กระทู้ล่าสุดของ: Trebs15

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: [1]
1  พูดคุยทั่วไป / พูดคุยทั่วไป / อยากเป็นนักพัฒนาที่ดิน...ไม่ยาก ที่มา >> http://smbwheel.com/webboard/index.php เมื่อ: กันยายน 23, 2021, 03:10:50 pm
[size=2em]อยากเป็นนักพัฒนาที่ดิน...ไม่ยาก
[/size]
[size=1.45em][/size]

[size=1.45em]รู้หรือไม่ อาชีพที่หลายๆคนฝันอีกอาชีพหนึ่งคือ อยากเป็นนักพัฒนาที่ดิน สร้างบ้านจัดสรรหรืออาคารชุด เพราะการสร้างสิ่งเหล่านี้นับเป็นการสร้าง “อนุสรณ์สถาน” เป็นเกียรติประวัติให้กับตัวเราเองอีกต่างหาก  แต่หลายคนก็ห่วงว่าจะทำอาชีพนี้ได้หรือไม่ ดังนั้นวันนี้ TREBS จึงได้นำข้อมูลที่เป็นความรู้และความเข้าใจให้ว่าเป็นนักพัฒนาที่ดินนั้นไม่ยากอย่างที่
[size=1.45em]>>>> หลักสูตร นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มืออาชีพ (RE162) <<<<[/size]


[size=1.45em]นักพัฒนาที่ดินที่ผันตัวเองมาจากอาชีพอื่นจึงรู้สึกว่าการพัฒนาที่ดินเป็นธุรกิจ “หมูๆ”  เราจึงเห็นนักคนขายจักรยานยนต์ คนขายเหล็ก ขายผ้า ขายสินค้าสารพัด มาทำงานเป็นนักพัฒนาที่ดิน  จนทำให้หลายคนรู้สึกว่าเป็นธุรกิจที่ง่ายมาก จนประมาท จนลืมไปว่าที่สำเร็จเพราะการมีชัยไปแล้วครึ่งหนึ่งที่เลือกทำเลดีและสร้างสินค้า ณ ระดับราคาที่เหมาะสม แต่หลงไปนึกว่าตนเอง “เจ๋ง” จนประมาทเลินเล่อและพังไปใน


[size=1.45em]1. การลงทุนเกินตัว จนหมุนเงินไม่ทัน กลายเป็น “งูกินหาง” คือไม่รู้ทุนหรือกำไรอยู่ไหน พัวพันกันไปหมด จนในที่สุดก็เจ๊งกันไป เราจึงควรเริ่มทำทีละโครงการ ค่อยๆ ทำอย่างหวังเติบโตให้เร็วเกินไปนัก เราเริ่มจากการเก็บข้อมูล วินิจฉัยข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล พัฒนาโครงการ ติดตามผลโครงการระหว่างการพัฒนา และประเมินผลโครงการที่แล้วเสร็จไปแล้ว และก็ค่อยๆ เริ่มโครงการใหม่ จะได้สรุปบทเรียน และพัฒนาให้ดีขึ้นต่อไปตามลำ
[Tag] [url=https://bit.ly/3abVXJD]
2  Sitemap SMB / สาระน่ารู้ของรถยนต์ / ขั้นตอนการสมัครสมาชิกนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2021, 11:50:32 am
ขั้นตอนการสมัครสมาชิกนายหน้าอสังหาริมทรัพย์



ขั้นตอนการสมัครสมาชิกนายหน้าอสังหาริมทรัพย์
1. ขั้นตอนการอนุมัติการสมัครสมาชิก
ผู้สมัครสมาชิกสามัญนิติบุคคล ต้องกรอกใบสมัครสมาชิกและใบสมัครสอบ
• พร้อมชำระค่าบำรุงสมาคมฯ 2,000 บาท
• ค่าลงทะเบียนแรกเข้า 500 บาท
• ค่าสมัครสอบ 200 บาท
• ค่าคู่มือสอบ 100 บาท
• ค่าบัตรสมาชิก 300 บาท
• ค่าสายคล้องคอ 100 บาท
รวมทั้งหมด 3,200 บาท (สามพันสองร้อยบาทถ้วน)
2. ผู้สมัครสมาชิกสามัญนิติบุคคลที่ยังไม่ได้ผ่านการอบรมหรือไม่มีใบรับรองผ่านการอบรม จะต้องเข้ารับการอบรมจากสถาบันอมรมที่สมาคมฯ ให้การรับรอง
3. สมาคมฯ ตรวจสอบใบสมัคร และเอกสารประกอบการสมัครสมาชิก
4. สมาคมฯ ติดต่อกรรมการที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงผู้สมัคร เพื่อมอบให้ให้กรรมการไปตรวจสอบสถานที่ทำการ (เฉพาะในเขต กทม. และ ปริมณฑล / สำหรับผู้สมัครจากต่างจังหวัดให้จัดส่งรูปที่ตั้งสำนักงาน และแผนที่มาให้พิจารณาประกอบการอนุมัติ)
5. สมาคมฯ จะนำเรื่องการสมัครเข้าที่ประชุม เพื่ออนุมัติการเป็นสมาชิกและผู้มีสิทธิสอบ พร้อมกับเชิญกรรมการผู้มีอำนาจหรือผู้รับมอบอำนาจ 1 ท่าน จากบริษัทผู้สมัครเข้าประชุมเพื่อแนะนำตัวต่อคณะกรรมการสมาคมฯ ในคราวเดียวกัน
6. ผู้สมัครสมาชิกหากผ่านการอนุมัติผู้มีสิทธิสอบ ทางสมาคมฯ จะประกาศให้ผู้สมัครทราบ
7. ผู้สมัครที่ผ่านการอนุมัติผู้มีสิทธิสอบแล้ว กรรมการผู้มีอำนาจหรือผู้รับมอบอำนาจ 1 ท่าน จากบริษัทจะต้องเข้ารับการสอบที่จัดโดยสมาคมฯ
8. ผู้สมัครสอบที่ผ่านการสอบ ทางสมาคมฯ จะส่งผลการสอบให้ทราบพร้อมทั้งจดหมายยืนยันการเป็นสมาชิกโดยสมบูรณ์ สมาคมฯ จัดทำบัตรมาชิกให้แก่กรรมการผู้มีอำนาจหรือ ผู้รับมอบอำนาจ 1 ท่าน จากบริษัทผู้สมัคร พร้อมกับจัดส่งหนังสือข้อบังคับสมาคมฯ ให้สมาชิก


หลักสูตร นายหน้าอสังหาฯ (เพื่อสอบบัตรตัวแทนนายหน้า) : RE131

เอกสาร
• รูปถ่ายขนาด 1 นิ้ว จำนวน 3 ใบ (รูปถ่ายไม่เกิน 6 เดือน)
• สำเนาบัตรประชาชน
• สำเนาทะเบียนบ้าน
• หนังสือมอบอำนาจติดอากรแสตมป์ 30 บาท, สำเนาบัตรประชาชน, สำเนาทะเบียนบ้าน และรูปถ่ายขนาด 1 นิ้ว จำนวน 2 ใบ (กรณีมอบอำนาจให้บุคคลอื่น)
• หนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัทฯ แนบท้ายหนังสือวัตถุประสงค์หลักการเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ (โดยระบุ : ประกอบธุรกิจตัวแทนและนายหน้าซื้อขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์) และหนังสือรับรองฯ ไม่เกิน 6 เดือน
• สำเนาหนังสือบริคณห์สนธิ
• สำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น
• ภพ.20
• ภพ.01
• แผนทีรูปถ่าย บจก./หจก.

สมาชิกวิสามัญบุคคลธรรมดา
1. ผู้สมัครสมาชิกวิสามัญบุคคลธรรมดา ต้องกรอกใบสมัครสมาชิกและใบสมัครสอบ
• พร้อมชำระค่าบำรุงสมาคมฯ 1,000 บาท
• ค่าลงทะเบียนแรกเข้า 500 บาท
• ค่าสมัครสอบ 200 บาท
• ค่าคู่มือสอบ 100 บาท
• ค่าบัตรสมาชิก 300 บาท
• ค่าสายคล้องคอ 100 บาท
รวมทั้งหมด 2,200 บาท(สองพันสองร้อยบาทถ้วน)
2. สมาคมฯ ตรวจสอบใบสมัครและเอกสารประกอบการสมัครสมาชิก
3. ผู้สมัครสมาชิกวิสามัญที่ยังไม่ได้ผ่านการอบรมหรือไม่มีใบรับรองผ่านการอบรม จะต้องเข้ารับการอบรมจากสถาบันอบรมที่สมาคมฯ ให้การรับรอง
4. ผู้สมัครที่ผ่านการอบรมแล้ว สมาคมฯ จะนำเรื่องการสมัครเข้าที่ประชุม เพื่อการอนุมัติการเป็นสมาชิกและผู้มีสิทธิสอบ พร้อมกับเชิญผู้สมัครเข้าประชุมเพื่อการแนะนำตัวต่อคณะกรรมการสมาคมฯ ในคราวเดียวกัน
5. ผู้สมัครสมาชิกหากผ่านการอนุมัติผู้มีสิทธิสอบ ทางสมาคมฯ จะประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
6. สมาชิกวิสามัญที่ผ่านการอนุมัติผู้มีสิทธิสอบแล้ว จะต้องเข้ารับการสอบที่จัดโดยสมาคมฯ
7. ผู้สมัครสอบที่ผ่านการสอบ ทางสมาคมฯ จะส่งผลการสอบให้ทราบพร้อมทั้งจดหมายยืนยันการเป็นสมาชิก
8. สมาคมฯ จัดทำบัตรสมาชิกวิสามัญให้แก่ผู้สมัครพร้อมกับจัดส่งหนังสือข้อบังคับสมาคมฯ ให้สมาชิก

สมาชิกสมทบ (สังกัด บริษัท สมาชิกนิติบุคคล)
1. พนักงานขายในสังกัดบริษัทสามัญจะต้องผ่านการอมรมจากบริษัท (In – house Training) หรือผ่านการอบรมจากสถาบันอบรมที่ได้รับการรับรองจากสมาคมฯ
2. พนักงานขายในสังกัดบริษัทสมาชิกสามัญต้องเข้ารับการสอบที่จัดโดยสมาคมฯ เพื่อรับบัตรนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย
• พร้อมทั้งสมัครสมาชิกสมทบ 300 บาท
• ค่าลงทะเบียนแรกเข้า 500 บาท
• ค่าสมัครสอบ 200 บาท
• ค่าบัตรสมาชิก 300 บาท
• ค่าสายคล้องคอ 100 บาท
รวมทั้งหมด 900 บาท (เก้าร้อนบาทถ้วน)
3. พนักงานขายที่สอบผ่าน ทางสมาคมฯ จัดทำบัตรนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย ให้กับผู้สมัคร

ที่มา : สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย

[Tag] : [url=https://www.trebs.ac.th/th/25/RE131]จรรยาบรร
[/size]
3  พูดคุยทั่วไป / พูดคุยทั่วไป / การประเมินราคาเครื่องจักรทำอย่างไร ? เมื่อ: มิถุนายน 08, 2021, 01:47:28 pm
การประเมินราคาเครื่องจักรทำอย่างไร ?



เครื่องจักร, เครื่องกล หรือ เครื่องจักรกล (หรืออาจเรียกเพียง เครื่อง) หมายถึง เครื่องมือชนิดหนึ่งที่ประกอบขึ้นจากส่วนหนึ่งหรือส่วนต่าง ๆ หลายส่วน ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำให้บรรลุจุดมุ่งหมายเฉพาะเจาะจงอย่างหนึ่ง เครื่องจักรเป็นอุปกรณ์ที่มีพลังขับเคลื่อน ซึ่งมักจะเป็นพลังงานเชิงกล เคมี ความร้อน หรือไฟฟ้า เป็นต้น และบ่อยครั้งก็ถูกทำให้เป็นเครื่องยนต์ ในประวัติศาสตร์ อุปกรณ์จะเรียกว่าเป็นเครื่องจักรได้ก็ต่อเมื่อมีส่วนที่ขยับเคลื่อนที่ได้ อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์นำไปสู่การพัฒนาอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นต้องมีส่วนที่ขยับเคลื่อนที่ได้ แต่ก็ยังถือว่าเป็นเครื่องจักรอยู่

เครื่องจักร นั้นในทางธุรกิจถือเป็น “สังหาริมทรัพย์” ที่พึงประเมินโดยเฉพาะในกรณีการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน การลงทุน การร่วมทุน การประเมินค่าทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรนั้นมีหลักการที่ชัดเจน

ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) กล่าวต่อการประเมินราคาเครื่องจักร ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้กำหนดมาตรฐานเอาไว้ (https://bit.ly/39iXJYy)



การประเมินราคาเครื่องจักรอาจรวมตั้งแต่

1. “โรงงาน (Plant)” หมายถึง สถานประกอบการที่ใช้ในการผลิต ประกอบ บรรจุ ซ่อม ซ่อมบำรุง ทดสอบ ปรับปรุง แปรสภาพ ลำเลียง เก็บรักษา หรือทำลายสิ่งใดๆ ตามวัตถุประสงค์ที่ได้ถูกออกแบบสร้างมาซึ่งประกอบไปด้วย ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง และส่วนควบ เครื่องจักรหลัก และอุปกรณ์สนับสนุนการผลิตทั้งหมดหรือเรียกโดยรวมว่า ทรัพย์สิน

2. “เครื่องจักร (Machinery)” หมายถึง สิ่งที่ประกอบด้วยชิ้นส่วนหลายชิ้น สำหรับใช้ก่อกำเนิดพลังงาน เปลี่ยนหรือแปลงสภาพพลังงาน หรือส่งพลังงาน ทั้งนี้ด้วยกำลังน้ำ ไอน้ำ เชื้อเพลิง ลม ก๊าช ไฟฟ้า หรือพลังงานอื่นอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน และหมายความรวมถึงอุปกรณ์ไฟลวีล ปุลเล สายพาน เพลา เกียร์หรือสิ่งอื่นที่ทำงานสนองกัน

3. “อุปกรณ์ (Equipment)” หมายถึง สิ่งประดิษฐ์ชนิดอื่นๆ ที่ใช้ในการสนับสนุนกระบวนการผลิต

สำหรับวิธีการประเมินราคาเครื่องจักรตามมาตรฐานของ กลต.นั้น กำหนดไว้ 3 วิธีได้แก่ วิธีเปรียบเทียบราคาตลาด (Market Approach) วิธีต้นทุน (Cost Approach) และวิธีรายได้ (Income Approach)  กลต.กำหนดว่าการประเมินมูลค่าควรเลือกใช้วิธีการประเมินวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือตั้งแต่หนึ่งวิธีขึ้นไปตามความเหมาะสม ทั้งนี้การประเมินจะต้องระบุถึงแนวทางการกำหนดวิธีการประเมินมูลค่าเครื่องจักรให้เหมะสมกับการปฏิบัติงานประเมิน ซึ่งมีส่วนสัมพันธ์กับลักษณะของเครื่องจักรที่ประเมิน



วิธีหนึ่งที่ไม่ค่อยมีผู้ใช้มากนัก เพราะซับซ้อน แต่ก็มีความจำเป็นมากก็คือวิธีรายได้ ทั้งนี้จะสังเกตได้ว่าในบางสถานการณ์ โรงงานเหล็ก ผลิตเหล็กออกมาทุกๆ 1 ตันจะขาดทุนนับพันบาท หากใช้วิธีต้นทุน ก็จะได้มูลค่าสูงเกินจริง หากใช้วิธีเปรียบเทียบราคาตลาดก็ไม่มีตลาดให้เปรียบเทียบในยามวิกฤติ จึงควรใช้วิธีรายได้เป็นสำคัญ ซึ่ง กลต. ได้กำหนดว่าการประเมินมูลค่าเครื่องจักรโดยวิธีรายได้ผู้ประเมินต้องปฏิบัติดังนี้

1. การประเมินมูลค่าเครื่องจักรโดยวิธีคิดผลตอบแทนทางตรง (Direct Capitalization) ในการประมาณการรายได้ค่าใช้จ่าย อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (Capitalization Rate) และรายการอื่นที่เกี่ยวข้อง ผู้ประเมินต้องอ้างอิงข้อมูลจากข้อมูลตลาดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับเครื่องจักรในอุตสาหกรรมที่ประเมินที่สามารถเปรียบเทียบกันได้โดยข้อมูลดังกล่าวต้องมีความเพียงพอเหมาะสมและน่าเชื่อถือ รวมทั้งต้องแสดงที่มาและการวิเคราะห์เพื่อให้ได้มาซึ่งประมาณการต่างๆ อย่างชัดเจนสมเหตุสมผลและสามารถตรวจสอบได้

2. การประเมินมูลค่าเครื่องจักรโดยการคำนวณมูลค่าปัจจุบันของรายได้ที่เป็นกระแสเงินสด (Discount Cash Flow) ในการประมาณการกระแสเงินสดรับ กระแสเงินสดจ่าย อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (Capitalization Rate) อัตราคิดลด (Discount Rate) มูลค่าสุดท้ายหรือมูลค่าเสถียรภาพ (Terminal/Reversionary Value) และรายการอื่นที่เกี่ยวข้อง ผู้ประเมินต้องอ้างอิงข้อมูลตลาดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับเครื่องจักรที่ประเมินที่สามารถเปรียบเทียบกันได้รวมทั้งต้องพิจารณาผลประกอบการที่ผ่านมา และแนวโน้มในอนาคตของเครื่องจักรที่ประเมิน ภาวะอุปสงค์อุปทานของตลาด และปัจจัยที่มีผลต่อมูลค่าเครื่องจักรที่ประเมิน โดยข้อมูลดังกล่าวต้องมีความเพียงพอเหมาะสมและน่าเชื่อถือ รวมทั้งต้องแสดงที่มาและการวิเคราะห์เพื่อให้ได้มาซึ่งการประมาณการต่างๆ อย่างชัดเจนสมเหตุสมผล และสามารถตรวจสอบได้นั่นเอง

สำหรับท่านที่ต้องการทราบข้อมูลการให้บริการประเมินราคาเครื่องจักร บริการประเมินราคาเครื่องจักร โรงงาน อุปกรณ์ ฯลฯ ทั้งในและต่างประเทศโดยเฉพาะในอาเซียน สามารถติดต่อฝ่ายประเมินค่าทรัพย์สิน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส สามารถติดต่อและสอบถามรายละเอียดของบริการได้ที่ โทร.02-295-3905 ต่อ 114 (คุณสัญชัย) หรือ Email : area@area.co.th หรือ Line ID : @areavaluation หรือคลิก https://lin.ee/8pZYu1C?

[Tag] : [url=https://www.area.co.th/thai/area_announce/area_press.php?strquey=press_announcement3675.htm]บริการประเมินราคาเ
4  พูดคุยทั่วไป / พูดคุยทั่วไป / แนวทางการประเมินค่าต้นไม้ เมื่อ: มิถุนายน 04, 2021, 01:43:37 pm
แนวทางการประเมินค่าต้นไม้


 
สำหรับต้นไม้ต่างๆ นั้นจะสามารถประเมินค่า ประเมินมูลค่าหรือประเมินราคากันอย่างไรตามมาตรฐานสากลในฐานะที่ต้นไม้เป็นทรัพย์สิน เป็นหลักประกัน เป็นการลงทุนและเป็นสินทรัพย์สำหรับบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ เรามีคำตอบมาฝากสำหรับผู้ที่สนใจ
 
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) กล่าวว่า “การประเมินค่า ถือเป็นศาสตร์และศิลป์หนึ่งของการประเมินค่าทรัพย์สินในฐานะที่ต้นไม้ก็เป็นทรัพย์ประเภทหนึ่งที่สามารถประเมินค่าได้  ที่ผ่านมาศูนย์ข้อมูลฯ ได้ประเมินค่าต้นไม้ทั้งในและต่างประเทศ”
 
ที่ผ่านมาได้มีการประเมินค่าอย่างมีหลักการ จากประสบการณ์ที่ผ่านมามีทั้งการประเมินสวนยางพารา สวนปาล์ม ต้นกฤษณา สวนลิ้นจี่ ฯลฯ  นอกจากนี้ยังได้สร้างโมเดลประเมินราคาค่า "สวนยางพารา" กำหนดราคาไม้ขุดล้อม โดยพิจารณาถึงธุรกิจไม้ขุดล้อมและการประเมินค่าทรัพย์สิน เป็นต้น ดร.โสภณ พรโชคชัย ในฐานะเลขานุการคณะทำงานไม้ขุดล้อม มูลนิธิประเมินค่า-นายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งประเทศไทย และคณะได้จัดทำราคากลางไม้ขุดล้อม ต.ชะอม อ.แก่งคอย จ.สระบุรี และราคาต้นไม้ซึ่งมีทั้งไม้ผล ไม้ดอก ไม้ประดับแห่งบ้านดงบังอีกด้วย
 

 
สำหรับองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติที่ ดร.โสภณ เคยเป็นที่ปรึกษานั้น มีมาตรฐานการประเมินค่าป่าไม้เช่นกัน การประเมินค่าตามคำแนะนำของ FAO เน้นถึง
1. ถ้ามีราคาตลาด ก็ต้องดูว่าราคานั้นต้องตามความประสงค์จะซื้อ (Willingness to pay) หรือไม่ ไม่ใช่ราคาของผู้จะขายถ่ายเดียว
2. ถ้ามีราคาตลาด แต่ว่าราคานั้นไม่ต้องตามความประสงค์จะซื้อ ก็ต้องวิเคราะห์ถึง “ราคาเงา” (Shadow price) ที่น่าจะใกล้เคียงราคาตลาดที่สุด
3. ถ้าไม่มีราคาตลาด แต่มีสิ่งที่ใช้ประมาณการแทนมูลค่าตลาดได้ ก็สามารถวิเคราะห์ “ราคาเงา” ได้
4. ถ้าไม่มีราคาตลาด และไม่มีสิ่งที่ใช้ประมาณการแทนมูลค่าตลาดได้ ก็อาจใช้วิธีต้นทุนหรืออื่นๆ



ส่วนในประเทศญี่ปุ่นก็มีมาตรฐานการประเมินค่าต้นไม้ หรือป่าไม้เช่นกัน หลักการในเบื้องต้นนั้น:

1. พิจารณาจากผลประโยชน์ซึ่งประเมินค่าเป็นตัวเงินที่จะได้รับจากต้นไม้และผืนป่า และอีกแนวทางหนึ่งก็คือการประเมินด้วยวิธีต้นทุนของการสร้างผืนป่าขึ้นมาทดแทนใหม่
2. ป่าประกอบด้วยที่ดินและต้นไม้ ในแง่หนึ่งเราจึงควรแยกมูลค่าของผลิตภัณฑ์ที่ได้จากไม้ เช่น ซุง ออกมาให้เห็นชัดเจนด้วย
3. มูลค่ามาจากการพิจารณาราคาที่เคยซื้อขาย ราคาที่จะซื้อจะขาย ความคาดหวังต่อราคา ราคาที่คาดหวังว่าจะซื้อจะขายได้ในอนาคต ต้นทุนค่าสร้างทดแทน และอื่นๆ
4. ในการประเมินต้นไม้ ผู้ประเมินต้องคำนึงถึงชนิดของต้นไม้ รูปทรงของต้นไม้ อายุของต้นไม้ คุณภาพหรือเกรดของไม้ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ปริมาตรไม้ ความยาวของท่อนไม้ เป็นต้น
5. การประเมินค่ายังคำนึงถึงผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ สังคม และธรรมชาติจากการมีป่าไม้มาประกอบด้วย



นอกจากนี้ ดร.โสภณ ยังพาคณะผู้ประเมินค่าทรัพย์สินของ ASA หรือ American Society of Appraisers ซึ่งแต่เดิมรวมมาจาก American Society of Farm Managers and Rural Appraisers มาดูงานการประเมินค่าต้นไม้ในประเทศไทยอีกด้วย ดังนั้นด้วยเครือข่ายของ ดร.โสภณ จึงสามารถไป "ประเมินค่าต้นไม้ได้ทั่วโลก"

ท่านใดสนใจใช้บริการประเมินค่าต้นไม้ ป่าไม้ สวนป่า ฯลฯ ทั้งในและต่างประเทศโดยเฉพาะในอาเซียน สามารถติดต่อฝ่ายประเมินค่าทรัพย์สิน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) สามารถติดต่อและสอบถามรายละเอียดของบริการได้ที่ โทร.02-295-3905 ต่อ 114 (คุณสัญชัย) หรือ Email : area@area.co.th หรือ Line ID : @areavaluation หรือคลิก https://lin.ee/8pZYu1C

[Tag] : [url=https://xn--12cl4drsci2a4eva0b.site/index.php?action=go;url=aHR0cHM6Ly93d3cuYXJlYS5jby50aC90aGFpL2FyZWFfYW5ub3VuY2UvYXJlYV9wcmVzcy5waHA/c3RycXVleT1wcmVzc19hbm5vdW5jZW1lbnQzNjczLmh0bQ==]ประเมินค่า , [url=https://www.trebs.ac.th/index.php]โรงเรียนธุรกิจอสังหาริมทรัพย
5  พูดคุยทั่วไป / พูดคุยทั่วไป / การประเมินค่าเรือ เมื่อ: พฤษภาคม 31, 2021, 12:55:14 pm
การประเมินค่าเรือ



เคยสงสัยกันหรือเปล่า ว่าเรือที่เราเห็นขนสินค้ากัน เราจะประเมินค่าเรือได้อย่างไร เรือที่เราพูดกันถึงหมายรวมตั้งแต่เรือเดินทะเล เรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ เรือลากเรือ เรือลากจูง เรือยอร์ช หรือวัตถุลอยน้ำที่ใช้บรรทุกสิ่งของต่างๆ

ดร.โสภณ พรโชคชัย ได้ชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการประเมินค่าเรือเดินทะเลโดยเริ่มต้นพิจารณาจากผู้ผลิต รุ่น และความจำเพาะ-เงื่อนไขต่างๆ  เป็นสิ่งที่แน่นอนว่า ถ้าเรืออยู่ในสภาพดี หรือเพิ่งผลิต ก็สามารถใช้วิธีต้นทุนได้ไม่ยาก  แต่ถ้าเรือที่อยู่ในสภาพไม่ดี ใช้งานมานานพอสมควรแล้ว หรือขาดการบำรุงรักษาเท่าที่ควร ราคาก็คงจะตกต่ำลงไปมาก ยิ่งไปกว่านั้น ชื่อเสียงของบริษัทผู้ผลิต ประสิทธิภาพ และความนิยมของรุ่นนั้น ๆ ก็มีส่วนสำคัญในการพิจารณามูลค่าของเรืออีกด้วย

การประเมินค่าเรือก็คล้ายกับการประเมินค่าทรัพย์สินอื่นๆ ที่เราต้องพิจารณาถึงสภาวะตลาด ตัวอย่างเช่น เมื่อการประมงไทยกำลังเฟื่องฟู ราคาเรือประมงก็สูงตามไปด้วย  อาจกล่าวได้ว่ามูลค่าของเราจะสูงกว่าเมื่อเศรษฐกิจดี แต่ถ้าเศรษฐกิจตกต่ำ เรือก็ไม่ค่อยได้รับความต้องการ ทำให้มูลค่าที่ประเมินได้ตกต่ำตามไปด้วย  อย่างไรก็ตามผู้ประเมินก็พึงพิจารณาถึงภาวะตลาดให้ชัดเจน เช่น เรือที่ใช้ขนถ่ายน้ำมัน หากการขนส่งนี้ยกเลิกไป หรือหดตัวตกต่ำลง เรือนั้นๆ จะนำไปใช้ในกิจการเรือประเภทอื่นที่ยังอยู่ในภาวะที่ดีได้หรือไม่ เป็นต้น

ในการผลิตเรือลำหนึ่ง อาจมีค่าแรงกับค่าเครื่อง ค่าอุปกรณ์ประกอบเรืออยู่ในองค์ประกอบที่ 40 : 60 โดย 40 คือค่าแรงนั่นเอง ที่ค่าแรงแพงเพราะมักประกอบในต่างประเทศ เช่น ไปประกอบเรือที่เกาหลี ค่าแรงจึงแพงกว่าค่าแรงในไทย เช่น คนทาสีอาจมีค่าแรงเดือนละ 70,000 – 80,000 บาท แต่เครื่องยนต์ อาจเป็นเครื่องยันมาร์จากประเทศญี่ปุ่น แต่ส่วนมากไม่ไปประกอบที่ญี่ปุ่นเพราะค่าแรงในญี่ปุ่นแพงหนักกว่าในเกาหลีเสียอีก  ในประเทศไทยก็สามารถต่อเรือเองได้บ้าง แต่ไม่นิยมต่อเรือในไทย เพราะเครื่องจักรต่างๆ ต้องนำเข้า (ไม่ใช่แบบจีนที่ทำเองได้แทบทุกอย่าง) ทำให้ต้นทุนอาจแพงพอๆ กับการไปสั่งทำจากต่างประเทศ


ปกติแล้ว เรือลำหนึ่งมีอายุใช้งานประมาณ 25 ปี หลังจากนั้น ก็อาจปลดระวางจากการใช้งาน หรือนำเรือไปซ่อมใหญ่เพื่อใช้ในธุรกิจที่ต้องการคุณภาพเรือที่ต่ำกว่า ราคาซากเมื่ออายุครบ 25 ปีอาจไม่ถึง 10% ของต้นทุนค่าก่อสร้าง นอกจากนี้เรายังอาจขายเครื่องจักรต่างๆ ภายในเรือเป็นชิ้นๆ ไป  บางทีการขายชิ้นส่วนทีละชิ้นอาจได้มูลค่ามากกว่าการขายเหมาไปก็ได้ กรณีนี้ก็เช่นเดียวกันกับโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ต่างๆ ที่เวลาขายซากของทรัพย์สินแยกส่วน อาจจะมีราคามากกว่าการขายเหมารวม ก็เป็นไปได้เช่นกัน  อาจกล่าวได้ว่าเรือต่างๆ ไม่ค่อยตกยุคเหมือนเครื่องบิน เพราะเทคโนโลยีการเดินเรือก็ได้มาตรฐานที่ดีมานาน ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก   


ในการประเมินค่าเรือ เรายังอาจพิจารณาวิธีรายได้ด้วยก็ได้ โดยถือสมมติฐานว่าการตัดสินใจลงทุน (ซื้อ/ต่อเรือ) ขึ้นอยู่กับมูลค่าปัจจุบันของผลประโยชน์ในอนาคตที่จะได้รับจากการลงทุนและมูลค่าของสินทรัพย์หนึ่งๆ จะแสดงด้วยมูลค่าปัจจุบันของผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับในอนาคต เช่น ถ้านำเรือนี้ไปรับจ้างขนสินค้า ตลาดของสินค้านั้นๆ  จะมีอนาคตมากน้อยเพียงใด มีรายได้จากการขนส่งมากแค่ไหนในแต่ละปี การเปลี่ยนแปลงของรายได้ในอนาคตจะเป็นอย่างไร เทียบกับต้นทุนค่าซื้อ/ต่อเรือดังกล่าวมาแล้ว อัตราผลตอบแทนดังกล่าวคุ้มค่าหรือไม่ เป็นต้น




สามารถติดต่อและสอบถามรายละเอียดของบริการได้ที่
โทร.02-295-3905 ต่อ 114 (K.สัญชัย)
Email : lek2@trebs.ac.th
Line ID : @areavaluation หรือคลิก https://lin.ee/8pZYu1C




[Tag] : [url=https://www.trebs.ac.th/th/news_detail.php?nid=190]ประเมินค่
6  พูดคุยทั่วไป / พูดคุยทั่วไป / การประเมินมูลค่าสินค้าคงคลัง เมื่อ: พฤษภาคม 19, 2021, 03:12:36 pm
การประเมินมูลค่าสินค้าคงคลัง



การประเมินมูลค่าทรัพย์สินต่างๆในโลกนี้นั้น มีหลากหลายรูปแบบและหลากหลายสิ่งมาก ทุกคนคงจะเคยได้ยินแต่การประเมินที่ดิน บ้าน และคอนโด เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น โรงเรียนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย จึงขอยกเรื่องการประเิมนมูลค่าสินคาคงคลัง เพื่อนำเอามาถ่ายทอดเป็นความรู้ ให้กับทุกๆท่านได้อ่านกัน

การประเมินมูลค่าสินค้าคงคลัง คือเครื่องช่วยให้วิสาหกิจสามารถจัดหาเงินสำหรับการจัดหาสินค้าที่ประกอบเป็น สินค้าคงคลัง สินค้าคงเหลือ ซึ่งมักจะเป็นสินทรัพย์ในปัจจุบันที่สำคัญที่สุดของวิสาหกิจนั้นๆ และจำเป็นต้องมีการวัดมูลค่าที่เหมาะสมเพื่อให้มั่นใจว่างบการเงินนั้นถูกต้อง หากสินค้าคงคลังไม่ได้รับการวัดอย่างเหมาะสม ค่าใช้จ่าย และ รายได้ จะไม่สามารถจับคู่ได้อย่างเหมาะสม และวิสาหกิจดังกล่าวก็อาจทำการตัดสินใจทางธุรกิจได้ไม่ดี มีความเสี่ยงต่อธุรกิจนั้นๆได้

สินค้าคงคลังที่กล่าวถึงนี้อาจจะเป็นสินค้าใดๆ ก็ได้ของวิสาหกิจนั้นๆ ที่ผ่านมาสถาบันการเงินก็มักอำนวยสินเชื่อให้กับวิสาหกิจต่างๆ เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนในการประกอบธุรกิจ โดยเอาสินค้าคงคลังของวิสาหกิจบางส่วนมาค้ำประกัน เช่น ถ้าวิสาหกิจหนึ่งไปกู้เงินของสถาบันการเงินมา สถาบันการเงินก็ต้องพิจารณาว่าวิสาหกิจนั้นมีสินค้าคงคลังสอดคล้องกับเงินกู้หรือไม่ และให้มีการตรวจนับจำนวนสินค้าคงคลังทุกระยะ เช่น ทุกเดือน เพื่อให้มั่นใจว่ามูลหนี้กับสินค้าคงคลังนั้นสอดคล้องหรือใกล้เคียงกัน

สำหรับราคาอ้างอิงสินค้าต่างๆ ก็อาจพิจารณาจากราคาตลาด หรือราคากลางเป็นสำคัญ เช่น ราคาข้าว ก็อาจใช้ราคาของสมาคมโรงสีข้าวไทย (https://bit.ly/3efoanv)  ก็มีราคาข้าวสารและราคาข้าวเปลือกรายจังหวัด หรือราคากลางของสินค้าเกษตรประเภทต่างๆ ตามการแจกแจงรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือนของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (https://bit.ly/3nOXcGH) เป็นต้น รวมทั้งจากแหล่งที่เชื่อถือได้อื่นๆ ซึ่งหาได้ไม่ยากในประเทศไทย




วิธีการประเมินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเช่น the First-In, first-Out (FIFO) ซึ่งวิธีนี้จะถือว่าหน่วยแรกที่เข้าสู่สินค้าคงคลังเป็นการขายครั้งแรก ตัวอย่างเช่น สมมติว่าร้านเบเกอรี่ผลิตขนมปัง 200 ก้อนในวันจันทร์ ในราคาชิ้นละ 100 บาทและอีก 200 ก้อนในวันอังคารที่ราคาชิ้นละ 125 บาท FIFO ระบุว่าหากร้านเบเกอรี่ขายได้ 200 ก้อนในวันพุธ ต้นทุนของสินค้าที่ขาย จะอยู่ที่ 100 บาทต่อก้อน (บันทึกในงบกำไรขาดทุน) เนื่องจากเป็นต้นทุนของแต่ละก้อนแรกในสินค้าคงคลัง  ส่วนราคา 125 บาทต่อก้อนจะถูกจัดสรรให้กับสินค้าคงคลังที่สิ้นสุด (https://bit.ly/3nPQQXC)

ที่ผ่านมาในประเทศไทย สถาบันการเงินใช้บริการการประเมินมูลค่าสินค้าคงคลังอยู่เสมอ โดยเฉพาะกิจการที่เกี่ยวกับสินค้าเกษตร รวมทั้งสินค้าประเภทอื่น และยังกำหนดให้มีการตรวจนับสินค้าคงคลังเป็นระยะๆ เช่นตรวจนับทุกเดือน เพื่อตรวจสอบสินค้าคงคลังในฐานะหลักประกันให้ใกล้เคียงกับเงินกู้  อย่างไรก็ตามสินค้าคงคลังก็มีการหมุนเวียนอยู่อย่างสม่ำเสนอ ตามการดำเนินการของธุรกิจแทบทุกประเภท การตรวจนับจึงต้องอาศัยความแม่นยำและความน่าเชื่อถือของผู้ประเมินค่า

มีหลายกรณีที่จากการตรวจสอบปรากฏว่าปริมาณสินค้าคงคลังต่ำกว่าที่กำหนดไว้มาก เช่น เหลือเพียงครึ่งหนึ่ง หรือเหลือเพียงหนึ่งในสาม ซึ่งผู้ประเมินก็ต้องรายงานไปตามความเป็นจริง   ถ้าผู้ไปสำรวจและประเมินค่าขาดความซื่อสัตย์ หรือผู้บริหารของบริษัทประเมินนั้นๆ ขาดความซื่อสัตย์ ก็อาจทำให้เกิดปัญหากับทั้งสถาบันการเงิน หรือลูกค้าของสถาบันการเงินนั้นๆ ได้  อาจทำให้วิสาหกิจนั้นๆ ขาดสภาพคล่อง และทำให้สถาบันการเงินต้องรับภาระหนี้ เป็นต้น

ดังนั้น การประเมินมูลค่าสินค้าคงคงจะเป็นช่วยให้สินค้าคงคลังที่อยู่ในหลักประกัน มีมูลค่าใกล้เคียงกับเงินกู้ที่ทำไว้กับสถาบันทางการเงินนั่นเอง


สามารถติดต่อและสอบถามรายละเอียดของบริการได้ที่
โทร.02-295-3905 ต่อ 114 (K.สัญชัย)
Email : lek2@trebs.ac.th
Line ID : @areavaluation หรือคลิก https://lin.ee/8pZYu1C

ขอขอบคุณ: AREA แถลง ฉบับที่ 340/2564: วันพฤหัสบดีที่ 06 พฤษภาคม 2564


[Tag] : [url=https://www.trebs.ac.th/th/news_detail.php?nid=189]ประเมินค่าทรั
7  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สอบบัตรตัวแทนนายหน้าอสังหาฯ ต้องทำไง เมื่อ: พฤษภาคม 14, 2021, 11:17:20 am


นายหน้าหรือตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ เป็นงานอิสระ สามารถทำเป็นอาชีพหลัก และอาชีพเสริม รายได้ไร้ขีดจำกัด ขึ้นอยู่กับตัวท่านเองเริ่มต้นท่านต้องมีความรู้ในงานที่ทำ โดยการเข้ารับการอบรมเพื่อสอบบัตรตัวแทนนายหน้า
ดังนั้น การเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ควรเตรียมตัวอย่างไร ทางโรงเรียนอสังหาฯ ขอแนะนำ ดังนี้


           
หลักสูตร นายหน้าอสังหาฯ (เพื่อสอบบัตรตัวแทนนายหน้า) : RE131

 

เข้าอบรมกับสถานบันที่ให้ความรู้เบื้องต้น เช่น การเงินสำหรับนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนเพื่อซื้ออสังหาฯ ของผู้ซื้อ ขั้นตอนและวิธีการการขายทรัพย์มือสอง รู้มูลค่าทรัพย์สินที่ขึ้นอยู่กับข้อกฎหมายต่าง ๆ ที่พึงสังวรการทำสัญญาจะซื้อ-จะขายอสังหาริมทรัพย์
ควรมี Connection กับเพื่อนๆในกลุ่มนายหน้า เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ หรือสายอาชีพที่ต้องติดต่อในการทำงาน เช่น เจ้าหน้าที่ธนาคาร(สินเชื่อ) เจ้าหน้าที่กรมที่ดิน เป็นต้น
ใจรักในการบริการ การอำนวยความสะดวกในลูกค้าให้ดูเป็นมืออาชีพ การให้ข้อมูลต่างๆ ให้ลูกค้า
การสอบบัตรตัวแทนนายหน้า เพื่อทำให้คุณน่าเชื่อถือ ในอาชีพนายหน้าอสังหาฯ โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องเข้าไปอยู่ในสังกัดหน่วยงานใด
 

ต่อมาคำถามที่ว่า อยากมีบัตรตัวแทนนายหน้าอสังหาฯ ต้องทำไง ??
ขั้นตอนการอนุมัติการสมัครสมาชิก บัตรตัวแทนนายหน้า ที่รับรองโดย สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย
สมาชิกวิสามัญบุคคลธรรมดา
1. ผู้สมัครสมาชิกวิสามัญบุคคลธรรมดา ต้องกรอกใบสมัครสมาชิกและใบสมัครสอบ

พร้อมชำระค่าบำรุงสมาคมฯ 1,000 บาท
ค่าลงทะเบียนแรกเข้า 500 บาท
ค่าสมัครสอบ 200 บาท
ค่าคู่มือสอบ 100 บาท
ค่าบัตรสมาชิก 300 บาท
ค่าสายคล้องคอ 100 บาท
รวมทั้งหมด 2,200 บาท(สองพันสองร้อยบาทถ้วน)

2. สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย ตรวจสอบใบสมัครและเอกสารประกอบการสมัครสมาชิก

3. ผู้สมัครสมาชิกวิสามัญที่ยังไม่ได้ผ่านการอบรมหรือไม่มีใบรับรองผ่านการอบรม จะต้องเข้ารับการอบรมจากสถาบันอบรมที่สมาคมฯ ให้การรับรอง

4. ผู้สมัครที่ผ่านการอบรมแล้ว สมาคมฯ จะนำเรื่องการสมัครเข้าที่ประชุม เพื่อการอนุมัติการเป็นสมาชิกและผู้มีสิทธิสอบ พร้อมกับเชิญผู้สมัครเข้าประชุมเพื่อการแนะนำตัวต่อคณะกรรมการสมาคมฯ ในคราวเดียวกัน

5. ผู้สมัครสมาชิกหากผ่านการอนุมัติผู้มีสิทธิสอบ ทางสมาคมฯ จะประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

6. สมาชิกวิสามัญที่ผ่านการอนุมัติผู้มีสิทธิสอบแล้ว จะต้องเข้ารับการสอบที่จัดโดยสมาคมฯ

7. ผู้สมัครสอบที่ผ่านการสอบ ทางสมาคมฯ จะส่งผลการสอบให้ทราบพร้อมทั้งจดหมายยืนยันการเป็นสมาชิก

8. สมาคมฯ จัดทำบัตรสมาชิกวิสามัญให้แก่ผู้สมัครพร้อมกับจัดส่งหนังสือข้อบังคับสมาคมฯ ให้สมาชิก
 


 

 
***สถานบันอบรมที่สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย รับรอง
โรงเรียนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย การอบรมหลักสูตร นายหน้าอสังหาฯ เพื่อสอบบัตรตัวแทนนายหน้า (RE131)

 



เปิดรับสมัครนายหน้าอิสระ ตัวแทนขายอสังหาฯ “ใครๆ ก็ขายได้ รับผลตอบแทน 3-12%” ขายทรัพย์ออนไลน์ 24 ชม. ง่าย ๆ เพียงหาลูกค้ามาซื้อโครงการ

[url=https://www.tooktee.com/agent/seminar]ลงทะ
[/size]https://oceancash.net/
8  พูดคุยทั่วไป / พูดคุยทั่วไป / อยากมีบัตรตัวแทนนายหน้าอสังหาฯ ต้องทำไง เมื่อ: มีนาคม 30, 2021, 04:09:21 pm


นายหน้าหรือตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ เป็นงานอิสระ สามารถทำเป็นอาชีพหลัก และอาชีพเสริม รายได้ไร้ขีดจำกัด ขึ้นอยู่กับตัวท่านเองเริ่มต้นท่านต้องมีความรู้ในงานที่ทำ โดยการเข้ารับการอบรมเพื่อสอบบัตรตัวแทนนายหน้าดังนั้น การเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ควรเตรียมตัวอย่างไร ทางโรงเรียนอสังหาฯ ขอแนะนำ ดังนี้เข้าอบรมกับสถานบันที่ให้ความรู้เบื้องต้น เช่น การเงินสำหรับนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนเพื่อซื้ออสังหาฯ ของผู้ซื้อ ขั้นตอนและวิธีการการขายทรัพย์มือสอง รู้มูลค่าทรัพย์สินที่ขึ้นอยู่กับข้อกฎหมายต่าง ๆ ที่พึงสังวรการทำสัญญาจะซื้อ-จะขายอสังหาริมทรัพย์ควรมี Connection กับเพื่อนๆในกลุ่มนายหน้า เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ หรือสายอาชีพที่ต้องติดต่อในการทำงาน เช่น เจ้าหน้าที่ธนาคาร(สินเชื่อ) เจ้าหน้าที่กรมที่ดิน เป็นต้นใจรักในการบริการ การอำนวยความสะดวกในลูกค้าให้ดูเป็นมืออาชีพ การให้ข้อมูลต่างๆ ให้ลูกค้าการสอบบัตรตัวแทนนายหน้า เพื่อทำให้คุณน่าเชื่อถือ ในอาชีพนายหน้าอสังหาฯ โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องเข้าไปอยู่ในสังกัดหน่วยงานใด

อ่านต่อ: https://www.trebs.ac.th/th/news_detail.php?nid=95
9  พูดคุยทั่วไป / พูดคุยทั่วไป / รวมแบบฟอร์มสัญญาที่สำคัญทางกฎหมาย เมื่อ: มีนาคม 24, 2021, 04:42:19 pm

 

การทำสัญญาไม่ว่าจะทำสัญญาอะไรก็ตามนั้น เป็นสิ่งสำคัญมากที่ผู้ที่จะทำสัญญาจะต้องศึกษาหาความรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวสัญญานั่นก่อนที่จะลงมือเซ็นสัญญา ดังนั้น

โรงเรียนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย จึงได้รวบรวมแบบฟอร์มสัญญา ที่เป็นมาตราฐานทั่วไปที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน มาจากเว็บไซด์ Thailaw ซึ่งภายในแบบฟอร์มจะประกอบไปด้วยเงื่อนไขและข้อกำหนดหลักเท่านั้น เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะนำไปใช้ทางเราจึงขอแนะนำว่า ควรจะปรึกษาที่ปรึกษาทางกฎหมายหรือทนายเพื่อที่จะได้เพิ่มเติมหรือแก้ไขให้มีความชัดเจนในการนำไปใช้ตรงตามวัตถุประสงค์


ดังนั้น โรงเรียนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย จึงได้ขอนำแบบฟอร์มสัญญาดังกล่าวมาช่วยเผยแพร่เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ได้เข้ามาอ่านทุกท่านและผู้ที่เกี่ยวข้องกับกิจการนายหน้า พัฒนาที่ดิน รับเหมาก่อสร้าง และบริหารทรัพย์สิน ดังต่อไปนี้

อ่านรายละเอียดเพื่มเติมได้ที่: https://www.trebs.ac.th/th/news_detail.php?nid=187
10  พูดคุยทั่วไป / พูดคุยทั่วไป / 15 บ้านราคาถูก "รีบซื้อ" !!! เมื่อ: มีนาคม 09, 2021, 04:12:38 pm
15 บ้านเดี่ยวราคาถูก "รีบซื้อ"!!!



หลายๆท่านอาจจะยังไม่ทราบว่า ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ก็ยังมีบ้านเดี่ยวที่มีราคาถูก ซึ่งถ้าพูดถึงบ้านที่อยู่อาศัยในกรุงเทพมหานคร หลายๆท่านอาจจะนึกและเห็นภาพว่าต้องมีราคาที่แพงมากอย่างแน่นอน แต่ในความเป็นจริงนั้นยังมีบ้านเดี่ยวราคาถูกในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งบ้านเดี่ยวราคาถูกที่สุดใน 15 อันดับนี้ คือราคา 1.89 ล้านบาทต่อหน่วย ส่วนอันดับ 15 ราคา 2.69 ล้านบาทต่อหน่วย

ซึ่งประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ได้เปิดเผยข้อมูลว่าบ้านเดี่ยวแม้จะราคาถูกที่สุดแต่ราคาก็ยังเกือบ 2 ล้าน และส่วนใหญ่อยู่บริเวณเขตปริมณฑลของกรุงเทพมหานครจึงทำให้สามารถสร้างบ้านเดี่ยวในราคานี้ได้ ดังนั้นมาดูบ้านที่มีราคาถูกในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 15 อันดับ ดังนี้

อันดับที่ 1: ราคาขายหลังละ 1.89 ล้านบาท ชื่อโครงการ เค.ซี.สุวินทวงศ์ 2 ที่ตั้งซอยสำนักสงฆ์วีรโชติ ถนนสุวินทวงศ์ แขวงกระทุ่มราย เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร พัฒนาโดย บจก.เค.ซี.พร็อพเพอร์ตี้ โทร. 08-9682-4305 ประเภทบ้านเดี่ยว 1 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 77 ตารางเมตร ขนาดที่ดิน 51 ตารางวา ราคาที่ดินเพิ่ม-ลด ตารางวาละ 14,000 บาท จำนวนหน่วยขายทั้งหมด 264 หน่วย มูลค่าโครงการทั้งหมด 498.96 ล้านบาท

อันดับที่ 2: ราคาขายหลังละ 1.89 ล้านบาท ชื่อโครงการ บ้านรัก 9 (เฟสชมพู-เขียว) ที่ตั้งซอยคลองเก้า 5 ถนนคลองเก้า แขวงคลองสามวาตะวันออก เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร พัฒนาโดย ผู้ประกอบการรายย่อย โทร. 091-228-2229, 062-420-4219 ประเภทบ้านเดี่ยว 1 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 137 ตารางเมตร ขนาดที่ดิน 85 ตารางวา ราคาที่ดินเพิ่ม-ลด ตารางวาละ 19,000 บาท จำนวนหน่วยขายทั้งหมด 175 หน่วย มูลค่าโครงการทั้งหมด 330.75 ล้านบาท
 
อันดับที่ 3: ราคาขายหลังละ 2.11 ล้านบาท ชื่อโครงการ วี-อไลฟ์ ลำลูกกา คลอง 8 (ALIVE) ที่ตั้งซอยเลียบคลอง 8 ถนนลำลูกกา แขวงลำลูกกา เขตลำลูกกา ปทุมธานี พัฒนาโดย บจก.ทีพีพีดีเวลลอปเมนท์ โทร. 0-2191-1088,02-191-1099 ประเภทบ้านเดี่ยว 1.5 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 90 ตารางเมตร ขนาดที่ดิน 50 ตารางวา ราคาที่ดินเพิ่ม-ลด ตารางวาละ 20,000 บาท จำนวนหน่วยขายทั้งหมด 221 หน่วย มูลค่าโครงการทั้งหมด 466.31 ล้านบาท

อันดับที่ 4: ราคาขายหลังละ 2.19 ล้านบาท ชื่อโครงการ บ้านวรินทร คลอง 3 ที่ตั้งซอยเลียบคลอง 3  ถนนลำลูกกา แขวงลาดสวาย เขตลำลูกกา ปทุมธานี พัฒนาโดย บจก.พรจิราบ้านและที่ดิน โทร. 0-2152-8477 ประเภทบ้านเดี่ยว 1 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 114 ตารางเมตร ขนาดที่ดิน 60 ตารางวา ราคาที่ดินเพิ่ม-ลด ตารางวาละ 24,000 บาท จำนวนหน่วยขายทั้งหมด 280 หน่วย มูลค่าโครงการทั้งหมด 613.2 ล้านบาท

อันดับที่ 5: ราคาขายหลังละ 2.19 ล้านบาท ชื่อโครงการ ไปรยา ลำลูกกกา คลอง 12 ที่ตั้งซอยเลียบคลอง 12 ถนนลำลูกาคลอง 12(ทางหลวงชนบท 3015) แขวงลำไทร เขตลำลูกกา ปทุมธานี พัฒนาโดย บจก.ผู้ประกอบการรายย่อย โทร. 087-0469922,086-8971150 ประเภทบ้านเดี่ยว 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 130 ตารางเมตร ขนาดที่ดิน 50 ตารางวา ราคาที่ดินเพิ่ม-ลด ตารางวาละ 12,000 บาท จำนวนหน่วยขายทั้งหมด 60 หน่วย มูลค่าโครงการทั้งหมด 131.4 ล้านบาท

อันดับที่ 6: ราคาขายหลังละ 2.2 ล้านบาท ชื่อโครงการ บ้านเอกธนาดล ที่ตั้งซอยสุวิมล  ถนนนนทบุรี-ปทุมธานี แขวงคลองหลวง เขตเมืองปทุมธานี ปทุมธานี พัฒนาโดย บจก.เอกสินการ์เด้นโฮม โทร. 0-2581-2128 ประเภทบ้านเดี่ยว 1 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 100 ตารางเมตร ขนาดที่ดิน 55.25 ตารางวา ราคาที่ดินเพิ่ม-ลด ตารางวาละ 40,000 บาท จำนวนหน่วยขายทั้งหมด 80 หน่วย มูลค่าโครงการทั้งหมด 176 ล้านบาท

อันดับที่ 7: ราคาขายหลังละ 2.3 ล้านบาท ชื่อโครงการ พระปิ่น โครงการ 9 เฟส 2 ที่ตั้งซอย- ถนนอุทัย-บางปะอิน (ทางหลวงหมายเลข 3056) แขวงอุทัย เขตอุทัย พระนครศรีอยุธยา พัฒนาโดย บจก.สมชายพัฒนาก่อสร้าง,หจก. โทร. 035-356-666 ประเภทบ้านเดี่ยว 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 48 ตารางเมตร ขนาดที่ดิน 50 ตารางวา ราคาที่ดินเพิ่ม-ลด ตารางวาละ 20,000 บาท จำนวนหน่วยขายทั้งหมด 50 หน่วย มูลค่าโครงการทั้งหมด 115 ล้านบาท

อันดับที่ 8: ราคาขายหลังละ 2.349 ล้านบาท ชื่อโครงการ สิรารมย์ พาร์ค บางปะกง ที่ตั้งซอยอบต.บางปะกง 8 ถนนบางนา-ตราด แขวงบางปะกง เขตบางปะกง ฉะเชิงเทรา พัฒนาโดย บจก.สิรารมย์7 โทร. 08-5835-0002 ประเภทบ้านเดี่ยว 1 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 100 ตารางเมตร ขนาดที่ดิน 50 ตารางวา ราคาที่ดินเพิ่ม-ลด ตารางวาละ 20,000 บาท จำนวนหน่วยขายทั้งหมด 71 หน่วย มูลค่าโครงการทั้งหมด 166.779 ล้านบาท

อันดับที่ 9: ราคาขายหลังละ 2.359 ล้านบาท ชื่อโครงการสินทวีท่าข้าม 3-4 ที่ตั้งซอยอนามัยงามเจริญ 31 ถนนพระราม 2 แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร พัฒนาโดย บจก.สินสวัสดิ์การเคหะ โทร. 0-2459-1555 ประเภทบ้านเดี่ยว 1 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 60 ตารางเมตร ขนาดที่ดิน 50 ตารางวา ราคาที่ดินเพิ่ม-ลด ตารางวาละ 29,000 บาท จำนวนหน่วยขายทั้งหมด 242 หน่วย มูลค่าโครงการทั้งหมด 570.878 ล้านบาท

อันดับที่ 10: ราคาขายหลังละ 2.39 ล้านบาท ชื่อโครงการบ้านธรรมชาติ รังสิต คลอง 7 ที่ตั้งซอยหมู่บ้านดิสคอฟเวอร์รี่เพลส ถนนรังสิต-นครนายก แขวงลำผักกูด เขตธัญบุรี ปทุมธานี พัฒนาโดย บจก.ทริปเปิลพีดีเวลลอปเม้นท์ โทร. 02-577-4411-2,086-0178183,089-4964463 ประเภทบ้านเดี่ยว 1 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 130 ตารางเมตร ขนาดที่ดิน 59 ตารางวา ราคาที่ดินเพิ่ม-ลด ตารางวาละ 25000 บาท จำนวนหน่วยขายทั้งหมด 156 หน่วย มูลค่าโครงการทั้งหมด 372.84 ล้านบาท
 
อันดับที่ 11: ราคาขายหลังละ 2.39 ล้านบาท ชื่อโครงการ บดินทร 3 รังสิตคลอง 7 ที่ตั้งซอยคลอง 7 (ฝั่งใต้) ถนนรังสิต-นครนายก แขวงบึงยี่โถ เขตลำลูกกา ปทุมธานี พัฒนาโดย บจก.บดินทรพร๊อพเพอร์ตี้ โทร. 0-2577-3995, 0-2577-6208-9 ประเภทบ้านเดี่ยว 1 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 90 ตารางเมตร ขนาดที่ดิน 59 ตารางวา ราคาที่ดินเพิ่ม-ลด ตารางวาละ 25,000 บาท จำนวนหน่วยขายทั้งหมด 50 หน่วย มูลค่าโครงการทั้งหมด 119.5 ล้านบาท
 
อันดับที่ 12: ราคาขายหลังละ 2.39 ล้านบาท ชื่อโครงการ รติรัตน์ คอทเทจ ลาดปลาดุก-คล้ายสอน ที่ตั้งซอย ถนนต้นเชือก-วัดมะสง แขวงทวีวัฒนา เขตไทรน้อย นนทบุรี พัฒนาโดย บจก.ปัญญาเทพพร็อพเพอร์ตี้ โทร. 09-7074-8258 ประเภทบ้านเดี่ยว 1 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 90 ตารางเมตร ขนาดที่ดิน 50 ตารางวา ราคาที่ดินเพิ่ม-ลด ตารางวาละ 25,000 บาท จำนวนหน่วยขายทั้งหมด 10 หน่วย มูลค่าโครงการทั้งหมด 23.9 ล้านบาท

อันดับที่ 13: ราคาขายหลังละ 2.49 ล้านบาท ชื่อโครงการ เพ็ญศิริ 4 ถนนเลียบวารี (คู้ขวา) ที่ตั้งซอย ถนนเลียบวารี แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร พัฒนาโดย บจก.เพ็ญศิริบ้านและที่ดิน2008 โทร. 0-2989-6688, 0-2956-9558 ประเภทบ้านเดี่ยว 1 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 90 ตารางเมตร ขนาดที่ดิน 50 ตารางวา ราคาที่ดินเพิ่ม-ลด ตารางวาละ 30,000 บาท จำนวนหน่วยขายทั้งหมด 107 หน่วย มูลค่าโครงการทั้งหมด 266.43 ล้านบาท
 
อันดับที่ 14: ราคาขายหลังละ 2.49 ล้านบาท ชื่อโครงการ บางกอกวิลล์ ที่ตั้งซอยดอนไก่ดี ถนนสข.4056 แขวงดอนไก่ดี เขตกระทุ่มแบน สมุทรสาคร พัฒนาโดย ผู้ประกอบการรายย่อย โทร. 034-112-629-30 ประเภทบ้านเดี่ยว 1 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 81 ตารางเมตร ขนาดที่ดิน 50 ตารางวา ราคาที่ดินเพิ่ม-ลด ตารางวาละ 25,000 บาท จำนวนหน่วยขายทั้งหมด 19 หน่วย มูลค่าโครงการทั้งหมด 47.31 ล้านบาท
 
อันดับที่ 15: ราคาขายหลังละ 2.69 ล้านบาท ชื่อโครงการ ศิลปการ พาร์ค 1 ที่ตั้งซอย ถนนบ้านกล้วย-ไทรน้อย แขวงพิมลราช เขตบางบัวทอง นนทบุรี พัฒนาโดย บจก.ศิลปการพร็อพเพอร์ตี้ โทร. 0-2979-9263-5 ประเภทบ้านเดี่ยว 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 160 ตารางเมตร ขนาดที่ดิน 50 ตารางวา ราคาที่ดินเพิ่ม-ลด ตารางวาละ 20,000 บาท จำนวนหน่วยขายทั้งหมด 152 หน่วย มูลค่าโครงการทั้งหมด 408.88 ล้านบาท

จะเห็นได้ว่าราคาบ้านที่ถูกที่สุดในเขตพื้นที่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ก็ยังมีราคาที่ถือว่าอยุ่ในเกณฑ์ที่รับได้และมีราคาสูงสุดอยู่ถึง 2 ล้านกว่าเลยทีเดียว ดังนั้น ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) สามารถตรวจสอบสภาพอาคารและที่ดินได้ ทั้งนี้ยังรวมถึงการตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ ใบอนุญาตต่างๆ อีกด้วย



สามารถติดต่อและสอบถามรายละเอียดของบริการได้ที่:
โทร. 02-295-3905 ต่อ 106 (K.พงศธร)
Email : area@area.co.th
Line ID : @areavaluation หรือคลิก https://lin.ee/8pZYu1C
11  Sitemap SMB / Event & News / 10 บริษัทพัฒนาที่ดินที่ใหญ่สุดในไทย เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2021, 03:01:54 pm
10 บริษัทพัฒนาที่ดินที่ใหญ่สุดในไทย



ในช่วงปี 2563 ที่ผ่านมาได้มีการนำที่ดินต่างๆมาพัฒนาเพื่อสร้างเป็นโครงการมากมาย เช่น บ้าน คอนโด เป็นต้น ซึ่งในแง่ของอสังหาริมทรัพย์นั้นได้มีการจัดอันดับ 10 อันดับ บริษัทที่ได้ทำการพัฒนาที่ดินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยไว้ 10 อันดับด้วยกัน  ซึ่ง 10 บริษัทพัฒนาที่ดินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยนั้น ได้อ้างอิงนำข้อมูลจากจำนวนและมูลค่าโครงการที่เปิดใหม่ในปี 2563

ทั้งในแง่จำนวนหน่วยและมูลค่าการพัฒนา ทั้งนี้ในกรณีบริษัทมหาชน นับรวมการพัฒนาของบริษัทในเครือด้วย

เมื่อดูจากข้อมูลตามรูปข้างบนจะสามารถสรุปได้เลยว่า บริษัทที่มีการพัฒนาสูงที่สุดในปี 2563 คือ  บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) ซึ่งการพัฒนาสูงสุดในที่นี้คือ การพัฒนาจำนวนโครงการที่มากที่สุดถึง 38 โครงการ พัฒนาหน่วยขายมากที่สุดถึง 8,476 หน่วย และรวมมูลค่าการพัฒนาทั้งหมด 40,003 ล้านบาท โดยมีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 4.72 ล้านบาท โดยบริษัทนี้นำคู่แข่งอันดับสองถึงเกือบ 1 ช่วงตัวในแง่จำนวนหน่วยที่เปิดและมูลค่าที่เปิดในปี 2563

สินค้าของ บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) มีจำนวนหน่วยทุกๆ 1 ใน 9 หน่วยที่ขาย แต่ถ้าเทียบในแง่มูลค่าก็เท่ากับ 1 ใน 7 ของมูลค่าที่เปิดขายเลยทีเดียว อาจกล่าวได้ว่า บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) ก้าวขึ้นอันดับหนึ่งเป็นครั้งแรกหลังจากที่  บมจ.พฤกษาเรียลเอสเตท ครองแชมป์เป็นอันดับหนึ่งนับสิบปีที่ผ่านมา  และในปี 2563 นี้ บมจ.พฤกษาเรียลเอสเตทกลับตกอันดับมาสู่อันดับที่ 7 ทั้งนี้เพราะยังมีหน่วยขายรอการขายอีกมาก จึงยังไม่รีบร้อนเปิดตัวโครงการ  อย่างไรก็ตาม บมจ.พฤกษาเรียลเอสเตทก็ยังมีรายการ



โครงการที่รอเปิดตัวอีกเป็นจำนวนมากเช่นกัน ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจกลับมาทวงแชมป์อีกครั้งหนึ่ง เพราะในสมัยที่ครองแชมป์อยู่นั้น มีการเปิดตัวหน่วยขายใหม่นับหมื่นหน่วยต่อปี

หากพิจารณาถึงบริษัทที่มีราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยสูงสุดก็คงเป็น บมจ.เอสซีแอสเสทคอร์ปอเรชั่น ซึ่งราคาเฉลี่ยต่อหน่วยคือ 8.664 ล้านบาท ทั้งนี้ในปี 2563 เปิดทั้งหมด 11 โครงการ รวม 1,632 หน่วย โดยมีมูลค่าสูงถึง 14,140 ล้านบาท นับได้ว่ามีสัดส่วนการเปิดตัวในเชิงมูลค่าสูงถึง 4.9% ของทั้งหมด  อาจกล่าวได้ว่าในบรรดาบ้านที่มีราคาสูง เช่น 15-20 ล้านบาทขึ้นไป กลุ่มบริษัทนี้จะครองแชมป์อยู่หลายสมัย  ทั้งนี้แต่ก่อนอาจเป็น บมจ.แสนสิริ ซึ่งมักสร้างบ้านราคาสูงออกสู่ตลาด แต่มาในระยะหลัง บมจ.แสนสิริ กลับพัฒนาโครงการในระดับราคาที่แตกต่างกันไป เพื่อเพิ่มกลุ่มเป้าหมายนั่นเอง

ส่วนบริษัทที่มักจะพัฒนาสินค้าราคา “กันเอง” หรือค่อนข้างถูก ได้แก่ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ซึ่งในปี 2563 พัฒนาทั้งหมด 10 โครงการ รวม 2,102 หน่วย รวมมูลค่า 3,416 ล้านบาท หรือราว 2.9% ของสินค้าในตลาด โดยมีราคาเฉลี่ยเพียง 1.625 ล้านบาท และสามารถขายได้ดีมาก  อีกบริษัทหนึ่งก็คือ บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ ซึ่งในปี 2563 พัฒนาไป 7 โครงการ รวม 4,795 หน่วย โดยมีมูลค่า 9,486 พันล้านบาท หรือตกเฉลี่ยหน่วยละ 1.978 ล้านบาท

10 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดนี้ยิ่งใหญ่มาก โดยประมาณ 49% ของหน่วยขายที่เปิดขายในปี 2563 ขายโดยบริษัท 10 แห่งนี้  และอีก 51% ของมูลค่าการพัฒนาทั้งหมด ยังมาจากสินค้าของทั้ง 10 บริษัทนี้  อย่างไรก็ตามก็คงไม่มีใครสามารถครอบงำตลาดได้รายเดียว ต่างจากสินค้าอุปโภคบริโภคที่อาจมีการ “ผูกขาด” เกิดขึ้นได้ ดังนั้น ทางโรงเรียนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย (www.trebs.ac.th) ได้มีการจัดหลักสูตรนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อเป็นการพัฒนาตนเองให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จ จากผู้ที่มีประสบการณ์จากความสำเร็จในด้านอสังหาริมทรัพย์  โดยท่านสามารถเข้าร่วมงาน “ หลักสูตร นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มืออาชีพ (RE162)” รุ่นที่ 29, วันจันทร์ที่ 15 - อังคารที่ 16 มีนาคม 2564 เวลา 08:30 - 17:00 น. ณ โรงเรียนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย



>>> https://bit.ly/3abVXJD <<<

สามารถติดต่อและสอบถามรายละเอียดของบริการได้ที่
โทร.02-295-3905 ต่อ 114 (K.สัญชัย)
Email : lek@trebs.ac.th
Line ID : @trebs หรือคลิก  https://line.me/R/ti/p/%40tfw7135e
12  Sitemap SMB / Event & News / FIABCI คืออะไร เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2021, 10:33:50 am
FIABCI คืออะไร




สงสัยหรือไหมว่า อสังหาริมทรัพย์ไทย ที่จะไปลงทุนในต่างประเทศ  ทำอย่างไรให้มีความหน้าเชื่อถือและทำให้ต่างประเทศมองว่าเรามีศักยภาพมากพอที่จะไปลงทุนในประเทศนั้นๆ ซึ่งช่องทางที่จะทำให้ต่างประเทศเชื่อมั่นและยอมรับในศักยภาพของเรานั้น เราจึงจำเป็นต้องมีช่องทางที่ดีในการเชื่อมต่อกับประเทศอื่นๆในโลก นั่นก็คือ FIABCI นั่นเอง

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกันก่อนว่า FIABCI คืออะไร?

FIABCI หรือ International Real Estate Federation คือ สมาคมอสังหาริมทรัพย์สากล โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศษ ปัจจุบันมีสมาชิกอยู่ในประเทศต่างๆกว่า 65 ประเทศ ประกอบได้ด้วยสมาคมนักวิชาชีพกว่า 100 แห่ง สถาบันการศึกษากว่า 65 แห่ง ยังไม่นับรวมสมาชิกของสมาคมอสังหาริมทรัพย์ในสังกัดทั้งหมด นับว่ามีจำนวนสมาชิกมากถึง 1.5 ล้านคนทั่วโลก ปัจจุบันประเทศไทยมี ดร.โสภณ พรโชคชัย เป็นผู้แทน FIABCI ในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค และยังเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งและกรรมการ FIABCI Thailand Chapter อีกด้วย ซึ่ง FIABCI ยังเป็นแหล่งเชื่อมโยงระหว่างนักอสังหาริมทรัพย์สากลที่มีความสนใจในการแลกเปลี่ยนความรู้ ข่าวสาร และทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระหว่างประเทศร่วมกันอีกด้วย

สมาชิก FIABCI เป็นใครบ้าง?

นักอสังหาริมทรัพย์ของ FIABCI ได้แก่ นักพัฒนาที่ดิน นายหน้า นักบริหารทรัพย์สิน ผู้ประเมินค่าทรัพย์สิน นักลงทุน ที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ สถาปนิก วิศวกร นักผังเมือง นักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง สมาชิกของ FIABCI เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ทั้งในภาครัฐบาล ในฐานะผู้กำกับนโยบายนครต่าง ๆ ตลอดจนนักพัฒนาที่ดินและที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ในด้านอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ ที่อยู่อาศัย ศูนย์การค้า อุตสาหกรรม อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักผ่อน อสังหาริมทรัพย์ชนบทและเกษตรกรรม การปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันจึงเน้นไปด้านการศึกษา การเชื่อมต่อทางธุรกิจอย่างมีประสิทธิผลสูงสุด ทุกวันนี้ FIABCI เป็นตัวแทนของภาคอสังหาริมทรัพย์ในระดับสากล โดยมีตัวแทนในองค์การสหประชาชาติ และได้รับการยอมรับจากองค์กรระหว่างประเทศอื่นๆ

รางวัลทรงเกียรติของ FIABCI
"PRIX D'EXCELLENCE" เป็นการจัดประกวดโครงการอสังหาริมทรัพย์สากล โดยในแต่ละปี FIABCI ในแต่ละประเทศจะรวบรวมโครงการส่งเข้าประกวด และมีคณะกรรมการตัดสินของ FIABCI จากหลายประเทศร่วมกันตัดสิน โครงการที่ได้รับรางวัลนับว่าเป็นโครงการที่ได้รับการยอมรับจริงๆ แม้ระดับสากลนี้จะมีรางวัลโครงการอสังหาริมทรัพย์ดีเด่นมากมาย แต่รางวัลของ FIABCI นับว่าเป็นรางวัลที่โดดเด่นที่สุด
 


เพื่อรางวัลอันทรงเกียรติระดับสากล ของโครงการท่าน
ขอเชิญชวนเข้าร่วมประกวด PRIX D'ExCELLENCE AWARDS 2021
คลิก: https://www.fiabci-thai.org/th/signup.php

 
สามารถติดต่อและสอบถามรายละเอียดของบริการได้ที่
โทร.02-295-3905 ต่อ 114 (K.สัญชัย)
Email : lek@trebs.ac.th
Line ID : @trebs หรือคลิก  https://line.me/R/ti/p/%40tfw7135e
13  พูดคุยทั่วไป / พูดคุยทั่วไป / นิติกรรมการซื้อขายบ้าน เมื่อ: มกราคม 12, 2021, 04:35:34 pm
นิติกรรมการซื้อขายบ้าน



การทำธุรกรรมเกี่ยวกับที่ดินทุกประเภทต้องกระทำที่สำนักงานที่ดิน จึงจะมีผลทางกฎหมาย ดังนั้นขั้นตอนและวิธีต่างๆในการกระทำ นิติกรรม จึงเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวประชาชน ดังนั้นทุกคนจึงต้องเรียนรู้และเข้าใจเป็นอย่างดีก่อนจึงจะทำธุรกรรมเกี่ยวกับที่ดินได้อย่างถูกต้อง ซึ่งธุรกรรมที่ดินหลักๆที่จำเป็นต้องไปติดต่อกับกรมที่ดินโดยผ่านทางสำนักงานที่ดินประจำท้องถิ่นต่างๆนั้น คือเรื่องของการจดทะเบียนทำนิติกรรมนั่นเอง วันนี้ TREBS จึงได้หยิบยกเรื่องราวเกี่ยวกับ นิติกรรมการซื้อขายบ้าน ที่ควรทราบมาฝากกันครับ

นิติกรรมเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยที่ผู้ซื้อบ้านควรรู้ ป้องกันการสับสนและเสียหายจากการซื้อบ้าน

การทำนิติกรรมที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัยมีหลายประเภท ในทางปฏิบัติการทำนิติกรรมสัญญาบางประเภทจะมีความคล้ายคลึงกัน จนบางครั้งสร้างความสับสนและอาจสร้างความเสียเปรียบให้แก่ผู้ที่เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์นั้นๆได้ เพราะในทางนิตินัยหรือในทางกฎหมาย การทำนิติกรรมแต่ละประเภทจะให้ผลที่ต่างกันมาก

สำหรับผู้ที่เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย นิติกรรมที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีก็คือ การซื้อขายและการจดจำนอง แต่จริงๆแล้วในตลาดที่อยู่อาศัยยังมีนิติกรรมอีกหลายประเภทที่เข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรง โดยนิติกรรมที่ได้พบเจอบ่อยครั้งที่สุด 3 ประเภทหลักเพิ่มเติมมากจากการซื้อขายปกติ ได้แก่

“การเช่าซื้อ”  โดยปกติแล้วถ้าพูดถึงการเช่าซื้อ คนส่วนใหญ่จะนึกถึงการเช่าซื้อรถยนต์ แต่สำหรับตลาดที่อยู่อาศัยเดิมทีมีเพียงการเคหะแห่งชาติแห่งเดียวเท่านั้นที่ใช้วิธีเสนอขายที่อยู่อาศัยในลักษณะของการเช่าซื้อ เนื่องจากนโยบายการจัดสร้างที่อยู่อาศัยของการเคหะแห่งชาติ เน้นกลุ่มเป้าหมายให้แก่ผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางเป็นหลัก ผู้ซื้อบ้านในกลุ่มนี้ไม่สามารถขอสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินได้ การเคหะแห่งชาติจึงต้องทำหน้าที่จัดไฟแนนซ์ให้ด้วย วิธีการเช่าซื้อจึงถูกนำมาใช้ แต่ในปัจจุบันหลังจากที่เกิดปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ มีโครงการที่อยู่อาศัยสร้างค้างเหลือขายเป็นจำนวนมาก ผู้ประกอบการจำเป็นต้องสร้างรายได้เพื่อชำระคืนหนี้เงินกู้ยืมที่นำมาใช้พัฒนาโครงการ

วิธีการเสนอขายแบบเช่าซื้อจึงเริ่มแพร่หลายมากขึ้น โดยผู้ขายจะมีการโฆษณาในลักษณะที่ว่า “อยู่ก่อนผ่อนที่หลัง” หรือ “ผ่อนถูกกว่าเช่า” และทำสัญญาในลักษณะสัญญาเช่าซื้อ โดยให้คำมั่นว่า เมื่อชำระค่าเช่าครบตามจำนวนเงินดาวน์ ทางผู้ขายหรือเจ้าของโครงการจะโอนกรรมสิทธิ์ให้ทันที การทำสัญญาเช่าซื้อเช่นนี้ถือว่ามีผลในทางกฎหมาย แต่หากผู้เช่าซื้อไม่สามารถรับโอนกรรมสิทธิ์ได้เนื่องจากไม่สามารถนำเงินส่วนที่เหลือทั้งหมดมาชำระได้ตามราคาของบ้านหรือห้องชุดที่เช่าซื้ออยู่ ผู้ให้เช่าซื้อหรือเจ้าของโครงการมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ โดยที่ผู้เช่าซื้อไม่สามารถขอคืนเงินดาวน์ส่วนที่ชำระเป็นค่าเช่าซื้อไปแล้วได้ เพราะถ้าว่าเป็นเงินส่วนของค่าเช่า ซึ่งในทางปฏิบัติผู้ให้เช่ามักจะให้สิทธิผู้เช่ารายเดิมเช่าอาศัยได้ต่อไป แม้จะโอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้ก็ตาม

ถึงแม้ว่าในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะกำหนดสาระสำคัญของสัญญาเช่าซื้อไว้น้อยกว่าสัญญาซื้อขาย แต่ก็ได้กำหนดถึงการยกเลิกสัญญาไว้ด้วยเช่นกัน โดยระบุว่า ผู้ให้เช่ามีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าชื้อได้ 2 ประการคือ

1.กรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ส่งค่างวดสองคราวติดๆกันหรือผิดชำระค่าเช่า ซื้องวดสุดท้าย
2.กรณีที่ผู้เช่าซื้อทำผิดสัญญาในข้อสาระสำคัญ โดยปกติแล้วการผิดสัญญาในกรณีนี้จะเป็นเรื่องที่ผู้ให้เช่าระบุไว้ในสัญญา เช่นกำหนดให้ผู้เช่าซื้อห้ามดัดแปลงหรือต่อเติมบ้านโดยมิได้รับความยินยอม จากผู้ให้เช่าซื้อ หรืออาจมีการกำหนดให้ผู้เช่าซื้อทำประกันวินาศภัยบ้านที่เช่าซื้อด้วย เป็นต้น แต่ทั้งนี้สัญญาการเช่าซื้อจะมีผลสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อสัญญาเช่าซื้อได้มีการทำ เป็นหนังสือที่มีการระบุชื่อผู้เช่าซื้อ และผู้ให้เช่าซื้อ แล้วมีการเขียนข้อกำหนดว่ามีการวางเงินดาวน์กันเป็นจำนวนเท่าใด รวมถึงระบุด้วยว่าจะมีการชำระค่าเช่าซื้อกี่งวด ๆ ละเท่าใด

“การจำนอง” และ “การขายฝาก” เป็นนิติกรรมอีก 2 ประเภทที่ผู้ซื้อบ้านควรทำความเข้าใจ เนื่องจากนิติกรรมดังกล่าวมีสาระสำคัญใกล้เคียงกันมากต่างกันก็เพียงแต่การ บังคับหลักประกันกล่าวคือการจำนอง เป็นนิติกรรมที่กระทำได้ก็ต่อเมื่อทรัพย์สินที่จำนองต้องสามารถจดทะเบียนได้ เมื่อมีการจำนองไม่ต้องส่งมอบทรัพย์สินที่จำนองให้แก่ผู้รับจำนอง และต้องจดทะเบียนกับเจ้าหนี้ที่ได้ การจำนองซึ่งเป็นที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีก็คือ การจำนองที่อยู่อาศัยไว้กับสถาบันการเงิน



>>>>> https://bit.ly/2T0Lue8 <<<<<


แม้ว่าในทางกฎหมายจะระบุเฉพาะการจำนองที่ดินเอาไว้เท่านั้น ในทางปฏิบัติเมื่อผู้ซื้อบ้านต้องการขอสินเชื่อในระบบสถาบันการเงิน บางแห่งจึงใช้วิธีทำสัญญาการกู้ยืมแยกเป็น 2 สัญญาคือสัญญาเพื่อลดความเสี่ยง เนื่องจากเมื่อมีการจ่ายเงินดาวน์ครบตามจำนวนและมีการทำสัญญาจะซื้อจะขายจด ทะเบียนไว้กับกรมที่ดินแล้ว ผู้ซื้อจะมีบุริมสิทธิในที่ดินจัดสรรนั้นๆทันทีสามารถนำไปทำนิติกรรมใดๆก็ ได้ รวมถึงการจดจำนองด้วย แต่ในส่วนของตัวบ้านจะยังไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อจนกว่าจะชำระ ค่าบ้านครบตามจำนวน อย่างไรก็ดีโดยทั่วไปแล้วสถาบันการเงินจะยินยอมให้จดจำนองโดยรวมเอาบ้านเข้า ไปด้วยเพื่อความสะดวกในทางปฏิบัติ และเลือกที่จะลดความเสี่ยงด้วยการให้วงเงินจำนองในอัตราส่วนตามราคาประเมิน ซึ่งทางสถาบันการเงินเห็นว่าหลักประกันจำนองนั้นคุ้มมูลหนี้

ในทางกฎหมาย การจำนองย่อมให้ผลดีต่อผู้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์มากกว่าการขายฝาก เนื่องจากการขายฝากจะมีผลให้ทรัพย์ที่ขายฝากหลุดเป็นของผู้รับซื้อฝากทันที ที่พ้นกำหนดเวลาไถ่ถอน และถือว่าเป็นการโอนกรรมสิทธิ์โดยผลทางกฎหมาย ซึ่งตามกฎหมายแล้วระบุว่าการกำหนดเวลาไถ่ถอนการขายฝากที่ดิน หรือบ้านต้องไม่เกิน 10 ปี ในขณะที่การจำนองไม่มีการกำหนดในเรื่องดังกล่าวไว้ ปัจจุบันสถาบันการเงินต่างๆ จึงเปิดให้ผู้ซื้อบ้าน จำนอง หรือผ่อนชำระเงินกู้ได้นานถึง 20-30ปี รวมทั้งเมื่อครบกำหนดในการชำระจำนอง ผู้รับจำนองจะบังคับให้หลักประกันไม่ว่าจะเป็นที่ดิน หรือบ้าน ตกเป็นของตัวเองในทันทีไม่ได้ ผู้รับจำนองซึ่งอาจจะเป็นสถาบันการเงิน หรือบุคคล สามารถบังคับหลักประกันจำนองชำระหนี้ได้ใน 2 วิธีเท่านั้น

วิธีที่ 1 คือการฟ้องบังคับจำนองต่อศาล เพื่อให้ศาลพิพากษาสั่งให้ยึดทรัพย์สินที่จำนองขายทอดตลาดเพื่อเอาเงินที่ ได้มาใช้หนี้จำนอง แต่ก่อนที่จะมีการฟ้องศาลผู้รับจำนองต้องมีหนังสือบอกกล่าวให้ลูกหนี้ชำระ หนี้ภายในเวลาอันสมควรก่อน
ส่วนวิธีที่ 2 เรียกว่าบังคับจำนองหลุด โดยไม่ต้องให้เอาทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด จะมีผลให้ทรัพย์ทรัพย์จำนองนั้นตกเป็นของผู้รับจำนองเช่นเดียวกับการขายฝาก แต่ผู้รับจำนองต้องส่งเรื่องฟ้องคดีต่อศาลเช่นกัน และต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่า ลูกหนี้ได้ขาดส่งดอกเบี้ยมาเป็นเวลานานถึง 5 ปี ผู้จำนองมิได้แสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลว่าราคาทรัพย์สินนั้นท่วมจำนวนเงิน ที่ค้างชำระ และไม่มีการนำทรัพย์สินนั้นไปจำนองกับรายอื่นหรือบุริมสิทธิอื่นอันได้จด ทะเบียนไว้เหนือทรัพย์สินที่นำมาจดจำนอง

ในกรณีของการจดจำนอง หากเป็นการจดจำนองกับสถาบันการเงิน ถือว่าผู้ที่เป็นลูกหนี้ได้รับความคุ้มครองสิทธิตามสมควร เพราะนอกจากสถาบันการเงินแต่ละแห่งจะต้องมีระเบียบปฏิบัติในการชำระหนี้ที่ ชัดเจนแล้ว ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.)ยังมีการประกาศให้สัญญา เงินกู้อยู่ในสัญญามาตรฐานที่ถูกควบคุม ส่งผลให้การประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ซึ่งถือว่าเป็นภาระของลูกหนี้มี การเปิดเผยผ่านสื่อต่างๆเพื่อแจ้งให้ลูกหนี้ทราบเป็นการล่วงหน้า

อีกทั้งยังมีการระบุด้วยว่าการเพิ่มขึ้นของอัตราการผ่อนชำระต่องวดต้องไม่ เกินร้อยละ 10 ของค่างวดเดิม ถือว่ามีการปกป้องสิทธิของลูกหนี้ถึง 2 ชั้น แต่หากผู้ซื้อบ้านเลือกกู้เงินนอกระบบ นอกจากจะไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิ แล้วยังอาจถูกยึดบ้านโดยไม่รู้ตัวอีกด้วยหากสัญญากู้ยืมเงินนั้นเป็นสัญญาขายฝาก
 
เป็นอย่างไรกันบ้าง พอจะเข้าใจวิธีการเกี่ยวกับนิติกรรมการซื้อขายบ้านกันบ้างแล้วใช่ไหมครับ ดังนั้น ทางโรงเรียนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย (www.trebs.ac.th) ได้มีการจัดหลักสูตรเกี่ยวกับข้อกฎหมายและวิธีการต่างๆด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อจะได้เรียนรู้วิธีการและข้อกฎหมายอย่างถูกต้องและดำเนินการต่างๆอย่างถูกวิธี สำหรับท่านที่สนใจสามารถเข้าร่วมงาน “หลักสูตร รวมข้อกฎหมายอสังหาริมทรัพย์ (RE100)”
รุ่นที่ 75, วันพุธที่ 13 - เสาร์ที่ 16 มีนาคม 2564 เวลา 08:30 - 17:00 น.
ณ โรงเรียนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย




>>>>> https://bit.ly/3c3Gpt7 <<<<<

สามารถติดต่อและสอบถามรายละเอียดของบริการได้ที่
โทร.02-295-3905 ต่อ 114 (K.สัญชัย)
Email : lek@trebs.ac.th
Line ID : @trebs หรือคลิก  https://line.me/R/ti/p/%40tfw7135e

ขอขอบคุณที่มา: ธนาคารอาคารสงเคราะห์
[/size]
14  พูดคุยทั่วไป / พูดคุยทั่วไป / ธุรกิจโรงแรมท่ามกลางสงครามโรคระบาด เมื่อ: มกราคม 12, 2021, 04:28:36 pm
ธุรกิจโรงแรมท่ามกลางสงครามโรคระบาด



ในยุคโควิด 19 ที่แทบทุกคน ทุกธุรกิจ ต้องปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตประจำวันแบบใหม่ หรือ New Normal โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวธุรกิจโรงแรม ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤตครั้งนี้ วันนี้ TREBS ได้หยิบยกเรื่องราวที่เกี่ยวกับธุรกิจโรงแรมจากมุมมองของผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมอย่าง ดร.ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม กรรมการบริหาร บมจ.ดุสิตธานี ว่าจะมีทิศทางในการบริหารธุรกิจโรงแรมให้อยู่ร่วมกับสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างไร

ธุรกิจโรงแรมจะอยู่อย่างไรท่ามกลางสงครามโรคระบาดที่ยังไม่มีท่าทีจะจบลงง่ายๆ
“ช่วงแรกเราคิดว่าเกิดผลกระทบแรงแน่ แต่สั้น แต่ไม่ได้มองว่ามันจะลากยาวมาถึงขนาดนี้”

ธุรกิจท่องเที่ยว คือกลุ่มที่ต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงและได้รับความเสียหายมากที่สุดในช่วงที่ไวรัส COVID-19 ระบาดในช่วงที่ผ่านมา หนึ่งในธุรกิจที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยก็คือธุรกิจโรงแรมและที่พัก แม้ในช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบการของธุรกิจกลุ่มนี้จะมีการปรับตัวมาตลอด แต่คราวนี้ดูเหมือนว่าครั้งนี้อาจจะยังไม่พอ



ดร. ศุภจี สุธรรมพันธุ์ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองการรับมือและจัดการกับวิกฤตโควิด-19 ของกลุ่มเครือดุสิตว่า กลุ่มดุสิตเป็นกลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยวและบริการ (hospitality) ที่ผ่านมาเจอสถานการณ์ดิสรัปชัน (disruption) มาเยอะแยะมากมายก่อนที่จะเจอวิกฤตโควิดด้วยซ้ำไป

วิกฤตโควิดทำทุกอย่างหยุดชะงักลงไม่ใช่แค่ในประเทศ แต่เป็นจากต่างประเทศด้วยเช่นกัน พอร์ตโฟลิโอของเรามีอยู่ประมาณ 330 กว่าแห่งใน 15 ประเทศทั่วโลก ทุกพอร์ตหยุดหมด ทำอะไรไม่ได้เลย เพราะว่าการเดินทางหยุดลง เพราะฉะนั้นรายได้ที่มาจากธุรกิจท่องเที่ยวก็หายไปโดยสิ้นเชิงในช่วงระยะเวลาที่แตกต่างกันไปเรามีพอร์ตโฟลิโออยู่ที่จีน 9 โรงแรม ก็ปิดหมดตั้งแต่ช่วงต้นปี ยกเว้นในตะวันออกกลางที่ไม่ปิดเลย แต่ก็ได้รับผลกระทบหนักหน่วงเช่นกัน เรียกว่าเป็นวิกฤติที่ใหญ่เลยก็ว่าได้

แม้ก่อนหน้านี้ธุรกิจท่องเที่ยวอาจจะเคยเจอวิกฤติในลักษณะนี้มาแล้วจากช่วงโรคระบาดอย่าง SARS หรือ MERS มาก่อน แต่ครั้งนี้ร้ายแรงกว่า เพราะปัจจุบันคนเดินทางเยอะขึ้นมาก และเมื่อเกิดเรื่องขึ้น ก็เลยได้รับความเสียหายไปเต็มๆ

“ธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศไทยถือเป็นธุรกิจต้นทางของธุรกิจอื่นๆ ที่ตามมา ถ้ามองในแง่ผลกระทบกับจีดีพี กว่าครึ่งมาจากธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ ดังนั้นเมื่อเกิดผลกระทบ ก็เลยทำให้ไทยมีความตึงตัวมากกว่าประเทศอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน”
 
อย่างไรก็ดี เมื่อเจอวิกฤตครั้งนี้เมื่อประมาณต้นปี โจทย์แรกที่กลุ่มดุสิตกังวลและโฟกัสก็คือเรื่องความปลอดภัยและสุขอนามัย Safety และ Hygiene ของลูกค้าและพนักงานเป็นเรื่องสำคัญ ช่วงแรกเราคิดว่าเกิดผลกระทบแรงแน่ แต่สั้น คิดว่าสัก 3-4 เดือนน่าจะเอาอยู่ และน่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ประมาณเดือนกรกฎาคม การจัดการกับธุรกิจก็คือดูแลเรื่องพนักงานก่อน แล้วก็ปรับในเรื่องไฟแนลเชียล แต่ไม่ได้มองว่ามันจะลากยาวมาถึงขนาดนี้

เพราะฉะนั้นในการปรับครั้งนี้ จึงต้องดู 3 ส่วนไปพร้อมๆ กัน

1.Business Model ว่าควรจะเป็นอย่างไร
2.คือเรื่อง Financial Model เพราะว่ารายได้หายไปเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ต้นทุนคงที่มีอยู่ค่อนข้างสูง ต้นทุนคงที่ของธุรกิจบริการก็คือคน แต่เราก็ต้องเก็บคนเอาไว้ เพราะฉะนั้นเราจึงมาดูว่าfinancial model เราเป็นยังไง ต้องบริหารจัดการปรับแต่งมัน บางตัวที่เราคิดว่าไม่ได้ให้รีเทิร์นที่ดีก็ต้องตัดทิ้ง บางตัวที่สามารถจะทำต่อได้ เราก็ต้องปรับใส่อะไรเข้าไปเพื่อจะปั้นให้ขึ้นมาได้ ดังนั้น Financial Structure จึงต้องทำค่อนข้างเยอะ
3.คือ Organizational Structure เพราะทุกธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจบริการมันเดินด้วย “คน” เพราะฉะนั้นเราจึงทำเรื่องBusiness Transformationและ Technology Transformationเอาเทคโนโลยีมาเปิด เพื่อให้พนักงานของเราสามารถตอบโจทย์ในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในโลกใหม่ได้อย่างไร

ในส่วนBusiness Model ดร.ศุภจียังให้มุมมองว่า ปัจจุบันมีการพูดกันถึงเรื่องดิสรัปชันค่อนข้างมาก และมีการถามกันมากว่าปัจจุบันconsumerหรือผู้บริโภคต้องการอะไร? ซึ่งปัจจุบันสิ่งที่consumer ต้องการในทุกอุตสาหกรรมคือ “ต้องการอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ต้องได้” I want what I want when I want it ในอดีตอาจจะมีความต้องการอย่างนี้เหมือนกัน แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีช่วยทำให้เราสามารถจะส่งมอบให้กับผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น

ดังนั้นไม่ว่าเราจะอยู่ในธุรกิจไหน ถ้าเราตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคนี้ได้ เราก็สามารถที่จะเดินหน้าต่อได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องทำเรื่อง “ความยั่งยืน” หรือ sustainabilityซึ่งนอกจากจะทำอย่างไรไม่ให้โลกเรามีปัญหาแล้ว แต่sustainability ในโลกของhospitality มันยังมีมุมเรื่อง self-sustained ด้วย

รวมถึงเรื่อง Environment Sustainable ที่ได้มีการคุยกันเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจกต่างๆเพราะเหล่านี้ได้กลายเป็นบริบทหนึ่งในการท่องเที่ยวไป และต้องนำมาอยู่ในมุมของการทำธุรกิจ hospitality ด้วย รวมไปถึงเรื่องของ zero waste ก็ต้องมีการดูแลจัดการ มีการคุยกันในเรื่องcircular economyดูว่าเราจะสามารถนำของต่างๆ มารีไซเคิลได้อย่างไร

เป็นอย่างไรกันบ้าง สำหรับเรื่องราวในมุมมองการรับมือและจัดการกับวิกฤตโควิด-19 ของผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ ด้านธุรกิจโรงแรม และสำหรับท่ามกลางวิกฤติโรคระบาดนี้ ทางศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (www.area.co.th) ได้จัดงานสัมมนา เพื่อการวางกลยุทธ์สำหรับโรงแรมท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 ซึ่งโรงแรมบางแห่งอาจจำเป็นต้องการ เราควรขาย ณ ราคาเท่าไหร่กันแน่จึงจะสมเหตุสมผล และในฝั่งผู้ซื้อ ควรซื้อในราคาเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม  การประเมินค่าโรงแรมในยุคไร้นักท่องเที่ยวจะเป็นอย่างไร  ถ้ามีหนี้จะปรับโครงสร้างหนี้อย่างไร รัฐบาลควรจัดตั้งกองทุน “ตึ๊ง” หรือขายฝากโรงแรมอย่างไร หรือภาวะขณะนี้ เราควรปิดโรงแรมไว้สัก 2 ปีดีกว่าหรือเปิดโรงแรมไว้โดยมีอัตราการครอบครองที่ 30% ดีกว่ากัน สำหรับท่านที่สนใจสามารถเข้าร่วมงาน “สัมมนา: กลยุทธ์ซื้อ-ขายโรงแรมในยุคโควิด-19” ในวันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 09:00 - 17:00 น. ณ โรงเรียนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย



>>>>>> https://bit.ly/3lJysxg <<<<<

และสำหรับท่านที่ต้องการรับบริการการประเมินค่าทรัพย์สิน สามารถติดต่อฝ่ายประเมินค่าทรัพย์สิน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ได้ที่ โทร.02-295-3905 ต่อ 114 (คุณสัญชัย) หรือ Email : area@area.co.th หรือ Line ID : @areavaluation หรือคลิก https://lin.ee/8pZYu1C

ขอขอบคุณที่มา :
[1] Energy Ambition
[2] ดร.ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม กรรมการบริหาร บมจ.ดุสิตธานี
หน้า: [1]
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย