กระทู้ล่าสุดของ: h5s5s8c54fgjnz

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: [1]
1  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / บัวบกเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์เเละสรรพคุณ เมื่อ: สิงหาคม 24, 2018, 03:23:38 pm
[/b]
บัวบ[/size][/b]
ใบบัวบก เป็นพืชสมุนไพรที่เจริญวัยในแถบประเทศอินเดีย แอฟริกา และก็เอเซียอาคเนย์ ใบรวมทั้งลำต้นประยุกต์ใช้เป็นยารักษาโรคตามแพทย์แผนโบราณของอินเดียรวมทั้งจีนมาอย่างยาวนาน ใช้รักษาหลายโรค เป็นต้นว่า โรคซิฟิลิส โรคหอบหืด หรือโรคสะเก็ดเงิน แล้วก็ยังเอามาเข้าครัวได้อีกด้วย
ใบบัวบก
ใบ[url=http://www.disthai.com/16913509/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%81]บัวบก
ประกอบด้วยสารออกฤทธิ์หลักที่มีคุณประโยชน์ต่อสถาพทางร่างกายอยู่หลายแบบ อาทิเช่น ซาโปนิน (Saponin) หรือตรีเทอร์พีนอยด์ (Triterpenoids) เอเชียติวัวไซด์ (Asiaticoside) กรดทวีปเอเชียตำหนิก (Asiatic Acid) มาเดแคสโซไซด์ (Madecassoside) รวมทั้งกรดมาดีติดอยู่สสิค (Madecassic Acid) ก็เลยทำให้ประยุกต์ใช้ในทางการแพทย์ โดยมั่นใจว่ามีสรรพคุณหลายประเภท ดังเช่น ทุเลาอาการอักเสบ ถ้าหากใช้กินอาจมีคุณลักษณะช่วยลดความดันโลหิตในหลอดเลือดดำ รวมทั้งนำมาใช้รักษาโรคหรืออาการที่เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากการต่อว่าดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือปรสิตต่างๆเป็นต้นว่า หวัด ไข้หวัดใหญ่ การตำหนิดเชื้อที่ระบบทางเท้าฉี่ โรคงูสวัด โรคเรื้อน อหิวาตกโรค โรคบิด โรคเท้าช้าง วัณโรค โรคพยาธิใบไม้ในเลือด เป็นต้น นอกเหนือจากนั้น ยังมีความคิดว่าหากใช้ใบบัวบกทาที่ผิวหนังอาจช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนซึ่งเป็นสาระสำคัญในการสมานบาดแผล ลดลางเลือนรอยแผลเป็น รวมทั้งปัญหาท้องลายที่เป็นผลมาจากการมีท้อง แม้กระนั้นสิ่งที่ใช้ในการพิสูจน์หรือหลักฐานด้านการแพทย์มีมากมายน้อยมีมากมายน้อยเพียงใดที่จะช่วยรับรองความเลื่อมใส สรรพคุณ รวมทั้งความปลอดภัยของใบบัวบกสำหรับในการรักษาโรคพวกนี้
การรักษาด้วยใบบัวบกที่บางทีอาจสำเร็จ
เส้นเลือดขอด มีการเล่าเรียนชิ้นหนึ่งกล่าวว่าใบบัวบกอาจมีส่วนช่วยบำรุงรักษารวมทั้งสร้างสมดุลสำหรับในการเติบโตของเนื้อเยื่อเกี่ยวข้อง (Connective Tissues) เพิ่มความแข็งแรงให้กับเส้นโลหิต ส่งผลต่อความดันในเส้นเลือดฝอยแล้วก็เส้นโลหิตขอด ลดอัตราการกรองของเส้นเลือดฝอยโดยแก้ไขการไหลเวียนของโลหิต นอกเหนือจากนั้น ยังมีการศึกษาเล่าเรียนโดยการทบทวนงานศึกษาเรียนรู้วิจัยที่เกี่ยวข้อง 8 ชิ้นเกี่ยวกับการดูแลและรักษาโดยใช้สารสกัดจากใบบัวบกในคนป่วยที่มีปัญหาเส้นเลือดขอดเรื้อรัง พบว่าลักษณะของการปวดขา ขาหนัก รวมทั้งอาการบวมน้ำทุเลาลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าสารสกัดจากใบบัวบกบางทีอาจช่วยบรรเทาอาการผู้เจ็บป่วยเส้นโลหิตขอดเรื้อรังลงได้ แต่จากการค้นคว้าวิจัยกล่าวว่าบทสรุปข้างต้นจะต้องแปลความด้วยความระแวดระวังด้วยเหตุว่าข้อกำหนดต่างๆของงานศึกษาวิจัย และยังจำเป็นที่จะต้องเล่าเรียนเพิ่มเพื่อหาหลักฐานที่มีความถูกต้องและมีคุณภาพมากพอสำหรับเพื่อการประเมินความสามารถการรักษาโดยใช้สารสกัดจากใบบัวบก
การดูแลและรักษาด้วยใบบัวบกที่เป็นไปได้ แต่ยังมีหลักฐานเกื้อหนุนน้อยเกินไป
โรคเส้นโลหิตแดงแข็ง (Atherosclerosis) ใบบัวบกอาจช่วยสำหรับการลดจำนวนไขมันในเส้นเลือดได้ จากการเรียนชิ้นหนึ่งโดยให้อาสาสมัครโรคหลอดเลือดแดงแข็งที่ไม่แสดงอาการกรุ๊ปหนึ่งรับประทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบบัวบกตรงเวลา 6 เดือน และอีกกรุ๊ปไม่รับประทาน แล้วตรวจหาความหนาแน่นของไขมันหรือพลัค (Plagues) ที่เกาะอยู่ตามเยื่อบุของเส้นเลือด พบว่า ระดับคอเลสเตอรอลของอาสาสมัครอีกทั้ง 2 กลุ่มไม่ต่างอะไรกัน แต่ในกรุ๊ปที่ทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบบัวบกพบว่า อนุมูลอิสระในเลือดลดลง จำนวนไขมันหรือพลัคที่เส้นโลหิตแดงใหญ่ที่คอแล้วก็ขาลดลง รวมทั้งลักษณะของพลัคความครึ้มและความยาวก็ลดน้อยลงด้วยด้วยเหมือนกัน อีกทั้งยังไม่เจออาการที่ไม่ประสงค์ สามารถทนต่ออาการข้างเคียงได้ และมีการบันทึกผลของการตรวจเลือดเป็นประจำ เนื่องด้วยหลักฐานเกื้อหนุนคุณลักษณะของใบบัวบกต่อโรคเส้นโลหิตแดงแข็งยังไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องศึกษาต่อไป
ป้องกันลิ่มเลือด การรับประทานใบัวบก[/url]บางทีอาจช่วยปกป้องการเกิดลิ่มเลือดที่ขาซึ่งมีต้นเหตุที่เกิดจากการขึ้นรถเครื่องบินเป็นเวลานาน จากหลักฐานที่ได้รับการพัฒนาเสนอแนะว่าใบบัวบกบางทีอาจช่วยลดของเหลวรวมทั้งเพิ่มการไหลเวียนเลือดในคนที่ขึ้นรถเครื่องบินติดต่อกันนานกว่า 3 ชั่วโมง อย่างไรก็ดี ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าการศึกษาชิ้นนี้จะหมายความว่าการลดการสั่งสมของลิ่มเลือด ด้วยเหตุว่าหลักฐานเกื้อหนุนคุณลักษณะของใบบัวบกต่อการคุ้มครองลิ่มเลือดยังน้อยเกินไป จึงต้องศึกษาต่อไป
กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน การค้นคว้าหนึ่งให้คนป่วยเบาหวานที่มีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือดฝอยจำนวน 50 คน รับประทานสารสกัดจากใบบัวบกซึ่งมีสารตรีเทอร์พีนอยด์เป็นสาระสำคัญ ขนาด 60 มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 6 เดือน เปรียบเทียบกับกลุ่มที่กินยาหลอก พบว่าสารสามเทอร์พีนอยด์ของใบบัวบกมีคุณประโยชน์ต่อการไหลเวียนเลือดในเส้นเลือดฝอยของคนไข้เบาหวาน แต่ว่าหลักฐานเกื้อหนุนคุณลักษณะของใบบัวบกต่อการไหลเวียนของโลหิตยังไม่พอ จึงจะต้องศึกษาต่อไป
แผลเบาหวาน มีการทำการศึกษาเกี่ยวกับคุณภาพแล้วก็ผลข้างเคียงของการรับประทานสารสกัดจากใบบัวบกต่อแผลโรคเบาหวาน โดยแบ่งคนไข้โรคเบาหวานจำนวน 200 คนออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกรุ๊ปหนึ่งกินสารเอเชียติเตียนวัวไซด์ซึ่งเป็นสกัดจากใบบัวบกขนาด 50 มิลลิกรัม รวมทั้งอีกกลุ่มรับประทานยาหลอกจำนวน 2 แคปซูลหลังมื้อของกินวันละ 3 ครั้ง และก็มีการวัดผลทุก 7 วัน พบว่าแผลของผู้ป่วยที่รับประทานสารสกัดจากใบบัวบกมีการหดรั้ง (Wound Contraction) ที่ดียิ่งกว่าและไม่พบผลข้างเคียง หรือกล่าวได้ว่าสารสกัดจากใบบัวบกอาจมีคุณภาพในการรักษาแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้น รวมทั้งสามารถใช้ได้โดยสวัสดิภาพโดยไม่เกิดผลใกล้กัน แต่ว่าเพราะหลักฐานเกื้อหนุนคุณลักษณะของใบบัวบกต่อการดูแลรักษาแผลเบาหวานยังไม่พอ ก็เลยจำต้องศึกษาต่อไป
รอยแผล สารออกฤทธิ์ของใบบัวบก ได้แก่ ทวีปเอเชียว่ากล่าววัวไซด์ กรดทวีปเอเชียติก มาเดแคสโซไซด์ และก็กรดมาดีคาสสิค เป็นสารช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนภายในร่างกายแล้วก็อาจมีคุณภาพในการรักษาแผลต่างๆทั้งแผลขนาดเล็ก แผลไฟไหม้ แผลจากโรคสะเก็ดเงินหรือโรคหนังแข็ง รวมทั้งรอยแผลแบบนูน ซึ่งจากงานศึกษาค้นคว้าวิจัยชิ้นหนึ่งได้เสนอแนะว่าการทาครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบบัวบกรอบๆผิวหนังภายหลังจากเย็บแผลแล้ว 2 ครั้งต่อวัน สม่ำเสมอนาน 6-8 สัปดาห์ บางทีอาจช่วยลดการเกิดแผลได้ รวมถึงแผลเป็นแบบนูนหรือคีลอยด์ แม้กระนั้นเพราะว่าหลักฐานสนับสนุนคุณสมบัติของใบบัวบกต่อแผลยังน้อยเกินไป ก็เลยจำเป็นต้องศึกษาต่อไป
ท้องลาย จากการท้อง ได้มีงานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยเสนอแนะให้ผู้ที่กำลังมีครรภ์ทาครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบบัวบก วิตามินอี และก็คอลลาเจน บ่อยๆทุกเมื่อเชื่อวันในตอน 6 เดือนในที่สุดก่อนจะมีการคลอด ซึ่งอาจช่วยปัญหารอยแตกได้ นอกจากนั้น ยังมีการทดลองโดยให้หญิงมีท้องปริมาณ 100 คน ทาครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบบัวบก วิตามินอี และก็คอลลาเจน-อีลาสติน ไฮโดรไลเซท ทาบริเวณผิวหนังที่มีรอยแตกเปรียบเทียบกับการใช้ยาหลอก พบว่าการทาครีมที่มีส่วนผสมของใบบัวบกอาจจะส่งผลให้กำเนิดรอยแตกหรือท้องลายน้อยกว่าในกลุ่มที่ใช้ยาหลอก แต่เพราะหลักฐานสนับสนุนคุณสมบัติของใบบัวบกต่อรอยแตกหรือท้องลายยังไม่แน่นอน จึงต้องศึกษาต่อไป
ลดความกลุ้มใจ การรักษาแบบแพทย์แผนจีนมีการนำใบบัวบกมาใช้เพื่อบรรเทาอาการเศร้าหมองและก็ความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาเล่าเรียนทดสอบชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับประสิทธิภาพของใบบัวบกสำหรับการลดความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ โดยสุ่มให้อาสาสมัครกินใบบัวบกในจำนวน 12 กรัมหรือรับประทานยาหลอก จากผลของการทดสอบทำให้เห็นว่าใบบัวบกมีฤทธิ์ต้านความรู้สึกหนักใจ ช่วยลดความเครียด แต่ยังคงจะต้องศึกษาเพิ่มอีกต่อไปถึงคุณภาพของใบบัวบกสำหรับเพื่อการรักษาโรคไม่สบายใจ
โรคและอาการอื่นๆดังเช่น หวัด ไข้หวัดใหญ่ ต่อมทอนซิลอักเสบ เป็นลมแดด การตำหนิดเชื้อฟุตบาทฉี่ โรคตับอักเสบ โรคดีซ่าน ท้องเดิน อาหารไม่ย่อย ซึ่งยังจึงควรทำการวิจัยหาสมรรถนะรวมทั้งความปลอดภัยในการรักษาถัดไป
[/b]
ความปลอดภัยสำหรับในการรับประทานใบบัวบก
 การใช้สารสกัดจากใบบัวบกทาบริเวณผิวหนังอาจมีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง แต่ว่าการรับประทานใบบัวบกอาจไม่ปลอดภัยสำหรับเด็ก คนที่กำลังตั้งท้อง หรือผู้ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร เพราะว่ายังไม่มีหลักฐานทางด้านการแพทย์พอเพียงที่จะช่วยเหลือถึงเรื่องความปลอดภัยต่อเด็ก คุณแม่ หรือทารกในท้อง
การกินใบบัวบกบางทีอาจเป็นต้นเหตุให้กำเนิดความเสื่อมโทรมต่อตับ ด้วยเหตุนี้ผู้ที่เป็นโรคตับหรือมีปัญหาเกี่ยวกับตับไม่สมควรรับประทานใบบัวบก เนื่องจากอาจส่งผลให้อาการต่างๆห่วยลงได้ รวมถึงไม่ควรรับประทานใบบัวบกร่วมกับยาที่ส่งผลต่อตับในกรุ๊ปพวกนี้ อย่างเช่น พาราเซตามอล อะไม่โอดาโรน คาร์บามาซีไต่ ไอโซไนอะซิด ซิมวาสแตตำหนิน ฯลฯ
การรับประทานใบบัวบกในปริมาณมากอาจจะทำให้รู้สึกง่วงหงาวหาวนอนได้มากกว่าธรรมดา หรือถ้าหากรับประทานร่วมกับยานอนหลับหรือยาความหนักใจลดลง อาทิเช่น โคลนาซีแพม ลอราซีแพม ฟิโนบาร์บิทอล และโซลพิเดม
ควรจะหยุดรับประทานใบบัวบกอย่างต่ำ 2 สัปดาห์สำหรับคนที่วางแผนเข้ารับการผ่าตัด ด้วยเหตุว่าบางทีอาจเกิดปฏิกิริยากับยาที่ใช้ในการผ่าตัดรวมทั้งอาจส่งผลให้รู้สึกอยากนอนได้มากขึ้น
ควรจะหารือหมอก่อนรับประทานใบบัวบก ถ้าอยู่ในตอนการใช้ยาหรืออาหารเสริมจำพวกอื่นๆอยู่เป็นประจำ เพราะอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาที่ไม่ปรารถนาถ้ากินใบบัวบกในระหว่างการรักษาของคนเจ็บโรควิตกกังวล ผู้เจ็บป่วยเบาหวาน ผู้ที่หรูหราคอเลสเตอรอลในเลือดสูง คนเจ็บอัลไซเมอร์ รวมทั้งคนที่ใช้ยานอนหลับหรือยาคลายความกลุ้มใจ และคนที่ดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากอาจทำให้กดประสาทเยอะขึ้น http://www.disthai.com/[/b]

Tags : สมุนไพรบัวบก
2  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรเหงือกปลาหมอ - ฐานข้อมูลสมุนไพร เมื่อ: สิงหาคม 20, 2018, 10:29:55 am
[/b]
เหงือกปลาหม[/size][/b]
เหงือกปลาหมอ ชื่อสามัญ Sea holly, Thistleplike plant
[url=http://www.disthai.com/16910138/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD]เหงือกปลาหมอ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Acanthus ebracteatus Vahl (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Acanthus ilicifolius Lour., Acanthus ilicifolius var. ebracteatus (Vahl) Benoist, Dilivaria ebracteata (Vahl) Pers.) จัดอยู่ในสกุลเหงือกปลาหมอ(ACANTHACEAE)
สมุนไพรเหงือกปลาหมอ มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆว่า แก้มแพทย์ (สตูล), แก้มหมอเล (กระบี่), อีเกร็ง (ภาคกึ่งกลาง), นางเกร็ง จะเกร็ง เหงือกปลาหมอน้ำเงิน เป็นต้น
เหงือกปลาแพทย์มีอยู่ร่วมกัน 2 สายพันธุ์หมายถึงชนิดที่เป็นดอกสีม่วง (Acanthus ilicifolius L.) ที่พบมากทางภาคใต้ รวมทั้งพันธุ์ที่เป็นดอกสีขาว (Acanthus ebracteatus Vahl) ที่มักพบทางภาคกลางแล้วก็ภาคทิศตะวันออก และเป็นพรรณไม้ที่ขึ้นชื่อของจังหวัดสมุทรปราการ
เหงือกปลาแพทย์ สมุนไพรใกล้ตัวหรือบางทีก็อาจจะเรียกว่าเป็นสมุนไพรชายน้ำหรือชายเลนก็ได้ สามารถนำคุณประโยชน์ทางยามาใช้ในการรักษาโรคได้หลายอย่าง ที่โดดเด่นมากก็คือการนำมารักษาโรคผิวหนังได้แทบทุกประเภท แก้น้ำเหลืองเสีย และก็การนำมาใช้รักษาริดสีดวงทวาร ฯลฯ โดยส่วนที่ประยุกต์ใช้เป็นยาสมุนไพรก็ได้แก่ ส่วนลำต้นทั้งยังสดรวมทั้งแห้ง ใบอีกทั้งสดแล้วก็แห้ง ราก เม็ด และก็ทั้งยังต้น (ส่วนทั้ง 5 ประกอบไปด้วย ต้น ราก ใบ ผล เมล็ด)
ลักษณะของเหงือกปลาหมอ
ต้นเหงือกปลาแพทย์ เป็นไม้พุ่มขนาดกึ่งกลาง มีความสูงราว 1-2 เมตร ลำต้นแข็ง มีหนามอยู่ตามข้อของลำต้น ข้อละ 4 หนาม ลำต้นกลม กลวง ตั้งชัน มีสีขาวอมเขียว ลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 1.5 ซม. แพร่พันธุ์ด้วยแนวทางเพาะเม็ดรวมทั้งการใช้กิ่งปักชำ เป็นพรรณไม้ที่มักขึ้นกลางแจ้ง เติบโตเจริญในที่ร่มแล้วก็ในที่ที่มีความชื้นสูง ถูกใจขึ้นตามชายน้ำหรือบริเวณริมฝั่งคลองรอบๆปากแม่น้ำ เช่น บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งทิศตะวันออกเหนือปากคลองมหาวงก์ รวมทั้งที่สถานที่เรียนนายเรือ ฯลฯ
ต้นเหงือกปลาหมอ
ใบเหงือกปลาหมอ ใบเป็นใบผู้เดียว ลักษณะของใบมีหนามคมอยู่ขอบขอบของใบและปลายใบ ขอบของใบเว้าเป็นระยะๆผิวใบเรียบเป็นเงาลื่น แผ่นใบสีเขียว เส้นใบสีขาว มีเหลือบสีขาวเป็นแถวก้าง เนื้อใบแข็งและก็เหนียว ใบกว้างประมาณ 4-7 ซม. รวมทั้งยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร ใบจะออกเป็นคู่ตรงกันข้ามกัน ก้านใบสั้น
ใบเหงือกปลาหมอ
ดอกเหงือกปลาหมอ ออกดอกเป็นช่อตั้งตามปลายยอด ยาวประมาณ 4-6 นิ้ว ดอกมีจำพวกดอกสีม่วง (หรือสีฟ้า) รวมทั้งพันธุ์ดอกสีขาว ที่ดอกมีกลีบรองดอกมี 4 กลีบ กลีบแยกจากกัน บริเวณกึ่งกลางดอกจะมีเกสรตัวผู้และก็เกสรตัวเมียอยู่
ดอกเหงือกปลาหมอ
สมุนไพรเหงือกปลาหมอ
ผลเหงือกปลาหมอ ลักษณะของผลเป็นฝักสีน้ำตาล ลักษณะของฝักเป็นทรงกระบอก รูปไข่ หรือกลมรี ยาวราว 2-3 ซม. เปลือกฝักมีสีน้ำตาล ปลายฝักป้าน ด้านในฝักมีเม็ด 4 เม็ด
สรรพคุณของเหงือกปลาหมอ
ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้อายุยืน ร่างกายแข็งแรง เลือดลมไหลเวียนดี เส้นเลือดไม่ตัน บำรุงผิวพรรณ ด้วยการใช้อีกทั้งต้นเหงือกปลาหมอนำมาตำผสมกับพริกไทยในอัตราส่วน 2:1 แล้วผสมผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นยาลูกกลอน ว่ากันว่าแม้รับประทานต่อเนื่องกัน 1 เดือน จะมีผลให้สติปัญญาดี ไม่มีโรค / 2 เดือน ผิวหนังเต่งตึง / 3 เดือน ทำให้ริดสีดวงหาย / 4 เดือน ช่วยแก้ลม 12 ชนิด หูดี / 5 เดือน หมดโรค / 6 เดือน ทำให้เดินไม่ทราบเหน็ดเหนื่อย / 7 เดือนผิวสวย / 8 เดือน เสียงไพเราะ / 9 เดือน หนังเหนียว (อีกทั้งต้น, ราก)
เหงือกปลาหม[/b]มีสรรพคุณช่วยทำนุบำรุงประสาท (ราก)
ช่วยรักษาอาการธาตุไม่ปกติ (ทั้งต้น)
ช่วยทำให้เลือดลมปกติ (ทั้งต้น)เหงือกปลาหมอขาว
ช่วยทำให้เจริญอาหาร (อีกทั้งต้น)
ช่วยแก้โรคกษัย อาการผอมบางเหลืองตลอดตัว ด้วยการใช้ทั้งต้นของเหงือกปลาหมอนำมาตำเป็นผงกินทุกๆวัน (ต้น)
ช่วยแก้อาการร้อนทั้งตัว เจ็บระบบตลอดตัว ตัวแห้ง เวียนศีรษะ หน้ามืดตามัว มือตายตีนตาย ด้วยการใช้อีกทั้งต้นของเหงือกปลาหมอรวมทั้งเปลือกมะรุมอย่างละเสมอกัน ใส่หม้อต้มผสมกับเกลือเล็กน้อย หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ แล้วใช้ฟืน 30 ท่อน ต้มกับน้ำเดือดจนงวดแล้วยกลง เมื่อเสร็จให้กลั้นหายใจกินขณะอุ่นๆจนกระทั่งหมด อาการก็จะดียิ่งขึ้น (ทั้งต้น)ช่วยยั้งมะเร็ง ต้านทานมะเร็ง (ทั้งต้น)
ช่วยรักษาอาการปอดอักเสบ ด้วยการใช้เหงือกปลาหมอต้นและอาหารมื้อเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ในรูปทรงที่เท่ากัน นำมาต้มกับน้ำกระทั่งเดือดแล้วเอามาดื่มในขณะอุ่นๆทีละ 1 แก้ว ตอนเช้า ช่วงกลางวัน เย็น อาการจะดีขึ้น (อีกทั้งต้น)
รักษาปอดบวม ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ใบ)
ต้นมีรสเค็มกร่อย สรรพคุณช่วยแก้ลักษณะของการปวดหัว (ต้น)
รากช่วยแก้และก็บรรเทาอาการไอ หรือจะใช้เมล็ดเอามาต้มดื่มแก้อาการไอก็ได้ด้วยเหมือนกัน (ราก, เม็ด)
ช่วยแก้หืดหอบ (ราก)
ช่วยรักษาวัณโรค ด้วยการใช้ต้นนำมาตำผสมเป็นน้ำดื่ม (ต้น)
ช่วยแก้ลักษณะการเจ็บตา ตาแดง ด้วยการใช้เหงือกปลาหมอต้นนำมาตำผสมกับขิง คั้นมัวแต่น้ำใช้หยอดตาแก้อาการ (ทั้งยังต้น)
ใบช่วยแก้ไข้ (ใบ)
ช่วยแก้ไข้จับสั่น ด้วยการใช้ต้นเหงือกปลาหมอมาตำผสมกับขิง (อีกทั้งต้น)
ช่วยแก้พิษไข้หัว ด้วยการใช้ต้นแล้วก็รากเอามาต้มอาบแก้อาการ (ทั้งต้น)
แก้อาการไอ เมล็ดใช้ผสมกับดอกมะเฟือง เปลือกอบเชย น้ำตาลกรวด เอามาต้มรวมกันแล้วมัวแต่น้ำมากินเป็นยาแก้ไอ (เม็ด)
ช่วยขับเสมหะ (ราก)
ถ้าเป็นลม ให้ใช้ต้นเหงือกปลาหมอ 1 ส่วน / พริกไทย 2 ส่วน ผสมรวมกัน ตำให้ถี่ถ้วนเป็นผุยผงแล้วเอามาละลายน้ำร้อนดื่ม (ต้น)
ช่วยแก้โรคกระเพาะ ด้วยการใช้อีกทั้งต้นแล้วก็พริกไทย (10:5 ส่วน) ตำผสมปั้นเป็นยาลูกกลอน (ทั้งยังต้น)
[url=http://www.disthai.com/16910138/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD]

ช่วยขับพยาธิ (เม็ด)
ช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร ด้วยการใช้ต้นเหงือกปลาหมอกับขมิ้นอ้อย เอามาตำละลายกับน้ำแล้วทาบริเวณที่เป็นริดสีดวง หรือจะใช้ปรุงกับฟ้าทะลายโจร ใช้รมหัวริดสีดวงก็ได้ (ต้น, ใบ)
ช่วยขับฉี่ ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่กำหนดส่วนที่ใช้)
ช่วยรักษามุตกิดตกขาว ตกขาวของสตรี ด้วยการกางใบและต้นนำมาตำเป็นผง ผสมกับน้ำผึ้งหรือน้ำมันมันงา ปั้นเป็นยาลูกกลอนกินแก้อาการ (ต้น, ใบ, ราก)
ช่วยแก้ประจำเดือนมาไม่ปกติของสตรี ด้วยการใช้ทั้งยังต้นเอามาตำผสมกับน้ำผึ้ง น้ำมันงา (ทั้งต้น)
ช่วยรักษานิ่วในไต ด้วยการกางใบนำมาต้มเป็นน้ำดื่ม (ใบ)
ช่วยแก้ไตพิการ ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่กำหนดส่วนที่ใช้)
ผลช่วยขับโลหิต หรือจะใช้เมล็ดผสมกับดอกมะเฟือง เปลือกอบเชย น้ำตาลกรวด เอามาต้มรวมกันแล้วมัวแต่น้ำมากิน หรือใช้ต้น 10 ส่วนและก็พริกไทย 5 ส่วน ผสมทำเป็นยาลูกกลอนรับประทานก็ได้ (เม็ด, ผล, ต้น)
ช่วยฟอกเลือด ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่กำหนดส่วนที่ใช้)
แก้พิษเลือด ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (เปลือกต้น)
ช่วยสมานแผล ด้วยการใช้อีกทั้งต้นนำมาตำผสมกับหัวสามสิบ ในอัตราส่วน 2:1 (ต้น)
ต้นเหงือกปลาหมอมีสรรพคุณช่วยรักษาแผลพุพอง (ต้น)
ใบมีรสเค็มกร่อย คุณประโยชน์ช่วยรักษาแผลอักเสบ (ใบ)
ช่วยแก้น้ำเหลืองเสีย ด้วยการใช้ต้น 3-4 ต้น เอามาหั่นเป็นชิ้น แล้วต้มน้ำอาบแก้อาการ (ต้น, ใบ, เมล็ด)
สำหรับผู้เจ็บป่วยโรคภูมิคุมกันบกพร่องที่มีแผลพุพองตามผิวหนัง หากใช้ต้นมาต้มอาบแล้วก็ทำเป็นยารับประทานติดต่อกันโดยประมาณ 3 เดือนจะช่วยทำให้ลักษณะของแผลพุพองทุเลาลงอย่างชัดเจน (ต้น)
ช่วยรักษาโรคผิวหนังหรือประป่า รักษาขี้กลากโรคเกลื้อน อีสุกอีใส (ใบ)
ช่วยรักษาโรคโรคเรื้อน โรคกุฏฐัง ด้วยการใช้ทั้งต้นเอามาตำเอาแต่น้ำดื่ม (อีกทั้งต้น)
ช่วยแก้ผดผื่นคันตามร่างกาย ใช้ล้างแผลเรื้อรัง ด้วยการใช้ต้นสดและก็ใบสดล้างสะอาดประมาณ 3-4 กำมือ นำมาสับแล้วต้มกับน้ำอาบแก้ผื่นคันติดต่อกัน 3-4 ครั้ง (ต้น, ใบ)
เหงือกปลาหมอมีคุณประโยชน์ทางยาช่วยแก้ผื่นคัน (ต้น)
รากสดนำมาต้มเอาแต่น้ำ ใช้ดื่มเป็นยารักษาโรคงูสวัดได้ (ราก)
ช่วยรักษาฝี ฝีเรื้อรัง แผลฝีหนอง โรคฝีดาษ ตัดรากฝี แก้พิษฝีทุกประเภทอีกทั้งข้างในข้างนอก ด้วยการใช้ต้นแล้วก็ใบทั้งสดและแห้งประมาณ 1 กำมือ เอามาบดให้ถี่ถ้วน แล้วเอามาพอกบริเวณที่เป็นฝี หรือวิธีที่สองจะนำมาสับเป็นชิ้นเล็กๆใส่น้ำให้ท่วมแล้วต้มในน้ำเดือดทิ้งไว้ 10 นาที แล้วนำมาดื่มก่อนที่จะรับประทานอาหารครั้งละครึ่งแก้ว วันละ 3 ครั้ง โดยประมาณ 2-3 อาทิตย์ หรือจะใช้เมล็ดเอามาคั่วให้เกรียมแล้วป่นอย่างถี่ถ้วน ชงกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ฝีก็ได้ (ต้น, ใบ, เม็ด)
เมล็ดใช้ปิดพอกฝี (เมล็ด)
ผลมีรสเผ็ดร้อน คุณประโยชน์ช่วยถอนพิษ (ผล, ต้น)
ใบสดเอามาตำอย่างถี่ถ้วน สามารถใช้พอกรอบๆแผลที่ถูกงูกัดได้ (ใบ)
ช่วยแก้ผิวแตกตลอดตัว ด้วยการใช้ทั้งต้นของเหงือกปลาหมอ 1 ส่วน / ดีปลี 1 ส่วน ใช้ผสมกันบดให้เป็นผุยผงชงกับน้ำร้อนดื่มแก้อาการ (ทั้งยังต้น)
ต้น ถ้าเกิดนำมาใช้จะช่วยแก้โรคเหน็บชา อาการชาตลอดตัวได้ (ต้น)
รากมีสรรพคุณช่วยแก้อัมพาต (ราก)
แก้ลักษณะของการเจ็บข้างหลังเจ็บเอว ด้วยการใช้ต้นกับชะเอมเทศเอามาบดเป็นผง ผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นยาลูกกลอนกิน (ต้น)
ใบใช้เป็นยาประคบปรับปรุงแก้ไขข้ออักเสบและแก้ลักษณะของการปวดต่างๆ(ใบ)
ช่วยทำนุบำรุงรากผม ด้วยการใช้น้ำคั้นจากใบเอามาทาให้ทั่วหัว จะช่วยบำรุงรากผมได้ (ใบ)
คุณประโยช์จากเหงือกปลาหมอ
ในขณะนี้สมุนไพรเหงือกปลาหมอมีการนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นยาแคปซูลสมุนไพร (เหงือกปลาหมอแคปซูล) หรือเป็นยาชงสมุนไพร (เหงือกปลาหมอผงสำเร็จรูป) หรือในรูปแบบของยาเม็ด
นอกจากการใช้เป็นยาสมุนไพรที่ใช้สำหรับการอบตัวหรืออบด้วยละอองน้ำ สมุนไพรเหงือกปลาหมอยังคงใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับในการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น สบู่ สินค้าที่ใช้สำหรับการเปลี่ยนสีผม กระทั่งยาสระผมของหมา ฯลฯ
แหล่งอ้างอิง
: เว็บไซต์สำนักงานแผนการสงวนกรรมพันธุ์พืชอันเนื่องมาจากความคิด สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ ม.อบ., หนังสือพิมพ์บ้านเรือน (เชี่ยวชาญ หิมะคุณ), หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 4, ฐานข้อมูลพันธุ์ไม้ หน่วยงานส่วนวิชาพฤกษศาสตร์, สำนักงานกองทุนส่งเสริมการผลิตเสริมสุขภาพ (สสส.), หนังสือยอดสมุนไพรยาอายุวัฒนะ (อาจารย์ยุวดี จอมพิทักษ์), หนังสือกายบริหารแกว่งไกวแขน (โชคชัย ปัญจทรัพย์) http://www.disthai.com/[/b]
3  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรใบบัวบกมีสรรพคุณที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เมื่อ: สิงหาคม 19, 2018, 04:29:11 am
[/b]
บัวบ[/size][/b]
ใบ[url=http://www.disthai.com/16913509/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%81]บัวบก
เป็นพืชสมุนไพรที่พวกเราต่างรู้จักกันดีในฐานะของผักพื้นบ้าน นิยมนำมากินกับน้ำพริกหรือเมนูอาหารต่างๆแบบใหม่ๆและยังนิยมนำมาทำเป็นเครื่องดื่มน้ำใบบัวบกเพื่อดับหิว แก้บอบช้ำใน และเพื่อช่วยบำรุงร่างกาย ซึ่งจัดว่าเป็นพืชสมุนไพรที่อยู่ในแถบเอเชียพวกเรานี้เอง ด้วยคุณค่าที่มากมาย จึงทำให้มันเป็นยารักษาโรคและตัวดูแลสุขภาพ ในตอนนี้เริ่มมีการทำวิจัย สกัดสารสำคัญในใบัวบก[/url]ประยุกต์ใช้สำหรับในการรักษาในรูปของยาแคปซูล และบัวบกผงสำหรับชงดื่มอีกด้วย
รูปแบบของใบบัวบก
บัวบก มีชื่อเรียกทางด้านวิทยาศาสตร์ว่า Centella asiatica อยู่ในวงศ์ Umbelliferae ซึ่งเป็นสกุลเดียวกันกับผักชี ส่วนชื่อเขตแดนถูกเรียกในชื่อที่นานาประการ ยกตัวอย่างเช่น ผักแว่น ผักหนอก และกะโต่ เป็นต้น  ลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้ล้มลุก มีกอติดอยู่กับพื้นดิน ลำต้นจะเลื้อยแพร่แขนงไปตามพื้นดินในแนวนอน มีอายุยืนยาวได้นานหลายปี การแตกรากแล้วก็ใบจะเกิดขึ้นตามข้อ ลักษณะเป็นใบลำพัง มีรูปร่างเหมือนไต จะออกเป็นกลุ่มตามข้อ ขอบของใบหยัก มีก้านใบยื่นยาวออกมา ดอกเป็นสีม่วงปนแดง ผลแบน ออกเป็นดอกเดี่ยวหรือช่อขนาดเล็กราว 3-4 ดอก มีเอกลักษณะเฉพาะในเรื่องของกลิ่น และรสที่ขมปนหวาน
ประโยชน์ซึ่งมาจากใบบัวบักที่นิยมนำมากิน
เราบางทีอาจคุ้นชินว่าบัวบกเป็นพืชสมุนไพรแก้ช้ำในเป็นหลัก แม้กระนั้นที่จริงแล้วสมุนไพรประเภทนี้มีคุณประโยชน์สำหรับการรักษาอีกนานัปการ ไม่ว่าจะเป็น การรักษาโรคลมชัก โรคผิวหนัง ท้องเสีย รักษาโรคในกระเพาะ ช่วยทำนุบำรุงสมอง และก็ช่วยเพิ่มความจำ เป็นต้น การรับประทานใบบัวบกแบบสดๆจะก่อให้ร่างกายได้สารสำคัญหลายประเภท ที่พบได้มากเป็น "สารไกลโคไซด์" (Glycosides) ซึ่งจัดว่าเป็นสารที่ผลเข้าไปกีดกั้นการเกิดสารอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสื่อมสภาพของเซลล์รวมทั้งเยื่อต่างๆภายในร่างกาย มีส่วนช่วยรีบการสร้างคอลลาเจนที่ผิว กระดูก รวมทั้งเอ็น ทำให้แผลสมานตัวเข้าพบกันได้เร็วขึ้นกว่าเดิม
สรรพคุณของใบบัวบก ไม่ว่าจะเป็นการทานฯลฯดิบๆหรือนำมาคั้นเป็นน้ำดื่ม ล้วนมีสรรพคุณทางยาที่ไม่ได้แตกต่างกัน
เนื่องจากว่ามีฤทธิ์เป็นยาเย็น จะช่วยลดการเกิดอาการร้อนใน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อม ในกรุ๊ปสตรีที่อยู่ในวัยใกล้หมดเมนส์ ผู้ที่จะต้องใช้สมองสำหรับการทำงานมากๆใบบัวบกจะเป็นตัวช่วยเพิ่มความจำเจริญ ช่วยลดความเคร่งเครียด ลดการอักเสบที่ผิวหนัง อาการฟกช้ำดำเขียวและก็ร่องรอยแตกต่างจากปกติที่เกิดบนผิวหนัง นอกนั้นคนที่บริโภคใบบัวบกข้างหลังการผ่าตัด จะช่วยให้แผลสมานตัวได้เร็วขึ้น และก็ลดการติดเชื้อได้
สรรพคุณของบัวบกกับผลของการวิจัย
งานค้นคว้าวิจัยได้พูดถึงบัวบกเอาไว้ว่า เป็นพืชที่มีคุณประโยชน์เด่นในด้านการบำรุงสมองเช่นเดียวกันกับแปะก๊วย ช่วยกระตุ้นสมองสำหรับการจำสิ่งต่างๆเจริญขึ้น และช่วยพัฒนาการศึกษาทางสมอง แล้วก็ด้วยคุณสมบัติพิเศษกลุ่มนี้ทำให้มันเปลี่ยนเป็นพืชที่ถูกจดสิทธิบัตรสารสกัดจากบัวบกที่มีหน้าที่่ช่วยเพิ่มความจำ
จากการทดลองในลูกหนู พบว่ามีความจำและก็การเรียนรู้ที่ดีขึ้น ส่วนในคน มีการทดลองในเด็กพิเศษ ด้วยการกินบัวบกวันละ 500 มก. ต่อเนื่องกัน 3 เดือน เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม พบว่ามีความรู้ความเข้าใจในการศึกษาที่ดียิ่งกว่า ส่วนในผู้สูงวัยให้ทดลองรับประทานสารสกัดบัวบก 750 มก. ติดต่อกัน 2 เดือน พบว่า ความจำและก็การเล่าเรียนดีขึ้น ทั้งยังยังช่วยลดอารมณ์แปรปรวน ทำให้คนสูงอายุมีอารมณ์เบิกบานมากขึ้นเรื่อยๆด้วย ในรายที่เป็นวัยทำงาน ได้ทำทดลองกับผู้หญิงอายุราว 33 ปี กินสารสกัดบัวบก 500 มก. วันละ 2 ครั้ง พบว่าช่วยลดความตึงเครียด ความกลุ้มอกกลุ้มใจ และก็ภาวการณ์ซึมเซาลงได้
เมื่อเจาะลึกลงไปถึงระดับเซลล์ พบรูปแบบการทำงานของสารสกัดบัวบกที่ตรงเข้าออกฤทธิ์กับสมอง ช่วยให้การหายใจระดับเซลล์ด้านในสมองดำเนินการก้าวหน้าขึ้น มีสารต้านทานอนุมลอิสระ ช่วยสร้างสมดุลสารสื่อประสาท และก็ต่อต้านการเสื่อมสภาพของเซลล์สมองได้
การนำใบบัวบกมาใช้บริโภคเพื่อเป็นยา
บัวบ[/b]สามารถประยุกต์ใช้เป็นยาได้นานาประการ ไม่ว่าจะเป็นส่วนของต้นสด เม็ด หรือใบ ซึ่งได้รับความนิยมนำมาใช้สูงที่สุด การเลือกใบบัวบกที่ดี ควรจะเลือกใบที่โตเต็มที่รวมทั้งบริบูรณ์ นำมาใช้ตากแห้งป่นเป็นผงใส่ลงในแคปซูลโดยประมาณ 500 มิลลิกรัม รับประทานเป็นยาบำรุงร่างกาย
นำเอาใบบัวบกสด 1 กำมือ มาคั้นให้ได้น้ำ หรือตำให้ละเอียดแล้วผสมกับน้ำ 1 แก้ว คนจะกว่าจะเข้ากันแล้วหลังจากนั้นกรองให้เหลือแค่น้ำ ผสมน้ำตาลหรือเกลือก็ได้ตามชอบ ดื่มครั้งละ 1 แก้ว ก่อนที่จะกินอาหาร 3 มื้อ ราวๆ 5-7 วัน จะช่วยลดอาการร้อนในรวมทั้งแก้บอบช้ำในได้
ในกรณีที่เป็นผู้เจ็บป่วยโรคความดันโลหิตสูง ให้สามารถกินน้ำใบบัวบกทุกวี่วัน ต่อเนื่องกันประมาณ 7 วัน จะช่วยลดความดันให้อยู่ในระดับธรรมดา
เมล็ดของบัวบกที่มีรสขมแล้วก็เย็น นิยมนำมาใช้แก้ไข้ ลดอาการปวดหัว และแก้บิด
[url=http://www.disthai.com/16913509/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%81]
[/b]
สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวังสำหรับการใช้ใบบัวบก
ก่อนกินใบบัวบกเพื่อเป็นยา ต้องสำรวจสุขภาพที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตนเองก่อนว่ารากฐานแล้วมีโรคประจำตัวอะไรที่มีการเสี่ยงหรือไม่ เพราะสารบางจำพวกในใบบัวบก จะเข้าไปทำให้อาการโรคกำเริบมากยิ่งขึ้นได้
เพราะว่าบัวบกเป็นยาที่มีฤทธิ์เย็น การรับประทานมากจนเกินความจำเป็นจะมีผลให้สะสมภายในร่างกายจนถึงรู้สึกหนาวเยอะขึ้นเรื่อยๆได้
หลบหลีกการกินใบบัวบกติดต่อกันทุกวี่ทุกวัน หรือรับประทานครั้งละมากๆเมื่อกินติดต่อกันโดยประมาณ 1 อาทิตย์แล้ว ก็ควรจะหยุดพัก 1 อาทิตย์ แล้วค่อยกลับมารับประทานใหม่
สำหรับรับประทานใบบัวบกใหม่ๆติดต่อกันทุกวี่ทุกวัน ควรกินในรูปทรงราวๆวันละ 3-6 ใบ ไม่ควรเหลือเกินกว่านี้
ถ้าหากร่างกายมีลักษณะอาการหมดแรง วิงเวียน ใจสั่น หรือหัวใจเต้นเปลี่ยนไปจากปกติ รู้สึกคันตามผิวหนัง ท้องร่วง ภายหลังจากการกิน ควรหยุดกินในทันทีรวมทั้งรีบเข้าพบแพทย์อย่างเร่งด่วน
ในกลุ่มของผู้คนที่จะต้องกินยาแก้แพ้ ยานอนหลับ หรือยากันชัก ไม่ควรรับประทานใบบัวบก เพราะจะยิ่งไปเพิ่มฤทธิ์ให้รู้สึกง่วงซึมเพิ่มมากขึ้น
ใบบัวบกคือพืชสมุนไพรไทยที่หาได้ง่ายทั่วไปตามท้องตลาด แพงถูก แต่เยอะแยะด้วยสรรพคุณทางยา ที่จะเป็นทางเลือกสำหรับการรักษาโรคต่างๆรวมทั้งใช้สำหรับบำรุงร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ http://www.disthai.com/[/b]
4  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ตะไคร้มีประโยชน์มากกว่าที่คิด เมื่อ: สิงหาคม 11, 2018, 10:59:15 am
[/b]
ตะไคร[/size][/b]
[url=http://www.disthai.com/16913433/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89]ตะไคร้
เป็นพืชสมุนไพรแคว้นในประเทศแถบทวีปเอเชียเขตร้อน มีลักษณะคล้ายหญ้าและมีใบสูงยาวส่งกลิ่นส่วนตัว เว้นเสียแต่ประยุกต์ใช้เข้าครัว ปรุงแต่งกลิ่นในของกิน และทำเครื่องดื่มแล้ว ตะไคร้ยังถูกเอาไปใช้ในหลากสาขา ดังเช่น อุตสาหกรรมสบู่ เครื่องแต่งหน้า การบำบัดด้วยกลิ่น หรือการสกัดเป็นยารักษา โดยมีความเชื่อว่าสารเคมีในตะไคร้ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ บางทีอาจสามารถช่วยคุ้มครองป้องกันการเติบโตของแบคทีเรียกับยีสต์ได้ ช่วยลดอาการปวดปวดเมื่อยกล้าม ทุเลาอาการปวดและก็ลดไข้ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตในระหว่างมีรอบเดือน แล้วก็เป็นส่วนประกอบในสารที่ช่วยไล่ยุงได้ ฯลฯ
ตะไคร้ ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cymbopogon citratus จัดเป็นไม้ล้มลุก มีลักษณะเป็นกอ มักนิยมปลูกไว้ตามบ้านและนำมาประกอบอาหาร เป็นสมุนไพรที่มีสาระและก็ช่วยทุเลาอาการโรคบางจำพวกได้ แต่ว่าหารู้หรือไม่ว่าจริงๆแล้ว ภายใต้ต้นแข็งและก็ใบที่คมของตะไคร้ยังหลบซ่อนคุณประโยชน์เอาไว้มากมายจนไม่คาดฝัน วันนี้เราไปดูคุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากตะไคร้ที่เข้าใจดีแล้วจำเป็นต้องอัศจรรย์ใจที่นำมาจากเว็บ allwomenstalk กันดีกว่าจ้ะ ใครที่ชอบกลิ่นหอมๆของมัน ต้องยิ่งรักเจ้าสมุนไพรชนิดนี้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน
สรรพคุณของตะไคร้ ประโยชน์ดีๆของสมุนไพรใกล้ตัว
อุดมไปด้วยวิตามิน
          อย่ามีความคิดว่าตะไคร้มีสาระแค่ใช้ทำกับข้าวเท่านั้น เนื่องจากว่าในความเป็นจริงแล้วตะไคร้นั้นอุดมไปด้วยวิตามินและธาตุมาก อีกทั้งวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินบี ยิ่งกว่านั้นยังมีโฟเลต แมกนีเซียม สังกะสี ทองแดง ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม ธาตุฟอสฟอรัส แคลเซียม แมงกานีส โอ้โห้... วิตามินเยอะแยะขนาดนี้คราวหน้าเจอตะไคร้ในของกินก็อย่าเขี่ยทิ้งนะ
ช่วยไล่แมลง
          นอกเหนือจากการที่จะนำมาทำครัวแล้ว ตะไคร้ยังเป็นประโยชน์ในการไล่แมลงอีกด้วย เพราะว่าในตะไคร้มีน้ำมันหอมระเหยอยู่ในใบและในลำต้น ซึ่งน้ำมันหอมระเหยกลุ่มนี้มีคุณลักษณะในการไล่แมลงได้อย่างยอดเยี่ยม ก็เลยไม่น่าแปลกใจที่พวกเราจะได้เห็นผลิตภัณฑ์สบู่ ผลิตภัณฑ์ไล่แมลงที่มีส่วนผสมของตะไคร้วางจำหน่ายอยู่ในตลาดเยอะแยะ คนไหนกันแน่ที่ชอบกลิ่นตะไคร้ละก็ลองหามาใช้ได้นะคะ
[/b]
ล้างพิษ
          สำหรับรักสุขภาพแล้วก็ชอบล้างพิษในร่างกายเสมอๆไม่ควรพลาดเจ้าตะไคร้เลยจ้ะ เพราะว่ามันมีคุณสมบัติสำหรับเพื่อการล้างพิษในร่างกายด้วยวิธีการทำให้ท่านปัสสาวะบ่อยขึ้น เนื่องมาจากสารเคมีที่อยู่ในตะไคร้จะช่วยทำความสะอาดระบบที่ทำหน้าที่สำหรับการย่อยอาหาร ดังเช่นว่า ตับ ตับอ่อน ไต และกระเพาะปัสสาวะ ขับสารพิษและกรดยูริกออกมาจากร่างกาย ทำให้ระบบที่ทำหน้าที่สำหรับการย่อยอาหารของคุณสะอาดขึ้น แล้วก็ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเยอะขึ้นเรื่อยๆค่ะ
ตะไคร้ กับ 7 คุณค่า
ช่วยในการย่อยอาหาร
          ตะไคร[/b]ช่วยให้ระบบที่ทำการย่อยอาหารปฏิบัติงานเจริญขึ้นค่ะ เพราะว่ามีการศึกษาเล่าเรียนหนึ่งพบว่าการดื่มเกิดไคร้จะช่วยสำหรับในการย่อย ลดลักษณะของการปวดท้อง แก้หวัด ลดอาการตะคริวในลำไส้ และท้องร่วงได้ นอกนั้นยังช่วยป้องกันและลดก๊าซในลำไส้ได้อีกด้วย
ช่วยซ่อมแซมรวมทั้งบำรุงระบบประสาท
          มีการเล่าเรียนจำนวนไม่น้อยพบว่าตะไคร้สามารถช่วยซ่อมบำรุงและก็เสริมความแข็งแรงให้กับระบบประสาทได้ พิสูจน์ได้อย่างง่ายดายด้วยการนำน้ำมันหอมระเหยตะไคร้มาหยดลงบนผิว คุณจะรู้สึกได้ว่ามันอุ่นๆซึ่งมันจะทำให้กล้ามเนื้อของคุณผ่อนคลายมากมายรวมทั้งลดอาการตะคิวได้ แม้กระนั้นก็อย่าลืมว่าเมื่อใดก็ตามจะใช้น้ำมันหอมระเหยตะไคร้คุณควรที่จะผสมมันกับน้ำมันตัวพา (Carrier oil) และก็ห้ามใช้น้ำมันหอมระเหยโดยตรงกับผิวเด็ดขาดค่ะ
ตะไคร้
ช่วยรักษาอาการอักเสบ
          ตะไคร้สามารถช่วยให้คุณรู้สึกบรรเทาและก็บรรเทาลักษณะของการปวดต่างๆได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการอักเสบซึ่งเป็นสาเหตุของลักษณะของการปวดต่างๆตัวอย่างเช่น ปวดฟัน ปวดกล้ามเนื้อ หรือการปวดตามข้อได้อีกด้วย ดังนั้นถ้าเกิดคุณรู้สึกปวดตามส่วนต่างๆของร่างกาย ทดลองหาน้ำมันที่ผสมน้ำมันหอมระเหตะไคร้
มานวดดูนะคะรับรองว่าหายแน่ๆ
ช่วยบำรุงผิว
          ตะไคร้เป็นสมุนไพรที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ด้วยเหตุนี้มันจึงสามารถช่วยบำรุงผิวของคุณได้ ทำให้ผิวของคุณแผ่รัศมีความมีร่างกายแข็งแรงออกมา แถมยังช่วยให้ผิวของคุณดูอ่อนวัยอยู่เป็นประจำ และก็ช่วยลดสิวต่างๆได้อีกด้วย
โทษของตะไคร้
พิษของน้ำมันตะไคร้ จำนวนน้ำมันตะไคร้ ที่ทำให้หนูขาวตายที่ครึ่งเดียวของปริมาณหนูขาวทั้งสิ้น ด้วยการให้ทางปาก  ที่ความเข้มข้น 5,000 มก./กก. และก็การให้น้ำมันหอมระเหยทางกระเพาอาหารแก่กระต่ายที่ทำให้กระต่ายตายที่ครึ่งเดียว พบว่า มีปริมาณความเข้มข้นเดียวกันกับการให้แก่หนูขาว พิษเฉียบพลันของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ที่ความเข้มข้น 1,500 ppm ในช่วงเวลา 60 วัน กลับพบว่า หนูขาวที่ได้รับน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้มีการเติบโตเร็วกว่ากลุ่มที่ไคุณค่าทางโภชนาการของตะไคร้
การเล่าเรียนของตะไคร้ขนาด 100 กรัม พบว่าให้พลังงาน 143 กิโลแคลอรี่ มีสารอาหารสำคัญมี โปรตีน 1.2 กรัม ไขมัน 2.1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 29.7 กรัม เส้นใย 4.2 กรัม แคลเซียม 35 มก. ธาตุฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม เหล็ก 2.6 มก. วิตามินเอ 43 ไมโครกรัม ไทอามีน 0.05 มก. ไรโบฟลาวิน 0.02 มิลลิกรัม ไนอาซิน 2.2 มิลลิกรัม วิตามินซี 1 มก. และก็ เถ้า 1.4 กรัมม้ได้รับ รวมทั้งค่าทางเคมีของเลือดไม่มีความเคลื่อนไหวแต่อย่างใด http://www.disthai.com/[/color]
5  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรบุกมีสรรพคุณเเละประโยชน์ที่น่าอัศจรรย์ เมื่อ: สิงหาคม 06, 2018, 10:41:37 am

บุก (Amorphophallus spp.) มีชื่อสามัญว่า Konjac (คอนจัค)12 ในไทยจะใช้บุกที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson หรือที่พวกเราเรียกว่า “บุกคางคก” ซึ่งเป็นพืชสกุลเดียวกันกับบุกชนิดที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus konjac K.Koch แต่ต่างชนิดกัน ซึ่งมีคุณลักษณะและก็คุณประโยชน์ทางยาที่ใกล้เคียงกัน และสามารถประยุกต์ใช้แทนกันได้
บุ[/size][/b]
บุก ชื่อสามัญ Devil’s tongue, Shade palm, Umbrella arum
บุก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus konjac K.Koch (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus rivieri Durand ex Carrière) จัดอยู่ในสกุลบอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุก มีชื่อเรียกอื่นว่า แพทย์ ยวี จวี๋ ยั่ว (จีนแต้จิ๋ว), หมอยื่อ (จีนแมนดาริน) ฯลฯ
ต้นบุก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกที่มีอายุหลาย ลำต้นแทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน มีความสูงของต้นราว 50-150 ซม. หัวที่อยู่ใต้ดินนั้นมีขนาดใหญ่ ลักษณะของหัวเป็นรูปค่อนข้างจะกลมแบนเล็กน้อย หรือกลมแป้น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 25 ซม. ผิวเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ลำต้นและกิ่งก้านมีลักษณะกลมใหญ่ เปลือกลำต้นเป็นสีเขียวมีลายแต้มสีขาวปะปนอยู่
หัวบุก
ใบบุก ใบเป็นใบประกอบแบบขน มีใบย่อยเรียงสลับ รูปแบบของใบเป็นรูปไข่กลมรี ปลายใบแหลม ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดยาวราวๆ 15-20 ซม.
ใบบุก
ดอกบุก ออกดอกเป็นดอกลำพัง รูปแบบของดอกเป็นทรงทรงกระบอกกลมแบน มีกลิ่นเหม็น สีม่วงแดงอมเขียว มีกาบใบยาวราวๆ 30 ซม. สีม่วงอมเหลือง โผล่ขึ้นพ้นจากกลีบเลี้ยงที่มีสีม่วง
ผลบุก รูปแบบของผลเป็นรูปกลมแบน เมื่อสุกจะเป็นสีส้ม
ดอกรวมทั้งผลบุก
บุกคางคก
บุกคางคก ชื่อสามัญ Stanley’s water-tub, Elephant yam
[url=http://www.disthai.com/16488234/%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%81]บุก
คางคก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus campanulatus Decne.) จัดอยู่ในสกุลบอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุกคางคก มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆว่า บุกหลวง บุกหนาม เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน), บักกะเดื่อ (จังหวัดสกลนคร), กระบุก (จังหวัดบุรีรัมย์), บุกคางคก บุกปะทุงคก (ชลบุรี), หัวบุก (จังหวัดปัตตานี), มันซูรัน (ภาคกลาง), บุก (ทั่วๆไป), กระแท่ง บุกรอคอย หัววุ้น (ไทย), บุกอีรอกเขา ฯลฯ
ต้นบุกคางคก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกพวกกะแท่งหรือเท้าคุณยายม่อมหัว มีอายุได้นานยาวนานหลายปี มีความสูงของต้นราว 5 ฟุต มีลักษณะของลำต้นอวบอ้วนรวมทั้งอวบน้ำไม่มีแก่น ผิวขรุขระ ลำต้นกลมแล้วก็มีลายเขียวๆแดงๆลักษณะซึ่งคล้ายกับคนเป็นโรคผิวหนัง ต้นบุกนั้นขยายพันธุ์ด้วยแนวทางแยกหน่อ พรรณไม้จำพวกนี้จะเติบโตในฤดูฝน และก็จะโรยราไปในช่วงต้นหน้าหนาว ในประเทศไทยพบมากขึ้นเองตามป่าราบหาดทรายและก็ที่อำเภอศรีราชา ส่วนในต่างชาติบุกคางคกนั้นเป็นพืชท้องถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบได้ตั้งแต่ศรีลังกาไปจนถึงอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์
ต้นบุกคางคก
หัวบุกคางคก คือส่วนของหัวที่อยู่ใต้ดิน มีลักษณะออกจะกลมแล้วก็มีขนาดใหญ่สีน้ำตาล ผิวตะปุ่มตะป่ำ เส้นผ่านศูนย์กลางของหัวบุกนั้นจะมีขนาดตั้งแต่ 15 ซม.ขึ้นไป เนื้อในหัวเป็นสีเหลืองอมชมพู สีชมพูสด สีขาวขุ่น สีครีม สีเหลืองอ่อน สีเหลืองอมขาวละเอียดรวมทั้งเป็นเมือกลื่น มียาง โดยยิ่งไปกว่านั้นหัวสด ถ้าสัมผัสเข้าจะก่อให้กำเนิดอาการคันได้ ก่อนนำมาปรุงเป็นอาหารนั้นก็เลยจะต้องทำให้เป็นมูกโดยการต้มในน้ำเดือดซะก่อน โดยน้ำหนักของหัวนั้นมีตั้งแต่ 1 กรัม ไปจนถึง 35 โล
บุกคางคก
ใบบุกคางคก ใบเป็นใบคนเดียว ออกที่ปลายยอดของต้น ใบแผ่ออกคล้ายกางร่มแล้วหยักเว้าเข้าหาเส้นกลางใบ ส่วนขอบของใบจะเว้าลึก ก้านใบกลม อวบน้ำรวมทั้งยาวได้ประมาณ 150-180 ซม.
ใบบุกคางคก
ดอกบุกคางคก มีดอกเป็นช่อ ดอกแทงขึ้นมาจากพื้นดินบริเวณของโคนต้น เป็นแท่งมีลายสีเขียวหรือสีแดงแกมสีน้ำตาล (ขึ้นกับสายพันธุ์) ดอกออกเป็นช่อ แทงขึ้นมาจากหัวที่อยู่ใต้ดิน ก้านช่อดอกสั้น มีใบประดับประดาเป็นรูปหุ้มช่อดอก ขอบหยักเป็นคลื่นและก็บานออก ปลายช่อดอกเป็นรูปกรวยคว่ำขนาดใหญ่ ยับเป็นร่องลึก สีแดงอมน้ำตาลหรือสีม่วงเข้ม ดอกเพศผู้อยู่ตอนบน ส่วนดอกเพศภรรยาอยู่ตอนล่าง ดอกมีกลิ่นเหม็นคล้ายซากสัตว์เน่า
ดอกบุกคางคุก
ผลบุกคางคก ผลได้ผลสำเร็จสด เนื้อนุ่ม รูปแบบของผลเป็นรูปทรงรียาว ขนาดยาวราว 1.2 ซม. ผลมีจำนวนไม่ใช่น้อยชิดกันเป็นช่อๆ(สิบถึงร้อยร้อยผลต่อหนึ่งช่อดอก)ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนสีเหลือง สีส้ม จนถึงสีแดง ข้างในผลมีเมล็ดประมาณ 1-3 เมล็ด โดยมีสันขั้วเม็ดของแต่เมล็ดแยกออกจากกัน เม็ดมีลักษณะกลมรีหรือเป็นรูปไข่
สรรพคุณของบุก
หัวบุกมีรสเผ็ด เป็นยาร้อน มีพิษ ออกฤทธิ์ต่อม้าม ตับ และก็ระบบทางเดินอาหาร มีคุณประโยชน์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือด (หัว)
ใช้เป็นอาหารสำหรับผู้เจ็บป่วยเบาหวานแล้วก็คนเจ็บโรคไขมันในเลือดสูง ด้วยการแยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วชงกับน้ำ โดยให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว นำมาชงกับน้ำกินก่อนกินอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ
หัวใช้เป็นยารักษาโรคโรคมะเร็ง (หัว)
ใช้เป็นยาแก้ไข้จับสั่น (หัว)
ช่วยแก้อาการไอ (หัว)
หัวใช้เป็นยากัดเสลด ละลายเสมหะ ช่วยกระจายเสมหะที่ตันรอบๆหลอดลม (หัว)
หัวบุกมีรสเบื่อคัน ใช้เป็นยากัดเสลดเถาดาน แล้วก็เลือดจับกันเป็นก้อน (หัว)
หัวเอามาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคท้องมาน (หัว)
ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (ราก)
ช่วยแก้ประจำเดือนไม่มาของสตรี (หัว)6 ช่วยขับเมนส์ของสตรี (ราก)
หัวเอามาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคตับ (หัว)
ใช้แก้พิษงู (หัว)
ใช้เป็นยาแก้แผลไฟเผาน้ำร้อนลวก (หัว)
หัวใช้หุงเป็นน้ำมัน ใช้ใส่รอยแผล กัดฝ้าแล้วก็กัดหนองได้ดี (หัว)1,2,3,4 บางข้อมูลบอกว่ารากใช้เป็นยาพอกฝีได้ (ราก)
ใช้แก้ฝีหนองบวมอักเสบ (หัว)6
หัวใช้เป็นยาพาราบวม แก้ฟกช้ำดำเขียว (หัว)
บุก เป็นสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์ยิ่งกว่าไวอากร้า หรือเป็นยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ โดยคุณนิล ปักษา (บ้านหนองพลวง ต.โคกกึ่งกลาง อ.ลำปลายสุวรรณ จ.จังหวัดบุรีรัมย์) ชี้แนะให้ลองพิสูจน์ ด้วยการเอาไม้พาดปากหม้อแล้วนำสมุนไพรบุกคางคก เอาพวงเมล็ดเอามาย่างไฟให้หอมก่อน แล้วใช้ผูกกับไม้ห้อยจุ่มลงไปในหม้อต้มใส่น้ำเพียงพอท่วมเม็ดบุก ต้มจนกระทั่งเมล็ดบุกร่วงลงหม้อ ตัวยาก็จะไหลลงมาด้วย เมื่อเดือดรวมทั้งให้เพิ่มน้ำตาลพอควรลงไปต้มให้พอเพียงหวาน ต่อจากนั้นทดลองลองดู หากยังมีลักษณะคันคออยู่ก็ให้เติมน้ำตาลเพิ่มแล้วค่อยลองใหม่ หากไม่มีอาการคันคอก็เป็นพิษว่าใช้ได้ และให้นำสมุนไพรโด่ไม่รู้จักล้มใส่เข้าไปด้วยราวๆ 1 กำมือ แล้วต้มให้เดือด ปลดปล่อยให้เย็นและก็เก็บเอาไว้ในตู้เย็น ใช้ดื่ม 1 เป็ก โดยประมาณ 30 นาที จะปวดเยี่ยวโดยธรรมชาติ หลังจากอาวุธนั้นจะพร้อมสู้ในทันที (ผล)
หมายเหตุ : สำหรับวิธีการใช้ให้แยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วนำมาชงกับน้ำ ส่วนขนาดที่ใช้นั้นให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว ชงกับน้ำดื่มก่อนที่จะรับประทานอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ2 ส่วนการใช้ตาม 6 ให้ใช้ทีละ 10-15 กรัม (เข้าใจว่าเป็นส่วนของหัว) นำมาต้มกับน้ำนาน 2 ชั่วโมง จึงสามารถเอามารับประทานได้ หากเป็นยาสดให้ใช้ตำพอกหรือนำมาฝนกับน้ำส้มสายชู หรือต้มเอาน้ำใช้ชะล้างรอบๆที่เป็นแผล
ในเนื้อหัวบุกป่าจะมีผลึกของแคลเซียมออกซาเลท (Calcium oxalate) ไม่น้อยเลยทีเดียว ที่นำไปสู่อาการคัน ส่วนเหง้ารวมทั้งก้านใบถ้าหากปรุงไม่ดีแล้วกินเข้าไปจะก่อให้ลิ้นพองรวมทั้งคันปากได้8ก่อนเอามากินจะต้องกำจัดพิษออกก่อน และไม่กินกากยาหรือยาสด6
กรรมวิธีการกำจัดพิษจากหัวบุก ให้นำหัวบุกมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆตำพอเพียงแหลก คั้นเอาน้ำออกพักไว้ นำกากที่ได้ไปต้มน้ำ แล้วคั้นเอาแต่น้ำ นำไปผสมกับน้ำที่คั้นครั้งแรก แล้วค่อยนำไปต้มกับน้ำปูนใสเพื่อให้พิษหมดไป เมื่อเดือดก็พักไว้ให้เย็น จะจับกันเป็นก้อน ก็เลยสามารถใช้ก้อนดังที่ได้กล่าวมาแล้วในการทำกับข้าวหรือนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นยาได้6หากอาการเป็นพิษจากการกินบุก ให้รับประทานน้ำส้มสายชูหรือชาแก่ แล้วและก็ตามด้วยไข่ขาวสด แล้วให้รีบไปพบแพทย์
เนื่องมาจากวุ้นบุกสามารถขยายตัวได้มาก (ไม่ต่ำลงมากยิ่งกว่า 20 เท่าของเนื้อวุ้นแห้ง) จึงไม่ควรบริโภควุ้นบกคราวหลังการรับประทาน แต่ให้กินก่อนอาหารไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง ส่วนการบริโภคอาหารที่ผลิตขึ้นจากวุ้น เป็นต้นว่า วุ้นก้อนและเส้นวุ้น สามารถบริโภคพร้อมของกินหรือหลังรับประทานอาหารได้ เนื่องจากว่าวุ้นดังที่กล่าวถึงแล้วได้ผ่านกรรมวิธีและได้ขยายตัวมาก่อนแล้ว แล้วก็การการที่จะขยายตัวหรือพองตัวได้อีกนั้นก็เลยเป็นไปได้ยาก ส่วนในเรื่องของคุณค่าทางโภชนาการนั้นพบว่าวุ้นบุกไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เพราะไม่มีการเสื่อมสภาพเป็นน้ำตาลภายในร่างกาย และไม่มีวิตามินและแร่ หรือสารอาหารใดๆก็ตามที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายเลยกลูวัวแมนแนนมีผลทำให้การดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันต่ำลง (ตัวอย่างเช่น วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค) ซึ่งจะไม่ไม่ดีต่อสุขภาพโดยรวมได้ แต่จะไม่มีผลต่อการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในน้ำ (เป็นต้นว่า วิตามินบีรวม วิตามินซี)
การกินผงวุ้นบุกในจำนวนมาก อาจส่งผลให้มีลักษณะท้องร่วงหรืออาการท้องอืด มีลักษณะอาการหิวน้ำมากยิ่งกว่าเดิม บางคนอาจมีอาการเมื่อยล้าเพราะระดับน้ำตาลในเลือดลดลงได้
[/b]
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของบุก
สารที่พบ ได้แก่ สาร Glucomannan, Konjacmannan, D-mannose, Takadiastase, แป้ง, โปรตีนบุก, วิตามินบี, วิตามินซี แล้วก็ยังเจอสารที่เป็นพิษเป็นConiine, Cyanophoric glycoside ก้านบุกเจอสาร Uniine และก็วิตามินบีที่ก้านช่อดอก6 และหัวบุกยังมีโปรตีนอยู่จำนวนร้อยละ 5-6 และก็มีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูงจำนวนร้อยละ 672หัวบุกมีสารสำคัญเป็นกลูโคแมนแนน (Glucomannan) เป็นสารชนิดคาร์โบไฮเดรต ซึ่งประกอบด้วยเดกซ์โทรส แมนโนส รวมทั้งฟรุคโตส สารกลูวัวแมนแนนสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ เนื่องด้วยมีความเหนียว ช่วยยับยั้งการดูดซึมของเดกซ์โทรสจากทางเดินอาหาร ยิ่งหนืดมากมายก็ยิ่งมีผลการดูดซึมกลูโคส เพราะฉะนั้น กลูวัวแมนแนน ซึ่งเหนียวกว่า gua gum จึงสามารถลดน้ำตาลได้ดีกว่า ก็เลยใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นของกินสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานแล้วก็สำหรับคนที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูงสารกลูวัวแมนแนน (Glucomannan) จะมีจำนวนแตกต่างออกไปตามชนิดของบุก5
แป้งจากหัวบุกนั้นประกอบไปด้วยกลูโคนแมนแนนโดยประมาณ 90% รวมทั้งสิ่งปลอมปนอื่นๆตัวอย่างเช่น alkaloid, starch, สารประกอบไนโตเจนต่างๆsulfates, chloride, แล้วก็พิษอื่น โมเลกุลของกลูวัวแมนแนนนั้นหลักๆแล้วจะประกอบไปด้วยน้ำตาลสองประเภท คือ เดกซ์โทรส 2 ส่วน และแมนโนส 3 ส่วน คร่าวๆ เชื่อมต่อกันระหว่างคาร์บอนตำแหน่งที่ 1 ของน้ำตาลชนิดลำดับที่สอง กับคาร์บอนตำแหน่งที่ 4 ของน้ำตาลจำพวกแรกแบบ ?-1, 4-glucosidic linkage ซึ่งแตกต่างจากแป้งที่พบในพืชทั่วๆไป จึงไม่ถูกย่อยโดยกรดและก็น้ำย่อยในกระเพาะอาหาร เพื่อให้น้ำตาลที่ให้พลังงานได้8 เว้นเสียแต่กลูวัวแมนแนนจะพบได้ใบุก[/url]แล้ว ยังพบได้ในว่านหางจระเข้อีกด้วย9
กลูโคแมนแนน (Glucomannan) สามารถดูดน้ำแล้วก็พองตัวได้มากถึง 200 เท่า ของปริมาณเดิม เมื่อพวกเรารับประทานกลูวัวแมนแนนก่อนที่จะกินอาหารครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงทีละ 1 กรัม กลูวัวแมนแนนจะดูดน้ำที่มีมากในกระเพาะของเรา แล้วเกิดการขยายตัวจนถึงทำให้เรารู้สึกอิ่มของกินได้เร็วและก็อิ่มได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้พวกเรากินได้ลดน้อยลงกว่าปกติด้วย ทั้งยังกลูวัวแมนแนนจากบุกก็มีพลังงานต่ำมาก กลูโคแมนแนนก็เลยช่วยในการควบคุมน้ำหนักและเป็นอาหารของผู้ที่อยากลดความอ้วนได้อย่างดีเยี่ยม8
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่รับประทานครั้งละ 15 กรัม ต่อ 1 กก. ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลา 2-3 อาทิตย์ พบว่าระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดของหนูลดน้อยลงคิดเป็น 44% และ Triglyceride ลดน้อยลงคิดเป็น 9.5%6
สาร Glucomannan มีฤทธิ์ดูดซึมน้ำในกระเพาะแล้วก็ลำไส้ได้ดีมากมาย รวมทั้งยังสามารถไปกระตุ้นน้ำย่อยในไส้ให้เยอะขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีการขับของที่คั่งค้างในลำไส้ได้เร็วขึ้น6สารสกัดแอลกอฮอล์จากหัวบุก สามารถยั้งการก้าวหน้าของเชื้อวัณโรคในหลอดแก้วได้5
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่ที่มีลักษณะบวมที่ขารับประทานครั้งละ 15 กรัม ต่อ 1 กก. พบว่าอาการบวมที่ขาของหนูลดลง6
คุณประโยชน์ที่ได้รับมาจากบุกชาวไทยเรานิ http://www.disthai.com/[/b]
6  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ขิง เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณอันน่าทึ่ง เมื่อ: สิงหาคม 04, 2018, 03:00:17 pm
[/b]
ขิ[/size][/b]
ขิง เป็นพืชที่มีเหง้าใต้ดิน ด้านนอกเหง้าเป็นน้ำตาลปนเหลือง เนื้อในสีขาวหรือเหลืองอ่อน มักนำมาประกอบอาหารเพราะส่งกลิ่นหอม ยิ่งกว่านั้น ขิงยังคงใช้เป็นองค์ประกอบในเครื่องดื่ม สบู่ แล้วก็เครื่องแต่งหน้าทั้งหลายแหล่ด้วยเหมือนกัน ด้านคุณประโยชน์ต่อร่างกาย มีความเชื่อเกี่ยวกับการใช้ขิงรักษาโรคหลายประเภทมาอย่างยาวนาน ดังเช่นว่า โรคที่เกิดขึ้นและมีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารอย่างท้องร่วง มีก๊าซในกระเพาะ อาหารไม่ย่อย อาการเมารถเมาเรือ อ้วก ไม่อยากอาหาร
คุณสมบัติของขิงมั่นใจว่าประกอบด้วยสารที่อาจช่วยลดอาการคลื่นไส้รวมทั้งลดการอักเสบ โดยนักค้นคว้าส่วนใหญ่คาดว่าเป็นสารที่ออกฤทธิ์ในกระเพาะและก็ไส้ และสารนี้บางทีอาจส่งผลต่อสมองหรือระบบประสาทส่วนที่ควบคุมอาการอาเจียนด้วย แต่ข้อสมมติฐานดังที่กล่าวถึงมาแล้วยังไม่ชัดเจนนัก และคุณสมบัติด้านอื่นๆมีข้อมูลน้อยกว่า ซึ่งประโยชน์ซึ่งมาจากขิงต่อสุขภาพที่เราเชื่อกันนั้น ในตอนนี้ด้านวิทยาศาสตร์มีข้อมูลชี้แจงไว้ดังต่อไปนี้
การดูแลและรักษาที่อาจเห็นผล
อาการอาเจียนคลื่นไส้ที่เกิดขึ้นมาจากการใช้ยาต่อต้านไวรัสไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องหรือโรคภูมิคุมกันบกพร่อง สรรพคุณบรรเทาอาการคลื่นไส้คลื่นไส้ของ[url=http://www.disthai.com/16488302/%E0%B8%82%E0%B8%B4%E0%B8%87]ขิง
บางทีอาจเป็นประโยชน์ต่อคนไข้โรคนี้ที่อยากได้รับผลข้างเคียงจากการใช้ยารักษาโรค โดยจากการศึกษาเล่าเรียนคนไข้จำนวน 102 คน แบ่งให้กรุ๊ปหนึ่งรับประทานขิง 500 กรัม อีกกรุ๊ปรับประทานยาหลอกวันละ 2 ครั้ง ในตอน 30 นาทีก่อนที่จะได้รับยารักษาโรคเอดส์อย่างยาต้านรีโทรไวรัส เป็นเวลาทั้งหมดทั้งปวง 14 วัน พบว่าขิงช่วยลดอาการคลื่นไส้อ้วกที่เกิดขึ้นมาจากการดูแลรักษาโรคติดเชื้อเอชไอวีได้
อาการอาเจียนอาเจียนภายหลังจากการผ่าตัด ขิงอาจช่วยทุเลาอาการคลื่นไส้แล้วก็อ้วกจากการผ่าตัดได้อย่างเดียวกัน โดยการเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์จำนวนมากชี้ว่าการกินขิง 1-1.5 กรัม ในตอน 1 ชั่วโมงก่อนจะมีการผ่าตัดนั้นดูเหมือนจะช่วยลดอาการอ้วกคลื่นไส้ที่อาจเกิดขึ้นในระหว่าง 1 วันข้างหลังได้รับการผ่าตัด
งานค้นคว้าหนึ่งทดสอบแบ่งผู้เจ็บป่วยจำนวน 122 รับการผ่าตัดต้อกระจกให้รับประทานแคปซูลขิง 1 กรัม แล้วก็อีกกลุ่มได้รับแคปซูลขิง 500 มิลลิกรัมแต่แบ่งให้ 2 ครั้งกระโน้นผ่าตัด ซึ่งผลสรุปพบว่าคนไข้ในกรุ๊ปข้างหลังมีลักษณะอาการอ้วกอาเจียนน้อยครั้งรวมทั้งมีความรุนแรงของอาการน้อยกว่า โดยการวิจัยนี้พบว่าการใช้ขิงนั้นคงจะให้ความสามารถสูงสุดเมื่อรับประทานเสมอๆแล้วก็สม่ำเสมอโดยแบ่งปริมาณการใช้
ยิ่งไปกว่านี้ การทดลองทาน้ำมันขิงบริเวณข้อมือของผู้เจ็บป่วยก่อนเข้ารับการผ่าตัด พบว่าช่วยปกป้องอาการอ้วกในคนไข้ราวๆ 80 เปอร์เซ็นต์จากผู้เข้ารับการผ่าตัดทั้งผอง แต่ว่าการใชขิง[/url]ช่วยลดอาการอ้วกอาเจียนร่วมกับยาลดอ้วกคลื่นไส้นั้นบางทีอาจให้ผลได้ไม่ดีนัก แล้วก็การใช้ขิงกับคนป่วยที่เสี่ยงต่อการอาเจียนอ้วกน้อยอยู่และก็บางทีอาจไม่ได้ผลเช่นเดียวกัน
อาการแพ้ท้อง การกินขิงอาจมีส่วนช่วยทุเลาอาการแพ้ท้อง อย่างเช่น อาเจียน คลื่นไส้ หรือเวียนศีรษะ ผลการศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่งที่ช่วยยืนยันคุณลักษณะนี้เป็นการทดลองในหญิงที่แก่ท้องต่ำยิ่งกว่า 20 อาทิตย์ จำนวน 120 คน ซึ่งเผชิญอาการแพ้ท้องทุกวี่วันนานอย่างต่ำ 1 สัปดาห์ และไม่กระปรี้กระเปร่าขึ้นแม้ว่าจะแปลงการทานอาหารแล้วก็ตาม ภายหลังรับประทานสารสกัดจากขิง 125 มิลลิกรัม ซึ่งเทียบเท่ากับขิงแห้ง 1.5 กรัม วันละ 4 ครั้ง 4 วัน ผลสรุปได้ทำให้เห็นว่าขิงอาจสามารถนำมาใช้ผลดีในฐานะการดูแลและรักษาลู่ทางต่ออาการแพ้ท้องได้
นับว่าสอดคล้องกับอีกงานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยก่อนหน้าที่ชี้ว่าการรับประทานขิง 1 กรัมต่อวัน ติดต่อนาน 4 วัน สามารถช่วยลดความรุนแรงของอาการคลื่นไส้คลื่นไส้ในหญิงมีครรภ์ที่มีอาการแพ้ท้องได้ แต่การใช้ขิงสำหรับคุณค่าด้านนี้อาจมองเห็นการดูแลรักษาได้ช้ากว่าหรือให้ผลดีไม่พอๆกับการใช้ยาแก้อาเจียนคลื่นไส้ นอกนั้น การเรียนเกี่ยวกับคุณลักษณะช่วยลดอาการแพ้ท้องของขิงยังมีข้อกำหนดแล้วก็พบคำตอบที่ไม่บ่อยนัก โดยมีบางการทดลองที่ชี้ว่าขิงอาจไม่ได้มีส่วนช่วยสำหรับในการลดอาการแพ้ท้องด้วยเหมือนกัน
อาการหน้ามืดหัว อาการที่เกิดขึ้นพร้อมกับการอ้วกนี้อาจทุเลาให้ดียิ่งขึ้นได้ด้วยการใช้คุณค่าจากขิง จากงานศึกษาค้นคว้าวิจัยที่ทดสอบด้วยการให้คนที่มีลักษณะอาการบ้านหมุน รวมทั้งตากระตุๆกจากการกระตุ้นโดยใช้อุณหภูมิกินผงเหง้าขิง ปรากฏว่าเหง้าขิงช่วยลดอาการตาลายศีรษะได้อย่างเป็นจริงเป็นจังเมื่อเทียบกับกลุ่มที่รับประทานยาหลอก แม้กระนั้นมิได้ช่วยลดระยะเวลาหรือชะลอการกระตุกของตามากนัก
โรคข้อเสื่อม มีการศึกษาบางงานที่ชี้ว่าขิงอาจมีสรรพคุณลดอาการเจ็บที่เกิดขึ้นมาจากโรคข้อเสื่อม จากการทดสอบหนึ่งที่ให้คนไข้รับประทานสารสกัดจากขิงประเภทหนึ่ง (Zintona EC) ในปริมาณ 250 กรัม วันละ 4 ครั้ง พบว่าช่วยลดลักษณะของการปวดข้อหัวเข่าหลังจากการรักษาเป็นเวลา 3 เดือน ส่วนอีกการค้นคว้าวิจัยที่ใช้สารสกัดจากขิงผสมกับข่า พบว่าได้ผลลัพธ์ในการช่วยลดอาการเจ็บขณะยืน ลักษณะของการเจ็บหลังเดิน รวมทั้งอาการข้อติด
ยิ่งกว่านั้น มีการเรียนเทียบประสิทธิภาพระหว่างขิงและก็ยาพารา โดยให้คนไข้โรคข้ออักเสบในกระดูกบั้นท้ายรวมทั้งข้อหัวเข่ารับประทานสารสกัดขิง 500 มิลลิกรัมวันแล้ววันเล่า วันละ 2 ครั้ง ขิงให้ผลบรรเทาลักษณะของการปวดได้เทียบเท่ากับการใช้ยาไอบูโพรเฟน 400 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง แล้วก็ยังมีงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยที่ชี้แนะว่าการนวดด้วยน้ำมันที่มีส่วนผสมของขิงรวมทั้งส้มบางทีอาจช่วยบรรเทาลักษณะของการปวดและก็อ่อนล้าที่เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆของคนไข้ที่มีอาการเจ็บเข่าได้ด้วย
อาการปวดเมนส์ นอกจากลักษณะของการปวดจากโรคข้อเสื่อม การเล่าเรียนบางงานยังชี้ว่าขิงอาจมีคุณลักษณะช่วยทุเลาลักษณะของการปวดรอบเดือน เป็นต้นว่า การทดลองในนักศึกษามหาวิทยาลัย 120 คน โดยให้กินผงเหง้าขิงครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้งในช่วง 2 วันก่อนเริ่มมีเมนส์สม่ำเสมอไปจนถึง 3 วันแรกของการมีระดู รวมทั้งหมดเป็น 5 วัน พบว่าผงเหง้าขิงมีส่วนช่วยลดความร้ายแรงของอาการปวดประจำเดือนได้อย่างมีนัยสำคัญด้านการเล่าเรียนเปรียบสมรรถนะของขิงแล้วก็ยาลดอาการปวดเมนส์อย่างเมเฟนามิค (Mefenamic acid) หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) 400 มก. ในอาสาสมัคร 150 คน โดยแบ่งกลุ่มกินแคปซูลขิงหรือยาแต่ละชนิดในจำนวน 250 มก. วันละ 4 ครั้ง นาน 3 วัน โดยเริ่มตั้งแต่มีเมนส์ ผลสรุปปรากฏไปในทำนองเดียวกันกับงานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยแรกเป็นขิงมีคุณภาพบรรเทาความร้ายแรงของอาการปวดระดูไม่มีความต่างกับการใช้ยาเมเฟนามิคหรือไอบูโพรเฟน
การรักษาที่อาจไม่ได้ผล
อาการเมารถแล้วก็เมาเรือ นับเป็นคุณประโยชน์ของขิงที่มีการเอ๋ยถึงกันมากมาย ทว่าหากแม้ขิงบางทีก็อาจจะช่วยลดอาการเวียนหัวได้ แต่ว่าสำหรับในการตาลายอาเจียนที่เกิดขึ้นจากการเดินทางนั้น งานวิจัยส่วนมากบอกว่าขิงบางทีอาจไม่มีส่วนช่วยได้จริง เช่น การแบ่งกรุ๊ปให้เด็กนักเรียนนายเรือ 80 ไม่คุ้นเคยกับการออกเรือท่ามกลางทะเลที่มีคลื่นแรง รับประทานเหง้าขิง 1 กรัม เทียบกับอีกกลุ่มที่กินยาหลอก ปรากฏว่ากรุ๊ปที่รับประทานขิงนั้นมีอาการอ้วกแล้วก็ตาลายลดน้อยลงจริงแม้กระนั้นอยู่ในระดับน้อยเพียงแค่นั้น หรือในอีกงานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยที่ชี้ว่าการกินผงขิงในปริมาณ 500 กรัม 1,000 กรัม หรือเหง้าขิงสด 1,000 มิลลิกรัม ต่างไม่มีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการป้องกันอาการเมารถหรือการทำงานของกระเพาะที่เกี่ยวกับอาการเมารถที่เกิดขึ้นอย่างเป็นจริงเป็นจังแต่อย่างใด
การดูแลและรักษาที่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอต่อการกำหนดคุณภาพ
อาการอ้วกคลื่นไส้จากกระบวนการทำเคมีบำบัดรักษา อีกหนึ่งสรรพคุณเป็นลดอาการอ้วกและคลื่นไส้ ซึ่งมีการศึกษาเล่าเรียนทางวิทยาศาสตร์ แต่ว่าหลักฐานเกี่ยวกับการใช้ขิงในคนเจ็บที่รับเคมีบรรเทานั้นยังเป็นที่โต้วาทีกันอยู่ว่าจะมีส่วนช่วยได้ใช่หรือไม่ การเล่าเรียนหนึ่งที่ชี้ถึงประโยชน์ข้อนี้ของขิง โดยให้คนเจ็บรับประทานแคปซูลขิงที่มีขิง 0.5-1.5 กรัม เทียบกับยาหลอก ตั้งแต่ 3 วันก่อนวันทำเคมีบำบัดรักษานานต่อเนื่องเป็นเวลา 6 วัน พบว่า มีระดับความรุนแรงของอาการอาเจียนที่เกิดขึ้นภายหลังจากการรักษาน้อยกว่ากรุ๊ปที่มิได้กินแคปซูลขิง แต่เห็นผลได้ชัดในกลุ่มที่ใช้แคปซูลขิง 0.5 กรัม กับ 1 กรัมเท่านั้น ส่วนกลุ่มที่รับประทานแคปซูลขิง 1.5 กรัมกลับได้ผลน้อยกว่า หมายความว่าการกินขิงในปริมาณมากก็เลยอาจไม่ได้ทำให้อาการอ้วกอย่างที่น่าจะเป็น
อย่างไรก็ดี มีหลักฐานที่โต้เถียงข้อส่งเสริมดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นซึ่งเป็นงานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยที่เผยว่าการรับประทานขิงมิได้มีประสิทธิภาพดีไปกว่าการใช้ยาแก้อาเจียน ดังนี้ ผลวิจัยที่ขัดแย้งกันนี้ คาดว่าอาจมีต้นเหตุมาจากปริมาณขิงที่ใช้ทดลองนั้นแตกต่าง รวมถึงตอนที่เริ่มรักษาโดยใช้ ขิงจะนำมาใช้คุณประโยชน์ด้านการแพทย์ในด้านนี้แล้วเห็นผลไหมอาจควรมีการรับรองเพิ่มเติมอีกต่อไป
เบาหวาน คุณสมบัติของขิงต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานในปัจจุบันยังมีผลการศึกษาที่ไม่แน่นอน งานศึกษาเรียนรู้วิจัยหนึ่งพบว่าการกินขิง 2 กรัม นาน 12 อาทิตย์ สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม ระดับไขมันในเลือด และสารมาลอนไดอัลดีไฮด์ที่แสดงถึงระดับอนุมูลอิสระในคนไข้เบาหวานประเภทที่ 2 และก็บางทีอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังบางจำพวกจากโรคเบาหวานได้ ในขณะเดียวกัน มีงานศึกษาค้นคว้าวิจัยอื่นๆที่ชี้แนะว่าขิงนั้นมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดจริง แต่กลับไม่เป็นผลต่อระดับอินซูลิน หรือบางงานศึกษาวิจัยบอกว่าขิงส่งผลกับอินซูลิน แต่กลับไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ซึ่งผลการศึกษาวิจัยที่แตกต่างนั้นอาจมาจากจำนวนขิงหรือระยะเวลาที่ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานในแต่ละการทดสอบนั้นไม่เท่ากันนั่นเอง
ของกินไม่ย่อย มีการศึกษาค้นคว้าเรียนคุณภาพของขิงในผู้ป่วยที่มีลักษณะอาหารไม่ย่อยปริมาณ 11 คน โดยให้กินแคปซูลที่มีขิง 1.2 กรัมภายหลังจากการงดอาหาร 8 ชั่วโมง ผลปรากฏว่าขิงช่วยกระตุ้นให้กระเพาะเกิดการย่อยอาหารแล้วก็มีการบีบตัวของกระเพาะส่วนปลาย ทว่าการกินขิงนั้นไม่มีผลต่ออาการที่เกี่ยวเนื่องกับระบบทางเดินอาหารหรือสารเปปไทด์ในลำไส้ แม้กระนั้น ผู้ร่วมการทดสอบนี้มีปริมาณน้อย ทำให้ไม่บางทีอาจระบุได้อย่างเห็นได้ชัดว่าขิงช่วยลดอาการอาหารไม่ย่อยได้แน่นอนแค่ไหน
อาการเมาค้าง เชื่อกันว่าการกินน้ำขิงจะสามารถช่วยบรรเทาอาการแฮงค์ซึ่งได้ผลสำเร็จใกล้กันจากการดื่มแอลกอฮอล์ได้ สำหรับผลดีข้อนี้มีการค้นคว้าแต่ก่อนที่เสนอแนะว่าการผสมขิงกับเปลือกข้างในของส้มเขียวหวาน และน้ำตาลก่อนดื่มแอลกอฮอล์จะช่วยลดอาการแฮงค์ในภายหลัง รวมทั้งอาการคลื่นไส้ อ้วกและท้องร่วง แม้กระนั้น การศึกษาเล่าเรียนดังที่กล่าวถึงแล้วยังจัดว่าไม่ชัดแจ้งอยู่มากและไม่บางทีอาจรับประกันได้ว่ามีเหตุมาจากขิงจริงๆหรือส่วนประกอบอื่นๆที่ใช้ประกอบ
ลดคอเลสเตอรอล คุณลักษณะของขิงซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลนั้นได้มีการทดสอบโดยให้คนไข้ที่มีสภาวะไขมันในเลือดสูงรับประทานแคปซูลขิงวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 กรัม คำตอบกล่าวว่าเมื่อเทียบกับคนเจ็บกรุ๊ปที่รับประทานยาหลอก ขิงมีประสิทธิภาพช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลลงได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งการใช้ขิงลดระดับคอเลสเตอรอลจะให้ผลดีจนถึงสามารถประยุกต์ใช้รักษาผู้ป่วยภาวะนี้ได้หรือไม่อาจจะต้องรอคอยการเรียนรู้ในอนาคตที่กระจ่างกันถัดไป
อาการเจ็บกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย คุณสมบัติด้านการบรรเทาปวดและลดการอักเสบของขิงจะช่วยลดอาการเจ็บจากการบริหารร่างกายได้ด้วยไหมนั้นยังคงคลุมเครือและเป็นที่โต้วาทีกันอยู่เช่นกัน จากการทดลองหนึ่งที่ให้ผู้เข้าร่วมกินขิงสดหรือขิงที่ทำให้สุกด้วยความร้อนแล้ว 2 กรัมอย่างสม่ำเสมอนาน 124 ชั่วโมง พบว่าขิงสดและก็ขิงสุกต่างมีส่วนช่วยลดลักษณะของการเจ็บกล้ามเนื้อจากการบริหารร่างกายแบบหดยืดกล้ามเนื้อได้ในระดับปานกลางไปจนกระทั่งระดับมาก
แต่ว่าอีกงานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยหนึ่งกลับพบผลสรุปในทางตรงกันข้าม จากการให้ผู้เข้าร่วมการทดลองที่ทำกิจกรรมบริหารร่างกายยืดหดกล้ามเนื้อเหมือนกัน กินขิง 2 กรัมในตอน 1 วันรวมทั้ง 48 ชั่วโมงภายหลังการออกกำลังกาย พบว่ามิได้ทำให้ลักษณะของการเจ็บกล้ามเนื้อ การอักเสบ หรือบาดเจ็บที่เกิดขึ้นมาจากการบริหารร่างกายลดลง แม้กระนั้นผู้ศึกษาวิจัยพบว่าการกินขิงบางทีอาจช่วยทำให้ลักษณะการเจ็บกล้ามค่อยๆดียิ่งขึ้นในวันแล้ววันเล่า หากแม้อาจไม่เห็นผลตอบแทนทันที
อาการปวดศีรษะไมเกรน มีการศึกษาเล่าเรียนกับผู้เจ็บป่วย 100 คน ที่เคยมีลักษณะอาการปวดหัวไมเกรนกระทันหันโดยให้รับผงขิงหรือยารักษา http://www.disthai.com/[/b]
หน้า: [1]
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย