กระทู้ล่าสุดของ: oiksdfu01457

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: [1]
1  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรใบบัวบกมีสรรพคุณที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เมื่อ: สิงหาคม 25, 2018, 01:37:33 pm
[/b]
บัวบ[/size][/b]
ใบ[url=http://www.disthai.com/16913509/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%81]บัวบก
เป็นพืชสมุนไพรที่พวกเราต่างรู้จักกันดีในฐานะของผักพื้นบ้าน นิยมเอามากินกับน้ำพริกหรือเมนูอาหารต่างๆแบบใหม่ๆและก็ยังนิยมนำมาทำเป็นเครื่องดื่มน้ำใบบัวบกเพื่อดับหิว แก้บอบช้ำใน และก็เพื่อช่วยทำนุบำรุงร่างกาย ซึ่งจัดว่าเป็นพืชสมุนไพรที่อยู่ในแถบทวีปเอเชียพวกเรานี้เอง ด้วยคุณประโยชน์ที่หลากหลาย จึงทำให้มันเป็นทั้งยารักษาโรคและตัวดูแลสุขภาพ ในขณะนี้เริ่มมีการทำวิจัย สกัดสารสำคัญในใบบัวบกประยุกต์ใช้สำหรับในการรักษาในรูปของยาแคปซูล รวมทั้งบัวบกผงสำหรับชงดื่มอีกด้วย
ลักษณะของใบบัวบก
บัวบก มีชื่อเรียกทางด้านวิทยาศาสตร์ว่า Centella asiatica อยู่ในวงศ์ Umbelliferae ซึ่งเป็นสกุลเดียวกันกับผักชี ส่วนชื่อแคว้นถูกเรียกในชื่อที่หลากหลาย เป็นต้นว่า ผักแว่น ผักหนอก แล้วก็กะโต่ เป็นต้น  ลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นพืชล้มลุก มีกอติดอยู่ที่พื้นดิน ลำต้นจะเลื้อยแพร่กิ่งไปตามพื้นดินในแนวขนาน แก่ยืนยาวได้นานนับเป็นเวลาหลายปี การแตกรากรวมทั้งใบจะเกิดขึ้นตามข้อ ลักษณะเป็นใบคนเดียว มีรูปร่างราวกับไต จะออกเป็นกลุ่มตามข้อ ขอบใบหยัก มีก้านใบยื่นยาวออกมา ดอกเป็นสีม่วงคละเคล้าแดง ผลแบน ออกเป็นดอกคนเดียวหรือช่อขนาดเล็กราวๆ 3-4 ดอก มีเอกลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ในเรื่องของกลิ่น รวมทั้งรสชาติที่ขมปนหวาน
ประโยชน์ของใบบัวบักที่นิยมเอามากิน
พวกเราบางทีอาจคุ้นชินว่าบัวบกเป็นพืชสมุนไพรแก้บอบช้ำในเป็นหลัก แม้กระนั้นอันที่จริงแล้วสมุนไพรประเภทนี้มีสาระสำหรับในการรักษาอีกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น การดูแลรักษาโรคลมชัก โรคผิวหนัง ท้องเสีย รักษาโรคในกระเพาะ ช่วยบำรุงสมอง และก็ช่วยเพิ่มความจำ ฯลฯ การรับประทานใบบัวบกแบบสดๆจะทำให้ร่างกายได้สารสำคัญหลายประเภท ที่พบได้บ่อยเป็น "สารไกลโคไซด์" (Glycosides) ซึ่งจัดว่าเป็นสารที่ผลเข้าไปกีดขวางการเกิดสารอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสื่อมโทรมสภาพของเซลล์รวมทั้งเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกาย มีส่วนช่วยเร่งการสร้างคอลลาเจนที่ผิว กระดูก แล้วก็เอ็น ทำให้แผลสมานตัวเข้าพบกันได้เร็วขึ้นกว่าเดิม
สรรพคุณของใบบัวบก ไม่ว่าจะเป็นการทานฯลฯดิบๆหรือนำมาคั้นเป็นน้ำดื่ม ล้วนมีคุณประโยชน์ทางยาที่ไม่มีความแตกต่างกัน
เพราะมีฤทธิ์เป็นยาเย็น จะช่วยลดการเกิดอาการร้อนใน ช่วยลดการเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อม ในกลุ่มสตรีที่อยู่ในวัยใกล้หมดระดู คนที่ต้องใช้สมองสำหรับเพื่อการทำงานมากๆใบบัวบกจะเป็นตัวช่วยเพิ่มความจำก้าวหน้า ช่วยลดความเคร่งเครียด ลดการอักเสบที่ผิวหนัง อาการฟกช้ำดำเขียวแล้วก็ร่องรอยผิดปกติที่เกิดบนผิวหนัง นอกจากนั้นผู้ที่บริโภคใบบัวบกข้างหลังการผ่าตัด จะช่วยทำให้แผลสมานตัวได้เร็วขึ้น แล้วก็ลดการตำหนิดเชื้อได้
คุณประโยชน์ของบัวบกกับผลที่เกิดจากการวิจัย
งานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยได้เอ่ยถึงบัวบกเอาไว้ว่า เป็นพืชที่มีสรรพคุณสะดุดตาในด้านการบำรุงสมองเช่นเดียวกันกับแปะก๊วย ช่วยกระตุ้นสมองสำหรับในการจำสิ่งต่างๆเจริญขึ้น รวมทั้งช่วยความก้าวหน้าทำความเข้าใจทางสมอง แล้วก็ด้วยคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้ทำให้มันแปลงเป็นพืชที่ถูกจดสิทธิบัตรสารสกัดจากบัวบกที่มีหน้าที่่ช่วยเพิ่มความจำ
จากการทดสอบในลูกหนู พบว่ามีความจำรวมทั้งการศึกษาที่ดีขึ้น ส่วนในคน มีการทดลองในเด็กพิเศษ ด้วยการกินบัวบกวันละ 500 มก. ติดต่อกัน 3 เดือน เปรียบเทียบกับกรุ๊ปควบคุม พบว่ามีความสามารถสำหรับในการเรียนรู้ที่ดีมากยิ่งกว่า ส่วนในผู้สูงวัยให้ทดลองกินสารสกัดบัวบก 750 มก. ต่อเนื่องกัน 2 เดือน พบว่า ความจำและการเรียน ทั้งยังยังช่วยลดอารมณ์แปรปรวน ทำให้คนแก่มีจิตใจเบิกบานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วย ในรายที่เป็นวัยทำงาน ได้กระทำทดลองกับสตรีอายุประมาณ 33 ปี กินสารสกัดบัวบก 500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง พบว่าช่วยลดความเครียด ความไม่ค่อยสบายใจ และก็ภาวะเหงาหงอยลงได้
เมื่อเจาะลึกลงไปถึงระดับเซลล์ พบการทำงานของสารสกัดบัวบกที่ตรงเข้าออกฤทธิ์กับสมอง ช่วยให้การหายใจระดับเซลล์ข้างในสมองดำเนินงานเจริญขึ้น มีสารต้านทานอนุมลอิสระ ช่วยสร้างสมดุลสารสื่อประสาท และต้านทานการเสื่อมสภาพของเซลล์สมองได้
การนำใบบัวบกมาใช้บริโภคเพื่อเป็นยา
บัวบ[/b]สามารถประยุกต์ใช้เป็นยาได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นส่วนของต้นสด เม็ด หรือใบ ซึ่งเป็นที่นิยมประยุกต์ใช้มากที่สุด การเลือกใบบัวบกที่ดี ควรจะเลือกใบที่โตเต็มกำลังและก็บริบูรณ์ ประยุกต์ใช้ตากแห้งป่นเป็นผงบรรจุลงในแคปซูลราว 500 มก. กินเป็นยาบำรุงร่างกาย
นำเอาใบบัวบกสด 1 กำมือ มาคั้นให้ได้น้ำ หรือตำอย่างถี่ถ้วนแล้วผสมกับน้ำ 1 แก้ว คนจะกว่าจะเข้ากันหลังจากนั้นกรองให้เหลือแต่น้ำ ผสมน้ำตาลหรือเกลือก็ได้ตามชอบ ดื่มทีละ 1 แก้ว ก่อนที่จะรับประทานอาหารทั้งยัง 3 มื้อ ราวๆ 5-7 วัน จะช่วยลดอาการร้อนในและก็แก้บอบช้ำในได้
ในกรณีที่เป็นผู้เจ็บป่วยโรคความดันโลหิตสูง ให้สามารถดื่มน้ำใบบัวบกแต่ละวัน ต่อเนื่องกันโดยประมาณ 7 วัน จะช่วยลดความดันให้อยู่ในระดับปกติ
เมล็ดขอบัวบก
ที่มีรสขมและก็เย็น นิยมนำมาใช้แก้ไข้ ลดลักษณะของการปวดหัว และก็แก้บิด
[/b]
ข้อควรปฏิบัติตามสำหรับในการใช้ใบบัวบก
ก่อนกินใบบัวบกเพื่อเป็นยา ต้องตรวจตราสุขภาพร่างกายของตนก่อนว่าฐานรากแล้วมีโรคประจำตัวอะไรที่มีความเสี่ยงหรือเปล่า ด้วยเหตุว่าสารบางประเภทในใบบัวบก จะเข้าไปทำให้ลักษณะของโรคกำเริบเสิบสานมากยิ่งขึ้นได้
เนื่องจากว่าบัวบกเป็นยาที่มีฤทธิ์เย็น การกินมากเกินความจำเป็นจะมีผลให้สะสมในร่างกายจนกระทั่งรู้สึกหนาวมากขึ้นได้
หลบหลีกการกินใบบัวบกติดต่อกันวันแล้ววันเล่า หรือกินทีละมากๆเมื่อรับประทานต่อเนื่องกันราวๆ 1 อาทิตย์แล้ว ก็ควรหยุดพัก 1 อาทิตย์ และก็หลังจากนั้นจึงค่อยกลับมากินใหม่
สำหรับรับประทานใบบัวบกสดๆต่อเนื่องกันทุกวัน ควรจะกินในสัดส่วนโดยประมาณวันละ 3-6 ใบ ไม่สมควรเกินไปกว่านี้
ถ้าเกิดร่างกายมีลักษณะเหน็ดเหนื่อย วิงเวียน ใจสั่น หรือหัวใจเต้นแตกต่างจากปกติ รู้สึกคันตามผิวหนัง ท้องเสีย ภายหลังจากการกิน ควรหยุดรับประทานทันทีและรีบเข้าพบหมออย่างเร่งด่วน
ในกลุ่มคนที่จำเป็นต้องกินยาแก้แพ้ ยานอนหลับ หรือยากันชัก ไม่ควรกินใบบัวบก เนื่องมาจากจะยิ่งไปเพิ่มฤทธิ์ให้รู้สึกง่วงซึมมากเพิ่มขึ้น
ใบบัวบกเป็นพืชสมุนไพรไทยที่หาได้ง่ายทั่วๆไปตามตลาด มีราคาถูก แต่ว่าจำนวนมากด้วยคุณประโยชน์ทางยา ที่จะเป็นหนทางสำหรับในการรักษาโรคต่างๆแล้วก็ใช้สำหรับบำรุงร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ http://www.disthai.com/[/b]

Tags : สมุนไพรบัวบก
2  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / เหงือกปลาหมอนับว่าเป็นสมุนไพรที่น่าอัศจรรย์ เมื่อ: สิงหาคม 21, 2018, 09:38:40 am
[/b]
เหงือกปลาหม[/size][/b]
บ้านเกิดเหงือกปลาหมอ
[url=http://www.disthai.com/16910138/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD]เหงือกปล[/b]หมอนับว่าเป็นสมุนไพรท้องถิ่นของไทยพวกเราเนื่องจากมีประวัติในการประยุกต์ใช้เป็นยาสมุนไพรมาตั้งแต่โบราณแล้ว ซึ่งเหงือกปลาหมอนี้เป็นพรรณไม้ที่มักขึ้นที่โล่งแจ้งแล้วก็ชอบมักพบในบริเวณป่าชายเลน หรือตามพื้นที่ชายน้ำริมฝั่งคลอง เติบโตก้าวหน้าในที่ร่มรวมทั้งมีความชุ่มชื้นสูง หรือในแถบที่ดินเค็มและไม่ชอบที่ดอน แถบภาคอีสารก็มีรายงายว่าปลูกได้เหมือนกัน เหงือกปลาแพทย์ เจออยู่ 2 ประเภทเป็นชนิดดอกสีขาว Acanthus ebracteatus Vahl พบได้บ่อยในภาคกึ่งกลางแล้วก็ภาคทิศตะวันออก ประเภทดอกสีม่วง  Acanthus ilicifolius L. เจอทางภาคใต้ อีกทั้งเหงือกปลาหมอยังเป็นชนิดไม่ลือชื่อของจังหวัดสมุทรปราการอีกด้วย
ลักษณะทั่วไป
ต้นเหงือกปลาหมอ เป็นไม้พุ่มขนาดกึ่งกลาง มีความสูงราว 1-2 เมตร ลำต้นแข็ง มีหนามอยู่ตามข้อของลำต้น ข้อละ 4 หนาม ลำต้นกลม กลวง ตั้งชัน มีสีขาวอมเขียว ลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 1.5 เซนติเมตร
ใบเหงือกปลาหมอ ใบเป็นใบลำพัง ลักษณะของใบมีหนามคมอยู่ริมขอบของใบและก็ปลายใบ ขอบของใบเว้าเป็นช่วงๆผิวใบเรียบเป็นเงาลื่น แผ่นใบสีเขียว เส้นใบสีขาว มีชำเลืองสีขาวเป็นแถวก้างปลา เนื้อเรือใบแข็งรวมทั้งเหนียว ใบกว้างโดยประมาณ 4-7 เซนติเมตร แล้วก็ยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร ใบจะออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน ก้านใบสั้น
ดอกเหงือกปลาหมอ ออกดอกเป็นช่อตั้งตามปลายยอด ยาวราว 4-6 นิ้ว ดังนี้สีของดอกขึ้นอยู่กับจำพวกของต้นเหงือกปลาหมอเป็น ดอกมีอีกทั้งชนิดดอกสีม่วง หรือสีฟ้า และก็พันธุ์ดอกสีขาว แต่ลักษณะอื่นๆเหมือกันเป็น  ที่ดอกมีกลีบรองดอกมี 4 กลีบ กลีบแยกจากกัน ส่วนกลีบเป็นท่อปลายบานโต ยาวประมาณ 2-4 เซนติเมตร บริเวณกลางดอกจะมีเกสรตัวผู้และก็เกสรตัวเมียอยู่
ผลเหงือกปลาหมอ ลักษณะของผลเป็นฝักสีน้ำตาล ลักษณะของฝักเป็นทรงกระบอกกลมรี รูปไข่ ยาวประมาณ 2-3 ซม. เปลือกฝักมีสีน้ำตาล ปลายฝักป้าน ภายในฝักมีเม็ด 4 เม็ด
เหงือกปลาหมอ
รักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน ขี้กลากเกลื้อน
ชื่ออื่น : แก้มแพทย์ แก้มแพทย์เล จะเกร็ง นางเกร็ง อีเกร็ง [url=http://www.disthai.com/16910138/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD]เหงือกปลาหมอ
น้ำเงิน
ในตำรายาไทยบอกว่า เหงือกปลาหมอสามารถแก้โรคผิวหนังได้ทุกชนิด
ในเมื่อเหงือกปลาหมอมีสรรพคุณเด่นแก้น้ำเหลืองเสียได้ โรคผิวหนังต่างๆแม้แต่ โรคอีสุกอีใส ที่เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสก็จะลดน้อยลงลง
ในกรณีโรคผิวหนังพุพองจากเชื้อไวรัสเอดส์ แม้ว่าจะร้ายแรงกว่าโรคผิวหนังทั่วไป แต่เมื่อใช้เหงือกปลาแพทย์เป็นทั้งยากินและต้มน้ำอาบต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาที่ยาวนานกว่า 3 ข้างขึ้นไป แผลพุพอง ก็จะบรรเทาเบาบางลงอย่างชัดเจน สำหรับคนไข้โรคผิวหนังด้วย
วิธีปรุงยาแล้วก็การใช้ยาก็มีหลายแนวทาง เป็น
แนวทางต้มยากินแล้วก็อาบ
เอาเหงือกปลาหมอสดหรือแห้งสับเป็นท่อนเล็กๆใส่เต็มขันขนาด 1 ลิตร ใส่น้ำ 4 ขัน ต้มยาให้เดือดนาน 10 นาที ตักน้ำยาขึ้นมา 1 แก้ว แบ่งไว้สำหรับดื่มกินขณะอุ่นๆทีละครึ่งแก้ว วันละ 2 ครั้ง ยามเช้า-เย็น ก่อนรับประทานอาหาร
ส่วนน้ำยาที่แบ่งไว้อาบนั้น ต้องใช้อาบขณะน้ำยายังอุ่นอยู่ ก่อนอาบน้ำต้องชำระล้างร่างกายด้วยสบู่ให้สะอาดเสียก่อน เมื่ออาบน้ำยาแล้ว ไม่ต้องอาบน้ำธรรมดาตามอีก อาบน้ำยาวันละ 2 ครั้ง รุ่งเช้า-เย็นครั้งละ 3-4 ขัน แต่ว่าถ้ามีเหงือกปลาหมอเป็นจำนวนมาก บางทีก็อาจจะต้มยาเพื่อเป็นการแช่ทั้งตัวในอ่างก็ยิ่งดี
วิธีการทำเป็นยาลูกกลอน
นำเหงือกปลาหมอ 5 หนตากแห้งมาบดเป็นผุยผงละเอียด 2 ส่วน ผสมน้ำผึ้งแท้ 1 ส่วน ปั้นเป็นเม็ดลูกกลอนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เซนติเมตร ผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 2 เม็ด เด็กอาจจะรับประทานครั้งละ 1 เม็ดหรือครึ่งเม็ดตามขนาดอายุแล้วก็น้ำหนัก กินวันละ 2 ครั้ง ก่อนที่จะกินอาหาร เช้าตรู่-เย็น กินไปเรื่อยๆจวบจนกระทั่งจะหาย แต่ว่าถ้าเกิดเป็นโรคผิวหนังจากภูมิคุ้มกันผิดพลาดก็ต้องรับประทานตลอดกาล
[/b]
วิธีทำเป็นแคปซูล
นำผงเหงือกปลาหมอที่ผ่านการบินเป็นผุยผงละเอียดเหมือนแป้งบรรจุแคปซูลขนาด 250 มิลลิกรัม คนแก่รับประทานครั้งละ 2 แคปซูลวันละ 2-3 เวลาก่อนอาหาร เด็กลดลงตามส่วน
 เหงือกปลาหมอมีสรรพคุณมาก ยกตัวอย่างเช่น
-ราก มีสรรพคุณสำหรับในการแก้โรคหืด อัมพาต แก้ไอ และก็ใช้ขับเสลด
-ต้น มีคุณประโยชน์รักษาโรคหลายประเภท โดยใช้ต้นตำผสมน้ำดื่มรักษาวัณโรค อาการผอมแห้ง ถ้าเกิดใช้ทาก็ช่วยแก้โรคเหน็บชาได้
-ลำต้น ไปผสมกับสมุนไพรอื่นๆก็จะได้สรรพคุณทางยาแตกต่างกันออกไปอีก
-ต้นรวมรากต้มอาบแก้พิษไข้หัวลม แก้โรคผิวหนังทุกประเภท
-ทั้งยังต้นสดตำพอกปิดหัวฝีแผลเรื้อรังทำลายพิษ ต้มกินแก้พิษไข้ทรพิษ ฝีทั้งมวล ผลกินเป็นยาขับเลือดรอบเดือน นอกเหนือจากนั้น ถ้าหากตาเจ็บ ตาแดง เอา
"เหงือกปลาหมอ" ทั้งยังต้นตำกับขิงคั้นเอาน้ำหยอดตาหาย เป็นเหน็บชา ชาตลอดตัว
- ต้นตำทาบริเวณที่เป็นจะดีขึ้น
- ตำเอาน้ำดื่มกากพอก งูกัด
- ต้นกับขมิ้นอ้อยตำทาป็นฝีฟกบวม เป็นริดสีดวงทวาร
- ต้นตำกับขิงกิน โรคเรื้อน คุดทะราด ป่วยจับสั่น
- อีกทั้งต้นตำใบส้มป่อยต้มดื่ม เจ็บหลัง เจ็บเอว
- "เหงือกปลาหมอ" กับชะเอมเทศตำผงละลายน้ำผึ้งปั้นเป็นก้อนรับประทาน ริดสีดวงแห้ง
ในท้อง ผอมเกร็งเหลืองหมดทั้งตัว กินทุกวี่ทุกวัน
- "เหงือกปลาหมอ" กับเปลือกมะรุมเสมอกันใส่หม้อ เกลือบางส่วน หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ ใช้ฟืน 30 แท่ง ต้มกับน้ำจนถึงเดือดให้งวดก็เลยยกลง อั้นลมหายใจกินขณะอุ่นกระทั่งหมด เป็นริดสีดวง มือตายตีนตาย ร้อนทั้งตัว มึนหัว ตามัว เจ็บระบมหมดทั้งตัว ตัวแห้ง จะหายได้
- "เหงือกปลาหมอ" ทั้ง 5 รวมราก กับ อาหารเย็นเหนือ อาหารเย็นใต้ จำนวนเท่ากัน กะตามอยาก ต้มกับน้ำกระทั่งเดือดดื่มขณะอุ่นทีละ 1 แก้ว 3 เวลา เช้าตรู่ ช่วงเวลากลางวัน เย็น ต้มดื่มปอดเริ่มมีปัญหาเป็นฝ้าจะอาการดีขึ้น ไปให้แพทย์เอกซเรย์ปอดไม่เป็นฝ้าอีกหยุดต้มกินได้เลย แล้วก็ต้องระมัดระวังอย่าให้เป็นอีก
ยาอายุวรรฒนะ
- "เหงือกปลาหมอ" 2 ส่วน พริกไทย 1 ส่วน ทำเป็นผงละลายน้ำผึ้งปั้นกินทุกวี่ทุกวัน
กินได้ 1 เดือน ไม่มีโรค ปัญญาดี
กินได้ 2 เดือน ผิวหนังเต่งตึง
กินได้ 3 เดือน โรคริดสีดวงทุกประเภทหาย
กินได้ 4 เดือน แก้ลม 12 พวก หูดี
กินได้ 5 เดือน หมดโรค
กินได้ 6 เดือน เดินไม่เคยรู้อ่อนล้า
กินได้ 7 เดือน ผิวงาม
กินได้ 8 เดือน เสียงไพเราะเพราะพริ้ง
กินได้ 9 เดือน หนังเหนียว
-"เหงือกปลาหมอ" 1 ส่วน ดีปลี 1 ส่วน ทำผงชงรับประทานกับน้ำร้อนถ้าผิวแตกทั้งตัวหายได้ ทั้งสิ้นที่บอกเป็นตำราเรียนยาโบราณ ไม่เชื่อก็ไม่ควรลบหลู่ รู้ไว้เป็นวิชา http://www.disthai.com/[/b]

Tags : สมุนไพรเหงือกปลาหมอ
3  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรพญายอมีรูปร่างอย่างไรเเละสรรพคุณ-ประโยชน์ดีอย่างไร..?... เมื่อ: สิงหาคม 18, 2018, 07:21:37 pm
[/b]
พญาย[/size][/b]
[url=http://www.disthai.com/16913677/%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2]พญายอ
เป็นไม้พุ่งแกมเลื้อย เถารวมทั้งใบมีสีเขียวใบไม้ไม่มีหนาม ใบยาวเรียวปลายแหลม ออกตรงกันข้ามเป็นคู่ ดอกออกเป็นช่อ อยู่ที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมี 3-6 ดอก กลีบดอกเป็นดอกปลายแยกสีแดงอมส้ม
พญายอขึ้นได้งามในดินที่บริบูรณ์ แดดปานกลาง มักพบตามป่าในประเทศไทย หรือปลูกกันตามบ้าน ปลูกโดยใช้ลำต้นปักชำ ฯลฯไม้ที่ปลูกได้ไม่ยาก ตัดกิ่งออกมาซัก 2-3 คืบ ปักขำให้รากออกมาก็ดีก็ย้ายไปปลูกลงในแปลง ดูแลราวกับ พืชไม้ทั่วๆไป
ใบ เป็นยา ให้เก็บขนาดกึ่งกลางที่สมบูรณ์ ไม่แก่หรือไม่อ่อนจนถึงเกินความจำเป็น ใบของพญายอสามารถลดอาการักเสบของหูได้ดิบได้ดี โดยเฉพาะส่วนที่สกัดด้วยสารละลาย “บิวทานอล” ตระกูลสถิต ฉั่วกุล และก็คณะได้เรียนรู้พบว่าสารสำคัญตัวหนึ่งเป็น “เฟลโวนนอยต์” ส่วนด้านที่มีการต้านทานพิษงูยังกำกวม แม้กระนั้นปลอดภัยพอที่จะใช้
ใบพญายอรักษาอาการอักเสบเฉพาะที่ (ปวด, บวม, แดง ร้อนแต่ไม่มีไข้) จากแมลงที่มีพิษกัดต่อย อาทิเช่น ตะขาบ แมงป่อง ผึ้ง ต่อ แตน รักษาโดยการเอาใบสดจากพญายอนี้มาสัก 10-15 ใบ (มากน้อยตามบริเวณที่เป็น) ล้างให้สะอาด ใส่ลงในครกตำยา ตำอย่างละเอียด เติมแอลกอฮอล์พอเพียงเปียกแฉะยา ตั้งทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ หมั่นคนยาแต่ละวัน กรองน้ำยา ใช้น้ำ และกากทาบบริเวณที่เจ็บปวดบวม หรือที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
พญายอ หรือ เสมหะพังพอน เนื่องมาจากเสลดพังพอนมีตลอดตัวผู้ละตัวเมีย แต่เพศผู้ไม่นิยมประยุกต์ใช้เพราะว่ามีฤทธิ์อ่อน รวมทั้งเพื่อไม่ให้งงก็เลยเรียกเสลดพังพอนตัวเมียว่า "พญายอ" ส่วนใหญ่เอามาทำเป็นยาสมุนไพรไทยจัดอยู่ในกลุ่มพืชทำลายพิษ  “พญายอ” เป็นพืชสมุนไพรที่ใช้เป็นยาใช้ภายนอกรักษาด้านนอก มีคุณประโยชน์ทุเลาการอักเสบของผิวหนังเจริญ  มีฤทธิ์ลดการอักเสบ มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัส
คุณสมบัติของผงพญายอสำหรับในการบำรุงผิวพรรณ
- ใช้แก้สิวเม็ดผดผื่นคัน ด้วยการนำมาดองกับสุรา แล้วผสมดินสอพองใช้ทาแก้สิวแล้วก็เม็ดผื่นผื่นคัน
- ใช้แก้โรคผิวหนังผื่นคัน ผสมกับเหล้าใช้เป็นยาแก้ผื่นคัน ไฟลามทุ่ง ผื่นคัน แผลไฟเผาน้ำร้อนลวก
- ใช้รักษาแผลไฟเผาน้ำร้อนลวก พญายอมีสรรพคุณช่วยดับพิษร้อนก้าวหน้า
- อีกตำรากล่าวว่านอกเหนือจากที่จะใช้รักษาแผลไฟลุกน้ำร้อนลวกได้แล้ว ยังช่วยรักษาแผลเปื่อยยุ่ยเพราะเหตุว่าถูกแมงกะพรุนไฟ แผลหมากัด และก็แผลที่เกิดขึ้นมาจากการเช็ดกกรดได้อีกด้วย
- ใช้รักษาแผลน้ำเหลืองเสีย เอามาพอก จะรู้สึกเย็นๆซึ่งยาจะช่วยดูดน้ำเหลืองได้ดี ทำให้แผลแห้งไว
- ใช้แก้ฝี ด้วยการผสมกับเกลือและเหล้า ใช้พอกรอบๆที่เป็น เปลี่ยนแปลงยาทุกตอนเช้าและเย็น
- ใช้เป็นยาขับพิษ ทำลายพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ได้แก่ งู ตะขาบ แมงป่อง มด ยุง ฯลฯ
- พญาย[/color]ใช้รักษาอาการอักเสบ รักษาแผลร้อนในปาก แก้เริม (แผลผิวหนังจำพวกเริม) อีสุกอีใส แก้งูสวัด ไฟลามทุ่ง รวมทั้งใช้เป็นยาทำลายพิษต่างๆเอาน้ำมาดื่มหรือเอาน้ำมาทาแผลแล้วก็เอากากพอกบริเวณแผล
- มีฤทธิ์แก้อาการแพ้ ลดการอักเสบ สามารถลดการอักเสบเรื้อรังได้
- มีฤทธิ์ลดความเจ็บ ช่วยลดลักษณะของการปวด
- มีฤทธิ์ต้านทานไวรัสก้าวหน้าและไม่เป็นพิษต่อเซลล์
[url=http://www.disthai.com/16913677/%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2]
[/b]
วิธีการพอกขัดผิวด้วยผงพญายอ

  • ทำความสะอาดผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าล้างตาแล้วก็เช็ดเครื่องสำอางให้สะอาดก่อนกระบวนการขัดพอกผิว
  • ใช้ผสมกับน้ำที่สะอาด (หรือ ผงสมุนไพรอื่นๆน้ำผึ้ง นม หรือโยเกิร์ต เพื่อทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น)
  • สามารถใช้พอกหรือขัดได้อีกทั้งผิวหน้าแล้วก็ผิวกาย เสมอๆ สัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง

     - สำหรับผิวหน้า พญายอแม้เป็นสิวอักเสบ ห้าม ขัดโดยเด็ดขาด ให้ใช้เป็นการพอกผิวแทน เพื่อไม่ให้เชื้อสิวลุกลามไปทั่วใบหน้า และเพื่อไม่ให้เป็นการก่อกวนผิวหน้ามากเกินไป พอกทิ้งเอาไว้โดยประมาณ 15 นาที
     - ถ้าหากใช้ขัด (สำหรับคนที่ไม่เป็นสิว แล้วก็ผิวกาย) ให้ขัดให้เบามือที่สุด ประมาณแค่ลูบคลำบากบั่นจะไม่ให้นิ้วโดนผิวหน้าเลย ห้ามกดแรงลงบนนิ้วขณะขัด แล้วก็ให้ขัดเพียงแค่ 5 นาทีก็เพียงพอที่สารสำคัญจะออกฤทธิ์แล้ว เมื่อครบ 5 นาทีให้พอกทิ้งเอาไว้จนแห้ง (อาจใช้ช่วงเวลาพอกทิ้งไว้ราวๆ 15 นาที)

  • พญายอ ภายหลังแห้งแล้ว ให้ทำการล้างด้วยน้ำปกติ (ไม่สมควรใช้น้ำอุ่น) ล้างแบบเบาที่สุดหรือให้เปิดฝักบัวเบาๆและปล่อยให้น้ำรดผ่านผิวไปสัก 2-3 นาที แล้วก็ใช้ฝ่ามือลูบให้ค่อยที่สุด โดยใช้หลักการล้างเดียวกับการขัดหน้า คือ เพียรพยายามจะไม่ให้นิ้วโดนผิวหน้าเลย
  • ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว ซึมซับหน้าให้แห้ง

Tip  เพื่อการบำรุงที่เพิ่มขึ้น เมื่อพอกหรือขัดผิวด้วยผงสมุนไพรแล้ว ให้เอาน้ำผึ้งผสมน้ำปกติในอัตราส่วน 1 ช้อนชาเท่ากัน ทาให้ทั่วผิวหน้า แล้วนวดวนเบาๆทั่วบริเวณใบหน้าสักน้อย ทิ้งน้ำผึ้งไว้ 10 นาที ก็ล้างออก เพื่อเป็นการคืนความสดชื่นให้แก่ผิว ทั้งยังช่วยทำให้ผิวหน้าเนียนนุ่มแล้วก็กระจ่างใส มองอ่อนกว่าวัยยิ่งขึ้น http://www.disthai.com/[/b]
4  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / คูนประโยชน์-เเละสรรพคุณ ของราชพฤกษ์ เมื่อ: สิงหาคม 15, 2018, 02:16:50 pm

[/b]
[url=http://www.disthai.com/16488365/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C]ราชพฤกษ์[/url]

คูน ประโยชน์และก็คุณประโยชน์ของคูน หรือ ต้นราชพฤกษ์
ประวัติความเป็นมาดอกราชพฤกษ์
           ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูน เป็นต้นไม้พื้นบ้านของทวีปเอเชียใต้ ตั้งแต่ประเทศปากีสถาน อินเดีย พม่า และศรีลังกา โดยนิยมปลูกกันมากมายในเขตร้อน สามารถเติบโตได้ดีใน และเป็นที่รู้จักในประเทศไทยมาหลายสิบปี โดยมีการเสนอให้ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทยตั้งแต่ปี พุทธศักราช 2506 แต่ว่าก็ยังไม่ได้บทสรุปแจ่มกระจ่าง จนกระทั่งมีการลงชื่อให้เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย เมื่อวันที่ 26 ต.ค. พ.ศ. 2544
ดอกไม้ประจำชาติไทย
           เพราะเหตุว่า ต้นราชพฤกษ์ ออกดอกสีเหลืองชูช่อ มองสง่างาม ทั้งยังมีสีตรงกับ สีทุกวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงถูกตั้งชื่อว่าเป็น "ต้นไม้ของในหลวง" รวมทั้งมีการลงชื่อให้ต้นราชพฤกษ์ เป็นเลิศใน 3 สัญลักษณ์ประจำชาติไทย โดยมี 1. ช้าง เป็นสัตว์ประจำชาติไทย 2. ศาลาไทย เป็นสถาปัตยกรรมประจำชาติไทย และก็ 3. ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย
เหตุผลเลือกเป็นดอกไม้ประจำชาติไทย

  • เนื่องมาจากเป็นต้นไม้ประจำถิ่นที่รู้จักกันอย่างมากมาย แล้วก็มีอยู่ทุกภาคของเมืองไทย
  • มีประวัติเกี่ยวเนื่องกับจารีตประเพณีสำคัญๆในไทยและฯลฯพืชที่มีความเป็นสิริมงคลที่นิยมปลูก
  • ใช้ประโยชน์ได้นานัปการ ยกตัวอย่างเช่น ใช้เป็นยารักษาโรค ทั้งยังคงใช้ลำต้นเป็นเสาเรือนได้ เป็นต้น
  • มีสีเหลืองสวยงาม พุ่มไม้งามเต็มต้น เปรียบเป็นสัญลักษณ์แห่งศาสนาพุทธ
  • แก่ยืนนาน รวมทั้งทน

คูน หรือ ราชพฤกษ์ (Golden Shower, Indian Laburnum) เป็นพืชสมุนไพรพวกยืนต้นขนาดกึ่งกลางถึงกับขนาดใหญ่ ที่มีชื่อเรียกตามเขตแดนต่างๆเช่น ภาคเหนือเรียก ราชพฤกษ์, ลมแล้ง หรือชัยพฤกษ์ ส่วนปัตตานีเรียก ลักเคย หรือลักเกลือ และก็กะเหรี่ยง-กาญจนบุรีเรียก กุเพยะ ฯลฯ ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรท้องถิ่นของเอเชียใต้ไปจนถึงประเทศอินเดีย ศรีลังกา รวมทั้งเมียนมาร์ รวมทั้งคูนหรือราชพฤกษ์นี้ยังเป็นดอกไม้ประจำชาติของไทยอีกด้วย
————– advertisements ————–
การดูแลและรักษา
           แสงสว่าง : อยากแดดจัด หรือกลางแจ้ง รวมทั้งเจริญเติบโตเจริญในที่โล่งแจ้งเป็นพิเศษ
           น้ำ : ถูกใจน้ำน้อย ควรจะรดน้ำ 7-10 วันต่อครั้ง สามารถทนกับสภาพภูมิอากาศร้อนได้ดี
           ดิน : สามารถเติบโตเจริญในดินซึ่งร่วนซุย ดินร่วนคละเคล้าทราย หรือดินเหนียว
           ปุ๋ย : นิยมใส่ปุ๋ยหมัก หรือ ปุ๋ยธรรมชาติ ในอัตรา 2-3 โลต่อต้น และควรจะให้ปุ๋ยปีละ 3-4 ครั้ง
ดอกราชพฤกษ์ ดอกไม้ประจำชาติไทย
การขยายพันธุ์
           วิธีแพร่พันธุ์ต้นราชพฤกษ์ที่นิยมหมายถึงการเพาะเม็ด โดยใช้เม็ดใหม่ๆมาขลิบด้วยกรรไกรตัดเล็บ แม้กระนั้นจำต้องเลือกขลิบรอบๆด้านป้าน เนื่องจากว่าด้านแหลมจะมีต้นอ่อนอยู่ แล้วหลังจากนั้นนำไปแช่น้ำสะอาดทิ้งไว้ผ่านวัน แล้วก็ค่อยเทน้ำออกให้เหลือจำนวนพอหล่อเลี้ยงเมล็ดได้ หลังจากนั้นทิ้งไว้อีกคืนก็จะพบรากงอก และก็สามารถนำลงปลูกได้เลย
ความเชื่อถือเกี่ยวกับต้นราชพฤกษ์
           เชื่อว่าเป็นต้นพืชที่มีความมงคล ที่ควรจะปลูกเอาไว้ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ และก็แม้ปลูกเอาไว้ในบ้านจะช่วยทำให้มีเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางไสยศาสตร์ โดยใช้ใบทำน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ เนื่องจากว่าเป็นพืชที่มีความเป็นสิริมงคลนาม
ลักษณะทั่วไปของคูน
สำหรับต้นคูนนั้นจัดว่าเป็นไม้ต้นขนาดกลาง โดยลำต้นมีสีน้ำตาลอมเทา มักขึ้นตามป่าผลัดใบ หรือในดินที่สามารถระบายน้ำได้ดี ส่วนใบจะมีสีเขียววาว วัวนมน เนื้อใบสะอาดแล้วก็บาง ดอกจะออกเป็นช่อ มีกลีบรูปทรงไข่กลับอยู่ 5 กลีบ แล้วก็มองเห็นเส้นกลีบแจ้งชัด ฝักอ่อนมีสีเขียวแล้วก็จะเป็นสีดำเมื่อแก่จัด แล้วก็ในฝักจะมีฝาผนังเยื่อบางๆกั้นเป็นช่องๆอยู่ตามแนวขวางของฝัก และข้างในช่องพวกนี้จะมีเม็ดสีน้ำตาลแบนๆอยู่
ต้นคูน หรือ ต้นราชพฤกษ์
ประโยชน์แล้วก็คุณประโยชน์ของคูน
ใบ – ช่วยฆ่าพยาธิผิวหนัง ฆ่าเชื้อโรคต่างๆช่วยระบายท้อง สามารถใช้พอกแก้อาการปวดข้อ หรือแก้ลมตามข้อ รวมถึงช่วยแก้โรคอัมพาตของกล้ามเนื้อบนบริเวณใบหน้า หรือนำไปต้มรับประทานแก้เส้นพิการ แล้วก็โรคเกี่ยวกับสมอง ให้รสเมา
ดอกราชพฤกษ์ – ช่วยระบายท้อง แก้ไข้ แก้พรรดึก (ท้องผูก) แล้วก็โรคกระเพาะของกิน และแผลเรื้อรัง ให้รสขมเปรี้ยว
ราก – ช่วยสำหรับเพื่อการฆ่าเชื้อโรคโรคกุฏฐัง ระบายพิษไข้ แก้ขี้กลากหรือโรคเกลื้อน แก้อาการเซื่องซึมหนักบริเวณศีรษะ รวมทั้งช่วยถ่ายสิ่งสกปรกโสโครกออกจากร่างกาย แก้อาการหายใจขัด ทำให้ชุ่มชื่นหน้าอก แก้ลักษณะของการมีไข้ ไปจนถึงรักษาโรคหัวใจ ถุงน้ำดี มีฤทธิ์ถ่ายแรงกว่าเนื้อในฝัก สามารถใช้ได้กับเด็กหรือสตรีมีท้อง ไม่มีผลข้างๆใดๆให้รสเมา
แก่น – ช่วยในการขับพยาธิไส้เดือน ให้รสเมา
กระพี้ – ช่วยแก้โรครำมะนาด ให้รสเมา
เนื้อในฝัก – ใช้พอกเพื่อช่วยแก้ลักษณะของการปวดข้อ แก้ต้นตานขโมย ปรับแก้มาลาเรีย แก้บิด ถ่ายพยาธิ หรือคนที่มีอาการท้องผูกเรื้อรัง รวมทั้งถ่ายเสมะและก็แก้พรรดึก (ท้องผูก) ไปจนถึงระบายพิษไข้ สามารถใช้ได้ในเด็กและก็สตรีตั้งท้อง ไปจนถึงเป็นยาระบายที่ไม่ทำให้ปวดมวนหรือไข้ท้อง ให้รสหวานเหม็นเบื่อ
เปลือกฝัก – ทำให้แท้งลูก ทำให้คลื่นไส้ รวมทั้งขับรกที่ค้างอยู่ออกมา ให้รสฝาดเมา
เม็ด – ทำให้อาเจียน ให้รสเฝื่อนเมา
เปลือกต้น – ช่วยแก้อาการท้องร่วง ใช้ฝนผสมกับหญ้าฝรั่น น้ำดอกไม้เทศ และก็น้ำตาล กินเพื่อให้เกิดลมเบ่ง ให้รสฝาดเมา
เปลือกราก – ช่วยแก้ไข้ไข้จับสั่น แล้วก็ระบายพิษไข้ ให้รสฝาด
ดอกคูน หรือ ดอกราชพฤกษ์
ต้นคูนมักนิยมปลูกเป็นไม้ประดับในพื้นที่เขตร้อนและครึ่งเขตร้อน สามารถเติบโตได้ดิบได้ดีใน และก็ปลูกได้ง่ายทั้งยังในดินซึ่งร่วนซุย ดินร่วนซุยผสมทราย หรือดินร่วนซุยเหนียว รวมถึงยังทนต่อลักษณะอากาศแล้งรวมทั้งดินเค็มเจริญ แต่ถ้าหากอากาศหนาวจัดอาจจะเป็นผลให้ติดเชื้อราหรือโรคใบจุดได้http://www.disthai.com/[/b]

Tags : สมุนไพรราชพฤษ์
5  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ราชพฤกษ์เป็นสมุนไพรที่นำมารักษาโรคได้อย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อ: สิงหาคม 14, 2018, 09:09:54 am
[/b]
ชื่อตระกูล : LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cassia fistula L.
ชื่อสามัญ : Golden shower, Indian laburnum, Pudding-pine tree
ชื่อพื้นเมืองอื่น : ต้นลมแล้ง (ภาคเหนือ) ; ปูโย, เปอโซ, ปือยู, แมะหล่าหยู่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ; คูณ (ภาคกึ่งกลาง, ภาคเหนือ) ; ชัยพฤกษ์, ราชพฤกษ[/b] (ภาคกลาง) ; กุเพยะ (กะเหรี่ยง-จังหวัดกาญจนบุรี)
ประเภทนี้หนังสือเรียนข้างหลังเล่มเสนอ ชื่อใหม่เป็นเพียงแต่ระดับจำพวกย่อยหมายถึงCassia javanica L.subsp javanica K.& S.S .Larsen พืชประเภทนี้เป็นไม้ใหญ่ขนาดเล็ก ถึงกับขนาดกึ่งกลาง สูงได้ถึง ๑๕ เมตร เมื่อลำต้นอย่างอ่อนอยู่มีน้ำแข็งที่เกิดจากกิ่งแก่ที่ร่วงหล่นไป แต่เมื่อต้นแก่ขึ้นจะหายไป ลำต้นไม่เป็นปุ่มปม ใบเป็นใบประกอบแบบขนเรียงสลับกัน มีใบย่อย ๕-๑๕ คู่ ก้านใบยาว ๑.๕-๔ ซม. ศูนย์กลางใบยาว ๒๐-๓๐ เซนติเมตร ใบย่อยรูปไข่ปนรูปมูลหรือรูปขอบขนาน กว้าง ๑.๕-๓ เซนติเมตร ยาว ๒-๕ เซนติเมตร ปลายใบกลมหรือมน โคนใบกลม ใต้ใบมีขนละเอียดอยู่เอนราบกับผิวใบ ก้านใบย่อยสั้นมาก ดอกออกเป็นช่อตามกิ่ง ก้านช่อดอกใหญ่และก็แข็ง ไม่แตกกิ่ง ยาว ๕-๑๖ เซนติเมตร เมื่อเริ่มบานมีสีชมพูแล้ว กลายเป็นสีแดงเข้ม เมื่อใกล้โรยเปลี่ยนเป็นสีออกขาว ดอกย่อยมีก้านเรียวยาว ๓-๕ เซนติเมตร[url=http://www.disthai.com/16488365/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C][url=http://www.disthai.com/16488365/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C]ราชพฤกษ์
[/url] มีกลีบเลี้ยงมี สีแดงเข้มถึงสีแดงอมน้ำตาล รูปไข่ ปลายแหลม ยาว ๗-๑๐ มม.กลีบรูปไข่กลับ กว้าง ๗-๘ มม. ยาว ๒๕-๓๕มิลลิเมตร โคนกลีบดอกไม้เป็นก้านยาวราว ๓ มิลลิเมตร  เกสรเพศผู้มี ๑๐ อัน ปริมาณยาวแตกต่างกัน รังไข่เรียว ขนหุ้มบางๆผลเป็นฝักรูปกระบอกขนาดวัดผ่าศูนย์กลางราม ๑-๑.๕ เซนติเมตร ยาว ๒๐-๖๐ เซนติเมตร แขวนลงมาจากกิ่ง ฝักแก่สีดำ หมดจด ไม่มีขน ไม่แตก มีเมล็ดเยอะๆ รวมทั้งรูปแบนแทบกลม สีน้ำตาลวาว
ลักษณะทางวิชาพฤกษศาสตร์
ไม้ต้น (T) สูงโดยประมาณ 5-15 เมตร เปลือกต้นเรียบ เกลี้ยง สีเทาอ่อนหรือสีเทาอมน้ำตาล สีเทาอมขาว หรือสีนวล
ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ใบเรียงสลับ ลักษณะใบย่อยรูปไข่ ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ โคนใบมน แผ่นใบสีเขียว มีใบย่อยราว 4-12 คู่
ดอก ออกดอกเป็นช่อแบบช่อกระจะ เป็นช่อแขวนระย้าออกตามกิ่งหรือออกตามง่ามใบ ออกดอกแบบสมมาตรข้างๆ มีกลีบดอก 5 กลีบ สีเหลืองสด โดยกลีบบนสุดจะเรียงอยู่รอบในสุด ดอกมีกลิ่นหอมสดชื่นอ่อนๆ
ผล เป็นฝักกลม ทรงกระบอกยาว ผิวเรียบ และก็มีเปลือกแข็ง ด้านในมีฝาผนังแบนสีน้ำตาล กันเป็นห้องรวมทั้งมีเม็ดห้องละ 1 เม็ด ผลอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาลเข้ม หรือดำ
เมล็ด มีเนื้อหุ้มนิ่มๆสีน้ำตาลไหม้ หรือสีดำ ลักษณะกลมมนรวมทั้งแบน มีรสหวาน
นิเวศวิทยา
ขึ้นตามป่าเบญจพรรณแล้งทั่วๆไป มีมากมายทางภาคเหนือ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับแล้วก็ปลูกข้างถนนเพื่อความงาม
การปลูกและก็ขยายพันธุ์
ปลูกง่ายและก็เจริญวัยได้ในดินแทบทุกจำพวก แต่ว่าจะถูกใจดินร่วนซุยผสมทราย แพร่พันธุ์ด้วยการเพาะเม็ดและตอนกิ่ง
[/b]
ผลดีทางยา
รสรวมทั้งสรรพคุณในตำรายา
ราก รสเมา เป็นยาบำรุง รักษาโรคเกี่ยวกับหัวใจ โรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี เป็นยาถ่ายอย่างแรง รักษาอาการไข้ ระบายพิษไข้ ถ่ายสิ่งสกปรกออกมาจากร่างกาย ฆ่าเชื้อโรคกุฏฐัง แก้ขี้กลากโรคเกลื้อน แก้อาการเซื่องซึม หนักศีรษะ
เปลือกราก รสฝาด ต้มดื่มแก้ไข้ไข้จับสั่นและก็ระบายพิษไข้ ใช้ร่วมกับเนื้อในฝักเป็นยาแก้ไข้มาลาเรียและก็เป็นยาระบาย
แก่น รสเมา ใช้เป็นยาขับพยาธิไส้เดือน รักษาอาการท้องเสีย และช่วยรีบคลอด
ราชพฤกษ์เปลือกต้น รสฝาดเมา ใช้เป็นยาช่วยรีบคลอด รักษาอาการท้องเสีย
กระพี้ รสเมา ใช้แก้รำมะนาด
ฝัก เนื้อในฝักรสหวานเบื่อ ใช้กินเป็นยาระบาย ช่วยทุเลาอาการแน่นหน้าอก ขัดหรือชำระน้ำดี แก้ลมเข้าข้อและขัดข้อ
เปลือกฝัก รสขื่นเมา ทำให้แท้งลูก ขับเกลื่อนกลาดที่ค้าง รวมทั้งทำให้คลื่นไส้
ใบแก่ รสเมา ใบสดหรือตากแห้ง ใช้เป็นยาถ่าย รักษาอัมพาต ฆ่าเชื้อโรคทั้งมวล ฆ่าพยาธิผิวหนัง รักษาอัมพาตของกล้ามบนใบหน้า พอกแก้ปวดข้อ หรือต้มน้ำกินแก้โรคที่เกิดขึ้นและมีปัญหาเกี่ยวกับสมอง แก้เอ็นทุพพลภาพ
ใบอ่อน รสเมา ตำพอกหรือคั้นเอาน้ำทารักษาโรคขี้กลากโรคเกลื้อน แก้ไข้รูมาติก
ดอก รสเปรี้ยวขม ใช้รักษาโรคกระเพาะ เป็นยาถ่ายพยาธิ ต้มดื่มแก้ไข้ แก้แผลเรื้อรัง ช่วยหล่อลื่นในลำไส้ ระบายท้อง
เมล็ด ช่วยกระตุ้นให้คลื่นไส้ เป็นยาถ่าย
ราชพฤกษ์ แนวทางรวมทั้งจำนวนที่ใช้
แก้ท้องผูก โดยเอาเนื้อในฝักแก่หนักโดยประมาณ 5-10 กรัม ต้มกับน้ำ 500 ซีซี ใส่เกลือน้อย ดื่มก่อนนอนหรือเช้าตรู่ก่อนที่จะกินอาหาร เป็นยาระบายที่เหมาะกับคนที่ท้องผูกเสมอๆ และสตรีท้องก็ใช้ฝักคูณเป็นยาระบายได้
รักษาโรคกระเพาะอาหาร โดยใช้ฝักประมาณ 30 กรัม ผสมน้ำ 100 ซีซี ต้มให้เดือดและก็เหลือน้ำ 50 ซีซี ดื่มให้หมดครั้งเดียว วันละ 3 ครั้ง http://www.disthai.com/[/b]
6  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ตะไคร้มีสรรพคุณ-ประโยชน์อย่างไร เมื่อ: สิงหาคม 10, 2018, 04:00:06 pm
[/b]
ตะไคร[/size][/b]
ตะไคร้ ชื่อสามัญ Lemongrass
ตะไคร้ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cymbopogon citratus (DC.) Stapf จัดอยู่ในสกุลหญ้า (POACEAE หรือ GRAMINEAE)
ตะไคร้จัดเป็นพืชล้มลุกเชื้อสายหญ้า ใบมีลักษณะเรียวยาว ปลายใบมีขนหนาม เป็นสมุนไพรไทยที่นิยมเอามาเตรียมอาหาร โดยตะไคร้แบ่งออกเป็น 6 จำพวก อาทิเช่น ตะไคร้หอม ตะไคร้กอ ตะไคร้ต้น ตะไคร้น้ำ ตะไคร้หางนาค และตะไคร้หางสิงห์ ซึ่งเป็นสมุนไพรไทยที่นิยมนำมาปลูกทั่วๆไปในบ้านเรา โดยมีถื่นกำเนิดในประเทศประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย พม่า ศรีลังกา รวมทั้งไทย
[url=http://www.disthai.com/16913433/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89]ตะไคร[/color]เป็นยารักษาโรคและยังมีวิตามินรวมทั้งธาตุที่มีคุณประโยชน์ต่อสถาพทางร่างกายอีกด้วย ดังเช่นว่า วิตามินเอ ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก อื่นๆอีกมากมาย
คุณประโยชน์ของตะไคร้
มีส่วนช่วยในการขับเหงื่อ
เป็นยาบำรุงธาตุไฟให้เจริญก้าวหน้า (ต้นตะไคร้)
มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงธาตุ ช่วยสำหรับเพื่อการเจริญอาหาร
ช่วยแก้อาการไม่อยากกินอาหาร (ต้น)
สารสกัดจากตะไคร้มีส่วนช่วยสำหรับในการป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
แก้และทุเลาอาการหวัด อาการไอ
ช่วยรักษาลักษณะของการมีไข้ (ใบสด)
ใช้เป็นยาแก้ไข้เหนือ (ราก)
น้ำมันหอมระเหยของใบตะไคร้สามารถทุเลาลักษณะของการปวดได้
ช่วยแก้ลักษณะของการปวดหัว
ช่วยรักษาโรคความดันเลือดสูง (ใบสด)
ใช้เป็นยาแก้อ้วกถ้าหากใช้ประโยชน์ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ(หัวตะไคร้)
ช่่วยแก้อาการกษัยเส้นและแก้ลมใบ (หัวตะไคร้)
รักษาโรคโรคหอบหืดด้วยการใช้ต้นตะไคร้
ช่วยแก้อาการเสียดแน่นแสบรอบๆหน้าอก (ราก)
ใช้เป็นยาแก้ลักษณะของการปวดท้องรวมทั้งอาการท้องเสีย (ราก)
ช่วยแก้และทุเลาลักษณะของการปวดท้อง
ช่วยรักษาอาการท้องอืดท้องอืดท้องเฟ้อ (หัวตะไคร้)
ช่วยสำหรับเพื่อการขับน้ำดีมาช่วยสำหรับการย่อยของกิน
น้ำมันหอมระเหยจาก[url=http://www.disthai.com/16913433/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89]ตะไคร้
มีส่วนช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ได้
มีฤทธิ์ช่วยสำหรับในการขับปัสสาวะ
ช่วยแก้อาการเยี่ยวทุพพลภาพแล้วก็รักษาโรคนิ่ว (หัวตะไคร้)
ช่วยแก้อาการขัดเบา (หัวตะไคร้)
ใช้เป็นยาแก้ขับลม (ต้น)
ช่วยรักษาอหิวาต์
ช่วยแก้ลมอัมพาต (หัวตะไคร้)
ใช้เป็นยารักษาเกลื้อน (หัวตะไคร้)
น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ สามารถช่วยต้านทานเชื้อราบนผิวหนังได้เป็นอย่างดี
ช่วยแก้โรคหนองใน หากนำไปผสมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆ
[/b]
ประโยชน์ซึ่งมาจากตะไคร้
นำมาใช้ทำเป็นน้ำตะไคร้หอม น้ำตะไคร้ใบเตย ช่วยดับร้อนแก้หิวได้เป็นอย่างดี
ช่วยสำหรับเพื่อการบำรุงและรักษาสายตา
มีส่วนช่วยสำหรับในการบำรุงกระดูกและก็ฟันให้แข็งแรง
มีส่วนช่วยสำหรับการบำรุงสมองและก็เพิ่มสมาธิ
สามารถประยุกต์ใช้ทำเป็นยานวดได้
ช่วยจัดการกับปัญหาผมแตกปลาย (ต้น)
มีฤทธิ์เป็นยาช่วยในการนอน
การปลูกตะไคร้ร่วมกับผักประเภทอื่นๆจะช่วยปกป้องแมลงได้เป็นอย่างดี
นำมาใช้เป็นส่วนประกอบของสารระงับกลิ่นต่างๆ
ต้นตะไคร้ช่วยขจัดกลิ่นคาวหรือเหม็นกลิ่นคาวของปลาได้อย่างดีเยี่ยม
กลิ่นหอมของตะไคร้สามารถช่วยไล่ยุงและกำจัดยุงได้เป็นอย่างดี
เป็นองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์จำพวกยากันยุงจำพวกต่างๆยกตัวอย่างเช่น ยากันยุตะไคร้[/url]หอม
สามารถนำไปดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายชนิด อาทิเช่น เครื่องปรุงอบแห้ง ตะไคร้แห้งสำหรับชงดื่ม เอามาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย ฯลฯ
มักนิยมนำมาใช้ในการเตรียมอาหารหลายชนิด ยกตัวอย่างเช่น ต้มยำ และอาหารไทยอื่นๆเพื่อเพิ่มรสชาติ
แนวทางทําน้ําตะไคร้หอม
คุณประโยชน์ตะไคร้เตรียมวัตถุดิบดังนี้ ตะไคร้ 1 ต้น / น้ำเชื่อม 15 กรัม / น้ำ 240 กรัม
ล้างตะไคร้ให้สะอาด แล้วเอามาหั่นเป็นท่อน ตีให้แตก
ใส่ลงหม้อต้มกับน้ำให้เดือด จนกว่าน้ำตะไคร้ออกมาคละเคล้ากับน้ำจนเป็นสีเขียว
รอชั่วประเดี๋ยวแล้วชูลง หลังจากนั้นกรองเอาตะไคร้ออกแล้วเพิ่มน้ำเชื่อมให้ได้รสตามพึงพอใจ
เสร็จแล้วขั้นตอนการทำน้ำตะไคร้
แนวทางทําน้ําตะไคร้ใบเตย
น้ำตะไคร[/color]การทําน้ําตะไคร้ใบเตยนั้นอย่างแรกให้ตระเตรียมวัตถุดิบดังต่อไปนี้ ตะไคร้ 2 ต้น / ใบเตย 3 ใบ / น้ำ 1-2 ลิตร / น้ำตาลแดง 2 ช้อนชา (จะใส่หรือไม่ก็ได้)
นำตะไคร้มาทุบให้แหลกพอควร แล้วใช้ใบเตยมัดตะไคร้ไว้ให้เป็นก้อน
ใส่ตะไคร้และก็ใบเตยลงไปในหม้อแล้วเพิ่มเติมน้ำ 1 ถึง 2 ลิตร แล้วต้มให้เดือดสักโดยประมาณ 5 นาที เป็นอันเสร็จเรียบร้อยสำหรับวิธีการทําน้ํา ตะไคร้
โดยตะไคร้และใบเตยชุดเดียวกัน สามารถเติมน้ำสุกใหม่ได้ 2-3 รอบ แต่ว่ารสบางทีอาจจืดชืดลงไปบ้าง นำมาดื่มแทนน้ำช่วยเพิ่มความสดชื่น แถมช่วยบำรุงสุขภาพอีกด้วย
ค่าทางโภชนาการของตะไคร้
การศึกษาของตะไคร้ขนาด 100 กรัม พบว่าให้พลังงาน 143 กิโลแคลอรี่ มีสารอาหารสำคัญมี โปรตีน 1.2 กรัม ไขมัน 2.1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 29.7 กรัม เส้นใย 4.2 กรัม แคลเซียม 35 มิลลิกรัม ธาตุฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม เหล็ก 2.6 มก. วิตามินเอ 43 ไมโครกรัม ไทอามีน 0.05 มิลลิกรัม ไรโบฟลาวิน 0.02 มิลลิกรัม ไนอาสิน 2.2 มก. วิตามินซี 1 มก. รวมทั้ง ขี้เถ้า 1.4 กรัม
โทษของตะไคร้
พิษของน้ำมัน[url=http://www.disthai.com/]ตะไคร้
จำนวนน้ำมันตะไคร้ ที่ทำให้หนูขาวตายที่ครึ่งเดียวของปริมาณหนูขาวทั้งปวง ด้วยการให้ทางปาก  ที่ความเข้มข้น 5,000 มก./กิโล และการให้น้ำมันหอมระเหยทางกระเพาอาหารแก่กระต่ายที่ทำให้กระต่ายตายที่ครึ่งเดียว พบว่า มีจำนวนความเข้มข้นเดียวกันกับการให้แก่หนูขาว พิษทันควันของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ที่ความเข้มข้น 1,500 ppm ในช่วงเวลา 60 วัน กลับพบว่า หนูขาวที่ได้รับน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้มีการเติบโตเร็วกว่ากรุ๊ปที่ไม้ได้รับ รวมทั้งค่าทางเคมีของเลือดไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร

Tags : ประโยชน์ตะไคร้
7  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ทับทิมสามารถนำมาทำเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้เป็นอย่างดี เมื่อ: สิงหาคม 09, 2018, 09:29:14 am

ทับทิ[/size][/b]
การกินเพื่อสุขภาพ
ทับทิม ยอดเยี่ยมราชินีที่ผลไม้ มีสาระทั้งต้น
การกินเพื่อสุขภาพ
ทับทิม ยอดเยี่ยมราชินีแห่งผลไม้ เป็นประโยชน์ต้น
อัปเดตล่าสุดเมื่อวันที่ พ.ค. 3, 2018 ราวเวลาการอ่าน: 2 นาที
แชร์บทความนี้
[url=http://www.disthai.com/16488281/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1]ทับทิม
เป็นผลไม่ที่นิยมรับประทานกันมาก รวมทั้งลือชื่อในเรื่องของคุณค่าที่มากมาย จนได้รับสมญาว่า ราชินีแห่งผลไม้ พูดกันว่าทับทิมนั้นคือผลไม้ที่ถูกนำมาใช้ในแวดวงแพทย์มาแล้วนับพันปี ในขณะนี้ทับทิมถือเป็นผลไม้ที่นิยมนำมาปลูก รวมทั้งรับประทานกันทั้งโลก สามารถหารับประทานได้ง่ายในประเทศไทย พินิจได้จากร้านขายน้ำทับทิม หรือผลทับทิมสด ที่แทบมีอยู่ตามท้องถนนหรือทุกตลาดในประเทศไทย
คุณประโยช์จากทับทิมมีมากมาย อีกทั้งในเรื่องของสารอาหาร และก็การคุ้มครองป้องกันโรค
วิตามินซีสูงมาก
ทับทิมถือเป็นผลไม่ที่มีวิตามินซีสูงมาก ในน้ำทับทิมเพียงแต่ 1 แก้ว มีวิตามินซีถึงร้อยละ 40 ของจำนวนที่เราอยากได้ในหนึ่งวัน (สำหรับผู้ใหญ่) ด้วยปริมาณวิตามินซีที่สูงในระดับนี้ก็เลยมีคุณประโยชน์สำหรับการลดความเสี่ยงสำหรับในการเป็นโรคหวัด หรือแพ้อากาศได้อย่างยอดเยี่ยม
ช่วยบำรุงผิวพรรณ
การกินทับทิมสด หรือน้ำทับทิมนั้น จะช่วยทำให้ผิวพรรณของเรามองผ่องใส เพราะทับทิมเป็นผลถึงที่เหมาะมีสรรพคุณในการต้านทานอนุมูลอิสระ ช่วยสำหรับการชะลอวัย ลดการเกิดริ้วรอยในผิวของเรา แล้วก็ด้วยจำนวนวิตามินซีที่สูงก็เลยช่วยในเรื่องทำให้ผิวกระจ่างขาวใส ยิ่งไปกว่านี้เรายังสามารถใช้น้ำทับทิมประมาณ 1 ช้อนชา ทาบริเวณบริเวณใบหน้า ทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยในการบำรุงผิวหน้าให้ดูเต่งตึงมากเพิ่มขึ้นได้อีกด้วย คุณประโยชน์ในข้อนี้ของทับทิมสามารถรับรองได้จากการที่ในขณะนี้ มีเครื่องสำอางหรือครีมหลายอย่างได้นำทับทิมไปเป็นองค์ประกอบ
หลอดเลือดและก็หัวใจดียิ่งขึ้น
ในทางการแพทย์มีการศึกษาค้นคว้าแล้วพบว่าทับทิม มีสรรพคุณช่วยสำหรับการทำให้การไหลเวียนของโลหิต ลดภาวการณ์ขาดเลือดในคนป่วยโรคหัวใจ นอกเหนือจากนี้ยังพบว่าผู้ที่มีความดันเลือดสูง เมื่อรับประทานน้ำทับทิมวันละ 50cc จะช่วยลดความดันเลือดได้ร้อยละ 5 ช่วยลดสภาวะการแข็งตัวของไขมันในเส้นโลหิตได้อีกด้วย
ลดความเสี่ยงสำหรับในการเกิดมะเร็ง
เนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีค่าการต่อต้านอนุมูลอิสระที่สูง จึงช่วยลดการเสี่ยงสำหรับการกำเนิดโรคมะเร็งได้อย่างดีเยี่ยม มีงานศึกษาวิจัยพบว่า การกินทับทิมช่วยลดช่องทางการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยยั้งการเติบโตของเซลล์ของมะเร็งถึง 13ช นิด รวมทั้งยังสามารถช่วยทำลายเซลล์ของโรคมะเร็งในหลอดของกิน แล้วก็ลำไส้ได้อีกด้วย
คุณประโยชน์อื่นๆของทับทิม
เว้นแต่สรรพคุณหลักที่กล่าวไปในข้างต้นแล้ว ทับทิมยังมีคุณประโยชน์อื่นอีกเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น ช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องในหญิงมีครรภ์ ช่วยปรับให้สมดุลในวัยหมดระดู ลดการเสี่ยงสำหรับการเป็นโรคสูญเสียความจำในผู้สูงวัย คุ้มครองปกป้องโรคเลือดออกตามไรฟัน เสริมสุขภาพกระดูกลดความเสี่ยงสำหรับเพื่อการเป็นโรคกระดูกพรุน คุ้มครองการเสื่อมสรรถภาพทางเพศ ลดการตกขาว พูดได้ว่ามีสรรพคุณเยอะมากจริง
 นอกเหนือจากส่วนที่เรานิยมรับประทานกันอย่างเมล็ดแล้ว ส่วนประกอบอื่นขอทับทิม[/url]ก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน ทั้งเป็นยาและสมุนไพร
ใบ: สามารถทำน้ำยาบ้วนปากหรือล้างตาได้ ยาพอกที่ทำมาจากใบสามารถช่วยบรรเทาอาการผมหล่นได้อย่างยอดเยี่ยม
เปลือก: ลดการเกิดริ้วรอยในผิวของพวกเราใช้รักษา แผลหิด กากโรคเกลื้อน มีคุณประโยชน์เกี่ยวกับการดูแลรักษาโรคในทางเดินของกิน ดังเช่นว่ารักษาอาการท้องเสียได้
เปลือกของลำต้น แล้วก็ราก: สามารถเอามาทำเป็นยาถ่ายพยาธิได้อีกด้วย โดยเอามาผสมกับกานพลู แล้วก็อาจใส่ดีเกลือต้มกับน้ำโดยประมาณสามถ้วย มีสรรพคุณสำหรับเพื่อการถ่ายพยาธิ
ดอก: มีคุณประโยชน์ในการสมานแผล รวมทั้งทุเลาอาการอักเสบของหูชั้นใน
ทับทิมนับว่าเป็นผลไม้ที่เป็นประโยชน์ในทุกส่วนของต้น ไม่ใช่เพียงแต่เม็ด หรือน้ำทับทิม จึงไม่สนเท่ห์ใจเลยที่ทับทิมจะได้รับฉายานามว่า "ราชชินีที่ผลไม้"
โรครวมทั้งอาการอื่นๆได้แก่ โรคเส้นเลือดหัวใจ การหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เจ็บกล้ามหลังการบริหารร่างกาย กลุ่มอาการอ้วนอ้วน โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก เยื่อบุช่องปากอักเสบ ผิวไหม้จากแสงอาทิตย์ การติดเชื้อทริโคโมแนส (Trichomoniasis) ท้องเดิน โรคบิด เจ็บคอ โรคริดสีดวงทวาร อาการวัยทอง และอื่นๆยังควรต้องทำการศึกษาเรียนรู้วิจัยเพิ่มเพื่อหาหลักฐานเกี่ยวกับประสิทธิภาพและก็ความปลอดภัยของทับทิมสำหรับในการรักษาโรค
ความปลอดภัยในการรับประทานทับทิมหรือผลิตภัณฑ์จากทับทิม
โดยธรรมดาการกินน้ำทับทิมค่อนข้างจะมีความปลอดภัย แต่ว่าในบางรายที่มีลักษณะอาการแพ้ผลสดของทับทิมอาจเป็นผลข้างเคียงจากการกินน้ำทับทิมได้
รากทับทิมประกอบด้วยสารที่เป็นพิษต่อสภาพร่างกาย การกินรากแล้วก็ลำต้นของทับทิมในจำนวนมากอาจไม่ปลอดภัย
สารสกัดจากทับทิมออกจะปลอดภัยสำหรับการกินหรือนำมาใช้กับผิวหนัง แต่อาจจะเป็นผลให้กำเนิดอาการแพ้น้อยในบางราย ยกตัวอย่างเช่น อาการคัน บวม น้ำมูกไหล หรือหายใจลำบาก
การรับประทานน้ำทับทิมออกจะมีความปลอดภัยสำหรับหญิงท้องหรืออยู่ในตอนให้นมลูก แต่ว่ายังไม่มีรายงานรับรองความปลอดภัยสำหรับการรับประทานหรือใช้ทับทิมในแบบอย่างอื่น ยกตัวอย่างเช่น สารสกัดจากทับทิม จึงควรหารือแพทย์ก่อนที่จะมีการกินทุกคราว
น้ำทับทิมอาจทำให้ความดันโลหิตลดลดลงนิดหน่อย ซึ่งอาจทำให้คนเจ็บที่มีสภาวะความดันต่ำอาการกำเริบ
[/b]
คนที่มีอาการแพ้จากพิษพืชอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้จากการรับประทานทับทิม
ผู้เจ็บป่วยที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดควรหยุดรับประทานทับทิมขั้นต่ำ 2 สัปดาห์ เพราะทับทิมส่งผลให้ความดันเลือดต่ำลง ก็เลยอาจกระทบต่อความดันโลหิตในขณะผ่าตัดหรือมีผลต่อเนื่องไปยังข้างหลังการผ่าตัด
การรับประทานทับทิมควบคู่กับยาบางประเภทอาจจะเป็นผลให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยา เช่น ยาที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของตับโดยเอนไซม์ตับ Cytochrome จำพวก P450 2D6 หรือชนิด P450 3A4 ยาลดระดับความดันโลหิตหรือเอซีอี อินฮิบิเตอร์ ยารักษาโรคความดันเลือดสูง ยาโรสุวาสแตติเตียนน ผู้ที่รับประทานยาเป็นประจำหรือมีโรคประจำตัวควรจะขอคำแนะนำหมอก่อนที่จะมีการรับประทานเพื่อความปลอดภัย http://www.disthai.com/[/b]
8  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ทับทิม รู้หรือไม่ว่าเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณ-ประโยชน์มากอย่างน่าทึ่ง เมื่อ: สิงหาคม 08, 2018, 01:31:30 pm
[/b]
ทับทิ[/size][/b]
ทับทิม ชื่อสามัญ Pomegranate
ทับทิม ชื่อวิทยาศาสตร์ Punica granatum L. จัดอยู่ในวงศ์ตะแบก (LYTHRACEAE)
[url=http://www.disthai.com/16488281/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1]ทับทิ[/b] เป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอิหร่านทางตอนใต้ของอัฟกานิสถาน ผลไม้ชนิดนี้จะชอบอากาศหนาวเป็นพิเศษ ยิ่งหนาวมากเท่าไหร่ เนื้อทับทิมนั้นจะมีสีแดงเข้มมากขึ้นเท่านั้น และยังเป็นผลไม้มงคลของคนจีนอีกด้วย ด้วยความที่ทับทิมมีเมล็ดมากจึงสื่อความหมายถึงการมีลูกชายมาก ๆ ด้วยนั่นเอง โดยกิ่งใบของทับทิมก็นำมาใช้ในพิธีการต่าง ๆ ที่มีน้ำมนต์ในการประกอบพิธีหรือนำมาใช้พรมน้ำมนต์เพราะเชื่อว่ามีไว้ติดตัวจะช่วยในเรื่องการคุ้มครองจากภัยอันตรายต่าง ๆ ได้ด้วย
ทับทิมยังถือว่าเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ โดยประโยชน์ของทับทิมและสรรพคุณของทับทิมนั้นมีมากมาย ด้วยทับทิมนั้นเป็นผลไม้ที่มีรสหวานออกเปรี้ยว น้ำทับทิมจึงมีวิตามินซีสูงและยังประกอบด้วยเกลือแร่ต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จึงช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และนอกจากนี้ยังมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย อย่างเช่น บรรเทาอาการของโรคหัวใจ รักษาความดันโลหิตสูง ช่วยลดสภาวะการแข็งตัวขอเลือด รักษาโรคท้องเดิน โรคบิด เป็นต้น
ประโยชน์ขอทับทิม
[/size][/b]
ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกายและช่วยในการชะลอวัย
น้ำทับทิมมีคุณสมบัติช่วยให้ผิวหน้าเต่งตึง ด้วยการนำน้ำทับทิมประมาณ 1 ช้อนชามาทาทิ้งไว้บนใบหน้าประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออก
น้ำทับทิมช่วยเพิ่มความสดชื่น แก้กระหาย คลายร้อนได้เป็นอย่างดี
ช่วยระงับกลิ่นปากได้อีกด้วย
ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง บรรเทาอาการหวัด
ช่วยปกป้องผิวของคุณจากแสงแดด
ทับทับมีวิตามินซีสูงมาก และยังมีวิตามินเอ วิตามินอี และกรดโฟลิกอีกด้วย
ใบทับทิมใช้ในการประกอบพิธีต่าง ๆ ที่ใช้น้ำมนต์ในการประกอบพิธี
ช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องในหญิงตั้งครรภ์
ช่วยในการปรับฮอร์โมนวัยหมดประจำเดือน
ช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อมในผู้สูงอายุ
ช่วยในการบำบัดอาการของโรคเบาหวาน
ช่วยบำรุงสายตา แก้อาการตาอักเสบ
น้ำต้มเปลือกทับทิมช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้
ช่วยบรรเทาอาการของโรคหัวใจ ด้วยการช่วยเสริมสุขภาพหัวใจให้ดียิ่งขึ้น
ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
ช่วยบำรุงสุขภาพฟันให้แข็งแรง
ช่วยส่งเสริมสุขภาพกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน
ช่วยลดความดันโลหิตสูง
ช่วยส่งเสริมการทำงานของหลอดเลือด
ช่วยในการฟอกไตและท่อปัสสาวะ
ช่วยลดสภาวะการแข็งตัวของเลือดจากไขมันในเลือดสูง
มีฤทธิ์ในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
ช่วยแก้อาการระดูขาว ตกเลือด
ช่วยบำรุงสุขภาพตับให้แข็งแรง
มีส่วนช่วยบำรุงและต่อต้านอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ด้วย
เปลือกทับทิมสามารถรักษาโรคท้องเดินและโรคบิดได้ เพราะมีสารในกลุ่มแทนนินอยู่ในปริมาณมาก
เปลือกทับทิมมีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบ
เปลือกผลช่วยรักษาแผลหิด กลากเกลื้อน
เปลือกของทับทิมช่วยต้านการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ
ยาต้มจากเปลือกผลช่วยรักษาอาการอุจจาระร่วงได้ โดยช่วยลดจำนวนครั้งในการขับถ่ายและทำให้ระยะเวลาเริ่มถ่ายครั้งแรกนานขึ้น

เปลือกต้นและเปลือกรากของทับทิมสามารถใช้เป็นยาขับพยาธิตัวตืดและพยาธิตัวกลมได้เป็นอย่างดี ด้วยการนำเปลือกของรากและต้นที่ยังสด ๆ ประมาณครึ่งกำมือ เติมกานพลูลงไปเล็กน้อยเพื่อแต่งรส นำมาต้มกับน้ำ 3 ถ้วยแก้ว เคี่ยวจนเหลือถ้วยครึ่ง แล้วนำมารับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ หลังจากนั้น 2 ชั่วโมงจึงรับประทานยาถ่าย เช่น ดีเกลืออีก 2 ช้อนโต๊ะตามไปอีกครั้งหนึ่ง
ดอกทับทิมใช้ห้ามเลือดได้ ด้วยการนำดอกแห้งมาบดให้ละเอียดแล้วนำมาทาหรือโรยใส่บริเวณบาดแผล
ดอกทับทิมช่วยแก้อาการหูชั้นในอักเสบ
ใบของทับทิมสามารถนำมาอมกลั้วคอหรือทำเป็นยาล้างตาก็ได้
ทับทิมช่วยลดปัญหาผมร่วง ด้วยการนำยาพอกที่ได้จากใบ แล้วนำมาพอกหนังศีรษะ
ชาวอินเดียนำน้ำคั้นจากผลทับทิมและดอกของทับทิมมาปรุงเป็นยาธาตุ สมานลำไส้ บำรุงหัวใจ
ทับทิมช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็งได้มากกว่า 13 ชนิด โดยช่วยให้เซลล์มะเร็งไม่เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ เป็นต้น
ช่วยในการทำลายเซลล์มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่
คุณค่าทางโภชนาการของเนื้อ ทับทิม ต่อ 100 กรัม
พลังงาน 83 กิโลแคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 18.7 กรัม
ประโยชน์ของทับทิมน้ำตาล 13.67 กรัม
เส้นใย 4 กรัม
ไขมัน 1.17 กรัม
โปรตีน 1.67 กรัม
วิตามินบี 1 0.067 มิลลิกรัม 6%
วิตามินบี 2 0.053 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 3 0.293 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 5 0.377 มิลลิกรัม 8%
วิตามินบี 6 0.075 มิลลิกรัม 6%
วิตามินบี 9 38 ไมโครกรัม 10%
โคลีน 7.6 มิลลิกรัม 2%
วิตามินซี 10.2 มิลลิกรัม 12%
วิตามินอี 0.6 มิลลิกรัม 4%
วิตามินเค 16.4 ไมโครกรัม 4%
ธาตุแคลเซียม 10 มิลลิกรัม 1%
ธาตุเหล็ก 0.3 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม 3%
ธาตุแมงกานีส 0.119 มิลลิกรัม 6%
ธาตุฟอสฟอรัส 36 มิลลิกรัม 5%
ธาตุโพแทสเซียม 236 มิลลิกรัม 5%
ธาตุโซเดียม 3 มิลลิกรัม 0%
ธาตุสังกะสี 0.35 มิลลิกรัม 4%
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ http://www.disthai.com/[/b]

Tags : สมุนไพรทับทิม
หน้า: [1]
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย