้าฝรั่น น้ำดอกไม้เทศ รวมทั้งน้ำตาล แล้วเอามากิน (เมล็ด)
ฝักรวมทั้งใบมีคุณประโยชน์ช่วยขับพยาธิ ด้วยการใช้ฝักแห้งราว 30 กรัมเอามาต้มกับน้ำกิน (ใบ, ฝัก, เนื้อในฝัก)
ต้นคูณมีคุณประโยชน์ช่วยขับพยาธิไส้เดือนในท้อง (แก่น)
เปลือกฝักมีรสเฝื่อนฝาดเมา ช่วยขับรกที่ค้าง ทำให้แท้งลูก (เปลือกฝัก)
สารสกัดจากใบคูนมีฤทธิ์ช่วยต้านทานการเกิดพิษที่ตับ (ใบ)
คุณประโยชน์ของคูน รากใช้แก้โรคคุดทะราด (ราก)
ใบสามารถนำมาใช้ในการฆ่าเชื้อโรค เชื้อโรคบนผิวหนังที่เกิดขึ้นมาจากเชื้อราได้ (ใบ)
ช่วยฆ่าพยาธิผิวหนัง (ใบ)
รากนำมาฝนใช้ทารักษาขี้กลากโรคเกลื้อน และก็ใบอ่อนก็ใช้แก้กลากได้เช่นกัน (ราก, ใบ)
เปลือกรวมทั้งใบเอามาบดผสมกันใช้ทาแก้เม็ดผื่นผื่นตามร่างกายได้ (เปลือก, ใบ)
เปลือกมีคุณประโยชน์ช่วยแก้ฝี แก้บวม หรือจะใช้เปลือกแล้วก็ใบเอามาบดผสมกันใช้ทารักษาฝี (เปลือก, ใบ)
คูน คุณประโยชน์ของดอกช่วยแก้รอยแผลเรื้อรัง รักษาแผลเรื้อรัง (ดอก)
เปลือกราชพฤกษ์ คุณประโยชน์ช่วยสมานรอยแผล (เปลือก)
ฝักคูณมีสรรพคุณช่วยแก้ลักษณะของการปวดข้อ (เนื้อในฝัก)
คนแขกใช้ใบนำมาโขลก นำมาพอกแล้วนวด ช่วยแก้โรคปวดข้อและก็อัมพาต (ใบ)
ช่วยกำจัดหนอนรวมทั้งแมลง โดยฝักแก่มีสารออกฤทธิ์ที่มีผลต่อระบบประสาทของแมลง เมื่อนำฝักมาบดผสมกับน้ำทิ้งไว้ราวๆ 2-3 วัน แล้วใช้สารละลายที่กรองได้มาฉีดพ่นจะช่วยในการขจัดรอยคราบแมลงและหนอนในแปลงผักได้ (ฝักแก่)
สารสกัดจากรากราชพฤกษ์มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ Acetylcholinesterase
นอกจากนั้นยังมีการนำสมุนไพรราชพฤกษ์มาดัดแปลงทำเป็นสินค้าต่างๆจำนวนมาก เช่น
น้ำมันนวดราชพฤกษ์ ที่เคี่ยวมาจากน้ำมันจากใบคูน เป็นน้ำมันนวดสูตรร้อนหรือสูตรเย็น ที่ใช้นวดแก้อัมพฤกษ์อัมพาต แล้วก็ขจัดปัญหาเรื่องเส้น
ลูกประคบราชตารู เป็นลูกประคบสูตรโบราณ ที่ใช้ใบคูนเป็นตัวยาตั้งต้น ประกอบไปด้วย ขมิ้นอ้อย เทียนดำ กระวาน และอบเชยเทศ โดยลูกประคบสูตรนี้จะใช้ปรุงตามอาการ โดยจะมองตามโรคแล้วก็ความต้องการเป็นหลัก ซึ่งแต่ละคนจะได้ไม่เหมือนกัน
ผงพอกคูนคาดข้อ ทำมาจากใบคูนที่เอามาบดเป็นผง ช่วยแก้อาการปวดเส้น อัมพฤกษ์อัมพาต โดยนำมาพอกรอบๆที่เป็นจะช่วยทำให้เกิดการไหลเวียนของโลหิต ทุเลาอาการปวดข้อ รักษาโรคเกาต์ แล้วก็ยังช่วยลดอาการอักเสบได้อีกด้วย ซึ่งสูตรนี้สามารถใช้กับผู้เจ็บป่วยที่เป็นอัมพาตบริเวณใบหน้าครึ่งส่วน ตาไม่หลับ มุมปากตกได้ด้วย
ชาสุวรรณาติดอยู่ ทำจากใบคูน สรรพคุณช่วยในด้านสมอง จัดการกับปัญหาเส้นโลหิตตีบในสมอง ช่วยให้ระบบไหลเวียนในร่างกาย ช่วยแก้อัมพฤกษ์อัมพาต โดยเป็นตัวยาที่มีไว้ชงดื่มควบคู่ไปกับการดูแลรักษาแบบอื่นๆ
[/b]
ข้อควรพิจารณา !
:กระบวนการทำเป็นยาต้ม ควรต้มให้พอประมาณก็เลยจะได้ประสิทธิภาพที่ดี ถ้าต้มนานเกินไปหรือเกินกว่า 8 ชั่วโมง ยาจะไม่มีฤทธิ์ระบาย แต่ว่าจะมีผลให้ท้องผูกแทน รวมทั้งควรที่จะเลือกใช้ฝักที่ไม่มากจนเกินไป รวมทั้งยาต้มที่ได้หากรับประทานมากจนเกินไปอาจจะก่อให้คลื่นไส้ได้
คุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากราชพฤกษ์
นิยมปลูกไว้ฯลฯไม้ประดับตามสถานที่ต่างๆเป็นต้นว่า สถานที่ราชการ รอบๆริมถนนข้างทาง รวมทั้งสถานที่อื่นๆ
ต้นราชพฤกษ์กับความศรัทธา ต้นราชพฤกษ์เป็นไม้มงคลนามที่คนประเทศไทยโบราณมั่นใจว่า บ้านใดที่ปลูกต้นราชพฤกษ์ไว้เป็นไม้ประจำบ้านจะช่วยให้มีเกียรติแล้วก็ศักดิ์ศรี ปัจจัยด้วยเหตุว่าคนให้การยอมรับว่าต้นราชพฤกษ์เป็นไม้ที่มีคุณค่าสูงรวมทั้งยังเป็นเครื่องหมายของเมืองไทยอีกด้วย และก็ยังเชื่อว่าจะทำให้ผู้อาศัยนั้นเจริญ โดยจะนิยมปลูกต้นราชพฤกษ์ในวันเสาร์และก็ปลูกไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบ้าน (อาจเป็นเพราะเนื่องจากด้านดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วได้รับแสงอาทิตย์จัดในตอนช่วงบ่าย เลยปลูกไว้เพื่อช่วยลดความร้อนด้านในภายและช่วยประหยัดพลังงาน)
ต้นราชพฤกษ์เป็นพืชที่มีความมงคลแล้วก็ศักดิ์สิทธิ์ ใช้ทำเป็นน้ำพุทธมนต์ในพิธีกรรมต่างๆทางศาสนา อย่างเช่น พิธีการวางศิลาฤกษ์ ใช้ทำเสาหลักเมือง เสาฤกษ์สำหรับการก่อสร้างพระตำหนัก ยอดธงชัยเฉลิมพลของกองทหาร คทาจอมพล ส่วนใบของต้นราชพฤกษ์จะใช้ทำเป็นน้ำพุทธมนต์ไว้สะเดาะเคราะห์ได้ประสิทธิภาพที่ดีนัก ฯลฯ
เนื้อไม้ใช้ทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ ด้ามเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆหรือทำเป็นไม้ไว้ใช้สอยอื่นๆดังเช่นว่า ใช้ทำเสา เสาสะพาน ทำสากตำข้าว ล้อเกวียน คันไถ เป็นต้น
เนื้อของฝักแก่สามารถประยุกต์ใช้แทนกากน้ำตาลสำหรับในการทำเป็นหัวเชื้อจุลชีพและก็จุลอินทรีย์ขยายได้
ฝักแก่สามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเพื่อการหุงหาอาหารด้วยเตาเศรษฐกิจที่มีขนาดเหมาะสม โดยไม่ต้องผ่า ตัด หรือเลื่อย
แหล่งอ้างอิง :
เว็บไซต์ที่ทำการโครงงานอนุรักษ์พันธุกรรมพืชสาเหตุจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, เว็บกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และก็พืชพันธุ์, เว็บไซต์ไทยโพส, สำนักงานปรับปรุงเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน), งานแสดงนิทรรศการพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554, สำนักงานกองทุนเกื้อหนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) http://www.disthai.com/[/b]
7  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / มารู้จะ “ทับทิม” ผลไม้เพื่อสุขภาพ เมื่อ: สิงหาคม 10, 2018, 08:58:07 am
[/b]
ทับทิ[/size][/b]
มารู้จะ “ทับทิม” ผลไม้เพื่อสุขภาพ
นักกำหนดอาหารจดทะเบียนวิชาชีพประเทศสหรัฐอเมริกา
ในสมัยที่ผู้ใดกันก็ห่วงสุขภาพ รักการบริหารร่างกาย หมั่นรับประทานผัก ผลไม้ต่างๆเมื่อเอ่ยถึง “[url=http://www.disthai.com/16488281/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1]ทับทิม
” คนจำนวนไม่น้อยอาจรู้จักดีกันดีกับผลไม้ที่มีกลิ่นหอมสดชื่น รสชาติอร่อยเชิญชวนพึงใจ ทับทิมนั้นมีต้นกำเนิดมาจากอินเดียแล้วก็เปอร์เซีย โดยในบันทึกโบราณด้านการแพทย์บอกว่า ทับทิมถูกใช้เป็นยารักษาโรคและใช้เพื่อการดูแลสุขภาพมานานนับพันๆปี
ปัจจุบันนี้ทับทิมจัดคือผลไม้ในกรุ๊ป ซุปเปอร์ฟรุ๊ต ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุสารพฤกษเคมีแล้วก็สารแอนติออกซิแดนท์ซึ่งมีจำนวนสูงยอดเยี่ยมในทับทิมโดยสูงเป็น 3 เท่าของอาหารอื่นที่มีสารแอนติออกซิแดนท์สูง ทั้งมีใยอาหารสูงมาก นอกจากนั้นยังมีวิตามินซีสูง มีวิตามินบี 5 (กรดแพนโทธีนิค) วิตามินเอ วิตามินอี ส่วนแร่ที่มีมากมายเป็น แคลเซียม โพแตสเซียม รวมทั้งธาตุเหล็ก
จากการเรียนพบว่าทับทิมมีสารที่มีฤทธิ์ในการต้านทานขบวนการออกซิเดชันที่เกี่ยวกับการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยปกป้องโรคมะเร็ง และโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในทับทิมสูงขึ้นยิ่งกว่า เหล้าองุ่นและก็ใบชาเขียวถึง 3 เท่า รวมทั้งยังมีจำนวนสารโพลีฟีนอลในทับทิมสูงขึ้นมากยิ่งกว่าน้ำผลไม้อื่นๆตัวอย่างเช่น ส้ม องุ่น แคนเบอร์ปรี่ ลูกแพร แอปเปิ้ล อีกด้วย
ทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในกลุ่มสารโพลีฟีนอล ที่สำคัญคือ สารพูนิคาลาจิน พูนิค้างลิน และก็กรดกัลลาจิก ทั้งหมดนี้อาจมีผลต่อการคุ้มครองอันตรายต่อเยื่อภายในร่างกายที่จะส่งผลต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังรังต่างๆการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยพบว่าสารต้านอนุมูลอิสระในทับทิมอาจช่วยยับยั้งการเจริญก้าวหน้าของเซลล์ของมะเร็ง ทับทิมยังมีสารอโรมาเทสอินฮิบิเตอร์ธรรมชาติ ซึ่งช่วยยับยั้งการสร้างฮอร์โมนเอสโทรเจนที่บางทีอาจช่วยลดการเสี่ยงมะเร็งเต้านม นอกจากนั้นสารอาหารแล้วก็สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำทับทิมสกัดยังมีประโยชน์ต่อผิวพรรณ อาจต่อต้านการเกิดริ้วรอย ช่วยทำให้มีผิวพรรณอ่อนกว่าวัยและก็มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง นอกเหนือจากนั้นทับทิมยังจัดคือผลไม้ที่มีพลังงานต่ำ ก็เลยบางทีอาจให้ผลดีต่อการลดพลังงานสำหรับเพื่อการควบคุมน้ำหนัก โดยการรับประทานทับทิมแทนขนมหวาน
ด้วยสารสำคัญต่างๆในทับทิม นักค้นคว้าก็เลยพอใจทำการศึกษาเรียนรู้ถึงคุณประโยชน์ต่อร่างกาย โดยมีรายงานการวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่า สารสกัดจากทับทิมช่วยชะลอการก้าวหน้าของเซลล์ของมะเร็ง แล้วก็สามารถฆ่าเซลล์ของมะเร็งในห้องแลปได้ นอกนั้นยังมีการวิจัยชี้ว่า น้ำทับทิมสกัดยังสามารถช่วยลดแอลดีแอลคอเลสเทอรอคอยล ซึ่งเป็นคอเลสเทอคอยลไม่ดี ทำให้หลอดเลือดแดงแข็งอุดตัน แล้วก็ยังช่วยลดความดันโลหิต มีผลสำหรับการช่วยคุ้มครองปกป้องโรคหัวใจ โรคเส้นเลือดสมองตีบและหัวใจวาย
ด้วยคุณประโยชน์ซึ่งมาจากทับทิมที่มีต่อสุขภาพแล้วก็มาจากธรรมชาติ ทำให้ทับทิมได้รับความนิยมอย่างล้นหลามทั่วทั้งโลก ปัจจุบันมีการนำทับทิมมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์น้ำทับทิมสกัดแบบพร้อมดื่ม เพื่อความสบายสำหรับลูกค้าที่รักแล้วก็ประสงค์ดีสำหรับในการดูแลสุขภาพ
การวิจัยของ Sharma, Mc Clees and Afaq ล่าสุดในปี 2017 บอกว่า สารสกัดจากทับทิมมีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ ยับยั้งการเกิดเซลล์กลายพันธุ์ที่ก่อกำเนิดเซลล์ของมะเร็ง
ด้วยคุณประโยชน์มากมายก่ายกองดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว ทำให้ทับทิมได้รับการตั้งชื่อว่าเป็น “ซุปเปอร์ฟรุต” (Super fruit) ยอดนิยมแพร่หลายไปทั่วโลก เพราะมีวิตามินและแร่ธาตุ
ความศรัทธาและตำนาน
ชาวกรีกโบราณเชื่อว่า ต้นทับทิมเป็นผลมาจากเลือดของไดโอนีซุส (Di-onysus) ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่เทวดาทั้งผองและเทวีนาน่า(Nana) ซึ่งเป็นพรหมจารีย์ มีครรภ์ขึ้นโดยการสอดใส่ผลทับทิม และให้กำเนิดทวยเทพแอตติส (Attis) ขึ้น ด้วยเหตุผลดังกล่าว คนที่ยกย่องเทพแอตว่ากล่าวสจึงไม่กินผลทับทิม ชาวยิวในสมัยพระเจ้าโซโลมอนก็จัดว่า ทับทิมเป็นผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ ดังปรากฏอยู่บนยอดเสาของวิหารกษัตริย์โซโลมอน แขกฮินดู ในอินเดียเชื่อว่า พระวิฆเนศวรทรงโปรดทับทิม คนที่เคารพพระวิฆเนศก็เลยนิยมนำผลทับทิมไปมอบ ยิ่งกว่านั้น ยังใช้ดอกทับทิมเส้นไหว้บูชาดวงตะวัน พระนารายณ์ และก็เทวีพระลักษมี อีกด้วย
ชาวจีนจัดว่า ต้นทับทิมเป็นพืชที่มีความเป็นสิริมงคล (โดยยิ่งไปกว่านั้นทับทิมชนิดดอกสีขาว) และถือว่ทับทิม[/url]เป็นเครื่องหมายแห่งความอุดมสมบูรณ์ ความมีลูกหลานเยอะแยะ (เพราะเหตุว่าผลทับทิมมีเม็ดมากมาย) จึงนิยมให้ผลทับทิมเป็นของขวัญแก่คู่บ่าวสาวในพิธีสมรส (เพื่อมีลูกหลานมากมายๆ) ในพิธีสมรสนิยมปักยอดทับทิมไว้ที่ผมเจ้าสาว และปักยอดทับทิมไว้ที่สิ่งของเซ่นสรวงเจ้า ชาวจีนยังเชื่อว่า ใบหรือกิ่งทับทิมมีอำนาจไล่ภูตผีปีศาจได้ ก็เลยนิยมนำมาปลูกทับทิมเอาไว้ในรอบๆบ้าน รวมทั้งใช้ใบทับทิมแช่น้ำล้างหน้าล้างตา ล้างมือ หลังกลับจากงานศพ (เพื่อไม่ให้อสุรกายติดตามมา)
ในญี่ปุ่นอาจรับความศรัทธาเกี่ยวกับทับทิมไปจากจีน เปลี่ยนเป็นเครื่องหมายของเจ้าแม่ที่รอคุ้มครองปกป้องรักษาเด็กๆให้ปลอดภัย รวมทั้งเชื่อว่าเมื่อเด็กๆได้กินผลทับทิมแล้วจะไม่เป็นอันตรายและก็ปลอดภัยจากภูตผีปีศาจทั้งหมด ชาวไทยก็คงได้รับถ่ายทอดความศรัทธาเกี่ยวกับทับทิมมาจากชาวจีนบ้าง ดังปรากฏว่า มีศาลเจ้าหลายที่ในประเทศไทย ชื่อเจ้าแม่ทับทิม ซึ่งคงจะเป็นเจ้าแม่ที่มีเกิดจากประเทศจีนแล้วเปลี่ยนเป็นชื่อไทยคราวหน้า
8  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / บุก สมุนไพรไทย เพื่อหลีกไกล เรื่องอ้วนๆ เมื่อ: สิงหาคม 06, 2018, 02:35:08 pm
[/b]
บุก สมุนไพรไทย เพื่อหลีกไกล เรื่องอ้วนๆ
บุก มาแล้ว ! บุกมาแล้ว !  รีบหนีเร็ว  เอ๊ะยังไงนี่ พวกเรากำลังดูหนังการรบอยู่เหรอ ไม่ครับ บุกในที่นี้มิได้ถึงข้าศึกบุก แม้กระนั้นซึ่งก็คือหับุก[/url] สมุนไพรไทยบ้านพวกเรา ต่างหาก รวมทั้งที่ต้องหนี ไม่ใช่ผู้ใดกันที่แหน่งใด แม้กระนั้นเป็นโรคฮอตได้รับความนิยมในตอนนี้อย่างโรคอ้วน เบาหวาน ต่างหากที่จำต้องหนีไป
บุก ส่วนที่มองเห็นคือ หัวบุก ทีแรกเรื่องของบุกในเมืองไทย มันก็มิได้แพร่หลายหรือเป็นที่ได้รับความนิยมเหมือนขณะนี้เพราะเหตุว่าจริงๆทีแรกมันก็เป็นพืชประจำถิ่นอยู่ดี  คนภายในเขตแดนก็นำบุกมาปรุงอาหาร เหมือนเผือก เหมือนมันทั่วๆไปเพียงพอเริ่มมีคนมาศึกษาค้นคว้า   คุณประโยชน์ต่างๆของมัน เลยเปลี่ยนเป็นพืชสมุนไพรไทยยอดนิยม มีการแปรรูปเป็นรูปแบบต่างๆตั้งแต่สารสกัด บุกผง วุ้นบุก และอื่นๆอีกมาก วันนี้เองก็น่าจะไม่ช้าเกินความจำเป็นที่จะนำทุกท่านมารู้จะ พืชสมุนไพรไทย ที่เรียกว่าบุกกันแบบลึกซึ้งมารู้จักบุกกัน
ชื่อไทย   บุก
ชื่อสามัญ  Konjac ,  devil’s tongue  (ลิ้นภูตผีปิศาจ  น่าสะพรึงกลัวนะครับชื่อนี้ คาดว่ามาจากรูปแบบของดอกบุก )   , shade palm, umbrella arum
ชื่อวิทยาศาสตร์      Amorphophallus rivieri Durieu cv. Konjac
ชื่อวงศ์    ARACEAE
ชื่อตามเขตแดน  :  บุกระอุงคก (ชลบุรี) เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน) มันซูรัน (ภาคดลาง)  หัวบุก (จังหวัดปัตตานี) บุกคางคก  (ภาคกลาง, เหนือ) บุกหนาม บุกหลวง (แม่ฮ่องสอน)  กระบุก (อิสาน)
เราพบบุกเหมาะไหน
บุกเป็นพืชป่าล้มลุกที่พบทั่วไปทุกภาคของประเทศ โดยขึ้นกับตาม ป่าเขา รวมทั้งบางโอกาสก็พบตามพื้นที่ ทำไร่ทำนา ดังเช่นที่ปทุมธานี แล้วก็นนทบุรี ฯลฯ บุกขึ้นได้ในภาวะดินทุกประเภท แต่ว่าจะเจริญวัยก้าวหน้าให้หัวขนาด ใหญ่ได้ในดินซึ่งร่วนซุย น้ำไม่ขังและก็ดินที่มีฮิวมัส หรือสารอินทรีย์สูง
ลักษณะของต้นบุก
รูปแบบของต้น บุก แสดงให้เห็นองค์ประกอบเป็นใบบุก และหัวบุกลำต้นใต้ดิน  บุกมีลำต้นใต้ดินหรือที่พวกเราเรียกแบบง่ายๆก็คือ หัวบุก  ชนิดเดียวกันกับเรียกหัวเผือก หัวมัน ขนาดอยู่ที่ราว 25 ซม. (บางพันธ์บางทีอาจเล็กมากยิ่งกว่านี้ )ทรงกลมแป้นลักษณะทรงเดียวกับลูกฟักทอง แต่บางสายพันธ์มีลักษณะพิเศษไม่เหมือนกันออกไป  ซึ่งส่วนนี้เอง เป็นใช้ที่สะสมของกินของบุก
 ใบบุก  ลักษณะเหมือนใบมะละกอ มีสีเขียวเข้ม บางชนิดมีก้านใย เป็นลวดลายบางจำพวกมีหนามอ่อนๆ หรือบางคราวบุกบางชนิดก็มีใบมีจุดแบบไข่ปลาสีขาวด้านบน  จะมีความคิดเห็นว่าใบบุกมีใบลักษณะที่นานัปการมากมาย  แต่ที่เด่นๆพินิจง่ายว่าเป็บุกคือ จะมีก้านตรงจากกลางของหัว เมื่อโผล่จากดินแล้วแผ่กางออก 3 ทาง มีทรงแผ่กว้างแบบร่ม แม้กระนั้นบาง พันธุ์จะแปลกตรงที่กลับขึ้นด้านบนเหมือนหงายร่ม ด้วยเหตุดังกล่าวรูปแบบของใบบุก มีหลายแบบสังกัดประเภทของบุก
ดอกของบุกลักษณะดอกดอกเหมือนต้นหน้าโค แต่ละประเภทมีขนาด สี แล้วก็รูป ทรงไม่เหมือนกัน บางจำพวกมีดอกใหญ่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุกคางคก ดอกบุกมีกลิ่น เหม็นเสมือนเนื้อสัตว์เน่า บุกจำพวกอื่นๆมีดอกเล็กก้านดอกจะโผล่ขึ้นตรง จากกลางหัวบุก เหมือนกับก้านใบ บุกมักจะมีดอกในช่วงปลายฤดูแล้ง แต่ว่าบุกสามารถออกดอกได้ในช่วง เวลาต่างๆกัน ช่วงเวลาสำหรับเพื่อการแก่สุดกำลัง ของดอกที่จะติดผลก็ต่างกัน
 ผลบุ[/b](อย่างงเต็กกับหัวบุกนะ ) ภายหลังดอก สืบพันธุ์ก็จะเกิดผล ผลอ่อนของบุก มีสีขาวอมเหลือง พอเพียงอายุ ได้ 1-2 เดือน จะมีผลสีเขียวเข้ม มีจุดดำที่ปลายเหมือนผลกล้วย ผล ของบุกโดยมากจะมีลักษณะคล้ายๆกัน แต่ว่าเมล็ดภายในไม่เหมือนกัน พบว่าโดยมากมีเม็ดเป็นทรงอูมยาว  บุกบางจำพวกก็มีเมล็ดในกลม   ผลแก่ของบุกจะมีสีแดงหรือแดงส้ม
[url=http://www.disthai.com/16488234/%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%81]
[/b]
บุกกับการนำมาทำครัว
เป็นพืชของกินพื้นบ้านซึ่งชาวไทยนำเอาก้านใบมาแกงส้ม ลวกจิ้มน้ำพริก     ส่วนหัวบุกมีการนำไปดัดแปลงแก้ไขตามแต่ละภูมิภาค ตัวอย่างเช่นทางภาคอีสาน มีการทำขนมที่เรียกว่าของหวานบุก แกงบรรพชามันบุก แกงอีสาน (แกงลาว)   ภาคทิศตะวันออกจะมีการฝาน หัวบุกเป็นแผ่น บางบาง แล้วนำมานึ่งกินอาหาร ทางภาคเหนือโดยยิ่งไปกว่านั้นชาวเขา มักเอามา ปิ้งกิน ภาคกลางมักนำหัวบุกที่ฝานเป็นชิ้นบางๆมาแช่น้ำปูน แช่น้ำก่อนล้างหลายๆครั้งและหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปทำเป็นของว่าง
*บุกมีหลายชนิดหลายชนิด อาจขมแล้วก็เป็นพิษ ทุกชนิดมีผลึกแคลเซียมออกซาเลต (calcium oxalate) ทั้งที่ก้านใบรวมทั้งหัว ซึ่งอาจทำให้คัน ก่อนนำมาปรุงอาหารต้องต้มเสียก่อน ไม่อย่างนั้นรับประทานเข้าไปทำให้คันปากและลิ้นพอง
ของกินที่ดัดแปลงมาจากบุก
ปัจจุบันมีการนำบุกมาแปรรูป อีกทั้งในรูปแบบของเส้นบุก ซึ่งเป็นสินค้าแปรรูปจากส่วนหัวบุก มีแบบเส้นใส สามารถเอามาปรุงเป็นของกินจานอร่อยได้ ผมว่าคนใดกันแน่เคยไปรับประทานเนื้อย่างอาจจะเคยพบบ้าง เว้นเสียแต่เส้นบุกแล้วมีการนำมาผสมเครื่องดื่มต่างๆเอาแบบฮิตๆสมัยก่อน คือ เจเล่ ผสมผงบุก หากจำไม่ผิดอันนี้เขามาทำเป็นรายแรก (ผู้ครอบครองบริษัทผ่านมาอ่านขอค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์ด้วยนะครับ)
สรรพคุณของบุก
จากการเรียนรู้พบว่า  แป้งบุกเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน พวกกลูวัวแมนแนน (glucomannan) เป็นสารโมเลกุลใหญ่ (polysaccharides)ที่ประกอบด้วยน้ำตาล 2 จำพวกหมายถึงดี-เดกซ์โทรส (D-glucose) และ (D-mannose) เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในรูปของใยอาหาร (dietary fiber)  ซึ่งดูดน้ำได้มาก แต่ว่าร่างกายเสื่อมสภาพได้ยาก ซับได้ช้า ก็เลยให้พลังงานแล้วก็สารอาหารน้อย เหลือกากมาก ทำให้ระบบขับถ่ายปฏิบัติงานดี คนที่ต้องการลดความอ้วนนิยมทานอาหารจากแป้งบุก อย่างเช่น วุ้นเส้นบุก เส้นหมี่แป้งหัวบุก ด้วยเหตุว่ากินอิ่มได้ ระบายท้อง แม้กระนั้นไม่ทำให้อ้วน
ยิ่งไปกว่านี้เองเจ้า สารกลูโคแมนแนนนี้ สามารถลดจำนวนน้ำตาลในเลือดได้ ก็เนื่องจากว่าความรั้ง ซึ่งยั้งการดูดซึมของกลูโคลสจากทางเดินอาหาร ยิ่งเหนียวหนืดมาก็ยิ่งมีผลลดการดูดซึมกลูโคลส เพราะฉะนั้น กลูวัวแมนแนนช่วยลดน้ำตาลเจริญมากมาย เดี๋ยวนี้ก็เลยใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นอาหารสำหรับผู้เจ็บป่วยเป็นโรคโรคเบาหวาน แล้วก็สำหรับผู้ป่วยเป็นโรคมีไขมันในเลือดสูง
นี่แหละครับเป็นประโยชน์จากบุก ลองหามาทานกันนะครับ มีสาระขนาดนี้ ยุคนี้ไม่หายากแล้วเดินไปห้าง ก็ได้บุกเส้นแล้ว เสนอแนะมามายำแบบยำวุ้นเส้นครับ รับรองอร่อยแท้ๆ http://www.disthai.com/[/b]

Tags : สมุรไพรบุก
หน้า: [1]
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย