กระทู้ล่าสุดของ: siritidaphon

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: [1] 2 3 ... 39
1  พูดคุยทั่วไป / พูดคุยทั่วไป / การจัดฟันเด็ก เด็กควรที่ปฏิบัติตัวอย่างไร เพื่อให้การจัดฟันมีผลการรักษาที่มีประส เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2025, 04:57:27 pm
[url=https://www.idolsmiledental.com/category/จัดฟันบางนา/]การจัดฟันเด็ก เด็กควรที่ปฏิบัติตัวอย่างไร เพื่อให้การจัดฟันมีผลการรักษาที่มีประสิทธิภา
2  พูดคุยทั่วไป / พูดคุยทั่วไป / ศูนย์ข้อมูลโควิด-19: COVID-19 กับสิ่งที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรทราบ เมื่อ: พฤษภาคม 18, 2025, 08:12:02 pm
[url=https://doctorathome.com/covid-19]ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 COVID-19 กับสิ่งที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรทรา
3  พูดคุยทั่วไป / พูดคุยทั่วไป / รถไฟฟ้า ev ริดดารา Riddara RD6 2WD 73.9 kWh ปี 2024 เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2025, 12:53:28 pm
รถไฟฟ้า ev ริดดารา Riddara RD6 2WD 73.9 kWh ปี 2024
999,000 บาท

ริดดารา Riddara RD6 2WD 73.9 kWh ปี 2024
Riddara RD6 2WD 73.9 kWh รถกระบะไฟฟ้า 100% คันแรกของเมืองไทยที่ผสานศักยภาพรถกระบะและรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ดีไซน์โดดเด่นพรีเมียม สะดวกสบายระดับ SUV พร้อมนำเสนอนิยามใหม่ของรถกระบะที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ครอบครัวรุ่นใหม่ ขับเคลื่อนอยู่เคียงข้างทุกความสำเร็จ และลุยไปกับทุกกิจกรรมของครอบครัว ให้กำลังสูงสุด 200 กิโลวัตต์ แรงบิด 385 นิวตันเมตร ทำความเร็วสูงสุดได้ 185 กิโลเมตร/ชั่วโมง ชาร์จด้วยไฟฟกระแสตรง 110 kW 30-80% ในเวลา 30 นาที และชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ 6.6 kW 20-100% ใน 9.3 ชั่วโมง และระบบกู้คืนพลังงาน 3 ระดับ ความสามารถในการบรรทุก 1,030 กิโลกรัม, ความสามารถในการลากจูง 2,500 กิโลกรัม, ความสามารถในการไต่ทางชัน 55%, ความสามารถในการลุยน้ำ 500 มม. อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร ใน 4.5 วินาที

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์           Riddara
   รุ่น                ริดดารา Riddara RD6 2WD 73.9 kWh ปี 2024
   ประเภทรถ       รถกระบะ 4 ประตู, Electric - EV
   ปีที่เปิดตัว       2024
   ราคา            999,000 บาท

ดีไซน์
   ภายนอก
อุปกรณ์ชุดแต่ง (กระจังหน้าโครเมียมสีดำ)
ยางอะไหล่สำรอง (T145/80 R18 (เสริม))
ไฟหน้า LED
ไฟท้าย LED (แบบคาดยาว)
ขนาดยางหน้า-หลัง (235/65 R17)
ไฟ Daytime Running Lights (LED)
ล้ออัลลอย (17 นิ้ว)

   ภายใน
ระบบปรับรูปแบบการขับขี่ (3 โหมด (Economy/Comfort/Sport))
พวงมาลัยไฟฟ้า

สเปค
   มอเตอร์ไฟฟ้า                มอเตอร์ไฟฟ้าแบบ  Permanent Magnet Synchronous Motor ให้กำลัง 200 กิโลวัตต์ แรงบิด 385 นิวตันเมตร
   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)  แรงม้า
   ระบบเกียร์                    เกียร์อัตโนมัติ
   รูปแบบเกียร์
   ระบบเบรค ABS
   ชนิดแบตเตอรี่               ไฟฟ้า
   ความจุแบตเตอรี่             73 kWh
   ระยะทางวิ่ง/การชาร์จ 1 ครั้ง     461 กม. (ตามมาาตรฐาน NEDC)
   น้ำหนักตัวรถ                        -
   ประเภทยางรถยนต์                 -
   ขนาดล้อ (นิ้ว)                   ล้ออัลลอย (17 นิ้ว)
   ระบบขับเคลื่อน                  ขับเคลื่อนล้อหลัง

ระบบความปลอดภัยระบบความปลอดภัย

ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ
ดิสก์เบรก 4 ล้อ
เซ็นทรัลล็อค (/ระบบล๊อคประตูหลังสำหรับเด็ก)
กุญแจรีโมท (Smart Key (1 ดอก),ระบบ Keyless Entry ฝั่งคนขับ)
อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอื่นๆ (เตือนการชนด้านหน้า,ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ,ช่วยรักษาทางเดินรถฉุกเฉิน,เตือนเมื่อออกนอกเลน,เตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน)
เข็มขัดนิรภัย
อื่นๆ (ไฟส่องสว่างท้านกระบะ)
ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC
ระบบสั่งการด้วยเสียง (ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ)
ระบบช่วยเบรกแบบแอคทีฟ (อัตโนมัติ)
กล้อง (มองภาพรอบคัน 540 องศา พร้อมระบบแสดงภาพใต้ท้องรถ)
เทคโนโลยีช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking - IEB)
เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning - BSW)
เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังรถขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert - RCTA) (และช่วยเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTB), เตือนเมื่อเสี่ยงต่อการถูกชนด้านหลัง และเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่)
เทคโนโลยีช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HSA (และควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน)
ระบบเตือนก่อนเปืดประตู Door Open Warning (DOW)
เบรกมือไฟฟ้า (EPB และ ระบบ Auto Hold)
จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISOFIX)
เสียงเตือนคาดเข็มขัดนิรภัย (ด้านหน้า)
ระบบเตือนแรงดันลมยาง
ระบบจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ภายนอก (V2L) (การจ่ายไฟขณะจอด,หารจ่ายไฟขณะขับรถ,การจ่ายไฟขณะล๊อครถ,การจ้ายไฟขณะกำลังชาร์จ,จุดจ่ายไฟ 6 kW ที่หระบะท้าย,จุดจ่ายไฟมาตรฐานยุโรป)
ระบบกู้คืนพลังงาน (3 ระดับ)
4  พูดคุยทั่วไป / พูดคุยทั่วไป / งานมอเตอร์โชว์ Maserati Fuoriserie Program โปรแกรมรังสรรค์การตกแต่งเหนือระดับให้ เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2025, 10:37:01 pm
งานมอเตอร์โชว์ Maserati Fuoriserie Program โปรแกรมรังสรรค์การตกแต่งเหนือระดับให้ GranTurismo

FUORISERIE PROGRAM (ฟูออริซีรีย์ โปรแกรม) คือการผสมผสานระหว่างความหรูหราและการตกแต่งเหนือระดับ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ครอบครองยนตรกรรม มาเซราติ ได้แสดงออกถึงรสนิยมอันเป็นเอกลักษณ์ ผ่านรถสปอร์ตหรูสัญชาติอิตาเลียน เพื่อสะท้อนตัวตนของพวกเขาอย่างแท้จริง

ปิยะเทพ ศิวากาศ ผู้จัดการทั่วไป มาเซราติ ประเทศไทย กล่าวว่า "FUORISERIE มีความหมายในภาษาอิตาเลียนว่า ‘ผลิตพิเศษ’ โดยเราต้องการสร้างแรงบันดาลใจ ให้ลูกค้าได้แสดงออกถึงบุคลิกและความหลงใหล ด้วยการสรรค์สร้าง มาเซราติ ของตนเอง อีกทั้งเป็นการชุบชีวิตตำนานรถคลาสสิกของ มาเซราติ รุ่น ควอตโตรปอร์เต้ รอยัล (QUATTROPORTE ROYALE) รุ่นปี 1986 ที่ผลิตเพียง 51 คัน เราจึงได้นำรุ่น กรันทูริสโม โมเดน่า มาตกแต่งพิเศษ ภายใต้ FUORISERIE PROGRAM โดยพ่นตัวถังสีเขียวเข้ม VERDE ROYALE เช่นเดียวกับยนตรกรรมคลาสสิกในตำนาน และเปรียบเสมือนจุดเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์ ที่สะท้อนความหรูหราในสไตล์อิตาเลียนอย่างสมบูรณ์แบบ”

FUORISERIE PROGRAM กับหลายระดับความเข้มข้นในการตกแต่ง
FUORISERIE PROGRAM เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ปลดปล่อยจินตนาการ และสร้างสรรค์ มาเซราติ ที่สะท้อนตัวตนของพวกเขาได้อย่างชัดเจน กลายเป็นความพิเศษแบบเฉพาะตัวที่ไม่ซ้ำใครโดยลูกค้าสามารถค้นหาแรงบันดาลใจในการตกแต่ง ได้จากคอลเลคชั่น FUORISERIE CORSE ที่เน้นประวัติศาสตร์และความยิ่งใหญ่บนสนามแข่ง หรือคอลเลคชั่น FUORISERIE FUTURA ที่ให้ความสำคัญกับการคัดสรรวัสดุพิเศษ และความประณีตบรรจงในทุกรายละเอียดของช่างศิลป์

ซึ่งทาง มาเซราติ ได้แบ่งความเข้มข้นในการตกแต่งเป็นสองระดับ คือ Bespoke ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้กำหนดรายละเอียดการตกแต่งยนตรกรรมคันโปรด โดยอ้างอิงจากคอลเลกชั่นของ มาเซราติ และแบบ One-off ที่นับเป็นระดับสูงสุดของการตกแต่ง โดยทางลูกค้าจะมีส่วนร่วมในการทำงานกับทีมนักออกแบบของ มาเซราติ อย่างใกล้ชิด เพื่อรังสรรค์ผลงานอันน่าทึ่งแบบเหนือจินตนาการ

FUORISERIE PROGRAM หยิบยื่นประสบการณ์เหนือระดับให้กับผู้ครอบครองยนตรกรรม มาเซราติ โดยเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้นำแรงบันดาลใจและความหลงใหล มาสรรสร้างผลงานชิ้นเอกที่สะท้อนตัวตนของพวกเขาได้อย่างแท้จริง
5  พูดคุยทั่วไป / พูดคุยทั่วไป / วิธีทำอาชีพเสริม เพิ่มรายได้จากข้าวผัดปูหอมกลิ่นกระทะ ข้าวร่วน เนื้อปูไม่เละ อาห เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2025, 03:36:11 pm
[url=https://krumax.net/krumaxcourse/]วิธีทำอาชีพเสริม เพิ่มรายได้จากข้าวผัดปูหอมกลิ่นกระทะ ข้าวร่วน เนื้อปูไม่เละ อาหารจานเดียวทำง่ายอร่อยเด็
6  พูดคุยทั่วไป / พูดคุยทั่วไป / โรงงานไม่ติดฉนวนกันความร้อน ช่วงหน้าร้อนเสี่ยงมหันต์อะไรบ้าง? เมื่อ: พฤษภาคม 14, 2025, 06:27:46 pm
โรงงานไม่ติดฉนวนกันความร้อน ช่วงหน้าร้อนเสี่ยงมหันต์อะไรบ้าง?

ไม่ว่าจะเป็นโรงงานขนาดเล็กหรือใหญ่ ทุกโรงงานอุตสาหกรรมก็มีความเสี่ยงเรื่องปัญหาความร้อนสะสมภายในโรงงานด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้น การที่ผู้ประกอบการชะล่าใจไม่เห็นความสำคัญของการติดตั้ง “ฉนวนกันความร้อน” ในโรงงาน จะนำปัญหามาสู่โรงงานได้อย่างแน่นอนไม่ว่าเร็วก็ช้า ยิ่งในช่วงเข้าสู่หน้าร้อนด้วยแล้ว ก็ยิ่งมีโอกาสเสียงเกิดปัญหาได้ง่ายมากขึ้น โดยปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้จากการที่โรงงานไม่ติดฉนวนกันความร้อน ได้แก่


1.เครื่องจักรมีปัญหา กระบวนการผลิตหยุดชะงัก

โดยปกติเครื่องจักรโรงงานก็ทำงานหนักอยู่แล้ว เพราะต้องเดินเครื่องเกือบแทบจะตลอดเวลา ดังนั้น เมื่อเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนที่อากาศภายนอกร้อนและทะลุเข้ามาสะสมภายในโรงงานมากขึ้น แล้วโรงงานไม่ได้มีการติดตั้งฉนวนกันความร้อนเอาไว้ เครื่องจักรก็จะยิ่งต้องทำงานหนักขึ้น จนอาจถึงขั้น Over Heat ได้

โดยเมื่อเครื่องจักรร้อนเกินไป ก็อาจทำให้ชำรุด พัง เสียงหาย และส่งผลต่อกระบวนการผลิตที่ล่าช้า ซึ่งความเสียหายนั้นอาจจะประเมินมูลค่าไม่ได้เลยก็ได้ เพราะไหนจะค่าซ่อมบำรุงเครื่องจักร ไหนจะการผลิตงานได้ไม่ตรงตามเวลา หรือส่งงานลูกค้าได้ไม่ตรงตามกำหนด


2.พนักงานเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ บาดเจ็บ เสียชีวิต

ไม่ใช่แค่เครื่องจักรเท่านั้นที่ Over Heat ได้ พนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ภายในโรงงานก็เกิดอาการ Heat Stroke ได้เช่นกัน โดยหากต้องทำงานต่อเนื่องติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ๆ ภายในโรงงานที่ร้อน อบอ้าว มากเกินไป ซึ่งถ้าเกิดความเสียหายเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็คือ พนักงานทำงานผิดพลาด เกิดความเสียหายเล็กน้อย แต่ถ้าหนักที่สุดคือ พนักงานเป็นลม ลื่นล้ม ประสบอุบัติเหตุ บาดเจ็บ พิการ หรืออาจร้ายแรงจึงถึงขั้นเสียชีวิต

ซึ่งหากโชคร้ายมีพนักงานเสียชีวิตขึ้นมา นอกจากความเสียหายที่ต้องชดใช้แล้ว โรงงานจะถูกตรวจสอบซึ่งอาจมีความผิดที่ดูแลสวัสดิภาพพนักงานไม่ดีพอจนเป็นเหตุทำให้พนักงานถึงขั้นเสียชีวิต ซึ่งถ้าถูกฟ้องร้องจะนำความเสียหายอีกมากมายมาสู่ธุรกิจ


3.เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุอัคคีภัยรุนแรง

เครื่องจักรที่ทำงานหนักมาก ๆ โรงงานที่มีสารเคมีที่ลุกติดไฟได้นั้น ถือว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องควบคุมความร้อนสะสมภายในโรงงานให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเพียงแค่ประกายไฟเล็กน้อยที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิต ก็สามารถเป็นชนวนเหตุของอัคคีภัยรุนแรงได้

ซึ่งฉนวนกันความร้อนนั้น ไม่ได้แค่ช่วยป้องกันที่ต้นเหตุ ที่ช่วยลดความร้อนสะสมภายในโรงงานเท่านั้น แต่ถ้าเป็นฉนวนกันความร้อนคุณภาพดี เช่น ฉนวนกันความร้อน จะมีคุณสมบัติในการป้องกันการลุกลามของเพลิงไหม้ได้ด้วย เพราะต้องผ่านกระบวนการทดสอบตามมาตรฐานอุตสาหกรรม ให้เป็นฉนวนกันความร้อนที่ใช้ในอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ ซึ่งหากเกิดเพลิงไหม้ขึ้นมาจริง ๆ ฉนวนกันความร้อนก็จะช่วยลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้อย่างมาก

การที่โรงงานไม่ติดฉนวนกันความร้อนนั้น ถือว่าเป็นความประมาทที่จะนำไปสู่ความเสียหายอย่างแน่นอนในอนาคต ทั้งนี้ เพราะกฎหมายก็มีกำหนดอย่างชัดเจนว่า ผู้ประกอบการมีหน้าที่ความรับผิดชอบที่จะต้องควบคุมความร้อนสะสมภายในโรงงานให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อสวัสดิภาพของพนักงานภายในองค์กร โดยหากตรวจพบว่าโรงงานไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกปรับและสั่งให้แก้ไข ซึ่งก็ต้องย้อนกลับมาติดฉนวนกันความร้อนอยู่

อย่างไรก็ตาม แม้ไม่ได้เป็นหน้าร้อน ฉนวนกันความร้อนก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้สำหรับโรงงานเสมอ เพราะมีส่วนช่วยสำคัญในการประหยัดพลังงาน ไม่ให้ต้องสูญเสียค่าไฟ ค่าซ่อมบำรุง มหาศาล ซึ่งหากไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ ก็อาจจะทำให้ต้นทุนในการผลิตสูงขึ้นจนกำไรหดหายไปไม่รู้ตัวก็ได้

ดังนั้น เมื่อพิจารณาถึงประโยชน์ที่จะได้รับรวมกับผลเสียที่อาจเกิดขึ้นได้แล้ว การติดตั้งฉนวนกันความร้อนจึงเป็นสิ่งเร่งด่วนอันดับต้น ๆ ที่ผู้ประกอบการทุกคนควรดำเนินการ เพื่อให้โรงงานมีมาตรฐาน ปลอดภัย และมีบรรยากาศที่ส่งเสริมการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7  พูดคุยทั่วไป / พูดคุยทั่วไป / จัดฟันบางนา: การใช้งาน ” รากฟันเทียม ” ในชีวิตประจำวัน ! เมื่อ: พฤษภาคม 13, 2025, 08:48:54 pm
จัดฟันบางนา: การใช้งาน ” รากฟันเทียม ” ในชีวิตประจำวัน !

การทำรากฟันเทียม เป็นการทำการทันตกรรมอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งเป็นการทดแทนฟันธรรมชาติที่สูญเสียไป อาจจะเกิดจากการถอนฟันหรือการเกิดอุบัติเหตุที่นำมาซึ่งการสูญเสียฟัน ในสมัยก่อนที่ยังไม่มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าเหมือนสมัยนี้ การทดแทนฟันธรรมชาติที่สูญเสียไป คือการสวมใส่ฟันปลอม ที่มีการทำวัสดุมาจากพลาสติก และสามารถถอดออกได้ ทำความสะอาดได้ง่าย แต่การใส่ฟันปลอมก็มีข้อเสียหลายข้อนั่นก็คือ บางกรณีเมื่อใส่ฟันปลอมแล้ว อาจจะทำให้พูดไม่ชัด หรือเกิดการหลุดได้ รวมไปถึงการรับประทานอาหาร ก็จะมีข้อจำกัดก็คือไม่สะดวกสบาย หรือทำให้เกิดการระคายเคืองในช่องปาก ซึ่งก็ถือว่าทำให้การดำเนินชีวิตประจำวันเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเยอะ ต้องมีการระมัดระวังแต่มีปัจจัยอีกหลายตามมา

สำหรับการใส่รากฟันเทียม ถือเป็นการทดแทนฟันธรรมชาติ ที่มีการนำเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆเข้ามา ใช้ในการรักษาไม่ว่าจะเป็นการแสกนด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อกำหนดตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ การรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมนั้น ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังการรักษา ผู้เข้ารับการรักษาจะต้องมีการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากให้ดี

เพราะการฝังรากฟันเทียม มีข้อจำกัดหลายอย่าง มีหลายปัจจัยในการพิจารณาก่อนเข้ารับการรักษา ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของทันตแพทย์ผู้ทำการรักษา อย่างไรก็ตามผู้เข้ารับการรักษาจะต้องเตรียมตัวก่อนเข้ารับการรักษาให้ดี โดยทันตแพทย์จะทำการแนะนำถึงขั้นตอนการเตรียมตัว และการปฏิบัติหลังการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม รวมไปถึงการใช้งานรากฟันเทียมในชีวิตประจำวัน ว่าผู้เข้ารับการรักษาจะต้องปรับตัวอย่างไร

สำหรับการปรับตัวหลังจากการผ่าตัดวังรากฟันเทียม ผู้เข้ารับการรักษาจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เพื่อระมัดระวัง ป้องกันรากฟันเทียมที่ได้ทำการฝังภายในช่องปาก ไม่ให้เกิดการกระทบกระเทือนหรือเกิดการเสียหาย อย่างเช่น หากผู้เข้ารับการรักษารับประทานอาหารที่แข็ง หรือเหนียว ก็อาจจะทำให้รากฟันเทียมเกิดการชำรุดเสียหายได้ ซึ่งการเกิดขึ้น ผู้เข้ารับการรักษาจะต้องทำการฝังรากฟันเทียมใหม่ เพราะหากเกิดบิ่นหรือแตก จะทำให้แก้ไขได้ยาก นอกจากนี้ในผู้เข้ารับการรักษาที่มีประวัติการสูบบุหรี่ ก็ต้องงดหรือหลีกเลี่ยง หากเป็นไปได้ควรเลิกสูบบุหรี่

เพราะการสูบบุหรี่จะส่งผลโดยตรงต่อช่องปากและเหงือก อาจจะทำให้เกิดเหงือกร่น เหงือกอักเสบ และต้องมีการแก้ไขที่ยุ่งยากซับซ้อน เพราะฉะนั้น หากต้องการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม สามารถเข้ารับคำแนะนำจากคลีนิคได้ เพราะเรามีทีมทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษา
8  พูดคุยทั่วไป / พูดคุยทั่วไป / หมอประจำบ้าน: มะเร็งตับอ่อน (Pancreatic cancer) เมื่อ: พฤษภาคม 11, 2025, 05:22:26 pm
หมอประจำบ้าน: มะเร็งตับอ่อน (Pancreatic cancer)

มะเร็งตับอ่อน พบได้ไม่บ่อยนัก พบได้ประมาณร้อยละ 1 ของมะเร็งทางเดินอาหาร พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 1.5 เท่า มักพบในคนอายุ 40 ปีขึ้นไป และพบได้มากยิ่งขึ้นในคนอายุ 60 ปีขึ้นไป

สาเหตุ

ยังไม่ทราบแน่ชัด พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งชนิดนี้ ได้แก่

    การสูบบุหรี่
    ภาวะอ้วน หรือเบาหวาน
    ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง หรือตับแข็ง (ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการดื่มสุราจัด)
    การบริโภคไขมันสัตว์มาก และกินผักผลไม้น้อย
    การสัมผัสสารเคมี (เช่น น้ำมันเบนซิน สารกำจัดศัตรูพืช สีย้อมบางชนิด ผลิตภัณฑ์จากน้ำมันปิโตรเลียม)
    การมีประวัติโรคนี้ หรือมะเร็งชนิดอื่น (เช่น มะเร็งเต้านม รังไข่ มดลูก กระเพาะอาหาร ลำไส้ใหญ่ ไต) ในครอบครัว ซึ่งสามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์

อาการ

ระยะแรกมักไม่มีอาการแสดง จนกว่ามะเร็งลุกลามมากแล้วก็จะมีอาการปวดท้องส่วนบนและปวดร้าวไปที่หลัง ซึ่งมักปวดเวลาหลังอาหารหรือนอนลง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด มีอาการแบบอาหารไม่ย่อย ตาเหลืองตัวเหลือง อุจจาระสีซีดขาว (เนื่องจากก้อนมะเร็งอุดกั้นทางเดินน้ำดี) คันตามผิวหนัง อาจคลำได้ก้อนในท้อง ตับโต คลื่นไส้ อาเจียน (เนื่องจากลำไส้อุดกั้นจากก้อนมะเร็ง) ท้องเดินเรื้อรัง (เนื่องจากผลิตเอนไซม์ย่อยอาหารได้น้อย ทำให้การดูดซึมผิดปกติ) หรือมีอาการที่เกิดจากมะเร็งแพร่กระจายไปยังที่อื่น

ภาวะแทรกซ้อน

อาจทำให้มีอาการเจ็บปวด น้ำหนักลดมาก

เมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้นลุกลามไปที่อวัยวะข้างเคียง ทำให้เกิดภาวะอุดกั้นของท่อน้ำดี (มีอาการตาเหลืองตัวเหลือง อุจจาระสีซีดขาว) ทางเดินอาหารอุดกั้น (ปวดท้อง อาเจียน) มีเลือดออกในลำไส้ (ทำให้ถ่ายอุจจาระดำ โลหิตจาง) เข้าในช่องท้อง (ทำให้ปวดท้อง ท้องมาน) และในระยะท้ายมักแพร่กระจายผ่านกระแสเลือดไปที่ปอด (เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก), ตับ (เจ็บชายโครงขวา ตาเหลืองตัวเหลือง ท้องมาน), กระดูก (ปวดกระดูก กระดูกพรุน กระดูกหัก ปวดหลัง ไขสันหลังถูกกดทับ) และอาจไปที่สมอง (ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก เวียนศีรษะ บ้านหมุน เดินเซ แขนขาชาและเป็นอัมพาต ชัก)


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยโดยการตรวจอัลตราซาวนด์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การส่องกล้องและฉีดสีเข้าไปในท่อน้ำดี (endoscopic retrograde cholangiopancreatography/ERCP)

อาจทำการตรวจหาระดับสารบ่งชี้มะเร็ง (tumor marker) ได้แก่ สารCA 19-9 ซึ่งมีส่วนช่วยในการวินิจฉัยและการติดตามผลการรักษา

โดยทั่วไปแพทย์จะตรวจชิ้นเนื้อเวลาทำการรักษาด้วยการผ่าตัด

หากจำเป็นแพทย์อาจทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดก่อนให้การรักษา ด้วยการตรวจชิ้นเนื้อโดยการใช้เข็มเจาะดูด (fine-needle aspiration) หรือใช้กล้องส่องเข้าช่องท้อง และตัดชิ้นเนื้อนำไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ

  หากพบว่าเป็นมะเร็งก็จะทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีต่าง ๆ (เช่น เอกซเรย์, อัลตราซาวนด์, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์, การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า-MRI, การตรวจเพทสแกน-PET scan เป็นต้น) เพื่อประเมินว่าเป็นมะเร็งระยะใด


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาด้วยการผ่าตัด หรือให้รังสีบำบัดและเคมีบำบัดในรายที่ผ่าตัดไม่ได้

ผลการรักษาไม่สู้ดี มักอยู่ได้ไม่นาน (มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีต่ำกว่าร้อยละ 10) ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อมีอาการมาพบแพทย์ก็มักจะพบว่าเป็นมะเร็งระยะท้าย ๆ แล้ว


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดท้องส่วนบนและปวดร้าวไปที่หลัง, มีอาการแบบอาหารไม่ย่อยเรื้อรัง, ตาเหลืองตัวเหลืองและอุจจาระสีซีดขาว, น้ำหนักลด เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งตับอ่อน ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันอย่างได้ผล อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับอ่อน ดังนี้

    ไม่สูบบุหรี่
    หลีกเลี่ยงการดื่มสุราจัด เพื่อลดการเป็นโรคตับแข็งและตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง (โรคสองชนิดนี้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับอ่อน)
    ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
    กินอาหารที่มีไขมันสัตว์ต่ำ และกินผักและผลไม้ให้มาก ๆ


ข้อแนะนำ

1. ผู้ที่มีอาการปวดท้อง ปวดหลังเรื้อรัง หรือน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด

2. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี
9  พูดคุยทั่วไป / พูดคุยทั่วไป / บริหารจัดการอาคาร: เคล็ดไม่ลับการวางตำแหน่งติดแอร์ที่ดี! เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2025, 11:09:43 pm
บริหารจัดการอาคาร: เคล็ดไม่ลับการวางตำแหน่งติดแอร์ที่ดี!

แอร์หรือเครื่องปรับอากาศ ถือว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดหนึ่ง มีหน่วยเป็น BTU สามารถปรับอุณภูมิของอากาศในสถานที่ ทำให้ที่อาศัยไม่ร้อน เย็น จนเกินไป หรือ จะรักษาสภาวะอากาศให้คงที่ และ ยิ่งบ้านเรามีอากาศที่ร้อนอบอ้าว ก็มักจะนำเครื่องปรับอากาศมาใช้เพื่อลดอุณภูมิให้เย็นลง เครื่องปรับอากาศมีทั้งแบบติดผนัง และแบบเคลื่อนที่ จะทำงานในรูปแบบการถ่ายเทความร้อน รวมไปถึงยังสามารถฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ได้ด้วย จะให้ความเย็น หรือ ระบบการใช้งานที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้สะดวกที่จะใช้แบบไหน เครื่องปรับอากาศในปัจจุบันนั้นได้วางขายอยู่มากมายหลากหลาย จนบางครั้งอาจจะเลือกไม่ถูก และ ไม่รู้ว่าซื้อแล้วจะดีไหม แต่สิ่งที่สำคัญมากอีกปัจจัยหนึ่งคือ การติดตั้งแอร์ในตำแหน่งที่เหมาะสม เพื่อให้ความเย็นได้กระะจายไปทั่วห้องและยังไม่ทำให้แอร์ต้องทำงานหนักอีกด้วย

นอกจากนี้ การติดตั้งคอมเพรสเซอร์ ควรจะหาพื้นที่ติดตั้งคอมเพรสเซอร์แอร์ ให้อยู่ในบริเวณที่เหมาะสมด้วย  ซึ่งควรหลีกเลี่ยงบริเวณที่เป็นพื้นปูน หรือ ดาดฟ้า รวมถึงพื้นที่อื่น ๆ ที่ได้รับแสงแดดโดยตรง รวมทั้งมุมอับ ที่อากาศไม่ค่อยถ่ายเท เพราะคอมเพรสเซอร์แอร์นั้น เป็นตัวระบายความร้อน จึงควรอยู่ในที่ร่ม แนะนำว่าควรอย่างยิ่งที่จะยกสูงขึ้น เหนือพื้นที่ปกติ เพื่อให้อากาศจากคอมเพรสเซอร์ ถ่ายเทได้ดียิ่งขึ้น เมื่อคอมเพรสเซอร์ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และไม่เปลืองไฟด้วย แต่ในวันนี้ ทางเราจะมาพูดถึงการวางตำแหน่งแอร์ในบ้านให้เหมาะสม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยทำให้แอร์กระจายความเย็นไปทั่วห้อง เพื่อให้คนในบ้านรู้สึกเย็นสบายและช่วยประหยัดค่าไฟอีกด้วย

หลายบ้านประสบปัญหาในเรื่องของแอร์ไม่เย็น ซึ่งมีด้วยกันหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความสกปรกของแอร์ อุณหภูมิที่ใช้ หรือ ตำแหน่งการติดตั้งแอร์ ซึ่งทั้งหมดนี้มีความสำคัญอย่างมากในเรื่องของการใช้งาน แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงการวางตำแหน่งของแอร์ให้เหมาะสม ซึ่งหลายคนคิดแค่ว่า วางตรงไหนที่ทำให้แอร์ตกมาที่ตัวเองมากที่สุด เพื่อให้ช่วยเย็นสบาย ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะการวางตำแหน่งแอร์จะมีเคล็ดลับที่ช่วยทำให้ความเย็นกระจายไปทั่วห้อง และไม่ทำให้แอร์ทำงานหนักด้วย สำหรับเคล็ดลับแรกคือ ไม่ควรติดตั้งแอร์บนศีรษะและปลายเตียง ข้อนี้สิ่งสำคัญมาก เพราะเป็นตำแหน่งที่ปล่อยลมออกมาปะทะร่างกายและศีรษะโดยตรง อาจเป็นต้นเหตุให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ สำหรับทิศทางลมจากเครื่องปรับอากาศที่สวนจากปลายเท้าขึ้นมาทางศีรษะ ลมเย็นจะพัดสวนเข้าจมูกตลอด หากเครื่องปรับอากาศไม่ได้ทำความสะอาดนานๆ อากาศที่เป่าออกจากแอร์จะมีความชื้นและเชื้อโรคตามมาด้วย


ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ระบบหายใจทำงานผิดปกติ มีโอกาสเป็นหวัดเรื้อรัง เกิดโรคภูมิแพ้ได้ง่าย อีกทั้งการติดตั้งแอร์ไว้บนหัวเตียง จะทำให้ตอนนอนรู้สึกเหมือนมีอะไรกดทับอยู่ ส่งผลให้รู้สึกไม่ปลอดภัย นอกจากนี้ ตำแหน่งเหนือประตูห้อง คือจุดที่ไม่ควรติดตั้งแอร์ เพราะการเปิด-ปิด ประตูแต่ละครั้งจะทำให้ความเย็นออกจากห้องนอนได้ง่าย อุณหภูมิใกล้ประตูไม่คงที่ ส่งผลให้เครื่องปรับอากาศเย็นช้า ระบบเซ็นเซอร์ของเครื่องปรับอากาศทำงานหนักและเปลืองค่าไฟอีกด้วย นอกจากนี้ เครื่องทำความเย็นทุกๆ ประเภท ไม่ควรติดตั้งในจุดที่โดนแสงแดดหรือมีเครื่องทำความร้อน โดยเฉพาะผนังบ้านทางทิศใต้และทิศตะวันตก ซึ่งเป็นทิศที่รับแสงแดดเกือบตลอดทั้งวัน ไม่เพียงแค่ทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้น จะทำให้ค่าไฟก็ขยับตามขึ้นด้วย


หากบางห้องไม่สามารถเลี่ยงในการติดตั้งในทิศดังกล่าวได้ อาจเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศชนิดฝังฝ้าเพดานแทนได้ และทริคอีกอย่างหนึ่งคือ เราควรเลือกตำแหน่งที่กระจายลมได้ไกล โดยห้องแต่ละห้องจะมีรูปร่างและขนาดต่างกัน วิธีการมองหาจุดติดตั้งแอร์มีหลักการใกล้เคียงกันคือ ติดตั้งมุมที่เครื่องปรับอากาศสามารถกระจายลมเย็นไปทั่วทั้งห้องได้ ไม่ติดตั้งในมุมอับ เพราะการกระจายความเย็นอาจทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร เช่น ห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตำแหน่งติดตั้งควรอยู่ในตำแหน่งผนังแนวยาว เพื่อให้ความเย็นที่ออกมากระจายไปทางซ้ายและขวาของห้องได้อย่างทั่วถึง และสำหรับตำแหน่งที่เหมาะสมมากที่สุดคือ ผนังด้านที่ตั้งฉากกับเตียง ให้ทิศทางลมจากตัวเครื่องพัดขวางลำตัวในเวลานอน อาจติดตั้งเครื่องปรับอากาศให้ตรงบริเวณกลางเตียงหรือขยับเยื้องค่อนไปทางปลายเตียงเล็กน้อย จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้หรือระบบทางเดินหายใจได้ แถมยังช่วยทำให้เย็น หลับสบายมากที่สุด

ทั้งนี้ทางเราอยากให้ทุกคนได้เลือกเครื่องปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพในการใช้งานที่เหมาะสม ทางเรามีบริการทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะ ระบบการจัดการอาคารหรือระบบทำความเย็นภายในอาคาร เพื่อที่จะได้สามารถใช้งานเครื่องปรับอากาศในสถานที่ที่มีคนจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเราถือว่า ระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะผู้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักจะใช้ชีวิตในภายในอาคาร นั่นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าเราได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์และสะอาดเข้าไป ก็จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดี สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้สดชื่น สบายมากขึ้นได้

10  พูดคุยทั่วไป / พูดคุยทั่วไป / วัดวังขนายทายิการามแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติแนะนำใส่ชุดขาวปฏิบัติพัฒนาสมาธิทำจ เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2025, 02:05:57 pm
วัดวังขนายทายิการามแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติแนะนำใส่ชุดขาวปฏิบัติพัฒนาสมาธิทำจิตให้บริสุทธิ์เกิดขึ้นจากปัญญา

วัดวังขนายทายิการามตั้งอยู่จังหวัดกาญจนบุรี ที่นี่ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม แต่ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บ่อน้ำแร่ที่มีชื่อเสียงเป็นวัดที่มีความเงียบสงบเป็นสถานที่พักผ่อนที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่แสวงหาการเติบโตทางจิตวิญญาณและความสงบใส่ชุดขาว ชุดขาวชาย ชุดขาวหญิง ชุดขาวปฏิบัติธรรม มาเที่ยววัดวังขนายทายิการาม

วัดแห่งนี้ขึ้นชื่อในเรื่องสภาพแวดล้อมที่งดงามและบรรยากาศที่สงบเงียบ จึงเป็นจุดหมายปลายทางในอุดมคติสำหรับการปฏิบัติธรรมและดื่มด่ำกับคำสอนของพระพุทธศาสนา ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ วัดวังขนายทายิการามมีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายศตวรรษ วัดแห่งนี้ได้รับการยกย่องในด้านสถาปัตยกรรมที่งดงาม จิตรกรรมฝาผนังที่ประณีตและบรรยากาศที่เงียบสงบ วัดแห่งนี้เป็นศูนย์กลางการปฏิบัติธรรมและการศึกษาของพุทธศาสนา ดึงดูดผู้ศรัทธาและผู้ปฏิบัติธรรมจากทั่วประเทศไทยและต่างประเทศ

การปฏิบัติธรรม
วัดแห่งนี้มีโปรแกรมปฏิบัติธรรมมากมายที่เหมาะสำหรับทั้งผู้เริ่มต้นและผู้ปฏิบัติธรรม ผู้เยี่ยมชมสามารถเข้าร่วมการทำสมาธิ ฟังพระธรรมเทศนา และเดินจงกรมอย่างมีสติภายในบริเวณวัด พระสงฆ์ที่วัดวังขนายทายิการามมีชื่อเสียงในเรื่องปัญญาและความเมตตากรุณา โดยคอยให้คำแนะนำและช่วยเหลือผู้ที่กำลังเดินทางทางจิตวิญญาณ

จุดเด่นของวัดแห่งนี้คือบ่อน้ำแร่ธรรมชาติที่มีอุณหภูมิประมาณ 40-45 องศาเซลเซียส ซึ่งมีแร่ธาตุหลากหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น แคลเซียม โซเดียม และฟลูออไรด์ ผู้คนนิยมมาแช่น้ำแร่เพื่อผ่อนคลายและบำบัดอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย

วิธีการอาบน้ำแร่:
ขอพร: ก่อนลงแช่ ให้ไปขอพรจากหลวงพ่อสรรเพชญและหลวงพ่อเสนาะที่วิหารกาญจนาภิเษก 50 ปี
ลงชื่อ: มาลงชื่อและรับบัตรเพื่อเข้าใช้บริการบ่อน้ำแร่
เก็บของ: มีตู้ล็อกเกอร์ให้บริการฟรีสำหรับเก็บของมีค่า
แช่น้ำ: เพลิดเพลินกับการแช่น้ำแร่อุณหภูมิอบอุ่น
สิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ
วิหารกาญจนาภิเษก 50 ปี: สถาปัตยกรรมที่สวยงามและเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ
สำนักปฏิบัติธรรม: สำหรับผู้ที่สนใจปฏิบัติธรรมและศึกษาพระธรรมคำสอน
บรรยากาศโดยรอบ: ร่มรื่นและเงียบสงบ เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ

การทำสมาธิ
การทำสมาธิเป็นแนวทางปฏิบัติหลักของวัดวังขนายทัยการาม วัดแห่งนี้มีทั้งการทำสมาธิแบบมีผู้แนะนำและแบบเงียบ ช่วยให้ผู้ปฏิบัติได้ฝึกสติและความสงบภายใน สภาพแวดล้อมที่เงียบสงบรายล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวขจีและเสียงน้ำไหลอันนุ่มนวล ช่วยให้การทำสมาธิเป็นไปอย่างราบรื่นและช่วยให้บรรลุถึงสภาวะที่สงบและแจ่มใสได้ง่ายขึ้น

สนทนาธรรมะ
วัดจะจัดการแสดงธรรมะเป็นประจำ โดยให้ความรู้เกี่ยวกับคำสอนของพุทธศาสนาและคำแนะนำในการปฏิบัติธรรมเพื่อนำคำสอนเหล่านี้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน พระภิกษุจะแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ของตนเอง ช่วยให้ผู้ปฏิบัติธรรมเข้าใจธรรมะอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และสร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับเส้นทางจิตวิญญาณของตน

การเดินอย่างมีสติ
บริเวณวัดเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเดินอย่างมีสติ ซึ่งเป็นการฝึกเดินอย่างช้าๆ และตั้งใจ โดยตระหนักถึงทุกย่างก้าวและความรู้สึกต่างๆ ในร่างกาย การฝึกแบบนี้จะช่วยฝึกสติในกิจกรรมประจำวันและเสริมสร้างสุขภาพโดยรวมให้ดีขึ้น สภาพแวดล้อมที่สวยงามของวัดวังขนายทายิการามเป็นฉากหลังที่สมบูรณ์แบบสำหรับการฝึกสมาธินี้

ที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก
วัดวังขนายทัยการามให้บริการที่พักเรียบง่ายแต่สะดวกสบายสำหรับผู้ที่ต้องการพักและปฏิบัติธรรมเป็นเวลานาน สิ่งอำนวยความสะดวก ได้แก่ หอพักที่สะอาด ห้องปฏิบัติธรรม และพื้นที่รับประทานอาหาร มีอาหารให้บริการ โดยปกติจะเป็นอาหารมังสวิรัติแบบง่ายๆ เพื่อสนับสนุนการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดีและมีสติ

การเที่ยวชมวัด
ผู้เยี่ยมชมสามารถเที่ยวชมบริเวณวัด ชื่นชมสถาปัตยกรรมอันน่าทึ่ง และสักการะพระพุทธรูปและพระบรมสารีริกธาตุต่างๆ บรรยากาศอันเงียบสงบและความงามตามธรรมชาติของวัดทำให้ที่นี่เป็นจุดที่สมบูรณ์แบบสำหรับการพักผ่อนและไตร่ตรอง

วัดวังขนายทายิการามในจังหวัดกาญจนบุรีเป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับผู้ที่แสวงหาการเติบโตทางจิตวิญญาณและความสงบภายใน ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ในการปฏิบัติธรรมหรือเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่มีประสบการณ์ วัดแห่งนี้ก็มีสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยและเงียบสงบเพื่อให้คุณได้ฝึกฝนการปฏิบัติธรรมอย่างลึกซึ้งและเชื่อมโยงกับคำสอนของพระพุทธศาสนา การไปเยี่ยมชมวัดอันเงียบสงบแห่งนี้จะทำให้คุณรู้สึกสดชื่นและได้รับแรงบันดาลใจในการเดินทางทางจิตวิญญาณอย่างแน่นอน
11  พูดคุยทั่วไป / พูดคุยทั่วไป / หมอประจำบ้าน: ปอดอักเสบ/ปอดบวม (Pneumonia) เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2025, 02:14:04 pm
หมอประจำบ้าน: ปอดอักเสบ/ปอดบวม (Pneumonia)

ปอดอักเสบ (ปอดบวม นิวโมเนีย ก็เรียก) หมายถึง การอักเสบของเนื้อปอด (ซึ่งประกอบด้วย ถุงลมปอดและเนื้อเยื่อโดยรอบ) ทำให้ปอดทำหน้าที่ได้น้อยลง เกิดอาการหายใจหอบเหนื่อย และอาจรุนแรงถึงเสียชีวิตได้

โรคนี้เกิดจากสาเหตุที่หลากหลาย จึงมีอาการแสดงและความรุนแรงในลักษณะต่าง ๆ เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทั่วไปและคนทุกวัย มีโอกาสพบมากขึ้นในบุคคลที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ทารก เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (เช่น หลอดลมพอง หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ถุงลมปอดโป่งพอง โรคหืดเรื้อรัง) หรือหัวใจวายเรื้อรัง ผู้ที่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์จัด และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ทารกคลอดก่อนกำหนด ทารกน้ำหนักน้อย เด็กขาดอาหาร ผู้ที่กินยาสเตียรอยด์ประจำ ผู้ป่วยเอดส์ เบาหวาน ตับแข็ง ไตวายเรื้อรัง มะเร็ง เป็นต้น

อาจพบเป็นภาวะแทรกซ้อนของไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หัด อีสุกอีใส โรคมือ-เท้า-ปาก ไอกรน ทอนซิลอักเสบ หลอดอักเสบ ครู้ป หลอดลมพอง หลอดลมฝอยอักเสบ และโรคติดเชื้อของระบบอื่น (เช่น ไทฟอยด์ สครับไทฟัส เล็ปโตสไปโรซิส เป็นต้น)

ผู้ป่วยที่ฉีดยาด้วยเข็มที่ไม่ได้ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อ (เช่น ฉีดยาเสพติด) ก็มีโอกาสติดเชื้อสแตฟีโลค็อกคัสกลายเป็นโรคปอดอักเสบชนิดร้ายแรงได้

บางครั้งอาจพบในผู้ที่สำลักสารเคมี (ที่สำคัญคือ น้ำมัน เช่น น้ำมันก๊าด เบนซิน) น้ำย่อยในผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อน น้ำและสิ่งปนเปื้อน (ในผู้ป่วยจมน้ำ) หรือเศษอาหาร (ซึ่งมักพบในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยอัมพาต ลมชัก หมดสติ ดื่มแอลกอฮอล์จัด) ทำให้ปอดอักเสบ จากการระคายเคืองของสารเคมี หรือการติดเชื้อ เรียกว่าปอดอักเสบจากการสำลัก (aspiration pneumonia)

สาเหตุ

ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ ส่วนน้อยเกิดจากสารเคมี การติดเชื้อที่สำคัญ มีดังนี้  

    การติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อที่เป็นสาเหตุของปอดอักเสบที่พบได้บ่อยสุดในคนทุกวัยได้แก่ เชื้อปอดบวม ที่มีชื่อว่า นิวโมค็อกคัส (pneumococcus) หรือ สเตรปโตค็อกคัสนิวโมเนีย (Streptococcus pneumoniae) มักทำให้เกิดอาการปอดอักเสบเฉียบพลันและรุนแรง

นอกจากนี้อาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรียอื่น ๆ เช่น อีโมฟิลุสอินฟลูเอนเซ (Hemophilus influenzae) ซึ่งเป็นสาเหตุของปอดอักเสบในทารกและผู้ป่วยหลอดลมอักเสบเรื้อรัง สแตฟีโลค็อกคัสออเรียส (Staphylococcus aureus) ซึ่งทำให้เกิดปอดอักเสบชนิดร้ายแรง พบบ่อยในผู้ที่ฉีดยาเสพติดด้วยเข็มที่ไม่ได้ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อ และอาจพบเป็นภาวะแทรกซ้อนของไข้หวัดใหญ่ เชื้อเคล็บซิลลา (Klebsiella pneumoniae) ซึ่งทำให้เป็นปอดอักเสบชนิดร้ายแรงในผู้ป่วยที่ดื่มแอลกอฮอล์จัด กลุ่มแบคทีเรียที่ไม่พึ่งออกซิเจน (anaerobes) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของปอดอักเสบจากการสำลัก เชื้อลีจันเนลลา (Legionella) ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปตามระบบปรับอากาศ (เช่น ห้องพักในโรงแรม หรือโรงพยาบาล) เชื้อเมลิออยโดซิส ซึ่งพบมากทางภาคอีสาน เชื้อคลามีเดีย (Chlamydia pneumoniae) ซึ่งพบบ่อยในวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว เป็นต้น
 

    การติดเชื้อไมโคพลาสมานิวโมเนีย (Mycoplasma pneumoniae) ซึ่งเป็นเชื้อคล้ายแบคทีเรียแต่ไม่มีผนังเชลล์ จัดว่าอยู่ก้ำกึ่งระหว่างไวรัสกับแบคทีเรีย มักทำให้เกิดปอดอักเสบที่มีอาการไม่ชัดเจน (มีอาการไข้ ไอ ปวดเมื่อย คล้ายไข้หวัดใหญ่หรือหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน โดยไม่มีอาการหอบรุนแรง การตรวจฟังปอดในระยะแรกมักไม่พบเสียงผิดปกติ)* มักพบในวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว ถ้าพบในคนวัยกลางคนและผู้สูงอายุ อาจมีอาการรุนแรงบางครั้งพบมีการระบาด

    การติดเชื้อไวรัส ที่พบบ่อย ได้แก่ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ (influenza virus) อีสุกอีใส-งูสวัด (varicella-zoster/virus) ไวรัสอาร์เอสวี (respiratory syncytial virus/RSV) ไวรัสค็อกแซกกี (coxsackie virus) ไวรัสเริม (herpes simplex virus/HSV) ไวรัสโคโรนาสัมพันธ์กับโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรงชนิดที่ 2 (SARS-CoV-2 เรียกสั้น ๆ ว่า "ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ 2019" หรือ "ไวรัสโควิด-19") เป็นต้น

    การติดเชื้อรา ที่สำคัญได้แก่ นิวโมซิสติสคาริไน (Pneumocystis carinii)** ที่เป็นสาเหตุของปอดอักเสบในผู้ป่วยเอดส์ นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากเชื้อราอื่น ๆ เช่น Histoplasma capsulatum‚ Blastomyces dermatitidis‚ Coccidioides immites‚ Cryptococcus‚ Aspergillus เป็นต้น

การติดต่อ เชื้อโรคและสารก่อโรคสามารถเข้าสู่ปอดโดยทางใดทางหนึ่ง ดังนี้

ก. ทางเดินหายใจ โดยการสูดเอาเชื้อโรคที่แพร่กระจายมาทางอากาศ (ถูกไอ จามใส่) หรือเชื้อที่อยู่เป็นปกติวิสัย (normal flora) ในช่องปากและคอหอย (เช่น สเตรปโตค็อกคัสนิวโมเนีย ฮีโมฟิลุสอินฟลูเอนเซกลุ่มแบคทีเรียที่ไม่พึ่งออกซิเจน) ลงไปในปอด

ข. การสำลัก เอาสารเคมี (น้ำมัน) น้ำย่อย น้ำ (จมน้ำ) หรือเศษอาหารเข้าไปในปอด การอักเสบนอกจากเกิดจากสารระคายเคืองแล้ว ยังอาจเกิดจากเชื้อโรคที่อยู่ในช่องปากและคอหอยที่ถูกสำลักลงไปในปอด

ค. การแพร่กระจายไปตามกระแสเลือด ได้แก่ การฉีดยาหรือให้น้ำเกลือที่มีการแปดเปื้อนเชื้อ การติด เชื้อในอวัยวะส่วนอื่น เช่น สครับไทฟัส เล็ปโตสไปโรซิส ภาวะโลหิตเป็นพิษ เป็นต้น

* เดิมนิยมเรียกว่า ปอดอักเสบนอกแบบ (atypical pneumonia) เนื่องจากอาการไม่เหมือนปอดอักเสบจากนิวโมค็อกคัส (ที่จัดเป็น typical pneumonia) นอกจากไมโคพลาสมาแล้ว ปอดอักเสบนอกแบบยังอาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ เชื้อchlamydia, เชื้อlegionella

ปัจจุบันพบว่า เชื้อโรคทุกชนิดสามารถทำให้เกิดปอดอักเสบที่มีอาการทั้งที่รุนแรง (typical) และไม่รุนแรง (atypical) ได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้ขึ้นกับระยะและความรุนแรงของการติดเชื้อ

** ปัจจุบันเรียกชื่อใหม่ว่า นิวโมซิสติสจิโรเวซิ (Pneumocystis jiroveci) และจัดอยู่ในกลุ่มเชื้อรา ไม่ใช่โปรโตซัวที่เคยเข้าใจแต่เดิม


อาการ

มักมีอาการไข้ ไอ เจ็บหน้าอก และหอบเหนื่อย เป็นสำคัญ

ส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะเกิดจากเชื้อสเตรปโตค็อกคัสนิวโมเนีย หรือฮีโมฟิลุสอินฟลูเอนเซ) มักมีอาการติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนต้นหรือไข้หวัดนำมาก่อน

บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เจ็บคอ ปวดท้อง ท้องเดิน เบื่ออาหารอาเจียน ร่วมด้วย

อาการไข้มักเกิดขึ้นฉับพลัน อาจมีลักษณะไอเป็นพัก ๆ หรือไข้ตลอดเวลา บางรายก่อนมีไข้ขึ้น อาจมีอาการหนาวสั่นมาก (ซึ่งมักจะเป็นเพียงครั้งเดียวในช่วงแรก ๆ)

อาการไอ ในระยะแรกมีลักษณะไอแห้ง ๆ ต่อมาจะมีเสมหะขาวหรือขุ่นข้นออกเป็นสีเหลือง สีเขียว บางรายอาจมีสีสนิมเหล็กหรือเลือดปน

บางรายอาจมีอาการเจ็บหน้าอก แบบเจ็บแปลบเวลาหายใจเข้าหรือเวลาไอแรง ๆ ตรงบริเวณที่มีการอักเสบของปอด บางครั้งอาจปวดร้าวไปที่หัวไหล่สีข้าง หรือท้อง

ผู้ป่วยมักมีอาการหอบเหนื่อย หายใจเร็ว ถ้าเป็นมากอาจมีอาการปากเขียว ตัวเขียว ในรายที่เป็นไม่มากอาจไม่มีอาการหอบเหนื่อยชัดเจน

ในผู้สูงอายุ อาจมีอาการซึม สับสน และไม่มีไข้

ในทารกหรือเด็กเล็ก อาจมีอาการปวดท้อง ท้องอืด อาเจียน ท้องเดิน ซึม ร้องกวน ไม่ดูดนม ร่วมด้วยบางรายอาจมีอาการชักจากไข้

ในรายที่เป็นปอดอักเสบจากภาวะแทรกซ้อนของโรคติดเชื้ออื่น ๆ ก็มักมีอาการของโรคติดเชื้ออื่น ๆ (เช่น ไข้หวัดใหญ่ หัด อีสุกอีใส ไอกรน สครับไทฟัส เล็ปโตสไปโรซิส เป็นต้น) นำมาก่อน


ภาวะแทรกซ้อน

อาจทำให้เป็นฝีในปอด (lung abscess) ภาวะมีน้ำหรือหนองในโพรงเยื่อหุ้มปอด  ปอดแฟบ (atelectasis) หลอดลมพอง

เชื้ออาจแพร่เข้าสู่กระแสเลือด กลายเป็นโลหิตเป็นพิษ สมองและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (pericarditis) เยื่อบุหัวใจอักเสบ (endocarditis) เยื่อหุ้มช่องท้องอักเสบ ข้ออักเสบติดเชื้อเฉียบพลัน เป็นต้น

ที่ร้ายแรง ได้แก่ กลุ่มอาการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน (acute respiratory distress syndrome) ภาวะการหายใจล้มเหลว (respiratory failure) และภาวะช็อกจากโรคติดเชื้อ (septic shock) ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

มักตรวจพบไข้ (39-40 องศาเซลเซียส) บางรายอาจมีไข้ต่ำ ๆ หรือไม่มีไข้

ในรายที่เป็นมาก จะมีอาการหายใจเร็วมากกว่า 30-40 ครั้ง/นาที (เด็กอายุ 0-2 เดือน หายใจมากกว่า 60 ครั้ง/นาที อายุ 2 เดือนถึง 1 ปี มากกว่า 50 ครั้ง/นาที อายุ 1-5 ปี มากกว่า 40 ครั้ง/นาที) ซี่โครงบุ๋ม รูจมูกบาน อาจมีอาการตัวเขียว (ริมฝีปาก ลิ้น และเล็บเขียว) และภาวะขาดน้ำ

การใช้เครื่องฟังตรวจปอดมักมีเสียงกรอบแกรบ (crepitation) ซึ่งมักได้ยินตรงบริเวณใต้สะบัก (ปอดส่วนล่าง) ข้างหนึ่งหรือ 2 ข้าง บางรายอาจได้ยินเสียงอึ๊ด (rhonchi) หรือเสียงวี้ด (wheezing) เฉพาะบริเวณใดบริเวณหนึ่ง

บางรายอาจพบอาการเคาะทึบ (dullness) และใช้เครื่องฟังตรวจได้ยินเสียงหายใจค่อย (diminished breath sound) ที่ปอดข้างใดข้างหนึ่ง

บางรายอาจพบอาการของโรคติดเชื้ออื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น เริมที่ริมฝีปาก ผื่นของหัด อีสุกอีใส หรือโรคมือ-เท้า-ปาก เป็นต้น

ในรายที่เกิดจากการติดเชื้อไมโคพลาสมาหรือคลามีเดีย อาจมีผื่นตามผิวหนังร่วมด้วย ส่วนการตรวจฟังปอดในระยะแรกอาจไม่พบเสียงผิดปกติก็ได้

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการเอกซเรย์ปอด ตรวจหาเชื้อที่เป็นสาเหตุ (โดยการย้อมเสมหะ เพาะเชื้อจากเสมหะ เพาะเชื้อจากเลือด) ตรวจระดับอิเล็กโทรไลต์และออกซิเจนในเลือด


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้าพบในผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงอยู่ก่อน และมีอาการในระยะแรกเริ่ม (หายใจเร็วกว่าปกติเล็กน้อย ไม่มีอาการซี่โครงบุ๋ม หรือตัวเขียว) ให้การรักษาเบื้องต้นด้วยยาปฏิชีวนะ (เช่น เพนิซิลลินวี, อะม็อกซีซิลลิน, โคอะม็อกซิคลาฟ, อีริโทรไมซิน, ร็อกซิโทรไมซิน เป็นต้น) และให้การรักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ ให้ดื่มน้ำมาก ๆ ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว ควรติดตามดูอาการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด

ถ้าอาการดีขึ้นใน 3 วัน ควรให้ยาปฏิชีวนะติดต่อกันนาน 10-14 วัน ถ้าไม่ดีขึ้น หรือมีอาการหอบมากขึ้น ควรส่งโรงพยาบาล

2. ถ้าพบในทารก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคทางปอดหรือโรคหัวใจอยู่ก่อน ผู้ป่วยเบาหวาน หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมีอาการหอบรุนแรง ซี่โครงบุ๋ม ตัวเขียว สับสน หรือซึม แพทย์จะรับตัวไว้ในโรงพยาบาลให้การรักษาตามอาการ และรักษาแบบประคับประคอง (เช่น ให้ออกซิเจน น้ำเกลือ ยาลดไข้) และเลือกให้ยาต้านจุลชีพ (ยาปฏิชีวนะ ยาต้านไวรัส ยาต้านเชื้อรา) ตามชนิดของเชื้อที่พบ

ผลการรักษา ขึ้นกับชนิดของเชื้อและความรุนแรงของโรค ในรายที่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องตั้งแต่ระยะแรกส่วนใหญ่มักจะหายเป็นปกติ และไม่มีภาวะแทรกซ้อนตามมา

แต่ถ้าปล่อยให้มีอาการรุนแรง หรือติดเชื้อชนิดร้ายแรง (เช่น สแตฟีโลค็อกคัส เคล็บซิลลา) หรือพบในทารก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ก็มักจะมีภาวะแทรกซ้อน และมีอัตราตายค่อนข้างสูง


การดูแลตนเอง

หากมีอาการไข้ หายใจหอบ หรือเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีหายใจเร็วกว่าปกติ (เด็กอายุ 0-2 เดือน หายใจมากกว่า 60 ครั้ง/นาที อายุ 2 เดือนถึง 1 ปี หายใจมากกว่า 50 ครั้ง/นาที อายุ 1-5 ปี หายใจมากกว่า 40 ครั้ง/นาที) ควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทันที

เมื่อตรวจพบว่าเป็นปอดอักเสบ ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัด

ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด


การป้องกัน

1. ปฏิบัติเช่นเดียวกับการป้องกันไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่

2. อย่าฉีดยาด้วยเข็มและกระบอกฉีดยาที่ไม่ได้ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อ

3. อย่าอมน้ำมันเล่น ควรเก็บน้ำมันให้ห่างมือเด็ก

4. ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคไอกรน หัด อีสุกอีใส แก่เด็กทุกคน ในรายที่เป็นกลุ่มเสี่ยงควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนป้องกันการติดเชื้อสเตรปโตค็อกคัสนิวโมเนีย หรือนิวโมค็อกคัส (pneumococcal vaccine)

5. เมื่อเป็นไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หัด อีสุกอีใส เป็นต้น ควรดูแลรักษาเสียแต่เนิ่น ๆ

6. ป้องกันมิให้เป็นโรคทางปอดเรื้อรัง (หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ถุงลมปอดโป่งพอง) โดยการไม่สูบบุหรี่


ข้อแนะนำ

1. ผู้ที่มีอาการไข้ ไอ และหอบ มักมีสาเหตุจากปอดอักเสบ แต่ก็อาจมีสาเหตุจากโรคอื่น ๆ ได้

2. ผู้ที่เป็นปอดอักเสบจากเชื้อไมโคพลาสมานิวโมเนีย ซึ่งพบบ่อยในวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว มักมีอาการไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เจ็บคอ ไอแห้ง ๆ หรือมีเสมหะ มักจะไอรุนแรง แต่ไม่มีอาการหายใจหอบรุนแรง (ส่วนน้อยที่มีอาการหายใจหอบรุนแรง) ทำให้ดูคล้ายอาการของไข้หวัดใหญ่ และหลอดลมอักเสบ อาการจะมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป มักจะเป็นอยู่นาน 1-2 สัปดาห์ มักตอบสนองต่อการรักษาได้ดี บางคนอาจหายได้เองโดยไม่ได้รับการรักษา แต่หลังจากหายจากไข้แล้ว อาจมีอาการไอและอ่อนเพลียต่อไปอีกหลายสัปดาห์ถึง 3 เดือน

3. โรคนี้แม้ว่าจะมีอันตรายร้ายแรง แต่ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องก็มักจะหายขาดได้ ดังนั้น หากสงสัยผู้ป่วยเป็นโรคนี้ควรรีบให้ยาปฏิชีวนะ ติดตามดูอาการอย่างใกล้ชิด ถ้ามีอาการหอบรุนแรง พบในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง หรือไม่มั่นใจควรส่งไปโรงพยาบาลทันที

4. ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 หรือมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโรคนี้ หากมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ (เช่น ไข้ เจ็บคอ เสียงแหบ น้ำมูกไหล ไอ ท้องเดิน หายใจเหนื่อยหอบ) หรือทำการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน (ATK) ด้วยตนเองให้ผลเป็นบวก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว
12  พูดคุยทั่วไป / พูดคุยทั่วไป / motor show: เกียจัดให้! มอบข้อเสนอสุดพิเศษ ด้วยโปรดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.69% สำหรับ เมื่อ: พฤษภาคม 06, 2025, 06:01:21 pm
motor show: เกียจัดให้! มอบข้อเสนอสุดพิเศษ ด้วยโปรดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.69% สำหรับ Carnival พร้อมมอบแพ็กเกจสุดคุ้มให้ลูกค้า Sorento, EV9 และ EV5

บริษัท เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ฉลองการเข้าร่วมงาน บิ๊กมอเตอร์เซล 2024 (BIG MOTOR SALE 2024) ด้วยการจัดแคมเปญดอกเบี้ยอัตราพิเศษ พร้อมมอบข้อเสนอสุดเร้าใจอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ฟรีประกันภัยพร้อม พ.ร.บ., อุปกรณ์ Kia Home Charger สำหรับรถยนต์รุ่น EV และ PHEV รวมถึงแพ็กเกจ 5-5-5 สุดคุ้มสําหรับลูกค้าที่สนใจ The Kia Carnival ทุกรุ่น นอกจากนี้ยังมีแพ็กเกจ 7-7-7-8 ที่มอบความคุ้มค่าสูงสุด สําหรับลูกค้าที่สนใจเป็นเจ้าของรถยนต์ SUV รุ่นอื่นๆ ของเกีย ร่วมสัมผัสยานยนต์ที่น่าสนใจหลากหลายรุ่น และโปรโมชันสุดเร้าใจจากเกีย ได้ที่บูธหมายเลข A06 ฮอลล์ EH-103 ไบเทค บางนา กรุงเทพฯ

 นายฌ็อง–ดาวิด คริสติญอง อาเรล รองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์และการตลาด บริษัท เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) จํากัด กล่าวว่า “เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มอบข้อเสนอสุดพิเศษให้กับลูกค้าทุกท่าน ด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 0.69% เมื่อซื้อ The Kia Carnival รุ่น 11 ที่นั่ง หรือรุ่น 7 ที่นั่ง พร้อมด้วยแพ็กเกจ ‘5-5-5’  ที่มอบการรับประกันคุณภาพตัวรถนาน 5 ปี ฟรีค่าบำรุงรักษาตามระยะ และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนฟรี 24 ชั่วโมง ไม่จำกัดระยะทางยาวนานถึง 5 ปี นอกจากนี้ เกียยังนำเสนอโปรโมชันสุดเร้าใจสําหรับรถยนต์ SUV ทุกรุ่น ได้แก่ The Kia Sorento, The Kia EV9 และ The Kia EV5 ด้วยดอกเบี้ยอัตราพิเศษเพียง1.99% เงินดาวน์ต่ำ ฟรีประกันภัย พร้อมพ.ร.บ. และ Kia Home Charger ชุดชาร์จไฟฟ้าสําหรับรถยนต์กลุ่ม EV และ PHEV ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับลูกค้าที่สนใจยนตรกรรมรุ่น The Kia Sorento, The Kia EV9 และ The Kia EV5 เราได้เตรียมมอบแพ็กเกจสุดคุ้มในการเป็นเจ้าของรถยนต์เกีย ด้วยแพ็กเกจ ‘7-7-7-8’ ที่มอบการรับประกันคุณภาพตัวรถให้นานถึง 7 ปี ฟรีค่าบำรุงรักษาตามระยะ และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนฟรี 24 ชั่วโมง และรับประกันแบตเตอรี่รถยนต์เป็นระยะเวลา 8 ปี เชิญเยี่ยมชมและพบกับไลน์อัปยานยนต์คุณภาพเยี่ยม พร้อมด้วยข้อเสนอพิเศษที่คุ้มแบบจัดเต็มของเรา ได้ในงาน BIG MOTOR SALE 2024 บูธเกีย หมายเลข A06 ฮอลล์ EH-103 ไบเทค บางนา กรุงเทพฯ”

  โปรโมชันสำหรับผู้ที่สนใจรถยนต์เกียรุ่นต่างๆ

 โปรโมชันสำหรับลูกค้า The Kia Carnival (LX, EX, SXL, SXL Luxury):
อัตราดอกเบี้ยพิเศษ (ต้นงวด) 0.69% พร้อมดาวน์ 25% สำหรับระยะเวลาผ่อนชำระ 48 6]
การรับประกันแบตเตอรี่รถยนต์ (High-Voltage Battery) 8 ปี หรือ 160,000 4] เงื่อนไข ค่าบำรุงรักษาตามระยะ (ค่าแรงและค่าอะไหล่) ตลอด 7 ปีหรือ 150,000 กิโลเมตร ระยะใดระยะหนึ่งถึงก่อน (ตามเงื่อนไขการรับประกันของฝ่ายบริการหลังการขาย)
[5] เงื่อนไขการรับประกันคุณภาพตัวรถ 7 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร ระยะใดระยะหนึ่งถึงก่อน (ตามเงื่อนไขการรับประกันของฝ่ายบริการหลังการขาย)
[6] เงื่อนไขการบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ฟรี 24 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 7 ปี ไม่จำกัดระยะทาง (ตามเงื่อนไขของฝ่ายบริการหลังการขาย)
[7] เงื่อนไขการรับประกันแบตเตอรี่รถยนต์ (High-Voltage Battery) 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร ระยะใดระยะหนึ่งถึงก่อน (ตามเงื่อนไขการรับประกันของฝ่ายบริการหลังการขาย)

 โปรโมชันสำหรับลูกค้า The EV5:
อัตราดอกเบี้ยพิเศษ (ต้นงวด) 1.99% พร้อมดาวน์ 25% สำหรับระยะเวลาผ่อนชำระ 48
13  พูดคุยทั่วไป / พูดคุยทั่วไป / ตรวจอาการต้อกระจก (Cataract) เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2025, 05:45:25 pm
ตรวจอาการต้อกระจก (Cataract)

ต้อกระจก เป็นภาวะที่แก้วตาหรือเลนส์ตา (lens) ภายในลูกตามีลักษณะขุ่นขาวขึ้นจากปกติที่มีลักษณะโปร่งใสเหมือนกระจก อาจมีลักษณะขุ่นที่ตรงกลาง (nuclear cataracts) หรือขอบ ๆ (cortical cataracts) หรือด้านหลังของแก้วตา (posterior subcapsular cataracts)

เมื่อแก้วตาขุ่นขาวก็มีลักษณะทึบแสง ไม่ยอมให้แสงผ่านเข้าสู่ลูกตาไปรวมตัวที่จอตา (เรตินา) ทำให้เกิดอาการสายตาฝ้าฟาง หรือสายตามัวคล้ายเห็นมีหมอกบัง

พบมากในผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง คนอ้วน ผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์ติดต่อกันนาน ๆ ผู้ที่สัมผัสถูกแสงแดด สูบบุหรี่หรือดื่มสุราจัดเป็นประจำ และอาจเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคตาชนิดอื่น ๆ

สาเหตุ

ส่วนใหญ่เกิดจากภาวะเสื่อมตามวัย ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีจะเป็นต้อกระจกแทบทุกราย แต่อาจเป็นมากน้อยต่างกันไป เรียกว่า ต้อกระจกในผู้สูงอายุ (senile cataract)

นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ซึ่งทำให้เกิดต้อกระจกก่อนวัยสูงอายุ เช่น

    การมีโรคเรื้อรังประจำตัว (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง) หรือมีภาวะอ้วน
    การถูกแสงแดด (รังสีอัลตราไวโอเลต)
    ความผิดปกติของตา (เช่น สายตาสั้นชนิดรุนแรง ม่านตาอักเสบ ต้อหิน) การได้รับบาดเจ็บ การกระทบกระเทือนที่ตาอย่างรุนแรง หรือการผ่าตัดตา
    การใช้ยา ที่พบบ่อย ได้แก่ การใช้ยาสเตียรอยด์ติดต่อกันนาน ๆ ทั้งชนิดกิน ชนิดหยอดตา ชนิดทา และชนิดสูดพ่น
    การถูกรังสีบริเวณตานาน ๆ เช่น ผู้ที่เป็นมะเร็งที่เบ้าตาเมื่อรักษาด้วยรังสีบ่อย ๆ
    การสูบบุหรี่ หรือดื่มสุราจัด
    ในเด็กอาจเป็นมาแต่กำเนิด อาจมีสาเหตุจากติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา (เช่น ทารกที่เป็นหัดเยอรมัน หรือซิฟิลิสแต่กำเนิด) หรือเกิดจากโรคที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ (เช่น โรคกาแล็กโทซีเมีย, โรคเท้าแสนปมชนิดที่ 2) หรือกลุ่มอาการดาวน์ (Down’s syndrome เป็นโรคปัญญาอ่อนชนิดหนึ่งซึ่งทารกมีโครโมโซมที่ผิดปกติ)
    เด็กที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ (atopic dermatitis) อาจพบว่าเป็นต้อกระจกตั้งแต่อายุ 20-40 ปี ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากตัวโรคเอง หรือเกิดจากการใช้สเตียรอยด์ติดต่อกันนาน ๆ ก็ได้

อาการ

ในระยะเริ่มแรกผู้ป่วยจะรู้สึกมีอาการตามองเห็นเหมือนมีหมอกจาง ๆ บังตาเพียงพื้นที่เล็ก ๆ ต่อมาสายตาจะค่อย ๆ มัวมากขึ้น และขยายพื้นที่ที่เห็นเหมือนหมอกบังมากขึ้นโดยไม่มีอาการเจ็บปวดหรือตาแดงแต่อย่างใด   

ผู้ป่วยจะรู้สึกตอนกลางคืนสายตาจะมัวมาก การอ่านหนังสือหรือทำงานที่ต้องใช้สายตาต้องใช้แสงที่สว่างมากขึ้น หรืออาจต้องเปลี่ยนแว่นสายตาบ่อย   

นอกจากนี้ ยังอาจมี อาการมองในที่มืดชัดกว่าที่สว่าง* หรือถูกแสงสว่างจะรู้สึกตาพร่ามัว สู้แสงไม่ได้ มองเห็นภาพสีซีดกว่าปกติหรือเป็นสีเหลือง มองเห็นแสงไฟกระจาย (โดยเฉพาะขณะขับรถในตอนกลางคืน) หรือมองเห็นเป็นวงแหวนรอบแสงไฟ บางคนอาจมีอาการมองเห็นภาพซ้อน

อาการตามัวจะเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ กินเวลาเป็นแรมเดือนแรมปี จนในที่สุดเมื่อแก้วตาขุ่นขาวมากขึ้น ก็จะมองภาพ (เช่น ตัวเลข ตัวหนังสือ หน้าคน) ไม่ชัด

สำหรับต้อกระจกในผู้สูงอายุ มักจะเป็นที่ตาทั้ง 2 ข้าง แต่จะสุกไม่พร้อมกัน หรือข้างหนึ่งมีอาการมากกว่าอีกข้างหนึ่ง

*สำหรับต้อกระจกในผู้สูงอายุในระยะแรก แก้วตามักจะขุ่นขาวเฉพาะบริเวณตรงกลาง เมื่อมองในที่มืดรูม่านตาจะขยาย เปิดทางให้แสงผ่านเข้าแก้วตาส่วนรอบนอกที่ยังใสเป็นปกติ จึงทำให้เห็นภาพได้ชัด แต่เมื่อมองในที่สว่างรูม่านตาจะหดเล็กลง แสงสว่างจะผ่านเฉพาะแก้วตาส่วนตรงกลางที่ขุ่นขาวทำให้พร่ามัว

ภาวะแทรกซ้อน

เมื่อต้อสุกและไม่ได้รับการผ่าตัดจะทำให้ตาบอดสนิท

ในบางรายแก้วตาอาจบวม หรือหลุดลอยไปอุดกั้นทางระบายของเหลวในลูกตา ทำให้ความดันภายในลูกตาสูงขึ้น จนกลายเป็นต้อหินได้ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตาอย่างรุนแรง

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

การตรวจดูตาจะพบแก้วตามีลักษณะขุ่นขาว เวลาใช้ไฟส่องผู้ป่วยจะรู้สึกตาพร่า

การใช้เครื่องส่องตา (ophthalmoscope) ตรวจดูจะไม่พบปฏิกิริยาสะท้อนสีแดง (red reflex)

แพทย์จะใช้เครื่องตรวจวัดสายตา ความดันลูกตา จอประสาทตา และการตรวจสุขภาพตา ซึ่งมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน

บางครั้งแพทย์อาจให้ยาหยอดตาขยายรูม่านตา เพื่อเปิดมุมกว้างสำหรับการตรวจภายในลูกตาได้ละเอียด อาจทำให้เห็นแสงจ้า หรือรู้สึกตาพร่ามัวอยู่สักพักใหญ่ และจะหายดีหลังจากยาหมดฤทธิ์

การรักษาโดยแพทย์

ถ้าอาการยังไม่มาก แพทย์จะแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับการดูแลตนเองของผู้ป่วย ตัดแว่นสายตาใหม่ให้ผู้ป่วยใส่เพื่อให้มองเห็นได้ชัดขึ้น และนัดผู้ป่วยมาติดตามตรวจดูอาการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะ (ทุก 6-12 เดือน)

แพทย์จะทำการผ่าตัดต้อกระจกเมื่อผู้ป่วยมีสายตามัวจนดำเนินชีวิตประจำวันได้ไม่สะดวก เช่น การอ่านหนังสือ การทำงานที่ต้องใช้สายตา การเดินทาง การขับรถ เป็นต้น

ส่วนในทารกที่เป็นต้อกระจกมาแต่กำเนิด อาจต้องผ่าตัดเมื่ออายุได้ 6 เดือน เพื่อป้องกันมิให้ประสาทตาเสื่อม

ในปัจจุบันจักษุแพทย์นิยมทำการผ่าตัดโดยวิธีสลายต้อด้วยคลื่นความถี่สูงหรืออัลตราซาวนด์ (phacoemulsification) ซึ่งสามารถทำได้ตั้งแต่มีอาการไม่มาก หรือตั้งแต่ระยะไม่นานหลังตรวจพบว่าเป็นโรคนี้

การผ่าตัดโดยวิธีนี้ แพทย์จะใช้คลื่นความถี่สูงทำให้เนื้อเลนส์ (แก้วตา) สลายตัวและดูดออก แล้วใส่เลนส์เทียม (ซึ่งสามารถใช้งานได้ตลอดชีวิต) เข้าไปแทนในถุงหุ้มเลนส์เดิม* เรียกว่า "การฝังเลนส์เทียม (Intraocular lens implantation)" โดยมีเลนส์เทียมอยู่หลายชนิด แพทย์จะเลือกใช้เลนส์เทียมชนิดที่เหมาะกับระดับสายตาและการใช้งานของผู้ป่วยซึ่งได้ผ่านการตรวจวัดสายตาอย่างละเอียดก่อนผ่าตัด หลังผ่าตัดผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องใช้แว่นสายตา

  การผ่าตัด ใช้วิธีฉีดยาชาที่บริเวณรอบดวงตา แผลผ่าตัดเล็กมากซึ่งไม่ต้องเย็บแผล ใช้เวลาน้อยกว่า 1 ชั่วโมง ไม่ต้องนอนพักในโรงพยาบาล และสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ

        สำหรับผู้ป่วยที่เป็นต้อกระจกทั้ง 2 ข้าง แพทย์จะทำการผ่าตัดทีละข้าง โดยการผ่าตัดข้างที่ 2 ทิ้งช่วงให้ข้างแรกที่ผ่าหายดีเสียก่อน (แผลผ่าตัดมักจะหายดีภายใน 8 สัปดาห์) บางรายแพทย์อาจทำการผ่าตัดทั้ง 2 ข้างในครั้งเดียวกัน ซึ่งจำเป็นต้องมีคนดูแลหลังผ่าตัดอย่างใกล้ชิด

ผลการรักษา การผ่าตัดด้วยวิธีนี้มีความปลอดภัยสูง และช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นสายตาให้กลับมามองเห็นชัดเช่นคนปกติทั่วไป และตาข้างที่ผ่าตัดแล้วไม่เป็นต้อกระจกซ้ำอีก

ส่วนภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดมีน้อยมากและมักแก้ไขได้ เช่น การติดเชื้อ การมีเลือดออกในลูกตา ภาวะถุงเลนส์ตาขุ่นหลังผ่าตัดต้อกระจก (posterior capsule opacification ซึ่งส่งผลให้การมองเห็นพร่ามัว) ภาวะจอตาลอก (retinal detachment) เป็นต้น   

*วิธีนี้จะไม่รอจนต้อสุกแบบวิธีผ่าตัดแบบเก่า เพราะถุงหุ้มเลนส์อาจเสื่อมจนใช้งานไม่ได้ จึงนิยมผ่าตัดในระยะที่เริ่มเป็นต้อกระจกได้ไม่นาน

การดูแลตนเอง

หากมีอาการสายตาพร่ามัว มองเห็นคล้ายมีหมอกบังตา หรือมองเห็นแสงสีที่ผิดไปจากปกติ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อแพทย์ตรวจพบว่าเป็นต้อกระจก ควรดูแลรักษา ดังนี้

1.  ระยะก่อนผ่าตัด

    รักษา ใส่แว่นสายตา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามดูอาการเปลี่ยนแปลงตามที่แพทย์นัด
    สวมแว่นกันแดด (รังสีอัลตราไวโอเลต) เวลาออกกลางแดด
    เวลาอยู่ในบ้านเพิ่มแสงสว่างให้เห็นชัด
    เวลาอ่านหนังสือ ใช้แว่นขยายช่วยตามความจำเป็น
    หลีกเลี่ยงการขับรถตอนกลางคืน
    หลีกเลี่ยงการซื้อยากินและยาหยอดตามาใช้เอง เพราะยังไม่มียาที่ใช้รักษาต้อกระจกให้หายได้ ยกเว้นการผ่าตัด 
    ถ้ามีอาการปวดตา ตาแดง ตาแฉะ เคืองตา หรือแสบตา ควรปรึกษาแพทย์ ในรายที่ตรวจพบว่ามีอาการแสบตา เคืองตาจากภาวะตาแห้งซึ่งมักพบในผู้สูงอายุ แพทย์จะให้น้ำตาเทียมหยอดตา 


2.  ระยะหลังผ่าตัด

    รักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ เช่น นั่ง ยืน เดิน ออกกำลังกายเบา ๆ ไม่หักโหม อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ กินอาหารได้ตามปกติ อาบน้ำได้ (ยกเว้นส่วนใบหน้าและศีรษะ) สระผมได้ (แต่ควรสระที่ร้านสระผม) ระวังอย่าให้น้ำเข้าตา จนกว่าแผลจะหายสนิท ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์หลังผ่าตัด   
    หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงเบ่ง (เช่น การยกของหนัก การวิดพื้น การเบ่งอุจจาระแรง ๆ) และการไอหรือจามแรง ๆ ถ้ามีอาการไอมากควรพบแพทย์สั่งยาแก้ไอให้ เวลาจามควรอ้าปากจาม
    ห้ามให้น้ำเข้าตา ประมาณ 3-4 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ควรใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำบิดให้หมาดเช็ดหน้าแทนการล้างหน้า และทำความสะอาดตาข้างที่ผ่าตัดตามคำแนะนำของแพทย์หรือพยาบาลทุกวัน โดยใช้น้ำเกลือและชุดเช็ดตาที่ทางโรงพยาบาลจัดให้
    ห้ามขยี้ตาหรือกระทบกระเทือนรุนแรงบริเวณดวงตาข้างที่ผ่าตัด ประมาณ 3-4 สัปดาห์ ควรป้องกันเหตุดังกล่าวด้วยการใช้ที่ครอบตาพลาสติกปิดตา (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเข้านอนทุกคืน) ในเวลากลางวันหากไม่สะดวกที่จะใช้ที่ครอบตา สามารถสวมแว่นป้องกันดวงตาแทนที่ครอบตาได้
    หลีกเลี่ยงการใช้โลชั่น หรือการแต่งหน้ารอบ ๆ ดวงตา
    ใช้ยาหยอดตา/ยาป้ายตาที่แพทย์จัดให้อย่างเคร่งครัด (ซึ่งมักเป็นยาลดการอักเสบและยาปฏิชีวนะ) ควรหยอดตา/ป้ายตาเฉพาะข้างที่ผ่าตัดเท่านั้น ห้ามหยอด/ป้ายข้างที่ไม่ได้ผ่าตัด
    หลังเปิดตา (แพทย์จะแนะนำให้ใช้แผ่นผ้าปิดตาข้างที่ผ่าไว้ราว 5-7 วันหลังผ่าตัด) ตาข้างที่ผ่าตัดจะเห็นแสงจ้ามากกว่าปกติ ซึ่งจะค่อย ๆ ปรับเป็นปกติภายใน 1-2 สัปดาห์ หากรู้สึกจ้ามากเมื่ออยู่ในที่สว่าง ควรใส่แว่นตาดำกันแสง
    ควรใส่แว่นตาดำกันแดดขณะออกไปข้างนอก หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีฝุ่นหรือควันมาก
    ติดตามการรักษาตามที่แพทย์นัด โดยทั่วไปแพทย์จะนัดมาดูแผลในวันรุ่งขึ้น และ 1 สัปดาห์ และ 1 เดือน หลังผ่าตัด หากไม่มีปัญหาแทรกซ้อนก็จะนัดห่างขึ้นไป และในที่สุดแพทย์จะนัดตรวจสุขภาพตาปีละ 1 ครั้ง
    ควรกลับไปปรึกษาแพทย์ก่อนนัดทันที
          -  ถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น เปลือกตาบวม ตาแดงมากขึ้น ปวดตามาก มีขี้ตามากขึ้น เห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบหรือแสงแฟลชถ่ายรูป ตาข้างที่ผ่าเคยชัดกลับมัวลงอีก หรือเผลอขยี้ตาหรือตาได้รับการกระทบกระเทือนแรง
          -  ในกรณีที่แพทย์ให้ยากิน ยาหยอดตา/ยาป้ายตากลับไปใช้ที่บ้าน หากสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง คันตา ตาบวม ตาแดง ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

ต้อกระจกในผู้สูงอายุ ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล แต่อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจก หรือป้องกันไม่ให้เกิดต้อกระจกก่อนวัยอันควร ด้วยการปฏิบัติตัวดังนี้

    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และการดื่มสุราจัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยาสเตียรอยด์ ยาชุดหรือยาลูกกลอนที่ใส่ยาสเตียรอยด์มาใช้เองอย่างพร่ำเพรื่อ (ยาสเตียรอยด์เป็นยาอันตรายที่ควรให้แพทย์สั่งใช้ตามความจำเป็น)
    สวมแว่นกันแดด (รังสีอัลตราไวโอเลต) เวลาออกกลางแดด
    ถ้าน้ำหนักเกิน ลดน้ำหนัก
    ควบคุมโรคประจำตัว (เช่น เบาหาน ความดันโลหิต) ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    กินผักและผลไม้ให้มาก ๆ เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินและเกลือแร่ให้เพียงพอ ซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจกได้

ข้อแนะนำ

1. อาการตามัวอาจมีสาเหตุอื่นนอกจากต้อกระจก ควรซักถามอาการและตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่ใช่เกิดจากภาวะร้ายแรง เช่น ต้อหิน (ตรวจอาการตามัว)

2. ต้อกระจกที่พบในผู้ที่มีอายุน้อย หรือวัยกลางคน อาจมีสาเหตุจากเบาหวานหรืออื่น ๆ ได้ ควรแนะนำไปตรวจที่โรงพยาบาล

3. การรักษาต้อกระจกมีอยู่วิธีเดียว คือ การผ่าตัด ไม่มียาที่ใช้กินหรือหยอดแก้อาการของต้อกระจกได้ ปัจจุบันแพทย์นิยมทำการผ่าตัดโดยวิธีสลายต้อด้วยคลื่นความถี่สูงและการฝังเลนส์เทียม ซึ่งมีอยู่หลายชนิด ได้แก่ เลนส์เทียมชนิดโฟกัสระยะเดียว (monofocal  IOL ช่วยให้สามารถโฟกัสภาพในระยะไกลได้ ส่วนการมองใกล้ต้องอาศัยแว่นอ่านหนังสือช่วย), เลนส์เทียมชนิดโฟกัสหลายระยะ (multifocal IOL ใช้สำหรับมองไกลและใกล้ได้), เลนส์เทียมชนิดยืดหยุ่น (accommodating IOL ปรับระยะได้ในตัวเอง คล้ายแก้วตาธรรมชาติ), เลนส์เทียมชนิดแก้ไขสายตาเอียง (Toric IOL ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้แว่นตาแก้สายตาเอียงหลังผ่าตัดในผู้ป่วยที่มีสายตาเอียงอยู่เดิม), เลนส์เทียมชนิดโฟกัสหลายระยะและแก้ไขสายตาเอียง (Multifocal Toric IOL ช่วยให้มองเห็นในระยะใกล้และไกลชัดเจน และแก้ไขสายตาเอียง)

สำหรับผู้ป่วยที่มีข้อห้าม ไม่สามารถผ่าตัดโดยวิธีฝังเลนส์เทียม หลังผ่าตัดเอาต้อกระจกออก แพทย์จะวัดสายตาและตัดแว่นให้ผู้ป่วยใส่แทน

4. ถ้าหลังจากผ่าตัด ตาข้างนั้นมีอาการตามัวอีก ควรกลับไปปรึกษาแพทย์ อาจเกิดจากถุงหุ้มเลนส์ขุ่น หรือสาเหตุอื่น เช่น ต้อหิน จอตาเสื่อม เป็นต้น

5. ผู้ป่วยที่เป็นต้อกระจกควรหลีกเลี่ยงการไปรักษาตามแบบพื้นบ้าน ซึ่งบางคนยังนิยมเพราะกลัวการผ่าตัด หรือกลัวเสียค่าใช้จ่ายมาก หมอเหล่านี้ (ซึ่งไม่ใช่แพทย์) จะทำการเดาะแก้วตา (couching) โดยการใช้เข็มดันแก้วตาให้หลุดไปด้านหลังของลูกตา แสงก็จะผ่านเข้าไปในตาได้ ทำให้มองเห็นแสงสว่างได้ทันที และให้ใส่แว่นทำให้มองเห็นได้ชัดขึ้น แต่ไม่ช้าจะเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา เช่น ต้อหิน เลือดออกในวุ้นลูกตา หรือประสาทตาเสื่อมทำให้ตาบอดอย่างถาวร
14  พูดคุยทั่วไป / พูดคุยทั่วไป / บัตรเครดิตดิจิทัลจะมาแทนที่บัตรเครดิตทั่วไปจริงหรือ? เมื่อ: พฤษภาคม 04, 2025, 09:19:47 pm
[url=null]บัตรเครดิตดิจิทัลจะมาแทนที่บัตรเครดิตทั่วไปจริงหรือ?[/url]

ปฏิเสธไม่ได้เลยนะคะว่าปัจจุบันเราหันมาพึ่งพาโลกออนไลน์โลกของดิจิทัลกันมากขึ้น ที่เห็นได้ชัดเลยก็คือการทำธุรกรรมทางการเงินนั่นเอง ที่เรียกว่าเติบโตอย่างก้าวกระโดดเพียงในระยะเวลาไม่กี่ปี ปัจจุบันนอกจากจะทำธุรกรรมทางเงินผ่านแอปฯ กันแล้ว ในมุมของบัตรเครดิต จากที่เคยเป็นแค่การ์ดใบหนึ่งก็กระโดดเข้าไปอยู่ในโลกดิจิทัล ใช่ค่ะ... วันนี้เราจะพูดถึงบัตรเครดิตดิจิทัล ที่ปีนี้หลายธนาคารเปิดตัวและหลายคนอาจจะมีบัตรนี้อยู่ในมือแล้ว ไปทำความรู้จักบัตรเครดิตดิจิทัลให้มากขึ้นกันค่ะ เช็กลิสต์ บัตรเครดิตดิจิทัลของปี 2024 ยุคนี้ ไม่มีไม่ได้แล้ว

บัตรเครดิตดิจิทัล คืออะไร
เป็นบัตรเครดิตที่เราสามารถใช้งานหรือรูดใช้จ่ายผ่านแอปฯ ผ่านโทรศัพท์มือถือแบบง่าย ๆ โดยไม่ต้องพกพาบัตรที่เป็นการ์ดแข็ง ๆ อีกต่อไป

 ทำไมเราควรมีบัตรเครดิตดิจิทัล
1. ทำให้การใช้จ่ายง่ายมากขึ้น รูด แตะ จ่ายผ่านแอปฯ บนสมาร์ทโฟนได้เลย
2. ไม่ต้องห่วงเรื่องพกบัตร สำหรับคนขี้ลืม หรือกลัวบัตรหาย
3. มีระบบแจ้งเตือนหรือระงับบัตรทันที หากบัตรสูญหายหรือถูกขโมย
4. มีระบบป้องการแอบอ้างใช้บัตรเครดิต ป้องกันมิจฉาชีพ

 บัตรเครดิตดิจิทัลปลอดภัยกว่าบัตรเครดิตแบบเก่า จริงหรือ?
จริง ๆ แล้วบัตรเครดิตทั้ง 2 แบบ มีความปลอดภัยเช่นเดียวกัน หากเกิดการสูญหายหรือถูกขโมยก็สามารถจัดการเรื่องอายัดบัตรผ่านช่องทางออนไลน์ได้เช่นกัน

 บัตรเครดิตดิจิทัล สมัครยากมั้ย?
การสมัครบัตรเครดิตดิจิทัลก็เหมือนกับสมัครบัตรเครดิตทั่ว ๆ ไปเลยค่ะ ซึ่งรายได้เริ่มต้นจะอยู่ที่ 15,000 บาท/เดือน ส่วนเอกสารต่าง ๆ ที่ต้องเตรียมก็ตามนี้เลย

 พนักงานประจำ
1. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
2. สลิปเงินเดือน หรือหนังสือรับรองเงินเดือนได้
3. รายการเดินบัญชีย้อน (Statement) ย้อนหลัง 3-6 เดือน

 เจ้าของธุรกิจ
1. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
2. รายการเดินบัญชีย้อนหลัง (Statement) ย้อนหลัง 3-6 เดือน
3. สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนหรือทะเบียนการค้า (ถ้ามี)
4. สำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (ถ้ามี)
5. รายการเดินบัญชี (Statement) สำหรับบัญชีที่ใช้ในธุรกิจ ย้อนหลัง 6 เดือน

 อาชีพอิสระหรือฟรีแลนซ์
1. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
2. รายการเดินบัญชีย้อนหลัง (Statement) ย้อนหลัง 3-6 เดือน
3. สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนหรือทะเบียนการค้า (ถ้ามี)
4. เอกสารการรับเงินหรือสลิปเงินเดือน (ถ้ามี)
5. หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (ทวิ 50) แสดงรายได้ปีล่าสุด

 สมัครบัตรเครดิตดิจิทัลที่ไหนได้บ้าง?
เราสามารถสมัครบัตรเครดิตดิจิทัลผ่านแอปฯ หรือเว็บไซต์ของธนาคารนั้น ๆ ได้เลยค่ะ เหมือนกับการสมัครบัตรเครดิตทั่วไป ซึ่งก็อาจจะต้องส่งเอกสารหรือยืนยันตัวตนผ่านระบบ NDID พาไปรู้จัก NDID ระบบยืนตัวตนก่อนใช้งานบัตรเครดิต ซึ่งเมื่อบัตรได้รับการอนุมัติแล้ว ก็สามารถใช้งานผ่านแอปฯ ได้เลยค่ะ ไม่จำเป็นต้องรอรับตัวการ์ดจากธนาคาร

 ต้องบอกว่าบัตรเครดิตดิจิทัลเป็นความก้าวหน้าของเทคโนโลยีจริง ๆ นะคะ เป็นบัตรเครดิตแบบเสมือน หรือ Virtual Card ที่ในอนาคตอาจจะเข้ามาแทนทีบัตรเครดิตแบบการ์ดไปเลยก็ได้ เพราะไม่ต้องกังวลบัตรหาย ถูกขโมย หรือข้อมูลบัตรเครดิตตกไปอยู่ในมือมิจฉาชีพนั่นเอง ไปอัปเดตเพิ่มเติมกันค่ะว่าตอนนี้เรามีบัตรเครดิตดิจิทัลเจ้าไหนแบงก์ไหนกันบ้าง
15  พูดคุยทั่วไป / พูดคุยทั่วไป / ฉนวนกันเสียง: เลือกใช้วัสดุดูดซับเสียงอย่างไร ให้คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพมากที่สุ เมื่อ: ธันวาคม 29, 2023, 06:59:38 pm
เลือกวัสดุดูดซับเสียงผิด ชีวิตและธุรกิจอาจผิดเพี้ยนได้!! นี่อาจเป็นคำกล่าวที่ดูเกินจริง แต่ลองคิดดูว่า ถ้าเราทำธุรกิจห้องอัดเสียง หรือห้องคาราโอเกะ แต่พอมีผู้มาใช้บริการแล้วปรากฏว่าเจอ Noise เจอเสียงสะท้อนรบกวนตลอดเวลา ธุรกิจของเรายังจะดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่นหรือไม่? นั่นเองที่ทำให้ในฐานะผู้ประกอบการ เราจึงไม่ควรอย่างยิ่ง ที่จะละเลยถึงการเลือกวัสดุสำหรับการออกแบบห้องเพื่อควบคุมเสียงสะท้อนในตั้งแต่เริ่มต้น


เลือกใช้วัสดุดูดซับเสียงอย่างไร

อย่างที่เราก็ทราบกันดีว่า การทำงานในห้องประชุมที่มีเสียงก้อง เสียงสะท้อน หรือการใช้บริการห้องบรรยาย โรงละคร ห้องสตูดิโอบันทึกเสียงที่มีเสียงสะท้อนสอดแทรกนั้น นับได้ว่านอกจากจะทำให้ประสิทธิภาพของการได้ยิน การรับสาร และการตีความสารลดน้อยลงแล้ว ยังก่อให้เกิดความขุ่นเคืองอารมณ์ และทำให้ผลผลิตที่เป็นเนื้องานที่ต้องใช้เสียงเป็นตัวนำลดคุณภาพลงด้วยนั่นเอง

จึงเป็นที่มาว่าทำไม สำหรับผู้ประกอบการในทุกธุรกิจแล้ว จุดเริ่มต้นของการออกแบบห้องแต่ละห้อง จำเป็นต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์ในการใช้งาน และการเลือกใช้วัสดุเพื่อการออกแบบห้องให้สามารถควบคุมเสียงได้ตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อให้ได้ห้องที่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีแนวทางในการพิจารณาเลือกวัสดุเพื่อการออกแบบห้อง ดังนี้


1. พิจาณาค่า SAC ยิ่งมากเท่าไรยิ่งดีมีประสิทธิภาพ

SAC หรือ Sound Absorption Coefficient คือค่าที่แสดงถึงสัดส่วนของพลังงานเสียงที่ถูกดูดซับไปเมื่อกระทบวัสดุดูดซับเสียง เทียบกันกับพลังงานตั้งต้นจากแหล่งกำเนิดเสียง อธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้นจากตัวอย่าง เช่น วัสดุ A มีค่า SAC เท่ากับ 0.55 หมายความว่าวัสดุดูดซับเสียงนั้นสามารถดูดซับเสียงได้ 55% และอีก 45% ของเสียงจากแหล่งกำเนิดจะสะท้อนออกมายังห้องนั้นๆ นั่นจึงทำให้หากวัสดุดูดซับเสียงมีค่า SAC มากเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้ลดเสียงสะท้อนลงได้มากเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ค่าการดูดซับเสียงของวัสดุประเภทต่างๆ ก็ยังแปรผันตามความถี่ของเสียงที่ไปกระทบด้วย นั่นจึงทำให้ในงานออกแบบสถาปัตยกรรม หรือห้องต่างๆ ที่มีวัตถุประสงค์การใช้งานแตกต่างกันควรเจาะจงค่าควรถี่ที่ดูดซับได้ดีด้วย เพื่อให้การดูดซับเสียงมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น



2. พิจารณาค่า NRC ยิ่งมากเท่าไรก็ยิ่งมีประสิทธิภาพเช่นกัน

NRC หรือ Noise Reduction Coefficient เป็นตัวเลขที่บ่งบอกความสามารถในการดูดซับเสียงของวัสดุ โดยที่ NRC คือค่าเฉลี่ยของ SAC ที่ความถี่ 250, 500, 1000, 2000 Hz ซึ่งโดยทั่วไปค่า NRC ควรจะต้องมีค่ามากกว่า 0.40 ถึงจะนับได้ว่าเป็นวัสดุดูดซับเสียง ทั้งนี้ ความหนาของวัสดุหรือความหนาของฉนวน ก็มีผลต่อค่า NRC ด้วย โดยยิ่งมีความหนามาก ก็จะยิ่งมีค่าการดูดซับเสียงที่มากขึ้น

ฉนวนกันเสียง: เลือกใช้วัสดุดูดซับเสียงอย่างไร ให้คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพมากที่สุด อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ [url]https://noisecontrol365.com/[/url]
หน้า: [1] 2 3 ... 39
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย